อนสุ รณง์ านฌาปนกจิ ศพ
ผศ.ดร.ประสทิ ธ์ิ ทองอุ่น
อดีตท่ปี รกึ ษาผ้อู าํ นวยการวทิ ยาลยั สงฆพ์ ุ ทธปญั ญาศรที วารวดี
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วนั อาทิตยท์ ี่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๔
ณ เมรุ วดั ไรข่ ิง พระอารามหลวง จังหวดั นครปฐม
คำ� ไว้อาลยั
โดย
พระเทพศาสนาภบิ าล
เจา้ คณะภาค ๑๔ เจา้ อาวาสวดั ไร่ขิง
ประธานคณะกรรมการขบั เคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศลี ๕
ผู้อ�ำนวยการวิทยาลัยสงฆ์พุทธปญั ญาศรที วารวดี
แด่ “อาจารย์ประสิทธิ์ ทองอุ่น ปูชนียบุคคลผู้ร่วมก่อต้ัง
วทิ ยาลัยสงฆพ์ ทุ ธปัญญาศรที วารวด”ี
“วทิ ยาลัยสงฆพ์ ทุ ธปญั ญาศรีทวารวดี วดั ไรข่ งิ พระอารามหลวง
ไดส้ ญู เสยี ปชู นยี บคุ คลผรู้ ว่ มกอ่ ตงั้ วทิ ยาลยั สงฆพ์ ทุ ธปญั ญาศรที วารวด”ี
ท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธิ์ ทองอุ่น ถือเป็นศิษย์รุ่นแรกๆ
ของวดั ไรข่ งิ ตดิ ตามอปุ ฏั ฐาก สนองงานหลวงพอ่ พระอบุ าลคี ณุ ปู มาจารย์
เร่ือยมา ถึงแม้สละสมณะเพศไปแล้วท่านก็ยังคงได้ช่วยงานพระพุทธ
ศาสนาถวายความรู้แก่พระภิกษุสามเณร และชว่ ยงานวดั ไรข่ งิ มาอย่าง
ต่อเนื่องเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงเม่ือท่านได้เกษียณอายุ
ราชการก็ได้กลับมาอยู่กับครอบครัวท่ีไร่ขิง และร่วมก่อต้ังผลักดันจน
สามารถจัดต้ังวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น ณ วัดไร่ขิง ได้ส�ำเร็จตามปณิธานของ
พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ โดยท่านถือว่าเป็นเสาหลัก
ตั้งแต่เริ่มจัดต้ังเป็นหน่วยวิทยบริการคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในปี พ.ศ.๒๕๕๒ ผลักดันการพัฒนา
ด้านวิชาการ การบริหารจัดการอย่างมีคุณภาพจนได้รับการยกฐานะ
ข้ึนเป็น “วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี” เพ่ือ พ.ศ.๒๕๕๘
โดยท่านได้รับเป็นอาจารย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รักษาการ
รองผู้อ�ำนวยการฝ่ายวิชาการ เป็นที่ปรึกษาผู้อ�ำนวยการวิทยาลัยสงฆ์
พุทธปญั ญาศรีทวารวดี จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ท่านมีบุคลิกเป็นนักวิชาการ นักคิด เป็นผู้มีความเป็นครูสูง
ชอบสอนและอธิบายให้ค�ำปรึกษาและแสดงความเห็นทางวิชาการ
อย่างตรงไปตรงมา กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และมีบรรยากาศทาง
วิชาการ รวมทั้งการถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ให้กับลูกศิษย์ เป็น
ปูชนียบุคคลที่ประพฤติปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างแก่อนุชนคนรุ่นหลัง
อย่างเห็นได้ชัดเจน คือ ความอดทน ๑ ความขยันหมั่นเพียร ๑
ความเอ้ืออารีแบ่งปัน ๑ ความเมตตาเอ็นดู ๑ และความคิดกว้างไกล
๑ คุณธรรมเหล่านี้ ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นประจ�ำสม�่ำเสมอ เป็น
แบบอยา่ งบูชนียบคุ คลของเหล่าศิษยานุศิษย์ ท่านผชู้ ่วยศาสตราจารย์
ดร.ประสิทธ์ิ ทองอุ่น จึงถือว่าเป็นทั้งอาจารย์ นักปกครอง นักบริหาร
นักการศึกษา และนักพัฒนาที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สร้างสรรค์ผลงาน
มากมายสุดจะพรรณนา ปรากฏเปน็ ท่ปี ระจักษ์ชดั เจนแกบ่ คุ คลทั่วไป
ดงั นนั้ ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธ์ิ ทองอนุ่ แมจ้ ะละสังขาร
ก็เพียงร่างกาย ส่วนความดีและคุณธรรมที่ท่านได้บ�าเพ็ญไว้มิได้
สูญสลายไปกับสังขาร ยังคงสถิตอยู่ในจิตใจของคณาจารย์ บุคลากร
และนิสิตทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ตลอดไป สมดังพุทธภาษิตที่ว่า
“รูป ชีรติ มจฺจาน� นาม โคตฺต� น ชีรติ” ความว่า “รูปคือร่างกาย
ย่อมย่อยยับแตกสลายไป ส่วนชื่อเสียงน้ันหาย่อยยับไปด้วยไม่”
ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศล จริยาสัมมาปฏิบัติ
ที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธ์ิ ทองอุ่น ได้บ�าเพ็ญมาแล้ว
จงเป็นตบะ เป็นพลวปัจจัยหนุนน�าตามส่งให้ดวงวิญญาณของท่าน
ไปสูส่ คุ ติสัมปรายภพ ตามคตวิ สิ ัยดว้ ยเทอญ.
ปรมตั ถศรัทธา แด ผศ.ดร.ประสิทธิ์ ทองอุน
“ยอกรรอง แลวซองหัตถ ปรมตั ถศ รัทธา
ถกลเกียรต์ิ วรยิ า “ประสิทธ์”ิ พิศลั ย
พิสทุ ธศ์ิ ีล พเิ ศษศลิ ป พิสฐิ ธมั มจรรย
โลกฆอ งขาน เปน “ทองอนุ ” ทูลพทุ ธนั ดร”
ประพนั ธโ ดย
ดร.มนตรา เล่ยี วเสง็
ประวตั แิ ละผลงาน
ของ
ผศ.ดร.ประสทิ ธ์ิ ทองอุ่น
ท่ีปรกึ ษาผู้อำ� นวยการวิทยาลยั สงฆ์พทุ ธปัญญาศรที วารวดี
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั
วัดไร่ขิง พระอารามหลวง จงั หวดั นครปฐม
นามเดิมชอื่ /นามสกุล นายประสทิ ธิ์ ทองอนุ่
ตำ� แหน่งทางวิชาการ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์
ต�ำแหน่งทางราชการ ขา้ ราชการบ�ำนาญ อดีตรองอธิการบดี
(ฝา่ ยบรหิ าร/ฝา่ ยบัณฑติ )
มหาวิทยาลัยราชภฏั สุรินทร์
ภูมิลำ� เนาเดมิ บ้านเลขที่ ๕/๑ หมู่ที่ ๕ ต�ำบลบ้านม่วง
อ�ำเภอบา้ นโปง่ จังหวัดราชบุรี
เกดิ วันเสาร์ท่ี ๘ ธนั วาคม พ.ศ.๒๔๘๘
ชื่อบดิ า นายสา ทองอ่นุ (ถงึ แกก่ รรม)
ชื่อมารดา นางปุ๊ก ทองอุ่น (ถงึ แกก่ รรม)
ประวตั ิการศกึ ษา
- พ.ศ.๒๕๐๐ จบการศกึ ษาภาคบงั คบั
- พ.ศ.๒๕๐๕ นกั ธรรมชน้ั เอก สำ� นกั เรยี นคณะจงั หวดั นครปฐม
- พ.ศ.๒๕๑๑ เปรยี ญธรรม ๕ ประโยค
สำ� นักเรียนวดั ประยูรวงศาวาส วรวิหาร กรงุ เทพมหานคร
- พ.ศ.๒๕๑๓ ม.๘ บาลีเตรียมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
- พ.ศ.๒๕๑๖ พิเศษมัธยมศกึ ษา (พ.ม.)
- พ.ศ.๒๕๑๖ พธ.บ.(ครศุ าสตร)์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณ
ราชวิทยาลยั
- พ.ศ.๒๕๒๐ M.Ed (Educational Admin.) M.S.U
(BARODA)
- พ.ศ.๒๕๒๐ M.Ed. (Psychology and Guidance) M.S.U.
(BARODA)
- พ.ศ.๒๕๕๙ ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์)
สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย
ชีวติ ในเพศบรรพชติ
หลังจากจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว ได้บรรพชาเป็นสามเณร
ณ วัดมว่ ง ต�ำบลบ้านมว่ ง อ�ำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบรุ ี หลังจากนัน้
ไดย้ า้ ยมาศกึ ษาตอ่ ทว่ี ดั ไรข่ งิ (อปุ ฐากพระอบุ าลคี ณุ ปู มาจารย)์ หลงั จาก
สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้ย้ายไปศึกษาต่อท่ี ณ วัดประยูร
วงศาวาส วรวหิ าร กรงุ เทพมหานคร จนสอบไดเ้ ปรยี ญธรรม ๕ ประโยค
ตอ่ มาไดเ้ ขา้ ศกึ ษาตอ่ ระดบั ปรญิ ญาตรี ทมี่ หาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณ
ราชวิทยาลัย และได้รับทุนการศึกษาจากพระอุบาลีคุณูปมาจารย์
ใหเ้ ดนิ ทางไปศกึ ษาตอ่ ท่ี Maharaja Sayajirao University of Baroda
(MSU) India เม่ือส�ำเร็จการศึกษาได้กลับมาปฏิบัติศาสนกิจท่ีวัดไร่ขิง
ได้รับแต่งต้ังเป็นเลขานุการเจ้าคณะอ�ำเภอสามพราน จนได้ลาสิกขา
ออกมารับราชการเป็นอาจารย์สอนในหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงถวาย
ความรู้แก่พระสงฆ์ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เรอื่ ยมา
ด้านครอบครวั
สมรสกับ ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์วรญา ทองอุ่น มบี ุตร ๓ คน
๑) นายปริชญา ทองอุ่น ทำ� งาน ธนาคาร ธกส.
