The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บันทึกกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC)
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อมราภรณ์ บริหาร, 2024-03-25 04:23:17

บันทึกกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC)

บันทึกกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC)
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)

“การพัฒ พั นาผลสัม สั ฤทธิ์ ทางคณิต ณิ ศาสตร์ ของนักนัเรียรีน โรงเรียรีนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)โดยใช้รู ช้รูปแบบการจัดจัการเรียรีนรู้ CIPPA MODEL AND TECHNOLOGY” ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู้ ค ณิ ต ศ า ส ต ร์ นางอมราภรณ์ บริหริาร ปีก ปี ารศึกษา ๒๕๖๖ ชุมชนแห่งการเรียรีนรู้ทรู้างวิชวิาชีพชี (Professional Learning Community : PLC) กลุ่มลุ่สาระการเรียรีนรู้ครู้ณิตณิศาสตร์ โรงเรียรีนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)


ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ( PLC ) โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ประจำปีการศึกษา 2566 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ CIPPA MODEL AND TECHNOLOGY จัดทำโดย กลุ่มสาระการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) สังกัดกองการศึกษา เทศบาลเมืองลำสามแก้ว


ชื่อเรื่อง เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ประจำปีการศึกษา 2566 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ CIPPA MODEL AND TECHNOLOGY สมาชิกในกลุ่ม นางสาวปัทมา เทียมอ๊อด นางอมราภรณ์ บริหาร นางสาวสุธิดา สุขตาม นางสาวมโนชา วามะเกตุ นางสาวปนัดดา แสวขุนทด นางสาวธนภร มั่นสิงห์ บทคัดย่อ การข้าร่วมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ปีการศึกษา 2566 โดย ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Teachnology) ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ระหว่างก่อน และหลังการเรียน การสอนของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (ขจรเนติยุทธ) ซึ่งเป็นการดำเนินการกึ่งการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 24 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 จำนวน 29 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 จำนวน 35 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 29 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 30 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 22 คน รวมทั้งสิ้น 169 คน ดำเนินการระหว่าง วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ถึงวันที่ 20 มีนาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ ในครั้งนี้คือ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนร CIPPA MODEL สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( x̅ ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)


สารบัญ หน้า บทคัดย่อ บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ความเป็นมา และความสำคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ 1 1.3 ขอบเขต 1 1.4 กรอบแนวคิด 2 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 5 2.1 ความหมาย และความสำคัญ 5 2.2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 14 บทที่ 3 วิธีดำเนินการ 15 3.1 ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง 15 3.2 ระยะเวลาที่ใช้ (จำนวนชั่วโมงทุกวงรอบ) 15 3.3 เครื่องมือที่ใช้ 15 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 15 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล 16 บทที่ 4 ผลการดำเนินการ และอภิปรายผล 17 4.1 ผลการดำเนินการ 17 4.2 อภิปรายผล 18 บทที่ 5 สรุปผล และข้อเสนอแนะ 25 5.1 สรุปผลการดำเนินการ 25 5.2 ข้อเสนอแนะ 26 บรรณานุกรม


บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมา และความสำคัญของปัญหา 1. ที่มาและความสำคัญ คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ ที่ได้มีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ช่วยให้ มนุษย์เป็นคนที่มีเหตุผล รู้จักใช้สติปัญญาในการริเริ่มสร้างสรรค์ มีความสามารถและมั่นใจ ในการแก้ปัญหา ตลอดจนคิดคำนวณได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้คณิตศาสตร์ไม่ใช่แค่การคำนวณเพียงอย่างเดียว แต่คณิตศาสตร์ คือกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล เป็นขั้นตอน เพื่อใช้แก้ปัญหาต่างๆที่ซับซ้อน ถ้านักเรียนมีความสามารถคิด อย่างคณิตศาสตร์ได้ ก็จะทำให้เป็นคนที่มีคุณภาพ เพราะรู้จักการคิดวิเคราะห์ มีเหตุผล รู้จักการนำความรู้ ไปแก้ปัญหาต่างๆในชีวิตและการทำงาน (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 : 1–5) การเรียนคณิตศาสตร์แนวใหม่ มีกฎเกณฑ์ที่นักเรียนต้องจดจำน้อยลง แต่มีเรื่องที่จะต้องทำความ เข้าใจมากขึ้น ความเข้าใจดังกล่าวนี้ หมายถึง ความเข้าใจในสัมพันธ์ของโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ ซึ่งถ้า หากนักเรียนมีความเข้าใจเป็นอันดีแล้ว จะสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ด้วยตนเองได้ เช่นนี้ ทำให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจที่จะค้นคว้าด้วยตนเอง การเรียนรู้จึงเป็นไปอย่างถาวร ผิดกับการเรียนรู้ซึ่ง เกิดจากการบังคับให้จดจำกฎเกณฑ์ต่างๆ โดยปราศจากความเข้าใจ ( ฉวีวรรณ เศวตมาลย์ 2545 : 16-17 และ ยุพิน พิพิธกุล 2545 : 1) จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (ขจรเนติยุทธ) สังกัดเทศบาลเมืองลำสามแก้ว อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการพัฒนาขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก คณะครูผู้สอนจึงได้นำปัญหามาอภิปราย และหาทางแก้ไขร่วมกันอีกครั้ง ในปีการศึกษา 2566 โดยเล็งเห็นปัญหาของการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ บางครั้งอาจเป็นวิชาที่ยาก และน่าเบื่อ สำหรับนักเรียน ในบางเนื้อหา นักเรียนยังใช้การท่องจำ ซึ่งวิชาคณิตศาสตร์ไม่ใช่การเน้นท่องจำ แต่เน้นให้ นักเรียนมีเหตุผล และรู้จักการคิดวิเคราะห์ รวมไปถึงรูปแบบวิธีการสอนของครูควรปรับประยุกต์ให้เข้ากับยุค สมัยปัจจุบัน และสามารถเสริมสร้างให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น คณะผู้จัดทำ จึงใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) พัฒนาร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) เพื่อยกระดับ ผลสัมฤทธิ์วิชาคณิตศาสตร์หลังการเรียนให้สูงขึ้น 2. วัตถุประสงค์ในการพัฒนา หรือการแก้ปัญหาของกลุ่ม 2.1 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนให้สูงขึ้น 3. ขอบเขตการดำเนินการ ในการเข้าร่วมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชีพในครั้งนี้ เป็นการร่วมกันสร้างและจัดทำแผนการจัดการ เรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) พัฒนาร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) มาช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มในห้องเรียน และเพิ่มทักษะการ ทำงานกลุ่ม การคิดอย่างมีเหตุผล รวมไปถึงการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ มีขอบเขตการ ดำเนินการ ดังนี้


2 3.1 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 24 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 จำนวน 29 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 จำนวน 35 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 29 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 30 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 22 คน รวมทั้งสิ้น 169 คน 3.2 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Teachnology) 4. กรอบแนวคิด ผู้ศึกษาได้กำหนดกรอบแนวคิดในการศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี สังกัดเทศบาลเมืองลำสามแก้ว โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Teachnology) ซึ่งส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ช่วยพัฒนานักเรียนในด้านต่างๆ เช่น พัฒนาความเชื่อมั่นของ นักเรียน นักเรียนกล้าแสดงความคิดเห็นมากยิ่งขึ้น พัฒนาด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน อีกทั้งช่วย ส่งเสริมบรรยากาศในห้องเรียน ช่วยส่งเสริมทักษะการร่วมมือของนักเรียน เป็นต้น จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้ศึกษาจึงกำหนดกรอบแนวคิดในการศึกษาค้นคว้า ดังภาพประกอบที่ 1 ตัวแปรต้น/ตัวจัดกระทำ ตัวแปรตาม ภาพประกอบที่1 5. นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การจัดการเรียนรู้แบบโมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Teachnology) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โมเดลซิปปา (CIPPA Model) หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ตามแนวทางของ รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมณีคือช่วยให้นักเรียนเป็น ผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง (Construct) ทำความเข้าใจสร้างความหมายของสาระข้อความรู้ให้แก่ตนเองช่วยให้ นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว (Interaction) ช่วยให้นักเรียนมีบทบาทและมีส่วน ร่วมในกระบวนการเรียนรู้ (Process Learning) และช่วยให้นักเรียนนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ใน สถานการณ์ต่าง ๆ ได้ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนดังนี้ จัดการเรียนรู้แบบโมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้ เทคโนโลยี (Teachnology) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์


3 ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วยให้ ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ ได้อย่าง หลากหลาย ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูล หรือแหล่งความรู้ต่างๆ ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้ ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม ขั้นนี้เป็น ขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของ ข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการ กลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม ขั้นที่4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือใน การตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไป พร้อมๆ กัน ขั้นที่5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้ เดิมและความรู้ใหม่ และสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ขั้นที่6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน หากข้อความรู้ที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติขั้นนั้นจะ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการ ปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย ขั้นที่7 การประยุกต์ใช้ความรู้ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความ เข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการ แก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้นๆหลังจากการประยุกต์ใช้ในความรู้ อาจจะมีการนำเสนอผลงานจากการ ประยุกต์อีกครั้งก็ได้ หรืออาจไม่มีการนำเสนอผลงานในขั้นที่ 6 แต่นำมารวมแสดงในขั้นตอนท้ายหลังขั้นการ ประยุกต์ใช้ก็ได้เช่นกัน ขั้นตอนตั้งแต่ขั้นที่1 - 6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (construc-tion of knowledge) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (interaction) และฝึกฝนทักษะ กระบวนการต่างๆ (process learning) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้ผู้เรียนได้ทำ กิจกรรมหลากหลายที่มีลักษณะให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทาง สังคม อย่างเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPPA ส่วนขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำ ความรู้ไปใช้ (application) จึงทำให้เป็นรูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบตามหลัก CIPPA Technology for Instruction หมายถึง การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนส่งเสริมการ เรียนรู้ในชั้นเรียน เป็นเครื่องมือสำหรับครูและนักเรียนในกระบวนการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนโดยเน้น หลักการมีปฏิสัมพันธ์ (interactive) การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์ทาง


4 เทคโนโลยีต่าง ๆ ได้แก่ แอปพลิเคชัน ถามตอบในชั้นเรียนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เช่น Kahoot! ,Wordwall เป็นต้น หรือ แอปพลิเคชัน ถามตอบหรือระดมความเห็นในชั้นเรียนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เช่น Google Form- Google Sheet เป็นต้น โดยนำ Technology ไปประยุกต์ใช้พัฒนาในขั้นตอนการสอนได้ตามความเหมาะสมตั้งแต่ขั้นที่ 1 – 7 ของรูปแบบการสอนโมเดลซิปปา (CIPPA Model) 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ ชนิด 4 ตัวเลือก มีความสอดคล้องกับพฤติกรรมทางสติปัญญาของผู้เรียนในการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ สามารถประเมินได้จากการจัดการเรียนรู้ พฤติกรรมทางสติปัญญาของผู้เรียน จะประกอบด้วย ความรู้ความจำ ความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ 6. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 6.1 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังการเรียนที่สูงขึ้น 6.2 ครูได้แนวทางในการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาวิธีการสอน และสื่อที่ใช้ในการสอนได้อย่าง มีประสิทธิภาพ 6.3 โรงเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์สูงขึ้น


บทที่2 แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนค่อนข้างต่ำ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลชิปปา (cippa model) เพื่อเป็นแนวทาง ในการวิจัยได้ทำการศึกษาหัวข้อที่เกี่ยวข้องต่างๆ ดังต่อไปนี้ 2.1 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 2.2 แนวคิดทางการเรียนคณิตศาสตร์ 2.3 ทักษะการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ 2.4 กระบวนการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของโมเดลซิปปา (Cippa Model) 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ 2.1.1 ความสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในกำรเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คณิตศาสตร์ช่วยให้ คณิตศาสตร์ช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบวิเคราะห์ปัญหาหรือ สถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผนแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และ สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่นๆในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนาเศรษฐกิจขอประเทศ ให้ ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้และสอดคล้องกับ สภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้า อย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ 2.1.2 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) ฉบับนี้ จัดทำโดยคำนึงถึงการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษ นั่นคือการเตรียมผู้เรียน ให้มีทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณการคิดสร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยี การสื่อสาร และการร่วมมือ การเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม สามารถแข่งขัน และอยู่ร่วมกับประชาคมโลกได้ ทั้งนี้การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จ เตรียมผู้เรียนให้มี ความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ พร้อมที่จะประกอบอาชีพเมื่อจบ สามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้น สถานศึกษาควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน 2.1.3 คุณภาพผู้เรียน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี2545 ได้กำหนด คุณภาพของผู้เรียนไว้ดั้งนี้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จัดเป็น 3 สาระ ได้แก่ จำนวนและพีชคณิต การวัดและ เรขาคณิต และสถิติและความน่าจะเป็น


