The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การทำผ้าบาติก สถาบัน กศน.ภาคตะวันออก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การทำผ้าบาติก

การทำผ้าบาติก สถาบัน กศน.ภาคตะวันออก

Keywords: ฺBatic

การทําผาบาติก 

สถาบนั พฒั นาการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ภาคตะวนั ออก 

สํานักงานสง เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั  

สาํ นักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 

กระทรวงศึกษาธิการ

การทําผาบาติก 

สถาบนั พฒั นาการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ภาคตะวนั ออก 

สํานักงานสง เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั  

สาํ นักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 

กระทรวงศึกษาธิการ

คํานาํ

ผาบาติก  เปนงานผาที่ มีลวดลายสีสันท่ี เกิดจากการ 
ปดเทียน    แตมสี    ยอมสี  และไดรับความนิยมกันอยางแพรหลาย 
ในปจจุบันมีผูใหความสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑผาบาติกเปนจาํ นวนมาก 
เพราะมคี วามสวยงาม  สามารถนาํ ผา บาตกิ มาทําเปน สนิ คา ได  หลากหลาย 

สถาบั นพั ฒนาการศึ กษานอกระบบและการศึ กษา 
ตามอัธยาศัยภาคตะวันออก  เห็นวาการจัดทําสื่อประกอบหลักสูตร 
การทําผา บาตกิ  ทม่ี ีเน้อื หาประกอบดว ย  ประวัติผา บาตกิ   วัสดุอปุ กรณ 
การทําผาบาติก    การออกแบบผาบาติก  ขั้ นตอนการทําผาบาติก 
และการจัดการและการตลาด  เปนการใหความรูและการศึกษาตาม 
อัธยาศัยแกผู ที่ สนใจศึกษาหาความรู ดวยตนเอง  โดยผู สนใจควร 
อานเน้ือหาและฝกทักษะ  การวาดลวดลาย  การปดเทียน  การแตมส ี
อยา งจรงิ จงั ใหเ กิดความชํานาญ เพอ่ื สรางผลงานทีม่ คี ุณภาพด ี

สถาบันกศน.ภาคตะวันออก  ขอขอบคุณคณะกรรมการ 
ผลิตและพัฒนาหลักสูตรการทําผาบาตกิ ทุกทานท่ใี หค วามรวมมือในการ 
ผลิตส่ือประกอบหลักสูตรและหวังเปนอยางย่ิงวาสื่อประกอบหลักสูตรน ้ี
จะเปน ประโยชนส ําหรับผูสนใจการทําผา บาติกตอไป 

สถาบนั  กศน.  ภาคตะวนั ออก 
กรกฎาคม  2551 

สารบัญ

หนา 
คาํ นํา 
คําแนะนําการใชหลกั สูตร ....................................................................................... ก 
โครงสรา งหลักสูตร ................................................................................................ ข 
ตอนที่  1  ประวัตผิ าบาตกิ .................................................................................... 1 

เร่อื งท ่ี 1.1  ประวตั ผิ าบาตกิ .............................................................. 2 
เรื่องท ี่ 1.2  บาติกในประเทศไทย ....................................................... 8 
ตอนที่  2  วสั ดอุ ุปกรณที่ใชใ นการทําผา บาติก ....................................................... 11 
เรื่องท ี่ 2.1  เคร่ืองมือและอุปกรณใ นการทําผาบาติก .......................... 12 
เรอ่ื งที่  2.2  วสั ดทุ ่ใี ชในการทําผาบาตกิ ............................................. 16 
ตอนที ่ 3  การออกแบบผา บาตกิ ......................................................................... 20 
เรอ่ื งท ่ี 3.1  การกาํ หนดขนาด .......................................................... 21 
เรอ่ื งที่  3.2  การออกแบบลวดลาย ................................................... 23 
เร่อื งที่  3.3  การออกแบบสีและการใชสีในงานบาตกิ .......................... 26 
ตอนที่  4  ข้นั ตอนการทาํ ผาบาตกิ ........................................................................ 29 
เรือ่ งท ่ี 4.1  ข้ันตอนการทาํ ผาบาตกิ .................................................. 30 
เร่อื งท ่ี 4.2  เทคนคิ บางประการในการทาํ ผา บาติก ............................. 43 
ตอนที่  5  การจดั การเพอื่ การจาํ หนา ย .................................................................. 47 
เรื่องที ่ 5.1  การจดั การและการตลาด ............................................... 48 
เรอ่ื งท ่ี 5.2  การคิดราคาชน้ิ งานสาํ เรจ็ ............................................... 49 
แหลง ความรทู ค่ี วรศกึ ษาเพมิ่ เตมิ ........................................................................... 52 
รายการอางองิ   .............................................................................................. 53 

ก  การทาํ ผาบาติก 

คําแนะนาํ การใชหลักสตู ร

1.  ศึกษาโครงสรางของหลักสตู รใหเขาใจ เพื่อใหทราบขอบขายเนื้อหาของ 
หลกั สูตร และวางแผนการเรยี นรดู วยตนเอง 

2.  ศึกษาสาระสําคัญ  จุดประสงค  และขอบขายเน้ือหาของแตละตอน 
ใหเ ขา ใจ เพือ่ จะไดท ราบสาระสําคัญและจดุ เนน ในแตละตอน 

3.  ฝก ปฏบิ ตั ติ ามขนั้ ตอนทก่ี ําหนดไว  และฝก ทกั ษะการปด เทยี น แตม สจี นเกดิ  
ความชาํ นาญจะทําใหง านผาบาตกิ มีความสวยงามและสามารถจาํ หนายได 

4.  ทาํ กจิ กรรมในแตละตอน เพอ่ื ตรวจสอบดวู า  หลงั จากศกึ ษาในแตล ะตอน 
ดวยตนเอง แลวมีความรูความเขาใจถูกตองมากนอยเพียงใด   ถายังไมเขาใจก็ใหกลับไป 
ทบทวนใหม 

การทาํ ผาบาติก ข 

โครงสรางหลักสตู ร 

สาระสําคญั  

1.  วิธีการทําผาบาติกของประเทศอินโดนีเซีย  เปน 
วิธีการทําผาบาติกที่แพรหลายไปยังเช้ือชาติอ่ืนๆ    สําหรับ 
ประเทศไทยไดเรียนรู  วิธีการทําผาบาติกมาจากประเทศ 
มาเลเซีย โดยเขามาทางจงั หวดั ชายแดนใต 

2.  เครื่องมือและอุปกรณในการทําผาบาติกจําเปน 
ตองเตรียมใหพรอมกอนลงมือทํา  และควรศึกษาวิธีการใช 
วธิ ีการบาํ รงุ รักษาเครอ่ื งมอื เครอื่ งใช  ใหอยใู นสภาพดี 

3.  การออกแบบผาบาติก  ประกอบดวย  การกําหนด 
ขนาด  การออกแบบลวดลาย  การออกแบบสีและการใชสีใน 
งานบาติก 

4.  วิธกี ารทําผา บาติก ประกอบดว ย 1)  การเตรียมผา 
2) การเตรยี มเทียนหรือการผสมเทยี น 3) การเขยี นเทียนหรือ 
การพิมพลาย 4) การแตมสีหรือระบายสี  5) การยอ มสี 6) การ 
ลอกเทยี นออกจากผา   7) การตกแตง ผา     จะตอ งทาํ ดว ยความ 
ละเอยี ดทุกขน้ั ตอน 

5.  การจัดการและการตลาด  เปนหัวใจสําคัญของ 
การประกอบอาชีพ  เพ่ือวางแผนการดําเนินงาน    หาตลาด 
จาํ หนา ยสนิ คา  คดิ ราคาสนิ คา ทเี่ หมาะสม   ประชาสมั พนั ธส นิ คา  
และขายสนิ คาทผ่ี ลติ ได  จะทําใหสามารถดําเนินธุรกจิ ตอไปได 

ค  การทาํ ผาบาติก

จดุ ประสงคก ารเรียนรู 

เม่ือศึกษาหลักสูตรน้ีจบแลวมีความรู  ความเขาใจ 
และทักษะเกี่ยวกบั เร่อื งประวตั ิผา บาติก วัสด ุ  อุปกรณท ่ีใชใน 
การทาํ ผา บาตกิ   การออกแบบผา บาตกิ   ขน้ั ตอนการทาํ ผา บาตกิ  
และการจดั การและการตลาด 

ขอบขา ยเนอ้ื หา 

หลักสูตรนี้ประกอบดวยเนื้อหา  จํานวน  5  ตอน  30 
ชั่วโมง  ดังน ี้

ตอนท ่ี 1  ประวัติผาบาตกิ  
ตอนที ่ 2  วสั ดอุ ปุ กรณทใี่ ชใ นการทาํ ผา บาติก 
ตอนท ่ี 3  การออกแบบผาบาตกิ  
ตอนท ่ี 4  ขั้นตอนการทําผาบาติก 
ตอนท ี่ 5  การจดั การและการตลาด 

ตอนท่ี 1 

ประวตั ผิ า บาตกิ  

สาระสําคญั  

ผาบาติก  เปนผาชนิดหนึ่งที่มีลวดลายสีสันท่ีเกิดจาก 
การใชเทียนปดสวนท่ีไมตองการใหติดสี  และใชวิธีการแตม 
ระบาย  หรือยอมสี    ซ่ึงแตกตางกับผาท่ีพิมพลายในระบบ 
อตุ สาหกรรม วธิ กี ารทาํ ผาบาติกของประเทศ อนิ โดนเี ซียนน้ั  ได 
เผยแพรมายังประเทศมาเลเซีย  สาํ หรับประเทศไทยไดเรียนรู 
วิธีการทําผาบาติกมาจากประเทศมาเลเซีย  โดยเขามาทาง 
จังหวัดชายแดนใต  และผาบาติกก็ไดแพรหลายไปยังจังหวัด 
อน่ื ๆ ของประเทศไทย 

จดุ ประสงคการเรยี นรู เมือ่ ศึกษาตอนที่ 1  จบแลว สามารถ 

1.  บอกประวตั ิของผา บาตกิ ได 
2.  บอกประวตั กิ ารทาํ ผา บาติกของประเทศไทย 

ขอบขา ยเนอ้ื หา 

เรอ่ื งที ่ 1.1  ประวัตผิ าบาติก 
เรอ่ื งท ่ี 1.2  บาติกในประเทศไทย 

2  การทาํ ผาบาติก 

เรอ่ื งท่ี  1.1  ประวตั ผิ าบาตกิ

ผาบาติกหรือผาปาเตะ เปนวธิ กี ารเรียกผาชนิดหนึ่งท่ีมีวธิ ีการทาํ โดยใชเทยี นปดสว น 
ทไ่ี มต องการใหต ดิ ส ี และใชว ิธีการแตม  ระบาย หรอื ยอ มในสวนท่ีตองการใหต ิดสี ผาบาติก 
บางชิ้นอาจจะผานข้ันตอนการปดเทียน แตมสี ระบายสีและยอมสีนับเปนสิบๆ  ครั้ง สวน 
ผา บาติกอยา งงา ย อาจทําโดยการเขียนเทยี นหรือพิมพเ ทียน แลว จึงนาํ ไปยอ มสที ีต่ อ งการ 

คาํ วา  บาตกิ (Batik) หรือปาเตะ  เดมิ เปน คาํ ในภาษาชวาใชเ รยี กผา ทมี่ ลี วดลายเปน จดุ  
คําวา "ติก" มคี วามหายวา เล็กนอ ย หรือจุดเลก็ ๆ มคี วามหมายเชน เดยี วกับคาํ วา  ตริติก หรือ 
ตารติ กิ  ดงั นน้ั  คําวา บาติก จึงมคี วามหมายวาเปนผา ทม่ี ลี วดลายเปน จดุ  ๆ ดางๆ 

แหลงกําเนิด 

แหลงกาํ เนิดของผาบาติกมาจากไหนยังไมเปนท่ียุติ  นักวิชาการชาวยุโรปหลายคน 
เชอื่ วา มใี น อนิ เดยี กอ น แลว จงึ แพรห ลายเขา ไปในอนิ โดนเี ซยี  อกี หลายคนวา มาจาก อยี ปิ ตห รอื  
เปอรเ ซยี  

แมวาจะไดมกี ารคนพบผาบาติกที่มีอายุเกา แกในประเทศอื่นๆ ทง้ั อียิปต อินเดยี  และ 
ญี่ปนุ  แตบางคนก็ยังเชื่อวา ผาบาตกิ เปนของด้ังเดมิ ของอนิ โดนีเซยี  และยืนยนั วา ศัพทเ ฉพาะ 
ท่ีเรียกวิธีการและข้ันตอนในการทําผาบาติก  เปนศัพทภาษาอินโดนีเซีย  สีที่ใชยอมกันก ็
มาจากพืชที่มีในอินโดนีเซียสูงกวาที่ทํากันในอินโดนีเซีย  และจากการศึกษาคนควาของ 
N.J.Kron  นักประวัติศาสตรชาวดัตซก็สรุปวาไววา  การทําโสรงบาติกหรือโสรงปาเตะ 
เปนวฒั นธรรมดั้งเดมิ ของเอเซียตะวนั ออกเฉียงใตก อนติดตอ กันอินเดยี  

จากการศึกษาของบุคคลตางๆ  อาจกลาวไดวา วิธีการทําผาบาติกของอินโดนีเซีย 
ไดรับการเผยแพรไปยังชาติอ่ืนๆ  สวนการทําผาโสรงบาติกนั้น คงมีกาํ เนิดจากอินโดนีเซีย 
คอ นขา งแนน อน 

การทาํ ผาบาติก  3 

วิวัฒนาการการทําผา บาติกในอินโดนีเซีย 

การทําผาบาติกในระยะแรกคงทาํ กนั เฉพาะในหมชู นชน้ั สงู หรือทําเฉพาะในวงั  แตก ม็  ี
ผใู ห ความเห็นขดั แยง วา  นา จะเปน ศิลปะพน้ื บา นใชกนั เปน สามัญ ผูทท่ี าํ ผาบาติกมักจะเปน  
ผหู ญิงและทาํ หลงั จากวางจากการทาํ นา 

ในคริสตศ ตวรรษท่ี 12 ประชาชนชวาไดปรบั ปรงุ วธิ ีการทาํ ผา บาตกิ จากความรดู งั้ เดมิ  
ในคริสตศตวรรษที่ 13  การทาํ ผาบาติกผูกขาดโดยสลุ ตา น โดยมสี ตรีในราชสาํ นักเปน ผผู ลติ  
ผาบาติกในยคุ น้ีเรียกวา "  คราทอน  " (Kraton)  เปนผาบาตกิ ที่เขยี นดว ยมือ  (Batik  Tulis) 
แตเ มอื่ ผาบาตกิ ไดร บั ความนยิ มมากขนึ้  การทําผา บาตกิ ไดแ พรห ลายไปสปู ระชาชนโดยทว่ั ไป 

ผาบาตกิ ในระยะแรกมเี พียงสคี รามและสขี าวในศตวรรษท่ี 17 ไดม กี ารคน พบสีอนื่  ๆ 
อีกเชน  สแี ดง สีนํา้ ตาล สีเหลือง  สตี า ง ๆ เหลา นไ้ี ดมาจากพืชท้งั สน้ิ  ตอมากร็ จู ักผสมสเี หลาน้ ี
ทาํ ใหออกเปน สตี าง ๆ  ภายหลังจงึ มกี ารคน พบสีมว ง สีเขียว และสีอ่ืนๆ อกี ในระยะตอ มา 
ปลายศตวรรษท่ี 17 ไดม กี ารสงั่ ผา ลนิ นิ สขี าวจากตา งประเทศเขา มา นบั เปน ความกา วหนา  ใน 
การทําผา บาติกอกี กาวหนง่ึ  โดยเฉพาะเทคนิคการระบายสผี า บาตกิ  เพราะเรมิ่ มีการใชสเี คม ี
ใน การยอม  การระบายสซี ่งึ ทําใหผ ลติ ผา บาตกิ ไดจ ํานวนมากข้ึนและไดพัฒนาระบบธุรกจิ  
ผาบาติกจนกลายเปน สินคาออก 