๒) นายวรศษิ ฏ์ ทองอุ่น ทำ� งานการไฟฟา้ ส่วนภมู ภิ าค
๓) นายพนิ ิจนันท์ ทองอุ่น อดีตพนักงานบริษัทการบินไทย
ประวตั กิ ารรับราชการ
- พ.ศ.๒๕๒๑ บรรจรุ บั ราชการทม่ี หาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ
(ประสานมติ ร)
- พ.ศ.๒๕๒๑ บรรจรุ บั ราชการวทิ ยาลยั ครสู รุ นิ ทร์ (พ.ศ.๒๕๔๗
เปน็ มหาวิทยาลัยราชภฏั สุรินทร)์
- พ.ศ.๒๕๒๑ หัวหน้าแผนกแนะแนว มหาวิทยาลัยราชภัฏ
สุรนิ ทร์
- พ.ศ.๒๕๒๕ หัวหน้าภาควิชาจิตวิทยาและการแนะแนว
มหาวิทยาลยั ราชภัฏสุรนิ ทร์
- พ.ศ.๒๕๒๘ รองคณบดีคณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั
สุรินทร์
- พ.ศ.๒๕๓๐ หัวหน้าส�ำนักงานอธิการ/เลขานุการสภา
มหาวิทยาลยั ราชภฏั สรุ นิ ทร์ (สมยั ที่ ๑)
- พ.ศ.๒๕๓๒ หัวหน้าส�ำนักงานอธิการ/เลขานุการสภา
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสรุ ินทร์ (สมัยท่ี ๒)
- พ.ศ.๒๕๓๖ ผอู้ ำ� นวยการสำ� นกั งานอธกิ ารบด/ี เลขานกุ ารสภา
สถาบนั ราชภฏั สรุ นิ ทร์ (สมยั ที่ ๑)
- พ.ศ.๒๕๓๘ ผอู้ ำ� นวยการสำ� นกั งานอธกิ ารบด/ี เลขานกุ ารสภา
สถาบนั ราชภัฏสุรินทร์ (สมยั ที่ ๒)
- พ.ศ.๒๕๔๒ ผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานนิติการ มหาวิทยาลัย
ราชภัฏสรุ นิ ทร์
- พ.ศ.๒๕๔๗ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสรุ นิ ทร์
- พ.ศ.๒๕๔๘ รองอธกิ ารบดี (ฝา่ ยบรหิ าร) มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั
สรุ ินทร์
- พ.ศ.๒๕๕๐ รองอธกิ ารบดี (ฝา่ ยบณั ฑติ ) มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั
สุรนิ ทร์
รบั เชิญเปน็ อาจารย์พิเศษ/ที่ปรกึ ษาพเิ ศษ
- พ.ศ.๒๕๒๓-๒๕๔๗ อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยอาชีวศึกษา
สรุ ินทร์
- พ.ศ.๒๕๒๘-๒๕๓๒ อาจารยพ์ เิ ศษ วยิ าลยั เกษตรกรรมสรุ นิ ทร์
(ราชมงคล)
- พ.ศ.๒๕๓๑-๒๕๕๑ อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยมาจุฬาฯ
วทิ ยาเขตสุรินทร์
- พ.ศ.๒๕๓๑-๒๕๔๘ อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยพยาบาล
บรมราชนนีสุรนิ ทร์
- พ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๕๑ ทป่ี รกึ ษาพเิ ศษ โครงการรว่ มมอื กรมการ
ปกครองกระทรวงมหาดไทย ศูนย์บุรีรัมย์ สะตึก นางรอง
ปราสาท เมอื งสรุ ินทร์ สำ� โรงทาบ เมืองบรุ รี ัมย์
- พ.ศ.๒๕๔๗-๒๕๕๑ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัย
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตสุรนิ ทร์
- พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๖๑-อาจารย์พิเศษหน่วยวิทยบริการ คณะ
สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วัดไร่ขิง พระอารามหลวง จังหวัดนครปฐม (ต่อมาเป็น
วทิ ยาลัยสงฆพ์ ทุ ธปัญญาศรที วารวดี)
- พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๖๓ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ วิทยาลัยสงฆ์
พทุ ธปัญญาศรีทวารวดี
- พ.ศ.๒๕๕๘-๒๕๖๑ รองผู้อ�ำนวยการฝ่ายวิชาการ วิทยาลัย
สงฆพ์ ุทธปญั ญาศรที วารวดี
- พ.ศ.๒๕๖๑-๒๕๖๔ ท่ีปรึกษาผู้อ�ำนวยการวิทยาลัยสงฆ์
พทุ ธปญั ญาศรีทวารวดี
เคร่ืองราชอิสรยิ าภรณ์
- พ.ศ.๒๕๒๕ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้น จัตุรถาภรณ์
มงกฎุ ไทย
- พ.ศ.๒๕๓๐ เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์ ชน้ั จตั รุ ถาภรณช์ า้ งเผอื ก
- พ.ศ.๒๕๓๕ เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณ์ ชนั้ ตรติ าภรณม์ งกฎุ ไทย
- พ.ศ.๒๕๔๐ เคร่อื งราชอสิ รยิ าภรณ์ ชัน้ ตรติ าภรณ์ช้างเผอื ก
- พ.ศ.๒๕๔๕ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้น ทวีติยาภรณ์
มงกุฎไทย
- พ.ศ.๒๕๕๐ เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์ ชน้ั ทวตี ยิ าภรณช์ า้ งเผอื ก
- พ.ศ.๒๕๕๑ เครอ่ื งราชอิสริยาภรณ์ ชั้น จกั รพรรดิมาลา
รางวัลเกียรติคณุ ท่ไี ด้รับ
- พ.ศ.๒๕๔๐ รางวัลเข็มเสมาธรรมจักรทองค�ำคุรุสภา
กระทรวงศึกษาธกิ าร
- พ.ศ.๒๕๔๐ ประกาศและโลเ่ กยี รตคิ ณุ ครดู เี ดน่ จงั หวดั สรุ นิ ทร์
- พ.ศ.๒๕๔๒ ประกาศและเรอื สุพรรณหงส์ ผมู้ ีคณุ ธรรมดเี ด่น
จากหนังสอื พมิ พพ์ ัฒนาเศรษฐกิจ
- พ.ศ.๒๕๔๒ ประกาศและพระพุทธรูปสลักช่ือ ผู้มีคุณธรรม
ดีเดน่ จากสภาวฒั นธรรมจงั หวดั สรุ ินทร์
- พ.ศ.๒๕๔๐ ประกาศและโล่เกยี รตคิ ุณ ผู้ทรงคณุ ธรรมดีเด่น
ระดบั อดุ มศึกษา
- พ.ศ.๒๕๔๔ รางวัลหมอ่ มงามจิตต์ บรู ฉัตร
- พ.ศ.๒๕๔๗ ประกาศเกียรติคุณ ผู้มีวัฒนธรรมดีเด่นด้าน
รอ้ ยกรอง จากมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สรุ ินทร์
- พ.ศ.๒๕๔๙ ประกาศและรางวัลช้างเงิน ผู้สร้างคุณค่า
ดา้ นฉนั ทลกั ษณ์ จากมหาวิทยาลัยราชภฏั สรุ ินทร์
- พ.ศ.๒๕๕๐ ประกาศและรางวัลองค์การคุณภาพ โครงการ
พนักงานคณุ ภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏสรุ นิ ทร์
- พ.ศ.๒๕๕๑ ประกาศและโล่เกียรติคุณ ผู้บริหารดีเด่น
จากสภามหาวทิ ยาลัยราชภัฏสุรนิ ทร์
- พ.ศ.๒๕๕๑ ประกาศและโล่เกียรติคุณ คนดีศรีสังคม
จงั หวัดสรุ นิ ทร์
- พ.ศ.๒๕๕๕ ประกาศและเข็มเกียรติคุณ มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผลงานหนังสอื เอกสาร/ต�ำรา
- พฤติกรรมมนุษย์กับการพฒั นาตน
- จติ วิทยาและพุทธศาสตร์
- วัฒนธรรมไทย
- ธรรมนิเทศ
- การบริหารงานแนะแนวในโรงเรียน
- ความจรงิ ของชีวิต
- มนษุ ยส์ มั พันธก์ บั การจัดการ
- มนษุ ย์สัมพันธ์ในองค์การ
- จริยธรรมของนักธุรกจิ
- จัดท�ำหลักสูตรโรงเรียนพุทธศาสนาวันเสาร์ ๓ ระดับ ให้
มลู นธิ ิ ดร.เชญิ สามารถ จงั หวัดสุรินทร์
ผลงานบทประพนั ธ์
- นริ าศเชยี งตุง (เมียนมาร)์
- นริ าศเวยี ดนาม
- นิราศหลวงพระบาง
- นริ าศดอนพะเพง็ (ลาวใต้)
- นริ าศสิงคโปร์
- นริ าศออสเตรเลีย
- นริ าศปักก่งิ
- นริ าศสวิสเซอร์แลนด์
- สูแ่ ดนพุทธภมู ิ (ร้อยแก้วผสมรอ้ ยกรอง)
- สูย่ โุ รป ตามรอยพระธรรมโมลี (ทองอยู่ ญาณวสิ ทุ ฺโธ)
- ส่อู เมรกิ า ตามรอยพระธรรมโมลี (ทองอยู่ ญาณวิสทุ โฺ ธ)
- รวม อญั ชุลีวจั น์ ไม่นอ้ ยกวา่ ๑๐ ช้นิ งาน
- รวม สาธุสดดุ ี ไม่นอ้ ยกว้า ๑๐ ชิน้ งาน
- รวม ราชสดดุ ที ุกพระองค์ ไมน่ ้อยกวา่ ๓๐ ช้ิน
- เพลงประจำ� มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสรุ นิ ทร์
- เพลงประจำ� โรงเรียนโนนดนิ แดง สรุ นิ ทร์
- เพลงประจำ� โรงเรียนเทศบาล ๑ สรุ นิ ทร์
àÂ×͹...àÇÕ§àªÕ§µØ§
àÂ×͹...àÇÕ§àªÕ§µØ§
ISBN : 978-974-350-882-0
พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๒ : (เนื่องในงานฌาปนกจิ ศพ ผศ.ดร.ประสทิ ธิ์ ทองอุ่น)
พฤศจกิ ำยน พ.ศ. ๒๕๖๔
จำ� นวน : ๑,๐๐๐ เล่ม
ทปี่ รึกษำ : พระเทพศาสนาภิบาล เจ้าคณะภาค ๑๔ ประธานคณะกรรมการ
ขับเคล่ือนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ผู้อ�านวยการวิทยาลัยสงฆ์
พทุ ธปญั ญาศรีทวารวดี
: พระเทพปวรเมธี,รศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัย
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
: ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยว์ รญา ทองอนุ่ และครอบครวั ทองอุ่น
: คณะผบู้ รหิ าร คณาจารย์ เจา้ หน้าท่ี นิสิต และศษิ ยเ์ กา่ วิทยาลยั สงฆ์
พทุ ธปัญญาศรที วารวดี
บรรณำธิกำร : พระมหาบุญเลศิ อินฺทปโฺ ,ศ.ดร.
รองผูอ้ า� นวยการวิทยาลยั สงฆ์พทุ ธปัญญาศรีทวารวดฝี ่ายบรหิ าร
คณะผู้จดั ท�ำ : พระครปู ฐมธีรวัฒน์ พระครปู ลัดประวิทย์ วรธมฺโม,ดร.
พระมหาประกาศิต สริ เิ มโธ,ดร. พระครูปลัดพงษ์พนั ธ์ ขนตฺ ิโสภโณ
พระปลดั ประพจน์ สปุ ภาโต,ดร. พระครูใบฎีกาธีรยุธ จนทฺ ปู โม,ดร.