6 จำนวนและพีชคณิต เรียนรู้เกี่ยวกับ ระบบจำนวนจริง สมบัติเกี่ยวกับจำนวนจริง อัตราส่วน ร้อยละ การประมาณค่า การแก้ปัญหาเกี่ยวกับจำนวน การใช้จำนวนในชีวิตจริง แบบรูป ความสัมพันธ์ฟังก์ชัน เซต ตรรกศาสตร์ นิพจน์ เอกนาม พหุนาม สมการ ระบบสมการ อสมการ กราฟ ดอกเบี้ยและมูลค่าของเงิน ลำดับและอนุกรม และการนำความรู้เกี่ยวกับจำนวนและพีชคณิตไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ การวัดและเรขาคณิต เรียนรู้เกี่ยวกับ ความยาว ระยะทาง น้ำหนัก พื้นที่ ปริมาตรและความจุ เงินและเวลา หน่วยวัดระบบต่างๆ การคาดคะเนเกี่ยวกับการวัด อัตราส่วนตรีโกณมิติ รูปเรขาคณิตและสมบัติ ของรูปเรขาคณิต การนึกภาพ แบบจำลองทางเรขาคณิต ทฤษฎีบททางเรขาคณิต การแปลงทางเรขาคณิตใน เรื่องการเลื่อนขนาน การสะท้อน การหมุน และการนำความรู้เกี่ยวกับการวัด และเรขาคณิตไปใช้ในสถานการณ์ ต่างๆ สถิติและความน่าจะเป็น เรียนรู้เกี่ยวกับ การตั้งคำถามทางสถิติ การเก็บรวบรวมข้อมูล การ คำนวณค่าสถิติ การนำเสนอและแปลผลสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ หลักการนับเบื้องต้น ความ น่าจะเป็นการใช้ความรู้เกี่ยวกับสถิติและความน่าจะเป็นในการอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ และช่วยในการตัดสินใจ 2.1.4 โครงสร้างหลักสูตรคณิตศาสตร์ การจัดโครงสร้างสาระและมาตรฐานการเรียนรู้สาระคณิตศาสตร์ มีความต่อเนื่องและสัมพันธ์กันทุกสาระ โดย มีเนื้อหาและสาระที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ได้ลงมือปฏิบัติจริง พร้อมทั้งสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม และ เจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้สาระคณิตศาสตร์ประกอบไปด้วย สาระที่1 จำนวนและพีชคณิต มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การ ดำเนินการของจำนวน ผลที่เกิดขึ้นจาการดำเนินการ สมบัติของการ ดำเนินการ และนำไปใช้ มาตรฐาน ค 1.2 เข้าใจและวิเคราะห์แบบรูป ความสัมพันธ์ ฟังก์ชัน ลำดับและอนุกรม และ นำไปใช้ มาตรฐาน ค 1.3 ใช้นิพจน์ สมการ และอสมการ อธิบายความสัมพันธ์หรือช่วยแก้ปัญหาที่ กำหนดให้ สาระที่ 2 การวัดและเรขาคณิต มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัด วัดและคาดคะเนขนาดของสิ่งที่ต้องการวัด และ นำไปใช้ มาตรฐาน ค 2.2 เข้าใจและวิเคราะห์รูปเรขาคณิต สมบัติของรูปเรขาคณิต ความสัมพันธ์ ระหว่างรูปเรขาคณิต และทฤษฎีบททางเรขาคณิต และนำไปใช้ สาระที่ 3 สถิติและความน่าจะเป็น มาตรฐาน ค 3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติ และใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา มาตรฐาน ค 3.2 เข้าใจหลักการนับเบื้องต้น ความน่าจะเป็น และนำไปใช้


7 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ 2.2.1 ความหมายของคณิตศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน(2531 , น. 99) ได้ให้ความหมายไว้ว่า “คณิตศาสตร์เป็นวิชาว่าด้วยคำนวณ” ทำให้มองเห็นคณิตศาสตร์แคบลง ไม่ได้รวมถึงขอบข่ายของคณิตศาสตร์ซึ่งยอมรับกันใน ปัจจุบัน กรมวิชาการ (2534 , น.18) ให้ความหมายคณิตศาสตร์ไว้ว่าคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาเน้น ในด้านความคิดความเข้าใจจากกิจกรรมประสบการณ์หรือของจริงหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับพื้นฐานทางคำนวณ พีชคณิต การวัด เรขาคณิตและสถิติโดยจัดให้มีความเชื่อมโยงกัน โดยคำนึงถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน กัญญา โพธิวัฒน์(2542 , น.1) ได้ให้ความหมายของคณิตศาสตร์ พอสรุปได้ว่าเป็นวิชา ที่ว่าด้วยการคิดคำนวณโดยใช้กระบวนการคำนวณอย่างเป็นระเบียบมีเหตุผลมีกระบวนการคิดที่เที่ยงตรงโดย อาศัยจำนวนเลขมีสัญลักษณ์เป็นเครื่องสร้างความเข้าใจใน การแก้ปัญหาต่างๆ จุรัตน์ปิรุติ(2544, น.1) ได้ให้ความหมายไว้ว่าคณิตศาสตร์หมายถึงกลุ่มของวิชาที่ประกอบด้วย เลขคณิต เรขาคณิต พีชคณิต แคลคูลัส ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันในเชิง ปริมาณ (Quantities) ขนาด ( Maynitudes) และ รูปร่าง (From) โดยการใช้จำนวน ( Number) สัญลักษณ์(Symbols) มาเป็นเครื่องมือ ที่ช่วยให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผลมีความคิดริเริ่มดังนั้นการเรียนการสอนคณิตศาสตร์จะต้องสัมพันธ์และ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน จากการศึกษาความหมายคณิตศาสตร์ พอสรุปได้วาคณิตศาสตร์คือกลุ่มวิชาที่เกี่ยวกับ ความคิด คำนวณ กระบวนการ และการให้เหตุผลโดยอาศัยจำนวนเลข และการใช้สัญลักษณ์มาเป็น เครื่องช่วยให้ผู้เรียน เกิดความคิด ทักษะกระบวนการ การให้เหตุผลและการคิดคำนวณ การแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน และนำไปประยุกต์ใช้กับศาสตร์อื่นๆ 2.2.2 ความสำคัญของคณิตศาสตร์ ยุพิน พิพิธกุล (2524,น.1 - 2) ได้สรุปความสำคัญของคณิตศาสตร์ไว้ดังนี้ 1. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับการคิดและมีการพิสูจน์อย่างมีเหตุผลว่าสิ่งที่คิดเป็นจริงหรือไม่ 2. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีโครงสร้างที่มีเหตุผล ใช้อธิบายข้อคิดต่างๆที่สำคัญได้เช่น สัจพจน์ คุณสมบัติ กฎ ทำให้เกิดความคิดที่เป็นรากฐานในการพิสูจน์เรื่องอื่นๆต่อไป 3. คณิตศาสตร์เป็นภาษาอย่างหนึ่งที่ใช้สัญลักษณ์ที่รัดกุมและสื่อความหมายได้ถูกต้อง โดยใช้ ตัวอักษรแสดงความหมายแทนความคิดเป็นเครื่องมือที่ใช้ฝึกสมองช่วยให้เก่งการกระทำในการคิดคำนวณ การแก้ปัญหา 4. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีแบบแผนในการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์นั้นต้องคิดอยู่ในแบบแผน และมีรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการคิดในเรื่องใดก็ตามทุกขั้นตอนจะตอบได้และจำแนก ออกมาให้เห็นจริงได้ 5. คณิตศาสตร์เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ความงามของคณิตศาสตร์ คือมีความเป็นระเบียบ และ กลมกลืนนักคณิตศาสตร์พยายามแสดงความคิดเห็นใหม่ๆและแสดงโครงสร้างใหม่ทางคณิตศาสตร์ออกมา ปัจจุบันคณิตศาสตร์มีบทบาทมากกว่าอดีตและมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้นทางด้านสังคมวิทยา ต้องอาศัยความรู้ทางสถิตินักธุรกิจก็ต้องใช้ความรู้และหลักการทาง คณิตศาสตร์ช่วยคิดคำนวณผลผลิตต่างๆ


8 พิสมัย ศรีอำไพ (2544,น. 17) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของวิชาคณิตศาสตร์ 1. ประโยชน์ที่ใช้ในลักษณะชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกคนทราบดี คือ ทำให้บวก ลบคูณ หารเป็น ความสามารถที่นำใช้ในชีวิตประจำวันของทุกคนทุกระดับอาชีพบางครั้งเราใช้คณิตศาสตร์ ในชีวิตประจำวัน โดยไม่รู้ตัวเช่นการดูเวลา การกะระยะทางการซื้อขายการกำหนดรายรับรายจ่าย ในครอบครัว หรือแม้แต่การ เล่นกีฬา นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือปลูกฝังอบรมให้ผู้เรียน มีนิสัยทัศนคติ และความสามารถทาง สมอง ความเป็นคนคนช่างสังเกตการคิดอย่างมีเหตุผล แสดงความคิดออกมาอย่างเป็นระเบียบและชัดเจน ตลอดจนความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาเป็นต้น 2. ประโยชน์ในลักษณะใช้ประเทืองสมอง ผู้ที่ศึกษาคณิตศาสตร์สูงขึ้นจะเห็นว่าเนื้อหาของ คณิตศาสตร์บางตอนไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยตรงแต่เนื้อหาเหล่านั้นเป็นสิ่ง ที่ช่วยฝึกให้ คนเราฉลาดขึ้นเพราะเรารู้จักคิดมีเหตุผลและการได้คิดอย่างถูกต้องหรืออย่างมีเหตุผลมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่ กับการฝึกฝทางสมอง จึงเป็นที่ยอมรับว่าคณิตศาสตร์ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางสมอง ให้สมองมีความสามารถใน การคิดการตัดสินใจและการแก้ปัญหาให้ดีขึ้น กล่าวได้ว่าคณิตศาสตร์ทำให้คนฉลาดขึ้นเพราะการวัดความฉลาด นั้นวัดที่ความสามารถของสมอง จากที่กล่าวมาพอสรุปความสำคัญของคณิตศาสตร์ว่าเป็นวิชาที่ช่วยให้คนเราฝึกการคิด วิเคราะห์ ปัญหาอย่างมีเหตุผล และเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้กลุ่มสาระต่างๆ ตลอดจนทุกสาขา อาชีพ ล้วนจำเป็นต้อง ใช้ในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขเช่นดูเวลา การซื้อขาย และคำนวณต่างๆ ต้องใช้สัญลักษณ์ บวก ลบ คูณ หาร เพื่อประกอบการตัดสินใจในการที่จะทำหรือไม่ ทำสิ่งใด ๆอย่างสมเหตุสมผล 2.3 ทักษะการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ การคิดทางคณิตศาสตร์เป็นกระบวนการที่สรุปข้อเท็จจริงได้อย่างเที่ยงตรง โดยอาศัยชุดของข้อมูล มาประกอบ ซึ่งต้องสร้างข้อคาดเดา (สมมติฐาน) ค้นหาวิธีการ ศึกษาหาความรู้ การทดลอง เพื่อแก้ปัญหาหรือ เพื่อสรุปเป็นสมบัติหรือกฎเกณฑ์ แล้วตรวจสอบความถูกต้อง และอธิบายเพื่อยืนยันการสรุป ข้อสรุปเหล่านี้จะ หลอมรวมกันเป็นแนวคิดใหม่ ซึ่งการให้เหตุผลจะเป็นส่วนหนึ่งของการคิดทางคณิตศาสตร์ สเตเฟ่น ครูลิก และเจสเส เอ รุดนิก แห่งมหาวิทยาลัยเทมเปิล สหรัฐอเมริกา ได้แบ่งลำดับขั้นตอน การคิดทางคณิตศาสตร์เป็น 4 ขั้นตอน คือ ขั้นระลึกได้ (recall) ขั้นการคิดขั้นพื้นฐาน (basic thinking) ขั้น การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) และขั้นการคิดสร้างสรรค์ (creative thinking) โดยที่ทุกลำดับ ขั้นตอนจะใช้ทักษะที่อยู่ระดับต่ำกว่าประกอบด้วย กล่าวคือ การคิดในระดับสูงจะมีปฏิสัมพันธ์อย่างมาก ระหว่างการคิดย้อนหลังและการคิดก้าวต่อไป ลำดับขั้นการคิดทางคณิตศาสตร์สามารถอธิบายได้โดยย่อดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นระลึกได้ การคิดขั้นระลึกได้จะรวมทักษะการคิดซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติตามธรรมชาติ รวมทั้งข้อเท็จจริง เบื้องต้นทางคณิตศาสตร์ ตัวอย่างเช่น 3 x 2 = 6 , 4 + 3 = 7 ซึ่งเป็นแนวคิดที่เราได้รับการสั่งสอนมา ตั้งแต่วัยเด็ก เราจึงจดจำข้อความจริงเหล่านี้ได้อย่างขึ้นใจ ความสามารถในการนำข้อความจริงเหล่านี้ไปใช้ใน การคิดคำนวณเป็นความสามารถขั้นระลึกได้ ข้อความจริงขั้นระลึกได้นี้จะสามารถแผ่ขยายออกไปได้ตาม ความสามารถของแต่ละบุคคล โดยผ่านกระบวนการของการศึกษา ซึ่งเนื้อหาของวิชาคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวกับ


9 ข้อความจริงเบื้องต้นจะรวมกันเป็นคลังข้อมูลที่ระลึกได้เมื่อต้องการนำไปใช้ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร จำนวน สูตรคูณ การคิดค่าร้อยละ การจำและการใช้กฎหรือสูตรต่างๆ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับรูป เรขาคณิต เป็นต้น ขั้นที่ 2 การคิดขั้นพื้นฐาน การคิดขั้นพื้นฐานจะรวมความเข้าใจแนวคิดทางคณิตศาสตร์เอาไว้ด้วย เช่น ในการแก้โจทย์ปัญหา เรื่องการคูณ นอกจากจะจำสูตรคูณได้แล้วยังต้องมีความเข้าใจถึงแนวคิดและหลักการของการคูณ จึงจะ สามารถแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับการคูณและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น ถ้าจะคิดราคาไอศกรีม 5 ถ้วย ราคาถ้วยละ 10 บาท การท่องจำสูตรคูณไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา จะต้องเข้าใจด้วยว่า 10 + 10 + 10 + 10 + 10 = 5 x 10 การพัฒนาการคิดขั้นพื้นฐานนี้จะต้องใช้ทักษะการให้เหตุผลมาช่วยในการทำความ เข้าใจ ดังนั้นการพัฒนาการคิดในขั้นนี้จะเป็นขั้นที่เริ่มใช้ทักษะการให้เหตุผลมาเป็นองค์ประกอบของการ คิด ตัวอย่างสถานการณ์ปัญหาในชีวิตประจำวันที่ใช้การคิดขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การคำนวณส่วนลดของ สินค้า การคำนวณรายรับรายจ่ายในครัวเรือน การคาดคะเนเกี่ยวกับการชั่วตวงวัด การคิดค่าร้อยละในการทำ ธุรกรรมทางการเงินด้านต่างๆ เป็นต้น ความเข้าใจความคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญ มีตัวอย่างความคิดเห็นไม่ตรงกันที่ เกิดขึ้นมาแล้ว ดังนี้ ครูให้นิยามการคูณ 4 x 5 = 5 + 5 + 5 + 5 นักเรียนทำส่งครู 4 x 5 = 4 + 4 + 4 + 4 + 4 = 20 ครูบอกว่านักเรียนทำผิด ในเรื่องนี้มีผู้แสดงความคิดเห็นทั้งสองด้าน คือ นักเรียนทำผิด และนักเรียนทำ ถูกแล้ว การคูณอาจนิยามได้เป็นสองแบบ คือ 4 x 5 = 5 + 5 + 5 + 5 หรือ 4 x 5 = 4 + 4 + 4 + 4 + 4 แต่เมื่อครูกำหนดบทนิยามให้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่นักเรียนทำมาก็ไม่ถูกต้อง เพราะแสดงว่าไม่เข้าใจบทนิยาม ตัวอย่างง่ายๆ ที่จะแสดงให้เห็นว่าการคูณทั้งสองแบบแตกต่างกัน เช่น ให้เงินเด็ก 2 คน คน ละ 20 บาท เด็กคนที่หนึ่งไปซื้อขนมห่อละ 5 บาท ได้ 4 ห่อ ในขณะที่เด็กคนที่สองไปซื้อขนมห่อ ละ 4 บาท ได้ 5 ห่อ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีความหมายต่างกัน ในการท่องสูตรคูณ เรานิยมให้เด็กท่องจำตามวิธีการเขียนในแบบที่สอง เช่น 2 x 1 = 2 ความหมายคือ มี 2 หนึ่งตัว 2 x 2 = 4 ความหมายคือ มี 2 สองตัวบวกกัน 2 + 2 = 4 2 x 3 = 6 ความหมายคือ มี 2 สามตัวบวกกัน 2 + 2 + 2 = 6 2 x 4 = 8 ความหมายคือ มี 2 สี่ตัวบวกกัน 2 + 2 + 2 + 2 = 8 แต่ในการเรียนพหุนามเรานิยมใช้ตามวิธีการเขียนในแบบที่หนึ่ง เช่น y + y + y + y = 4y


10 ขั้นที่3 ขั้นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ขั้นการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นการคิดที่มีการตรวจสอบ การมองความสัมพันธ์ การประเมิน ค่า รูปแบบต่างๆ ของการแก้ปัญหาหรือสถานการณ์ ในขั้นนี้จะรวมทักษะการวิเคราะห์ส่วนต่างๆ ของปัญหาหรือ การกล้าเผชิญปัญหา การรวบรวมข้อมูล การจัดการข้อมูลภายในปัญหา การตรวจสอบและการวิเคราะห์ ตลอดจน การนำข้อมูลที่เคยเรียนรู้มาสัมพันธ์กัน ความสามารถในการอ่านอย่างเข้าใจ รวมถึงการจำแนกระหว่างข้อมูลที่ จำเป็นและข้อมูลส่วนเกิน การระบุได้ว่าสิ่งใดในปัญหาเป็นสิ่งที่ต้องการหาคำตอบ นอกจากนี้ยังรวมถึงทักษะการให้ เหตุผลประกอบคำตอบด้วย การคิดในขั้นนี้เป็นขั้นที่สูงกว่าการคิดขั้นระลึกได้ และขั้นพื้นฐาน ซึ่งในการพัฒนา ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณนี้จะต้องทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ การให้เหตุผล และ การแก้ปัญหา ตัวอย่างสถานการณ์ปัญหาในชีวิตประจำวันที่ใช้การคิดอย่างมีวิจารณญาณในการแก้ปัญหา ได้แก่ การตัดสินในเรื่องที่สำคัญต่างๆ เช่น การลงทุน การซื้อบ้าน การซื้อรถ การซื้อที่ดิน การเลือกซื้อสินค้าต่างๆ ใน ชีวิตประจำวัน เป็นต้น การแก้ปัญหาในสถานการณ์เหล่านี้นอกจากจะใช้ความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์แล้วยังต้อง ใช้การรวบรวมข้อมูล ประสบการณ์ การวิเคราะห์ข้อมูล การให้เหตุผล ทักษะการประเมินค่า และทักษะอื่นๆ ที่จำ เป็นมาเป็นองค์ประกอบเพื่อให้ได้ผลของการคิดและการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลและเกิดประโยชน์สูงสุด ขั้นที่4 การคิดสร้างสรรค์ การคิดสร้างสรรค์เป็นจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดผลที่ซับซ้อน การคิดสร้างสรรค์เป็นการประดิษฐ์ การรู้ แจ้ง และการจินตนาการ ในขั้นนี้จะรวมทักษะการสังเคราะห์แนวคิด การสร้างแนวคิด การประยุกต์แนวคิด - การสังเคราะห์แนวคิดจะใช้วิธีการที่แตกต่างจากวิธีปกติที่จะเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ และปรับแต่ง แนวคิดเดิม - การสร้างแนวคิดจะใช้วิธีการหาทางเลือกสร้างรูปแบบแนวคิดใหม่ๆ จากแนวคิดเดิม - การประยุกต์แนวคิด หมายถึง การพิจารณาประสิทธิภาพของแนวคิดใหม่ การคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการต่อเนื่อง ความรู้เก่าจะถูกสังเคราะห์เชื่อมโยง และแผ่ขยาย ออกไปเพื่อสร้างแนวคิดใหม่ การคิดในขั้นนี้เป็นขั้นที่สูงกว่าขั้นระลึกได้ ขั้นพื้นฐาน และขั้นวิจารณญาณ กิจกรรมที่ใช้พัฒนาทักษะการคิดด้านนี้ ได้แก่ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาลักษณะการคิดวิเคราะห์ การ คิดผสมผสาน การคิดริเริ่ม เป็นต้น ตัวอย่างสถานการณ์ในชีวิตประจำวันที่ใช้การคิดสร้างสรรค์ในการ แก้ปัญหา ได้แก่ การปรับเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่มีอยู่เดิมมาทำให้ดีขึ้น เร็วขึ้น ประหยัดขึ้น ลดค่าใช้จ่าย และมี ประสิทธิภาพมากขึ้น การนำเศษวัสดุหรือสิ่งของเหลือใช้มาประดิษฐ์ ประยุกต์ หรือซ่อมแซมเพื่อให้สามารถนำ กลับมาใช้ประโยชน์ในงานต่างๆ ได้ใหม่ การตั้งราคาขายของสินค้าที่เราผลิตเอง การปรับปรุงสูตรอาหารให้มี รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น เป็นต้น 2.4 กระบวนการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของโมเดลซิปปา (Cippa Model) รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (Cippa Model) หรือ รูปแบบการประสานห้าแนวคิด ได้พัฒนาขึ้นโดย ทิศนา แขมมณี รองศาสตราจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้พัฒนารูปแบบจากประสบการณ์ในการสอนมากว่า 30 ปี และพบว่าแนวคิด จำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา จึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกันเกิดเป็นแบบแผนขึ้น แนวคิด ดังกล่าวได้แก่


11 1. แนวคิดการสร้างความรู้ 2. แนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ 3. แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ 4. แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ 5. แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนความรู้ เมื่อนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนพบว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะ เป็นด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญาและสังคม โดยหลักการของโมเดลซิปปา ได้ยึดหลักการเรียนการสอนที่ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ในตัวหลักการคือการช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนมี บทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและได้เรียนรู้จากกันและกัน มี การแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดเห็นและประสบการณ์ ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ร่วมกับการ ผลิตผลงานซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายและสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้นักเรียนเป็น ผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิด Constructivism (ทิศนา แขมมณี, 2542 ) แนวคิดทั้ง 5 เป็นที่มาของแนวคิด "CIPPA" ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ สูงสุด โดยการให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง จากแนวคิดข้างต้น สรุปเป็นหลักซิปปา (CIPPA) ได้ดังนี้ 1. C มาจากคำว่า Construction of knowledge หลักการสร้างความรู้ หมายถึง การให้ผู้เรียน สร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructivism ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นประสบการณ์เฉพาะตนในการสร้าง ความหมายของสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาส สร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง ซึ่งการที่ผู้เรียน มีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนี้เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา 2. I มาจากคำว่า Interaction หลักการปฏิสัมพันธ์ หมายถึง การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งตามทฤษฎีConstructivism และ Cooperative Learning เชื่อว่าการเรียนรู้เป็น กระบวนการทางสังคมที่บุคคลจะต้องอาศัยและพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการ อยู่ร่วมกัน กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคล และ แหล่งความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม 3. P มาจากคำว่า Process Learning หลักการเรียนรู้กระบวนการ หมายถึง การเรียนรู้ กระบวนการต่างๆ เพราะทักษะกระบวนการเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไป กว่าสาระ (Content) ของการเรียนรู้ กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ กระบวนการต่างๆ เช่น กระบวนการคิด กระบวนการทำงาน กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการ แก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม ฯลฯ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ ตลอดชีวิต รวมทั้งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านสติปัญญาอีกทางหนึ่ง 4. P มาจากคำว่า Physical participation / Involvement หลักการมีส่วนร่วมทางร่างกาย หมายถึง การให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำกิจกรรมในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเป็นการช่วยให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางกาย กล่าวคือ การเรียนรู้ต้องอาศัยการเรียนรู้การเคลื่อนไหวทางกายจะช่วยให้ประสาท การรับรู้ "active" และรับรู้ได้ดีดังนั้นในการสอนจึงจาเป็นต้องมีกิจกรรมให้ผู้เรียนต้องเคลื่อนไหวที่หลากหลาย และเหมาะสมกับวัยและความสนใจของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้