ในป ค.ศ. 1830  ชาวยโุ รปไดเ ลียนแบบผา บาติกของชวาและไดสงมาจาํ หนา ยท่ีเกาะ 
ชวา  และในป  ค.ศ. 1940 ชาวองั กฤษกไ็ ดพ ยายามเลยี นแบบใหด ยี งิ่ ขน้ึ  เพอื่ สง มาจําหนา ยใน 
เกาะชวาเชนเดยี วกัน 

ตง้ั แตครสิ ตศ ตวรรษที่ 19 เปน ตน มา ไดม ีการทําเครอื่ งมอื ในการพมิ พผ า บาติก โดยทํา 
เปน แมพิมพโลหะทองแดง ซ่ึงเรียกวา "จับ๊ " (Cap) ทําใหส ามารถผลติผาบาตกิ ไดรวดเร็วขนึ้  
ตนทนุ กถ็ ูกลง ทดแทนผา บาตกิ กลายเขียนแบบดง้ั เดิม การทําผาบาตกิ ดว ยแมพ มิ พกอใหเ กิด 
ผลติ ภัณฑพ น้ื เมือง ในลักษณะของอตุ สาหกรรมในครวั เรอื น ประชาชนกเ็ ริม่ ทาํ ผา บาติกเปน  
อาชีพมากขึ้น  การผลิตผาบาติกจากเดิมท่ีเคยใชฝมือสตรีแตเพียงฝายเดียว  เร่ิมมีผูชาย 
เขามาชวยในกระบวนการผลิต  โดยเฉพาะการพิมพเทียนและการยอมสี  สวนการแตมสี 
ลวดลายยังใชฝม ือสตรเี ชนเดมิ  

ความนยิ มในการใชผ าบาตกิ เปนเครื่องแตงกาย   ม   ี 3  ชนิด   คือ 
1.  โสรง(Sarung)  เปนผาท่ีใชนุงโดยการพันรอบตัว ขนาดของผาโสรงโดยท่ัวไป 
นิยมผา หนา กวา ง 42 นวิ้  ยาว 2 หลาครงึ่ ถงึ 3 หลาครึง่  ผาโสรงมลี กั ษณะพเิ ศษ สวนทเ่ี รยี กวา 
" ปาเตะ " หมายถงึ  สว นทตี่ อ งนงุ ใหต รงกบั สะโพก โดยมลี วดลายสสี นั แปลกตา งไปจากสว นอน่ื  
ในผาผืนเดยี วกัน

4  การทําผาบาติก 

2.  สลนิ ดงั (salindang) หมายถงึ  ผา ซงึ่ ใชน งุ ทบั กางเกงของบรุ ษุ หรอื เรียกวา " ผาทบั  
" เปน ผา ทเ่ี นนลวดลายประดบั เปนกรอบหรือชาย   ผา สลนิ ดังมคี วามยาวประมาณ 3 หลา 
กวางประมาณ 8 นิว้  สตรีนิยมนาํ เอาผาสลนิ ดงั คลมุ ศรี ษะ 

3.  อเุ ดง็ (udeng) หรอื ผา คลุมศรี ษะ โดยท่ัวไปจะเปน รูปสเ่ี หลี่ยมจตุรัส  สภุ าพบรุ ุษ 
ใชโพกศีรษะเรียกวา " ซุรบาน " สาํ หรับสตรใี ชคลมุ ศรีษะและปดหนา อกเรียกวา " คมิ เบน็ " 
(kemben) ผาอเุ ดง็ นิยมลวดลายที่เปน กรอบสเี่ หลีย่ ม ผาคลมุ ไมป ด บา และไหล 

สาํ หรับผาสลนิ ดงั  ภายหลงั ทําใหย าวขน้ึ  โดยใชผ าหนา กวา ง 42 น้วิ  ยาว  4-5 หลา 
ตอ มาไดมกี ารดดั แปลงเปนเครือ่ งแตง กายอ่นื ๆได  การใชผ า บาตกิ นยิ มใชก นั อยางกวา งขวาง 
ทง้ั บรุ ษุ  สตร ี เดก็  จนกลายเปน เครอื่ งแตง กายประจาํ ชาต ิ แมกระทง่ั เครอื่ งแบบนกั เรียน  ตอมา 
ได ปรั บปรุ งและ พั ฒนาก ารทําผ าบาติ กให มี ความก าวหน าจนกลายเป นสิ นค าท่ี ถู กใจ 
ชาวตางชาติ  ไดจัดจาํ หนายเปนสินคาออก  ซึ่งทําใหผาบาติกและเทคนิคการทาํ ผาบาติก 
แพรห ลายออกไปสปู ระเทศอืน่  

ปจจุบันอินโดนีเซียไดมีการสงเสริมใหมีการผลิตผาบาติกในระบบอุตสาหกรรม 
โดยผนวกเอาเทคนคิ การทําผา บาตกิ แบบด้งั เดิมซง่ึ เขยี นเทยี นดว ยเครอ่ื งมอื ทเ่ี รียกวา "จันตง้ิ " 
(Canting) ผสมกบั กระบวนการพมิ พเ ทียนดวยแมพ มิ พท ีท่ าํ ดว ยโลหะทองแดง (Cap,  Print 
block)  รัฐบาลอินโดนีเซียไดวางนโยบายในการคนควาปรับปรุงอุตสาหกรรมผาบาติก 
โดยตั้งเปน  หนว ยงานที่เรยี กวา "ศนู ยพัฒนาบาตกิ แหงรัฐยอกยาการต า (Balai Penel Itian 
Batik Kerajian Yogyakarta)" 

การพัฒนาดานเทคโนโลยีในปจจบุ ัน ทําใหเกิดเทคนิคในการผลติ ผา  ซึ่งมีลวดลาย 
ผา แบบใหมมองดคู ลา ยผา บาตกิ  แตความจรงิ แลว เปน เทคนิคการพิมพแ บบซลิ คสกรีน (Silk 
screen) ซ่งึ มีลักษณะลวดลายคลา ยผา บาตกิ  งานเลียนแบบชนดิ นไี้ มเปน ที่นยิ ม 

ชาวอินโดนีเซียนยิ มผา บาตกิ ชนดิ เขยี นดวยมือ และจดั วา เปน บาตกิ ชน้ั สูง แตก ม็ รี าคา 
แพงกวา บาตกิ ทใ่ี ชระบบการพมิ พด วยแมพมิ พท องแดง   การทําผา บาตกิ นอกจากจะเนน เรอื่ ง 
ประโยชนใ ชส อยแลว ปจ จบุ นั ศลิ ปนชาวอินโดนเี ซีย มาเลเซีย ไดทําผา บาตกิ ในลักษณะของ 
งานจิตรกรรมและเผยแพรไปยังศลิ ปน ชาวยุโรปและสหรฐั อเมริกา (นนั ทา โรจนอดุ มศาสตร. 
2536 : 4-6)

การทาํ ผาบาติก  5 

ศิลปะการทาํ ผาบาติกของอินโดนเี ซีย 

การเลือกผา 
ผาท่ีนาํ มาใชทําผาบาติกในยุคแรกๆ  ใชผาที่ทอในเกาะชวา โดยทอจากใยฝายดิบ 
เรยี กวา "ผา คราทอน" (Kian  Kraton) ลกั ษณะเสน ใยหนาและหนกั  ไมเ หมาะกบั การเขยี นเทยี น 
และระบายสี    ตอมาภายหลังจึงไดมีการปรับปรุงใหผามีลักษณะออน  บาง  และเรียบ 
เมอื่ มกี ารตดิ ตอคาขายกบั อังกฤษและฮอลนั ดา จงึ มกี ารสง่ั ผา จากตา งประเทศมาใช 
ผาพื้นสีขาวที่นํามาทําผาบาติก  มีชื่อในภาษาชวาวา  "มุสลิน"  หรือ  "โมรี" (Mori) 
ซ่ึงผา ขาวเหลา น้ีจะตอ งนํามาซกั ใหส ะอาด เพ่อื ใหส ตี ดิ ผาไดง ายเมอ่ื นาํ ไปยอ มสีหรือระบาย 

การเขยี นลวดลาย 
ใชเ ขยี นดว ยขผี้ งึ้ หรอื เทยี น ในยคุ แรกๆ ชาวชวาเขยี นดว ยขผี้ งึ้ (Bee wax) ผสมนา้ํ มนั ถว่ั  
ตอมาจึงผสมดวยนํ้ามันควาย  หรือผสมท้ังนํ้ามันถั่วและน้ํามันควาย  และไดนํายางไม 
ชนดิ หนงึ่ ผสมดว ย  ซงึ่ ชว ยใหเ ทยี นมคี วามเหนยี ว ไมเ ปราะและหกั งา ย   ในยคุ ทม่ี กี ารตดิ ตอ กบั  
ตา งประเทศจึงไดใ ชพ าราฟนมาเปน สว นประกอบของเทยี น นอกเหนอื จากขผ้ี งึ้  และใชย างสน 
เปนสวนผสมดว ย 
กรรมวธิ ีในการเขียนเทียนบนผา น้ัน  จะใชวธิ ีขึงผาบนกรอบไมหรือนําผามาพาดกับ 
ราวไม   ผูเขยี นจะเขยี นลายดวยจนั ติง้  ไดล วดลายทมี่ ลี ักษณะเปนลายเสน  

การระบายสีและการยอมส ี
ชาวชวาโบราณมกั จะใชส นี าํ้ เงนิ หรอื สคี รามเปน สลี งพนื้ ครง้ั แรก จากนน้ั จะนําผา ไปซกั  
ตากใหแ หงและลอกเทยี นออกในสวนท่ตี อ งการลงสอี ่นื  สว นทีต่ อ งการสีน้าํ เงินและสีครามไว 
จะลงข้ผี ง้ึ ทับเอาไวอ กี ชั้นหนง่ึ  สที ่สี องจะแทรกเขาไปตามสว นทข่ี ีผ้ ึ้งถูกขูดออกหรอื ลอกออก 
เปนรปู รางตามตอ งการ 
กรรมวิธีในการผลิตลวดลายผาที่เปนรายละเอียดน้ันตองใชเวลามาก  ผาบางช้ิน 
อาจใชเวลาทําถึง 40 วัน และผา บางชน้ิ ใชเวลาในการทาํ ผาบาติกนานถึง 1  ป กรรมวิธีใน 
การทําผาบาติกท่ียุงยากมากที่สุดก็คือ  ตอนลงสี  ผาชิ้นใดที่มีหลายสี หลายช้ัน  ก็ย่ิงมี 
ราคาแพงมาก เพราะตอ งลงสีและเขยี นเทียนหลายคร้งั

6  การทาํ ผาบาติก 

ลักษณะสีผาบาติก 
ผา บาติกของอนิ โดนีเซยี มีกลุม สที ีน่ ิยมกันจัดเปน 8 กลุม คอื  
1.  กลุมสีดํา 
2.  กลมุ สนี าํ้ เงนิ  สนี าํ้ เงินเขม  และนํ้าเงินอมฟา 
3.  กลมุ สีนํา้ ตาล ประกอบดวย สีน้ําตาลเขม และน้าํ ตาลอมเหลือง 
4.  กลุมสีเหลือง 
5.  กลุมสีสมและสกี ุหลาบ 
6.  กลุมสีแดง 
7.  กลุมสีเขียว 
8.  กลมุ สีมวง 

ผาบาติกท่ีไดรับการยกยองวาเปนบาติกช้ันสูง ผลิตจากเกาะบาหลี  เกาะชวาตอน 
เหนอื  และสุราบายา  นยิ มกลุมสีนาํ้ เงนิ    เกาะชวาทางตอนใตน ิยมสีนํา้ เงิน 

การที่กลุมสีของผาบาติกในแตละทองถิ่นมีความแตกตางกันน้ัน  ขึ้นอยูกับอิทธิพล 
ของศลิ ปะตางชาตทิ ่เี ขา ไปในอนิ โดนเี ซยี  กลา วคือ ชวาตอนเหนือไดร บั อิทธิพลของ ศิลปะจนี  
ชวาภาคกลางและชวาภาคใตไดรับอิทธพิ ลจากศลิ ปะอนิ เดียและอาหรับ 

สีทีใ่ ชย อมและแตม 
ตงั้ แตย คุ แรกจนถงึ ตน ศตวรรษท่ี 19 ใชส ที ไี่ ดม าจากธรรมชาต ิ โดยเฉพาะไดม าจากพชื  
(Vegetable Dyes) เชน สวนของใบ เปลอื ก ผล ราก สที ี่ไดจากพชื มสี ีตางๆ เชน  
1.  สคี รามหรอื สอี นิ ดโิ ก (Indigo) 
2.  สีแดง ไดจ ากตนไมพ น้ื เมืองท่มี ชี อ่ื วา "เม็งกูด"ู  (Mengudu) 
3.  สีนาํ้ ตาล ไดจ ากตนไมพนื้ เมอื งทมี่ ชี อื่ วา "โซกา" (Soga) 
4.  สเี หลอื ง ไดจากตน ไมพนื้ เมอื งที่มชี อื่ วา "เตเกรัน" (Tegeran) 

การแบงประเภทผาบาติกของอินโดนีเซีย 
ผา บาตกิ ของอนิ โดนเี ซยี ในปจ จบุ ัน ถา แบงตามเทคนคิ การผลติ ผา บาติก แบง ออกเปน  
2  ประเภท คือ 
1.  บาติกลายเขยี น (Membatik Tulis) 
2.  บาตกิ ลายพมิ พ (Membatik Cap)

การทาํ ผาบาติก  7 

บาติกลายเขียน 
เปนบาติกแบบดั้งเดิมและเปนบาติกช้ันสูง    ชางจะเขียนเทียนโดยการพาดผา 
บนราวไม  ชาวอินโดนีเซียเรียกไมโครงท่ีพาดวา  "  กาวางัน  "  (Gawangan)  และใชจันติ้ง 
เขียนลายลงบนผา  บริเวณใดที่เปนเสนรอบนอกก็จะใชจันติ้งที่มีเสนโต  ซ่ึงมีช่ือ เรียกวา 
จันต้ิงเซเลเกน  (Canting  Celeken)  ใชจันติ้งโลรอน  (Canting  Loron)  สําหรับเขียน 
ลายเสน ทเ่ี ปนเสน ค ู และใชจ นั ตง้ิ เตอลอน (Canting Telon) สาํ หรบั เขยี นลายทม่ี จี ดุ 3 จดุ  หรอื  
เสน ขนาน 3 เสน ถา เขนี ลายเสน ซา้ํ กัน 4 เสน หรือจดุ 4 จดุ  ก็ใชจ นั ต้งิ ปราปต ตัน (Canting 
Prapatan) และใชจ นั ตงิ้ ลมิ นั (Canting Liman) สาํ หรบั เขยี นลายละเอยี ดทมี่ เี สน 5 เสน  หรอื จดุ  
5 จุด  ถา ตองการเขยี นลายทต่ี องการใหมเี สนซาํ้ กันมากกวา 5 เสน ขน้ึ ไป นยิ มใชจนั ตง้ิ บายก 
(Canting  Byok) 

