The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปเข้ม_C02พันธะเคมี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jinarakna, 2020-06-22 04:03:45

สรุปเข้ม_C02พันธะเคมี

สรุปเข้ม_C02พันธะเคมี

Keywords: e-book

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

บ ท ที่ 2 พัน ธ ะ เ ค มี

ทบทวนก่อนเรียน
อเิ ล็กโทรเนกาติวิตี (EN) คือค่าท่ีแสดงถึงความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอนคู่ร่วมพนั ธะ

ของอะตอมของธาตุต่างๆ ที่รวมกนั เป็ นสารประกอบ ธาตุท่ีมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงจะสามารถ
ดึงดูดอิเลก็ ตรอนไดด้ ีกวา่ ธาตุท่ีมีคา่ อิเล็กโทรเนกาติวติ ีต่ากวา่

จากความรู้เร่ืองของการจดั เรียงอิเล็กตรอนน้นั อิเล็กตรอนในระดบั พลงั งานนอกสุด ( เวเลนซ์
อิเล็กตรอน ) จะมีจานวนได้สูงสุดเท่ากบั 8 ตัว แต่อะตอมของธาตุหมู่ 1A ถึง 7A น้ัน จะมี
เวเลนซ์อิเล็กตรอนเพียง 1 ถึง 7 ตวั ตามลาดบั อะตอมของธาตุเหล่าน้ีจะมีความพยายามทาให้
เวเลนซ์อิเลก็ ตรอนมี 8 ตวั โดย

อะตอมธาตุอโลหะหมู่ 7A เดิมมีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 7 ตวั จะพยายามรับอิเลก็ ตรอนเขา้ อีก 1 ตวั
อะตอมธาตุอโลหะหมู่ 6A เดิมมีเวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอน 6 ตวั จะพยายามรับอิเลก็ ตรอนเขา้ อีก 2 ตวั
อะตอมธาตุอโลหะหมู่ 5A เดิมมีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 5 ตวั จะพยายามรับอิเลก็ ตรอนเขา้ อีก 3 ตวั
อะตอมธาตุอโลหะหมู่ 4A เดิมมีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 4 ตวั จะพยายามรับอิเลก็ ตรอนเขา้ อีก 4 ตวั
จะเห็นว่าธาตุอโลหะจะมีความพยายามดึงดูดอิเล็กตรอนเขา้ ตวั สูง ธาตุอโลหะจึงมีค่าอิเล็ก
โทรเนกาติวติ ีสูงดว้ ย
อะตอมของธาตุโลหะหมู่ 1A เช่น 11Na มีการจดั เรียงอิเล็กตรอนเป็น 2 , 8 , 1 มีเวเลนซ์
อิเล็กตรอน 1 ตวั อะตอมน้ีจะไม่พยายามรับอิเล็กตรอนเขา้ มาอีก 7 ตวั เพราะทาไดย้ าก อะตอมน้ี
จะจ่ายอิเล็กตรอนนอกสุดออกไป 1 ตวั แลว้ จดั เรียงอิเล็กตรอนใหม่เป็ น 2 , 8 ซ่ึงจะทาให้เวเลนซ์
อิเล็กตรอนกลายเป็น 8 ตวั ไดเ้ ช่นกนั
ทานองเดียวกนั อะตอมธาตุโลหะหมู่ 2A เช่น 12Mg มีการจดั เรียงอิเล็กตรอนเป็ น 2 , 8 , 2
อะตอมน้ีจะพยายามจ่ายอิเล็กตรอนนอกสุดออกไป 2 ตวั
อะตอมของธาตุโลหะหมู่ 3A เช่น 13Al มีการจดั เรียงอิเล็กตรอนเป็ น 2 , 8 , 3 อะตอมน้ีจะ
พยายามจ่ายอิเล็กตรอนนอกสุดออกไป 3 ตวั เพื่อใหเ้ วเลนซ์อิเล็กตรอนกลายเป็น 8 ตวั เช่นกนั
จะเห็นวา่ ธาตุโลหะมีแนวโนม้ ที่จะจา่ ยอิเลก็ -
ตรอนออกไป ความพยายามดึงดูดอิเลก็ ตรอนเขา้ มีนอ้ ย
ธาตุโลหะจึงมีคา่ อิเล็กโทรเนกาติวติ ีต่ากวา่ ธาตุอโลหะ
ธาตุท่ีมีคา่ EN สูงสุดตามลาดบั ที่ควรจาคือ

F > O > Cl  N > Br > I  S  C > H

1

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

ฝึ กทา อะตอมของธาตุหมู่ A ต่อไปน้ี มีแนวโนม้ จะรับหรือจา่ ยอิเลก็ ตรอนกี่ตวั

1. หมู่ 1A …….... 2. หมู่ 2A …….... 3. หมู่ 3A …….... 4. หมู่ 4A ……....

5. หมู่ 5A …….... 6. หมู่ 6A …….... 7. หมู่ 7A …….... 8. หมู่ 8A ……....

ความเป็ นโลหะและอโลหะ
ธาตุในหมูเ่ ดียวกนั ความเป็นโลหะจะเพ่มิ ข้ึนจากบนลงล่าง เพราะอะตอมใหญ่ข้ึน แรงที่

นิวเคลียสดึงดูดอิเลก็ ตรอนจะนอ้ ยลง จึงจา่ ยอิเลก็ ตรอนไดง้ ่าย
ธาตุในคาบเดียวกนั ความเป็นโลหะจะเพ่มิ ข้ึนจากขวาไปซา้ ย เพราะอะตอมใหญ่ข้ึน แรงที่

นิวเคลียสดึงดูดอิเล็กตรอนจะนอ้ ยลง จึงจา่ ยอิเลก็ ตรอนไดง้ ่ายเช่นกนั

สาหรับความเป็นอโลหะจะมีแนวโนม้ ตรงกนั ขา้ มกบั ความเป็นโลหะ กล่าวคือ
ธาตุในหมู่เดียวกนั ความเป็นอโลหะจะเพม่ิ ข้ึนจากล่างข้ึนบน
ธาตุในคาบเดียวกนั ความเป็นอโลหะจะเพิม่ ข้ึนจากซา้ ยไปขวา

ความเป็นอโลหะเพ่มิ ขนึ ้

ความเป็นอโลหะเพิม่ ขนึ ้

ความเป็นโลหะเพิม่ ขนึ ้

ความเป็นโลหะเพ่ิมขนึ ้

พนั ธะเคมี คือแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอะตอมกบั อะตอม หรือไอออนกบั ไอออน ภายในสสาร

พนั ธะเคมีมี 3 ประเภทไดแ้ ก่

1. พนั ธะไอออนิก O พนั ธะเคมี O
2. พนั ธะโคเวเลนต์
H
H HH

3. พนั ธะโลหะ แรงยดึ เหน่ียวโมเลกุล
แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ กบั โมเลกลุ ในสสาร O

H
H

ไมถ่ ือวา่ เป็นพนั ธะเคมี

แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ มี 2 ประเภทไดแ้ ก่

1. พนั ธะไฮโดรเจน 2. แรงแวนเดอร์วาลส์

2

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

1. จากรูปภาพท่ีกาหนด หมายเลขใดแสดงถึง

พนั ธะเคมี และหมายเลขใดแสดงถึงแรงดึง (1) O O
ดูดระหวา่ งโมเลกลุ
H H
1. (1) พนั ธะเคมี (2) พนั ธะเคมี H
2. (1) พนั ธะเคมี (2) แรงดึงดูดระหวา่ งโมเลกุล
(2) H

O

H
H

3. (1) แรงดึงดูดระหวา่ งโมเลกุล (2) พนั ธะเคมี

4. (1) แรงดึงดูดระหวา่ งโมเลกุล (2) แรงดึงดูดระหวา่ งโมเลกุล

2. ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ีไม่ใช่พนั ธะเคมี 3. พนั ธะโลหะ 4. พนั ธะไฮโดรเจน
1. พนั ธะไอออนิก 2. พนั ธะโคเวเลนต์

2.1 พนั ธะโคเวเลนต์

2.1.1 การเกดิ พนั ธะโคเวเลนต์

พันธะโคเวเลนต์ คือแรงยึดเหน่ียวระหว่างอะตอมท่ีเกิดจากอะตอมใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอน

ร่วมกนั เป็นคู่ๆ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี

ตวั อย่าง การเกิดพนั ธะของคลอรีน ( Cl ) กบั ฟลูออรีน ( F )

ท้งั คลอรีน ( Cl ) และฟลูออรีน ( F ) ลว้ นเป็นอโลหะ ** ** *. .. ..
หมู่ 7A เหมือนกนั อะตอมของธาตุท้งั สองตา่ งตอ้ งการอิเล็ก-
ตรอนอีก 1 ตวั เหมือนกนั แต่เน่ืองจากธาตุท้งั สองลว้ นมีคา่ Cl F
อิเลก็ โทรเนกาติวติ ี (EN) สูง อะตอมท้งั สองจึงไม่ยอมจา่ ย
อิเล็กตรอนใหแ้ ก่กนั จึงตอ้ งมีการนาเอาเวเลนซ์อิเล็กตรอน ** ..

มาใชร้ ่วมกนั 1 คู่ ดงั รูป เพ่ือใหอ้ ะตอมท้งั สองเสมือนมีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 8 ตวั เหมือนกนั ท้งั คู่

อิเลก็ ตรอนท่ีใชร้ ่วมกนั น้ี จะเรียก อเิ ลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะ และอิเล็กตรอนท่ีใชร้ ่วมกนั น้ีจะมีแรง

ดึงดูดกบั นิวเคลียสของอะตอมท่ีเขา้ มาร่วมพนั ธะกนั แรงดึงดูดตรงน้ีจะเรียกเป็นพนั ธะโคเวเลนต์ และ

โมเลกุลที่เกิดข้ึนจะเรียก โมเลกุลโคเวเลนต์ สารประกอบท่ีมีโมเลกลุ โคเวเลนตจ์ ะเรียก สาร ประกอบ

โคเวเลนต์

3

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

ตัวอย่าง การเกิดพนั ธะของไฮโดนเจน ( H ) กบั ฟลูออรีน ( F )

ฟลูออรีน ( F ) เป็นอโลหะหมู่ 7A อะตอมฟลูออรีน ..
จะมีความตอ้ งการอิเล็กตรอนอีก 1 ตวั ส่วนอะตอมไฮโดร-
เจน( H ) มีอิเล็กตรอน 1 ตวั อยใู่ นระดบั พลงั งาน K ซ่ึงมี H *. F ..
อิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 2 ตวั ดงั น้นั อะตอมไฮโดรเจนจะตอ้ ง ..

การอิเลก็ ตรอนอีก 1 ตวั เช่นกนั ดงั น้นั อะตอมท้งั สองจะมี

การนาเวเลนซ์อิเล็กตรอนเขา้ มาใชร้ ่วมกนั 1 คูแ่ ลว้ เกิดเป็นพนั ธะโคเวเลนต์ ดงั รูป

ตวั อย่าง การเกิดพนั ธะของไฮโดนเจน ( H ) กบั ออกซิเจน ( O )

ออกซิเจน ( O ) เป็นอโลหะหมู่ 6A อะตอมออกซิ- ... .
เจนจะมีความตอ้ งการอิเล็กตรอนอีก 2 ตวั ส่วนอะตอม
ไฮโดรเจน( H ) จะตอ้ งการอิเลก็ ตรอนอีกเพยี ง 1 ตวั ดงั . O *H

น้นั อะตอมออกซิเจน 1 อะตอม จะตอ้ งเขา้ มารวมตวั กบั *.

อะตอมไฮโดรเจน 2 อะตอม แลว้ นาเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน H

เขา้ มาใชร้ ่วมกนั ดงั รูป เพ่ือใหอ้ ะตอมออกซิเจนเสมือนมี

เวเลนซ์อิเล็กตรอน 8 ตวั ส่วนไฮโดรเจนแต่ละอะตอมจะเสมือนมีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 2 ตวั

ตวั อย่าง การเกิดพนั ธะของไฮโดรเจน ( H ) กบั ไนโตรเจน ( N )

ไนโตรเจน ( N ) เป็นอโลหะหมู่ 5A อะตอมไนโตร- .. .
เจนจะมีความตอ้ งการอิเลก็ ตรอนอีก 3 ตวั ส่วนอะตอม
ไฮโดรเจน( H ) จะตอ้ งการอิเล็กตรอนอีกเพยี ง 1 ตวั ดงั H *. N *H
น้นั อะตอมไนโตรเจน 1 อะตอม จะตอ้ งเขา้ มารวมตวั กบั
*.

อะตอมไฮโดรเจน 3 อะตอม แลว้ นาเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน H

เขา้ มาใชร้ ่วมกนั ดงั รูป เพอ่ื ใหอ้ ะตอมไนโตรเจนเสมือนมี

เวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 8 ตวั ส่วนไฮโดรเจนแตล่ ะอะตอมจะเสมือนมีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 2 ตวั

4

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

ตวั อย่าง การเกิดพนั ธะของไฮโดรเจน ( H ) กบั คาร์บอน ( C ) .H* .
คาร์บอน ( C ) เป็นอโลหะหมู่ 4A อะตอมคาร์-
H *. C *H
บอนจะมีความตอ้ งการอิเลก็ ตรอนอีก 4 ตวั ส่วนอะตอม
ไฮโดรเจน( H ) จะตอ้ งการอิเลก็ ตรอนอีกเพยี ง 1 ตวั ดงั *.
น้นั อะตอมคาร์บอน 1 อะตอม จะตอ้ งเขา้ มารวมตวั กบั

อะตอมไฮโดรเจน 4 อะตอม แลว้ นาเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน H

เขา้ มาใชร้ ่วมกนั ดงั รูป เพอื่ ใหอ้ ะตอมคาร์บอนเสมือนมีเว-

เลนซ์อิเล็กตรอน 8 ตวั ส่วนไฮโดรเจนแตล่ ะอะตอมจะเสมือนมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 2 ตวั

ตัวอย่าง การเกิดพนั ธะของออกซิเจน ( O ) กบั ออกซิเจน ( O )

ออกซิเจน ( O ) เป็นอโลหะหมู่ 6A อะตอมออกซิ- . .. .* ** *
เจนจะมีความตอ้ งการอิเล็กตรอนอีก 2 ตวั ดงั น้นั เมื่อ . .* *
ออกซิเจน 2 อะตอมเขา้ มารวมตวั กนั จะมีการใชเ้ วเลนซ์- O O
อิเล็กตรอนร่วมกนั 2 คู่ เพือ่ ใหแ้ ตล่ ะอะตอมเสมือนมี

เวเลนซ์อิเล็กตรอน 8 ตวั ดงั รูป

ตัวอย่าง การเกิดพนั ธะของไนโตรเจน ( N ) กบั ไนโตรเจน ( N )

ไนโตรเจน ( N ) เป็นอโลหะหมู่ 5A อะตอมไน-

โตรเจนจะมีความตอ้ งการอิเลก็ ตรอนอีก 3 ตวั ดงั น้นั . N ... *** N *
เม่ืออะไนโตรเจน 2 อะตอมเขา้ มารวมตวั กนั จะมีการใช้ . *

เวเลนซ์อิเลก็ ตรอนร่วมกนั 3 คู่ เพื่อใหแ้ ต่ละอะตอม

เสมือนกบั มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 8 ตวั ดงั รูป

3. เหตุท่ีอะตอมของธาตุต่างๆ ตอ้ งเขา้ มารวมตวั กนั สร้างพนั ธะเคมีคือขอ้ ใดตอ่ ไปน้ี
1. เพ่ือรวมกนั เป็นกลุ่มกอ้ นท่ีใหญข่ ้ึน
2. เพื่อป้องกนั การสูญเสียพลงั งาน
3. เพ่ือใหเ้ วเลนส์อิเล็กตรอนของแตล่ ะอะตอมครบ 8 ตวั
4. ถูกทุกขอ้