12 5. A มาจากคำว่า Application หลักการประยุกต์ใช้ความรู้ หมายถึง การนาความรู้ไป ประยุกต์ใช้ กล่าวคือ การนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงหรือการปฏิบัติจริง จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการ เรียน ทำให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ และเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้น กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีแต่เพียงการ สอนเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนเข้าใจ โดยขาดกิจกรรมการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ จะทำให้ผู้เรียนขาดการเชื่อมโยง ระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร การจัด กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียน สามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้ เท่ากับเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ในด้านใดด้าน หนึ่งหรือหลายๆ ด้านแล้วแต่ลักษณะของสาระและกิจกรรมที่จัดนอกจากนี้ การนำความรู้ไปใช้เป็นประโยชน์ใน การดำรงชีวิต เป็นเป้าหมายสำคัญของการจัดการศึกษาและการเรียนการสอน วัตถุประสงค์ของรูปแบบ รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริงโดยการให้ผู้เรียน สร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม การปฏิสัมพันธ์สังคม และกระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซิปปา (CIPPA) เป็นการหลักซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ให้แก่ ผู้เรียนการจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย ซึ่งอาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้และได้มีการนำไปทดลองใช้แล้ว ได้ผลดี ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วยให้ ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ ได้อย่าง หลากหลาย ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูล หรือแหล่งความรู้ต่างๆ ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้ ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม ขั้นนี้เป็น ขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของ ข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่ม ในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือ ในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไป พร้อมๆ กัน ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้ง ความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย


13 ขั้นที่6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน หากข้อความรู้ที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติขั้น นั้นจะเป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หาก ต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถใน การแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้นๆหลังจากการประยุกต์ใช้ในความรู้ อาจจะมีการนำเสนอผลงานจากการ ประยุกต์อีกครั้งก็ได้ หรืออาจไม่มีการนำเสนอผลงานในขั้นที่ 6 แต่นำมารวมแสดงในขั้นตอนท้ายหลังขั้นการ ประยุกต์ใช้ก็ได้เช่นกัน ขั้นตอนตั้งแต่ขั้นที่ 1-6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (construc-tion of Knowledge) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (interaction)และฝึกฝนทักษะ กระบวนการต่างๆ (process learning) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้ผู้เรียนได้ทำ กิจกรรมหลากหลายที่มีลักษณะให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อย่างเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPPส่วนขั้นตอนที่7 เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ (application) จึงทำให้เป็นรูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบตามหลักCIPPA จากการศึกษาขั้นตอนการจัดการเรียนแบบซิปปา ที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า การจัดการ เรียน การสอนแบบซิปปา นั้นเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ต้องมีการ วางแผนการเรียนรู้ เป็นขั้นตอนที่ชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติและเกิดการเรียนรู้ได้จริง ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้น คือ ขั้นทบทวนความรู้เดิม ขั้นแสวงหาความรู้ใหม่ขั้นศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นสรุปและจัดระเบียบ ความรู้ ขั้นแสดงผลงาน และขั้นการประยุกต์ใช้ความรู้ ซึ่งผู้วิจัยได้ นำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนวิชาคณิตศาสตร์ในครั้งนี้Technology for Instruction การใช้ เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน ส่งเสริมการเรียนรู้ในชั้นเรียนเป็นเครื่องมือสำหรับครูและนักเรียนใน กระบวนการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนโดยเน้นหลักการมีปฏิสัมพันธ์ (interactive) การ เรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้แก่ แอปพลิเคชัน ถามตอบในชั้น เรียน ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เช่น Kahoot! , Wordwall เป็นต้น หรือแอปพลิเคชันถาม-ตอบหรือระดม ความเห็นในชั้นเรียนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เช่น Google Form - Google Sheet เป็นต้น 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ปกาศิด ปลั่งกลาง (2545 บทคัดยอ) ได้พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนการแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ขั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยใช้โมเดลซิปปา ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 82 67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็มและมีจำนวนนักเรียน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 85 ซึ่งสูงกว่าที่กำหนดไว้ร้อยละ 80


14 สุรเชษฐ์ศรีนาทม (2553) ได้ศึกษา ผลการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา เรื่อง ระบบ สมการเชิง เส้น กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของ แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ พื้นฐานตามรูปแบบซิปปา เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 มีค่าเท่ากับ 0.60 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ตามรูปแบบซิปปา เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก ชเรนทร์ จิตติพุทธางกูร (2553) ได้ศึกษาการส่งเสริมทักษะการเชื่อมโยงทาง คณิตศาสตร์ เรื่องพี ทาโกรัส โดยใช้กิจกรรมการเรียนการสอนแบบซิปปา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโคกยาง วิทยา จังหวัดสุรินทร์ พบว่าการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ ในสาระคณิตศาสตร์ พบว่านักเรียนมีความสามารถ ในการนําหลักการ วิธีการ ความรู้ เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส ไปเชื่อมโยงกับคู่อันดับและกราฟ สมการ การวัด อัตราส่วน และ จํานวนจริง เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาอยู่ในระดับดี และการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์กับชีวิตจริง พบว่านักเรียนมีความสามารถในการนําหลักการ วิธีการ ความรู้ เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัสกับงานที่เกี่ยวข้องใน ชีวิตประจําวัน เพื่อนําไปสู่การแกปัญหาอยู่ในระดับดี รัฐศาสตร์ พรคุณวุฒิ (2553) ได้ศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับ สถานการณ์ในชีวิตจริง เรื่องการวัด สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแกน้อยศึกษา จังหวัด เชียงใหม่ พบว่า ความสามารถของนักเรียนในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ในชีวิต จริงจากการทําแบบฝึกหัด/ ใบงาน โดยเฉลี่ย นักเรียนอยู่ในเกณฑ์ ระดับดี และจากแบบทดสอบประจําหน่วย โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับดี และความสนใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านความ กระตือรือร้น ในการเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนการสอน และด้านความเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมาย นักเรียนแสดง พฤติกรรมในระดับมาก ส่วนด้านความอยากรู้อยากเห็นนักเรียนเขียนบันทึกการเรียนรู้เกี่ยวกับ ความต้องการประยุกต์ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์กับบริบทชีวิตจริงในระดับมาก ระเบียบ สมหวัง. (2551). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โมเดลซิปปา เรื่องทศนิยม นักเรียน ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น จิรากาญจน์ หงส์ชูตา. (2545). การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญใน วิชาคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เรื่องเศษส่วนโดยใช้โมเดลซิปปา. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น พรพิทักษ์ หมู่หัวนา.(2561). การพัฒนาการกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์เรื่องเงินสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการสอนแบบซิปปา สามารถสรุปได้ว่ารูปแบบการ สอนแบบซิปปา เป็นการจัดกิจกรรมที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และการจัดการเรียน แบบร่วมมือซึ่งเป็น หลักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและส่งเสริมการใช้ทักษะและกระบวนการต่างๆเพื่อแสวงหาความรู้ตลอดถึง การนําไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม ซึ่งส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจ ในการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา และนํามาใช้ในการวิจัย


บทที่ 3 วิธีดำเนินการ 1. ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 24 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 จำนวน 29 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 จำนวน 35 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 29 คนนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 30 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 22 คน ในปีการศึกษา 2566 รวมทั้งสิ้นจำนวน 169 คน 2. ระยะเวลาที่ใช้ ดำเนินการตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2566 ถึง เดือน มีนาคม 2567 ครั้งที่ 1–9การค้นหาปัญหา การออกแบบ แนวทางแก้ไขปัญหาการเลือกรูปแบบ กระบวนการ/นวัตกรรม การวางแผนกิจกรรม ปฏิบัติและสังเกตการเรียนรู้ ดำเนินการตามวงรอบ ครบทั้งหมด 1วงรอบ รวม 18 ชั่วโมง ครั้งที่ 10 - 15 ดำเนินการต่ออีก 2 วงรอบ และดำเนินการสรุปการร่วมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (AAR) รวม 1 ปีการศึกษา ดำเนินการ 3 วงรอบ อีก 15 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 33 ชั่วโมง 3. เครื่องมือที่ใช้ 1. แผนจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน CIPPA MODEL 2. แบบทดสอบ Pre-test / Post- test เกณฑ์การประเมิน คะแนน 7 –10 คือ ดี คะแนน 4 – 6 คือ พอใช้ คะแนน 1 – 3 คือ ปรับปรุง 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ชี้แจงวัตถุประสงค์และขั้นตอนการดำเนินการวิจัยแก่นักเรียน และทำการวัดผลก่อนการจัดการ เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Teachnology) จำนวน 1 ชุด เป็นปรนัย จำนวน 10ข้อ (Pre-test) 2. จัดกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 4 คน โดยคละความสามารถ (เรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และ อ่อน 1 คน) 3. ดำเนินการสอนตามแผนการเรียนรู้ในแต่ละแผนการสอนผู้วิจัยได้ใช้แบบวัดความสามารถในการ พัฒนาทักษะการคิดคำนวณของนักเรียน เป็นแบบอัตนัย จำนวน 5 ข้อ


16 4. หลังจากดำเนินการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลชิปปา(CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Teachnology) ได้ทดสอบนักเรียนโดยทำการวัดผลหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Teachnology) จำนวน 1 ชุด เป็นปรนัย จำนวน 10 ข้อ (Post-test) 5. เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนทั้งหมด ผู้วิจัยให้นักเรียนทา แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่ มีต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้ เทคโนโลยี (Teachnology) 6. เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากแบบวัดผลทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ แบบวัดความสามารถในการ พัฒนาทักษะการคิดคำนวณของนักเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ประมวลผล วิเคราะห์เพื่อตรวจสอบสมมุติฐานและสรุปผลการวิจัย 5. การวิเคราะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลข้อมูล โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. วิเคราะห์ความสามารถในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยวิเคราะห์ค่าร้อยละ (Percentage) 2. วิเคราะห์ผลทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (Mean ) และค่าสถิติ paired samples t-test