ดร.วันไชย์ กิ่งแก้ว อาจารยท์ องดี อรณุ โณ
คณาจารย์ เจ้าหน้าท่ี นิสิต และศิษย์เก่า วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญา
ศรที วารวดี
จัดพิมพโ์ ดย : วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลยั
พมิ พ์ที่ : สาละพมิ พการ ๙/๖๔๖ อ.สามพราน จ.นครปฐม
โทร. ๐๒-๔๒๙๒๔๕๒, ๐๙๒-๒๕๔๔๑๑๖
แฟกซ์ ๐๒-๔๒๙๒๔๕๒
ค�ำน�ำ
จากการท่ีพระเดชพระคุณพระเทพศาสนาภิบาล เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง
พระอารามหลวง ผอู้ า� นวยการวทิ ยาลยั สงฆพ์ ทุ ธปญั ญาศรวี ารวดี มหาวทิ ยาลยั
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วดั ไร่ขงิ พระอารามหลวง จังหวัดนครปฐม ได้มี
เมตตาให้ บุคลากรพร้อมท้ังนิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาตรี รุ่นที่ ๑
สาขาวชิ าการจัดการเชิงพทุ ธ ได้เดินทางไปศึกษาดงู านดา้ นการบริหาร กิจการ
คณะสงฆ์ ณ เขมรัฐเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่าในระหว่าง วันท่ี ๔ - ๘
กรกฎาคม ๒๕๕๔ การเดินทางไปในครั้งน้ี บรรดาผู้ศึกษาดูงานต่างมีความ
ประทับใจกับความเป็นเมือง “สามจอม เจ็ดเชียง เก้าหนอง สิบสองประตู”
ของเมืองเชียงตุง จึงมีความประสงค์ จะถ่ายทอดความรู้สึกดังกล่าวออกมา
เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรเพอื่ เปน็ พยานแหง่ การเดินทาง
หนงั สอื เรอ่ื ง “เยอื น...เวยี งเชยี งตงุ ” ไดถ้ า่ ยทอดเรอื่ งราวการเดนิ ทางเปน็
“นิราศเชียงตุง” ที่บันทึกความทรงจ�าและความประทับใจของผู้ร่วมเดินทาง
หากแมน้ วา่ ผใู้ ดยงั ไมเ่ คยลดั เลาะภเู ขาและสายนา�้ เดนิ ทางสเู่ มอื งแหง่ วฒั นธรรม
จะได้ซึมซับบรรยากาศจากปลายปากกาของคณะผู้เดินทางโดยการประพันธ์
ของ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ประสทิ ธิ์ ทองอนุ่
การจัดพิมพ์หนังสือเรื่อง “เยือน...เวียงเชียงตุง” ในครั้งน้ี ก็เพื่อเป็น
อนุสรณแ์ กท่ ่านผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ประสทิ ธิ์ ทองอุ่น อาจารยผ์ ูเ้ ป็นยง่ิ กว่า
อาจารยข์ องเหลา่ บรรดาศษิ ย์ ปชู นยี บคุ คลผรู้ ว่ มกอ่ ตงั้ วทิ ยาลยั สงฆพ์ ทุ ธปญั ญา
ศรีทวารวดี ซ่ึงเป็นผู้ประพันธ์ผลงานอันล�้าค่าเป็นบันทึกความทรงจ�าแห่งการ
เดินทางฉบบั นี้ แม้ท่านจะละสังขารกเ็ พียงร่างกาย สว่ นความดแี ละคณุ ธรรมท่ี
ทา่ นไดบ้ า� เพญ็ ไวม้ ไิ ดส้ ญู สลายไป ยงั คงสถติ อยใู่ นจติ ใจของประชาคมวทิ ยาลยั สงฆ์
พุทธปัญญาศรีทวารวดีตลอดไป ขออานุภาพแห่งจริยาสัมมาปฏิบัติที่ท่าน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธ์ิ ทองอุ่น ได้บ�าเพ็ญมาแล้วก็ดี บุญกุศลท่ี
เหลา่ ศษิ ยานศุ ษิ ยไ์ ด้ร่วมบ�าเพ็ญมาก็ดี จงร่วมเป็นพลวปัจจัยหนุนน�าตามส่งให้
ดวงวิญญาณของท่านไปสสู่ คุ ติสมั ปรายภพ ตามคตวิ สิ ัยด้วยเทอญ.
พระมหาบญุ เลศิ อินทฺ ปฺโ,ศ.ดร.
รองผู้อ�านวยการฝา่ ยบรหิ าร
วิทยาลัยสงฆพ์ ุทธปญั ญาศรที วารวดี
รู้เรื่องเมืองเชียงตุง
โดย
ป.สิริ
รѰ©Ò¹ (ä·ãËÞ‹ : àÁÔ§é äµ)
รัฐฉาน เปนรัฐหน่ึงในสหภำพพม่ำ
และถอื เปน รฐั ทใ่ี หญท่ สี่ ดุ ในประเทศพมำ่
โดยมอี ำณำเขต ดงั น้ี
• ทิศเหนือ ติดกับ รัฐคะฉ่ิน และ
มณฑลยนู นาน (เขตเตอ หง เขตเปา ซาน
เขตหลินซาง เขตซือเหมา และเขตสิบ
สองปน นา) ประเทศจนี
• ทศิ ใต้ ตดิ กบั จงั หวดั เชยี งราย จงั หวดั เชยี งใหม จงั หวดั
แมฮ อ งสอน ประเทศไทย รัฐคะยา และรฐั กะเหรยี่ ง
• ทิศตะวันออก ติดกับ แขวงหลวงน้ําทา และ แขวง
บอแกว ประเทศลาว
• ทิศตะวันตก ติดกับ ภาคสะกาย และ ภาคมัณฑะเลย
๑๘ รูเรื่องเมืองเชียงตุง
สภาพภูมิศาสตร
ลักษณะภูมิประเทศของรัฐฉำนเต็มไปด้วยภูเขำสูง
และผืนปำ พ้ืนท่ีเต็มไปด้วยทรัพยำกรธรรมชำติท่ีอุดม
สมบูรณ สินค้ำส่งออกที่ส�ำคัญของรัฐฉำนจึงเปนจ�ำพวก
แร่ธำตุและไม้ชนิดต่ำง ๆ
ประวัติ รฐั ฉาน (ไทใหญ : เม้งิ ไต) หรือ รฐั ไทใหญ่
ไทใหญเ่ กดิ ขน้ึ ๙๖ ป กอ่ นครสิ ตศ กั รำช รฐั ฉำน ในอดตี กำล
มีช่ือเรียกว่ำ “ไต” หรือท่ีเรียกกันว่ำ “เมืองไต” มีประชำกร
หลำยชนชำติและอำศัยอยู่ร่วมกันอย่ำงสงบสุข โดยมีชนชำติ
ไทใหญอ่ ำศยั อยมู่ ำกทส่ี ดุ เมอื งไตเคยมเี อกรำชในกำรปกครอง
ตนเองมำเปนเวลำหลำยพันป ก่อนท่ีอังกฤษจะขยำยอิทธิพล
เข้ำมำถึง ซ่ึงแสดงให้เห็นว่ำเมืองไตกับพม่ำในอดีตน้ัน จัดเปน
อิสระต่อกันหรือกล่ำวได้ว่ำเปนคนละอำณำจักรกัน อำณำเขต
ของเมืองไตนั้นประกอบด้วยเมืองรวมท้ังหมด ๓๓ เมือง แต่ละ
เมืองปกครองด้วยระบบเจ้ำฟำสืบต่อเน่ืองกันมำตง้ั แตอ่ ดตี
และถงึ แมจ้ ะมเี จำ้ ฟำ ปกครองหลำยเมอื ง แตท่ กุ เมอื ง ก็รวมกันเปน
แผ่นดินชนชำติไต เมืองไตกับประเทศพม่ำมีกำรตดิ ตอ่ คำ้ ขำย
ช่วยเหลือ และให้ควำมเคำรพซ่ึงกันและกันมำโดยตลอด
ป.สิริ ๑๙
กำรติดต่อค้ำขำยยังด�ำเนินไปอย่ำงสันติสุขเช่นนี้ จนกระทั่งมำ
ถึงสมัยพระเจาบุเรงนอง ได้มีกำรสู้รบกันระหว่ำงเจ้ำฟำเมือง
ไตกับกษัตริยพม่ำ (พระเจ้ำบุเรงนอง) เกิดขึ้น โดยฝำยเจ้ำฟำ
เมืองไตเปนฝำยพ่ำยแพ้ จึงท�ำให้รำชวงศเจ้ำฟำบำงเมืองต้อง
จบสิ้นไปดังเช่นรำชวงศเจ้ำฟำเมืองนาย ซึ่งเปนรำชวงศของ
กษัตริยมังรำย นอกจำกน้ียังมีอีกหลำยรำชวงศที่ต้องสูญสิ้น
ลงไป เพรำะกำรสู้รบกับพระเจ้ำบุเรงนอง น่ันเอง
• พ.ศ. ๒๓๐๕ ในสมัยพระเจา อลองพญา รฐั ฉำนตกเปน
เมอื งขน้ึ ของพมำ่ โดยกษตั รยิ พ มำ่ ไดท้ ำ� กำรปรำบปรำมรำชวงศ