5

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

โดยทวั่ ไปแลว้ พนั ธะโคเวเลนตจ์ ะเกิดจากการรวมตวั ของ ธาตุอโลหะรวมตัวกับอโลหะ หรือ

ธาตุก่ึงโลหะรวมตัวกับอโลหะ หรือโลหะบางชนิด (Be , Sn ) รวมตัวกับอโลหะ ท้งั น้ีเพราะอะตอม

ของธาตุพวกน้ีจะมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวติ ้ี (EN) สูงเหมือนๆ กนั เมื่อมารวมกนั จะไม่มีอะตอมใดยอม

จ่ายอิเลก็ ตรอนใหแ้ ก่กนั จึงตอ้ งมีการนาอิเลก็ ตรอนมาใชร้ ่วมกนั เกิดเป็นพนั ธะโคเว-เลนตน์ น่ั เอง

หมายเหตุ ไอออนเชิงซอ้ นท่ีประกอบดว้ ยโลหะแทรนซิชนั กบั อโลหะ โลหะแทรนซิชนั กบั อโลหะ จะ
เกิดพนั ธะชนิดโคเวเลนตก์ นั เช่น MnO 4 , CrO24 , Fe(CN) 34 เป็นตน้
(ไอออนเชิงซอ้ นคือไอออนท่ีประกอบดว้ ยธาตุมากกวา่ 1 ชนิด)

4. อะตอมคู่ใดในขอ้ ใดต่อไปน้ีที่รวมตวั ดว้ ยพนั ธะโคเวเลนต์

1. คาร์บอนกบั ซลั เฟอร์ 2. แคลเซียมกบั ออกซิเจน

3. เหล็กกบั คลอรีน 4. คลอรีนกบั โซเดียม

5. ถา้ ธาตุ X , Y และ Z มีเลขอะตอมเป็ น 7 , 11 และ 30 ตามลาดบั สารประกอบในขอ้

ใดจดั เป็นสารโคเวเลนต์

1. XCl3 2. YCl 3. ZCl2 4. ถูกทุกขอ้

6. จงพิจารณาวา่ สารประกอบในขอ้ ใดเป็นสารประกอบโคเวเลนตล์ ว้ นๆ 4. CsCl , MgCl2
1. K2O , Al2O3 2. BeCl2 , SnCl4 3. MgBr2 , NaCl2

6

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

2.1.2 ชนิดของพนั ธะโคเวเลนต์

พนั ธะโคเวเลนตม์ ี 3 ชนิด ไดแ้ ก่ ** ** *. .. ..

1) พนั ธะเด่ียว คือพนั ธะมีการใชเ้ วเลนซ์อิเล็กตรอน Cl F
ร่วมกนั 1 คู่ เช่น พนั ธะใน Cl F
** ..

2) พนั ธะคู่ คือพนั ธะมีการใชเ้ วเลนซ์อิเลก็ ตรอน ** ** ** .. .. ..
ร่วมกนั 2 คู่ เช่น พนั ธะใน O2
O O

3) พนั ธะสาม คือพนั ธะมีการใชเ้ วเลนซ์อิเลก็ ตรอน ** N ***... N ..
ร่วมกนั 3 คู่ เช่น พนั ธะใน N2
พลังงานพันธะ คือพลงั งานท่ีใช้ไปเพื่อสลายพนั ธะระหว่างอะตอมภายในโมเลกุลซ่ึงอยู่ใน

สถานะแก๊สใหแ้ ยกออกจากกนั เป็นอะตอมในสถานะแกส๊

โดยทว่ั ไปแลว้ พนั ธะสามจะมีพลงั งานพนั ธะมากท่ีสุดท้งั น้ีเพราะมีการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอน

ร่วมพนั ธะกนั ถึง 3 คู่ ส่วนพนั ธะเดี่ยวจะมีพลงั งานพนั ธะนอ้ ยท่ีสุด เมื่อเรียงลาดบั พลงั งานพนั ธะ

จากมากไปหานอ้ ยจึงไดว้ า่ พลงั งานพนั ธะของ

พนั ธะสาม > พนั ธะคู่ > พนั ธะเดย่ี ว

ความยาวพนั ธะ คือระยะห่างระหวา่ งนิวเคลียสของอะตอมสองอะตอมที่เขา้ ร่วมพนั ธะกนั ใน

โมเลกลุ

โดยทวั่ ไปแลว้ พนั ธะสามจะมีความยาวพนั ธะสามจะมีความยาวพนั ธะนอ้ ยท่ีสุด เพราะมีการใช้

เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกนั ถึง 3 คู่ จึงทาให้มีแรงดึงดูดนิวเคลียสมากทาให้นิวเคลียสขยบั เขา้ ใกลก้ นั

ทาใหค้ วามยาวพนั ธะนอ้ ยนน่ั เอง ส่วนพนั ธะเดี่ยวจะมีความยาวพนั ธะมากท่ีสุด เม่ือเรียงลาดบั ความ

ยาวพนั ธะจากมากไปหานอ้ ยจึงไดว้ า่ ความยาวพนั ธะของ

พนั ธะสาม  พนั ธะคู่  พนั ธะเด่ียว

7(มช 38) ความยาวพนั ธะใดต่อไปน้ี ยาวที่สุด

1. C – H 2. C – C 3. C = C 4. C º C

7

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

8. จงเรียงพลงั งานของพนั ธะต่อไปน้ี จากพลงั งานต่าสุดไปหาพลงั งานสูงสุด

ก. H – F ข. H – Cl ค. H – Br

1. ก , ค , ข 2. ค , ก , ข 3. ค , ข , ก 4. ข , ก , ค

2.1.3 การเขียนสูตร และการเรียกช่ือของสารโคเวเลนต์
2.1.3.1 การเขยี นสูตรสารโคเวเลนต์
สูตรของสารโคเวเลนตส์ ามารถที่สาคญั ไดแ้ ก่สูตรโมเลกลุ สูตรโครงสร้างแบบเส้น และ

สูตรโครงสร้างลิวอิส ( สูตรแบบจุด )
ก) การเขยี นสูตรโมเลกลุ ของสารโคเวเลนต์

ข้นั ที่ 1 ตอ้ งเรียงลาดบั ธาตุที่เขา้ มารวมตวั กนั ตามลาดบั ตามหลกั สากลดงั น้ี
B Bi C Sb As P N H Te Se S At I Br Cl O F ตามลาดบั

ข้นั ที่ 2 หาจานวนอิเลก็ ตรอนที่แตล่ ะธาตุตอ้ งการ แลว้ นาจานวนอิเลก็ ตรอนน้นั ไขวส้ ลบั ไป
เขียนหอ้ ยไวห้ ลงั แต่ธาตุแต่ละตวั

ตวั อย่าง จงเขียนสูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนตท์ ี่เกิดจากการรวมตวั ของธาตุออกซิเจน ( O ) กบั
ไฮโดรเจน ( H )

แนวคิด ข้นั ท่ี 1 ตอ้ งเขียนธาตุ H ก่อน O ตามหลกั สากล
ข้นั ท่ี 2 หาจานวนอิเลก็ ตรอนท่ีแต่ละธาตุตอ้ งการ แลว้ ไขวส้ ลบั หอ้ ยไวห้ ลงั ธาตุแต่ละตวั
H รับอิเล็กตรอน 1 ตวั ส่วน O อยหู่ มู่ 6A รับอิเลก็ ตรอน 2 ตวั
รับ H1e + รับO2e = H2 O

สุดทา้ ยจะไดส้ ูตรโมเลกุลเป็น H2O
ตัวอย่าง จงเขียนสูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนตท์ ่ีเกิดจากการรวมตวั ของธาตุไฮโดรเจน ( H ) กบั

ไนโตรเจน ( N )
แนวคดิ ข้นั ที่ 1 ตอ้ งเขียนธาตุ N ก่อน H ตามหลกั สากล

8

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

ข้นั ที่ 2 หาจานวนอิเลก็ ตรอนที่แต่ละธาตุตอ้ งการ แลว้ ไขวส้ ลบั หอ้ ยไวห้ ลงั ธาตุแตล่ ะตวั

N อยหู่ มู่ 5A รับอิเล็กตรอน 3 ตวั ส่วน H รับอิเลก็ ตรอน 1 ตวั
รับ 3Ne + รHับ 1e = N H3

สุดทา้ ยจะไดส้ ูตรโมเลกลุ เป็น N H3
ตัวอย่าง จงเขียนสูตรโมเลกลุ ของสารโคเวเลนตท์ ่ีเกิดจากการรวมตวั ของธาตุซิลิกอน ( Si ) กบั

ออกซิเจน ( O )
แนวคดิ ข้นั ที่ 1 ตอ้ งเขียนธาตุ C ก่อน O ตามหลกั สากล

ข้นั ท่ี 2 หาจานวนอิเล็กตรอนที่แตล่ ะธาตุตอ้ งการ แลว้ ไขวส้ ลบั หอ้ ยไวห้ ลงั ธาตุแต่ละตวั
C อยหู่ มู่ 4A รับอิเล็กตรอน 4 ตวั ส่วน O อยหู่ มู่ 6A รับอิเล็กตรอน 2 ตวั

รับ 4Ce + รOับ 2e = C2 O4 ทาอตั ราส่วนอยา่ งต่าได้ C O2

สุดทา้ ยจะไดส้ ูตรโมเลกลุ เป็น CO2

9. เม่ือธาตุ C รวมตวั กบั Cl และ N รวมตวั กบั O และ C รวมตวั กบั O จะได้สารโคเว-

เลนตท์ ่ีมีสูตรดงั ขอ้ ใดตามลาดบั

1. CCl4 , N2O , CO2 2. CCl2 , NO2 , CO
3. CCl4 , N2O3 , CO2 4. CCl2 , N2O5 , CO

10. ธาตุ X อยหู่ มู่ 4 เม่ือรวมตวั กบั ธาตุ Y อยหู่ มู่ 6 สูตรของสารประกอบท่ีไดค้ ือขอ้ ใด

1. XY 2. XY2 3. X2Y 4. X2Y3

9

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

11(แนว En) ธาตุ P และ Q จดั อิเล็กตรอนเป็น P = 2 , 8 , 18 , 5 ; Q = 2 , 8 , 18 , 32 , 18 , 6

สารประกอบระหวา่ ง P และ Q ควรมีสูตรดงั ขอ้ ใด

1. PQ2 2. P2 Q 3. P2 Q3 4. P3 Q2

ข) การเขยี นสูตรโครงสร้างแบบเส้นจากสูตรโมเลกุล

เมื่อเราเขียนสูตรโมเลกลุ ของสารโคเวเลนตไ์ ดแ้ ลว้ เราสามารถเปลี่ยนใหเ้ ป็นสูตรโครงสร้าง

แบบเส้นได้ โดยทาตามข้นั ตอนดงั น้ี

ข้นั ที่ 1 หาอะตอมกลาง คืออะตอมที่มีอะตอมเดียว และตอ้ งการเวเลนซ์อิเล็กตรอนมากท่ีสุด

หรือมีแขนมากที่สุด โดยจานวนแขนของอะตอมต่างๆ ท่ีควรรู้ไดแ้ ก่

H และธาตุหมู่ 7A ( F , Cl , Br , I ) มี 1 แขน ( เพราะตอ้ งการ e 1 ตวั )

O , S ( หมู่ 6A ) มี 2 แขน ( เพราะตอ้ งการ e 2 ตวั )

N ( หมู่ 5A ) มี 3 แขน ( เพราะตอ้ งการ e 3 ตวั )

C , Si ( หมู่ 4A ) มี 4 แขน ( เพราะตอ้ งการ e 4 ตวั )

ข้นั ท่ี 2 วางตาแหน่งอะตอมกลาง แลว้ เอาอะตอมอื่นลอ้ มรอบ

ข้นั ที่ 3 ใส่แขนของแตล่ ะอะตอม โดยนาแขนของอะตอมท่ีติดกนั มาเชื่อมต่อเป็นเส้นเดียวกนั

ตัวอย่าง จงเขียนสูตรโครงสร้างแบบเส้นของ CH4
แนวคิด ข้นั ท่ี 1 หาอะตอมกลาง ขอ้ น้ีคือ C เพราะ C มีอะตอมเดียวและมีแขนมากท่ีสุดคือ 4 แขน

ข้นั ที่ 2 นาอะตอม C วางไวต้ รงกลาง แลว้ วาง H
H 4 อะตอม ลอ้ มรอบ C HCH

ข้นั ที่ 3 เขียนแขนของ แตล่ ะอะตอม โดย C มี H
4 แขน และ H มี 1 แขน และ C กบั H ท่ีอยู่
ติดกนั ใหน้ าแขนมาต่อกนั ดงั รูป H
HCH

H

10

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

ตัวอย่าง จงเขียนสูตรโครงสร้างแบบเส้นของ CO2
แนวคดิ ข้นั ที่ 1 หาอะตอมกลาง ขอ้ น้ีคือ C เพราะ C มีอะตอมเดียวและมีแขนมากท่ีสุดคือ 4 แขน

ข้นั ท่ี 2 นาอะตอม C วางไวต้ รงกลาง แลว้ วาง OCO
O 2 อะตอม ลอ้ มรอบ C

ข้นั ท่ี 3 เขียนแขนของ แต่ละอะตอม โดย C มี

4 แขน และ O แต่ละอะตอม มี 2 แขน และ C OCO

กบั O ที่อยตู่ ิดกนั ใหน้ าแขนมาต่อกนั ดงั รูป

ฝึ กทา จงเขียนสูตรโครงสร้างแบบเส้นของสารโคเวเลนตต์ ่อไปน้ี COCl2 CS2
SiH4 CHCl3 NH3 H2O HClO

ค) การเขยี นสูตรโครงสร้างลวิ อสิ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ ( สูตรแบบจุด )
เมื่อเราเขียนสูตรโครงสร้างแบบเส้นไดแ้ ลว้ เราสามารถเปลี่ยนใหเ้ ป็นสูตรโครงสร้างลิวอิส
( แบบจุด ) ได้ โดยทาตามข้นั ตอนดงั น้ี
ข้นั ท่ี 1 เปลี่ยนเส้นพนั ธะ 1 เส้น เป็นจุด 2 จุด
ข้นั ท่ี 2 หากอะตอมกลางยงั เหลืออิเลก็ ตรอนซ่ึงไมไ่ ดใ้ ชส้ ร้างพนั ธะ อาจเขียนดว้ ยก็ได้

ตัวอย่าง จงเขียนสูตรโครงสร้างลิวอิสของ H N H

H H : ..N.. :H
H
แนวคิด ข้นั ที่ 1 เปลี่ยนเส้นพนั ธะ 1 เส้นเป็น 2 จุด

ข้นั ที่ 2 เนื่องจาก N มีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 5 ตวั
ใชส้ ร้างพนั ธะกบั H ไป 3 ตวั ดงั น้นั N จึงเหลือ
อิเล็กตรอนท่ีไมไ่ ดใ้ ชส้ ร้างพนั ธะอีก 2 ตวั ดงั รูป

หมายเหตุ ; เวเลนซ์อิเล็กตรอนที่ใชส้ ร้างพนั ธะโคเวเลนตเ์ รียกอิเล็กตรอนคู่รวมพนั ธะ ในตวั อยา่ ง
น้ีอิเล็กตรอนคูร่ วมพนั ธะระหวา่ ง N กบั H มี 3 คู่
ส่วนเวเลนซ์อิเล็กตรอนท่ีไม่ไดใ้ ชส้ ร้างพนั ธะเรียกอิเลก็ ตรอนคู่โดดเดี่ยว ในตวั อยา่ งน้ี
อิเล็กตรอนคูโ่ ดดเด่ียวมี 1 คู่ อยทู่ ี่ N