บทที่ 4 ผลการดำเนินการ การดำเนินการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพนี้ เป็นการดำเนินการของกลุ่ม “ Mixed maths เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน รูปแบบการจัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) สำหรับนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ให้ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 70 ขึ้นไป ปีการศึกษา 2566 โดยร่วมกันจัดทำแผนการจัดการ เรียนรู้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) ซึ่ง น่าจะเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ในวิชาคณิตศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนส่งเสริมให้นักเรียน ได้มีโอกาสพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ให้ดียิ่งขึ้น และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ให้สูงขึ้น ขอนำเสนอผลการวิเคราะห์ 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ประเด็นการสะท้อนผลการสอน / ฝึกปฏิบัติ / กิจกรรม สมาชิกในกลุ่มได้วิเคราะห์ข้อมูลหลังจากการสังเกตการสอนของครูผู้ร่วมเรียนรู้สามารถวิเคราะห์ ประเด็นต่าง ๆ ได้ดังต่อไปนี้ 1.1 ประเด็นด้านผู้เรียน - นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างแท้จริง และลงมือปฏิบัติจริง - นักเรียนเรียนรู้ร่วมกันอย่างมีความสุข - มีการตั้งคำถามที่กระตุ้นผู้เรียนร่วมแสดงความคิดเห็น 1.2 ประเด็นด้านกิจกรรม - มีการจัดกิจกรรมการเรียนที่สอดคล้องกับตัวชี้วัด - การมีปฏิสัมพันธ์/การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนและครูกับผู้เรียน ปฏิสัมพันธ์ที่ดี - มีการจัดลำดับขั้นตอนและความต่อเนื่องของกิจกรรมดีและสามารถปฏิบัติกิจกรรมได้อย่าง ลื่นไหล ทำให้การจัดการเรียนการสอนมีความชัดเจน เรียนรู้ง่ายมากยิ่งขึ้น - มีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย เน้นผู้เรียนมีส่วนร่วม - มีการวัดผลและประเมินผลมีความเหมาะสม ตามสภาพจริง - สื่อเทคโนโลยีมีความหลายหลาย น่าสนใจ และใช้ได้จริง 1.3 ประเด็นด้านครูผู้สอน - ครูผู้สอนมีวิธีการควบคุมชั้นเรียนได้เหมาะสมกับการเรียนการสอน - ครูผู้สอนมีกำหนดเนื้อหา เหมาะสมกับบทเรียน และระดับความสามารถของผู้เรียน - มีเทคนิคการถ่ายทอดความรู้ที่หลากหลาย - ครูผู้สอนมีการเสริมแรงนักเรียน และชื่นชมนักเรียน - มีการใช้น้ำเสียงชัดเจนและใช้ภาษาสื่อสารที่เหมาะสม


18 1.4 ประเด็นสื่อการสอน - สื่อการสอนมีความหลากหลาย เห็นภาพได้ชัดเจน - มีสื่อการสอนที่ตรงเนื้อหาของบทเรียน ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ - นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติได้ด้วยตนเอง - สื่อเทคโนโลยีมีความหลายหลาย น่าสนใจ และใช้ได้จริง 1.5 ประเด็นด้านบรรยากาศ - ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน ที่กล้าแสดงออก - สร้างแรงจูงในการเรียนให้แก่ผู้เรียน - มีข้อตกลงร่วมกันระหว่างครูกับนักเรียน 1.6 จุดแข็งจุดอ่อนของการสอน จุดแข็ง - ผู้สอนใช้เทคนิคการสอน ที่เน้นการตอบสนองของผู้เรียนเป็นหลัก - มีการนำสื่อที่หลากหลายมาใช้เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจน - กิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ - กิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลายเหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละระดับชั้น จุดอ่อน - นักเรียนขาดการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง - นักเรียนไม่มีสมาธิในการเรียน - นักเรียนไม่กล้าแสดงความคิดเห็น - นักเรียนคิดคำนวณไม่คล่อง - ความพร้อมของการใช้เทคโนโลยี ตอนที่ 2 ผลการประเมินทักษะกระบวนการคิดคำนวณของนักเรียน สมาชิกในกลุ่มได้วิเคราะห์ ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน แบ่ง ออกเป็นห้องเรียนตามกลุ่มตัวอย่างโดยเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ ตารางที่ 1 คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของแต่ละชั้น 1.1ตารางคะแนนเปรียบเทียบก่อนเรียนและหลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 ลำดับที่ ชื่อ - นามสกุล คะแนนก่อนเรียน(10 คะแนน) คะแนนหลังเรียน(10 คะแนน) 1 เด็กชายเพิ่มศักดิ์ นิ่มเงิน 3 6 2 เด็กชายสืบสกุล จันทร์ยุติธรรม 5 9 3 เด็กชายวริทธิ์ปิ่นแคน 5 9 4 เด็กหญิงปัญฐิตา วงเวียน 5 8 5 เด็กหญิงณัฐณิชา สถาน 7 9 6 เด็กหญิงทัศศิกา เครือศรี 6 9 7 เด็กชายนัฐภธีป์พวงเงิน 7 7


19 8 เด็กหญิงอันดา ค าแผง 3 7 9 เด็กหญิงปภาวรินทร์นาคนวน 4 9 10 เด็กหญิงพัชริศา ศิริบูรณ์ 3 7 11 เด็กชายศุภโชค ศรีบัวงาม 5 7 12 เด็กชายทิวากร พรหมทัต 4 9 13 เด็กหญิงณัชชา - 4 6 14 เด็กชายปวรุตม์เทพยุสินธ์ 6 7 15 เด็กชายธนรัตน์แหน่งน้อย 6 8 16 เด็กชายจักรภัทร นรินทร์ 5 8 17 เด็กหญิงไอยเรศ นพธัญญะ 5 7 18 เด็กหญิงเจริญรัตนา บุญประสิทธิ์ 6 9 19 เด็กหญิงนภามาศ วงษ์สุวรรณ์ 4 7 20 เด็กชายเพชรพัฒน์ลอยเมฆ 2 6 21 เด็กชายวรพล ทรงขวัญ 3 8 22 เด็กหญิงโยยาวดีคุ้มทอง 4 6 23 เด็กหญิงมณีวรรณ ณ สุวรรณ 3 7 24 เด็กชายคมสันต์พรมคุณ 4 8 คะแนนรวม 109 185 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 45.68 76.34 จากตารางที่ 1.1 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3/2 พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 45.68 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 76.34ซึ่งมีค่าเฉลี่ย เพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ30.66 1.2ตารางคะแนนเปรียบเทียบก่อนเรียนและหลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 ลำดับที่ ชื่อ - นามสกุล คะแนนก่อนเรียน(10 คะแนน) คะแนนหลังเรียน(10 คะแนน) 1 เด็กชายวรเมธ นีระมนต์ 4 9 2 เด็กชายชัยภัทร ชูจอหอ 4 9 3 เด็กชายอนุสรณ์ สังข์วงค์ 5 7 4 เด็กชายนคเรศ ทัศนาพันธ์ 6 7 5 เด็กชายศุภณัฐ วิทิ 2 6 6 เด็กหญิงวันวิสา บุนนาค 7 10 7 เด็กหญิงกมลชนก บุญราช 5 7 8 เด็กชายนพคุณ - 3 6 9 เด็กชายอนันต์ธนัช โสดา 3 9 10 เด็กชายบดินทร์ ทองชนะ 3 6 11 เด็กชายภัทรดนัย คุ้มผิวดำ 4 8 12 เด็กหญิงสไบทิพย์ อ่อนละมุล 4 6 13 เด็กหญิงวีรญา สนธิธรรม 3 8 14 เด็กหญิงณิชากานต์ กระดาษทอง 3 7


20 15 เด็กหญิงบัณฑิตา ทับทิม 4 7 16 เด็กหญิงกุลิสรา มั่งมี 5 9 17 เด็กหญิงกมลพรรณ มุ่งยุทธกลาง 4 9 18 เด็กชายภานุวิชญ์ พึงรัตนา 6 7 19 เด็กชายธีรวุฒิ เกษร 5 6 20 เด็กชายพงษ์พัฒน์ มีบุญ 4 7 21 เด็กชายภัทรพล นิ่มเงิน 4 6 22 เด็กชายธัมภัสกร พิมพ์ศิลา 4 8 23 เด็กหญิงจิรัชยา สมสุวรรณ 5 9 24 เด็กหญิงนริศรา เสนาประทุม 5 6 25 เด็กหญิงกัญญาพัชร ฟุ้งฟู 5 8 26 เด็กหญิงมารินดา พอกพูน 5 6 27 เด็กหญิงสุปราณี พรหมเทพ 5 7 28 เด็กหญิงญาณิศา คงสา 6 8 29 เด็กชายมาลวิน ทีจัน-จาลลอห์ 7 10 คะแนนรวม 130 281 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 44.83 75.17 จากตารางที่ 1.2 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4/1 พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 44.83 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 75.17 ซึ่งมีค่าเฉลี่ย เพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ30.69 1.3 ตารางคะแนนเปรียบเทียบก่อนเรียนและหลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 ลำดับที่ ชื่อ - นามสกุล คะแนนก่อนเรียน(10 คะแนน) คะแนนหลังเรียน(10 คะแนน) 1 เด็กชายนครินทร์ สมศรี 7 10 2 เด็กชายยศภัทร ยะมิน 5 8 3 เด็กชายพีร์ณัฐ บุญมาก 5 9 4 เด็กหญิงพิมพ์ลภัสร์ ยิ้มปรีดา 5 10 5 เด็กหญิงญาณิน แซ่เต๋ง 5 8 6 เด็กหญิงวนิดา อิ้งตระกูล 5 8 7 เด็กหญิงมินธิรา สิงห์คำ 7 10 8 เด็กหญิงทิวา แย้มชม 7 10 9 เด็กชายกิตติศักดิ์ ขันธราช 5 9 10 เด็กชายพรภิพัฒน์ ฉุ่มเงิน 5 7 11 เด็กหญิงธัญพิชชา ศรีเสมอ 5 10 12 เด็กหญิงอทิตติญา หมายชัย 5 7 13 เด็กหญิงณัฎฐนิช มณีนพ 6 10 14 เด็กชายกรกช ขาวสำรวย 5 7 15 เด็กหญิงชนัญชิตา บุญคง 8 10


21 16 เด็กหญิงชนัญชิดา บุญคง 8 10 17 เด็กชายณฐาภพ จันทรสาขา 7 10 18 เด็กชายเมธานันทน์ มัณณ์ฑิตานนท์ 7 10 19 เด็กชายบุญยกร ลือคำหาญ 8 10 20 เด็กชายธีระภัทร คำภาบุตร 5 7 21 เด็กหญิงธัญญรัตน์ บุญช่วย 8 10 22 เด็กชายราชาเดช ตันอิ่น 8 10 23 เด็กชายพิสิฐพงศ์ ธัมมานุกูลสวัสดิ์ 7 10 24 เด็กชายจิรพัฒน์ กิจชาย 5 7 25 เด็กชายมนพัทธ์ พิมพ์เสนา 8 10 26 เด็กชายกฤตธน ใจเพชร 7 9 27 เด็กชายเจริญธรรม เมฆดำ 5 8 28 เด็กหญิงพิชามนช์ มั่งมี 7 10 29 เด็กหญิงมณีรัตน์ พลฤทธิ์ 7 10 30 เด็กหญิงกัญญาณัฐ พลหาราช 8 10 31 เด็กชายวรกร สมบัวคู 5 8 32 เด็กชายอิทธิพัฒน์ อ่อนประทุม 5 9 33 เด็กหญิงธันยพร ชาวบ้านกร่าง 8 10 34 เด็กชายวิชญพล วรทัศ 8 10 35 เด็กชายกิตติพงศ์ เกิดสุข 6 10 คะแนนรวม 222 321 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 42.36 72.14 จากตารางที่ 1.3 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5/1 พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 42.36 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 72.14 ซึ่งมีค่าเฉลี่ย เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 29.78 1.4 ตารางคะแนนเปรียบเทียบก่อนเรียนและหลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 ลำดับที่ ชื่อ - นามสกุล คะแนนก่อนเรียน(10 คะแนน) คะแนนหลังเรียน(10 คะแนน) 1 เด็กชายณัฐวุฒิ ลัดลอย 5 6 2 เด็กหญิงเพ็ญนพา แก่นมีผล 6 8 3 เด็กชายสุริยา วิทิ 5 7 4 เด็กชายอุทก บุตรโคตร 6 8 5 เด็กหญิงลัดดาวัลย์ วรรณรัตน์วงทอง 3 7 6 เด็กหญิงชาลิณี นาประเสริฐ 3 7 7 เด็กชายอนันตสิทธิ์ อ้อมนอก 5 8 8 เด็กชายธนภัทร เนียมไทย 6 8 9 เด็กหญิงวรรณ์นิษา มั่งคั่ง 5 9 10 เด็กหญิงฐิตาพร สุขแจ่ม 2 5 11 เด็กหญิงนฤมล ม่วงคำ 4 8