เจ้ำฟำไทใหญจ่ นหมดสน้ิ ไปเปน จ�ำนวนมำก กล่ำวได้วำ่ เมืองไต
ตกเปนเมืองขน้ึ ของพม่ำไปแล้ว
• ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๘ อังกฤษได้ท�ำกำรจับกุมและ
ยึดอ�ำนำจกษัตริยพม่ำ และขยำยอำณำเขตไปยังเมืองเชียงตุง
ทำงภำคตะวนั ออกเฉยี งเหนือของเมืองไต
• พ.ศ. ๒๔๓๓ อังกฤษได้ประกำศว่ำ “ได้ยึดเอำเมืองไต
เรียบร้อยแล้ว” เน่ืองจำกประเทศพม่ำซึ่งตั้งอยู่บริเวณท่ี
รำบลุ่มและเมืองไต ซ่ึงต้ังอยู่บริเวณเทือกเขำไม่ใช่ประเทศ
๒๐ รูเรื่องเมืองเชียงตุง
เดียวกัน อังกฤษจึงไม่ได้ท�ำกำรเข้ำยึดพร้อมกันและถึงแม้
อังกฤษ จะยึดท้ังสองเมืองเปนเมืองข้ึนของตน แต่อังกฤษก็
ไม่ได้ปกครองท้ังสองเมือง ในลักษณะเดียวกัน หำกแบ่งกำร
ปกครองออกเปนสองลักษณะ คือประเทศพม่ำเปนเมืองใต้
อำณำนิคม ส่วนเมืองไตเปนเมืองใต้กำรอำรักขำและอังกฤษ
ยังได้ท�ำกำรจับกุมกษัตริยพม่ำ ส่วนในเมืองไตอังกฤษจับกุม
หรือท�ำร้ำยรำชวงศเจ้ำฟำ อีกทั้งยังให้กำรสนับสนุนเจ้ำฟำ
แต่ละเมืองให้มีอ�ำนำจปกครองบ้ำนเมืองของตนเอง และได้
สถำปนำให้เมืองทั้งหมดเปนสหพันธรัฐฉานข้ึนกับอังกฤษ
มิได้เปนส่วนหน่ึงของพม่ำแต่อย่ำงใด
• ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ในสมัยจอมพล ป.พบิ ูล-
สงครำม (แปลก พิบูลสงครำม) ญี่ปุนได้ขอผ่ำนไทยยกก�ำลัง
ทหำรเข้ำยึดรัฐฉำน เชียงตุง ในประเทศพม่ำ จำกทหำรจีนกก
มนิ ตง๋ั ของจอมพลเจยี งไคเชค็
• ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ รัฐฉำนกลับมำสู่อิสระภำพ
ครงั้ น้ีองั กฤษได้ผนวกเปนสว่ นหนึง่ ของพมำ่
ป.สิริ ๒๑
• พ.ศ. ๒๔๙๐ ช่วงหลังสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ ทำงกำร
พม่ำพยำยำมโน้มน้ำวเหล่ำบรรดำเจ้ำฟำไต ให้เข้ำร่วมเรียก
ร้องเอกรำชจำกอังกฤษ เจ้ำฟำไตจึงได้ร่วมลงนำมในสนธิ
สัญญาปางหลวงกับชำวพม่ำและกลุ่มชำติพันธุต่ำง ๆ
เพื่อขอเอกรำชจำกอังกฤษ โดยสัญญำดังกล่ำวได้น�ำไปสู่
กำรร่ำงรัฐธรรมนูญ ซ่ึงระบุให้ชนชำติที่ร่วมลงนำมใน
สัญญำ สำมำรถแยกตัวเปนอิสระได้หลังจำกอยู่ร่วมกันครบ
สิบป
• พ.ศ. ๒๔๙๑ อังกฤษได้ให้เอกรำชกับพม่ำและไต
รัฐบำลกลำงพม่ำไม่ยอมท�ำตำมสัญญำ และพยำยำมรวม
ดินแดนให้เปนของประเทศพม่ำ เหตุน้ีจึงท�ำให้ชำวไตหรือ
ไทใหญ่ก่อตั้งกองก�ำลังกู้ชำติของตนเองขึ้น ทำงรัฐบำลทหำร
พม่ำได้ใช้ระบอบเผด็จการทหารกับชำวไต อีกท้ังยังได้ท�ำลำย
พระรำชวังของไทใหญ่ ในเมืองเชียงตุงและอีกหลำยเมือง
เข้ำมำจัดกำรศึกษำเกี่ยวกับพม่ำให้แก่เด็กในพื้นที่ รัฐบำล
ทหำรพม่ำได้ให้ประชำชนกว่ำ ๓ แสนคน ย้ำยที่อยู่ประชำชน
ถูกเกณฑไปบังคับใช้แรงงำน ท้ังโครงกำรก่อสร้ำงและเปน
๒๒ รูเรื่องเมืองเชียงตุง
ลูกหำบอำวุธให้ทหำร ท�ำให้มีผู้ล้ีภัยจ�ำนวนมำกหนีเข้ำมำยัง
ประเทศไทย
ปจจุบันสถำนกำรณภำยในรัฐฉำนก็ยังไม่มีเสถียรภำพ
ทำงควำมมั่นคงเท่ำใดนัก และก็ยังมีกองก�ำลังกู้ชำติของตนเอง
อยู่ หำกในชว่ งทไี่ มม่ กี ำรปะทะกบั ฝำ ยรฐั บำลทหำรพมำ่ รัฐฉำน
ก็จะมีควำมเงียบสงบ
• พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้มกี ำรจดั ตง้ั สภำรฐั ฉำนขน้ึ
การปกครอง
แผนที่รัฐฉำน แสดงเขตรัฐระดับแขวง พ้ืนท่ี ๖๐,๑๕๕
ตำรำงไมล แบง่ กำรปกครองเปน ๑๑ แขวง คอื
๑. แขวงตองยี
๒. แขวงลอยแหลม
๓. แขวงจอกแม
๔. แขวงหม่แู จ้
๕. แขวงเล่ำกก ่ำย
๖. แขวงกนุ โหลง
๗. แขวงล่ำเสย้ี ว
ป.สิริ ๒๓
๘. แขวงเชียงตงุ
๙. แขวงเมืองสำด
๑๐. แขวงเมืองพยำค
๑๑. แขวงทำ่ ข้ีเหลก็
รัฐฉำนมีเมืองตองยี (Taunggyi) เปนเมืองหลวง ส�ำหรับ
ค�ำว่ำ “ตอง” หมำยถึง ภเู ขำ คำ� ว่ำ “ย”ี หมำยถึง ใหญ่ เมื่อนำ�
คำ� สองคำ� มำรวมเขำ้ ดว้ ยกันแลว้ มีควำมหมำยวำ่ “ภเู ขำใหญ่”
เมืองตองยีตั้งอยู่บนภูเขำสูงจำกระดับน�้ำทะเล ๑,๕๐๐ เมตร
หรือ ๔,๗๑๒ ฟตุ จึงมีอำกำศเยน็ สบำยตลอดทั้งป ในฤดหู นำว
อุณหภูมิเฉล่ียประมำณ ๕-๑๐ องศำเซลเซียส ส�ำหรับในอดีต
ที่ผ่ำนมำเมืองหลวงของรัฐฉำนคือเมืองไมตะ ต่อมำย้ำยมำยัง
เมืองยองชเว จนกระท่ังในป พ.ศ. ๑๘๙๔ จึงย้ำยเมืองหลวง
มำยังเมืองตองยีจนตรำบเท่ำทุกวันน้ี ส�ำหรับสำเหตุท่ีย้ำย
เมืองหลวงมำตั้งอยู่บนยอดเขำก็เพรำะว่ำสำมำรถจะมองเห็น
ข้ำศึกศัตรูผู้เข้ำมำรุกรำนเมืองตองยีได้ง่ำย ผู้ก่อต้ังเมืองตองยี
ได้แก่ ทานเซอรเจมส จอรจ สกอต ข้ำหลวงใหญ่อังกฤษ
ซึ่งเปนบุคคลท่ีชำวพม่ำให้ควำมรักและควำมเคำรพมำกท่ีสุด
๒๔ รูเร่ืองเมืองเชียงตุง
ท่ำนหนึ่ง ในสมัยประเทศพม่ำเปนอำณำนิคมของอังกฤษท่ำน
เซอรสนใจในประวัติศำสตร และประเพณีวัฒนธรรมของ
ประเทศพม่ำเปนอย่ำงมำก ท่ำนทุ่มเทอย่ำงจริงจังและได้แต่ง
หนงั สอื ขนึ้ มชี อื่ วำ่ “The Burman His Life And Nations”
ข้ึนนับเปนงำนเขียนชิ้นเอกของท่ำนเซอรท่ีเขียนถึงเรื่องรำว
ต่ำง ๆ ในประเทศพม่ำได้ดีที่สุดในศตวรรษท่ี ๑๙ และยังใช้
งำนเขียนช้ินเอกช้ินน้ีของท่ำนเซอรมำใช้อ้ำงอิงได้จนตรำบ
เทำ่ ทกุ วันน้ี
เขตปกครองในรัฐฉาน ประกอบดวย ๑๑ แขวง
๕๔ เมือง ดังน้ี
๑. แขวงตองยี (เมืองหลวงของรัฐฉำน) ประกอบด้วย
เมืองตองยี เมืองฉ่วยหย่อง เมืองยองห้วย เมืองสอก
เมอื งนำ�้ ปำ น เมอื งหอปอง เมอื งวำนเยน็ เมอื งสแี่ สง่ เมอื งจำ� มกำ
เมอื งสะกอย เมอื งปำย เมอื งฝำ ยขนุ เมอื งปำงลอง เมอื งกะลอ
เมืองส่ำ เมืองค�ำ เมืองฮำยโว เมืองปำงตะละ เมืองโมญีง เมือง
ล้อกจอก เมืองบำถู เมืองเชียงค�ำ เมืองลัง เมืองอังดอว เมือง