Canting Celeken 
Canting  Loron 
Canting Telon

8  การทําผาบาติก 

บาตกิ ลายพมิ พ 
บาตกิ ลายพิมพเ ปนลักษณะงานหตั ถอตุ สาหกรรมในครวั เรือนท่ีมรี ัฐบาลอินโดนเี ซีย 
ไดป รบั ปรุงขนึ้  เพอ่ื ใหไ ดผ ลผลิตเปน จํานวนมาก โดยใชแ มพ มิ พท ที่ ําจากทองแดง   อนิ โดนเี ซยี  
ไมนิยมใชโ ลหะอ่ืนในการทําแมพ ิมพ  แมพิมพอันหนงึ่ ๆ มนี ้าํ หนักระหวา ง 1/2 - 1 กิโลกรมั  
การที่แมพิมพมีนํ้าหนักมากนับวาเปนผลดีตอการพิมพลายลงบนผา  เพราะเพียงวาง 
แมพ ิมพลงบนผาเบาๆ ลวดลายกจ็ ะติดบนผา โดยไมตอ งกดน้ําหนกั ลงไป 

เรื่องท ี่ 1.2  บาตกิ ในประเทศไทย

ปจจุบันมีการทําผาบาติกในหลายจังหวัดของประเทศไทย    แตการแพรหลายของ 
ผาบาตกิ นนั้ เขา มาทางจังหวัดชายแดนภาคใต   โดยรับเทคนิคการทาํ ผา บาตกิ มาจากประเทศ 
มาเลเซีย 

ชาวไทยในจงั หวดั ชายแดนใต   เรยี นรวู ธิ กี ารทําผา บาตกิ โดยไดร บั เทคนคิ จากมาเลเซยี  
เทคนิค โดยเดินทางไปเปนลกู จา งในโรงงานทําผาบาติกในมาเลเซยี   และจดจําเทคนคิ ตางๆ 
โดยการสังเกตและประสบการณการทํางาน  เม่ือไดความรูจึงเดินทางกลับมาทําผาบาติก 
ในประเทศไทย 

พ.ศ. 2517  วิทยาลัยครูยะลาไดเ รม่ิ ทดลองทาํ บาติกลายเขยี น  และไดม กี ารสอนทาํ  
ผา บาตกิ แกน กั ศกึ ษา ตงั้ แตป   พ.ศ. 2523 เปน ตน มา  และไดเ ผยแพรค วามรดู า นบาตกิ แกช มุ ชน 
โดยเขียนเปนบทความลงหนังสือพิมพ   วารสาร และสถานีโทรทัศน  รวมท้ังจัดอบรมและ 
จดั นิทรรศการ เผยแพรก ารทําผาบาตกิ ทั้งลายเขียนและลายพมิ พ  สงผลใหบ าติกลายเขียน 
แบบระบายสเี ผยแพรไ ปอยา งรวดเร็วและแพรหลายไปท่วั ประเทศ 

เทคนิคการทาํ ผาบาติกในประเทศไทย 

เทคนคิ การทาํ ผา บาติกในประเทศไทยไดม กี ารทาํ ผาบาตกิ 4 วธิ ี  คือ 
1.  บาติกลายพิมพดว ยแมพมิ พโ ลหะ  ไม   และเชือก และนาํ ไปยอม 3 - 4  คร้ัง 
2.  บาติกลายเขียน คอื  เขียนเทียนลงบนผา  นาํ ไปยอม อาจมกี ารปด ทยี นเพือ่ เกบ็ สี 
และยอ มอกี 1 - 2  ครง้ั  
3.  บาตกิ ลายเขียน และระบายสี เปน การเขยี นเทยี นบนผา แลวระบายสีทว่ั ท้งั ผืน 
4.  บาติกกันเทยี นและกัดส ี ของจังหวัดลําพนู  

การทําผาบาติก  9 

แนวโนมการตลาดและการผลิต 

ปจจุบันผาบาติกเปนสินคาตัวหนึ่งที่นิยมกันมากในทองตลาด  โดยเฉพาะตลาด 
ตางประเทศ เชน  สหรฐั อเมริกา กลุมประเทศประชาคมยโุ รป ออสเตรเลยี และญป่ี ุน มกี ารนํา 
เขาผาบาติกจากไทยไปจําหนาย  ในรูปของผลิตภัณฑสําเร็จรูป  เชน  เครื่องตกแตงบาน 
ภาพบาติกประดับผนัง  ผาพันคอ  ผาคลุมผม  เน็คไท  ผาปูโตะ  และเสื้อสําเร็จรูป  ฯลฯ 
ทําใหม ีการผลิตกันอยางกวางขวาง 

การพัฒนาผาบาติกในขณะนี้ กองส่ิงทอ  กรมสงเสริมอุตสาหกรรมเปนศูนยกลาง 
ในการพัฒนาผาบาติกในเรื่องรูปแบบ  สี  เทคนิค  และไดมีการจัดฝกอบรมเปนระยะๆ 
สถานศึกษาไดจดั ใหม ีการสอนวิชาบาติกหรือผา ปาเตะ ในระดบั ตางกัน เชน 

1.  ชั้นมธั ยมศกึ ษา เปนรายวชิ าเลือกในรายวิชาศิลปศกึ ษา 
2.  ระดบั อนุปรญิ ญา และปริญญาตรใี นสาขาศลิ ปะ ในคณะวชิ ามนุษยศาสตรแ ละ 
สังคมศาสตร  ในวทิ ยาลยั คร ู
3.  ระดับอนุปรญิ ญา และประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชนั้ สงู  ในวทิ ยาลยั เทคนิค 
4.  ระดับปรญิ ญาตรี ในมหาวทิ ยาลยั ทมี่ กี ารสอนดา นศลิ ปะ เชน  ภาควชิ าศลิ ปศึกษา 
คณะครุศาสตร  จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย  คณะมัณฑนศิลป  มหาวิทยาลัยศิลปากร 
ภาควชิ าศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมิตร 
จากการทีสถาบันการศึกษาไดจดั การเรียนการสอนเกี่ยวกับบาตกิ  ทําใหม กี ารศกึ ษา 
รปู แบบและเทคนคิ อยา งกวางขวาง ซึ่งชว ยใหเ กดิ ผลดตี อการผลติ ผาบาติก ใหม ีการพฒั นา 
อยางกวา งขวางมากข้นึ

10  การทําผาบาติก

กิจกรรมท่ี  1 

1.  ใหทานสรปุ ประเดน็ เนอื้ หาเกีย่ วกับประวตั ผิ า บาติก มาพอเขา ใจ 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
2. ใหท านอธิบายวา การทําผาบาติกเขา มาในประเทศไทยอยางไร 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 
..................................................................................................................... 

ตอนท่ี 2 

วสั ดอุ ปุ กรณก ารทาํ ผา บาตกิ  

สาระสาํ คญั  

ในการทําผาบาติก  เคร่ืองมือและอุปกรณจําเปนตอง 
เตรียมใหพรอมกอนลงมือทํา  เพราะถาขาดวัสดุอุปกรณใน 
ขั้นตอนใด  อาจทําใหงานท่ีไดดําเนินไปแลวเสียหายได และ 
ควรศกึ ษาวิธกี ารใช   วธิ กี ารบาํ รงุ รกั ษาเครอื่ งมอื เครอ่ื งใช  ใหอ ยู 
ในสภาพดี  เพื่อยืดอายุการใชงานและปองกันอันตรายท่ีอาจ 
เกิดจากเคร่ืองมอื เคร่อื งใชและวสั ดใุ นการทาํ ผา บาตกิ ดวย 

จุดประสงคการเรียนรู  เมอื่ ศกึ ษาตอนท่ี 2 จบแลวสามารถ 

1.  บอกเครื่องมอื และอุปกรณใ นการทําผาบาติก 
2.  บอกวสั ดทุ ่ีใชในการทาํ ผาบาติก 

ขอบขา ยเนอื้ หา 

เรอ่ื งที่  2.1  เครื่องมอื และอุปกรณใ นการทาํ ผา บาติก
เรือ่ งท ี่ 2.2  วสั ดุที่ใชใ นการทําผาบาตกิ  

12  การทําผาบาติก 

เรอ่ื งที ่ 2.1  เครอื่ งมอื และอปุ กรณในการทําผา บาตกิ

เครื่องและอุปกรณในการทําผา บาตกิ  มีดังตอไปนี้ 
1.  จันต้ิง  (Canting  หรือ  Tjanting)  เปนเคร่ืองมือสาํ หรับใชเขียนเทียนลงบนผา 
เครื่องมือชนิดน้ีใชกันตั้งแตสมัยโบราณ จันติ้งมีหลายแบบ  ไดแก  รูปแบบยาวรี    รูปกลม 
รปู รองเทา หรือรปู ทรง กระบอก จนั ตง้ิ แตะ อนั ประกอบดว ยสวนสําคญั  ดงั นี้ 

1.1  ดามหรือที่จับ  (Handle)  มักจะทําดวยไมเพ่ือ 
ปอ งกนั ความรอ น 
1.2  ถว ยหรือกา (Cap) ทาํ ดวยทองแดงสาํ หรบั บรรจ ุ
นา้ํ เทยี นรอ นๆ 
1.3  พวยหรือทอทองแดงที่มีรูกลวง ม ี 3  ขนาด คือ 
เสนขนาดเลก็  เสนขนาดกลาง และเสนขนาดใหญ 
จันต้ิงโดยทั่วไปมีพวยหรือทอที่ใหน้ําเทียนไหลออกเพียง  1  อัน  แตจันต้ิงที่ใชใน 
อนิ โดนเี ซีย  มีพวยหรือทอต้งั แต 1 - 7 อนั   ขึน้ อยกู บั ประโยชนใ ชสอย 
ควรเกบ็ โดยการบรรจุในกลอ งหรอื กระปอ ง โดยวางใหดา มลงขา งลา ง  พวยอยูข า งบน 
พวยจะไดไมห ัก ถา จันติ้งตันใหต ม กับนํา้ ผสมโซดาแอส หรอื น้าํ สบ ู

การทําผาบาติก  13 

2.  คมั พองนั (Complongan) มรี ปู ทรงคลา ยกบั หวี ใชท าํ ลวดลายทมี่ ลี กั ษณะเปน จดุ  
ดว ยการจมุ เทยี น และกดรอยพมิ พเ ทียนลงบนผา  เมอื่ นาํ ไปยอ มลวดลาย สวนนจี้ ะปรากฏเปน  
จุดเล็กๆเคร่ืองมือชนิดน้ีมีดามทําดวยโลหะ  การเก็บรักษาใชวางนอน  ทําความสะอาด 
ใชวธิ ตี มดว ยนํา้ สบู 

3.  ปากกาทองเหลือง  เปนปากกาที่ใชสําหรับเขียนเทียนที่ตองการเสนเทียน 
ขนาดใหญ  และงานท่ีไมตองการความประณีตมากนัก  ลักษณะของปากกาทองเหลือง 
ประกอบดว ย 3 สวนคือ 

3.1  ปากกาสําหรับเขียนเทียน ทําดวยทองเหลืองประกบกัน  มีลักษณะคลาย 
ปากเปด ปลายมน ภายในปากที่ประกบมีชอ งเล็กๆ ใหน ้าํ เทยี นไหลออกมา 

3.2  กระเปาะสําหรับเก็บน้ําเทียน  ทําดวยเสนดายพันรอบๆ  ซอนทับกันเปน 
กระเปาะ กลมหนา อยูเ หนอื บริเวณรอยตอระหวางปากทองเหลือง และดามจบั  

3.3  ดา มถือหรอื ทจ่ี บั มีลกั ษณะเปนไมกลึงเปน ดามยาว 

4.  แมพ ิมพ ภาษาอินโดนเี ซีย เรียกวา จบั๊   (Cap)  หรือจันติ้งจ๊ับ  (Canting cap) 
แมพิมพบาติกจะทําดวยโลหะประเภท  ทองแดง  ทองเหลือง  สังกะสีหรือกระปองนม 
แมพิมพท่ีทําจากโลหะเปนแมพิมพที่มีคุณภาพดี  โดยเฉพาะแมพิมพจากทองแดง  เพราะ 
สามารถเก็บ  ความรอนของน้ําเทียนไดดีท่ีสุด  และสามารถแสดงรายละเอียดไดมากกวา 
แมพมิ พช นดิ อืน่ ๆ ประกอบดว ยสวนประกอบ 3 สวนคือ 

1.  ตวั ลาย 
2.  โครงสรางยึดลาย 
3.  ทจี่ ับ 

แมพิมพชุดหน่งึ ๆ ท่จี งั หวัดชายแดนภาคใตประกอบดว ยแมพ ิมพ 3 ชน้ิ  คือ 
แมพมิ พช้ินท่ี 1 คอื  แมพ ิมพล ายเสน  หรอื แมพ มิ พต วั ลาย เปน แมพ ิมพท ่มี ีลกั ษณะ 
เปน ลายเสน เชน เสนรอบนอกของขอบใบ  ดอก เสน รอบนอกของลวดลายทต่ี อ งการใชพ ิมพ 
เพื่อกาํ หนดขอบเขตในการระบายส ี แตมสีในลวดลายตอไป หรือใชพิมพเ พือ่ แสดงลายเสน  
เตรยี มการเพอ่ื จะยอมสีคร้ังท่ี 1

14  การทาํ ผาบาติก 

แมพ มิ พช น้ิ ที่ 2 คอื  แมพ มิ พป ด  เปน แมพ มิ พท ใ่ี ชป ด เทยี น พมิ พท บั ตวั ลายทเี่ กดิ จาก 
การ พิมพแมพ ิมพช น้ิ ท่ี 1 หรอื ปด สวนทส่ี ผี านในการยอมครง้ั ท่ี 1 และเกบ็ สจี ากการยอมคร้ังท ่ี
1 ไวเ พอ่ื จะยอ มครง้ั ท่ี 2 กลาวคือ เมอ่ื พิมพด วยแมพิมพลายเสน ก็จะนําไปแตม สีในขอบเขต 
ของลายตามตองการ กอนจะยอมตองปดเทียนในสวนที่ตองแตมสีเสียกอน  การปดเทียน 
ครงั้ นจ้ี ะตอ งใชแ มพ มิ พปด (จะปด เทยี นดว ยแปรงหรอื พกู นั กไ็ ด แตจะทําใหง านชา มาก  จงึ ใช 
แมพิมพปดในโรงงาน) หรือจะใชแ มพมิ พปดสีที่ผานการยอ มครงั้ ท่ี 1  เพื่อเก็บสีเดิมไวกอน 
ยอมครั้งท ี่ 2  ตอไปและอาจพิมพเพ่ือปดสีท่ีตองการเก็บไวกอนยอมครั้งท่ ี 3  หรือ  4 
ในลาํ ดับตอไป

แมพ มิ พครงั้ ท่ี 3 คอื  แมพ ิมพพ น้ื  เปน แมพมิ พท แี่ ยกออกมาเพอ่ื พมิ พเ ฉพาะบริเวณ 
พืน้ เทานั้น ไมเ กีย่ วของกับบรเิ วณรปู ลายอน่ื ๆ มกั จะเปน แมพ ิมพท ไ่ี มมีรายละเอยี ดมากนกั  

การเก็บแมพิมพเม่ือใชเสร็จแลว  ควรจะตมแมพิทพดวยน้ําผสมโซดาแอส 
ตากแมพ มิ พ  ใหแหง  เอาแมพ ิมพจ มุ เทยี นกนั สนมิ  และตอกตะปแู ขวนกับฝาผนงั  

5.  แปรง พกู ัน  แปรงและพกู นั ที่ใชใ นงานบาตกิ สามารถใชไดใน 2 ลักษณะคอื  
5.1  ใชสาํ หรับปดเทียนบริเวณที่ตอ งการไมใหติดสีเวลายอมหรือระบาย แปรง 

และพูกันควรจะมีหลายขนาด เพื่อความเหมาะสมกบั การวาดเทียนลงบนผา  ถาไมมีแปรง 
หรอื พกู ันอาจใชผ า พนั ไมแ ทนแปรงหรอื พกู นั ได 

