The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด

เทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด

เทคนิคการเพ้นทส์ ีอะครลิ กิ ลงบนกระเปา๋ ผา้ หรู ูด
Techniques for painting acrylic paint on a drawstring bag

ปนดั ดา อำ่ หลบุ
วัชรพงษ์ ปันชัย
วฒุ ชิ ยั บุญดล
วรวรรณ จนั ทร์หลวง
ศศิอญั ญ์ วงค์สิทธ์ิ
สุภาพร เพอเมีย

รายงานนี้เปน็ สว่ นหนึง่ ของการศกึ ษาตามหลกั สตู ร
ประกาศนยี บตั รวิชาชพี ชั้นสงู

สาขาวชิ า การโรงแรม ประเภทวิชา อุตสาหกรรมท่องเทย่ี ว
วิทยาลัยอาชีวศกึ ษาเชยี งใหม่
ปีการศกึ ษา 2563



เทคนิคการเพ้นทส์ ีอะคริลกิ ลงบนกระเป๋าผา้ หรู ูด
Techniques for painting acrylic paint on a drawstring bag

ปนดั ดา อ่ำหลบุ
วัชรพงษ์ ปันชัย
วฒุ ชิ ยั บุญดล
วรวรรณ จันทร์หลวง
ศศิอัญฐ์ วงคส์ ิทธ์ิ
สุภาพร เพอเมีย

รายงานนี้เปน็ สว่ นหนึ่งของการศึกษาตามหลักสตู ร
ประกาศนยี บัตรวิชาชพี ช้ันสงู

สาขาวชิ า การโรงแรม ประเภทวชิ า อตุ สาหกรรมท่องเทย่ี ว
วิทยาลัยอาชีวศกึ ษาเชยี งใหม่
ปีการศึกษา 2563



ชอื่ ผ้จู ดั สมั มนา : นางสาวปนดั ดา อ่ำหลุบ

วัชรพงษ์ ปันชยั

นายวฒุ ชิ ัย บญุ ดล

นางสาวศศอิ ญั ญ์ วงค์สิทธ์ิ

นางสาวสภุ าพร เพอเมีย

นางสาววรวรรณ จนั ทรห์ ลวง

หวั ขอ้ การจดั สัมมนา : เทคนคิ การเพน้ ทส์ ีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหรู ูด

สาขาวชิ า : การโรงแรม

ประเภทวชิ า : อุตสาหกรรมการทอ่ งเทีย่ ว

หวั หน้าแผนกวชิ า : นางอัปสร คอนราด

อาจารยป์ ระจำวชิ า : นางสาวนพรรนพ ดวงแกว้ กูล

อาจารย์ประจำวิชารว่ ม : นางอปั สร คอนราด

ปีการศึกษา : 2563

บทคัดย่อ

รายงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง เทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ท่ีเข้าร่วมสัมมนาเกิดความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับวิธีการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบน
กระเป๋าผ้าหูรูด เพ่ือให้ผู้เข้ารว่ มสัมมนาเกิดความคิดสรา้ งสรรค์ในการเพ้นท์สีอะครลิ ิก เพ่ือให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา
เกิดสมาธจิ ากการทำกิจกรรมการเพ้นท์สอี ะคริลิก ตลอดจนเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ทส่ี นใจ
ในเร่ืองของ เทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด การจัดสัมมนาไดจ้ ัดข้ึนใน วันจนั ทร์ ท่ี 25 เดือน
มกราคม พ.ศ. 2564 ชว่ งเวลา 14.00 - 18.00 น. มีผู้เข้ารว่ มสมั มนาจำนวนท้งั สน้ิ 48 คน คดิ เป็นร้อยละ 80 ของ
ผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งหมด ซึ่งเกิดความคาดหมาย ในการสัมมนาครั้งนี้ใช้เครื่องมือในการเก็บข้อมูลได้แก่
แบบลงทะเบียนผู้เข้าร่วมสัมมนา แบบทดสอบก่อนการสัมมนา แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบทดสอบ
ความรู้หลังเข้าร่วมสัมมนา ผ่านระบบออนไลน์ Google From ผลการดำเนินการพบว่า การสัมมนาเร่ือง
เทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด 1) สัมมนาเรื่องเทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้า
หูรูด ผู้เข้าร่วมสัมมนาเกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเพ้นท์สีมากขึ้น โดยมีความพึงพอใจเท่ากับ 4.76
ซึ่งอยู่ในระดับดี 2) สัมมนาเร่ืองเทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด สามารถนำไปประยุกต์ใช้
ในชีวิตประจำวันได้ ให้กับผู้เข้าร่วมสัมมนา โดยมีความพึงพอใจเท่ากับ 4.28 ซึ่งอยู่ในระดับดี 3) สัมมนาเรื่อง
เทคนิคการเพ้นทส์ ีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรดู วิทยากรมคี วามสามารถในการถา่ ยทอดให้ความรู้แก่นักศกึ ษา
เกีย่ วกบั เทคนคิ การเพ้นท์สีอะครลิ กิ โดยมีความพึงพอใจเท่ากบั 4.38 ซง่ึ อยูใ่ นระดบั ดี