11

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

ตวั อย่าง จงเขียนสูตรโครงสร้างลิวอิสของ H O H

แนวคดิ ข้นั ท่ี 1 เปล่ียนเส้นพนั ธะ 1 เส้นเป็น 2 จุด H :..O.. :H
ข้นั ที่ 2 เนื่องจาก O มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 6 ตวั

ใชส้ ร้างพนั ธะกบั H ไป 2 ตวั ดงั น้นั O จึงเหลือ

อิเลก็ ตรอนท่ีไมไ่ ดใ้ ชส้ ร้างพนั ธะอีก 4 ตวั ดงั รูป

โครงสร้างน้ีมีอิเลก็ ตรอนคูร่ ่วมพนั ธะ 2 คู่ อะตอมกลาง ( O ) มีอิเล็กตรอนคูโ่ ดดเด่ียว 2 คู่

ตัวอย่าง จงเขียนสูตรโครงสร้างลิวอิสของ H

HC H

แนวคิด ข้นั ที่ 1 เปล่ียนเส้นพนั ธะ 1 เส้นเป็น 2 จุด H H :..CH.. :H
H
ข้นั ท่ี 2 เน่ืองจาก C มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 4 ตวั
ใชส้ ร้างพนั ธะกบั H ท้งั หมด 4 ตวั ดงั น้นั C จึง
ไมเ่ หลืออิเลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียว

โครงสร้างน้ีมีอิเลก็ ตรอนคูร่ ่วมพนั ธะ 4 คู่ อะตอมกลาง ( C ) ไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียว

ฝึ กทา จงเขียนสูตรโครงสร้างลิวอิสของโมเลกลุ โคเวเลนตต์ อ่ ไปน้ี

HP H HS H H O Cl Cl C Cl S CS
H O

การหาจานวนพนั ธะโคเวเลนตแ์ ละจานวนอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียว สามารถหาจากสูตรต่อไปน้ี

สูตรการหาจานวนอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียวรอบอะตอมกลาง

จานวนอิเล็กตรอนคูโ่ ดดเด่ียวรอบอะตอมกลาง

จ.น.เวเลน ตอ์ เิ ลก็ ตรอนอะตอมกลา ง  จ.น.แขนอะต อมที่เกาะอะตอมกลาง    จ.น.อิเลก็ ตรอนที่รบั หรือ 
2   จ.น.อเิ ลก็ ตรอนที่เสีย 
=

หลกั การหาจานวนพนั ธะ ( จานวนอเิ ลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะ )

1) สาหรับสารประกอบโคเวเลนตแ์ ท้ ( ในโมเลกลุ มีเฉพาะพนั ธะโคเวเลนต์ )

จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = จานวนอะตอมอโลหะ – 1

2) สาหรับสารประกอบโคเวเลนตท์ ี่มีโครงสร้างเป็นแบบวง 1 วง

จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = จานวนอะตอมอโลหะท้งั หมด

เช่น C6H6 มี 12 พนั ธะ , S8 มี 8 พนั ธะ , C6H5COOH มี 15 พนั ธะ

12

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

3) สาหรับสารประกอบไอออนิกผสมโคเวเลนต์ ใหพ้ ิจารณาเฉพาะส่วนของโคเวเลนต์

จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = จานวนอะตอมอโลหะ – 1
เช่น NaClO3 แตกตวั จะได้ Na+ และ ClO3– พิจารณาเฉพาะ ClO3– จะไดว้ า่
จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = จานวนอะตอมอโลหะ – 1 = 4 – 1 = 3 พนั ธะ
หรือ Mg(NO3)2 แตกตวั จะได้ Mg2+ และ NO3– 2 หมู่ พจิ ารณา NO3– จะได้
จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = จานวนอะตอมอโลหะ – 1 = 4 – 1 = 3 พนั ธะ
NNHO43+–
4) ดงั น้นั 2 หมู่ จะมีพนั ธะโคเวเลนตร์ วม 6 พนั ธะ
สาหรับสารประกอบ ใหแ้ ยกคิดส่วน NH4+ และส่วนอ่ืนๆ แลว้ นามารวมกนั ทีหลงั

เช่น NH4ClO3 NH4+
พิจารณาส่วน

จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = จานวนอะตอมอโลหะ – 1 = 5 – 1 = 4 พนั ธะ
ส่วนของ ClO3–
จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = จานวนอะตอมอโลหะ – 1 = 4 – 1 = 3 พนั ธะ

รวมแลว้ จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = 4 + 3 = 7 พนั ธะ

ตวั อย่าง จงหาจานวนพนั ธะโคเวเลนต์ และจานวนอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียวรอบอะตอมกลางของ
โมเลกุล CH2O

แนวคิด โมเลกุล CH2O
จะไดว้ า่ จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = จานวนอะตอมอโลหะ – 1 = 4 – 1 = 3 พนั ธะ
และ อะตอมกลางคือ C มีจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนก่อนเกิดพนั ธะ 4 ตวั
อะตอมที่เกาะอะตอมกลางคือ H 2 อะตอม มีแขนอะตอมละ 1 แขน และ O มี 2

แขน รวมแลว้ มี 4 แขน จึงไดว้ า่

จานวนอิเล็กตรอนคูโ่ ดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง

จ.น.เวเลน ตอ์ ิเลก็ ตรอนอะตอมกลา ง  จ.น.แขนอะต อมที่เกาะอะตอมกลาง    จ.น.อเิ ลก็ ตรอนที่รบั หรือ 
2   จ.น.อิเลก็ ตรอนที่เสีย 
=
= 4240
= 0 คู่

13

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

ตัวอย่าง จงหาจานวนพนั ธะโคเวเลนต์ และจานวนอิเลก็ ตรอนคูโ่ ดดเด่ียวรอบอะตอมกลางของ
แนวโคมิดเลกโุลมเSลOก4ุล2–SO42–
จะไดว้ า่ จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = จานวนอะตอมอโลหะ – 1 = 5 – 1 = 4 พนั ธะ

และ อะตอมกลางคือ S มีจานวนเวเลนซ์อิเลก็ ตรอนก่อนเกิดพนั ธะ 6 ตวั

อะตอมที่เกาะอะตอมกลางคือ O 4 อะตอม มีแขนอะตอมละ 2 แขน รวมเป็น 8 แขน

โมเลกลุ น้ีมีประจุ –2 แสดงวา่ รับอิเลก็ ตรอนเพม่ิ 2 ตวั

จึงไดว้ า่

จานวนอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียวรอบอะตอมกลาง

จ.น.เวเลน ตอ์ เิ ลก็ ตรอนอะตอมกลา ง  จ.น.แขนอะต อมท่ีเกาะอะตอมกลาง    จ.น.อเิ ลก็ ตรอนท่ีรบั หรือ 
2   จ.น.อิเลก็ ตรอนท่ีเสีย 
=
= 6  82 2
= 0 คู่

ตวั อย่าง จงหาจานวนพนั ธะโคเวเลนต์ และจานวนอิเล็กตรอนคูโ่ ดดเดี่ยวรอบอะตอมกลางของ
แนวโคมดิ เลกโุลมเHลก3Oุล+H3O+

จะไดว้ า่ จานวนพนั ธะโคเวเลนต์ = จานวนอะตอมอโลหะ – 1 = 4 – 1 = 3 พนั ธะ

และ อะตอมกลางคือ O มีจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนก่อนเกิดพนั ธะ 6 ตวั

อะตอมที่เกาะอะตอมกลางคือ H 3 อะตอม มีแขนอะตอมละ 1 แขน รวมเป็น 3 แขน

โมเลกลุ น้ีมีประจุ +1 แสดงวา่ เสียอิเลก็ ตรอนไป 1 ตวั

จึงไดว้ า่

จานวนอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียวรอบอะตอมกลาง

จ.น.เวเลน ตอ์ เิ ลก็ ตรอนอะตอมกลาง  จ.น.แขนอะต อมที่เกาะอะตอมกลาง    จ.น.อเิ ลก็ ตรอนที่รบั หรือ 
2   จ.น.อเิ ลก็ ตรอนท่ีเสีย 
=
= 6 23 1
= 1 คู่

14

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

ฝึ กทา จงหาอะตอมกลาง จานวนอิเลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะ และอิเลก็ ตรอนคูโ่ ดดเด่ียวรอบอะตอม

กลางของโมเลกุลโคเวเลนตต์ ่อไปน้ี

โมเลกลุ อะตอมกลาง จานวนพนั ธะ จ.น.อเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดยี่ วรอบอะตอมกลาง ( คู่ )

PCl3
BF3
H2O
CO2
CH2O
SO3

ฝึ กทา จงหาอะตอมกลาง จานวนอิเลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะ และอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวรอบอะตอม

กลางของโมเลกลุ โคเวเลนตต์ ่อไปน้ี

โมเลกลุ อะตอมกลาง จานวนพนั ธะ จ.น.อเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดย่ี วรอบอะตอมกลาง ( คู่ )

CSPNOOOOCO443N2332––––
HN3HO4++
I3–

O3

12(แนว En) กาหนดธาตุ X , Y และ Z มีเลขอะตอม 9 , 17 และ 18 ตามลาดบั

จงพิจารณาสารประกอบตอ่ ไปน้ี

ก. XF3 ข. YF5 ค. ZF2
สารประกอบในขอ้ ใดบา้ งท่ีอะตอมกลางมีจานวนอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียว 2 คู่

1. ก. เทา่ น้นั 2. ค. เท่าน้นั 3. ก. และ ข. 4. ก. และ ค.

15

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

2.1.3.2 การเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์

การเรียกช่ือสารประกอบโคเวเลนตใ์ หใ้ ชอ้ หลกั การดงั น้ี

1) ใหอ้ า่ นชื่อธาตุท่ีอยขู่ า้ งหนา้ ก่อนแลว้ ตามดว้ ยช่ือของอีกธาตุหน่ึงโดยเปล่ียนเสียง

พยางคท์ า้ ยเป็นไอด์ (ide)

2) ใหบ้ อกจานวนอะตอมของธาตุแต่ละธาตุดว้ ยจานวนในภาษากรีก ไดแ้ ก่

หน่ึง = โมโน (mono) สอง = ได (di) สาม = ไตร (tri)

ส่ี = เตตระ (tetra) หา้ = เพนตะ (penta) หก = เฮกซะ (hexa)

เจด็ = เฮปตะ (hepta) แปด = ออกตะ (octa) เกา้ = โนนะ (nona)

สิบ = เดคะ (deca)

3) ในกรณีของธาตุที่นาหนา้ หากมีจานวนอะตอมเพยี งหน่ึงอะตอม ไมต่ อ้ งบอก

จานวนอะตอมธาตุน้นั แต่สาหรับธาตุท่ีตามหลงั แมว้ า่ จะมีเพียงหน่ึงอะตอมจะตอ้ งบอกดว้ ย

ตัวอย่างการอ่านช่ือสารประกอบโคเวเลนต์

สูตร ชื่อ

BF3 โบรอนไตรฟูออไรด์
OF2 ออกซิเจนไดฟูออไรด์
NI3 ไนโตรเจนไตรไอโอไดด์
CO2 คาร์บอนไดออกไซด์
CO คาร์บอนมอนอกไซด์

N2O ไดไนโตรเจนมอนอกไซด์
P4O10 เตตระฟอสฟอรัสเดคะออกไซด์

2.1.4 พนั ธะโคออร์ดเิ นตโคเวเลนต์ และแนวคดิ เกย่ี วกบั เรโซแนนท์

พนั ธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ คือพนั ธะท่ีเกิดจากการใชอ้ ิเล็กตรอนร่วมกนั แต่อิเลก็ ตรอนคู่ท่ี

ใชร้ ่วมกนั เป็นอิเล็กตรอนของอะตอมใดอะตอมหน่ึงเพยี งฝ่ ายเดียว

ตวั อยา่ งเช่นการเกิดพนั ธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนตข์ องซลั เฟอร์ไดออกไซด์ ( SO2 ) เม่ือพิจารณา
ส่วนของ SO จะพบว่า S กบั O จะสร้างพนั ธะคู่ต่อกนั โดย S
O .S.:
จะเหลืออิเลก็ ตรอนคู่โดดเดี่ยว 2 คู่ เม่ือ O อีกตวั หน่ึง เขา้ มา

รวมตวั ดว้ ย O ตวั น้ีจะเขา้ มาใชอ้ ิเลก็ ตรอนคูโ่ ดดเด่ียวของ S O

ร่วมกบั S 1 คู่ โดยไม่มีการนาอิเลก็ ตรอนของตวั O เองมาร่วม

ดว้ ยตรงน้ีจะเกิดเป็นพนั ธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ เช่นกนั

16

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

ฝึ กทา จงเขียนสูตรโครงสร้างของสารต่อไปน้ี

SO3 N2O O3 NH3BF3

ฝึ กทา จงเขียนสูตรโครงสร้างของสารตอ่ ไปน้ี HNO3 H2CO3
HClO4 H2SO4

หมายเหตุ : การเขียนสูตรโครงสร้างของสารประกอบออกซิเจน ใหเ้ อาอะตอมออกซิเจนไปล้อมรอบ
อะตอมกลางแลว้ ใส่แขนที่อะตอมกลางจบั กบั O ทีละตวั จนกระทงั่ เวเลนซ์อิเล็กตรอน อะตอมกลาง
ครบ 8 หากยงั เหลือ O ท่ียงั ไมไ่ ดใ้ ส่แขน O เหล่าน้นั จะเกิดพนั ธะโคออร์ดิเนต โคเวเลนต์ และหาก
เป็นกรดออกซี ( กรดที่มี O อยใู่ นโมเลกลุ ) ใหน้ าแขนขา้ งหน่ึงของ O จบั อะตอมกลาง ส่วนแขนอีก
ขา้ งใหน้ าไปจบั กบั H

ฝึ กทา จงเขียนสูตรโครงสร้างของสารต่อไปน้ี CO32 NO3
S22 CO

รีโซแนนซ์ คือปรากฏการณ์ที่ไมส่ ามารถเขียนสูตรโครงสร้างเพยี งสูตรหน่ึงสูตรใดแทนสมบตั ิ
ของโมเลกุลสารบางชนิด

ตวั อย่างเช่น การเขียนสูตรโครงสร้างของ SO2 อาจเขียนได้ 2 รูปแบบ ไดแ้ ก่
รูปแบบท่ี 1 S รูปแบบท่ี 2 S

OO OO

17

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

โครงสร้างท้งั สองรูปแบบน้ีจะประกอบไปดว้ ยพนั ธะเดี่ยว และพนั ธะคู่อยา่ งละ 1 พนั ธะ ซ่ึง

ตามปกติแลว้ น้นั พนั ธะคู่จะมีพลงั งานพนั ธะมากกวา่ และความยาวพนั ธะนอ้ ยกวา่ พนั ธะเด่ียว แต่จาก

การทดลองพบวา่ พนั ธะท้งั สองของ SO2 จะมีพลงั งานและความ S
ยาวพนั ธะเทา่ กนั ท้งั น้ีเป็นเพราะมีอิเลก็ ตรอน 1 คูใ่ นพนั ธะคู่ จะวง่ิ OO
ไปมาระหวา่ งท้งั สองขา้ ง จึงทาใหท้ ้งั สองขา้ งเสมือนมีพนั ธะอยู่ 1.5

พนั ธะเท่ากนั จึงมีสมบตั ิเหมือนกนั การเขียนสูตรโครงสร้างของ SO2 จึงไม่อาจเขียนรูปแบบหน่ึง
แบบใดเพยี งแบบเดียวดงั ท่ีไดก้ ล่าวมาแลว้ น้นั แตอ่ าจเขียนเป็น