5.2  ใชสําหรับระบายสี  โดยอาจใชเปนแปรงสําหรับระบายสีพื้น  และพูกัน 
ระบายดอก ลวดลายท่ีตอ งการความประณีต แปรงหรือพูกนั ที่ใชระบายสีลงบนผา ควรใช 
แปรงหรอื พกู นั ที่มขี นนมุ  ท้งั นเี้ พอื่ ความสะดวกในการควบคมุ สี

การทาํ ผาบาติก  15 

6.  กรอบ (Frame) ใชสําหรบั ขงึ หรอื ยดึ ผาใหต ึง ใชสําหรบั งานบาตกิ ท่เี ขยี นดว ยมือ 
กรอบสาํ หรับขึงผาเดิมทที ําดวยไม แตปจ จบุ ันไมร าคาแพงจึงดัดแปลงมาใชก รอบเหล็กแทน 
กอนขึงผาจะใชเทียนทาบนขอบใหหนาๆ  และท่ัวถึง  เมื่อขึงผาก็นําผามาติดบนขอบ 
เทยี นจะเปน ตวั ยึดใหผา ตดิ อยบู นกรอบทงั้ 4 ดา น ขนาดของกรอบยอ มขน้ึ อยกู ับขนาดของผา  

7.  ภาชนะตม เทียน และเตาไฟฟา ตมเทยี น  ภาชนะท่ใี ชควรเปน ภาชนะทม่ี หี ูจับ 
เพราะ  สะดวกในการยกขึ้น-ลงขณะวางบนเตา  จะเปนภาชนะเคลือบหรือแสตนเลส 
อะลมู ิเนยี มก็ได  เตาไฟฟาจะใชแ บบใดกไ็ ด   ไมค วรใชเตาแกส  เพราะเปลวไฟกบั เทยี นเปน 
อนั ตราย ถาไมมไี ฟฟา กใ็ ชเตาถา นกไ็ ด 

8.  บอ ลาง ใชส าํ หรับลา งผา หลังจากการยอมส ี เคลือบยากันสีตกหรอื ลา งเทยี นออก 
หลังจากการตม 

9.  ภาชนะเก็บน้ําเกลือสี  สามารถดัดแปลงจากบอหินขัด  เก็บนํ้าเกลือสีที่เหลือ 
จากการ  ยอมแตละครั้ง  น้ําเกลือสีท่ีเก็บไวทิ้งใหตกตะกอนแลวสามารถตักนํ้าสวนบน 
มาใชใ นการยอ มผา  ครงั้ ตอ ไปได 

10.  ราวตากผา ราวสาํ หรบั ตากผาเปนอปุ กรณทจ่ี าํ เปนอยางหนง่ึ ในการทาํ ผา บาตกิ  
เพราะสี ย อมและสี แต มบางชนิ ดจะปรากฏเป นสี จริ งต อเม่ื อได ทําปฏิ กิ ริ ยากั บอากาศ 
จึงจําเปนตองใหผาถูกอากาศโดยท่ัวถึงและพรอมกัน  ถาผาสวนหน่ึงสวนใดถูกอากาศ 
ไมพรอมกนั จะทําใหสดี า ง จงึ ตอ งขึงกับราวตากผาโดยเฉพาะ

16  การทําผาบาติก 

11.  เครอื่ งขดั เงาผา ใชส ําหรับขดั ผาใหเ รียบ ผิวเปนมันทําใหนา ใชย่งิ ขนึ้  ผาท่นี ิยม 
นํามาขดั ใหผวิ มัน สวนใหญจะเปน ผา โสรง  ไมนิยมขดั เงาผา ชนิดอน่ื  

12. เครื่องช่ังนํา้ หนัก ใชสําหรบั ชั่งนาํ้ หนักของผา เทยี น ยางสน นา้ํ มันพชื  มกั จะใช 
ตาชง่ั  โดยทวั่ ไปทม่ี หี นว ยเปน กโิ ลกรมั  สว นเครอื่ งชงั่ นา้ํ หนกั ของส ี เกลอื ส ี และสารเคมชี ว ยยอ ม 
ใชเคร่อื งชงั่ ท่มี หี นวยวดั อยางละเอยี ด  เชน  มลิ ลิกรัม กรัม หรอื มหี นว ยวัดเปนปอนด 

13.  เคร่ื องรีดผา  ใชรีดผาหลังจากการตม  ซักลางและตากผาใหแหงแลว 
ผาบางช้ินไมตอง ผานการขัดผิวมัน  ชางจะนําเขาเคร่ืองรีด  เคร่ืองรีดผาชวยใหการพับผา 
เรียบรอ ย สมํ่าเสมอ และประหยัดเวลา 

14. เครอื่ งอดั ผา ใชก บั โรงงานหรอื แหลง ทม่ี กี ารผลติ ผา เปน จาํ นวนมาก เครอื่ งอดั ชว ย 
ทาํ ใหผา ทพ่ี บั แลว  กินเน้อื ทีน่ อยลง มคี วามแนนและมรี อยพบั สมา่ํ เสมอ เครอื่ งอดั เคร่อื งหนีบ 
สามารถอดั ผา ไดค ร้ังละประมาณ  50  ผืน 

เร่ืองท ี่ 2.2  วสั ดุท่ีใชใ นการทําผาบาตกิ

วัสดทุ ่ีใชในการทําผา บาตกิ มหี ลายชนิด การใชว ัสดุทถ่ี ูกตองและเหมาะสม จะทําให 
ผลงานทสี่ าํ เร็จออกมามคี ุณภาพ จําหนา ยไดราคาด ี และยงั ชวยลดตน ทนุ การผลิตไดอ กี ดว ย 
วัสดทุ ่ใี ชใ นการทาํ ผาบาตกิ  มดี งั นี้ 

1.  ผา   ผา ทจี่ ะทําผา บาตกิ ใหสวยงาม จะตอ งไมห นาจนเกนิ ไป ไมม แี ปง และ สารเคมี 
ตกแตง ผวิ อน่ื ๆ อยใู นเนอ้ื ผา  ผา ทหี่ นาเมอ่ื เขยี นเทยี น นา้ํ เทยี นจะซมึ ผา นอกี ดา นหนง่ึ ไดไ มเ ตม็ ท่ี 
ทําใหกันสีไดไมดีเทาที่ควร  ผาเน้ือหนาอาจใชไดสําหรับบาติกลายพิมพ  หรือลายเขียน 
ทีม่ ีเสน ลากขนาดใหญไมต องการรายละเอยี ดมากนกั  

ผาทีท่ าํ จากใยพืชจงึ เปนผา ทส่ี ามารถนํามาทาํ เปนผา บาติกไดดี เชน ใยลนิ นิ   ผาสาล ู
ชนิดบาง  ผาสาล ู  ผาปาน  ผา ปร ะมิด ผามสั ลิน ผา ปอบปน   ผา แพรฟูยี  ผา ลอนและผาไหม 
ผา ทจี่ ะทําผาบาตกิ เปนจํานวนมาก ควรจะสัง่ ซ้อื จากโรงงานโดยตรง เพอ่ื ใหโรงงานสง ผา ทยี่ ัง 
ไมมีการตกแตง ผวิ  โดยการลงแปง หรอื ใชส ารเคมีอื่นๆ เคลือบจะเปนการประหยดั ตน ทุนและ 
ไมตองยุง ยากกับการซกั ฟอก เอาสารท่เี คลอื บออกกอ นนําไปทําผา บาติก 

การทาํ ผาบาติก  17 

2.  วสั ดสุ ําหรับกนั ส ี ใชส าํ หรับพิมพล าย เขียนลาย และปดลาย วสั ดกุ ันสีผสมจาก 
วัสดุหลายอยาง  ทั้งนี้แลวแตลักษณะงานท่ีตองการ  วัสดุหลกั ที่ใชคือ  พาราฟน หรือเทียน 
จงึ มกั จะเรียกสว นผสมทใ่ี ชพมิ พล าย เขยี นลาย และปด ลายวา  เทยี น วสั ดทุ ใ่ี ชส าํ หรบั กนั สแี ละ 
วัสดทุ เ่ี ปน สวนผสมมดี งั น้ ี

2.1  ข้ผี ึ้ง  (wax) ขี้ผ้ึงเปน วสั ดุที่ใชกันตง้ั แตยคุ แรกของการทําบาติก  ซง่ึ เปนข้ึผงึ้  
ทไี่ ดจ ากตวั ผึ้ง (bee wax) มลี กั ษณะเหนียว ไมเปราะหักหรอื แตกงายและกนั นํ้าไดด ี

2.2  พาราฟน (Parafin Wax) เปน สารสงั เคราะหท ไี่ ดจ ากนา้ํ มนั  พาราฟน สามารถ 
ต้ังไฟใหหลอมละลาย นํามาเขียนและพิมพลวดลายลงบนผาไดเชน เดียวกับข้ีผ้ึง ลวดลาย 
ทเี่ กิดจากการใชพาราฟนแตเ พยี งอยางเดียวจะหกั และเปราะ เหมาะสาํ หรบั การทําผาบาติก 
ทตี่ อ งการรอยแตก ถาไมม ีพาราฟน แผน สามารถใชเทียนไข (Candle Wax) แทนได 

2.3  ยางสน (Rasin) ใชผ สมเทยี นใหมคี วามเหนยี วและกันน้ําส ี ในขณะยอม ไดด  ี
ยิ่งขึ้น  ยางสนเปนผลึกสีเหลือง  เมื่อนํามาตั้งไฟจะหลอมเหลว เทียนที่ใชเขียนดวยจันต้ิง 
ใชยางสนผสมนอยกวาเทยี นทผ่ี สมสาํ หรบั การใชแ มพิมพ 

2.4  ไขสตั ว  สว นมากนยิ มใชไ ขววั  หรอื นาํ้ มนั พชื  นาํ้ มนั ควาย สาํ หรบั ผสมเทยี นใหม  ี
ความเหนียว  และกันเทียนแตกไดดียิ่งขึ้น เทยี นที่ผสมไขสัตวมีลักษณะยืดหยุน เม่ือนาํ ไป 
พิมพล ายหรือเขียน  มีลกั ษณะบางและเหนยี ว สามารถทจี่ ะมว นหรือพับผา ทพี่ มิ พเทียนแลว 
โดยท่เี ทยี น ไมแ ตก ไขสัตวส ว นใหญใชผสมเทียนสาํ หรบั ปด ดอก และสาํ หรบั บาตกิ ลายเขยี น 

2.5  นํ้ามันพืช  ใชผสมเทียนทุกชนิด  และเทียนท่ี ใชกับบาติกลายเขียน 
เปน การปอ งกนั  ไมใหเทยี นแตก นํ้ามนั พืชที่นยิ มกนั มหี ลายชนิด เชน  นํา้ มนั ถวั่  นา้ํ มนั มะพรา ว 
น้ํามนั ปาลม  

ข้ีผ้ึง  พาราฟน   สยี อ ม

18  การทาํ ผาบาติก 

3.  สยี อม (Batik dyes) การเลือกสที ี่จะนาํ มาใชใ นการทําบาตกิ  มีความสาํ คัญมาก 
เทากบั การออกแบบและการลงเทียนบนผา  สีชว ยใหผา ท่ียอมมีความงดงามนา ใช  คุณภาพ 
และการแบง ระดบั ของผาบาติกน้ัน นอกจากข้นึ อยูก ับลวดลาย เทคนิคตลอดจนเนอ้ื ผาแลว 
สยี อมแตล ะชนิดก็ทําใหคุณภาพของบาติกแตกตางกนั อีกดว ย 

สยี อ มมอี ยหู ลายชนดิ  สที เ่ี หมาะกบั การทาํ บาตกิ ตอ งใชส ยี อ มเยน็  คอื  ยอ มใน นา้ํ ส ี
ทีม่ อี ณุ หภมู ิประมาณ 30 องศาเซลเซยี ส และไมควรรอนเกนิ 40 องศาเซลเซยี ส ถา รอ นกวา น ้ี
จะทําใหเ ทียนละลาย ดังน้ันสียอ มรอ นซึ่งจะมอี ักษรยอ   "H"  ไมเ หมาะกับการยอมผา บาตกิ  
ควรใชส  ี ทมี่ อี กั ษร ยอ "M" หรอื "M Dye" 

สีผง  เปนสีสําหรับทําผาบาติกดวยวิธีระบายสีนั้น  มีใหเลือกประมาณ  20  ส ี
เลอื กซอ้ื ไดต ามตอ งการ มที ง้ั ทจี่ าํ หนา ยแยกแตล ะส ี และจาํ หนา ยเปน ชดุ ๆ ละ 12 ส ี ราคาตงั้ แต 
300 - 450 บาท แลว แตป รมิ าณทบ่ี รรจ ุ สผี งเหลา น ้ี  ราคาของสขี นึ้ อยกู บั ชนดิ ของสหี รอื  ความสด 
ของสี เชน สดี ําราคาจะถกู  สว นสชี มพ ู สฟี าทะเลราคาจะแพงกวา ซ่ึงเรียกตามศัพทเ นอ้ื สีวา  
ซรี ี เชน  ซีรี 1 จะถูกกวา ซรี ี 4 เปนตน 

การละลายสีใหละลายดวยน้ํารอน  เพราะตองการใหสารเคมีท่ีผสมในสีน้ันสุกหรือ 
ละลายจนหมด เมอ่ื ลงบนผา จะทาํ ใหส เี กาะทนนาน อัตราสวนผสมเนอื้ สีกับนํ้ารอน 10 กรัม 
ตอน้ํา 300 ซซี ี แตไ มใชสตู รทีแ่ นน อนนัก เพราะเมอ่ื นําสีมาใชบ างคร้ังตองการสีออ น บางครัง้  
ตอ งการสเี ขม  ดงั นนั้  ควรละลายนาํ้ รอ นใหเ ขม ไวก อ น เมอื่ ตอ งการสอี อ นคอ ยแบง ใสภ าชนะ เชน  
ขวดพลาสติก  แลวเติมนํ้าธรรมดาลงไป  ก็จะไดสีออนลงไปเอง  เชน  สีแดงเม่ือเติมนํ้าลงไป 
กจ็ ะเปนแดงออ น  หรอื สชี มพู เปน ตน   ขณะละลายสีดว ยนา้ํ รอนใชไ มคนท่ใี หเขา กนั  และเมอ่ื  
เลิกใชกป็ ดฝาภาชนะเก็บไวใชตอ ไป บางครง้ั สีอาจจะแหง ก็ใหล ะลายนํ้า กลบั มาใชไ ดอ กี  

4.  ถุงมอื ควรใชถ งุ มือสสี ม ซึ่งเปน ถงุ มือที่ใชก ับสารเคมี เปน เครอ่ื งชว ยปอ งกนั ไมใ ห 
มือถูกสารเคมที ีผสมอยูในสี ซึ่งสารเคมีบางชนดิ กดั มือ เชน  โซดาไฟ  กรดซัลฟรู ิก โซเดียม 
ไนไตรท   เปนตน

การทําผาบาติก  19 

กจิ กรรมที่ 2 

ใหท า ยเขียนขอ ความสัน้  ๆ ลงในชองวางเพื่อทดสอบความเขาใจ 

1.  วธิ ใี ชเครอ่ื งมอื และอปุ กรณ ดังตอไปน้ีพอเขาใจ 
1.1  จันต้ิง 
.................................................................................. 
1.2  ปากกาทองเหลือง 
.................................................................................. 
1.3  แมพ มิ พ 
.................................................................................. 
1.4  พกู นั  
.................................................................................. 
1.5  กรอบ 
.................................................................................. 

2.  จงตอบคาํ ถามตอ ไปนี ้
1.1  ผาที่ใชใ นการบาติกควรมีลกั ษณะใด 
.................................................................................. 
1.2  วัสดุชนิดใดใชสําหรับการปด ลาย 
.................................................................................. 
1.3  การใชสยี อ มเยน็ ควรยอมในชวงอณุ หภมู ิใด 
.................................................................................. 
1.4  ถุงมือใชเ พ่ือปอ งกนั สิ่งใด 
..................................................................................