22 12 เด็กชายธนวัฒน์ ชื่นใจ 4 8 13 เด็กชายจิรัฐ แก้วแสง 3 6 14 เด็กหญิงอริสา ศรีขาว 7 8 15 เด็กชายณฐกฤต ภิรมณ์เอม 7 9 16 เด็กชายกฤษดา ติละบาล 8 10 17 เด็กชายวรภพ จำเริญใจ 6 8 18 เด็กชายกวีศิลป์ หวลอารมณ์ 5 6 19 เด็กชายปัณณวิชญ์ แก้วลี 7 9 20 เด็กหญิงปาริดา ธัญญาผล 2 5 21 เด็กหญิงเสาวลักษณ์ นายะบุญ 4 6 22 เด็กหญิงรติมา ศรีบัวงาม 5 8 23 เด็กชายธราเทพ พุฒหมื่น 5 6 24 เด็กชายกันตพิชญ์ เช้าโพธิ์ทอง 3 5 25 เด็กชายปภังกร ศรีทองทรัพย์ 6 8 26 เด็กหญิงศิวะพร พวงแก้ว 4 6 27 เด็กหญิงเบญญาภา ผ่องอำไพ 1 5 28 เด็กหญิงเมษวดี ฉัตรานุกูล 1 5 29 เด็กหญิงณัชชานันท์ เวลาดี 3 6 คะแนนรวม 125 207 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 43.21 71.22 จากตารางที่ 1.4 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6/1 พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 43.21 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 71.22ซึ่งมีค่าเฉลี่ย เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 28.01 1.5 ตารางคะแนนเปรียบเทียบก่อนเรียนและหลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 ลำดับที่ ชื่อ - นามสกุล คะแนนก่อนเรียน(10 คะแนน) คะแนนหลังเรียน(10 คะแนน) 1 เด็กชายวรเมธ เขียวสด 4 7 2 เด็กชายวีรชัย สายไทย 4 8 3 เด็กชายสฤทธิ์บุราณรัตน์ 5 8 4 เด็กชายภัทรพล ตันอิ่น 5 7 5 เด็กชายจักร์กฤษณ์พุตบุรี 7 9 6 เด็กชายกฤษณพล เหมะ 6 7 7 เด็กชายวรวุฒิยิ้มละมัย 7 7 8 เด็กชายรพีภัทร สัตนาโค 3 8 9 เด็กชายวีรภัทร์ทองดี 4 7 10 เด็กชายศุภกฤต หารคำ 3 8 11 เด็กชายนรินทร์กร โสรเนตร 5 7 12 เด็กชายสุริยา นามแสง 4 6 13 เด็กชายวรภพ บุระณะสุวรรณ์ 4 6


23 14 เด็กชายปวรรุจ ใจสุข 6 8 15 เด็กชายอาทิตย์สมเพชร 6 9 16 เด็กหญิงฐิติกานต์แพรสี 5 9 17 เด็กหญิงอภิสรา บุญศรี 5 8 18 เด็กหญิงวีรินทร์หากระสังข์ 4 6 19 เด็กหญิงภัณฑิรา ตุ่นตา 4 6 20 เด็กหญิงภัคจิรา อาจอินทร์ 3 7 21 เด็กหญิงสิวาพร น้อยมีเจริญ 3 6 22 เด็กหญิงดวงธันยาพร เกิดสุข 4 6 23 เด็กหญิงวราภรณ์อรุณภิราม 5 7 24 เด็กหญิงนันท์นภัส คำดี 3 6 25 เด็กหญิงสาวิตา โคตรา 4 6 26 เด็กหญิงวชิราภรณ์คำแก้ว 4 7 27 เด็กหญิงกวินตรา แสงมลคลสวัสด์ 5 8 28 เด็กหญิงกานดา อรุณรัตน์ 5 8 คะแนนรวม 127 202 คะแนนเฉลี่ย 45.36 72.14 จากตารางที่ 1.5 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 45.36 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 72.14 ซึ่งมีค่าเฉลี่ย เพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 26.78 1.6 ตารางคะแนนเปรียบเทียบก่อนเรียนและหลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ลำดับที่ ชื่อ - นามสกุล คะแนนก่อนเรียน(15 คะแนน) คะแนนหลังเรียน(15 คะแนน) 1 เด็กชายณัชพล เรืองหุ่น 7 12 2 เด็กหญิงฐิตาภา ชัยทน 5 11 3 เด็กหญิงอังคณา ประเสริฐศรี 6 9 4 เด็กหญิงปัญจพรณ์สถิรศิลปิน 6 12 5 เด็กหยิงปริมฟ้า ก๊กรัมย์ 7 12 6 เด็กหญิงณิชานันท์เวลาดี 8 11 7 เด็กชายชนภัทร สังคต 3 8 8 เด็กชายฉัตรชัย ธรรมวัฒนกุล 6 9 9 เด็กชายกวินท์แซ่ตั้ง 5 11 10 เด็กชายศิลา ชาวบ้านกร่าง 4 9 11 เด็กชายณภัทร เลิศชัยอมรกิจ 9 13 12 เด็กชายกิติภูมิปรางจันทร์ 8 13 13 เด็กชายณเดชน์อุดมชัยพร 6 9 14 เด็กชายชลณภัทร มะโนศรี 7 9 15 เด็กหญิงกาญจนาพร มะโนศรี 6 8


24 16 เด็กหญิงนภัสสร เย็นสนิท 6 10 17 เด็กชายศุภวัฒน์ทรัพย์อยู่ 7 12 18 เด็กชายคุณาวุฒิเกษร 7 9 19 เด็กชายนัฐภูมิวรรณเพ็ชร 9 12 20 เด็กชายณัฐภัทร สุขชู 8 11 21 เด็กหญิงกัญญารัตน์สุขเย็น 5 11 22 เด็กชายสหรัฐ เนียมหมวด 9 13 คะแนนรวม 144 234 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 43.29 70.72 จากตารางที่ 1.6 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 43.84 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 70.91 ซึ่งมีค่าเฉลี่ย เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 27.43 ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของแต่ละชั้น ชั้น คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 45.68 76.34 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 44.83 75.17 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 42.36 72.14 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 43.21 71.22 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 45.36 72.14 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 43.29 70.72 รวม 264.41 437.73 เฉลี่ยร้อยละ 44.07 72.96 จากตารางที่ 2 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน พบว่าคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 44.07 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 72.96 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 30.56


บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ จากการดำเนินการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ รูปแบบการจัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) สำหรับนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๑(ขจรเนติยุทธ) ให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ย ร้อยละ 70 ขึ้นไป ผลการดำเนินงานที่ได้คือนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 72.96 ผลการ ประเมินดังนี้ ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 พบว่า คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 45.68 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 76.34ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ30.66 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 พบว่า คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 44.83 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 75.17 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ30.69 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 พบว่า คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 42.36 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 72.14 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 29.78 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 พบว่า คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 43.21 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 71.22ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 28.01 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 พบว่า คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 45.36 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 72.14 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 26.78 ผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 พบว่า คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 43.84 และหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 70.91 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 27.43 อภิปรายผล จากการดำเนินการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ รูปแบบการจัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) สำหรับนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๑(ขจรเนติยุทธ) ให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ย ร้อยละ 70 ขึ้นไป ผลการดำเนินงานที่ได้คือนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 72.96 อภิปราย ผลได้ดังนี้


26 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ รูปแบบการจัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 72.96 มีผลสัมฤทธิ์ตั้งแต่ร้อย ละ70 ขึ้นไป ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ทั้งนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) จะเน้นนักเรียนเป็น ศูนย์กลาง ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทำความ เข้าใจ สร้าง ความหมายของสาระ ข้อความรู้ให้แก่ตนเอง โดยอาศัยกระบวนการกลุ่มในการตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไข และ เพิ่มเติมความรู้ของตนให้สมบูรณ์ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม นักเรียนได้เรียนรู้การทำงาน ร่วมกัน เรียนรู้ทีจะอยู่หรือทำ งาน ร่วมกันอย่างมีความสุข นักเรียนได้เคลื่อนไหวร่างกาย ได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการต่าง ๆ และมีโอกาสนำ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริง ดัง ทิศนาแขมมณี(2552)กล่าวไว้ว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) ทำให้นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง (Construction of Knowledge) ซึ่งนอกจากนักเรียนจะต้องเรียนรู้ด้วย ตนเองและพึ่งตนเองแล้วยังต้องพึ่งการปฏิสัมพันธ์ (Interaction)กับเพื่อน บุคคลอื่น ๆ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว ด้วยรวมทั้งต้องอาศัยทักษะกระบวนการ (ProcessSkills) ต่าง ๆ จำนวนมาก เป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้ ส่งผลให้นักเรียนเกิดสมรรถนะที่สำคัญ และมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดไว้ อันได้แก่ สมรรถนะในการสื่อสาร ตามกรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้แก่ สมรรถนะในการคิด สมรรถนะในการแก้ปัญหา สมรรถนะในการใช้ทักษะชีวิต และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้มุ่งมั่นในการทำงาน นอกจากนี้ยังส่งผลให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ กำหนดไว้ ข้อเสนอแนะ 1. ควรพัฒนานักเรียนกลุ่มอ่อนให้มีพื้นฐานเรื่องทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ทักษะการคิด คำนวณ มีเทคนิคการคิดวิเคราะห์ง่ายๆ เพื่อให้นักเรียนได้เชื่อมโยงความรู้ทางคณิตศาสตร์ได้อย่างเหมาะสม การสร้างชิ้นงานของแต่ละหน่วยการเรียนรู้โดยใช้วิธีการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล เข้ามาช่วยและจัดกลุ่ม นักเรียนเพื่อนำมาพัฒนาให้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น 2. การจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์รูปแบบการจัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา(CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) ครูผู้สอนสามารถ ปรับเวลาให้ยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม 3. ครูควรกระตุ้นให้นักเรียนกล้าแสดงออกความคิดเห็นออกมา แม้ความคิดเห็นจะไม่ถูกต้อง หรือคิด ต่างมุม เพื่อที่จะนำไปสู่การอภิปรายและข้อสรุป 4. ควรนำการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์รูปแบบการจัดการเรียนรู้โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) ไปใช้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องอื่น โดยเลือก เนื้อหาที่เหมาะสม


บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.(ฉบับ ปรับปรุง 2560)กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก :http://www.aksorn.com/cl สืบค้นเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2565. ชเรนทร์ จิตติพุทธางกูร. (2553). การส่งเสริมทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่องพีทาโกรัส โดย ใช้กิจกรรมการเรียนการสอนแบบซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโคก ยางวิทยาจังหวัดสุรินทร์ วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชา คณิตศาสตร์ศึกษา ,บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. นงคราญ หลวงเขียว. (2556).การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ แบบซิปปากับการใช้สถานการณ์ ในชีวิต จริง เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ความสามารถใน การเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. สารนิพนธ์การศึกษา มหาบัณฑิต, สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์, มหาวิทยาลัยนเรศวร, พิษณุโลก. ปกาศิต ปลั่งกลาง (2545). การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยใช้โมเดลซิปปา.กรุงเทพมหานคร : ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ไทย. รัฐศาสตร์ พรคุณวุฒิ. (2553). การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับ สถานการณ์ ในชีวิตจริง เรื่องการวัด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2.โรงเรียน แกน้อย ศึกษา จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชา คณิตศาสตร์ศึกษา, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สุรเชษฐ์ศรีนาทม. (2553). ผลการจัดการเรียนรู้ ตามรูปแบบซิปปา เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น กลุ่ม สาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่3. วิทยานิพนธ์การศึกษา มหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. อักษรเจริญทัศน์ อจท. ( 2564 ). หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ถึง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยร่มเกล้า.