S S หรือ S
OO OO OO

โครงสร้างแบบน้ีเรียกโครงสร้างแบบเรโซแนนซ์ ซ่ึงเป็นโครงสร้างที่มีเสถียรภาพเพิม่ ข้ึน

ตวั อยา่ งโครงสร้างเรโซแนนซ์ในโมเลกลุ หรือไอออนอื่นๆ เช่น
ไนโตรเจนไดออกไซด์ ( NO2 )

N N N
OO OO OO

ไนเตรตไอออน ( NO3 )

– – – หรือ O–
O O O
N
NN N OO
OO
OO OO

เบนซีน ( C6H6 ) H หรือ
H CH
H
H CH CC

CC CC
H CH
CC
H CH H

H

18

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

13. ความยาวพนั ธะของ S กบั O ในโมเลกลุ SO กบั SO2 อยา่ งไหนมีความยาวมากกวา่ กนั
1. SO > SO2 2. SO2 > SO 3. SO = SO2 4. เปรียบเทียบกนั ไม่ได้

2.1.5 กฏออกเตต
กฎออกเตต กล่าววา่ “ อะตอมของธาตุต่างๆ ท่ีเขา้ ทาปฏิกิริยากนั จะมีการเปล่ียนแปลงจานวน

อิเล็กตรอนเพ่ือที่จะใหม้ ีการจดั เรียงอิเลก็ ตรอนแบบเดียวกบั แก๊สเฉื่อย คือมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน ครบ 8

( ยกเวน้ H ครบ 2 ) ”

อยา่ งไรกต็ ามโมเลกุลบางอยา่ งเวเลนซ์อิเล็กตรอนของอะตอมกลางอาจมากกวา่ หรือนอ้ ยกวา่ 8

ก็ได้ ซ่ึงไดแ้ ก่

1. ธาตุท่ีมีวาเลนส์อิเล็กตรอนน้อยกว่า 4 คือ Be และ B เม่ือเกิดพนั ธะอาจจะมีเวเลนซ์

อิเล็กตรอนนอ้ ยกวา่ 8

เช่น BeCl2 ( Cl :Be : Cl ) จะเห็นวา่ Be มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 4 ตวั
หรือ
F

....BF3 ( B : F ) จะเห็นวา่ B มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 6 ตวั
F

2. ธาตุที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอนมากกวา่ 4 และอยใู่ นคาบท่ี 3 ข้ึนไปในตารางธาตุ เม่ือเกิดพนั ธะ

อาจมีวาเลนซ์อิเลก็ ตรอนมากกวา่ 8

เช่น PCl5 SF6

Cl F
Cl P Cl
FF
Cl Cl S

P มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 10 ตวั FF

F มีเวเลนซ์อิเลF็กตรอน 12 ตวั

ควรทราบเพม่ิ เตมิ
1. สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ( สารประกอบของ C กบั H ) และโมเลกุลกรดออกซี อะตอม

กลางจะมีจานวนอิเลก็ ตรอนเป็นไปตามกฏออกเตตเสมอ
2. อะตอม Be , B , P , S , ธาตุหมู่ 8A เม่ือเป็นอะตอมกลางมกั ไม่เป็นไปตามกฏออกเตต

เช่น BeCl2 , BF3 , PCl5 , SF6 , XeF4 เป็นตน้

19

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

14. สารประกอบในขอ้ ใดท่ีมีการจดั เรียงตวั ของอิเลก็ ตรอนเป็นไปตามกฏออกเตตท้งั หมด

1. H2 , BF3 , CS2 2. N2 , Br2 , PCl5
3. PBr3 , CH2O , OF2 4. H2O , O2 , BeH2

2.1.6 พลงั งานพนั ธะ

ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีหน่ึงๆ น้นั ปกติแลว้ จะตอ้ งมีการสลายพนั ธะของสารต้งั ตน้ แลว้ จึงมีการ

สร้างพนั ธะของผลิตภณั ฑ์ การสลายพนั ธะจะเป็นกระบวนการท่ีมีการดูดพลงั งานเขา้ ไปเพอ่ื ใชท้ าลาย

แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาคใหแ้ ตกออกจากกนั ส่วนการสร้างพนั ธะจะเป็นกระบวน การท่ีมีการคาย

พลงั งานออกมา

สาหรับพลงั งานรวมของปฏิกิริยาอาจเป็นแบบดูดพลงั งานเขา้ หรือคายพลงั งานออกกไ็ ด้ ข้ึนอยู่

กบั วา่ พลงั งานท่ีดูดหรือคาย อยา่ งไหนจะมากกวา่ กนั เราสามารถหาพลงั งานรวมของปฏิกริยาไดด้ งั

ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี

ตัวอย่าง กาหนดพลงั งานพนั ธะดงั น้ี

H–H = 436 kJ/mol I–I = 151 kJ/mol H–I = 298 kJ/mol

จงหาวา่ การเปลี่ยนแปลงต่อไปน้ี ดูดหรือคายพลงั งานเทา่ ใด

แนวคดิ H2(g) + I2(g)  2 HI (g)

ข้นั 1 เขียนสูตรโครงสร้างของสารแตล่ ะตวั H2(g) + I2(g)  2 H I (g)
แลว้ หาจานวนพนั ธะในแตล่ ะโมเลกลุ ( H–H ) + ( I–I ) 2 ( H–I )

ข้นั 2 แทนคา่ พลงั งานพนั ธะแต่ละพนั ธะ

โดยพลงั งานท่ีดูดไปใชส้ ลายสารต้งั ตน้ เป็น + + 436 + 151 2 ( –298 )
พลงั งานท่ีคายเพื่อสร้างพนั ธะในผลิตภณั ฑเ์ ป็น –

ข้นั 3 หาพลงั งานรวมของปฏิกริยา โดยนาค่า H = +436 + 151 + 2 ( –298 )
พลงั งานท้งั หมดมาบวกกนั = +436 + 151 – 596

H = – 9 กิโลจูล

20

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

พลงั งานรวมของปฏิกิริยา ( H ) มีค่าเป็นลบแสดงวา่ เป็นการคายพลงั งาน

นนั่ คือปฏิกิริยาน้ีจะมีการคายพลงั งาน 9 กิโลจูล

( คือการสลาย H2 1 โมล I2 1 โมล แลว้ สร้าง HI 2 โมล รวมแลว้ คายพลงั งาน 9 กิโลจูล )

15. กาหนดพลงั งานพนั ธะใหด้ งั น้ี
H – H = 436 kJ / mol F – F = 159 kJ/mol H – Fl = 567 kJ / mol

จงหาวา่ การเปลี่ยนแปลงต่อไปน้ี ดูดหรือคายพลงั งานเท่าใด

H2(g) + F2(g)  2 HF (g)
1. ดูดพลงั งานเท่ากบั 539 kJ 2. คายพลงั งานเทา่ กบั 539 kJ

3. ดูดพลงั งานเท่ากบั 629 kJ 4. คายพลงั งานเท่ากบั 629 kJ

16. กาหนด พลงั งานพนั ธะดงั น้ี

H–H = 436 kJ/mol NºN = 945 kJ/mol N–H = 391 kJ/mol

จงหาวา่ การเปล่ียนแปลงต่อไปน้ีดูดหรือคายพลงั งานเทา่ ใด

2 NH3  N2 + 3 H2 ในสภาวะแกส๊
1. ดูดพลงั งาน 93 kJ 2. คายพลงั งาน 93 kJ

3. ดูดพลงั งาน 186 kJ 4. คายพลงั งาน 186 kJ

21

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

17. จงหาพลงั งานในหน่วยกิโลจูล ท่ีใชใ้ นการเผาไหมแ้ กส๊ มีเทน ( CH4 ) 1 โมล ตามสมการ
CH4(g) + 2 O2(g)  CO2(g) + 2 H2O(g)

กาหนด พลงั งานพนั ธะ

C–H = 413 kJ/mol , OO = 498 kJ/mol , CO = 804 kJ/mol , H–O = 463 kJ/mol

1. ดูดพลงั งาน 406 kJ 2. คายพลงั งาน 406 kJ

3. ดูดพลงั งาน 812 kJ 4. คายพลงั งาน 812 kJ

18. ปฏิกิริยาตอ่ ไปน้ีจะมีการดูดหรือคายพลงั งานกี่กิโลจูล

CH4(g) + Cl2(g)  CH3Cl (g) + HCl (g)
กาหนด พลงั งานพนั ธะ

C–H = 413 kJ/mol , Cl–Cl = 243 kJ/mol , C–Cl = 327 kJ/mol , H–Cl = 431 kJ/mol

1. ดูดพลงั งาน 102 kJ 2. คายพลงั งาน 102 kJ

3. ดูดพลงั งาน 204 kJ 4. คายพลงั งาน 204 kJ

19. การสลายพนั ธะในโมเลกลุ CCl4 1 โมล ออกเป็นอะตอมเดี่ยว ตอ้ งใชพ้ ลงั งานกี่กิโลจูล
กาหนด พลงั งานพนั ธะ C–Cl = 327 kJ/mol

22

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

20(แนว มช) กาหนด คา่ พลงั งานพนั ธะเฉลี่ยระหวา่ งอะตอมคูต่ า่ ง ๆ ดงั ตาราง

พนั ธะ พลงั งานพนั ธะ(kJ/mol)

C–H 413

H–O 463

C=O 804

ถา้ ตอ้ งการสลายโมเลกุลของฟอร์มาลดีไฮด์ (CH2O) 2 โมล ออกเป็นอะตอมอยา่ งสมบูรณ์จะตอ้ ง
ใชพ้ ลงั งานก่ีกิโลจูล

21. ปฏิกิริยา HF (g) + Cl2 (g)  HCl (g) + ClF (g) เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน 120 กิโลจูล
กาหนดให้ พลงั งานที่สลายพนั ธะ และที่ไดจ้ ากการเกิดพนั ธะของอะตอมคู่ตา่ ง ๆ เป็นดงั น้ี

HF = 567 kJ/mol HCl = 431 kJ/mol ClCl = 242 kJ/mol

จงคานวณพลงั งานพนั ธะของ Cl–F เป็น กิโลจูล/โมล

2.1.7 รูปร่างของโมเลกุล
การทานายรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนตเ์ ราอาจใชแ้ บบจาลองการผลกั กนั ระหวา่ งคู่อิเล็กตรอนท่ีอยู่

ในวงเวเลนซ์ ( Valence Shell Electron Pair Repulsion model เขียนยอ่ เป็น VSEPR ) โดยพิจารณาจาก
จานวนเวเลนซ์อิเลก็ ตรอนของอะตอมกลาง ซ่ึงอิเลก็ ตรอนเหล่าน้ีจะอยหู่ ่างกนั ใหม้ ากที่สุดเพือ่ ลดแรง
ผลกั กนั ระหวา่ งคู่อิเลก็ ตรอน รูปร่างของโมเลกลุ อาจแบง่ พจิ ารณาไดด้ งั น้ี

23

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

จานวนเวเลนซ์ จานวน จานวน รูปร่างโมเลกุล มุมระหวา่ ง
อิเลก็ ตรอนรอบ อิเลก็ ตรอน พนั ธะ
อะตอมกลาง คูร่ ่วมพนั ธะ อิเลก็ ตรอน สูตร
คูโ่ ดดเด่ียว ทวั่ ไป 180o
ท้งั หมด (คู)่ (คู่) 120o
(คู่)
2 2
3 0 AX2 เส้นตรง
3
0 AX3 สามเหล่ียม แบนราบ

3 2 1 AX2E รูปมุมงอ นอ้ ยกวา่ 120o
หรือตวั V 109.5o

4 4 0 AX4 ทรงสี่หนา้

4 3 1 AX3E พรี ะมิดฐาน นอ้ ยกวา่ 109.5o
สามเหล่ียม

4 2 2 AX2E2 รูปมุมงอ นอ้ ยกวา่ 109.5o
หรือตวั V

5 5 0 AX5 พรี ะมิดคูฐ่ าน 90o และ 120o
สามเหล่ียม

5 4 1 AX4E Irregular 90o
และนอ้ ยกวา่ 120o
Tetrahedral

5 3 2 AX3E2 รูปตวั T 90o และ 180o

5 2 3 AX2E3 เส้นตรง 180o

24

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 6 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

6 0 AX6 ทรง แปดหนา้ 90o

6 5 1 AX5E พีระมิด
ฐานส่ีเหลี่ยม

6 4 2 AX4E2 สี่เหล่ียม
แบนราบ

22. โมเลกุลโคเวเลนตท์ ่ีมีรูปร่างเป็นรูปสามเหล่ียมแบนราบ (Trigonal plane) คือ

1. BeF2 2. PH3 3. BCl3 4. CH4

23. สารในขอ้ ใดมีรูปร่างโมเลกุลเป็นรูปทรงส่ีหนา้

1. BF3 2. SO3 3. NO 3 4. POCl3

24. โมเลกุลโคเวเลนตข์ องสารในขอ้ ใดตอ่ ไปน้ีมีรูปร่างเป็นรูปพีระมิดฐานสามเหล่ียม

1. BrF4 2. ICl4 3. XeF4 4. ClO 3

25. สารคู่ใดมีรูปร่างเป็นรูปมุมงอ

1. ICl2 2. H2S 3. CO2 4. BeCl2
4. H2O
26. สารคูใ่ ดมีรูปร่างเป็นรูปเส้นตรง 4. SO3

1. ICl2 2. XeF4 3. CCl4

27(แนว มช) โมเลกลุ ขอ้ ใดมีรูปร่างตา่ งไปจากโมเลกุลอ่ืน

1. BCl3 2. NCl3 3. HCHO

25

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

28. มุมระหวา่ งพนั ธะในโมเลกุลใดมีคา่ มากท่ีสุด 4. BF3

1. H2S 2. NH3 3. CH4

29. จงเรียงมุมของพนั ธะไฮโดรเจนกบั อะตอมกลาง จากนอ้ ยไปมาก

1. CH4 < NH3 < H2O 2. H2O < CH4 < NH3
3. NH3 < CH4 < H2O 4. H2O < NH3 < CH4

2.1.8 สภาพข้วั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์

เม่ืออะตอมของธาตุต่างชนิดซ่ึงมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตี (EN) ต่างกนั เขา้ มาสร้างพนั ธะโคเว-

เลนตก์ นั อะตอมที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวติ ี (EN) สูงกวา่ จะดึงดูดอิเล็กตรอนคู่ร่วมพนั ธะเขา้ ใกลต้ วั ทา

ให้อะตอมน้ีมีสภาพเป็ นลบน้อยๆ ส่วนอะตอมที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตี (EN) ต่ากวา่ จะถูกดึงอิล็ก-

ตรอนคู่ร่วมพนั ธะออกห่างตวั ทาใหอ้ ะตอมน้ีมีสภาพเป็นบวกนอ้ ยๆ พนั ธะแบบน้ีเรียกเป็นพนั ธะโคเว

เลนตม์ ีข้วั เช่นในพนั ธะของ H – F เน่ืองจากอะตอม F r+ r–
มีค่าอิเลก็ โทรเนกาติวติ ี (EN) สูงกวา่ อะตอม H ดงั น้นั F
จะดึงอิเลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะเขา้ ใกลต้ วั จึงทาใหอ้ ะตอม F มี HF

สภาพเป็ นลบนอ้ ยๆ ส่วนอะตอม H จะมีสภาพเป็ นบวกน้อยๆ เราอาจใชล้ ูกศรเป็ นสัญลกั ษณ์แทน

พนั ธะโคเวเลนต์มีข้วั โดยใช้จุดเร่ิมตน้ ลูกศรแทนข้วั บวกและปลายลูกศรแทนข้วั ลบดงั รูป ส่วน