ตอนที่ 3 

การออกแบบผา บาตกิ  

สาระสําคญั  

การทําผาบาติกแตล ะชิน้  ผผู ลติ จะตองวางจดุ มุงหมาย 
วา จะนําผา เหลา น้ันไปใชป ระโยชนอ ยา งไร มีขนาดใด ลวดลาย 
ที่ออกแบบนั้น  เปนลวดลายท่ีจะใชกับ  ผาบาติกเทคนิคใด 
ท้ังนี้ เนื่องจากลักษณะของผาบาติกแตละช้ิน  จะมีความ 
แตกตางกัน 

การออกแบบผา บาตกิ  ประกอบดว ยขน้ั ตอน คอื 1) การ 
กําหนดขนาด  2)การออกแบบลวดลาย  3)การออกแบบสี 
และการใชส ีในงานบาติก 

จดุ ประสงคก ารเรยี นร ู

เมอ่ื ศึกษาตอนที่ 3 จบแลวสามารถ 
1.  บอกขนาดของผาบาติกแตล ะประเภทได 
2.  ออกแบบลวดลายผาบาติกได 
3.  ออกแบบสีและเลอื กใชสใี นงานบาติกได 

ขอบขา ยเนอ้ื หา 

เรอ่ื งที ่ 3.1  การกาํ หนดขนาด 
เรอื่ งท่ี  3.2  การออกแบบลวดลาย 
เรอื่ งที่  3.3  การออกแบบสีและการใชสีในงานบาติก

การทําผาบาติก  21 

เรอ่ื งท ่ี 3.1  การกําหนดขนาด

เปน ขั้นตอนเบอื้ งตนของการออกแบบลายผา บาตกิ  โดยการกาํ หนดขนาดกวา งยาวที่ 
เหมาะสมกับประโยชนใ ชสอย   การกําหนดขนาดน้ีสวนมากยึดตามขนาดมาตรฐานสากล 
โดยเฉพาะผาบาติกท่ีออกแบบเปนผลิตภัณฑสําเร็จรูป  ท่ีวางจําหนายในทองตลาดม ี 3 
รูปแบบ ดงั ตอ ไปน้ ี

1.  ผาพัน เปนผา ชน้ิ ท่นี ยิ มใชเปนเคร่ืองแตงกาย ซึง่ นยิ มใชหลายรปู แบบและมขี นาด 
ตา งกนั  ดงั นี ้

ผา พัน ท่ใี ชนุง พันกายอยางผา โสรง  ขนาด 42" x 2.5 หลา และ 42" x 3 หลา 
ผา พันกายชายหาด ขนาดใหญ  52" x 2.5 หลา 
ผาพนั กายชายหาด ขนาดกลาง  42" x 2.5 หลา 
ผา พันกายชายหาด ขนาดเลก็   42" x 1.5 หลา 
ผา พันคอ ขนาดใหญ  33" x 33" 
ผา พนั คอ ขนาดเล็ก  25" x 25" 
ผาเชด็ หนา ขนาดใหญ  15" x 15" และ 12" x 12" 

ผา พนั กาย 

ผาเชด็ หนา  

22  การทาํ ผาบาติก 

2.  ผา บาตกิ เคหะสง่ิ ทอ โดยมากมกั จะออกแบบเปน ผา ปโู ตะ  ผา ปทู น่ี อน ปลอกหมอน 
หมอนองิ  ผา มา น มา นบังตา ผา มานหนาตา ง มขี นาดมาตรฐานทนี่ ยิ มกนั  ดังตอ ไปน ี้

ผา ปูโตะ อาหาร ขนาดใหญ 54" x 2.5 หลา 
ผา ปูโตะ อาหาร ขนาดเลก็ 54" x 1.5 หลา 
ผา ปูโตะ รบั แขก 18" x 36" 
หมอนอิง ขนาด 18" x 18" 
ผาปูทนี่ อน ขนาด 6 ฟุต 100" x 3 หลา 
ผา ปทู ี่นอนเตียงเดยี่ ว 72" x 2.5 หลา 

3.  ผาชิ้น  หรือผาบาติกสําหรับนํามาตัดเย็บเปนเครื่องแตงกาย  โดยการออกแบบ 
เฉพาะชิ้น มีขนาดกวางและยาวโดยทว่ั ไป ดังน ้ี

ผาตดั เสอื้ สตรี บรุ ษุ 42" x 2 หลา 
ผา ตดั เสอ้ื สตรี บรุ ษุ  แขนยาว 42" x 2.5 หลา 
ผาตดั ชุดสตรี 42" x 3.5 หลา 

ขนาดของผาเปล่ียนแปลงไดตามความเหมาะสม  เชน  ผาปูโตะ  ซึงมีวิธีคํานวณ 
อยางงา ยๆ  คือ ขนาดความยาวของโตะบวกดว ยผาหอ ยขางโตะดานยาวท้งั  2 ขาง   สาํ หรับ 
ความกวา งควรใชผาหนากวา ง  54"  หรอื   100"

การทาํ ผาบาติก  23 

เร่อื งท่ี  3.2  การออกแบบลวดลาย

การออกแบบลายบาติก เปนขัน้ ตอนทีส่ ําคัญในการทําผาบาติก ผาจะมีคุณคา นาใช 
เพียงใด ขึ้นอยกู ับการออกแบบลายและการวางลาย  การออกแบบลายบาติก มี 2 ลักษณะ 
คอื  

1.  การออกแบบบาติกลายพมิ พ 
2.  การออกแบบบาติกลายเขียน 

การออกแบบบาตกิ ลายพิมพ 
แมพ ิมพบาตกิ ที่นยิ มใชกนั โดยทั่วไปมี 3 ชนิด คอื  
1.  แมพมิ พโ ลหะ ใชใ นการออกแบบลวดลายทีม่ ีลกั ษณะเปนเสน แสดงรายละเอียด 
ชัดเจน  ประกอบดวยแมพมิ พลายเสน และแมพ มิ พปด 
2.  แมพิมพไม  ใชในการออกแบบลวดลายท่ีไมตองการรายละเอียด  ลักษณะเปน 
ลายเสนโตๆ หรือเปน แผน ๆ 
3.  แมพ มิ พเชอื ก ใชใ นการออกแบบลวดลายท่ีไมม ีรายละเอยี ดเปนลกั ษณะลายเสน  
ลายท่ไี ดเปน ลกั ษณะแสดงTexture จากรอยแมพ มิ พเชอื ก 
4.  แมพิมพพลาสติกใส    ออกแบบลายและแลุลายพลาสติกใสใหเปนลวดลาย 
สามารถ ทําลวดลายบนผาเหมือนๆกนั ได  เปน ชุดหลายผนื  

การออกแบบบาตกิ ลายเขียน 
การออกแบบลายสําหรับบาติกลายเขียน  สวนมากผู ออกแบบจะออกแบบใน 
กระดาษไข  หรือกระดาษวาดเขียนกอน  แลวจึงลอกลายเหลานั้นลงบนผาดวยดินสอสี 
เพอื่ เตรยี มเขยี นดว ยจนั ตงิ้ ตอ ไป 
การออกแบบลวดลายบาติกลายเขียน  ผู ออกแบบสามารถท่ีจะออกแบบใหม ี
รายละเอยี ด สลับซับซอนอยางไรก็ได  ทง้ั น้เี นือ่ งจากบาติกลายเขียนนั้น ผเู ขยี นสามารถที่จะ 
เลอื กขนาด ของจนั ต้งิ ท่ีจะเขยี นเทียนและสามารถ เลอื กสีสาํ หรับระบายใหเกดิ ความตืน้ ลกึ  
จะเนนสีใหเกิดจุดเดน ในลกั ษณะใดก็ได 

ลักษณะแบบของลวดลายทใี่ ชก ับงานบาติกทุกประเภท จะมีลักษณะดังน้ ี
1.  ลายเรขาคณติ  
2.  ลวดลายที่ดดั แปลงมาจากธรรมชาติ 
3.  ลายไทยและลายเครือเถา 
4 .  ลายประเภทภาพสัตว 

ตวั อยา งลวดลายทนี่ าํ รปู ทรงเรขาคณติ   ตวั อยา งลวดลายประเภทภาพสตั ว
เขา มาเปน แนวคดิ ในการออกแบบ 
ผลงานของ จรูญศร ี  เรอื งศลิ ป 

การจดั องคประกอบลายในการทาํ บาตกิ ลายพิมพ 
การจดั องคป ระกอบลายในการทาํ ผา บาติกลายพิมพนยิ มจดั องคป ระกอบ 3 แบบคอื  
1.  ประเภทลายซ้ํา  สวนใหญนิยมออกแบบเปนเครื่องแตงกาย  เชน  ผาตัดชุด 
ผา ตดั เสอื้  และผาท่ีเตรยี มสําหรับนาํ ไปผลิตเปนผลติ ภณั ฑอ นื่ ๆ เชน  ตุกตา กระเปา 
2.  ประเภทลายเชงิ  หรอื ลายขอบ เปน ลกั ษณะลวดลายทีอ่ อกแบบใหมีลกั ษณะ 
ตอเนอ่ื ง กนั  สามารถเขียนหรอื พมิ พตอกนั ใหเ ปน เรอ่ื งราว 
3.  ลายดอกลอยหรือลายลอย  หมายถึง  ลายที่เปนสวนประกอบที่สําคัญหรือ 
เปนสวนประธาน  และมีลวดลายท่ีเปนสวนรองลงมา  ชวยเนนใหลายดอกลายท่ีเปนสวน 
ประธานมีความเดนชัดยิ่งข้ัน  ลายดอกลอยหรือลายลอยมีลักษณะสมบูรณในตัวเอง 
สามารถนาํ ไป พมิ พล ายเดยี วโดดๆ หรอื นํามาจดั เปน กลมุ ๆ 

การจัดองคป ระกอบลายในการทําบาติกลายเขียน 
สาํ หรบั ผา บาตกิ สมยั ใหม  ทอ่ี อกแบบเปน ผา บาตกิ ลายเขยี น มกี ารวางลายหรอื การจดั  
ภาพ ตามลกั ษณะของประโยชนใ ชส อย ดังน ี้
1.  ผาเช็ดหนา ควรออกแบบเวนขอบเปนกรอบส่ีเหล่ียมที่มีลายอยูก่ึงกลางผืนหรือ 
ลายทม่ี มุ  
2.  ผาคลุมผม  ซ่ึงโตกวาผาเช็ดหนา  ลักษณะลวดลายตองมีความชัดเจน  มีราย 
ละเอียด โดยวางลายในกรอบของรูปส่เี หล่ยี มหรอื สามเหล่ยี ม 
3.  การออกแบบลวดลายผาบาติกสําหรับใชเปนเครื่องแตงกาย  ควรออกแบบ 
ใหเหมาะกับประโยชนใชสอย  เชน  ตองการใหมีลวดลายเฉพาะชวงหนา  ชายกระโปรง 
หนาอกเส้ือ  ลายรอบคอ  รอบแขน  ปลายแขน  เปนตน  ผูออกแบบผาบาติกประเภทนี้ 
ควรศึกษาเกยี่ วกับการออกแบบและการตดั เย็บเส้ือมาบา งจงึ จะสามารถวางลายไดดี 

การออกแบบบาติกสําหรับประดับผนังหรือจิตรกรรมเทคนิคบาติก 
หมายถึง  การออกแบบภาพประดับฝาผนัง  ผูออกแบบควรจะรางภาพเสียกอน 
เพอ่ื หาความเหมาะสม หรือ เลือกภาพท่ีดีทสี่ ดุ  ซ่ึงอาจออกแบบออกมาในลักษณะธรรมชาติ 
เชน  ภาพดอกไม  ทวิ ทศั น  วรรณคด ี เชน  รามเกยี รต ิ์ เรอ่ื งราวทางวฒั นธรรม เชน  ภาพเรอื กอและ 
การแขงนก การเลนหมากขมุ  ตลอดจนเร่อื งราวไดท อ งทะเล เชน ปลา ปะการงั  กุง  เปน ตน  
การออกแบบภาพรา งเหลานี้  ควรเขยี นบนกระดาษวาดเขียน และลงสดี วยสีน้าํ หรอื  
ดนิ สอส ี เพอ่ื สังเกตสภาพองคป ระกอบของส ี กอ นจะนาํ ไปเขยี นเทียนและระบายสลี งในผา 
การนาํ แบบรา งไปใช ถาผูเ ขยี นยังไมมคี วามชาํ นาญในการเขียนเทียน ใหวางผา ทาบ 
เหนือแบบหรือลาย และลอกลายดวยดินสอสี

26  การทาํ ผาบาติก 

เร่อื งท ี่ 3.3  การออกแบบสีและการใชส ใี นงานบาตกิ

การออกแบบลวดลายผาบาติก  นอกจากคํานึงถึงรูปแบบลวดลายแตละชนิด 
และประโยชนใ ชส อยแลว  สที น่ี าํ มาแตม  ระบาย หรือยอ ม กเ็ ปน สงิ่ ทคี่ วรคํานงึ  เพราะสมี คี วาม 
สําคญั ตอ งานบาตกิ ไมนอ ยไปกวา ลวดลาย สีเปน สงิ่ ทด่ี ึงดดู ความสนใจ ควบคูไปกับลกั ษณะ 
รูปแบบลวดลาย ชวยใหง านออกแบบผาบาติกมีความสมบรู ณ สวยงาม นา ใชมากย่งิ ขึน้  

การใหส ผี า บาตกิ  ใชห ลกั ทฤษฎสี เี บอ้ื งตน ของแมสวี ตั ถธุ าต ุ เชน เดยี วกบั งานออกแบบ 
อื่นๆ   ทั้งน้ีเพราะสีบาติกมีคุณสมบัติเชนเดียวกับสีวัตถุธาตุ  คือ สามารถยอม  ทา  แตม 
หรอื ระบายวัตถอุ ื่นใหมีสเี หมอื นกับตวั มนั ได โดยยดึ หลักการผสมสตี ามทฤษฎีงานศลิ ปะและ 
หตั ถกรรม ในวงแผนส ี

สีผาบาติกทพ่ี บเหน็ กันโดยทัว่ ไป มลี กั ษณะการใชส ีแบง ออกไดเปน 2 ประเภท คอื  
1.  ผ าบาติ กสี เดียว  หมายถึง  ผาท่ี มีสภาพสียอมหรือสีระบายเพียง  1  ส ี
ผา บาตกิ สีเดียว  เปนบาตกิ ขั้นพนื้ ฐาน นิยมใชก ับผา ที่เขียนเทยี นหรอื พมิ พล ายเปน ลายเสน  
แลวนําไปยอม  สีเขมเพียง  1  สีเทานั้น  เชน  ยอมสีแดง  สีนํ้าเงิน  หรือสีมวง  ลักษณะ 
ลวดลายจะไดล ายเสน สขี าว บนพน้ื ส ี   ผา บาตกิ สเี ดยี วราคาถกู กวา ผา บาตกิ หลายส ี   การยอ ม 
บาตกิ สีเดียวไมค วรยอ มสที คี่ า ออ น เชน  สชี มพอู อน เหลอื ง เขยี วออ น  เพราะจะทาํ ใหล วดลาย 
ไมเ ดน ชดั  
2.  ผา บาตกิ หลายสี เปน ผา บาตกิ ทมี่ ีการยอ ม หรือการระบายส ี แตม ดอกซ้ําซอนกัน 
มากกวา 1 สขี นึ้ ไป การออกแบบบาตกิ หลายส ี ควรจะยดึ หลกั การใชส แี ตล ะกลมุ  ทง้ั นเ้ี พื่อใหส  ี
แตล ะสใี นผาชิน้ เดียวกัน มลี ักษณะประสานกลมกลนื กนั  ผาบาติกหลายสมี ี 2 ลกั ษณะคือ 