ภาคผนวก


บันทึกข้อความ ส่วนราชการ โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) โทร. ๐-๒๙๘๗-๕๘๗๘ ที่ ปท ๕๓๓๐๕.๑ /464 วันที่ 18 พฤษภาคม ๒๕๖6 เรื่อง ขอจัดตั้งกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ประจำปีการศึกษา ๒๕๖6 เรียน ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ด้วยข้าพเจ้า นางสาวปัทมา เทียมอ๊อด ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์มีความประสงค์ขอจัดตั้งกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ปีการศึกษา ๒๕๖6 โดยมี รายละเอียดดังนี้ ๑. ชื่อกลุ่มกิจกรรม Mixed Maths ๒. จำนวนสมาชิกทั้งหมด 6 คน ดังนี้ ๑) ครูผู้สอน (Model teacher) และครูเพื่อนร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) จำนวน 6 คน ที่ ชื่อ-นามสกุล ตำแหน่ง กลุ่มสาระ การเรียนรู้ ระดับชั้น ที่สอน รายวิชาที่ สอน หน้าที่ ๑ นางสาวปัทมา เทียมอ๊อด ครูชำนาญการพิเศษ คณิตศาสตร์ ม.2 คณิตศาสตร์ ประธานกลุ่ม ๒ นางอมราภรณ์ บริหาร ครูชำนาญการพิเศษ คณิตศาสตร์ ป.4 คณิตศาสตร์ สมาชิก ๓ นางสาวปนัดดา แสวขุนทด ผู้ช่วยครู คณิตศาสตร์ ป.3 คณิตศาสตร์ สมาชิก ๔ นางสาวมโนชา วามะเกตุ ผู้ช่วยครู คณิตศาสตร์ ป.6 คณิตศาสตร์ สมาชิก 5 นางสาวสุธิดา สุขตาม ครูผู้ช่วย คณิตศาสตร์ ม.1,ม.3 คณิตศาสตร์ สมาชิก 6 นางสาวธนภร มั่นสิงห์ ผู้ช่วยครู คณิตศาสตร์ ป.5 คณิตศาสตร์ เลขานุการ ๒) ครูพี่เลี้ยง (Mentor) ชื่อ นางวีรยา ดิษเหมือน ตำแหน่ง ครูวิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ ครูที่มีความเชี่ยวชาญด้าน การจัดการเรียนการสอนระดับปฐมวัย ครูที่มีผลงานดีเด่นด้าน ………………….……………. อื่นๆ (ระบุ) ……….…………………............…………………. ๓) ผู้บริหารสถานศึกษา (Administrator) ชื่อ นายเดช จงรักพงศ์เผ่า ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถานศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) รองผู้อำนวยการโรงเรียน อื่นๆ (ระบุ) …………………………….. ๔) ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ชื่อ นายนทีศรีแย้ม ตำแหน่ง ครูวิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ ครูที่มีความเชี่ยวชาญด้าน การจัดการเรียนการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูที่มีผลงานดีเด่นด้านคณิตศาสตร์ อื่นๆ (ระบุ) ........................................... ๓. สถานที่ประชุมกลุ่ม ห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 หรือ ประชุมออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชัน Google meet ๔. วันเวลาประชุมกลุ่ม วันอังคาร และ วันศุกร์เวลา ๑๕.๓0 - ๑๖.๓๐ น. โดยได้แนบหลักฐานบันทึกเชิญบุคลากรเป็นครูพี่เลี้ยงและหนังสือเชิญเป็นผู้เชี่ยวชาญมาพร้อมกับบันทึกนี้ แบบ PLC 02


จึงเรียนมาเพื่อทราบและพิจารณา ลงชื่อ ประธานกลุ่ม (นางสาวปัทมา เทียมอ๊อด) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ (นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล) ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ (นายเดช จงรักพงศ์เผ่า) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)


บันทึกข้อความ ส่วนราชการ โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) โทร. ๐-๒๙๘๗-๕๘๗๘ ที่ ปท ๕๓๓๐๕.๑ /482 วันที่ 19 พฤษภาคม ๒๕๖6 เรื่อง ขอเชิญบุคลากรเป็นครูพี่เลี้ยง (Mentor) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) (เพิ่มเติม) เรียน ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) เนื่องด้วยในปีการศึกษา ๒๕๖6 ครูผู้สอน (Model teacher) และครูเพื่อนร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) จำนวน 6 คน มีความประสงค์ขอจัดตั้งกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ชื่อกลุ่มกิจกรรม Mixed Maths โดยกำหนดวันเวลาประชุมกลุ่ม ในวันอังคาร และ วันศุกร์เวลา ๑๕.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. ของทุก สัปดาห์ณ ห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 หรือ ประชุมออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชัน Google meet ในการนี้จึงขอความอนุเคราะห์ ครูวีรยา ดิษเหมือน ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นครูที่ มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนการสอนระดับปฐมวัย มีความสามารถและประสบการณ์ในด้านการ จัดการเรียนการสอน เป็นครูพี่เลี้ยง (Mentor) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ดังกล่าวตลอดปี การศึกษา เพื่อพัฒนา การจัดการเรียนการสอน และการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้กระบวนการพัฒนาบทเรียน ร่วมกัน (Lesson study) ตามบริบทการทำงานจริงในชั้นเรียนและในโรงเรียนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและพิจารณา ลงชื่อ (นางสาวปัทมา เทียมอ๊อด) ประธานกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) “Mixed maths” แบบ PLC 03 (นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล) ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ (นายเดช จงรักพงศ์เผ่า) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)


แบบตอบรับเป็นครูพี่เลี้ยง (Mentor) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ตามที่กลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ชื่อกลุ่มกิจกรรม Mixed Maths โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ได้ขอความอนุเคราะห์ ข้าพเจ้า นางวีรยา ดิษเหมือน ตำแหน่ง ครู เชี่ยวชาญ เป็นครูพี่เลี้ยง (Mentor) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในปีการศึกษา ๒๕๖๖ นั้น ข้าพเจ้า ยินดีเป็นครูพี่เลี้ยง (Mentor) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ได้ ไม่สามารถเป็นครูพี่เลี้ยง (Mentor) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ได้ เนื่องจาก………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ (นางวีรยา ดิษเหมือน) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ วันที่ ๑9 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖


บันทึกข้อความ ส่วนราชการ โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) โทร. ๐-๒๙๘๗-๕๘๗๘ ที่ ปท ๕๓๓๐๕.๑ /483 วันที่ 19 พฤษภาคม ๒๕๖6 เรื่อง ขอเชิญบุคลากรเป็นครูผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เรียน ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) เนื่องด้วยในปีการศึกษา ๒๕๖6 ครูผู้สอน (Model teacher) และครูเพื่อนร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) จำนวน 6 คน มีความประสงค์ขอจัดตั้งกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ชื่อกลุ่มกิจกรรม Mixed maths โดยกำหนดวันเวลาประชุมกลุ่ม ในวันอังคาร และ วันศุกร์เวลา ๑๕.๓๐ – ๑๖.๓๐ น.ของทุก สัปดาห์ณ ห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 หรือ ประชุมออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชัน Google meet ในการนี้จึงขอความอนุเคราะห์ ครูนที ศรีแย้ม ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นครูที่มี ความเชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความสามารถและประสบการณ์ใน ด้านการจัดการเรียนการสอน เป็นครูผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ดังกล่าว ตลอดปีการศึกษา เพื่อพัฒนา การจัดการเรียนการสอน และการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้กระบวนการพัฒนา บทเรียนร่วมกัน (Lesson study) ตามบริบทการทำงานจริงในชั้นเรียนและในโรงเรียนอย่างเป็นระบบและ ต่อเนื่องต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและพิจารณา ลงชื่อ (นางสาวปัทมา เทียมอ๊อด) ประธานกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) “Mixed maths” แบบ PLC 04 (นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล) ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ (นายเดช จงรักพงศ์เผ่า) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)


แบบตอบรับเป็นครูผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ตามที่กลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ชื่อกลุ่มกิจกรรม Mixed Maths โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ได้ขอความอนุเคราะห์ ข้าพเจ้า นายนที ศรีแย้ม ตำแหน่ง ครูเชี่ยวชาญ เป็นครูผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในปีการศึกษา ๒๕๖๖ นั้น ข้าพเจ้า ยินดีเป็นครูผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ได้ ไม่สามารถเป็นครูผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ของกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ได้ เนื่องจาก………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ (นายนที ศรีแย้ม ) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ วันที่ ๑9 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖


ปฏิทินการดำเนินงานชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) กลุ่ม “Mixed Maths” ปีการศึกษา ๒๕๖6 ครั้งที่ จำนวน ชั่วโมง ช่วงเวลา กิจกรรมครั้งนี้อยู่ความสอดคล้อง กับการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (Lesson study) ประเด็นปัญหา / สิ่งที่ต้องการ พัฒนา ผู้รับผิดชอบ ก่อนเปิดภาคเรียน - แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทาง วิชาชีพ (PLC) ระดับสถานศึกษา - ประชุมคณะกรรมการฯ ฝ่ายบริหาร/ คณะกรรมการ 1 2 สัปดาห์ที่ 1 – 4 (1 - 26 พ.ค. 66) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวาง แผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) - งาน/กิจกรรม ตั้งชื่อกลุ่ม และ สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ ประธานกลุ่ม PLC / สมาชิกกลุ่ม PLC 2 2 สัปดาห์ที่ 5 - 9 (29 พ.ค.- 30 มิ.ย. 66) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวาง แผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) - งาน/กิจกรรม สมาชิกเลือกปัญหา ที่จะนำมาแก้ไขร่วมกัน จำนวน ๑ ปัญหา สมาชิกกลุ่ม PLC 3 2 สัปดาห์ที่ 10 - 11 (3 - 14 ก.ค. 66) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวาง แผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) - งาน/กิจกรรม แนวทางแก้ไข ปัญหา และ การออกแบบกิจกรรม - สมาชิกร่วมกันออกแบบกิจกรรม ในการแก้ปัญหา หรือ พัฒนาผู้เรียน สมาชิกกลุ่ม PLC 4 2 สัปดาห์ที่ 12 - 13 (17 - 28 ก.ค. 66) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวาง แผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) - งาน/กิจกรรม การเลือกรูปแบบ กระบวนการ/นวัตกรรม - สมาชิกในกลุ่มร่วมกันการเลือก รูปแบบกระบวนการ/นวัตกรรม/ชื่อ รูปแบบที่กลุ่มเลือก สมาชิกกลุ่ม PLC 5 2 สัปดาห์ที่ 14 - 16 (31 ก.ค. – 18 ส.ค. 66) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวาง แผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) - งาน/กิจกรรม การออกแบบแนว ทางการปฏิบัติ - สมาชิกในกลุ่มร่วมกันหาเทคนิค หรือวิธีการเพิ่มเติม - ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำเกี่ยวกับ นวัตกรรมที่กลุ่มใช้ สมาชิกกลุ่ม PLC 6 2 สัปดาห์ที่ 17 ( 21 ส.ค. 1 ก.ย. 66) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวาง แผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) - งาน/กิจกรรม การนำสู่การปฏิบัติ - สมาชิกจับคู่ Model-Buddy teacher สมาชิกกลุ่ม PLC 7 2 สัปดาห์ที่ 18 ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวาง แผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) - งาน/กิจกรรม (วางแผนกิจกรรม ๑) - สมาชิกในกลุ่มจัดทำแผนกิจกรรม ครูต้นแบบ (Model teacher) / สมาชิก กลุ่ม PLC แบบ PLC 05