ความแรงของข้วั จะข้ึนกบั ความแตกต่างของค่าอิเล็กโทรเนกาติวติ ี (EN) ของอะตอมคู่ร่วมพนั ธะ ถา้

แตกตา่ งกนั มากข้วั จะแรง ถา้ แตกตา่ งกนั นอ้ ยข้วั จะนอ้ ยดว้ ย

30. กาหนดค่าอิเลก็ โทรเนกาติวติ ี (EN) ของธาตุตา่ งๆ ดงั น้ี

H = 2.2 , C = 2.5 , S = 2.6 , N = 3.1 , Cl = 3.2 , O = 3.5 , F = 4.0

ขอ้ ใ1ด. แFสด+งเคร่ือC–งlหมายแสด2ง. ขC้วั บ+นพนั–Hธะไดถ้ ูกตอ้ 3ง. S + –H 4. C + –Cl

26

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

31. กาหนดค่าอิเล็กโทรเนกาติวติ ี (EN) ของธาตุตา่ งๆ ดงั น้ี

B = 2.0 , C = 2.5 , N = 3.1 , Cl = 3.2 , O = 3.5 , F = 4.0

โมเลกุลใดประกอบดว้ ยพนั ธะที่มีข้วั แรงที่สุด

1. OF2 2. NF3 3. BF3 4. O2

หลกั การพจิ ารณาความมขี ้วั โดยรวมของโมเลกุลโคเวเลนต์
กรณที ่ี 1 โมเลกุลมีพนั ธะเดียว

ถา้ อะตอมที่ร่วมพนั ธะเป็นอะตอมชนิดเดียวกนั พนั ธะจะไมม่ ีข้วั โมเลกลุ จะไมม่ ีข้วั ดว้ ย
ถา้ อะตอมท่ีร่วมพนั ธะเป็นอะตอมต่างกนั พนั ธะจะมีข้วั และโมเลกลุ จะมีข้วั ดว้ ย

เช่น H  H = พนั ธะไมม่ ีข้วั โมเลกลุ ไม่มีข้วั ดว้ ย
H  F = พนั ธะมีข้วั โมเลกลุ มีข้วั ดว้ ย

กรณที ี่ 2 โมเลกุลมีหลายพนั ธะ
เบ้ืองตน้ ใหพ้ จิ ารณาตามข้นั ตอนต่อไปน้ี
ข้นั ท่ี 1 พจิ ารณาอะตอมท่ีลอ้ มรอบอะตอมกลาง ถา้ อะตอมที่ลอ้ มรอบน้นั แตกต่างกนั

โมเลกุลพวกน้ีมกั จะมีข้วั เช่น COCl2 อะตอมกลางคือ C อะตอมรอบขา้ งมี O กบั Cl ซ่ึง
แตกต่างกนั โมเลกุลจึงมีข้วั

ข้นั ท่ี 2 ถา้ อะตอมท่ีลอ้ มรอบน้นั เหมือนกนั หมด ใหด้ ูจานวนพนั ธะและอิเลก็ ตรอนคู่โดด
เด่ียว ถา้ ไมม่ ีอิเลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียว หรือ 2 พนั ธะกบั 3 คูโ่ ดดเด่ียว หรือ 4 พนั ธะกบั 2 คู่โดด
เดี่ยว ( *  0 หรือ 2  3 หรือ 4  2 ) โมเลกลุ พวกน้ีจะไม่มีข้วั นอกเหนือจากน้ีโมเลกุลมกั จะ
มีข้วั เช่น

PH3 อะตอมกลางคือ P อะตอมรอบขา้ งมี H เหมือนกนั หมด
และมี 3 พนั ธะ 1 อิเลก็ ตรอนคูโ่ ดดเดี่ยว โมเลกุลจึงมีข้วั

XeCl2 อะตอมกลางคือ Xe อะตอมรอบขา้ งมี Cl เหมือนกนั หมด
และมี 2 พนั ธะ 3 อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว โมเลกลุ จึงไม่มีข้วั

XeCl4 อะตอมกลางคือ Xe อะตอมรอบขา้ งมี Cl เหมือนกนั หมด
และมี 4 พนั ธะ 2 อิเล็กตรอนคูโ่ ดดเดี่ยว โมเลกุลจึงไม่มีข้วั

27

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

CH4 อะตอมกลางคือ C อะตอมรอบขา้ งมี H เหมือนกนั หมด
และเน่ืองจากไมม่ ีอิเลก็ ตรอนคูโ่ ดดเด่ียว โมเลกุลจึงไม่มีข้วั

เหตุที่บางโมเลกุลท่ีมีหลายพนั ธะแต่โมเลกุลไม่มีข้วั น้นั เป็นเพราะข้วั ของพนั ธะจะหกั ลา้ ง

กนั หมดพอดี เช่น

BeCl2 r– r+ r+ r– พนั ธะยอ่ ยมีข้วั แต่โมเลกลุ ไม่มีข้วั เพราะข้วั หกั ลา้ งกนั หมด

Cl Be Cl

F

BF3 B พนั ธะยอ่ ยมีข้วั แต่โมเลกลุ ไม่มีข้วั เพราะข้วั หกั ลา้ งกนั หมด

FF

หากอะตอมรอบอะตอมกลางไม่เหมือนกนั หรือจานวนพนั ธะและจานวนอิเลก็ ตรอนคูโ่ ดด
เดี่ยวแตกตา่ งจากท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ และข้วั ของพนั ธะยอ่ ยไม่สามารถหกั ลา้ งกนั หมดได้ โมเลกุลจะมี
ข้วั เช่น

OF2 O พนั ธะยอ่ ยมีข้วั และโมเลกลุ มีข้วั

FF

ฝึ กทา โมเลกุลสารตอ่ ไปน้ีเป็นโมเลกลุ ที่มีข้วั หรือไม่
CH3Cl , CH2O , COCl2 , CHN , CH4 , BeCl2 , BF3 , XeF2 , XeF4 , NH3 , PCl3

32. จากโมเลกุลสารตอ่ ไปน้ี : H2 , O2 , F2 , HF , CHCl3 , CO2 , SiH4 , PCl5 , SF6 , H2O
สารขอ้ ใดมีโมเลกลุ ไมม่ ีข้วั ท้งั หมด

1. HF , SiH4 , PCl5 , SF6 2. CO2 , SiH4 , PCl5 , H2O
3. H2 , O2 , F2 , CHCl3 4. H2 , O2 , F2 , CO2

28

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

33. ความเป็นข้วั ของสารประกอบ CH3F , NF3 , BCl3 และ BrCl เรียงลาดบั ดงั น้ี
1. ไม่มีข้วั , มีข้วั , มีข้วั , ไมม่ ีข้วั 2. มีข้วั , มีข้วั , ไม่มีข้วั , ไม่มีข้วั

3. มีข้วั , มีข้วั , ไม่มีข้วั , มีข้วั 4. มีข้วั หมดทุกตวั

34. โมเลกลุ ในขอ้ ใดต่อไปน้ี เป็นโมเลกุลมีข้วั 3. I3–

1. XeF2 2. XeF4 4. SF4

35. โมเลกลุ โคเวเลนตใ์ นขอ้ ใดเป็นโมเลกลุ มีข้วั ทุกชนิด

1. CO2 , H2O 2. BF3 , HF 3. H2O , CaCl2 4. NH3 , CHCl3

36(แนว En) ขอ้ ใดเป็นโมเลกุลไม่มีข้วั 2. SF6 และ BCl3
1. CCl4 และ CH3Cl 4. HCN และ CO2
3. BCl3 และ NCl3

2.1.9 แรงยดึ เหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ โคเวเลนต์
แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ โคเวเลนตม์ ี 2 ประเภท ไดแ้ ก่

1. แรงแวนเดอร์วาลส์ 2. พนั ธะไฮโดรเจน

1. แรงแวนเดอร์วาลส์

แรงแวนเดอร์วาลส์มี 3 ประเภทยอ่ ย ไดแ้ ก่

29

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

1.1 แรงดงึ ดูดระหว่างโมเลกลุ มีข้ัว

เมื่อโมเลกุลมีข้วั หลายๆ โมเลกุลมาอยรู่ วมกนั + –+ –
แต่ละโมเลกุลจะมีการจดั เรียงตวั โดยโมเลกุลหน่ึงจะหนั ข้วั –

บวกของตวั เองเขา้ หาข้วั ลบของโมเลกลุ อื่น ท้งั น้ีเพราะข้วั +

ไฟฟ้าตา่ งกนั จะมีแรงดึงดูดซ่ึงกนั และกนั แรงดึงดูดระหวา่ งข้วั ไฟฟ้าตรงน้ีจะกลายเป็นแรงยดึ เหน่ียว

ระหวา่ งโมเลกุลท่ีมีข้วั เรียกแรงน้ีอีกอยา่ งวา่ แรงไดโพล-ไดโพล

1.2 แรงดึงดูดระหว่างโมเลกลุ มขี ้วั กบั โมเลกุลไม่มขี ้วั

เม่ือโมเลกุลที่มีข้วั มารวมตัวอยู่กับโมเลกุลที่ไม่มีข้ัว โมเลกุลมีข้ัวจะเหนี่ยวนาให้

โมเลกุลไม่มีข้วั กลบั กลายเป็ นมามีข้วั นอ้ ยๆ ทาให้เกิดแรงดึงดูดได้ แรงดึงดูดตรงน้ีจะกลายเป็ นแรง

ดึงดูดระหวา่ งโมเลกุลอีกแบบหน่ึง เรียกช่ือแรงน้ีอีกอยา่ งว่า แรงไดโพล-นอนไดโพล ตวั อยา่ งเช่น

แรงดึงดูดระหวา่ งโมเลกลุ O2 กบั H2O ซ่ึงจะเป็นแรงท่ีทาให้ O2 ละลายลงไปในน้าได้

1.3 แรงดึงดูดระหว่างโมเลกลุ ไม่มขี ้ัว

ปกติแลว้ อิเล็กตรอนคูร่ ่วมพนั ธะในโมเลกุลที่ไม่มีข้วั จะมีการสน่ั สะเทือนอยตู่ ลอดเวลา

และบางคร้ังอิเลก็ ตรอนน้นั อาจโนม้ เอียงเขา้ ใกลอ้ ะตอมหน่ึงอะตอมใด ทาใหโ้ มเลกลุ น้นั กลายเป็นมี

ข้วั ชว่ั คราว จากน้นั โมเลกลุ ดงั กล่าวจะเหนี่ยวนาทาใหโ้ มเลกลุ ใกลเ้ คียงมีข้วั ชว่ั คราวตามกนั ไป และ

ก่อใหเ้ กิดแรงดึงดูดระหวา่ งโมเลกลุ เรียกแรงน้ีอีกอยา่ งวา่ แรงลอนดอน

2. พนั ธะไฮโดรเจน

พนั ธะไฮโดรเจนเป็ นแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุลซ่ึงเกิดกบั โมเลกุลท่ีมีพนั ธะโคเวเลนต์

ของอะตอม H–O หรือ H–F หรือ H–N อยู่ภายในโมเลกุล ท้งั น้ีเพราะอะตอม H กบั O หรือ F

หรือ N มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีแตกต่างกนั มากจึงทาให้มีความเป็ นข้วั อยา่ งแรง เม่ือโมเลกุลที่มี

พนั ธะเหล่าน้ีอยภู่ ายในมาอยรู่ วมกนั จะมีการหนั ข้วั บวกของโมเลกุลหน่ึงไปหาข้วั ลบของอีกโมเลกุล

หน่ึงแลว้ เกิดเป็ นแรงดึงดูดระหวา่ งโมเลกุลอยา่ งแรงกวา่ แรงแวนเดอร์วาลส์ เรียกแรงดึงดูดระหวา่ ง

โมเลกลุ เช่นน้ีวา่ พนั ธะไฮโดรเจน

โปรดระวงั ว่าแรงดึงดูดระหว่างอะตอม H กบั O หรือ F หรือ N ในโมเลกุลจะเป็ น

พนั ธะโคเวเลนต์ ไม่ใช่พนั ธะไฮโดรเจน แต่แรงดึงดูดระหวา่ ง H กบั โมเลกุลอ่ืนภายนอกโมเลกุลถึง

จะเรียกเป็นพนั ธะไฮโดรเจน F

F H

H H

F

30

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

O พนั ธะโคเวเลนต์ O HNH
H HH
H

พนั ธะไฮโดรเจน H H
( แรงยึดเหน่ียวโมเลกุล )
O พนั ธะไฮโดรเจน N

H HNH H
H H

H

รูปพนั ธะไฮโดรเจนในโมเลกลุ HF H2O และ NH3

ตวั อยา่ งสารท่ีเกิดพนั ธะไฮโดรเจนได้ เช่น HF , H2O , NH3 , CH3OH , HCOOC

สารที่มีพนั ธะไฮโดรเจนจะมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงกวา่ สารอ่ืนๆ ท่ีมวลโมเลกลุ

เทา่ กนั หรือใกลเ้ คียงกนั มาก

100 H2O

HF H2Se H2te
SbH3
0 H2S AsH3 HI

NH3 HCl SnH4
HBr
–100
PH3 GeH4
SiH4

–200 CH4

2345 เลขท่ีคาบ

เปรียบเทยี บแรงดึงดูด แรงวนั เดอร์วาส์ล : พนั ธะไฮโดรเจน : พนั ธะโควาเลนท์

1 : 10 : 100

37. แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกลุ ของสารใดเป็นชนิดแรงลอนดอน

1. H2O 2. HCN 3. N2 4. NaCl

31

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

38. สารประกอบต่อไปน้ี ขอ้ ใดที่โมเลกลุ ยดึ เหน่ียวกนั ดว้ ยแรงยดึ เหน่ียวอยา่ งเดียวกนั

1. H2S , NO และ CHCl3 2. O2 , N2 และ CHCl3
3. CH4 , HF และ NH3 4. Ne , CCl4 และ H2S

39. สารใดไม่มีพนั ธะไฮโดรเจน

1. H2S 2. NH3 3. CH3COOH 4. CH3OH

40(แนว En) สารประกอบ 2 ชนิดในขอ้ ใด ที่แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ มีค่ามากท่ีสุด

1. HI , CCl4 2. HCl , SiH4 3. CH4 , PH3 4. H2O , HF

41(แนว มช) สารประกอบของคาร์บอนตอ่ ไปน้ี สารใดมีจุดเดือดต่าสุด 4. HCOOH
1. CH3CH2CH2CH3 2. CH3CH2OH 3. CH3CH2COOH

42(แนว มช) A , B , C และ D เป็ นสารท่ีมีมวลโมเลกุลใกลเ้ คียงกนั จุดหลอมเหลว และจุดเดือด

ของ A , B , C ใกลเ้ คียงกนั แต่ D มีค่าสูงกวา่ ทุกตวั D ควรจะเป็นสารตวั ใด

1. CH4 2. NH3 3. O2 4. Ar

32

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

2.1.10 สมบัตขิ องสารประกอบโคเวเลนต์

1. มีจุดหลอมเหลว จุดเดือดต่า เพราะการหลอมเหลวและการเดือดทาลายเฉพาะแรงยึด

เหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ และแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกลุ มีค่านอ้ ย

2. ไม่นาไฟฟ้าท้ังในสถานะของแข็ง ของเหลวและแก๊สหรือเม่ือละลายน้าอยู่ในสภาพ

สารละลายส่วนใหญ่ก็ไม่นาไฟฟ้า เพราะการละลายน้าของสารโคเวเลนตไ์ ม่แตกตวั ออกเป็ นไอออน