กอกกุ
ป.สิริ ๒๕
๒. แขวงลอยแหลม ประกอบด้วย เมืองลอยแหลม
(ดอยแหลม) เมืองปำงหลวง เมืองปอน เมืองน้�ำจ๋ัง เมืองสิต
เมอื งนำย เมอื งลำงเคอ เมอื งหมอกใหม่ เมอื งนำบอน เมอื งทำ
เมืองจอด เมืองหำง เมืองปน เมืองท่ำซำง เมืองท่ำก้อ
เมืองเชียงตอง เมืองเชียงลม เมืองคุนอิง เมืองสำง เมืองสู้ เมือง
เกสี เมืองก๋ึง
๓. แขวงจอกแม ประกอบด้วยเมืองจอกแม เมือง
หนองเขียว เมืองสีปอ เมืองตุง เมืองน้�ำส่ัน เมืองน�้ำตู้
เมืองโหลง เมืองมีด เมืองเกลอ เมืองเย็น
๔. แขวงหมูแจ ประกอบด้วยเมืองหมู่แจ้ เมืองน้�ำค�ำ
เมืองโกฐไข เมืองยุ เมืองจี เมืองโก
๕. แขวงเลากกาย ประกอบด้วย เมืองเล่ำกก่ำย
๖. แขวงกุนโหลง ประกอบด้วย เมืองกุนโหลง
๗. แขวงลา เสยี้ ว ประกอบดว้ ย เมอื งลำ่ เสยี้ ว เมอื งแสนหวี
เมอื งดอยแลง เมอื งไหย เมอื งตำ้ งยำน เมอื งมำว เมอื งเวยี งเงนิ
๘. แขวงเชียงตุง ประกอบด้วย เมืองเชียงตุง เมืองยำง
เมืองปอก
๒๖ รูเร่ืองเมืองเชียงตุง
๙. แขวงเมืองสาด ประกอบด้วย เมืองสำด เมืองเปยง
เมืองตอน
๑๐. แขวงเมืองพยาค ประกอบด้วย เมืองพยำค
เมืองยอง เมืองกลอย เมืองว้ำ
๑๑. แขวงทาขี้เหล็ก ประกอบด้วย เมืองท่ำข้ีเหล็ก
เมืองเชียงลำบ
ประชากร
ในรัฐฉำนมีประชำกรรำว ๔.๗ ล้ำนคน ด้ำนเชื้อชำติ
ภำยในรัฐฉำนมีชนกลุ่มน้อยอำศัยอยู่มำกถึง ๓๓ เผ่ำ
ส่วนใหญ่เปนกลุ่มของไทใหญ่ ไทเขิน นอกจำกนั้นก็จะมี
ชำวพม่ำ ชำวจีน ชำวกะฉิน ชำวดนุ ชำวอินตำ ชำวปะหล่อง
ชำวปะโอ ชำวพม่ำเชื้อสำยอินเดีย ชำวกะหรี่ยง ชำวไทลื้อ
ชำวค�ำตี่ ชำวไทดอย เปนต้น โดยเผ่ำท่ีอำศัยอยู่ในรัฐฉำน
มำกทสี่ ุดก็คอื
- ชำวฉำน ไทใหญ่ ไทเขิน มีพลเมืองประมำณ ๔๐%
จดุ เด่นมผี ิวสเี ข้ม
ป.สิริ ๒๗
- ชำวปะโอ มีพลเมืองประมำณ ๔๐% มีผิวคล้ำ� จดุ เด่น
ท่ีกำรแต่งกำยชองแต่งกำยสีด�ำและผ้ำโพกศรีษะสีสันสดใส
สีแดง สีส้ม โดยมีเร่ืองเล่ำกันว่ำ ชำวปะโออพยพมำจำก
ประเทศธิเบตเมื่อ ๑๒ ศตวรรษที่ผ่ำนมำและมีควำมเชื่อว่ำ
เผ่ำพนั ธุของตนสบื เช้ือสำยมำจำกมังกร
- ชำวอินตำหรืออินทำ ชอบอำศัยอยู่ในทะเลสำบอนิ เล
- ชำวปะหลอ่ ง (กะเหรยี่ ง) และดำนุ จดุ เดน่ คอื ชอบแตง่
กำยสดี �ำโพกศรษี ะด้วยผำ้ สีดำ�
- ชำวพม่ำ กะเหร่ยี งและลำหู่ ฯลฯ
ศาสนา
สำ� หรบั กำรนบั ถอื ศำสนำของประชำชนเผำ่ ตำ่ ง ๆ ทอี่ ำศยั
อยู่ในรัฐฉำน ซึ่งมีหลำกหลำยชำติพันธ หลำกหลำย
ชนเผ่ำน้ัน ท�ำให้มีกำรนับถือศำสนำที่หลำกหลำยตำมไปด้วย
โดยนบั ถือศำสนำพุทธ ๘๕ %, คริสต ๑๐ %, มสุ ลมิ ๘ %, และ
ศำสนำอืน่ ๆ อีก ๔ %
๒๘ รูเร่ืองเมืองเชียงตุง
ภาษา
ภำษำพมำ่ จดั อยใู่ นตระกลู ทเิ บต-พมำ่ ซงึ่ แยกยอ่ ยออกมำ
จำกภำษำในตระกูลจีน-ทิเบตจำกอีกทีหน่ึง แม้จะมีประชำกร
พูดภำษำนี้ได้ ๘๐ % ท่ัวประเทศพม่ำ แต่พม่ำก็ยังมีภำษำ
ประจำ� เผำ่ และภำษำทอ้ งถนิ่ ตำมภมู ภิ ำคตำ่ ง ๆ อยมู่ ำกถงึ ๒๔๒
ภำษำผ่ำนภูมิหลังและวัฒนธรรมที่แตกต่ำงกันออกไป ใน
หมบู่ ้ำนชนกล่มุ น้อยเผำ่ ตำ่ ง ๆ สะท้อนออกมำใหเ้ ห็นอย่ำงเด่น
ชัดผ่ำนทำงภำษำพูดเชื่อกันว่ำภำษำพม่ำมีต้นก�ำเนิดในแถบ
เอเชียกลำงเปนถิ่นฐำนเดิมของบรรพบุรุษชำวพม่ำและแพร่
หลำยอยู่ในหมู่ชำวไทในรัฐฉำนและชนเผ่ำมอญ-เขมรมำตั้งแต่
ในยคุ ศตวรรษท่ี ๑๙ เมื่ออำณำจักรมอญลม่ สลำยลง
ระบบเงนิ ตรา
ธนบัตรพม่ำเรียกว่ำ จาด ไม่มีเงินในลักษณะเปนเหรียญ
มีแต่เงินในรูปแบบธนบัตรโดยมีรำคำต้ังแต่ ๕, ๑๐, ๑๕, ๒๐,
๕๐, ๑๐๐, ๒๐๐, ๕๐๐, ๑๐๐๐, และ ๒๐๐๐ จำด (ที่เห็น
ใช้กนั ทว่ั ไปมี ๕๐๐, ๑,๐๐๐ จำด) นักท่องเที่ยวจะตอ้ งเตรยี ม
เงินยูเอสดอลล่ำรเพื่อน�ำไปช�ำระเปนค่ำใช้จ่ำยต่ำง ๆ เช่น
คำ่ โรงแรม คำ่ ทพี่ กั , คำ่ ตว๋ั เครอ่ื งบนิ และคำ่ ทวั ร ซง่ึ จะตอ้ งชำ� ระ
ป.สิริ ๒๙
เปนธนบัตรใหม่เท่ำน้ัน ส่วนธนบัตรท่ีมีสภำพเก่ำช�ำรุดมีรอย
ขีดข่วนซึ่งแสดงถึงกำรใช้งำนมำมำกเจ้ำหน้ำท่ีจะไม่ยอมรับ
ดังน้ันนักท่องเที่ยวจะต้องเตรียมธนบัตรยูเอสดอลล่ำรใน
สภำพใหม่ไป หรือจะแลกเงินจำดของพม่ำไปใช้จ่ำยก็ได้ โดย
นักท่องเท่ียวสำมำรถแลกเปนเงินจำดของพม่ำได้ท่ีธนำคำร
ต่ำง ๆ ในเมืองตองยี ส�ำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทำงมำกับ
บริษัททัวรสำมำรถแลกเปล่ียนเงินจำดได้จำกมัคคุเทศก ผู้น�ำ
ทัวรชำวไทยหรือชำวพม่ำและถ้ำท่ำนใช้เงินจำดไม่หมด ใน
วันเดินทำงกลับท่ำนสำมำรถน�ำมำขอแลกเปลี่ยนเงินกลับคืน
จำกมัคคุเทศกได้ หรือจะใช้จ่ำยเปนธนบัตรไทย ในบำงพ้ืนท่ีก็
สำมำรถใช้ได้เช่นกนั
๓๐ รูเรื่องเมืองเชียงตุง
àªÕ§µ§Ø à¢ÁÃ°Ñ àªÂÕ §µ§Ø , µØ§¤ºÃØ Õ
เมอื งเชยี งตงุ ตง้ั อยใู่ นรฐั ฉำน (Chan State ) ของประเทศ
พม่ำ เปนเมืองของชำวไทเขิน และ ชำวไทใหญ่ ถือได้ว่ำเปน
เมืองที่มีควำมเจริญรุ่งเรืองเทียบเท่ำเมืองเชียงใหม่แห่งล้ำนนำ
ไทย และเมืองเชียงรุ้งแห่งสิบสองปนนำเลยทเี ดยี ว
ภูมิลักษณะ
เชียงตุง (Kyaing tong) เปนจังหวัดหน่ึงในรัฐฉำน
(Chan State) ของพมำ่ ตงั้ อยทู่ ำงตะวนั ออกของแมน่ ำ้� สำละวนิ
ต้ังอยู่ละติจูดที่ ๒๑ องศำ ๑๗ ลิปดำ ๔๘ ลิปดำเหนือ และ
ลองติจูดที่ ๙๙ องศำ ๔๐ ลิปดำ ตะวันออก (๒๑.๒๙๖๗n,
๙๙.๖๖๗) ควำมสูงประมำณ ๒,๗๐๐ ฟุตเหนือระดับน้�ำทะเล
ปำนกลำง มีรูปร่ำงเปนแอ่งกระทะมีภูเขำล้อมรอบ มีท่ีรำบ
น้อยมำก จุดท่ีส�ำคัญที่สุดก็คือ เวียงเชียงตุง แม้จะเปนที่รำบ
แต่ก็มีพื้นท่ีตะปุมตะปำ เชียงตุงมีประชำกรหลำกหลำย
ชำตพิ นั ธอุ ำศยั อยรู่ ว่ มกนั สว่ นใหญจ่ ะเปน ชำวไทขนึ หรอื ไทเขิน