The workshop report on the technique of painting acrylic paints on the
drawstring bag aims to provide the participants with knowledge and understanding on
how to paint acrylic on the drawstring bag so that The participants of the seminar were
creative in the acrylic paint to make the participants get drunk from the acrylic painting
activities as well as being useful and inspiring to the participants. Interested in the
technique of painting acrylic paint on the drawstring bag. The seminar was held on
Monday, January 25, 2021, from 2:00 pm to 6:00 pm. There were many participants. A
total of 48 people, representing the percentage of all seminar attendees, which were
expected in this seminar, used tools to collect data, including attendee registration
forms, pre-seminar quizzes, satisfaction assessments and quizzes. Knowledge after
participating in the Google From online seminar The results showed that the seminar on
the technique of painting acrylic paint on the drawstring bag 1) Seminar on the
technique of painting acrylic paint on the bag. Drawstring fabric. The participants of the
seminar gained knowledge and understanding about painting colors. 2) The seminar on
the technique of painting acrylic paint on the drawstring bag can be applied in daily life
to the participants of the seminar. With satisfaction equal to 428, which is level 3)
Seminar on Acrylic Painting Techniques on Drawstring Bags. The lecturers have the ability
to pass on knowledge to students on the technique of acrylic painting. Acrylic with
satisfaction equal to 4.33 which is good.



คำนำ

รายงานผลฉบับน้ีเป็นส่วนหน่ึงของรายวิชาสัมมนาเชิงปฏิบัติการวิชาชีพ รหัสวิชา 3701-
2007 โดยมีจุดประสงค์ เพ่ือให้ผู้ท่ีเข้าร่วมสัมมนาเกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการเพ้นท์สี
อะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด เพื่อให้ผู้เข้ารว่ มสัมมนาเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการเพ้นท์สีอะครลิ ิก
เพอ่ื ใหผ้ ู้เข้ารว่ มสมั มนาเกิดสมาธจิ ากการทำกิจกรรมการเพน้ ท์สอี ะคริลิก

ทั้งน้ี ในรายงานผลเล่มน้ีมีเน้ือหาซ่ึงประกอบไปด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ของ
การจัดสัมมนา แนวคิดทฤษฎีและงานศึกษาท่ีเก่ียวข้อง วิธีดำเนินการจัดสัมมนา ผลการจัดสัมมนา
สรุปผลอภิปรายและข้อเสนอแนะ คณะผู้จัดทำสัมมนา ได้เลือกหัวข้อนี้ในการทำสัมมนา เน่ืองจาก
เป็นเรือ่ งที่น่าสนใจ เป็นความรู้ใหม่ท่ีเหมาะแก่นักศึกษาสาขาวิชาการโรงแรม และสามารถนำไปใช้ให้
เกิดประโยชนใ์ นสายอาชพี ไดใ้ นอนาคต

คณะผู้จัดทำสัมมนา หวังว่ารายงานผลเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน นักเรียน นักศึกษา
ทีก่ ำลังหาข้อมูลเรื่องน้ีอยู่ หากมีขอผิดพลาดประการใด คณะผู้จดั ทำขออภัยมา ณ ทนี่ ดี้ ว้ ย