2.1  ผาบาติกหลายสีแบบยอม  เปนผาบาติกที่มีสีในผืนผามากกวา  2  สี 
สีเหลานี้เกิดจาก  การปดเทียนเพ่ือเก็บสี  และการยอมสีอ่ืนทับเทานั้น  บาติกชนิดน้ีมีท้ัง 
ลายพิมพและลายเขียน 

2.2  บาตกิ หลายสแี บบแตม  หรือแบบระบายสแี ลว ยอ มทบั  เปนบาตกิ ทม่ี ีกรรมวธิ  ี
ยงุ ยากกวา บาตกิ แบบยอมอยา งเดยี ว ทั้งนเ้ี น่ืองจากผอู อกแบบจะตองออกแบบลวดลายหรือ 
รปู ภาพ  กําหนดลกั ษณะของสีท่ีจะใชแตม  หรืระบายตามรอยพิมพเทยี นใน บาตกิ ลายพิมพ 
หรือตามรูปทรงท่ีเขียนในงานบาติกลายเขียน  ใหประสานกลมกลืนกัน  มีความสวยงาม 
และมคี ุณคา ทง้ั นีอ้ าจยึดหลักการจัดกลมุ สีตามกฏเกณฑ 4 วธิ ี ดงั ตอไปน ้ี

การทําผาบาติก  27 

2.2.1  สีกลมกลืนในลักษณะของสีใกลเคยี งกันตามวงแผนสมี ี หลกั การ 
งายๆ  คือ  จะใชสีใดใหนับจากสีนั้นไปอีกจนถึงสีท่ี  5  ไมควรจะเกินสีท ี่ 6  เพราะสีถัดไป 
จะเปน สีตรงขาม จะทําใหผ า บาตกิ ชิ้นนนั้ มีสีไมน า ดู 

2.2.2  การใชสีโดยยึดหลักคาความออนแกของสี  (Value)  หรือการใช 
สกี ลมกลนื แบบสเี ดียว (Monochromatic colour Harmong) เปน ลักษณะผา บาตกิ ทใี่ ชส เี ดยี ว 
ทม่ี ีคาส ี ออนแกตา งกัน เชน สีฟา (Cerulean Blue) หรอื สีฟา (Turquoise) สีคราม (Cobalt 
Blue) และ สนี ํา้ เงนิ เขม (Prussian Blue) 

การใชสีกลมกลนื อีกวิธหี นึ่ง  คือ การแยกสีใหม ีคาความออนแกถึง 6  ส ี
การใชสกี ลมกลืนในลักษณะนี้ใชก บั การเขียนบาตกิ วธิ ีระบายงา ยกวาวิธยี อ ม  สที ่เี หมาะกับ 
การระบายบนผา ตามเทคนคิ นค้ี อื  สี Reactive ของ Basilen M Dyes หรอื สี Reactive M dyes 
ของ Bayer ถา ใชเทคนคิ การยอม ทําไดโ ดยการยอมสีแรกและปดเทยี นเก็บสยี อมทับ 2 - 3 
ครงั้  โดยยอ มสที มี่ คี า ออ นกอ นแลว ยอ มสที มี่ คี า เขม  เพม่ิ ขน้ึ ตามลาํ ดบั  เชน  การใชส ตี รงกนั ขา ม 
ในงานบาตกิ  เหมาะสาํ หรบั การทาํ งานจติ รกรรม และบาตกิ ลายเขยี นมากกวา บาติกลายพมิ พ 
เพราะเปน การเนน สสี นั  ลวดลาย หรอื รปู ภาพใหม คี วามสะดดุ ตา นา สนใจ ผา บาตกิ ทใี่ ชเ ทคนคิ  
การยอมไมน ยิ มใชสใี นลกั ษณะสีคูป ระกอบ 

สีกลมกลืน 
1)  สเี หลอื ง  สีสมเหลอื ง  สสี ม  สีสม แดง สแี ดง  สมี ว งแดง 
2)  สเี หลอื ง  สเี ขยี วเหลอื ง  สีเขียว  สีนํา้ เงนิ เขยี ว  สนี ้าํ เงนิ   สีมว งน้าํ เงิน 
3)  สีแดง  สีแดงมว ง  สีมวง  สีมว งนํ้าเงนิ    สนี า้ํ เงนิ   สนี ้าํ เงินเขียว 
4)  สีแดง  สีแดงสม   สีสม  สีสม เหลือง  สีเหลอื ง  สเี ขียวเหลอื ง 
5)  สีนา้ํ เงิน  สนี ํ้าเงินมวง  สีมว ง  สีมว งแดง  สีแดง  สสี ม แดง 
3)  สีนํ้าเงิน   สนี ํ้าเงินเขียว  สเี ขียว  สีเขยี วเหลือง  สีเหลือง 
สีตรงขา ม 
สีแดง  กับ  สีเขียว  สนี า้ํ เงนิ   กับ  สีสม 
สีเหลือง  กับ  สมี วง  สีเขียวเหลือง  กับ  สีมวงแดง 
สนี ํ้าเงินเขียว  กับ  สีสมแดง  สีมวงนํา้ เงนิ   กับ  สเี หลอื งสม  

ดังนั้นการออกแบบสีและการใชสีในงานบาติก  จะออกแบบโดยการใชสีกลมกลืน 
สีใกลเคียง  สีตรงขาม  หรือสีตัดกันก็ตามทั้งนี้ข้ึนอยูกับรสนิยมของผูออกแบบและความ 
ตองการของตลาดผาบาติกเปน สาํ คญั

28  การทาํ ผาบาติก

กจิ กรรมท ่ี 3 

ใหท า นตอบคําถามดงั ตอไปน ี้
1.  การกาํ หนดขนาดของผา บาตกิ  ขน้ึ อยกู บั ส่งิ ใด 

...................................................................................................... 
...................................................................................................... 
...................................................................................................... 
2.  การออกแบบลวดลายบาตกิ มกี ่ลี กั ษณะ อะไรบาง 
...................................................................................................... 
...................................................................................................... 
...................................................................................................... 
...................................................................................................... 
...................................................................................................... 
3.  ถา ทานตองออกแบบลายผาบาติก ทานจะเลอื กวาดลวดลายและ 
เลอื กสีอยา งไร  จงอธิบายพรอมวาดภาพประกอบ 

...................................................................................................... 
...................................................................................................... 
...................................................................................................... 
...................................................................................................... 
...................................................................................................... 

ตอนท่ี 4 

ขนั้ ตอนการทาํ ผา บาตกิ  

สาระสําคญั  

การทําผาบาติก  มีกรรมวิธีท่ีไมสลับซับซอนมากนัก 
สามารถแยกกระบวนการผลิตเปน ขนั้ ตอนตา งๆ ได  7 ข้นั ตอน 
คือ 1)  การเตรียมผา  2) การเตรียมเทียนหรือการผสมเทียน 
3) การเขียนเทียนหรอื การพมิ พล าย 4) การแตม สหี รือระบายสี 
5) การยอ มส ี 6) การลอกเทยี นออกจากผา   7) การตกแตง ผา  
ซึ่ งจะต องมี ความละเอี ยดและพิ ถี พิ ถั นในทุ กขั้ นตอน 
จึงจะไดผ ลงานท่ีมีคุณภาพ 

จุดประสงคการเรยี นรู

เม่ือศกึ ษาตอนท่ี 4 จบแลว สามารถ 
1.  อธิบายขัน้ ตอนการทําผา บาตกิ ได 
2.  ทาํ ผา บาตกิ ได  1  ชิน้ งาน 

ขอบขา ยเนอ้ื หา 

เร่อื งท่ ี 4.1  ข้นั ตอนการทําผาบาตกิ  
เร่อื งที ่ 4.2  เทคนคิ บางประการในการทาํ ผาบาตกิ  

30  การทําผาบาติก 

เรอื่ งท่ี  4.1  ขั้นตอนการทาํ ผาบาตกิ

การทาํ ผา บาติก มีกรรมวิธีทีไ่ มสลบั ซับซอ นมากนัก แตต อ งอาศยั เทคนคิ เฉพาะตาม 
ขน้ั ตอนและความละเอยี ดในทุกขนั้ ตอน จึงจะไดผ ลงานทม่ี คี ณุ ภาพ  การทาํ ผา บาตกิ สามารถ 
แยกกระบวนการผลติ เปนขน้ั ตอนตา งๆ  ดังตอ ไปน้ ี

ขน้ั ตอนท ่ี 1  การเตรยี มผา 
ขั้นตอนท่ ี 2  การเตรียมเทยี นหรือการผสมเทยี น 
ขน้ั ตอนท่ี  3  การเขียนเทียนหรือการพมิ พล าย 
ขนั้ ตอนที่  4  การแตม สีหรอื ระบายสี 
ขั้นตอนท ่ี 5  การยอมสี 
ขนั้ ตอนท ่ี 6  การลอกเทียนออกจากผา 
ขน้ั ตอนที่  7  การตกแตงผา 

ขั้นตอนท่ ี 1  การเตรียมผา 

การเตรยี มผาท่จี ะนํามาทาํ เปน ผา บาติก ที่สาํ คัญท่จี ะตองคาํ นึงถึง คือ 
การเลือกผา ควรจะเปนผาที่มีคุณสมบัติติดสีดี  โดยคาํ นึงถึงลักษณะของงานและ 
ประโยชนใ ชสอย แลว จงึ เลือกผาท่มี ีเน้อื บางเบา  หนา  เนื้อหนักตามตอ งการ  จากน้นั ตดั ผา 
ใหไ ดข นาดและทาํ ความสะอาดผา 
ผาที่จะนาํ มาทาํ เปนผาบาติก  ควรเปนผาที่ไมมีสารเคมีเคลือบผิว  ผาที่มีจําหนาย 
ในทอ งตลาดโดยทว่ั ไปมกั จะมสี ารตกแตง ผิว ดังนนั้ กอนจะนํามาทําเปน ผา บาตกิ ควรซกั ฟอก 
ใหสารตกแตง ผวิ ออกใหห มดเสยี กอ น วิธกี ารซกั ฟอกสารเคลือบตกแตง ผิวมี 2 วิธคี อื  
1.  ผาทม่ี สี ารตกแตง ผวิ เคลอื บผา ไมม ากนัก  ใหแชผ า ในน้ําที่มสี ภาพเปน กรดออนๆ 
โดยใชนา้ํ สมสายชหู รอื นาํ้ สมสายชูเทียม 1  ชอ นโตะ ตอ นา้ํ   5 ลิตร  แชผ าไวน าน 1 ชั่วโมง 
วธิ นี ี้ใชกบั ผา มสั ลิน 
2.  ผาท่ีมสี ารตกแตงผวิ เคลอื บผวิ ไวมากหรอื ผา ท่ีมเี น้ือหนา  ใหต ม ผา ในนาํ้ ทมี่ สี ภาพ 
เปนดาง เชน  ผาฝาย ผา ลินนิ ใชส ารเคมพี วกโซดาแอช โซดาไฟหรือสบูเทียม  สําหรับผา ไหม 
ควรใชโ ซดาแอช ซงึ่ เปน ดางอยา งออ น ไมท าํ ลายเสนใยไหม หรืออาจใชสบเู ทยี มกไ็ ด  โดยตม  
ในอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซยี ส ใชเ วลาประมาณ 1 ชั่วโมง 
ในการเตรยี มทาํ ความสะอาดผา ควรจะตองเตรยี มน้าํ ผสมสารเคมี โดยคนใหส ารเคมี 
ละลายเสียกอน จึงนาํ ผาลงไปแชห รอื ตม  หลงั จากน้นั ลา งน้าํ ใหส ะอาดและ ตากใหแ หง ตอไป 

การทําผาบาติก  31 

ข้นั ตอนท ี่ 2  การเตรยี มเทยี น หรอื การผสมเทียน 

การเตรียมเทียน หรือการผสมเทียนสําหรับพิมพห รือเขียน เพ่ือกันสีใหเ กิดลวดลาย 
กอ นทจี่ ะนําไปยอ ม มสี ตู รการผสมสารตา งๆ มี  2  สตู ร  คือ 

สูตรท ี่ 1 อตั ราสวนผสม พาราฟน   :  ขึ้ผ้งึ เทียม 
2    :    8 
3    :    7 
4    :    6 
1    :    1 

การผสมขผ้ี งึ้ กบั พาราฟน  โดยยดึ สดั สว นใดนน้ั  ขน้ึ อยกู บั จดุ ประสงคข องผทู าํ บาตกิ  
ถา ตอ งการใหม รี อยเทียนแตกบนผามากๆ กใ็ ชสดั สวนท่มี พี าราฟน มาก ถา ตองการใหมรี อย 
เทียนแตกนอ ยกใ็ ชส ดั สวนที่มีพาราฟนนอย 

สตู รท ่ี 2  เปนสูตรที่ใชในจังหวัดชายแดนภาคใต  โดยเฉพาะท่ีโรงงานบาติกใน 
จังหวดั  นราธิวาส และโรงงานบาติกในประเทศมาเลเซีย มสี ว นผสมของพาราฟน  ยางสนและ 
นํ้ามนั พืช การผสมจะใชส ัดสว นใดขน้ึ กบั วัตถปุ ระสงคใ นการทาํ ผาบาติก 

การตม เทยี นทจ่ี ะใชใ นการพมิ พล ายบาตกิ  ควรจะตม ในภาชนะใหญก อ น เมอื่ เทยี น 
ละลายแลว  จงึ ตกั ใสก ระทะทใี่ ชส าํ หรับจมุ แมพ ิมพ เพอื่ พมิ พเ ทยี นตอไป   การใสส ว นผสมของ 
สารตา ง ๆ ในภาชนะตม เทยี น ควรตม พาราฟน กอ น เมอื่ พาราฟน ละลายจงึ ใสน า้ํ มนั พชื   ยางสน 
และสว นผสมอน่ื  ๆ ตามลงไป ไมค วรวางยางสนไวล า งสดุ  ยางสนจะรอ นกอ น อาจจะทาํ ใหไ หม 
เปน ผงถาน ดาํ เหนียว เกาะตดิ ภาชนะตมเทยี น ซึง่ จะมผี ลเสยี ตอการพิมพลาย 

ตดั พาราฟน เปน ชนิ้ เลก็ ๆ  ตม เทยี นในกระทะไฟฟา

32  การทําผาบาติก 

ขน้ั ตอนท่ ี 3  การเขยี นเทียน หรอื การพิมพล าย 

การเขียนเทียนหรอื การพิมพลายลงบนผา เปนหัวใจสําคญั ของการทําบาติก  เพราะ 
รอยเทยี นทเ่ี กดิ จากการเขยี นลาย หรือพิมพจากแมพิมพโลหะ จะเปน แนวที่กนั สีไมใหซ มึ เขา  
เวลาระบายสแี ตม ส ี หรือ หรือเม่ือนาํ ไปยอ ม วิธกี ารกนั สีดวยเทยี นบนผา ม ี 2  วิธ ี  คือ 