มีไทใหญ่ และ พม่ำ ลองลงมำยังมีชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อีก
มำกมำย เชน่ อำขำ่ ปะดอ่ ง วำ้ ลำฮู ลซี อ ลัวะ ฯลฯ
ป.สิริ ๓๑
กาํ แพงเมืองเชยี งตุง
กำ� แพงเมอื งเชยี งตงุ นนั้ กค็ อื กำ� แพงทลี่ อ้ มรอบเวยี งเชยี งตงุ
พวกเขำก่อก�ำแพงเมืองโดยอำศัยภูมิประเทศ ใช้วิธีปรับแนว
ก�ำแพงเมืองไปตำมธรรมชำติ ที่ท่ีสูงก็ไม่ต้องก่อเพ่ิม ท่ี ๆ ต่�ำก็
เสริมให้สูงข้นึ ท�ำอยำ่ งนี้จนรอบเวยี ง ควำมยำวของก�ำแพงนัน้
คำดวำ่ ยำวพอ ๆ กบั กำ� แพงในเวยี งเชยี งใหม่ แตก่ ำ� แพงเชยี งตงุ
นนั้ สูงใหญ่กว่ำของเวียงเชียงใหม่ มีหลักฐำนที่แสดงให้เห็นว่ำ
ก�ำแพงเมืองเชียงตุงมีควำมยำวมำก ก็คือครั้งเม่ือกองทัพใน
สมัยรัชกำลที่ ๔ ซึ่งมีก�ำลังพลนับหมื่นคน แต่ก็มิสำมำรถล้อม
ได้หมด เนื่องจำกก�ำแพงนั้นใหญ่มำก โดยเฉพำะทำงทิศเหนือ
ซ่ึงในสมัยนั้น ต้องตั้งค่ำยทำงทิศน้ีถึง ๑๒ ค่ำย
ประวัติการกอตั้งเมือง
ประวตั เิ รมิ่ แรกของเมอื งนน้ั ไมค่ อ่ ยจะแนช่ ดั มำกเทำ่ ไรนกั
แต่มีต�ำนำนเล่ำขำนกันว่ำ เคยเกิดน้�ำท่วมใหญ่ท่วมเมือง ไม่มี
ท่ีจะไปเน่ืองจำกเปนแอ่ง แต่ว่ำมีฤๅษีนำมว่ำ ตุงคฤๅษี แสดง
อิทธิฤทธิ์ท�ำให้น้�ำไหลออกไปอยู่ตรงกลำงเมือง ท�ำให้เกิดเปน
๓๒ รูเร่ืองเมืองเชียงตุง
หนองน้�ำขนำดใหญ่ เรียกกันว่ำ หนองตุง อันเปนท่ีมำของช่ือ
เชียงตุง เปนแว่นแคว้นท่ีเจริญรุ่งเรืองด้วยพระพทุ ธศำสนำ และ
วฒั นธรรม อดุ มไปดว้ ยปำ ไม้ และมเี จำ้ ฟำ ที่เข้มแข็งปกครองจึง
เฉลิมนำมให้ใหม่ว่ำ เขมรัฐตุงคบุรี
นครเชยี งตุง
พงศำวดำรของเมืองได้กล่ำวไว้ว่ำ เมื่อจุลศักรำช ๗๙๑
(พ.ศ. ๑๗๗๒) พญำมังรำยได้เสด็จประพำสปำและทรง
ไล่กวำงทองมำจนถึงเมืองเชียงตุง พระองคทรงเล็งเห็น
ภูมิประเทศของเมืองเชียงตุงก็พอพระทัยมำก จึงวินิจฉัย
ส่ังให้ข้ำรำชบริพำรสลักรูปพรำนจูงหมำพำไถ้แบกธนูไว้บน
ยอดดอยท่ีเห็นเมือง หลังจำกนั้นพระองคก็เสด็จกลับมำเมือง
เชียงรำยแลว้ ทรงสง่ กองทพั มแี ม่ทพั นำมว่ำขนุ คงและขุนคลงั
ให้มำชิงเมืองเชียงตุง จำกชำวลัวะแต่ก็ไม่ส�ำเร็จ พระองคจึง
ส่งมังคุมและมังเคียน ซ่ึงเปนชำวลัวะท่ีอำศัยอยู่กับพระองค
มำรบอีกครั้ง ปรำกฏว่ำได้ชัยชนะพญำมังรำยจึงมอบให้มังคุม
และ มังเคียน ปกครองเมืองเชียงตุง
ป.สิริ ๓๓
ภำยหลังเมื่อมังคุม มังเคียน สิ้นชีวิต พญำมังรำยจึงส่ง
เจาน้ําทวม ผู้เปนรำชบุตรไปปกครองเมืองเชียงตุงเม่ือ
พ.ศ. ๑๗๘๖ เมืองเชยี งตงุ จงึ เปน เมอื ง “ลูกชำ้ งหำงเมอื ง” หรือ
“เมืองลกู หลวง” ขน้ึ กบั อำณำจกั รล้ำนนำ
ตำมหลักฐำนท้ังหลำย ได้ระบุไว้ว่ำมีเจ้ำฟำปกครอง ๓๓
พระองค พระองคสุดท้ำยคือ “เจารัตนะกอนแกวอินแถลง”
จำกหนังสือ “ต�ำนำนมังรำยเชียงใหม่เชียงตุง” ซ่ึงจำรึกอยู่ใน
หนงั สอื ใบลำนของวดั อโุ มงค อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่ เนอื้
ควำมของเอกสำรดงั กลำ่ วได้แบง่ ออกเปน ๒ ตอนใหญ่ ๆ
ตอนแรกจำกหน้ำลำนท่ี ๑-๒๒ กล่ำวถึงพญำมังรำย-
มหำรำชจนกระท่ังถึงพระยำผำยู ซึ่งอยู่เสวยรำชยในเมือง
นพบุรีศรีพิงไชยเชียงใหม่ (นพบุรีศรีนครพิงคเชียงใหม่) มีอำยุ
ยืนได้ ๗๐ ป ก็จุติตำยไป พระยำผำยูตำยปเปกเล็ด ศักรำช
ได้ ๘๙๙
ตอนท่ี ๒ เริ่มตั้งแต่หน้ำลำนท่ี ๒๒-๔๖ เริ่มตั้งแต่ พระ
ยำลัวะจักรรำช จนถึงตอนท่ีเจ้ำหม่อมมหำวัง (เจ้ำเมือง
เชียงรุ้ง) สิ้นพระชนม เปนกำรเท้ำเปนกำรย้อนรำชนิกูรของ
๓๔ รูเร่ืองเมืองเชียงตุง
พญำมงั รำย ไปจนถงึ เมอื งในอำณำจกั รลำ้ นนำ และ อำณำจกั ร
รอบ ๆ
ส่ิงที่น่ำสนใจตอนหน่ึงในหนังสือเร่ืองน้ี คือกำรกล่ำวถึง
เมืองเชียงตุงในอดีต ซึ่งระบุว่ำ มังคุมครองเมืองได้ ๑๗ ป
กส็ น้ิ ชพี และมงั เคยี นครองเมอื งได้ ๗ ป กเ็ สยี ชวี ติ หลงั จำกนนั้
เมืองเชียงตุงจึงเปนเมืองร้ำง เปนเวลำ ๑๐ ป พญำมังรำย
จึงส่งพระยำนำถะมู ไปครองเชียงตุงในป จ.ศ. ๘๓๓
(พ.ศ. ๑๘๑๔) หลังจำกน้ันพระยำนำถะมูจึงโปรดให้สร้ำงเวียง
เชียงเหล็กในปต่อมำ
ในปต อ่ ๆ มำ ชำวลวั ะไดล้ กุ ลำมเมอื ง และทดนำ้� ไปสเู่ มอื ง
เพื่อจะให้น�้ำท่วมเมืองพระยำนำถะมู เจ้ำเมืองในขณะน้ันได้
สิ้นพระชนม ครองเมืองได้ ๑๔ ป พระยำน�้ำท่วมกินเมืองแทน
พ่อในป จ.ศ. ๘๔๕
เชยี งตุงในชวงท่เี ชียงใหมมอี ิทธพิ ล
ในป จ.ศ. ๘๙๑ พระยำผำยู (พ.ศ. ๑๘๘๙-๑๘๙๘) กษตั รยิ
แห่งเมืองเชียงใหม่ ได้ส่งพระโอรสไปครองเมืองเชียงตุงคือ
พระยำเจด็ พนั ตู โหรของพระองคไ ดท้ ำ� นำยไวว้ ำ่ “เมอื งเชยี งตงุ เปน
ป.สิริ ๓๕
เมืองนำมจันทร น�้ำไหลจำกทำงทิศใต้ไปทิศเหนือ ผู้หญิงกิน
เมืองดี ถ้ำผู้ชำยกินเมืองให้เลี้ยงเจนเมือง ๕๐๐ นำ และสร้ำง
เจดียเปนชื่อเมืองจึงจะดี” ในกำรเสด็จไปครองเมืองเชียงตุง
ในครำนั้น พระยำเจ็ดพันตูจึงทรงได้น�ำเอำช้ำง ม้ำ คนพล
ติดตำมไปเปนจ�ำนวนมำก รวมท้ังพระไตรปฎกและพระสงฆ
๔ รปู คอื พระมหำธมั มไตร จำกวดั พระแกว้ เชยี งรำย พระธมั ม-
ลงั กำ วดั หวั ขว่ ง พระทสปญ โญ วดั พระกลำง พระมหำหงสำวดี
วัดจอมทอง เมืองเชียงใหม่
กำรสรำ้ งควำมสมั พนั ธร ะหวำ่ งเมอื งเชยี งตงุ และเชยี งใหม่
สมยั รำชวงศม งั รำย จงึ สำมำรถแบง่ ได้งำ่ ย ๆ ดังน้ี ในสมัยแรก
เปนแบบเครือญำติ และขุนนำงในตอนกลำง ขุนนำงปกครอง
และยุคสุดท้ำยรำชวงศก็ได้กลับมำปกครองอีกครั้ง
ในสมยั พญำกอื นำถงึ สมยั พญำแกว้ (พ.ศ. ๑๘๙๘-๒๐๖๘)
ซ่ึงเปนช่วงท่ีพระพุทธศำสนำเจริญรุ่งเรืองมำกในอำณำจักร