คณะผูจ้ ัดทำสัมมนา

สารบัญ ค

เร่อื ง หน้า
บทคัดย่อ ก
คำนำ ข
สารบัญ ค
สารบญั (ต่อ) ง
สารบญั ตาราง จ
สารบญั ภาพ ฉ
บทท่ี 1 บทนำ
1
1.1 หลกั การและเหตผุ ล 2
1.2 วตั ถุประสงค์ของการจัดสมั มนา 2
1.3 ขอบเขตสัมมนา 2
1.4 หวั ข้อเน้ือหาการสมั มนา 2
1.5 วทิ ยากร 2
1.6 ผลทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั 3
1.7 นยิ ามศพั ท์
บทท่ี 2 เอกสารและงานศึกษาทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 4
2.1 ความรเู้ กยี่ วกบั การจัดสมั มนา 12
2.2 องค์ประกอบของการจัดสัมมนา 17
2.3 รูปแบบของการจัดสัมมนา 21
2.4 ความรทู้ ัว่ ไปเกย่ี วกับสอี ะครลิ ิก 23
2.5 ความรูเ้ กยี่ วกับวงจรสแี ละหลักการผสมสี 24
2.6 ความรเู้ กยี่ วกับการเพ้นท์สี 25
2.7 งานวิจยั ที่เกย่ี วข้อง
บทที่ 3 วิธีดำเนนิ การสัมมนา 29
3.1 ประชากรกลุ่มตวั อย่าง 29
3.2 เคร่อื งมือในการศึกษา 29
3.3 การดำเนินการศกึ ษา 34
3.4 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 37
3.5 การวเิ คราะห์และสรุปผล

สารบัญ (ตอ่ ) ง

เร่อื ง หนา้
บทที่ 4 ผลการสัมมนา
40
4.1 ผลการวิเคราะหจ์ ำนวนผเู้ ข้าร่วมสมั มนา 41
4.2 ผลการวเิ คราะห์แบบสังเกตการณ์ 42
4.3 ผลการวเิ คราะหแ์ บบทดสอบก่อนและหลงั การสมั มนา 43
4.4 ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบความร้คู วามเข้าใจหลังสัมมนา 44
4.5 ผลการวเิ คราะหค์ วามพงึ พอใจของผเู้ ข้ารว่ มสมั มนา 45
4.6 ผลการวิเคราะห์ข้อเสนอแนะ
บทท่ี 5 สรปุ ผล อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ 47
48
5.1 สรปุ ผลสัมมนา 50
5.2 อภปิ รายผล
5.3 ขอ้ เสนอแนะในการสัมมนา
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก โครงร่างสมั มนา
ภาคผนวก ข หนังสือเชิญวิทยากร
ภาคผนวก ค เคร่อื งมือในการศึกษา
ภาคผนวก ง ภาพรวมการจัดสัมมนา
ภาคผนวก จ แบบบนั ทึกความรขู้ องผ้เู ข้ารว่ มสัมมนา
ข้อมูลวิทยากร
ประวตั ิผู้จัดทำ



สารบญั ตาราง หน้า
40
ตารางที่ 40
ตารางที่ 4.1 แสดงจำนวนและรอ้ ยละข้อมูลของผู้เข้าร่วมสัมมนาจำแนกตามตวั แปรเพศ 41
ตารางที่ 4.2 จำนวนและร้อยละของผเู้ ข้ารว่ มสมั มนาจำแนกตามตัวแปรอายุ 41
ตารางที่ 4.3 ผู้เขา้ ร่วมสัมมนามีสว่ นร่วมและให้ความร่วมมือในการทำกจิ กรรม 42
ตารางที่ 4.4 จำนวนและร้อยละของผู้เข้าร่วมสมั มนาจำแนกตามตัวแปรระดบั การศกึ ษา 42
ตารางที่ 4.5 จำนวนและร้อยละของผ้เู ข้าร่วมสมั มนาจำแนกตามตัวแปรสถานภาพ 42
ตารางที่ 4.6 จำนวนและร้อยละของผู้เขา้ ร่วมสัมมนาจำแนกตามตวั แปรระดบั การศึกษา
ตารางท่ี 4.7 แสดงความถแ่ี ละร้อยละของผูส้ อบผา่ นการทดสอบความรู้กอ่ น 43
และหลังการสมั มนาของผู้รว่ มสัมมนา 43
ตารางท่ี 4.8 แสดงผลการตอบคำถามขอ้ ใดไม่ใชแ่ มส่ ีไดม้ ีกี่แบบ
ตารางที่ 4.9 แสดงผลการตอบคำถามสีแทท้ ่ีถกู ผสมด้วยสขี าว 43
จนสีออ่ นหรือจางเชน่ สเี ทาสีชมพูเรยี กวา่ อะไรไดม้ กี ี่แบบ 44
ตารางท่ี 4.10 แสดงผลการตอบคำถามสใี ดคือสีโทนเย็นได้มีกแี่ บบ
ตารางท่ี 4.10 แสดงผลการตอบคำถามสีแท้ที่ถูกผสมด้วยสดี ำ 44
จนเปน็ สแี กเ่ รียกวา่ อะไรได้มีก่ีแบบ
ตารางท่ี 4.11 แสดงผลการตอบคำถามสีท่ยี งั ไม่ถกู สีอ่นื ผสมเป็นลักษณะของสแี ท้ 44
ทีม่ ีความสะอาดตาสดใสเชน่ สีแดงเหลอื งนำ้ เงินเรยี กว่าอะไรไดม้ กี ่ีแบบ
ตารางที่ 4.12 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของผเู้ ข้าร่วมสัมมนา
เร่อื งเทคนิคการเพ้นทส์ ีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด



สารบญั ภาพ

ภาพที่ หน้า

ภาพท่ี 2.1 แสดงภาพวงจรสี 23

ภาพท่ี 3.1 แสดงภาพการประชุมและคดิ หัวข้อการจดั สัมมนา 29

ภาพที่ 3.2 แสดงภาพเอกสารการเสนอโครงรา่ งท่ผี า่ นการอนุมัติให้จัดการสัมมนา 30

ภาพที่ 3.3 แสดงภาพการวางแผนดำเนินการจดั สมั มนา 30

ภาพที่ 3.4 แสดงภาพเอกสารบนั ทกึ ข้อความขอเชญิ วทิ ยากร 31

ภาพที่ 3.5 แสดงภาพการจัดเตรยี มอุปกรณ์ในการจัดสมั มนา 31

ภาพที่ 3.6 แสดงภาพการลงทะเบียนของผเู้ ข้าร่วมสมั มนา 32

ภาพท่ี 3.7 แสดงภาพพธิ ีเปดิ การประชมุ สัมมนา 32

ภาพท่ี 3.8 แสดงภาพวิทยากรบรรยายใหค้ วามรู้ 32

ภาพท่ี 3.9 แสดงภาพอาหารว่าง 33

ภาพที่ 3.10 แสดงภาพผูเ้ ขา้ ร่วมสมั มนาลงมือปฏบิ ัติวาดรูป 33

และเพน้ ท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหรู ดู

ภาพที่ 3.11 แสดงภาพพธิ ีปดิ การประชุมสมั มนา 33

ภาพท่ี 3.12 แสดงภาพคิวอารโ์ ค้ดการลงทะเบียนเขา้ ร่วมสัมมนา 34

ภาพท่ี 3.13 แสดงภาพคิวอาร์โค้ดแบบทดสอบก่อนการสัมมนา 35

ภาพที่ 3.14 แสดงภาพควิ อาร์โค้ดแบบทดสอบก่อนการสมั มนา 36

ภาพที่ 3.15 แสดงภาพคิวอาร์โคด้ แบบประเมนิ ความพงึ พอใจและแบบทดสอบหลังการสมั มนา 37

บทท่ี 1
บทนำ

1.1 หลกั การและเหตผุ ล
ในปัจจุบันวิถีชีวิตของผู้ในสังคมนั้น เมื่อจับจ่ายซ้ือสินค้าจากร้านค้าไม่ว่าจะเป็นสินค้าท่ีมี

ขนาดเลก็ หรือใหญ่ทางร้านค้ากม็ กั จะนำสินคา้ น้นั ใส่ถงุ พลาสติกใหก้ ับผู้รับสนิ ค้าจนเปน็ ปกติ เน่ืองจาก
ถุงพลาสติกนั้นมีราคาถูก น้ำหนักเบา แต่ข้อเสียคือใช้ได้เพียงไม่ก่ีครั้งก็เกิดการฉีกขาดและยังส่งผล
กระทบให้กับโลกทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เนื่องจากถุงพลาสติกเป็นส่ิงที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ถ้า
หากผู้คนยังคงใช้ถุงพลาสติกและมีแนวโน้มท่ีจะมีปริมาณเพ่ิมมากขึ้น ก็จะส่งผลกระทบรุนแรงกับ
ส่งิ แวดลอ้ มของโลกมากข้ึนเร่อื ย ๆ ทางรฐั บาลจึงมแี นวคดิ ลดการใชถ้ ุงพลาสติกโดยการให้ผู้รบั บริการ
นน้ั นำถงุ ผา้ มาใช้ในการใส่สินคา้ ของตนเองท่ีซื้อกลับไป เพอื่ ลดขยะและถือเป็นการรณรงค์การใช้ถุงผ้า
แทนทุกพลาสติก เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนและถือเป็นการปกป้องมลภาวะสิง่ แวดล้อมจากอันตรายท่ี
เกดิ จากการฝังถุงพลาสตกิ ในดิน