ยกเวน้ สารโคเวเลนต์ท่ีโมเลกุลมีสภาพข้วั แรงมาก เช่น HCl HBr Hi HNO3 HClO4 H2SO4

เมื่อละลายน้า นาไฟฟ้าได้

3. โมเลกุลโคเวเลนตท์ ี่มีข้วั จะละลายในโมเลกุลโคเวเลนตท์ ่ีมีข้วั เช่น CH3OH ละลายน้า ได้
ส่วนโมเลกลุ โคเวเลนตท์ ี่ไม่มีข้วั ก็จะละลายในโมเลกุลโคเวเลนตท์ ่ีไมม่ ีข้วั เหมือนกนั เช่น กามะถนั

ละลายไดใ้ น CS2 เป็นตน้

43. โมเลกุลโคเวเลนตม์ กั มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่า แสดงวา่
1. แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอะตอมมีคา่ นอ้ ย
2. แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกลุ มีคา่ นอ้ ย
3. พลงั งานพนั ธะของโคเวเลนตม์ ีค่าต่า
4. แรงแวนเดอร์วาลส์มีคา่ มากแตแ่ รงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอะตอมมีค่านอ้ ย

44. สารประกอบท่ีมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่า ไมน่ าไฟฟ้าขณะหลอมเหลวเกิดจากการรวมตวั
ระหวา่ งธาตุใด
1. ธาตุ X เลขอะตอม = 19 กบั ธาตุ Y เลขอะตอม = 35
2. ธาตุ A เลขอะตอม = 12 กบั ธาตุ B เลขอะตอม = 9
3. ธาตุ C เลขอะตอม = 7 กบั ธาตุ D เลขอะตอม = 17
4. ธาตุ E เลขอะตอม = 20 กบั ธาตุ F เลขอะตอม = 8

33

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

2.1.11 สารโครงร่างผลกึ ตาข่าย

เพชร โครงสร้างของเพชรน้นั อะตอมคาร์บอน

1 อะตอม จะเกิดพนั ธะโควาเลนทก์ บั อะตอมคาร์บอน

ขา้ งๆ 4 อะตอมโดยรอบ การเกิดพนั ธะของคาร์บอน

อะตอมรอบๆ จะกระจายออกไปโดยรอบเรื่อยๆ กลาย

เป็นครงร่างผลึกตาขา่ ยที่มีความแขง็ แรงมาก

แกรไฟต์ ในโครงสร้างแกรไฟต์ อะตอมคาร์บอน
1 อะตอม เกิดพนั ธะโควาเลนทก์ บั คาร์บอนอะตอม
รอบๆ 3 อะตอม ในลกั ษณะ 2 มิติ สานกนั เป็นแผน่
โครงร่างผลึกซอ้ นกนั หลายๆ แผน่ ทาใหแ้ กรไฟตม์ ี
ความเปราะบางแตกออกเป็นแผน่ ได้ และ e ท่ีเหลือ 1
ตวั จะวงิ่ อยรู่ ะหวา่ งแผน่ ส่งผลใหแ้ กรไฟตส์ ามารถนา
ไฟฟ้าไดใ้ นแนวระหวา่ งแผน่ น้ี

ซิลคิ อนไดออกไซด์ (SiO2) หรือ ซิลกิ า ซิลิคอน-
ไดออกไซดเ์ ป็นผลึกโคเวเลนตม์ ีโครงสร้างเป็นผลึกร่าง

ตาข่าย อะตอมของซิลิคอนจดั เรียงตวั เหมือนกบั คาร์

บอนในเพชร แต่มีออกซิเจนคน่ั อยรู่ ะหวา่ งอะตอม
ของซิลิคอนแตล่ ะคู่ ผลึกซิลิคอนไดออกไซดจ์ ึงมีจุด
หลอมเหลวสูงถึง 1730oC และมีความแขง็ สูง ใน

ธรรมชาติพบซิลิคอนไดออกไซดห์ ลายรูป เช่น ควอตซ์

ไตรดีไมต์ และคริสโตบาไลต์ ใชเ้ ป็นวตั ถุดิบในการทา

แกว้ ทาส่วนประกอบของนาฬิกาควอตซ์ ใยแกว้ นาแสง (optical fiber) แบบจาลองโครงสร้าง

ของ SiO2 แสดงไดด้ งั รูปสารประกอบชนิดอ่ืน ๆ ของซิลิคอนท่ีมีโครงสร้างเป็นโครงผลึกร่างตา
ขา่ ย ไดแ้ ก่ ซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) หรือคาร์โบรันดมั มีจุดหลอมเหลวสูงถึง 2700oC และมีความ

แขง็ มาก ใชท้ าเคร่ืองบด เคร่ืองโม่ หินลบั มีด

45. ในโครงสร้างท่ีเป็นผลึกของเพชร อะตอมของคาร์บอนแตล่ ะอะตอมถูกลอ้ มรอบดว้ ยอะตอม
คาร์บอนอื่นๆ กี่อะตอม
1. 2 2. 4 3. 6 4. 8

34

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

2.2 พนั ธะไอออนิก

พันธะไอออนิก คือพนั ธะท่ีเกิดจากแรงดึงดูดทางไฟฟ้าระหว่างไอออนบวกและไอออนลบท่ี
เขา้ มารวมตวั กนั

2.2.1 การเกดิ พนั ธะไอออนิก
พันธะไออนิกเกิดจากการรวมตัวของธาตุโลหะ (ยกเวน้ Be , Sn ) กับอโลหะซ่ึงมีค่า EN

แตกตา่ งกนั มากกวา่ 1.7 โดยโลหะจะเป็นตวั จา่ ยอิเลก็ ตรอนแลว้ กลายเป็นไอออนบวก อโลหะจะเป็น
ตวั รับอิเล็กตรอนแลว้ กลายเป็ นไอออนลบ แลว้ ไอออนบวกและไอออนลบจะจะมีแรงดึงดูดซ่ึงกนั
และกนั เกิดเป็นพนั ธะไอออนิก

ตวั อย่าง การเกิดพนั ธะของสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ ( NaCl )
เม่ือโซเดียม (Na) ซ่ึงเป็ นโลหะหมู่ 1A ทาปฏิกิริยากบั คลอรีน (Cl) ซ่ึงเป็ นอโลหะหมู่ 7A

โซเดียม (Na) จะจ่ายอิเล็กตรอนออกไป 1 ตวั แลว้ กลายเป็ นโซเดียมไอออน (Na+) ส่วนคลอรีน (Cl)
จะรับอิเล็กตรอนเขา้ 1 ตวั แลว้ กลายเป็ นคลอรีนไอออน (Cl–) จากน้นั Na+ กบั Cl– ไอออนซ่ึงมี
ประจุต่างกนั จะมีแรงดึงดูดซ่ึงกนั และกนั ทาให้เขา้ มารวมตวั กนั กลายเป็ นสารประกอบ NaCl แรง
ดึงดูดระหว่างไอออนบวกและลบเช่นน้ีเรียกพันธะไอออนิก สารประกอบที่ได้จะเรียกเป็ น
สารประกอบไอออนิก

ตัวอย่าง การเกิดพนั ธะของสารประกอบแมกนีเซียมออกไซด์ ( MgO )
เมื่อแมกนีเซียม (Mg) ซ่ึงเป็ นโลหะหมู่ 2A ทาปฏิกิริยากบั ออกซิเจน (O) ซ่ึงเป็ นอโลหะหมู่

6A แมกนีเซียม (Mg) จะจ่ายอิเล็กตรอนออกไป 2 ตวั แลว้ กลายเป็ น Mg2+ ไอออน ส่วนออกซิเจน
(O) จะรับอิเล็กตรอนเข้า 2 ตวั แล้วกลายเป็ น O2– จากน้ัน Mg2+ กับ O2– ไอออน จะเข้ามา
รวมตวั กนั กลายเป็นสารประกอบ MgO ซ่ึงเป็นสารประกอบไอออนิกเช่นเดียวกบั NaCl

ตวั อย่าง การเกิดพนั ธะของสารประกอบแคลเซียมฟลูออไรด์ ( CaF2 )
เมื่อแคลเซียม (Ca) ซ่ึงเป็ นโลหะหมู่ 2A ทาปฏิกิริยากบั ฟลูออรีน (F) ซ่ึงเป็ นอโลหะหมู่ 7A

แคลเซียม (Ca) จะจ่ายอิเล็กตรอนออกไป 2 ตวั แลว้ กลายเป็ น Ca2+ ไอออน ส่วนฟลูออรีน (F) จะ

รับอิเล็กตรอนเขา้ ไดเ้ พียง 1 ตวั เท่าน้นั ดงั น้นั จึงตอ้ งใชฟ้ ลูออรีน 2 อะตอมมารับอิเล็กตรอน 2 ตวั
ของแคลเซียมที่จ่ายออกมาแลว้ จะได้ F– ไอออน 2 ไอออน จากน้นั Ca2+ กบั F– 2 ไอออน จะ

เขา้ มารวมตวั กนั กลายเป็นสารประกอบไอออนิก CaF2

35

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

46. เหตุใดพนั ธะระหวา่ งโซเดียมกบั คลอรีน จึงเรียกพนั ธะไอออนิก

1. เพราะประกอบไปดว้ ยไอออนบวกและลบ

2. เพราะเกิดจากแรงดึงดูดระหวา่ งไอออนบวกและลบ

3. เพราะมีประจุไฟฟ้าบวกและลบอยภู่ ายใน

4. ไมม่ ีขอ้ ใดถูก

47(แนว En) ขอ้ ใดที่มีสารบางตวั ไมใ่ ช่สารประกอบไอออนิก

1. NaBr , Li2S 2. SrCl2 , SiC 3. CaO , Na2S 4. MgCl2 , KBr

2.2.2 โครงสร้างสารประกอบไอออนิก
โครงสร้างแบบโซเดียมคลอไรด์ ( NaCl )
ในสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ Na+ ไอออน

จะถูกลอ้ มรอบโดย Cl– ไอออน ถึง 6 ไอออน ใน
ลกั ษณะ 3 มิติ และ Cl– ไอออน ก็จะถูกลอ้ มรอบ
โดย Na+ ไอออน 6 ไอออนเช่นกนั การลอ้ มของ
ไอออนจะเรียงสลบั กนั ไปอยา่ งต่อเน่ือง กลายเป็นโครงสร้างที่มีลกั ษณะเป็นผลึกอนั แขง็ แรง

โครงสร้างแบบซิเซียมคลอไรด์ (CsCl )
ในสารประกอบซิเซียมคลอไรด์ Cs+ ไอออน

จะถูกลอ้ มรอบโดย Cl– ไอออน ถึง 8 ไอออน และ
Cl– ไอออน ก็จะถูกลอ้ มรอบโดย Cs+ ไอออน 8
ไอออนเช่นกนั

โครงสร้างแบบแคลเซียมฟูออไรด์ ( CaF2 )
ในผลึกแคลเซียมฟูออไรด์ Ca2+ ไอออน จะ

ถูกลอ้ มรอบโดย F– ไอออน 8 ไอออน แต่ F– จะ
ถูกลอ้ มรอบโดย Ca2+ ไอออน เพียง 4 ไอออนเทา่ น้นั

36

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

เน่ืองจากโครงสร้างของสารประกอบไอออนิกประกอบไปดว้ ยไอออนบวกและลบ จดั เรียงตวั

สลบั กนั ไปแบบตอ่ เนื่องทวั่ ท้งั ผลึกไม่สามารถแยกเป็นโมเลกลุ ได้ จึงถือวา่ สารประกอบไอออนิกเป็น

สารประกอบท่ีไมม่ ีสูตรโมเลกุล การเขียนสูตรสารประกอบไอออนิกจะเขียนแสดงอตั ราส่วนอยา่ งต่า

ของไอออนที่มารวมตวั กนั เท่าน้นั
เช่น Ca2+ : F– = 4 : 8 = 1 : 2 สูตรจึงเป็น Ca F2 เป็นตน้

48(แนว มช) พิจารณาโครงสร้างภายในผลึกของโซเดียมคลอไรด์ กรณีเม่ือมี Na+ เป็ นศูนยก์ ลาง

ของผลึกจะมี Cl– ลอ้ มอยูก่ ี่ ไอออน (กรณีที่มีระยะห่างจากจุดศูนยก์ ลางเท่ากนั ) และมี Cl– ท่ีอยู่

ใกล้ Na+ ศูนยก์ ลางที่สุดอยกู่ ไี่ อออน

1. 4 และ 4 2. 6 และ 6 3. 8 และ 12 4. 12 และ 6

49. เหตุใดสารประกอบไอออนิกจึงถือวา่ เป็นสารที่ไมม่ ีสูตรโมเลกลุ
1. เพราะอตั ราส่วนของอะตอมท่ีมารวมตวั กนั มีค่าไม่แน่นอน
2. เพราะสารประกอบไอออนิกมีโครงสร้างเป็นผลึกตาขา่ ย
3. เพราะระหวา่ งไอออนบวกและลบไม่มีการสร้างพนั ธะเคมี
4. เพราะจานวนชนิดอะตอมที่เขา้ มารวมตวั กนั เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

2.2.3 การเขียนสูตร และการเรียกชื่อสารประกอบไอออนิก
2.2.3.1 การเขยี นสูตรสารประกอบไอออนิก
วธิ ีการเขียนสูตรของสารประกอบไอออนิก ใหศ้ ึกษาจากตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี

ตัวอย่าง จงเขียนสูตรของสารประกอบไอออนิกที่เกิดจากการรวมตวั ของธาตุโซเดียม (Na) กบั ธาตุ
ซลั เฟอร์ (S)

แนวคดิ ข้นั ท่ี 1 ตอ้ งเขียนธาตุโลหะก่อนอโลหะเสมอ
ข้นั ท่ี 2 หาจานวนอิเลก็ ตรอนท่ีแต่ละธาตุจะรับและจ่าย แลว้ ไขวส้ ลบั หอ้ ยไวห้ ลงั ธาตุแต่ละตวั
Na จะจา่ ยอิเล็กตรอน 1 ตวั ส่วน S จะรับอิเล็กตรอน 2 ตวั
จา่ Nยa1 e + รSับ 2 e สูตรคือ Na2S

สุดทา้ ยจะไดส้ ูตรสารประกอบไอออนิกเป็น Na2S

37

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

ตัวอย่าง จงเขียนสูตรของสารประกอบไอออนิกท่ีเกิดจากการรวมตวั ของธาตุแคลเซียม (Ca) กบั ธาตุ

คลอรีน (Cl)

แนวคดิ ข้นั ท่ี 1 ตอ้ งเขียนธาตุโลหะก่อนอโลหะเสมอ

ข้นั ท่ี 2 หาจานวนอิเลก็ ตรอนที่แต่ละธาตุจะรับและจ่าย แลว้ ไขวส้ ลบั หอ้ ยไวห้ ลงั ธาตุแต่ละตวั

Ca จะจา่ ยอิเล็กตรอน 2 ตวั ส่วน Cl จะรับอิเลก็ ตรอน 1 ตวั

จCา่ aย 2e+ Clรับ 1 eสูตรคือ CaCl2

สุดทา้ ยจะไดส้ ูตรสารประกอบไอออนิกเป็น CaCl2

ตัวอย่าง จงเขียนสูตรของสารประกอบไอออนิกท่ีเกิดจากการรวมตวั ของธาตุแมกนีเซียม (Mg) กบั
ธาตุออกซิเจน (O)

แนวคิด ข้นั ท่ี 1 ตอ้ งเขียนธาตุโลหะก่อนอโลหะเสมอ

ข้นั ท่ี 2 หาจานวนอิเลก็ ตรอนท่ีแต่ละธาตุจะรับและจ่าย แลว้ ไขวส้ ลบั หอ้ ยไวห้ ลงั ธาตุแต่ละตวั
Mg จะจา่ ยอิเลก็ ตรอน 2 ตวั ส่วน O จะรับอิเล็กตรอน 2 ตวั
จา่ ย 2e รับ 2e
Mg + O สูตรคือ Mg2O2 ทาอตั ราส่วนอยา่ งต่าจะได้ MgO