ล้ำนนำ เปนช่วงที่ต้ังกรุงศรีอยุธยำใหม่ ๆ ควำมสัมพันธน้ัน
แน่นแฟนมำก ๆ กำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำจำกเชียงใหม่
สู่เชียงตุงไปถึงเชียงรุ้ง จึงเปนไปได้โดยง่ำยแบ่งได้เปน ๒ ตอน
๓๖ รูเรื่องเมืองเชียงตุง
ใหญ่ ๆ คือในสมัยพญำกือนำพระสงฆนิกำยรำมัญวงศ (พมำ่
ผสม มอญ) จำกวัดสวนดอก และในสมัยพระเจ้ำติโลกรำช
นิกำยสิงหล (สุโขทัย อยุธยำ) จำกวัดปำแดงได้ออกเดินทำง
ไปเผยแพร่พระพุทธศำสนำให้ชำวเมืองได้รู้ ไม่ใช่แต่ศำสนำ
อย่ำงเดียว วัฒนธรรม ตัวอักษรและภำษำก็ออกไปเผยแพร่
ด้วย ดังน้ัน ตัวเมืองของล้ำนนำและตัวเขียนของไทเขินจึง
ใกล้เคียงกันมำก
ผคู รองนครเชียงตุงองคส ดุ ทาย
เชียงตุงในสมัยนี้ ท�ำให้เกิดเจ้ำฟำที่ย่ิงใหญ่ท่ีสุดของ
เชียงตุง พระนำมว่ำ เจาฟารัตนะกอนแกวอินแถลงหรือ
เจาฟาอินแถลง ซึ่งอยู่ร่วมสมัยกับรัชกำลที่ ๕ ของไทย
พระองคปกปองเมืองเชียงตุงไม่ให้กลำยเปนเมืองอำณำนิคม
ของจกั รวรรดอิ งั กฤษ แตห่ ลงั จำกพระองคส น้ิ พระชนม เชยี งตงุ ก็
ตกไปอยู่ภำยใต้อ�ำนำจของอังกฤษ จนกระทั่งในสมัยช่วง
สงครำมโลกครั้งท่ี ๒ รัฐบำลจอมพล ป. พิบูลสงครำม ได้ส่ง
ก�ำลังทหำรภำยใต้กำรน�ำของพลตรีผิน ชุณหะวัณ (ต่อมำได้
เล่ือนเปน จอมพลผิน ชุณหะวัณ) เข้ำยึดเมืองเชียงตุง และ
ป.สิริ ๓๗
เจ้ำฟำรัตนะก้อนแก้วอินแถลงหรือเจ้ำฟำอินแถลง
ผู้ครองนครเชียงตุงองคสุดท้ำย
เมืองพำนจำกอังกฤษ ท่ีเคยเปนของชำวสยำม โดยมีควำม
ช่วยเหลือ จำกญ่ีปุน เมื่อวันท่ี ๒๖ พฤษภำคม ๒๔๘๕ โดย
อ้ำงว่ำมีประวัติศำสตร และเชื้อชำติท่ีเหมือนกัน นอกจำกนั้น
กองทัพไทยยังเข้ำไปโจมตีและปกครองเมืองตองยี และ
สิบสองปนนำอีกด้วย โดยมีประเทศญี่ปุนช่วยให้บริเวณ
เมืองเชียงตุง และเมืองพำนมำร่วมเข้ำกับประเทศไทย รวม
ทั้งหมดนี้ท�ำให้จัดต้ังเปนสหรัฐพันธรัฐไทยเดิมในเวลำต่อมำ
เชียงตุงเคยเปนจังหวัดหนึ่งของไทย
เมื่อไทยสำมำรถยึดเมืองเชียงตุงได้แล้วก็จัดให้เปน
จังหวัดหนึ่งของไทยมีชื่อว่ำ จังหวัดสหพันธรัฐไทย และ
แต่งตั้งให้ พลตรีผิน ชุณหะวัณ ด�ำรงต�ำแหน่งเปนข้ำหลวง
๓๘ รูเร่ืองเมืองเชียงตุง
ใหญ่ประจ�ำจังหวัดสหรัฐไทยเดิม เพ่ือควบคุมและรักษำควำม
สงบเรียบร้อยภำยในเมืองเชียงตุง ในขณะเดียวกันทำงรัฐบำล
ไทยก็ได้ทูลเชิญเจ้ำเมืองเหล็กพรมลือ โอรสองคใหญ่ของ
เจ้ำฟำก้อนแก้วอินแถลงพร้อมด้วยเจ้ำแม่ปทุมเทวี ที่ไปช่วย
รำชกำรและพ�ำนักอยู่ที่เมืองโหม่วหย่ัว ชำยแดนพม่ำติดกับ
ประเทศอินเดีย ตำมค�ำส่ังรัฐบำลอังกฤษ พร้อมด้วยเจ้ำหญิง
ทิพวรรณ ณ เชียงตุง (ณ ล�ำปำง) และรำชธิดำให้กลับมำเปน
มิ่งขวัญของชำวเชียงตุง โดยมีเจ้ำนำยชั้นผู้ใหญ่พร้อมด้วย
คณะสงฆ เสนำอำมำตย นำยแคว้น นำยแขวง และพ่อเมือง
ตำ่ ง ๆ ในเขตเชยี งตงุ ไดพ้ รอ้ มใจกนั จดั พธิ ที ำ� ขวญั ขนึ้ ทคี่ มุ้ หลวง
แล้วสถำปนำพระองคเปน “เจาฟาสิริสุวรรณราชยส-
พรมหลือ” ปกครองเมืองเชยี งตุงเปน องคท ่ี ๔๐
ไทยเสียเชียงตุง
ภำยหลังสงครำมโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๘) สิ้นสุดลง
รัฐบำลไทยต้องมอบเชียงตุงให้แก่ สหประชำชำติ (UN)
อังกฤษได้เข้ำมำมีบทบำทต่อพม่ำและเชียงตุงอีกคร้ังหนึ่ง
ขณะนั้นเจาฟาพรมหลือ ตัดสินพระทัยเข้ำมำพ�ำนักที่
ป.สิริ ๓๙
เมืองเชียงใหม่พร้อมด้วยครอบครัว โดยมีเจ้ำฟำองคสุดท้ำย
คอื เจา ฟา ชายโหลง ปกครองเมอื งเชยี งตงุ สบื มำเปน องคท ่ี ๔๑
นบั วำ่ ไทยเรำไดป้ กครองเมอื งเชยี งตุงนำนเพยี งแค่ ๓ ปเทำ่ น้ัน
ก็ตอ้ งสูญเสียเมอื งเชียงตงุ ไปอยำ่ งน่ำเสยี ดำยเปน อย่ำงย่ิง
สญั ญาปางหลวง
ประชำชนชำวพม่ำชึ่งมีหลำยเชื้อชำติหลำยเผ่ำพันธุ ได้
รวมตัวกันต่อต้ำนกำรปกครองของอังกฤษ ได้รวมตัวกันเปน
หนึ่งเดียวเพื่อขับไล่อังกฤษออกไปให้พ้นจำกประเทศพม่ำ โดย
รัฐบำลพม่ำในขณะนั้นได้เรียนเชิญผู้น�ำชนกลุ่มน้อยต่ำง ๆ มำ
เช็นตสัญญำมอบเมืองทุกเมืองท่ีตนปกครองอยู่ให้พม่ำ เมือง
เชียงตุงโดยเจ้ำฟำชำยโหล่ง ได้เช็นตมอบเมืองเชียงตุงให้แก่
พม่ำเหมือนกับผู้น�ำชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เม่ือประมำณ ๕๐ ปที่
แล้ว โดยในสนธิสัญญำปำงหลวงระบุว่ำ เมื่อขับไล่อังกฤษออก
จำกพม่ำได้แล้ว จะแบ่งเขตปกครองเปนรัฐ ๆ โดยให้ผู้น�ำชน
เผ่ำต่ำง ๆ เปนผู้น�ำรัฐที่ตั้งข้ึนใหม่ รวมทั้งรัฐเชียงตุงด้วย แต่
เม่ือภำระกิจกำรขับไล่อังกฤษพ้นจำกประเทศพม่ำแล้วรัฐบำล
๔๐ รูเร่ืองเมืองเชียงตุง
พม่ำไม่ได้ปฏิบัติตำมสนธิสัญญำท่ีตกลงกันไว้ ไม่เพียงเท่ำนั้น
รัฐบำลพม่ำยังพยำยำมเข้ำครอบง�ำชนกลุ่มน้อยต่ำง ๆ
หลำกหลำยวิธีแต่ก็ไม่ส�ำเร็จ จึงท�ำให้ชนเผ่ำต่ำง ๆ เรียกร้อง
หำ สัญญำปำงหลวง โดยกำรรวมตัวต่อต้ำนรัฐบำลพม่ำจนถึง
ปจจุบันน้ี เช่น รัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ รัฐไทใหญ่ หรือรัฐฉำน
รัฐว้ำ เปนต้น เมืองเชียงตุงจึงส้ินสุดรำชวงศปกครองนับแต่
บัดนั้นเปนต้นมำ
รัฐบาลพมาเขาปกครองเชียงตุงและปดประเทศ
ประเทศพม่ำได้รับเอกรำชจำกอังกฤษเมื่อวันท่ี ๔
มกรำคม ๒๔๙๓ เชียงตุงก็ถูกผนวกเข้ำอยู่ภำยใต้กำรปกครอง
ของพม่ำ ต่อมำในป พ.ศ. ๒๕๐๕ นำยพลเนวิน ผู้น�ำของพม่ำ
ได้ท�ำกำรรัฐประหำรและใช้ระบบกำรปกครองแบบสังคมนิยม
ในกำรปกครองประเทศเชียงตุง ช่ึงเคยมีเจ้ำฟำปกครองมำ
โดยตลอดก็ต้องสิ้นสุดลง และนับตั้งแต่ป พ.ศ. ๒๕๐๖ เมือง
เชียงตุงก็ถูกสั่งปดไปพร้อมกับกำรปดพรมเเดนพม่ำ ซึ่งเกิด