จากการส่งเสริมการใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ทำให้ผู้คนให้ความสนใจและใส่ใจการใช้ถุงผ้า
แทนถุงพลาสติกมากยิ่งข้ึน ซึ่งการซ้ือสินค้าแต่ละคร้ังก็จะนำถุงผ้ามาใส่สินค้าที่ซื้อจากร้านค้า
นอกจากจะใส่ของท่ีซื้อแล้วถุงผ้ายังสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกมากมายไม่วา่ จะเป็น การพกพาเพ่ือใส่
สัมภาระของตนเอง การถือใส่ของ ไปวัด หรือจะเป็นการพกพาใส่ของไปท่องเที่ยวที่ต่างๆก็สามารถ
ใช้ได้ และสามารถเลือกใช้ได้ตรงความต้องการ เพราะกระเป๋าผ้ามีหลากหลายรูปแบบตามลักษณะ
การใช้งาน เช่น แบบสะพายด้านข้าง แบบคาดเอว แบบสะพายหลัง หรือแบบถุงหูรูด ถุงผ้านอกจาก
จะใช้แทนถุงพลาสติกหรือใช้ประโยชน์อื่น ๆ แล้ว ยังสามารถนำมาต่อยอดเพ่ือเพิ่มมูลค่าและสร้าง
อาชีพให้กับผู้ที่สนใจได้ เช่น การปกั ลวดลายต่างๆ การสกรสี กระเปา๋ หรอื จะเปน็ การเพน้ ท์กระเปา๋ ผ้า
โดยใช้สอี ะคิลิก เป็นต้น

ดังน้ัน คณะผู้จัดทำจึงมีความสนใจที่จะนำแนวคิดการใช้ถุงผ้าแทนทุกพลาสติกเพื่อช่วยลด
ภาวะโลกร้อน โดยเลือกกระเป๋าผ้าแบบหูรูดเพ่ือผู้ที่เข้าร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการได้ลงมือปฏิบัติและ
ได้เรียนรู้ถึงเทคนิคการเพ้นท์สีอะคิลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด เพื่อให้กระเป๋าดูน่าสนใจและน่าใช้มาก
ย่ิงข้ึน และยังเป็นการเสริมสร้างให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเกิดความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงการฝึกสมาธิ
และยังเป็นแนวทางในการต่อยอดการทำกระเป๋าผ้าแบบตา่ ง ๆ เพ่ือสร้างอาชพี ในอนาคตและสานต่อ
แนวคดิ การใชท้ กุ ผา้ แทนทุกพลาสติกเพื่อชว่ ยลดภาวะโลกรอ้ นซ่งึ การจดั สมั มนาเชิงปฏิบัติการในครงั้ นี้
เป็นการให้ความรู้ ให้ประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมการสัมมนา โดยท่ีผู้จัดทำสัมมนาจะเน้นให้ผู้เข้าร่วม
สัมมนาได้ทำกิจกรรมด้วยตนเองเพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง และเกิดความ
ภาคภมู ิใจในผลงานของตนเอง

2

1.2 วัตถุประสงคข์ องการจดั สมั มนา
1.2.1 เพอ่ื ใหผ้ ทู้ เ่ี ข้ารว่ มสัมมนาเกิดความรู้ ความเขา้ ใจเกีย่ วกบั วิธีการเพ้นทส์ อี ะครลิ กิ ลงบน

กระเป๋าผา้ หูรดู
1.2.2 เพ่อื ใหผ้ ู้เข้ารว่ มสมั มนาเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการเพ้นท์สอี ะครลิ ิก
1.2.3 เพือ่ ใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมสัมมนาเกิดสมาธิจากการทำกิจกรรมการเพน้ ท์สีอะคริลิก

1.3 ขอบเขตสัมมนา
1.3.1 เชิงปรมิ าณ
นกั ศึกษาสาขาวชิ าการโรงแรม ระดับประกาศนยี บัตรวิชาชพี ชั้นสงู ชั้นปที ่ี 2 ห้อง 2 และ

ห้อง 3 และผทู้ ่ีสนใจเขา้ ร่วมสัมมนาออนไลน์ จำนวน 48 คน
1.3.2 เชงิ คณุ ภาพ
ผ้เู ขา้ รว่ มสัมมนาออนไลน์สามารถวาดรูปและเพน้ ท์รปู ลงบนกระเปา๋ ผ้าหรู ดู ได้
1.3.3 ระยะเวลาและสถานทใ่ี นการดำเนนิ งาน
ระยะเวลาดำเนินงาน ตั้งแตว่ ันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 ถงึ วันท่ี 8 กุมภาพันธ์ 2564
สถานทดี่ ำเนินงาน ห้องประชุมอาคารปฏบิ ัติการโรงแรม อาคาร 8 ชน้ั 2 หอ้ ง 821