การเขียนเทียน 
การเขยี นเทยี นลงบนผา  มขี ้นั ตอนดังตอ ไปน้ี 
1.  ลอกลายลงบนผา เมอื่ ออกแบบลวดลายแลว ใหว างผา ทจี่ ะทําเปน ผา บาตกิ ทาบ 
ลงบนตวั ลายแมแ บบ ใชด นิ สอสลี อกลายลงบนผา   ถา ชา งมคี วามชํานาญกส็ ามารถใชด นิ สอสี 
เขยี นลายลงบนผา ท่ตี องการหรือถา ชํานาญมาก ๆ อาจเขียนลายดวยเทียนเลยก็ได 
2.  นาํ ผาไปขงึ ไวบนกรอบ  การขึงผา ลงบนขอบเฟรม หรอื กรอบไม ทาํ ไดห ลายวิธ ี
เชน  ใชย ดึ แบบกรอบสะดงึ  หรอื ใชแ ปรงจมุ เทยี นทตี่ ม จนหลอมเหลว ทากรอบไมด า นหนา เอาผา  
ที่ตัดไดข นาดกบั กรอบไม วางทาบบนกรอบ ใชด ามพกู นั ถูผา ใหติดกบั กรอบไมทั้ง 4 ดา น 
หรอื ขงึ ผากับกรอบไม  โดยการยดึ ผา ท้งั 4 ดา น ดวยเขม็ ซอ นปลายเพ่อื ใหผ า ตงึ ตลอดเวลา 
3.  เขียนเทยี นตามแบบลาย ปจจบุ นั มวี ธิ กี ารทน่ี ิยมกัน 3 วิธีคือ 

3.1  การเขียนเทยี นดวยจันติ้ง 
การเขียนเทียนลงบนผาดวนจันต้ิง  เปนวิธีการที่ดีที่สุดสําหรับงานบาติก 

ลายเขียน  เพราะไดเสนเทยี นขนาดเลก็  และสามารถเขียนรายละเอยี ดตา ง ๆ ได 
3.2  การเขียนเทียนดว ยปากกาทองเหลือง 
การกันสีโดยการใชปากกาทองเหลือง  เหมาะสําหรับการเขียนเทียนท่ี 

ตองการลายเสน เทียนโตและหนา นิยมใชเ ขียนผา บาติกท่ีมรี ายละเอียดไมม ากนกั  
3.3  การเขยี นเทียนดว ยแปรง 
การเขยี นเทยี นดว ยแปรง เหมาะสําหรบั บรเิ วณทต่ี อ งการกนั ส ี หรอื เกบ็ สใี น 

พ้ืนทกี่ วา ง ๆ หรือสรา งเทคนคิ แปลก ๆ ในงานจติ รกรรมเทคนิคบาตกิ

การทาํ ผาบาติก  33 

การพมิ พเทยี นดวยแมพ ิมพ
           การพิมพเ ทยี นลงบนผา ดวยแมพ ิมพ เปนลกั ษณะของการทําผาบาติกลายพิมพ ซ่ึงม ี
วธิ ีการดงั ตอ ไปนี้ 

ข้ันแรก  นําผา ทีต่ องการพมิ พปูบนโตะ ทร่ี องดว ยกาบกลวย เช็ดกาบกลว ยใหแหง 
เพราะถาหากมีน้ําเกาะบนกาบกลวยเวลาพิมพเทียน  จะทําใหเทียนเกาะผาไมสมํ่าเสมอ 
จะเปนผลเสียเวลาแตม หรอื ยอ ม 

ข้ันท่ีสอง  นําแมพ มิ พม าวางพาดกับขอบกระทะ เพอ่ื ทําใหแ มพ ิมพร อ นจนทว่ั แลว นํา 
แมพ ิมพลงจมุ เทยี นจนถึงกนกระทะ เพอ่ื ใหเ ทยี นเกาะแมพมิ พใ นระดบั สงู  เทา กนั  

ข้ันท่ีสาม  ยกแมพ มิ พข น้ึ  สะบัดแมพ มิ พเบา ๆ 2 - 3 ครง้ั  การสะบัดแมพ มิ พตอ งสะบดั  
เปนจังหวะเดียวกันตลอดผนื  เพ่ือใหเทียนเกาะแมพิมพเทากันตลอด แลวจึงนาํ มาพิมพลง 
บนผา  ใชสันมืออกี ขางหนง่ึ กดบนขอบแมพ มิ พเ บา ๆ เพอ่ื ใหน าํ้ หนักของแมพมิ พก ดลงบนผา 
เทากนั ทุกสวน 

ขั้นตอนท่ี  4  การแตมส ี หรอื การระบายสี 

การแตมสีหรือการระบายสี เปนขั้นตอนหนง่ึ ของการทําผาบาติก คือ เม่อื มกี ารเขยี น 

ลายหรือพมิ พลายแลว  กใ็ ชส แี ตม หรือระบายในลายหรือลวดลายตามสที ตี่ องการ 

ข้ันตอนในการแตมสีหรอื ระบายส ี สามารถแยกขัน้ ตอ นไดเ ปน 2 ขนั้ ตอน คือ 

1.  การเตรยี มสแี ตม  

การเตรยี มสีแตม แตล ะชนิดมวี ธิ ีการเตรียมสี ดังน้ ี

1.  การเตรียมส ี Vat 

สวนผสม 

ไฮโดรซัลไฟล  4  -  5  กรมั  

โซดาไฟ  4  -  5  กรมั  

เกลือแกง  15  กรมั  

สี Vat  50  กรมั  

นาํ้   1  ลติ ร

34  การทาํ ผาบาติก 

วิธีเตรียมสี 
ละลายสวนผสมในนาํ้ เดอื ด เพอื่ ใหส ารตา ง ๆ ละลายไดด  ี นํ้าจะคอ ย ๆ กลายเปน  
สีมวง  แลวจึงใสเกลือแกงคนใหละลายเขากัน  สีที่ละลายแลวควรเก็บในภาชนะทึบแสง 
เพอื่ ชว ยยดื อายุ ของสีใหใ ชงานไดน านข้นึ  โดยสามารถใชไ ดถ ึง 24 ชวั่ โมง เม่ือจะนาํ ไปแตม  
ควรแบง ใสภ าชนะเลก็  ๆ เพราะสี Vat เปน สที จ่ี ะกลายเปน สตี าง ๆ ก็ตอ เมื่อทาํ ปฏิกิริยากับ 
แสงธรรมชาต ิ

2.  การเตรียมสี  Indigosol  l 8  กรมั  
สว นผสม  100  ซซี ี 
สี Indigosol  1  -  2  หยด 
น้ํารอ น 60  Cํ   1  -  2  หยด 
โซเดียมซัลเฟต 
โซเดยี มไนไตรต 

วธิ ีการเตรียมส ี
ละลายสดี ว ยน้าํ เย็นเลก็ นอ ย พอใหส ีเปย กชน้ื  เตมิ น้ํารอ นจํานวน 100 ซซี ี คนใหส  ี
ละลาย ทงิ้ ไวใหเ ย็น น้ําสมี ลี ักษณะใส ๆ เตมิ โซเดียมซลั เฟตและโซเดียมไนไตรต สาร 2 ชนิดน้ ี
จะชว ยใหสีมคี วามสดใสและทาํ ปฏกิ ิรยิ ากบั อากาศ เปนสจี ริงเร็วย่งิ ข้ึน ควรเก็บสีในภาชนะ 
ทึบแสง 

3.  การเตรียมสี  Rapid Fast 
สี  Rapid  Fast  เปนสีประเภทส ี Napthol  ที่ผสมเกลือส ี (Fast  salt  colour) 

มาจากโรงงานผลิตสี    แตยังมิไดอยู ในสภาพทําปฏิกิริยากับสาร  Napthol  ดังนั้ น 
จงึ สามารถผสมสไี ด  โดยอาศัยสารเคมีบางตวั  มอี ตั ราสว นดังตอไปน้ี 

3.1สว นผสมในปริมาณนอ ย  4  กรมั  
สี Rapid  Fast  50  ซซี  ี
น้ํารอน 60  Cํ   4  ซซี ี(สารทําเปยก) 
น้ํามนั ตรุ กี  4  ซซี ี
โซดาไฟ 

การทําผาบาติก  35 

3.2สวนผสมในปรมิ าณมาก  50  กรมั  
สี Rapid  Fast  1  ลติ ร 
นา้ํ รอ น  50  ซซี  ี
นํ้ามนั ตรุ กี  70  กรมั  
โซดาไฟแบบเกล็ด 38  Bํ e 

วิธีเตรียมส ี
คนสกี บั นํา้ มนั ตรุ กีใหเปย กชน้ื  เติมโซดาไฟ เติมน้าํ รอ นจํานวน 1 ลติ ร คนใหเขา กนั  
จนนํ้าสีเปลี่ยนสภาพจากสีเหลืองขุนเปนสีเหลืองใส  ต้ังไวใหเย็นจึงนําไปใช  ควรเก็บสี 
ท่ีผสมแลว  ไวใ นภาชนะทึบแสง  สามารถเก็บใชไดน าน 24  ช่ัวโมง สีแตละสีสามารถนาํ มา 
ผสมกนั ได 

4.  การเตรียมสี Reactive  1  กรมั  
สวนผสม  50  ซซี  ี
สี Reactive dyes  1  กรมั  
นาํ้   1  กรมั  
โซดาแอช 
เกลือ 

วิธีการเตรยี มส ี
ละลายสี  Reactive  ดว ยน้าํ รอน คนใหส ีละลาย เติมโซดาแอชและเกลือ คนให 
ละลายเขากนั   สีทผี่ สมแลวควรใชใหห มดภายใน 3 - 4 ชวั่ โมง หลงั จากนน้ั สจี ะเสอื่ มคณุ ภาพ 
ดงั นั้น การเลือกสใี นการแตมสบี นลวดลายตองเลอื กใหเ หมาะสม ซ่ึงกรรมวิธใี น 
การแตม สใี นสว นทเ่ี ปน ดอก ลวดลายหรอื ภาพอนื่  ๆ ดว ยสี Vat dyes, Indigosol dyes สี Rapid 
dyes หรอื Reactive dyes ซงึ่ เปน สที มี่ วี ธิ รี ะบายคลา ยคลงึ กนั  สภาพสที แ่ี ตม หรอื ระบายบางตวั  
จะไมเ ปนสีจริง โดยเฉพาะส ี Vat dyes, Indigosol dyes และส ี Rapid Fast ซึง่ จะตองรอ 
ใหสีทาํ ปฏิกิริยากับออกซเิ จนในอากาศจึงจะเกิดเปน สจี ริง   สาํ หรับสี  Reactive  dyes  น้ัน 
สีปรากฏตามสภาพของสีจรงิ

36  การทาํ ผาบาติก 

วิธีแตม สี หรือการระบายสี 
การแตม สีหรือการระบายสใี นงานบาติก เปนลักษณะการแตมหรอื ระบายในงานทไ่ี ม 

ละเอยี ดมากนกั  ไมค ํานงึ ถึงนํา้ หนกั ความออ นแก   ตนื้ ลึก และแสงเงา  เปนลกั ษณะงานบาตกิ  
ทม่ี กั จะนาํ ไปยอ มสพี นื้ ตามความตอ งการอกี ครงั้ หนง่ึ  

การแตมสีควรจะแตมนอกอาคาร ท่ีมีแสงแดดรําไร เชน  ใตตนไมช ายคา ลานบาน 
เนื่องจากสีจะเปล่ยี นสภาพเม่ือทาํ ปฏกิ ิริยากับออกซิเจน ชวงเวลาในการแตมส ี ควรจะเปน  
ชว งเชา หรอื บา ย ตง้ั แตเ วลา 6.00 - 10.00 และ 14.00 - 17.00 น. ซงึ่ เปน ชว งทอ่ี ากาศไมร อ นจดั  
สีแปรสภาพไดเ ร็วและมีความสดใส ควรหลกี เล่ียงการแตมสีในตอนเที่ยงวัน  เพราะอากาศ 
รอนจดั จะทาํ ใหส ีแหง เร็วเกนิ ไป  ทําใหส แี หงกอนทจ่ี ะแปรสภาพเปน สจี รงิ ไดหมด อกี ประการ 
หนึ่งชว งเท่ียงวันอากาศรอนจะทําใหเทยี นละลาย เวลานําไปยอมจะทําใหลวดลาย ไมสวย 
เสนเทียนบางไมค ม 

การแตม สี ถาใชส ี Reactive  จะไมม ีปญหาในการแปรสภาพของสี เพราะสีทุกสจี ะ 
ปรากฏตามสีจริง  ใชแตมและระบายไดตลอดเวลา ดังน้ัน การใชสีแตมลวดลายในฤดูฝน 
ควรจะหลีกเลี่ยงการใชส ีท่ีแปรสภาพ  ควรใชสี Reactive หรือทาํ บาติกยอม โดยเฉพาะการ 
ยอมสี 3 - 4  ชนั้ แทน 

เมอื่ แตม สแี ลว ควรจะทาโซเดยี ม  ซลิ เิ กต  ซง่ึ เปน เกลอื ชนดิ หนง่ึ บรรจขุ วด  มี 3 ลกั ษณะ 
คือ ขน มาก ขนปานกลาง และเหลว ซ่งึ ขอแนะนําใหใ ชอยา งเหลวจะสะดวกกวา  

การใชโ ซเดยี ม  ซลิ ิเกต   กันสตี กทาํ ได 2 วธิ ี คือ 
1.  ใชแปรงสําหรับทาสีทาบนผา ท่ีขึงอยูบนกรอบ  การทาโซเดยี มจะตองใชกระดาษ 
หนังสือพิมพเกามารองพ้ืนกันไมใหโซเดียมหยดลงพ้ืน  เพราะถาแหงแลวจะลางออกยาก 
และถาหยดลงพ้นื ใหร บี ลา งออกทนั ทไี มควรทาบนพนื้ บาน พ้นื ไมเ พราะจะทําใหเ กิดรอยดา ง 
เมอ่ื ทาจนทัว่ แลว  ผึ่งไวในที่รม อยา งนอย  2 - 3  ชว่ั โมง  จึงนําไปลอกเทยี นดว ยนํ้ารอน 
2.  การลงโซเดยี มโดยใสผา ลงในถงั โซเดยี มโดยตรง วธิ ีนใี้ ชก บั ผา ผนื ใหญท ไ่ี มส ะดวก 
ในการทา หรือตอ งการความรวดเรว็   วธิ กี ารคอื   นําผาที่ระบายสปี ลอยใหแ หง ดี  จมุ ลงในถงั  
จนมดิ  ผนื ผา แลว แลวคอ ยๆ ยกขน้ึ ใชม ือบบี รีดเอาโซเดียมออกใหไ หลลงในถงั เก็บไวใ ชไ ดอกี  
แลว นําผา ไปผงึ่ ลมทร่ี ม 2 - 3 ชว่ั โมง ไมใ หผ า มาทบั กนั เปน อนั ขาด   เมอื่ ผง่ึ ลมจนแหง แลว  นําไป 
ลอกเทยี นออกจากผนื ผา  

ข้ันตอนท ี่ 5  การยอ มสี

การทําผาบาติก  37 

การทาํ ผา บาติก ไมวา จะเปนเทคนิคใด การยอ มสีมีความสาํ คญั เทากับการลงเทยี น 
การยอ มสเี ปน หวั ใจของการทาํ ผา บาตกิ  ควบคูไปกับการเขยี นเทยี นหรอื การพมิ พล าย การทาํ  
ผาบาตกิ ขนาดใหญ ๆ ใชว ิธกี ารยอ มสสี ะดวกกวาการระบายสี การระบายสีใชกับงานบาตกิ  
ท่ตี องการความประณตี มาก ๆ หรือบาติกในลักษณะของการตกแตง ผนัง  การทําบาตกิ ยอม 
สามารถผลิตผาไดจ าํ นวนมาก โดยเฉพาะการผลติ ในระบบหตั ถอตุ สาหกรรม 

สีทจี่ ะนํามายอ มแตละชนดิ  มีสารเคมที ่ใี ชป ระกอบการยอมแตกตางกนั  สบี างชนดิ ใช 
สารเคมีเปนกรด สีบางชนดิ ในสารเคมีเปนดาง สารเคมีเหลานี้ลวนทําปฏิกิริยาทางเคมกี ับ 
โลหะ  ดังนั้น  อุปกรณและภาชนะที่นาํ มาเตรียมสียอม  ไมควรใชอุปกรณที่มีสวนผสมของ 
เนอ้ื โลหะประเภททองแดง สงั กะส ี อะลูมิเนยี มเพราะสารเคมจี ะไปกัดโลหะเหลาน้ีใหผ กุ รอน 
เกิดเปน สนิมตดิ ผา  หรอื ทําใหสียอ มเปล่ยี นไป บางสเี มือ่ ยอ มแลว  ทําใหดเู ปนผา เกา 

ในการยอมสผี าบาติกวาสียอมติดผามีความเขม เพียงใด  ในขณะท่ีผาเปยกสังเกต 
ไดย าก ใหย กผาข้ึนสอ งกับแสงแดด  โดยมองลักษณะทวนแสง  จะสังเกตเหน็ แสงผา นเนอื้ ผา 
สภาพของสที ่มี องเห็นในขณะมองทวนแสงจะเปนลักษณะของสีจริงเม่อื ผาแหงแลว  

ผาที่ยอ มเสร็จแลว ทุกคร้งั ตอ งลางน้ําใหสะอาด  ผึ่งใหแ หง   กอ นทีจ่ ะนําไปปดเทยี น 
เก็บสีเดิมเพ่ือยอมสีอื่นตอไป  หรืออาจนําผาไปตมเอาเทียนออก  เพราะผาที่แหงแลวจะ 
ปรากฏสตี ามความเปน จริง  ถาสอี อนไปสามารถนํามายอมทบั ไดอ กี  

ผา บาตกิ   5  ส ี
ที่มา  นนั ทา โรจนอดุ มศาสตร ,2536 : 179.