สุดทา้ ยจะไดส้ ูตรสารประกอบไอออนิกเป็น MgO

เพมิ่ เตมิ กลุ่มอะตอมตอ่ ไปน้ี ทาหนา้ ที่รับจา่ ยอิเลก็ ตรอนแลว้ กลายเป็นไอออนไดด้ งั น้ี

ไอออน อา่ นวา่ ไอออน อ่านวา่

NH 4 แอมโมเนียมไอออน ClO 3 คลอเรตไอออน
OH– ไฮดรอกไซดไ์ อออน ClO 4 เปอร์คลอเรตไอออน
ไนเตรตไอออน CCrr2OO2472 ไดโครเมตไอออน
NO 3 ไนไตรตไ์ อออน MnO 42  โครเมตไอออน
NO 2 ซลั ไฟดไ์ อออน MnO 4 แมงกาเนตไอออน
SO 3242 ซลั เฟตไอออน CN– เปอร์แมงกาเนตไอออน
SO  คาร์บอเนตไอออน HSO 3 ไซยาไนดไ์ อออน
 ฟอสเฟตไอออน SH2SOO324 ไฮโดรเจนซลั ไฟตไ์ อออน
ไทโอไซยาเนตไอออน ไฮโดรเจนซลั เฟตไอออน
CPOO3432 ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน ไทโอซลั เฟตไอออน
SCN–

HCO 3

38

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

ตวั อยHBH่า2OPงPO32จO42ง4เขียนสโไไูตดฮบรโไเขรดฮตอรโดเไงจสอรนเอาจฟรอนอปนฟสรอเะฟสกตเอฟไบอตไอไอออออนออนนิกที่เกิดCFPeจHOา(3C33กCกNOา)ร36Oร–วมตวัเแฟไฮขอออกออซสซองีเไะตนฟไตCซตไaไย์ออาอกโออบันอนเนฟOอHเรต(III)

แนวคิด ข้นั ที่ 1 ตอ้ งเขียนธาตุโลหะก่อนอโลหะเสมอ

ข้นั ท่ี 2 หาจานวนอิเลก็ ตรอนที่แต่ละธาตุจะรับและจ่าย แลว้ ไขวส้ ลบั หอ้ ยไวห้ ลงั ธาตุแต่ละตวั

Ca จะจา่ ยอิเลก็ ตรอน 2 ตวั ส่วน OH จะรับอิเลก็ ตรอน 1 ตวั

จา่ ย 2 e รับ 1 e
Ca + OH สูตรคือ Ca (OH)2
สุดทา้ ยจะไดส้ ูตรสารประกอบไอออนิกเป็น MgO

ตัวอย่าง จงเขียนสูตรของสารประกอบไอออนิกที่เกิดจากการรวมตวั ของ Na กบั PO4
แนวคดิ ข้นั ท่ี 1 ตอ้ งเขียนธาตุโลหะก่อนอโลหะเสมอ

ข้นั ท่ี 2 หาจานวนอิเลก็ ตรอนท่ีแต่ละธาตุจะรับและจ่าย แลว้ ไขวส้ ลบั หอ้ ยไวห้ ลงั ธาตุแต่ละตวั
Na จะจ่ายอิเล็กตรอน 1 ตวั ส่วน PO4 จะรับอิเลก็ ตรอน 3 ตวั
จ่าย 1 e รับ 3 e
Na + PO4 สูตรคือ Na3PO4

สุดทา้ ยจะไดส้ ูตรสารประกอบไอออนิกเป็น Na3PO4

50. สูตรที่ถูกตอ้ งของสารประกอบที่เกิดจากการรวมตวั ของธาตุแบเรียมกบั ออกซิเจน และอลูมิ-

เนียมกบั ออกซิเจน คือขอ้ ใดต่อน้ี

1. BaO , AlO 2. BaO , Al2O3 3. Ba2O , AlO 4. Ba2O , Al2O3

51. สูตรที่ถูกตอ้ งของสารประกอบ ท่ีเกิดจากอะลูมิเนียมรวมตวั กบั หมูซ่ ลั เฟต และโพแทสเซียม

รวมตวั กบั หมูเ่ ปอร์คลอเรต ไดแ้ ก่

1. Al(SO4)3 , KClO4 2. Al2(SO4)3 , KClO4
3. Al(SO4)2 , KClO4 4. Al2(SO4)3 , KClO3

39

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี
52(แนว En) ธาตุ 4200 A สามารถเกิดสารประกอบธาตุ 1375 B สารประกอบที่เกิดข้ึนควรมีสูตร
เคมีเป็นดงั ขอ้ ใด

1. AB 2. AB2 3. A2B 4. A3B2

53(แนว En) กาหนดธาตุ 3X 7Y และ 17Z สูตรของสารประกอบธาตุคู่ท่ีเกิดจากธาตุท้งั สาม
ขอ้ ใดเป็นไปได้

1. X3Y , YZ3 , XZ 2. X3Y , YZ3 , XZ2
3. XY3 , YZ3 , XZ 4. X3Y , YZ5 , X2Z

54(แนว En) ถา้ ธาตุ X , Y และ Z มีสูตรสารประกอบออกไซดเ์ ป็น X2O3 , YO และ Z2O
X , Y และ Z ควรเป็นธาตุโลหะหมู่ใดตามลาดบั

1. I , II , III 2. III , II , I 3. II , III , I 4. III , I , II

2.2.3.2 การเรียกชื่อสารประกอบไอออนิก
1) กรณที โ่ี ลหะมีประจุบวกได้ค่าเดยี ว ( เช่น โลหะหมู่ 1A , 2A และ 3A )

ใหอ้ า่ นชื่อโลหะ หรือ ไอออนบวกก่อน แลว้ ตามดว้ ยช่ืออโลหะหรือไอออนลบ โดย
เปล่ียนพยางคท์ า้ ยเป็นไอด์ (ide) ยกเวน้ ถา้ ธาตุต่อไปน้ีอยทู่ ี่ทา้ ยใหอ้ า่ นดงั น้ี

ไฮโดรเจน ใหอ้ า่ นเป็น ไฮไดรด์ (ไม่ใช่ ไฮโดรไจด)์
ไนโตรเจน ใหอ้ า่ นเป็น ไนไตรด์ (ไม่ใช่ ไนโตรไจด)์
ออกซิเจน ใหอ้ ่านเป็น ออกไซด์ (ไมใ่ ช่ ออกซิไจด)์
ฟอสฟอรัส ใหอ้ า่ นเป็น ฟอสไฟด์ (ไมใ่ ช่ ฟอสฟอไรด)์ เป็นตน้
ในกรณีที่สารประกอบไอออนิกประกอบดว้ ยไอออนเชิงซอ้ นใหอ้ ่านชื่อไอออนเชิงซอ้ นน้นั
ตรงๆ ดงั ตวั อยา่ ง

40

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

สูตร อ่านว่า

NaCl โซเดียมคลอไรด์
KBr โพแทสเซียมโบรไมด์
MgBr2 แมกนีเซียมโบร์ไมด์
LiH
MgO ลิเทียมไฮไดรด์
KF แมกนีเซียมออกไซด์
KNO3 โพแทสเซียมฟอู อไรด์
Ca(PO4)2 โพแทสเซียมไนเตรต
Na2CO3 แคลเซียมฟอสเฟต
NaNO3 โซเดียมคาร์บอเนต
NaH2PO4
NaSCN โซเดียมไนเตรต
KClO3 โซเดียมไดไฮโดรเจนฟอสเฟต
KMnO4
โซเดียมไธโอไซยาเนต
โพแทสเซียมคลอเรต
โพแทสเซียมเปอร์มงั กาเนต

2) กรณที โี่ ลหะมปี ระจุบวกได้หลายค่า ใหอ้ า่ นช่ือโดยถือหลกั การณ์เดียวกบั ขอ้ ที่ 1 แต่
ตอ้ งระบุคา่ ประจุบวกของโลหะเป็นตวั เลขโรมนั ในวงเล็บไวท้ า้ ยช่ือโลหะน้นั ดว้ ย เช่น

สูตร ชื่อ หมายเหตุ

FeCl2 ไอร์ออน (II) คลอไรด์ Fe น้ีมีประจุ + 2

FeCl3 ไอร์ออน (III) คลอไรด์ Fe น้ีมีประจุ + 3

CuO คอปเปอร์ (II) คลอไรด์ Cu น้ีมีประจุ + 2

Cu2O คอปเปอร์ (I) คลอไรด์ Cu น้ีมีประจุ + 1

สาหรับสารประกอบไอออนิกที่มีผลึกของน้าอยดู่ ว้ ย ใหเ้ รียกน้าผลึกวา่ ไฮเดรต และจานวน
น้าผลึกใหบ้ อกดว้ ยจานวนนบั ในภาษากรีก เช่น

CuSO4 . 5 H2O เรียกวา่ คอปเปอร์ (II) ซลั เฟต เพนตะไฮเดรต
Na2CO3 . 10 H2O เรียกวา่ โซเดียมคาร์บอเนต เดคะไฮเดรต

2.2.4 พลงั งานกบั การเกดิ พนั ธะไอออนิก
พจิ ารณาตวั อยา่ งการเกิด โซเดียมคลอไรด์ ( NaCl ) 1 โมล ข้นั ตอนการเกิดเป็นดงั น้ี
ข้นั 1 โซเดียม ( Na ) ของแขง็ เกิดการระเหิดกลายเป็นไอ

 Na (s)  Na (g) Hs = S = +109 kJ

41

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

ข้นั ตอนน้ีจะมีการดูดพลงั งาน +109 กิโลจูล ( พลงั งานที่ดูด จะใชค้ า่ เป็น + )

พลงั งานที่ดูดน้ีเรียก พลงั งานการระเหดิ ( Heat of sublimation , Hs , S )

ข้นั 2 โซเดียมแกส๊ จะจ่าย เวเลนซ์อิเลก็ ตรอนออกมา 1 ตวั

 Na (g)  Na+ (g) + e IE = I = +502 kJ

ข้นั ตอนน้ีจะมีการดูดพลงั งาน +502 กิโลจูล

พลงั งานที่ดูดน้ีเรียก พลงั งานไอออไนเซชั่น ( Ionization energy , IE , I )

ข้นั 3 สลายพนั ธะโมเลกุลคลอรีน ( Cl2 ) ใหแ้ ตกเป็นอะตอมยอ่ ย

Cl2 (g)  2Cl (g) Hdis = D = +242 kJ

ข้นั ตอนน้ีจะมีการดูดพลงั งาน +242 กิโลจูล

พลงั งานที่ดูดน้ีเรียก พลงั งานสลายพนั ธะ หรือ พลงั งานการแตกตัว

( Dissociation energy , Hdis , D )

จริงๆ แลว้ เราตอ้ งการคลอรีนเพยี ง 1 อะตอมเท่าน้นั จึงตอ้ งเอา 1 คูณตลอด
2

 1 Cl2 (g)  Cl (g) 1 Hdis = 1 D = +121 kJ
2 2 2

ข้นั 4 อะตอมคลอรีนรับ e เขา้ มา

 Cl (g) + e  Cl– (g) EA = –349 kJ

ข้นั ตอนน้ีจะมีการคายพลงั งาน –349 กิโลจูล ( พลงั งานท่ีคายจะใชค้ ่าเป็นลบ )

พลงั งานที่คายน้ีเรียก สัมพรรคภาพอเิ ลก็ ตรอน หรือ พลงั งานอเิ ลก็ ตรอนอฟั ฟิ นิตี้

( Electron affinity , EA ) U = Ec = –787 kJ
ข้นั 5 Na+ กบั Cl– เขา้ มารวมตวั กนั

 Na+(g) + Cl–(g)  NaCl (s)

ข้นั ตอนน้ีจะมีการคายพลงั งาน –787 กิโลจูล

พลงั งานท่ีคายน้ีเรียก พลงั งานโครงผลกึ ( Lattic energy , Ec , U )

เมื่อนาสมการ  +  +  +  +  จะได้

Na (s) + 1 Cl2 (g)  NaCl (s)
2

พลงั งานรวม = H = S + IE + D + EA + U = 109 + 502 + 121 + (–349) + (–787) = –404 kJ

แสดงวา่ ปฏิกริยารวมจะมีการคายพลงั งานออกมา 404 กิโลจูล ตอ่ การเกิด NaCl 1 โมล

( หาก พลงั งานรวม , H มีค่าเป็ นลบ แสดงว่า เป็ นการคายพลงั งาน )

( หาก พลงั งานรวม , H มีค่าเป็ นบวก แสดงว่า เป็ นการดูดพลงั งาน )

42

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

ฝึ กทา. การเกิดสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ ในแต่ละข้นั ตอนต่อไปน้ี จะดูดหรือคายพลงั งาน

และพลงั งานน้นั เรียกวา่ พลงั งานอะไร พร้อมท้งั หาพลงั งานรวมของการเกิด NaCl 1 โมล

ข้นั ท่ี การเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขนึ้ ดูด / คาย พลงั งานน้ันเรียก

1 Na(s)  Na(g)

2 Na(g)  Na+(g) + e

3 1 Cl2(g)  Cl(g)
2

4 Cl(g) + e  Cl (g)

5 Na+(g)+Cl (g)  NaCl(s)

55. การเกิดสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ จากการทาปฏิกิริยาระหวา่ งโลหะโซเดียมกบั แก๊สคลอรีน

ไดส้ ารประกอบโซเดียมคลอไรด์ ประกอบดว้ ยข้นั ตอนยอ่ ยๆ ดงั น้ี

ข้นั ท่ี การเปลยี่ นแปลงทเี่ กดิ ขึน้ พลงั งานทใี่ ช้หรือให้ออกมา (kJ/mol)

1 Na(s)  Na(g) 109

2 Na(g)  Na+(g) + e 494

3 Cl2(g)  2 Cl(g) 242
4 Cl(g) + e  Cl (g) 355
797
5 Na+(g) + Cl (g)  NaCl(s)

จากขอ้ มูลที่ใหม้ า พลงั งานของปฏิกิริยาระหวา่ งโลหะโซเดียม ทาปฏิกิริยากบั แก๊สคลอรีน
ไดส้ ารประกอบโซเดียมคลอไรดจ์ านวนหน่ึงโมล จะมีค่าเป็นก่ีกิโลจูล

43

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

56(แนว มช) ปฏิกิริยา Na(s) + 12 Br2(g)  NaBr(s) มีการคายพลงั งานออกมา 359.5 kJ/mol
และกาหนดขอ้ มูลของข้นั ต่างๆ ให้ ดงั น้ี

เม่ือ Na(s)  Na(g) H1 +125.5 kJ/mol

Br2(g)  2Br(g) H2 +194 kJ/mol
Na(g)  Na+(g) + e H3 y kJ/mol
Br(g) + e  Br– (g) H4 –343 kJ/mol
Na+(g) + Br–(g)  NaBr(s) H5 –732 kJ/mol

จงหาค่าของ y ในหน่วย kJ/mol

57(แนว มช) การเกิดสารประกอบโซเดียมฟลูออไรดจ์ ากปฏิกิริยาระหวา่ งโลหะโซเดียมกบั แก๊สฟลู-
ออรีนมีการคายพลงั งาน 570 kJ/mol จงคานวณพลงั งานแลตทิซของโซเดียมฟลูออไรด์ (kJ/mol)
กาหนดให้ พลงั งานการระเหิดของโลหะโซเดียม = 107 kJ/mol
พลงั งานพนั ธะของแกส๊ ฟลูออรีน = 154 kJ/mol
พลงั งานไอออไนเซชนั ของโซเดียม = 495 kJ/mol
สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนของฟลูออรีน = 328 kJ/mol