วทิ ยาลยั อาชวี ศึกษาเชยี งใหม่

1.4 หวั ขอ้ เนื้อหาการสมั มนา
1.4.1 แมส่ ีและการผสมสี
1.4.2 เทคนคิ การวาดภาพและการออกแบบ
1.4.3 อุปกรณท์ ี่ใช้ในการเพ้นทส์ กี ระเปา๋

1.5 วทิ ยากร
ครู: จนั ทนุช โกมลเสนาะ
ตำแหนง่ : ข้าราชการครู สาขาวิชา การออกแบบ
สถานทที่ ำงาน: วทิ ยาลัยอาชวี ศกึ ษาเชียงใหม่

1.6 ผลท่คี าดวา่ จะไดร้ ับ
1.6.1 ไดก้ ระเป๋าผ้าท่สี วยงาม
1.6.2 ผเู้ ข้ารว่ มสัมมนาออนไลน์เกิดความภาคภมู ิใจในช้นิ งานของตน
1.6.3 ผ้เู ขา้ ร่วมสัมมนาออนไลน์สามารถนำทักษะความร้ทู ี่ไดร้ ับไปเป็นแนวทางในการ

ประกอบอาชพี อิสระ

3

1.7 นิยามศัพท์
เทคนคิ การเพ้นทส์ ีอะครลิ กิ ลงบนกระเป๋าผา้ หูรดู หมายถึง การนำกระเป๋าผา้ หูรดู มาออกแบบ

ลวดลายโดยไม่ได้กำหนดว่ากระเป๋าผ้าหูรูดทุกใบจะต้องมีลายท่ีเหมือนกัน แต่เป็นการออกแบบลาย
ตามความชอบของแต่ละบคุ คล เมื่อออกแบบลายของกระเปา๋ แล้ว สามารถวาดลายลงบนกระเปา๋ และ
ทำการลงสีถุงผ้าตามทเี่ ราออกแบบถุงผ้าจงึ เปน็ ถุงผา้ ท่มี ีลวดลายไม่ซำ้ กนั ทำให้เพมิ่ มูลคา่ ให้กบั ชิน้ งานนนั้ ๆ

บทที่ 2
เอกสารและงานศกึ ษาท่ีเกย่ี วข้อง

ในการศึกษาเร่ือง เทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด ผู้จัดทำได้รวบรวมแนวคิด
ทฤษฎีและหลักการตา่ งๆ จากเอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั หลักทฤษฎแี ละงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้อง ดงั นี้

2.1 ความรู้เก่ียวกับการจดั สัมมนา
2.2 องค์ประกอบของการจัดสมั มนา
2.3 รูปแบบของการจดั สัมมนา
2.4 ความร้ทู ั่วไปเกยี่ วกับสอี ะคริลิก
2.5 ความรเู้ กีย่ วกบั วงจรสีและหลักการผสมสี
2.6 ความรู้เกีย่ วกับการเพน้ ทส์ ี
2.7 งานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้อง

2.1 ความรู้ทั่วไปเก่ยี วกับการสัมมนา
ความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับการสัมมนา เป็นพื้นฐานเบ้ืองต้นในการเรียนรู้วิธีการสัมมนาซ่ึงจะก่อให้เกิด

ความเข้าใจ การร่วมคิดร่วมวิเคราะห์ปรึกษาและเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่ม เพื่อหาทางออกของปัญหา
ร่วมกนั สร้างปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างกนั ดว้ ยกนั ส่ือสารซ่ึงเปน็ ทีม่ าของคำว่า สัมมนา

2.1.1 ความหมายของการสัมมนา
เทคนิคการหล่อหลอมแนวความคิดในรูปของการประชุมกลุ่ม ร่วมคิดหาแนวทางจาก
การหารือและแนวคิดตามหลักการ มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหาซ่ึงได้มีนักวิชาการได้ให้ความหมาย
ดังต่อไปน้ี
สมคิด แก้วสนธแิ์ ละสุนันท์ ปัทมาคม (2545 หน้า 45) กล่าววา่ การสัมมนาเปน็ การจัด
ในลักษณะอภิปรายและแลกเปล่ียนความคิดเห็น ประสบการณ์หรือเป็นการระดมความคิดเร่ืองใดเรื่อง
หน่ึงเหมาะสำหรับกรณีที่ผู้เข้าร่วมสัมมนามีประสบการณ์ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนมีความเท่าเทียมกันใน
การแสดงความคิดเห็นไม่มีวทิ ยากรมี แต่ผู้ประสานงานหรือผู้จัดดำเนินการ คอยอำนวยความสะดวกและ
ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะเลือกผู้นำกลุ่มการสัมมนาจากผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วยกันเพื่อเป็นตัวแทนในการ
รายงานการอภปิ รายและดำเนนิ การสัมมนาไปตามตารางที่กำหนดไว้