38  การทําผาบาติก 

ขน้ั ตอนท ่ี 6  การลอกเทยี นออกจากผา 

เปน ขน้ั ตอ นทสี่ าํ คญั มากขน้ั ตอนหนงึ่  ตอ งนําผา มาลอกเทยี นออก เพอื่ ทาํ ความสะอาด 
ผา เพ่ือใหไดล วดลายปรากฏชดั เจนสวยงาม การลอกเทยี นทาํ ไดห ลายวิธ ี คอื  

1.  การตม  เปนวิธีที่งายและสะดวกท่ีสุด  คอื   นําผาลงตมในน้าํ เดือดทผี่ สมสารเคมี 
เพื่อใหเทยี นละลายหลุดออกจากผา 

การตม ควรแยกภาชนะออกเปน  2  เตา เพอ่ื ตมผา   2  ครง้ั  
การตมผา ครั้งท่ี  1 กระทะแรก เปน การตม ในนา้ํ เปลา ทเี่ ดอื ดพลา น ไมผ สมสารเคม ี
วตั ถุประสงคเพอ่ื ลอกเทียนใหละลายหลดุ ออกจากผา 
การตม ผาคร้งั ท่ ี 2 เป นการต มในน้ํา เดื อดที่ ผสมสารเคมี สําหรั บต มผ า 
เพอื่ ลอกเทยี น ใหห ลดุ ออกจากผา ใหห มด ใชไ มก วนผา ใหถ กู น้าํ รอ นทวั่ ทง้ั ชนิ้  ยกผา ขนึ้ ลงหลาย 
ๆ ครงั้  เพอ่ื ให  เทยี นไหลออกปนกบั นา้ํ ใหห มด และนําผาไปลางน้ําใหสะอาด 
2.  ลอกเทียนออกโดยการรีด วิธนี ีเ้ หมาะกบั ผาชิ้นเลก็  ๆ  เชน ผาเช็ดหนา และงาน 
จติ รกรรมประเภทภาพประดบั ผนัง ท่ียอมสีคร้ังสดุ ทายไปแลว การรดี ผาไมเ หมาะกับผาทมี่  ี
ขนาดใหญ 
3.  ลอกเทยี นออกโดยการใชน าํ้ ยาละลาย เหมาะสาํ หรับการทําผา บาติกที่มปี ญหา 
เรื่องสถานท่ี  ปญหาจากเนื้อผาและสารเคมที ่ีใชผสมสีบางชนิด  สารเคมีท่ีนาํ มาลอกเทียน 
มหี ลายชนดิ  เชน   แอลกอฮอล    น้าํ มนั เบนซิน  เตตระคลอไรดและน้าํ มนั กาด  เปน ตน 
วธิ ีลอกมี 2 วธิ  ี คอื  
3.1  นาํ ผาแชในนํ้ายาหรอื สารเคม ี ซง่ึ สารเคมจี ะละลายเทยี นใหห ลดุ ออก 
3.2  โดยการจมุ นาํ้ ยาเคมเี ฉพาะสว นทม่ี รี อยเทยี นเทา นน้ั  จบั ผา ขยเ้ี บา ๆ เสน เทยี น 
ก็จะละลายออกมา  การลอกเทียนดวยนา้ํ ยาเคมี เม่ือเทียนหลุดแลวจะตองนําผาไปซักใน 
นํ้าอนุ  ๆ ใหส ะอาด

การทาํ ผาบาติก  39 

ขัน้ ตอนที ่ 7  การตกแตง ผา  

การตกแตงผาเปนข้ันตอนสุดทาย    กอนท่ีจะนําผาไปจําหนายหรือแปรรูปเปน 
ผลิตภัณฑผาบาติก    การตกแตงผาเปนการตกแตงผิวหรือเน้ือผาใหมีลักษณะสวยงาม 
มคี ณุ ภาพด ี  การตกแตง ผา มีขั้นตอนดงั นี ้

1.  แชนํ้ายากันสีตก  เปนการรับประกันคุณภาพสียอมและสีระบายทุกชนิดวาม ี
คณุ ภาพด ี ซงึ่ เปน หวั ใจของการทาํ ผา บาตกิ  สยี อ มบางชนดิ มคี วามจําเปน ตอ งแชน ้ํายากนั สตี ก 
เชน  ส ี Reactive จะตองนาํ ผา ไปแชใ นนํา้ ยากนั สีตกทผ่ี สมแลว  ประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง 
ไมค วรแชน านเกนิ 1 ชวั่ โมง เนอื่ งจากสว นผสมของนาํ้ ยากนั สตี ก ประกอบดว ย โซเดยี มไนไตรต 
จะกัดส ี ทําใหสซี ีดจางลง 

ขอ ควรระวงั   ในการผสมนาํ้ ยากนั สตี ก ใหเ ทนา้ํ เปลา ใหค รบจํานวน จากนนั้ จงึ ผสม 
โซเดียมไนไตรตค นใหละลาย แลวจงึ เตมิ นํ้าสม หรือกรดกํามะถันลงไป  คนใหล ะลายเขากัน 
นําผาลงแชน ้ํายากันสีตก  ที่เหลอื เก็บไวใ ชต อไปได 

ขอ หาม คอื  อยา หยดน้าํ ยาเคมีลงบนผา  จะทําใหผ า ขาดเปนรู ตอ งผสมนํ้ายาให 
เสรจ็ กอนจงึ นําผา ลงแช  เมอ่ื ครบเวลาตามกาํ หนด นาํ ผา ไปลางน้ําใหส ะอาด ตองระวงั ไมให 
กรดน้าํ สมเขา ตา เพราะเปน อนั ตราย 

2.  การตกแตงผิว เปนการตกแตงเน้ือผาใหมีผิวสัมผัสนุมนวล เรียบสะอาดนาใช 
ทําไดหลายวิธ ี เชน 

2.1  โดยการนาํ ผา ทแ่ี ชน้ํายากนั สตี กเรยี บรอยแลว  ลงแชในนาํ้ แปง ลงผา  ควรแช 
ประมาณ  1 -  2  ชั่วโมง เพ่อื ใหนาํ้ แปงซึมเขาไปในเสนใยอยางทัว่ ถึง   จากนัน้ นาํ ผาไปผ่ึง 
ใหห มาด และรีดใหเรียบ 

สวนประกอบในการเตรียมแปงลงผา 

แปงมนั หรอื แปงขา วเจา   1  ชอนโตะ  
นํา้ เยน็   1  ถวยตวง 
น้าํ เดอื ด  3  ถวยตวง

40  การทาํ ผาบาติก 

วิธีเตรยี ม 
1)  ละลายแปงมนั หรือแปง ขา วเจา ดว ยน้าํ เย็น 1 ถว ย 
2)  เติมน้ําเดือด  3  ถวย  คนจนกระทั่งแปงสุก  แปงจะเปลี่ยนสีจาก 
สขี าวเหมอื นนมสดเปนสีขาวขนุ  ๆ 

2.2  ขดั ชกั เงา การตกแตงผวิ โดยการขดั ชกั เงา เปนการตกแตง ผิวทนี่ ิยมกนั มาก 
ในระบบโรงงาน เพ่อื ใหไ ดผ าบาติกที่มผี วิ มันเรียบเปนเงา 

กรรมวิธีในการขัดชักเงา  เริ่มจากการนําเอาผาบาติกท่ีแหงแลวปูบนโตะ 
บุดวยแผน หนัง แลวขดั ผาท่ีวางบนแผน หนังดว ยเครื่องขัดเงา 

3.  การรีดผา เปน กรรมวธิ ีการทาํ ผา บาติกแบบโรงงาน โดยนําผา ไปเขา เครอ่ื งรดี ผา 
รดี ใหเ รียบ การรดี จะทําควบคไู ปกับการพับผา เปน พบั  ๆ เพอื่ เตรียมมดั สําหรับจําหนายตอ ไป 

วธิ ใี นการรดี ผา  นําผาบาตกิ ทแ่ี หงสนทิ มาพบั ซอ นกนั  ใหผ า กวา งเทา กบั ความกวา ง 
ของเครือ่ งรดี และนาํ เขา เคร่อื งรดี  โดยรีดชิน้ ละ 2 ครัง้  แลว พบั ผาเปนผืน มีขนาดเทา ๆ กนั  

4.  การอดั ผา ผาบาตกิ ท่ีผานกระบวนการรดี เรยี บรอย โรงงานจะนําไปเขาเครอื่ งอัด 
เพอ่ื อดั ผา ใหแ นน  ทง้ั น ้ี เพอ่ื ความสะดวก ความสวยงาม ในการบรรจซุ องตดิ เครอ่ื งหมายการคา  
บรรจหุ บี หอ ไวเ ปนชุด ๆ เพ่ือรอจําหนา ยตอไป 

การขัดเงาผา การอดั ผา  

การทําผาบาติก  41 

สรุปขั้นตอนการทําผาบาติก 

ข้นั ตอนท ่ี 1  การเตรยี มผา  

ขน้ั ตอนท ่ี 2  การเตรยี มเทยี นหรอื  
การผสมเทียน 

ขั้นตอนท ี่ 3  การเขียนเทยี นหรือ 
การพิมพล าย 

ข้ันตอนที่  4  การแตม สีหรือระบายสี

42  การทําผาบาติก 

ขน้ั ตอนท ี่ 5  การยอมส ี

ขั้นตอนท ี่ 6  การลอกเทียนออกจากผา 

ขน้ั ตอนท่ ี 7  การตกแตง ผา

การทาํ ผาบาติก  43 

เรื่องท่ี  4.2  เทคนิคบางประการในการทําผา บาติก

เทคนิคการทาํ ผาบาติก เปนวธิ ีในการทําผาบาติกชนดิ ตา งๆทนี่ ิยมกันในตลาดบาตกิ  
เพ่ือใหไดสินคาหลากหลายรูปแบบ  เทคนิคท่ใี ชท ําผาบาตกิ  คอื  

บาติกพ้นื ขาว คือ ผาบาติกที่มีสีพนื้ สว นมากเปน สขี าว มีลวดลายเปน สีตา ง ๆ และ 
มีลายเสนของสียอมจาง  ๆ  ปรากฏอยูบนพ้ืนสีขาว  ในการผลิตจะมีการลงเทียนบนผาขาว 
ในปรมิ าณเนอ้ื ทม่ี ากกวา สว นทไ่ี มไ ดล งเทยี น เมอ่ื นําไปยอ มสจี ะทาํ ใหผ า เปลย่ี นสไี ปตามสยี อ ม 

การทาํ บาติกพื้นขาว 
นําผามาพิมพลายหรือเขียนเทียน  อาจเขียนดวยจันติ้งแทนการพิมพ    ใหสวนท ่ี
ลงเทยี นบนผา มีพืน้ ท่มี ากกวา สวนที่ไมไ ดลงเทียน นาํ ไประบายสีหรอื  แตม สี แลว นําไปยอ ม 
ใหสียอ มเปนสีทีม่ ีคาสีเขม เชน  สแี ดง สีน้ําเงิน สีมวง  เปนตน จากนั้น ขจดั เทียนบางสวน 
ใหหลุดออกจากผา โดยนําผา ไปแชนํ้า ที่มสี วนผสมของโซดาไฟ  ในอัตราสวนโซดาไฟแบบ 
เกลด็ 1 ชอ นโตะ ตอ นํ้า 1 ปบ  ใชไ มต ําผา เพอ่ื ใหเ ทยี นแตก และลา งผา ใหส ะอาด  นาํ ผา ไปยอ มสี 
อกี ครงั้ ดว ยสที มี่ คี า สอี อ นกวา สยี อ มครงั้ แรก เชน  สนี าํ้ ตาล สชี มพ ู เปน ตน   ลอกเทยี นออกจากผา  
สวนทม่ี ีเทยี นปด ไวจ ะเปน สขี าว และมีรอยซมึ ตามรอยแตกของเทยี น 

บาตกิ พน้ื ดาํ   เปน บาตกิ ท่ีมลี วดลายเปนส ี นยิ มลายสสี ดใสและยอมสพี น้ื ดว ยสีดาํ  
ซง่ึ อาจเกดิ จากการยอ มสพี นื้ 2 ครง้ั ทบั กนั  เชน  ยอ มสนี าํ้ เงนิ เขม  แลว ยอ มสเี หลอื งทบั  หรอื ยอ ม 
สนี ํา้ เงินแลว ยอมทบั ดว ยสนี ํ้าตาล ลักษณะเฉพาะของผา บาตกิ พื้นดํา คอื   บรเิ วณท่ีลงเทียน 
มปี ริมาณเนอ้ื ท่ีนอ ยกวาบริเวณทเี่ ปนทว่ี า งหรือพน้ื ผา สีขาว สว นที่ไมมเี ทียน เมอ่ื นาํ ไปยอม 
จะเปนสีพ้นื  

การทาํ บาติกพื้นดํา 
นาํ ผา มาลงเทยี นโดยการเขยี นเทยี น หรอื พมิ พล าย แลว ระบายสหี รอื แตม สใี น ลวดลาย 
จากนัน้ นาํ ไปยอ มสนี ํ้าเงินเขม   แกะเทียนหรือทําเทียนใหแ ตก โดยการนําผาไปแชใ นนํ้าผสม 
โซดาไฟ  หรือใชไมทุบผาใหเทียนแตก  และลางน้ําใหสะอาด  ลงเทียนปดสวนท่ีตองการ 
เกบ็ สเี ดมิ  เชน  ลวดลายทไ่ี ดแ ตม หรอื ระบายสสี ว นทปี่ ด เทยี นน ี้ คอื  สว นทไ่ี มต อ งการ ใหเ ปน สดี ํา 
หรือตดิ สียอมคร้งั ตอ ไป  จากนนั้ นาํ ไปยอมสนี ํา้ ตาล เสรจ็ แลวนาํ ไปขจดั เทยี นออกใหหมดจะ 
ปรากฏเปนสีน้ําเงนิ ในสว นท่ียอมคร้งั แรก 
การทําผา บาตกิ พื้นขาวและผา บาตกิ พ้ืนสีดํา มคี วามแตกตางกนั เฉพาะการลงเทยี น 
เทา นนั้  ขนั้ ตอนอน่ื  ๆ เหมือนกัน 


Click to View FlipBook Version