44

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

2.2.5 สมบตั ิของสารประกอบไอออนิก

2.2.5.1 สมบตั บิ างประการของสารประกอบไอออนิก

1. สารประกอบไอออนิกทุกชนิดจะมีสถานะเป็นของแขง็ ท่ีอุณหภูมิหอ้ ง และเปราะ

2. พนั ธะไอออนิกเป็นพนั ธะท่ีมีความแขง็ แรงมาก สารประกอบไอออนิกจึงมีจุดเดือดและ
จุดหลอมเหลวสูง เช่น จุดหลอมเหลวของ NaCl คือ 801oC และจุดเดือดจะข้ึนกบั ความแต่ตา่ งของ

คา่ อิเล็กโทรเนกาติวติ ี ( EN ) ของอะตอมคูร่ ่วมพนั ธะดว้ ย เช่น

เมื่อเรียงลาดบั คา่ คา่ อิเลก็ โทรเนกาติวติ ีจะพบวา่ Cl > Br > I

ดงั น้นั ค่า EN ที่แตกต่างของอะตอมคู่ร่วมพนั ธะ NaCl > NaBr > NaI

เม่ือเรียงลาดบั จุดเดือดจึงไดว้ า่ NaCl > NaBr > NaI

3. ในสถานะของแขง็ จะไมน่ าไฟฟ้า แตใ่ นสถานะของเหลวหรือสารละลาย จะนาไฟฟ้าได้

เพราะในสถานะท้งั 2 น้ี ไอออนบวกและลบสามารถเคล่ือนที่ได้

58. ขอ้ พสิ ูจนใ์ ดที่แสดงวา่ โซเดียมคลอไรดเ์ ป็นสารประกอบไอออนิก
1. ในโมเลกุลของโซเดียมคลอไรดม์ ีพนั ะท่ีแขง็ แรง
2. เม่ือโซเดียมคลอไรดล์ ะลายน้าแลว้ ดูดความร้อน
3. โซเดียมคลอไรดเ์ มื่อหลอมเหลวนาไฟฟ้าได้
4. เมื่อนาโซเดียมคลอไรดล์ ะลายน้าสารละลายท่ีไดม้ ีจุดเยอื กแขง็ ลดลง

2.2.5.2 การละลายนา้ ของสารประกอบไอออนิก

สารประกอบไอออนิกทลี่ ะลายนา้ ได้ดี ตวั สาคญั ไดแ้ ก่

สารประกอบของ โลหะหมู่ 1A , ,  , ,  ,
NO3 ClO 4 ClO3
NH4
CH3COO– ( ยกเวน้ CH3COOAg , KCLO4 )
2 ( ยกเวน้ ซลั เฟตของ Pb2+, Ca2+, Sr2+, Ba2+, Ra2+, Ag+)
Br– , I– ( ยกเวน้ เมื่อรวมตวั กบั Ag+, Pb2+, Hg 22 , Cu2+)
CSOl–4,

สารประกอบไอออนิกทไี่ ม่ละลายนา้ ตวั สาคญั ไดแ้ ก่
สารประกอบฟลูออไรด์ , คลอไรด์ , โบร์ไมด์ , ไอโอไดดข์ อง Ag+ , Cu2+, Hg2+, Pb2+

สารประกอบซลั ไฟด์ , ไฮดรอกไซด์ , ออกไซด์ , คาร์บอเนต
( เวน้ ประกอบกบั โลหะหมู่ 1 , NH 4 , Ca2+ , Sr2+ , Ba2+ )

45

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

59. สารประกอบตอ่ ไปน้ี กลุ่มใดละลายน้าไดท้ ้งั หมด

1. (NH4)2CO3 , K2HPO4 , BaSO4
2. Ba(NO3)2 , CH3COONa , Na2CO3
3. PbI2 , NaH2PO4 , SrCO3
4. K2SO4 , SrSO4 , ZnO

ฝึ กทา เมื่อผสมสารละลายต่อไปน้ีเขา้ ดว้ ยกนั จงหาตะกอนท่ีเกิดข้ึน
1. KCl + Pb(NO3)2 จะเกิดตะกอนของ .......................................
2. LiS + CuSO4 จะเกิดตะกอนของ .......................................
3. AlCl3 + KOH จะเกิดตะกอนของ .......................................
4. AgNO3 + K2Cr2O7 จะเกิดตะกอนของ .......................................
5. Na2O + Zn(NO3)2 จะเกิดตะกอนของ .......................................

2.2.5.3 พลงั งานกบั การละลายนา้ ของสารประกอบไอออนิก

การละลายน้าของสารประกอบไอออนิก จะประกอบดว้ ยกระบวนการ 2 ข้นั ตอน

ข้นั ที่ 1. ของแขง็ ไอออนิกสลายตวั ออกเป็นไอออนบวกและไอออนลบในภาวะแก๊ส

AB (s)  A+(g) + B–(g) H = + X

ข้นั น้ีจะมีการดูดพลงั งาน พลงั งานท่ีดูดเรียก พลงั งานโครงผลกึ (Lattice energy)

ข้นั ที่ 2. ไอออนบวก และ ลบ ในภาวะแก๊สรวมตวั โมเลกลุ ของน้า ( ถูกน้าลอ้ มรอบ )

ข้นั นA้ีจ+ะ(gม)ีก+ารคBา–ย(พg)ลงั งHา2นO พลAงั +งา(aนqท) ่ีค+ายBเร–ีย(กaqพ) ลงั งานไฮเดHรชัน= –Y energy)
(Hydration

การละลายน้าของสารประกอบไอออนิก อาจเป็นการเปล่ียนแปลงประเภทดูดความร้อน หรือ

คายความร้อนกไ็ ด้ ข้ึนอยกู่ บั ค่าพลงั งานแลตทิซ ( ดูด ) และพลงั งานไฮเดรชนั ( คาย )

1. ถา้ ดูด > คาย รวมแลว้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ ดูดพลงั งาน

2. ถา้ คาย > ดูด รวมแลว้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ ดูดพลงั งาน

3. ถา้ คาย = ดูด รวมแลว้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบไมด่ ูด ไมค่ าย พลงั งาน

4. ถา้ ดูด >>> คาย คือพลงั งานท่ีดูดมากกวา่ ท่ีคายมากๆ สารน้นั จะไม่ละลายน้า

46

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

60. เกลือ MI มีพลงั งานโครงผลึก 300 kJ/mol และมีพลงั งานไฮเดรชนั 250 kJ/mol ดงั น้นั

การละลายน้าของเกลือ MI จะเป็นการเปล่ียนแปลงท่ีดูดหรือคายความร้อนเทา่ ใด

1. ดูดความร้อน 50 kJ/mol 2. คายความร้อน 50 kJ/mol

3. เกลือน้ีจะไมล่ ะลายน้า 4. ขอ้ มูลไม่เพียงพอท่ีจะหาคาตอบ

61. เกลือ MI มีพลงั งานโครงผลึก 300 kJ/mol และมีพลงั งานไฮเดรชนั 450 kJ/mol ดงั น้นั

เก่ียวกบั การละลายน้าของเกลือ MI จะทาให้

1. อุณหภูมิสิ่งแวดลอ้ มจะสูงข้ึน 2. อุณหภูมิส่ิงแวดลอ้ มจะต่าลง

3. อุณหภูมิสิ่งแวดลอ้ มจะคงเดิม 4. ขอ้ มูลไมเ่ พียงพอที่จะหาคาตอบ

62. นาอมั โมเนียมคลอไรดล์ ะลายน้าในบิกเกอร์ เอามือแตะขา้ งบิกเกอร์จะรู้สึกเยน็ ปฏิกิริยาเกิด

ดงั น้ี NH4Cl(s)  NH  (g) + Cl(g) ดูดพลงั งาน E1
4 คายพลงั งาน E2

NH  (g) + Cl(g)  NH  (aq) + Cl(aq)
4 4

ขอ้ ความตอ่ ไปน้ีขอ้ ใดถูกตอ้ งท่ีสุด

1. เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบคายความร้อน และ E2 > E1
2. เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบดูดความร้อน และ E1 > E2
3. เป็นการเปล่ียนแปลงแบบคายความร้อน และ E1 > E2
4. เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบดูดความร้อน และ E2 > E1

47

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 2 พนั ธะเคมี

63(แนว มช) จากรูปกราฟ ขอ้ สรุปใดถูกตอ้ ง

การละลายของสาร สาร A
(g/100 g H2O)

สาร B
อณุ หภูมิ (oC)

1. อุณหภูมิเพ่มิ สาร A ละลายไดด้ ีข้ึน แสดงวา่ พลงั งานแลตทิซนอ้ ยกวา่ พลงั งานไฮเดรชนั
2. การละลายของสาร A จะคายความร้อน และละลายไดม้ ากข้ึน แสดงวา่ พลงั งานแลตทิซมาก

กวา่ พลงั งานไฮเดรชนั
3. การละลายของสาร B จะคายความร้อน แสดงวา่ พลงั งานไฮเดรชนั มากกวา่ พลงั งานแลตทิซ
4. การละลายของสาร B จะดูดความร้อน แสดงวา่ พลงั งานแลตทิซนอ้ ยกวา่ พลงั งานไฮเดรชนั

64(แนว มช) เกลือไอออนิกชนิดหน่ึงละลายน้าไดท้ ี่อุณหภูมิสูงดีกวา่ ที่อุณหภูมิต่า แสดงวา่

ก. ขบวนการละลายเป็นแบบคายความร้อน

ข. สารน้นั มีพลงั งานโครงร่างผลึกมากกวา่ พลงั งานไฮเดรชนั

ค. ความร้อนของการละลายมีคา่ เป็นบวก

ง. สารน้นั มีพลงั งานไฮเดรชนั มากกวา่ พลงั งานโครงร่างผลึก

ขอ้ ท่ีถูกตอ้ งมีท้งั สิ้นก่ีขอ้

1. 1 ขอ้ 2. 2 ขอ้ 3. 3 ขอ้ 4. 4 ขอ้

2.2.6 ปฏกิ ริ ิยาของสารประกอบไอออนิก
พจิ ารณา การเกิดปฏิกริยาของ Ca(OH)2 กบั Na2CO3
Ca(OH)2 กบั Na2CO3

แตกตวั

Ca2+(aq) + 2OH–( aq) + 2Na+(aq) + CO32–( aq)  CaCO3(s) + 2OH–( aq) + 2Na+(aq)

48

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

จะเห็นวา่ ปฏิกริยาน้ี Ca2+ กบั CO32– จะรวมตวั กนั เป็ น CaCO3 แลว้ ตกตะกอนลงมา ส่วน
OH– กบั Na+ จะละลายน้าอยู่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เราจึงอาจตดั ทิ้งได้ ปฏิกิริยาท่ีเกิดข้ึน

จริงๆ จึงมีเพยี ง

Ca2+(aq) + CO32–( aq)  CaCO3(s)
สมการท่ีแสดงเฉพาะไอออนสถานะสารละลายหรือแกส๊ ที่ทาปฏิกิริยากนั แลว้ ตกตะกอนจริง

เช่นน้ี เรียกสมการไอออนิกสุทธิ

65(แนว มช) การเขียนสมการไอออนิกสุทธิของสารละลายคูใ่ ดถูกตอ้ งที่สุด

1. Ba2+ (aq) + CO32– (aq)  BaCO3 (s)
2. CuSO4 (s)  Cu2+ (g) + SO32 (g)
3. Ba2+ (aq) + 2Cl – (aq)  BaCl2 (aq)
4. Na2CO3 (aq) + CaCl2 (aq)  CaCO3 (s) + 2NaCl (aq)

3. พนั ธะโลหะ

อะตอมของโลหะมีคา่ อิเล็กโทรเนกาติวิตีต่าจึงไม่หวงแหนอิเล็กตรอน ทาใหอ้ ิเล็กตรอนมีความ
เป็นอิสระสูงและจะวงิ่ ไปมาระหวา่ งอะตอมใกลเ้ คียง
ได้ อิเล็กตรอนเหล่าน้ีจะส่งแรงดึงดูดกบั โปรตรอนใกล้
เคียงกลายเป็นแรงดูดยดึ ระหวา่ งอะตอม แรงดูดยดึ แบบน้ี
เรียกวา่ พนั ธะโลหะ ซ่ึงมีความแขง็ แรงมาก

สมบัติของสารทม่ี ีพนั ธะโลหะ
1) นาไฟฟ้าได้ดี เพราะมีอิเล็กตรอนอิสระอยจู่ ึงทาใหน้ าไฟฟ้าได้
2) นาความร้อนได้ดี อิเล็กตรอนอิสระที่มีสามารถนาความร้อนไดด้ ว้ ย
3) โลหะสามารถตีเป็ นแผ่นหรือดงึ ให้หลุดออกจากกนั ได้ เพราะไอออนบวกสามารถเล่ือนไถล

ผา่ นกนั ไดโ้ ดยไม่หลุดจาก กนั เพราะมีอิเลก็ ตรอนคอยยดึ ไอออนบวกเหล่าน้ีไวด้ ว้ ยกนั
4) โลหะมผี วิ มันเป็ นวาว อิเล็กตรอนอิสระสามารถรับ และกระจายแสงมาได้
5) โลหะมีจุดเดือด และจุดหลอมเหลวสูง เพราะพนั ธะโลหะมีความแขง็ แรงมาก

49

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 2 พนั ธะเคมี

66(แนว En) เหตุผลเก่ียวกบั สมบตั ิของธาตุในขอ้ ใดผดิ

1. โลหะมีความมนั วาว เพราะดูดกลืนคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้าไวไ้ ดม้ าก

2. โลหะตีแผเ่ ป็นแผน่ แบนๆ ได้ เพราะระหวา่ งอนุภาคของอะตอมโลหะยงั มีเวเลนซ์-

อิเล็กตรอนยดึ ไว้

3. โลหะนาไฟฟ้าไดเ้ พราะมีอิเล็กตรอนอิสระสามารถเคลื่อนที่ได้

4. อะตอมในโลหะสร้างพนั ธะโดยใชเ้ วเลนซ์อิเลก็ ตรอนร่วมกนั

เพมิ่ เติม

ก. สมบัตขิ องสารประกอบโคเวเลนต์ ไอออนิก สารโครงผลกึ ตาข่าย และโลหะ

ชนดิ สารโคเวเลนต์ สาร สารโครงผลกึ โลหะ
สมบตั ิ ไม่มขี ้วั มีข้วั ไอออนิก ร่างตาข่าย

1. สถานะ มีท้งั แก๊ส ของแขง็

ที่ภาวะปกติ ของเหลว ของแขง็ ของแขง็ ยกเวน้ ปรอท

ของแขง็

2. ความ เปราะ เปราะ เปราะ เหนียว
เหนียว (ของแขง็ )

3. จุดหลอม ต่า สูง สูง สูง
เหลว & เดือด

4. การนา ไม่นาไฟฟ้า ไม่นาไฟฟ้า นาไฟฟ้าไดค้ ือ นาไฟฟ้าได้ เวน้

ไฟฟ้า แต่เม่ือ แกรไฟต์ นาไฟฟ้า สถานะแกส๊ (ไอ)
หลอมเหลว ไดบ้ า้ ง เช่น ซิลิคอน
นาไฟฟ้าได้ ไม่นา เช่น เพชร

5. การละลาย ไม่ละลายน้า ละลายน้าได้ มีท้งั ละลาย& ไม่ละลายน้า ไมล่ ะลายน้า แต่
น้าและการนา แต่สารละลาย ไมล่ ะลายน้า โลหะบางชนิดทา
ไฟฟ้าของ ส่วนใหญไ่ ม่ สารละลาย
นาไฟฟ้า ปฏิกิริยากบั น้าได้
สารละลาย น้าไฟฟ้าได้ เช่นโลหะหมู่ IA

50


Click to View FlipBook Version