จำกปญหำกำรเมืองกำรปกครองภำยในประเทศ
ป.สิริ ๔๑
การขามแดนไทย – พมา
จำกปญหำกำรเมอื งกำรปกครองของประเทศพม่ำ ท�ำให้
กำรไปมำหำสู่และค้ำขำยระหว่ำงประชำชนทั้งสองประเทศ
ไมส่ ะดวก แตใ่ นควำมเปน จรงิ ประชำชนทงั้ สองประเทศกย็ งั ไป
มำหำสู่กันเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภำคม ๒๕๔๐ รัฐบำลไทยกับ
รัฐบำลพม่ำได้ร่วมกันท�ำข้อตกลงว่ำด้วยกำรข้ำมแดนระหว่ำง
ประเทศท้ังสอง โดยตั้งด่ำนท�ำหนังสือผ่ำนแดนชั่วครำว
เรียกว่ำ บอรเดอรพำส (Temporary Border Pass) ให้แก่
ผู้ประสงคจะเดินทำงไปสู่เมืองเชียงตุง เมืองลำ และเมืองที่อยู่
ในกลมุ่ รฐั ฉำน มกี ำ� หนดกำรเดนิ ทำงไปไดไ้ มเ่ กนิ ๗ วนั ไมต่ อ้ งทำ�
วีซ่ำหรือพำสปอรต หำกเกินกว่ำน้ันจะต้องแจ้งเปนกรณีพิเศษ
ปจ จุบันผ่อนผนั มกี ำ� หนด ๑๕ วนั
๔๒ รูเร่ืองเมืองเชียงตุง
»Ãоѹ¸â´Â
¼ÙŒª‹ÇÂÈÒʵÃÒ¨Òà»ÃÐÊÔ·¸ìÔ ·Í§ÍØ‹¹
ÍÒ¨Òà¼ÙŒªíÒ¹ÒÞ¡Òà »ÃШíÒ˹‹ÇÂÇԷºÃÔ¡Òä³ÐÊѧ¤ÁÈÒʵÃ
ÁËÒÇÔ·ÂÒÅÑÂÁËÒ¨ØÌÒŧ¡Ã³ÃÒªÇÔ·ÂÒÅÑ ÇÑ´äË¢Ô§ ¾ÃÐÍÒÃÒÁËÅǧ
»Ãоѹ¸ã¹¤ÃÒÇà´Ô¹·Ò§Ã‹ÇÁ¤³Ð¹ÔÊÔµ »ÃÔÞÞÒµÃÕ ªéѹ»‚·Õè ó
·ÑȹÈÖ¡ÉÒ ³ à¢ÁÃѰàªÕ§µØ§ »ÃÐà·È¾Á‹Ò
ô-ø ÁԶعÒ¹ òõõô
¹ÔÃÒÈÌҧ ¨íÒˋҧä¡Å ¨Ò¡äË¢Ô§
ÅÒ·Ø¡ÊèÔ§ µŒÍ§¨Ò¡ä» ÂÒÁº‹ÒÂÊͧ
¤¹Ãٌ㨠ÍÒÅÑÂÅÒ ¹íéҵҹͧ
àËÅÕÂǵÒÁͧ ¾ÃŒÍÁÊÍ§à·ŒÒ ¡ŒÒÇ¢éֹö
¤Ø³ÊÁ¾§È ª×èÍ·ÑÇúÑÊ ·èըѴËÒ
à¤Å×è͹µÑÇÁÒ àÇÅÒ¹Õé ·Õè¡íÒ˹´
äËÇŒËÅǧ¾‹Í ¡ÃÒº¢Í¾Ã ÊØ¹·Ã¾¨¹
ºÃÔº· ¢Í»ÅÍ´ÀÑ 㹡Ò÷ÑÇÃ
¹ÔÊԵʧ¦ ¨Ñ´â¤Ã§¡Òà ªÑé¹»‚ÊÒÁ ¡çËÇÁ´ŒÇÂ
㪌¨‹ÒµÒÁ ¤ÇÒÁ¨íÒ໚¹ ์¹ÃÒÂËÑÇ §Ò¹ÊÐÊÒ§
·éѧ¡ÅØ‹Á¡ÃØ» ·Ø¡ÃٻŌǹ à§Ô¹Ê‹Ç¹µÑÇ ÃкºÇÒ§
໚¹¸ÃÃÁ·ÑèÇ à©ÅèÕ»˜¹ ¡ÒÃà´Ô¹·Ò§ »˜ÞËÒà¤ÅÕÂÃ
ÃØ‹¹·Õè˹èÖ§ ªÑé¹».â·
¼Í.˹‹Ç ÍíҹǡÒÃ
»˜ÞËÒÁÕ ·Õ赌ͧ¨º
¡Ô¨·Ø¡Í‹ҧ µ‹Ò§ª‹Ç¡ѹ
44 ¹ÔÃÒÈàªÕ§µØ§
·Õè¡àÇŒ¹ ¸ØÃ¡Òà ¾§È¾Ñ¹¸ “ÍŽÍ”
¡Ñº ¼È. “»ÃÐÊÔ·¸Ôì” ãËŒ äÁ‹µŒÍ§àÊÕÂ
਌Ò˹ŒÒ·Õè ¡ÑºÍÒ¨ÒàâÍÅѹà·ÕÂÃ
à§Ô¹à©ÅÕè Ãͧ»ÃÐ¸Ò¹Ï ·‹Ò¹àÁµµÒ
਌Ҥس¾ÃоԾѲ¹ÇÔÃÔÂÒÀó
àÍé×ÍÍÒ·Ã §º»ÃÐÁÒ³ ¨Ñ´ÊÃÃËÒ
·ÑȹÒ
¾ÃŒÍÁâ¤Ã§¡Òà ͹ØÁÑµÔ ÇÑ´ÍÒÃÒÁ
àÁ×ͧ¾Á‹Ò à¢ÁÃѰ
àÂ×͹àªÕ§µØ§ ¼´Ø§¸ÃÃÁ ºíÒÃØ§ÈÒʹ
་Ҿѹ¸ØªÒµÔ àªé×ÍÊÒÂä·Â ã¹ÊÂÒÁ
ª×è͵‹Ò§ªÒµÔ ໚¹Þҵԡѹ ་Ҿѹ¸ØµÒÁ
ä·ÂãËÞ‹¹ÒÁ ¤ÇÒÁ¨ÃÔ§ÃÙŒ ÍÂÙ‹µ‹Ò§á´¹
µ¡Å§ÇÒ§ àÊŒ¹·Ò§Ã¶ ¡íÒ˹´à¿Á
ྪÃà¡ÉÁ àÊŒ¹·Ò§ãËÞ‹ 㪌໚¹á¼¹
㵌Êоҹ ¼‹Ò¹àÅÕéÂÇ¢ÇÒ ÁÒÅÑÂáÁ¹
¡íÒá¾§áʹ ࢌÒÊØ¾ÃÃ³Ï ´ŒÒ¹ÍÙ‹·Í§
ÈÃÕ»ÃШѹµ ¼‹Ò¹à¢ŒÒä» ÊÙ‹ªÑ¹ҷ
àÊÕ§à¾Å§ªÒµÔ ʧº¿˜§ ä·Â·éѧ¼Í§
Ë¡âÁ§àÂç¹ à»š¹¾Åº¤íèÒ µÒÁ¤ÃÃÅͧ
âÂÁ·éѧÊͧ àÃÔèÁÁͧËÒ ÍÒËÒÃàÂç¹
¹ÔÃÒÈàªÕ§µØ§ 45
¹¤ÃÊÇÃä àʺÕ§ÁÕ ·èÕ¹íÒÁÒ ¹íéÒ»Ò¹Ð
»§ÇѧÁÒ ÊíÒËÃѺ¾ÃÐ ÍÂً㹶ѧ ÇÒ§äÇŒàËç¹
਌ҾÃÐÂÒ ¤ÄËÑʶ ¨Ñ´ÍÕ¡Í‹ҧ µ‹Ò§»ÃÐà´ç¹
Êͧá¤ÇŌǹ ¢ŒÒÇà˹ÕÂÇ์¹ ໚¹Áé×ͤíèÒ µÒÁÊÁ¤ÇÃ
¡íÒᾧྪà ÇÔÁÒ¹´Ô¹ ³ ¶Ô蹿‡Ò ໚¹àÁ×ͧ¾ÃÐ
ʧ¦Ê‹Ç¹ÁÒ¡ ÂÁ¹‹Ò¹»¹ ¹éíÒǹËǹ ÇÑ´ÊØ¢Êѹµ
ºÒ§ÃÙ»ºŒÒ§ ÊÕèÊÒ¹íéÒ ¹íÒ»ÃÐÁÇŠ㪋¡ÅÒ§Çѹ
·Ø¡·ŒÍ§·Õè ÁÒºÃèº äËžº¡Ñ¹ ã¹ÃÒµÃÕ
¾ÔɳØâÅ¡ ´ÔÅ¡àÃ×ͧ ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ
ͧ¤¾Ø·¸ ªÔ¹ÃÒª ä´Œ¡‹ÍÊÌҧ
¤íèҤ׹·ÃÒº ¡ÃÒºã¹ã¨ ÃÒ¡°Ò¹ÇÒ§
ÇÑ´ÊíÒ¤ÑÞ ¢Í¼‹Ò¹ä» µÒÁá¼¹§Ò¹
ࢵàÁ×Í§à¡‹Ò à¢ŒÒÊÙ‹µÒ¡
ËÅѺ¾Ñ¡ÃÙŒ ÊÙ‹ÇÔ¶Õ
¹èѧ¾Ô§ÍÂÙ‹ ´Ù·ÕÇÕ
ÁÕËÁÙ‹ºŒÒ¹ ÌҹÃÔÁ·Ò§
·èÕµÒ¡¹Õé ÁÕʶҹ
ÇÑ´·‹Ò¹Ò ÍÒ¤ÒÃãËÞ‹
˹‹ÇÂÇÔ·Â ºÃÔ¡ÒÃ
໚¹µÑÇÍ‹ҧ â¤Ã§¡Ò÷íÒ
46 ¹ÔÃÒÈàªÕ§µØ§
ÊÒÁ·Ø‹Á¤ÃÖè§ ÁÒ¶Ö§·èÕ ÁÕ¾ÃÐÍÂÙ‹
ËÅÒÂÃÙ»ÃÙŒ Ã͵ŒÍ¹ÃѺ ¹ÑºËÅÒ·‹Ò¹
ˌͧÍÒº¹éíÒ ÁÕà¾Õ§¾Í ºÃÔ¡ÒÃ
ÍÂÙ‹äÁ‹¹Ò¹ ¢Íºã¨·‹Ò¹ ·èÕ´ÙáÅ
ÊÕè·Ø‹Á¡Ç‹Ò ʹã¨ÁÒ¡ ¹Ñ¡ÈÖ¡ÉÒ ¦ÃÒÇÒÊ
ÁÒÍÕ¡¤ÃÑé§ ãËŒ»ÃÐËÅÒ´ ÁÕ¨íҹǹ ·Ç¹¡ÃÐáÊ
¼Ù¡¹íéÒã¨ Ê¶ÔµÔ à·‹Ò·ÕèàËç¹ à»š¹µÑÇá»Ã
äÌࢵ¡éѹ ˹؋ÁÊÒÇáË‹ ªÇ¹¡Ñ¹ÁÒ ÈÖ¡Éҡѹ
ÅÒàÁ×ͧµÒ¡ ·‹Ò¹Ò¨Ò¡ ½Ò¡¤ÇÒÁËÇѧ
öäÁ‹µÔ´ ÊÌҧà¤Ã×Í¢‹Ò äÁ‹ãª‹½˜¹
ÃÔÁ·Ò§Êͧ ÊÒÂãÂÇÒ§ ÊÌҧÊÑÁ¾Ñ¹¸
´Ö¡áÅŒÇà͹ ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ ·‹Ò¹ÒÁÕ
˹‹ÇÂäË¢Ô§ ¡íÒ˹´¡Ãͺ ¤íҵͺ⨷Â
¡ŒÒÇ¡ÃÐâ´´ àÃçÇà¡Ô¹ä» ã¹ÇÔ¶Õ
¢Õ´àÊŒ¹¡Ãͺ ËÅÑ¡ÊÙµÃ㪌 ÂѧäÁ‹¿ÃÕ
µÔ´¢Ñ´·èÕ ÇÔ¶ÕÇÒ§ ÊÌҧ¡¯à¡³±
¨Ò¡·‹Ò¹Ò ¿‡ÒÁ×´ÁÔ´
ᵋÁͧä¡Å á·ºäÁ‹àËç¹
ÁͧÍÍ¡ä» äÁ‹ªÑ´à¨¹
·Õè¹Ñ觹͹ ´ŒÇÂ͋͹à¾ÅÕÂ
¹ÔÃÒÈàªÕ§µØ§ 47
âºÊ¶Ã‹Í§¢Ø‹¹ ŧ·Ø¹ÊÌҧ Í‹ҧÇÔ¨ÔµÃ
º¹¤ÇÒÁ¤Ô´ ¨ÔµàÊÃÕ ÁÕ¤ÇÒÁËÁÒÂ
¤Ø³¤‹ÒÁÕ ÅÕÅÒ์¹ ¡ÒÃàÅ‹¹ÅÒÂ
¢ÒÇ»ÃСÒ âºÊ¶ËÅѧ¹Õé àËÁ×͹ÁÕÁ¹µ
à©ÅÔÁªÑ 㪌¾Åѧ¨Ôµ ÍØ·ÔÈÊÌҧ
ÁÔµÔµ‹Ò§ ·Ò§¤Ø³¤‹Ò ¹‹Ò©§¹
ÃÒµÃÕ¡ÒŠö¼‹Ò¹ä» äÁ‹ä´ŒÂÅ
àÊÕ´Ò¨¹ ˹˹ŒÒÁÕ ·èÕä´ŒÁÒ
¶Ö§áÁ‹ÊÒ ¨Í´áÇл˜œÁ µÒÁ·Ò§¼‹Ò¹ äÁ‹¹Ò¹¹Ñ¡
ÊÙµÃÊíÒàÃç¨ äÁ‹áÇоѡ ·Õèã´Í×è¹ ¤×¹ËÃÃÉÒ
ÍÒËÒÃàªŒÒ ÃÒªÀѯ àªÕ§ÃÒ¼‹Ò¹ ¡ÒÅàÇÅÒ
Ìҹ¨Õ¨éÕ äÇŒ¤ÃÑé§Ë¹ŒÒ ÁÒªÁàÇÕ§ àªÕ§ÃÒÂÁÕ
ã¹àÇÅÒ µÕËŒÒàÈÉ
ö¨Í´»˜œÁ µÒÁÇÔ¶Õ
à¢Ò¨Ñ´äÇŒ ãËŒ©Ñ¹¿ÃÕ
·Õè©Ñ¹àªŒÒ ¢ŒÒǵŒÁ»ÅÒ
àÍ¡ÊÒà 㺼‹Ò¹á´¹ á·¹¾ÒÊ»Íõ
ÁըشºÍ´ ºÒ§ÃÙ»·‹Ò¹ ÁÕ»˜ÞËÒ
´‹Ç¹á¡Œä¢ ä´Œ©Ñº¾Åѹ ·Ñ¹àÇÅÒ
¢Íº¤Ø³ÁÒ µÁ.´Õ ·Õè¹Øà¤ÃÒÐË
48 ¹ÔÃÒÈàªÕ§µØ§
¹íéÒáÁ‹ÊÒ 㪌¡Ñé¹à¢µ »ÃÐà·ÈÊͧ
ä»ÁÒµŒÍ§ àÍ¡ÊÒÃÁÕ ·Õè¾ÍàËÁÒÐ
ËÅÑ¡°Ò¹á·Œ ᵋÅÐÃÒ 㪌੾ÒÐ
¶×Í໚¹à¡ÃÒÐ ãËŒÍÂÙ‹ÃÍ´ µÅÍ´·Ò§
»ØÃÇÔªÞ à¢ŒÒ¾Á‹Ò ·‹Ò¢éÕàËÅç¡ àªç¤¼‹Ò¹áÅŒÇ
์¹Íѵ¶Ð à´Ô¹à»š¹á¶Ç ¢éֹöºÑÊ ·ÑÇèѴ¨ŒÒ§
์¹¤Ø³¤‹Ò áÍêÑé¹à´ÕÂÇ ¾Òà·èÕÂǹíÒ µÒÁµÒÃÒ§
¨Ø´ËÁÒÂÁØ‹§ ໇ÒËÁÒÂÇÒ§ »ÅÒ·ҧÁÕ ·ÕèàªÕ§µØ§
¾ÃмٌãËÞ‹ Çѹ·Ò·ÑÇà ËÑÇ㨾ÃÐ »‚ÊÒÁ¨Ñ´
àÍé×ÍÍíҹǠºÃÔ¡Òà ¼Å§Ò¹ÃØ‹§ §Ò¹Í‹ÒÁÑèÇ
â´Â੾ÒÐ ÊÒÃÐÈÒʹ ÇÑ´¼´Ø§ àªç¤ãËŒªÑÇÃ
àÍ×éÍÍÒ·Ã Áâ¹¹íÒ ¸ÃÃÁзÑÇà µ‹Ò§ÊÑÞ¨Ã
â¤Ã§¡ÒùéÕ ¹ÔÊÔµ¹íÒ
¼Í.¹Ñ´ ÊÑ觨Ѵ¡ÒÃ
ÊÑÞÞҡѹ ·Ø¡·‹Ò¹ä»
àÃÕ§ÃÒÂËÑÇ àÃÕ§µÑÇ¢Ò¹
ã¹».â· ¡çËÇÁ´ŒÇÂ
ª‹ÇÂàËÅ×͹íÒ á¹Ð¤íÒÊ͹
¾ÃоԾѲ¹ÈÖ¡ÉÒ¡Ã
ºÇøÃÃÁ ¤º¤ÇÒÁ¤Ô´
¹ÔÃÒÈàªÕ§µØ§ 49