ครั้งที่ จำนวน ชั่วโมง ช่วงเวลา กิจกรรมครั้งนี้อยู่ความสอดคล้อง กับการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (Lesson study) ประเด็นปัญหา / สิ่งที่ต้องการ พัฒนา ผู้รับผิดชอบ (4 – 8 ก.ย. 66) 8 1 สัปดาห์ที่ 19 - 20 (11 – 22 ก.ย. 66) ขั้นที่ ๒ ปฏิบัติและสังเกตการ เรียนรู้ (Do & See) - งาน/กิจกรรม (เยี่ยมชั้นเรียนครั้งที่ ๑) - ครูผู้ร่วมเรียนรู้(Buddy teacher) สังเกตการสอน ครูต้นแบบ (Model teacher) / ครูร่วม เรียนรู้ (Buddy teacher) 9 3 สัปดาห์ที่ 21 (25 – 29 ก.ย. 66) ขั้นที่ ๓ สะท้อนความคิดและ ปรับปรุงใหม่ (Reflect & Redesign) - งาน/กิจกรรม (การสะท้อนผลการปฏิบัติครั้งที่ ๑) - ประเด็นจากการสังเกตการสอน ของครูร่วมเรียนรู้ ครูต้นแบบ (Model teacher) / สมาชิก กลุ่ม PLC 10 2 สัปดาห์ที่ 22 (1 – 10 พ.ย. 66 ) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวาง แผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) - งาน/กิจกรรม (วางแผนกิจกรรม ๒) - สมาชิกในกลุ่มจัดทำแผนกิจกรรม ครูต้นแบบ (Model teacher) / สมาชิก กลุ่ม PLC 11 1 สัปดาห์ที่ 23 - 24 (13 - 24 พ.ย. 66 ) ขั้นที่ ๒ ปฏิบัติและสังเกตการ เรียนรู้ (Do & See) - งาน/กิจกรรม (เยี่ยมชั้นเรียนครั้งที่ ๒) - ครูผู้ร่วมเรียนรู้(Buddy teacher) สังเกตการสอน ครูต้นแบบ (Model teacher) / ครูร่วม เรียนรู้ (Buddy teacher) 12 3 สัปดาห์ที่ 25 (27 พ.ย. – 1 ธ.ค. 66 ) ขั้นที่ ๓ สะท้อนความคิดและ ปรับปรุงใหม่ (Reflect & Redesign) - งาน/กิจกรรม (การสะท้อนผลการปฏิบัติครั้งที่ ๒) - ประเด็นจากการสังเกตการสอน ของครูร่วมเรียนรู้ ครูต้นแบบ (Model teacher) / สมาชิก กลุ่ม PLC 13 2 สัปดาห์ที่ 26 – 27 (4 - 15 ธ.ค. 66 ) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวาง แผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) - งาน/กิจกรรม (วางแผนกิจกรรม ๓) - สมาชิกในกลุ่มจัดทำแผนกิจกรรม ครูต้นแบบ (Model teacher) / สมาชิก กลุ่ม PLC 14 1 สัปดาห์ที่ 28 - 30 (8 – 26 ม.ค. 67 ) ขั้นที่ ๒ ปฏิบัติและสังเกตการ เรียนรู้ (Do & See) - งาน/กิจกรรม (เยี่ยมชั้นเรียนครั้งที่ ๓) - ครูผู้ร่วมเรียนรู้(Buddy teacher) สังเกตการสอน ครูต้นแบบ (Model teacher) / ครูร่วม เรียนรู้ (Buddy teacher) 15 3 สัปดาห์ที่ 31 (29 ม.ค. – 2 ก.พ. 67) ขั้นที่ ๓ สะท้อนความคิดและ ปรับปรุงใหม่ (Reflect & Redesign) - งาน/กิจกรรม (การสะท้อนผลการปฏิบัติครั้งที่ ๓) - ประเด็นจากการสังเกตการสอน ของครูร่วมเรียนรู้ ครูต้นแบบ (Model teacher) / สมาชิก กลุ่ม PLC 16 3 สัปดาห์ที่ 32 - 35 (5 ก.พ. – 1 มี.ค. 67) ขั้นที่ ๓ สะท้อนความคิดและ ปรับปรุงใหม่ (Reflect & Redesign) - ถอดบทเรียนหลังปฏิบัติการ After Action Review (AAR) สมาชิกกลุ่ม PLC รวม 35 สัปดาห์ที่ 36 – 38 (4 - 20 มี.ค. 67) จัดทำรูปเล่ม PLC ๕ บท


-๒- บันทึกข้อความ ส่วนราชการ โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) โทร. ๐-๒๙๘๗-๕๘๗๘ ที่ ปท ๕๓๓๐๕.๑ /๑62 วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ เรื่อง ประชุมถอดบทเรียน (AAR) กลุ่มชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) กลุ่ม Mixed Maths เรียน ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ด้วยงานบริหารวิชาการ และงานบริหารบุคคล โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ได้ ขับเคลื่อนกระบวนการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) เพื่อพัฒนาสื่อ/นวัตกรรมทางการศึกษาในการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนให้มีคุณภาพอย่าง ยั่งยืน และสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับครูผู้สอนทั้งในและนอกโรงเรียนได้ โดยกลุ่ม Mixed Maths ได้ พัฒนาผู้เรียน เรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)โดย ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ CIPPA MODEL AND TECHNOLOGY” โดยมีผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทาง คณิตศาสตร์ก่อนเรียนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 72.96 44.07 และผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางคณิตศาสตร์หลัง การเรียนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 72.96 มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 30.56 ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าค่า เป้าหมายที่สถานศึกษากำหนด บัดนี้การพัฒนาผู้เรียนสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้จึงขอเชิญประชุมผู้ร่วม PLC ในการถอดบทเรียนหลังปฏิบัติการ (AAR) ในวันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ ผ่านรูปแบบออนไลน์ ดังรายชื่อต่อไปนี้ ๑. นายเดช จงรักพงศ์เผ่า ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถานศึกษา ๒. นายนที ศรีแย้ม ตำแหน่ง คณะกรรมการกลั่นกรอง และ ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ๓. นางวัชยา บุรานนท์ ตำแหน่ง คณะกรรมการกลั่นกรอง ๔. นางอมราภรณ์ บริหาร ตำแหน่ง คณะกรรมการกลั่นกรอง และสมาชิกกลุ่ม ๕. นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล ตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ ๖. นางสาวนันท์นิชา ดิษฐ์พาณิชย์ตำแหน่ง หัวหน้าโครงการ PLC ๗. นางวีรยา ดิษเหมือน ตำแหน่ง พี่เลี้ยง (Mentor) ๘. นางสาวปัทมา เทียมอ๊อด ตำแหน่ง ประธานกลุ่ม ๙. นางสาวปนัดดา แสวขุนทด ตำแหน่ง สมาชิกกลุ่ม ๑๐.นางสาวมโนชา วามะเกตุ ตำแหน่ง สมาชิกกลุ่ม ๑๑.นางสาวสุธิดา สุขตาม ตำแหน่ง สมาชิกกลุ่ม ๑๒.นางสาวธนภร มั่นสิงห์ ตำแหน่ง เลขานุการ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา (นางสาวปัทมา เทียมอ๊อด ) ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ ประธานกลุ่ม Math maths


-๒- -๒- (นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล) ครูวิทยฐานะ ครูชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ (นายเดช จงรักพงศ์เผ่า) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)


แบบบันทึกกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) -------------------------- ชื่อกลุ่ม Mixed Maths ครั้งที่ 1 ตั้งชื่อกลุ่ม และ สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ วัน เดือน ปี ที่ PLC เวลาที่เริ่ม – สิ้นสุด จำนวน ชม : นาที สถานที่ 22 พฤษภาคม 2566 15.30 น. - 17.30 น. 2 ชม บริเวณโรงอาหาร จำนวนครูที่เข้าร่วมกิจกรรม ดังนี้ ชื่อ-สกุล บทบาทหน้าที่ ลายมือชื่อ 1. นายเดช จงรักพงศ์เผ่า ผู้อำนวยการโรงเรียน (Administrator) 2. นายนที ศรีแย้ม ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) 3. นางวีรยา ดิษเหมือน ครูพี่เลี้ยง (Mentor) 4. นางสาวปัทมา เทียมอ๊อด ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) 5. นางอมราภรณ์ บริหาร ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) 6. นางสาวธนภร มั่นสิงห์ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) 7. นางสาวปนัดดา แสวขุนทด ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) 8. นางสาวมโนชา วามะเกตุ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) 9. นางสาวสุธิดา สุขตาม ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) กิจกรรมครั้งนี้อยู่ความสอดคล้องกับการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (Lesson study) ขั้นที่ 1 วิเคราะห์และวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) ขั้นที่ 2 ปฏิบัติและสังเกตการเรียนรู้ (Do & See) ขั้นที่ 3 สะท้อนความคิดและปรับปรุงใหม่ (Reflect & Redesign) PLC 07/1


1. งาน/กิจกรรม ตั้งชื่อกลุ่ม และ สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ 2. ประเด็นปัญหา / สิ่งที่ต้องการพัฒนา ผู้อำนวยการสถานศึกษาเปิดการประชุม และ สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้โดยให้สมาชิกร่วมกันกำหนด บทบาท และ โครงสร้างของกลุ่ม ดังนี้ ชื่อกลุ่ม Mixed Maths ลักษณะกลุ่ม ตามช่วงชั้น ตามกลุ่มสาระฯ คละช่วงชั้น คละกลุ่มสาระฯ คละช่วงชั้นและกลุ่มสาระฯ อื่นๆ............. สมาชิกกลุ่ม ที่ ชื่อ-สกุล บทบาทหน้าที่ 1. นายเดช จงรักพงศ์เผ่า ผู้อำนวยการโรงเรียน (Administrator) 2. นายนที ศรีแย้ม ครูเชี่ยวชาญ (Expert) วิธีการเลือก : เป็นคุณครูระดับเชี่ยวชาญมีประสบการณ์ในเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน 3. นางวีรยา ดิษเหมือน ครูพี่เลี้ยง (Mentor) วิธีการเลือก : เป็นคุณครูระดับเชี่ยวชาญมีประสบการณ์ในเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สำหรับเด็ก 4. นางสาวปัทมา เทียมอ๊อด ครูผู้นำ (Model teacher) วิธีการเลือก : มีประสบการณ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อนร่วมวิชาชีพ และ ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 5. นางอมราภรณ์ บริหาร ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) วิธีการเลือก : มีประสบการณ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน และต้องการพัฒนาผู้เรียนในเรื่องใกล้เคียงกัน 6. นางสาวธนภร มั่นสิงห์ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) วิธีการเลือก : มีประสบการณ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน และต้องการพัฒนาผู้เรียนในเรื่องใกล้เคียงกัน 7. นางสาวปนัดดา แสวขุนทด ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) วิธีการเลือก : มีประสบการณ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน และต้องการพัฒนาผู้เรียนในเรื่องใกล้เคียงกัน 8. นางสาวมโนชา วามะเกตุ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) วิธีการเลือก : มีประสบการณ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน และต้องการพัฒนาผู้เรียนในเรื่องใกล้เคียงกัน 9. นางสาวสุธิดา สุขตาม ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) วิธีการเลือก : มีประสบการณ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน และต้องการพัฒนาผู้เรียนในเรื่องใกล้เคียงกัน


3. ผลที่ได้จากการจัดกิจกรรม ประธานกลุ่มมอบหมายให้ครูร่วมเรียนรู้ไปดำเนินการค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดการเรียนการ สอน โดยนำหลักฐานของปัญหาในการจัดการเรียนการสอนมาใช้ด้วยในการประชุมครั้งต่อไป และนำผลการ ประชุมไปบันทึกใน PPR และบันทึกการเสวนาของตนเอง เพื่อเก็บ เป็นหลักฐานในการรายงานต่อไป ภาพ/ร่องรอย/หลักฐานประกอบ PLC ครั้งที่ 1 ( บัตรภาพ/ใบงาน/ชิ้นงาน/ภาพถ่ายประกอบ ) เลิกประชุมเวลา 17.30 น.


ภาพการจัดกิจกรรม PLC ของกลุ่ม “ Mixed Maths ” ขั้นที่ 1 วิเคราะห์และวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) ผู้อำนวยการสถานศึกษา และสมาชิกในกลุ่ม ร่วมกันประชุมชี้แจง เพื่อค้นหาปัญหาของนักเรียน / ขั้นปฏิบัติการสอนซึ่งกันและกัน และวางแผนกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาผมสัมฤทธิ์ ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ โมเดลชิปปา (CIPPA MODEL) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี (Technology) และมีการปรึกษา หารือ แลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน ร่วมกันในการคิด วิเคราะห์ ออกแบบ วางแผนและพัฒนากิจกรรมการ เรียนการสอนเพื่อการพัฒนากระบวนการคิดคำนวณของนักเรียน โดยดำเนินการในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 15.30 – 17.30 น. บริเวณโรงอาหาร


ขอรับรองว่าข้อมูลดังกล่าวข้างต้นเป็นความจริงทุกประการ ลงชื่อ.................................................... (นายเดช จงรักพงศ์เผ่า) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ลงชื่อ .............................................. ผู้บันทึก (นางสาวธนภร มั่นสิงห์) เลขานุการกลุ่ม ผู้รับรอง ลงชื่อ.................................................... (นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล) ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ


Click to View FlipBook Version