5

ราชบัณฑิตยสถาน (2546 หน้า 1170) การสัมมนาเป็นการประชุมรูปแบบหน่ึงที่มี
วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดและหาข้อสรุปหรือข้อเสนอแนะในเร่ืองใดเรือ่ งหน่งึ ผลสรุปที่
ได้ถือวา่ เป็นเพียงข้อเสนอแนะส่วนผูท้ ีเ่ กี่ยวข้องจะนำไปปฏิบัตติ ามหรอื ไม่ก็ได้

ไพพรรณ เกียรติโชติชัย. (2548 หน้า 7) การสัมมนาคือการที่กลุ่มบุคคลได้ร่วมใจ
พยายามเสาะแสวงหาความรู้เรื่องใดเรื่องหน่ึง แล้วพยายามแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดท่ีแต่ละคนศึกษา
มาเพื่อหาแนวทางหาข้อสรุปในเร่ืองน้ัน ๆ ทำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถใช้ความรู้จากการสัมมนาไป
ปฏิบตั หิ น้าทีข่ องตนอยา่ งมีประสิทธภิ าพและเกิดประโยชน์ตอ่ สว่ นรวมใหม้ ากทีส่ ดุ

นิรันดร์ จุลทรัพย์ (2550 หน้า 270) การสัมมนาเป็นท้ังรูปแบบของการประชุมร่วมกัน
ของคณะบุคคล เป็นกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งในการจัดการศึกษาระดับสูง
เปน็ กระบวนการเรยี นรหู้ รอื แกป้ ญั หาโดยอาศยั กระบวนการกลุ่ม (Group Process) เปน็ สำคัญ

ผล ยาวิชัย (2553 หน้า 3) การสัมมนาคือสถานการณ์การประชุมกลุ่มบุคคล ที่มีพ้ืน
ความรู้ความสามารถความสนใจประสบการณ์ในงานสาขาวิชาชีพเดียวกัน มีเงื่อนไขจุดมุ่งหมายหรือ
วตั ถุประสงค์เดียวกันเพ่ือการศึกษาค้นควา้ เรื่องใดเร่ืองหน่ึงร่วมกัน สำรวจเรียนรู้แลกเปล่ียนความคิดเห็น
ซึง่ กันและกันวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาท่ีประสบอยอู่ ย่างเป็นระบบโดยคำนึงถึงบทบาท
ของการมสี ว่ นร่วมจากทกุ สว่ นตามหลกั การประชาธิปไตยภายใตเ้ วลาทเี่ หมาะสม

ไพโรจน์ เนียมนาค (2554 หน้า 2) การสัมมนา“ Seminar หมายถึงการประชุมเพ่ือ
แลกเปลี่ยนความรู้ และความคิดเห็นเพ่ือหาข้อสรุปในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งผลของการสัมมนาถือว่าเป็นเพียง
ข้อเสนอแนะ ผทู้ ี่เกยี่ วขอ้ งจะนำไปปฏบิ ตั ิตามหรือไม่ก็ได้โดยมจี ุดมุ่งหมายเพ่อื อบรมฝึกฝนชแ้ี จงแนะนำส่ัง
สอนปลูกฝังทัศนะคติและให้คำปรึกษาในเร่ืองท่ีเก่ียวข้องหรือแสวงหาข้อตกลงด้วยวิธีการอภิปราย
แลกเปล่ียนความคิดเห็นอยา่ งเสรีซักถามถกเถียงปรึกษาหารือภายในหัวข้อที่กำหนดซึ่งผลจากการสัมมนา
จะช่วยใหร้ ะบบและวิธีการทำงานมปี ระสทิ ธภิ าพสูงข้ึน

จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า การสัมมนาหมายถึงการประชุมเพ่ือแสวงหาความรู้
แลกเปลย่ี นเรยี นรู้ และความคิดเหน็ โดยมีวัตถปุ ระสงค์ หรอื การศึกษาในเรื่องเดียวกันรวมท้ังรว่ มวเิ คราะห์
ปัญหาหาแนวทางแก้ไข และหาข้อสรุปร่วมกันเพื่อให้เปน็ ประโยชน์ต่อส่วนรวมร่วมกันดงั นั้นการสอนวชิ า
สัมมนาเป็นกระบวนการหนึ่งของกิจกรรมการเรียนรู้ศึกษาค้นคว้าโดยวิธีการต่างๆเป็นการฝึกทักษะการ
คิดอย่างเป็นระบบการวิเคราะห์ปัญหาและการเสนอแนวทางแก้ไขการแสดงออกโดยการพูดการสนทนา
การอภิปรายที่เก่ียวกับเน้ือหาของเร่ืองน้ัน ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปของแนวทางที่มีความเป็นไปได้โดยวิธีการ
ปรกึ ษาหารอื ร่วมกนั

6

2.1.2 ความสำคัญของการสัมมนา
กระบวนการดำเนินงานท่ีดีควรจะมีการวางแผนก่อนการปฏิบัติงานและการตัดสินใจท่ี

เหมาะสมโดยการคิดร่วมกันเพ่ือหาข้อสรุปท่ีดีที่สุดแต่ละเร่ืองอาจใช้วิธีการประชุมการสนับสนุนจากผู้มี
ส่วนไดส้ ่วนเสียและผู้ท่เี ก่ยี วข้องจึงถือวา่ การประชมุ มคี วามสำคัญมผี ใู้ หค้ วามหมายไว้หลายทัศนะดังน้ี

เกษ กานดาสุภาพจน์ (2549: 1) กล่าวว่าการประชุมสัมมนาเป็นเทคนิคของการให้
ได้มาซึ่งแนวคิดและประสบการณ์เพื่อเป็นแนวทางของการหาข้อสรุปและนำไปใช้แก้ไขหรือพัฒนาให้มี
ประสิทธิภาพย่งิ ขึ้น

ปาน กิมปีและกรรณิการ์ แย้มเกสร (2545 หน้า 586) กล่าวว่าการประชุมมี
ความสำคัญเป็นการแสวงหาแนวทางในการปฏิบัติงานเสนอแนวคิดการตัดสินใจและการแก้ปัญหาในการ
ประกอบกิจกรรมต่างๆน้ัน จะต้องมีการปรึกษาหารือเป็นหมู่คณะ เพื่อให้ได้ข้อสรุปหรือแนวทางท่ีเป็นท่ี
ยอมรับของบุคคลโดยส่วนรวมหรือเป็นความเห็นชอบของคนส่วนใหญ่ในกลุ่มจึงเป็นเคร่ืองมือสำคัญที่จะ
ทำให้คนในองค์กรมคี วามเขา้ ใจตรงกนั และลดความขดั แยง้

สมคิด บางโม (2551 หน้า 159) กล่าวว่าการทำงานเป็นกลุ่มหรือเป็นคณะบุคคล
จำเป็นตอ้ งมกี ารประชมุ ปรกึ ษาหารอื กนั มีความเข้าใจตรงกนั จงึ จะทำให้งานสำเรจ็ ตามเปา้ หมาย

สมิตร สัชกร (2552 หน้า 16) กล่าววา่ ความสำคัญของการประชุมเป็นกลไกสำคัญของ
ทุกองค์กรในระดับท้องถ่ินระดบั ประเทศและระดับโลกเป็นศูนย์รวมของความคิดการตัดสินใจการกำหนด
นโยบายการลงมติการริเริ่มสร้างสรรค์การวิเคราะห์การวิจัยและการแก้ไขปัญหาต่างๆด้วยเหตุท่ีการ
ประชุมมีความสำคัญเราจึงต้องใช้การประชุมให้เกิดประโยชน์อย่างประสิทธิภาพโดยไม่สำคัญผิดว่าเมื่อมี
การประชุมก็เป็นการเพียงพอแล้ว จากแนวคิดท่ีกล่าวมาข้างต้นสรุปให้เห็นได้ว่าความสำคัญของการ
ประชุมสัมมนามดี งั น้ี

1) เป็นการติดต่อส่ือสารที่รวดเร็วเมื่อบุคลากรไดม้ าพบปะพูดคุยแบบเผชิญหน้าประชุม
ใต้ตอบกันในทันทที ันใดทำความเข้าใจกนั ได้ในเวลาอันสน้ั ไม่ตอ้ งเสยี เวลาในการสื่อสารมาก

2) เป็นการระดมความคิดเห็นแลกเปล่ียนประสบการณ์หาข้อสรุปหรือแนวทางในการ
ตัดสินใจใหบ้ รรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีตงั้ ไวเ้ ป็นอยา่ งดี

3) เป็นสื่อกลางในการพบปะแลกเปล่ียนข่าวสารความรู้ ฯลฯ ซ่ึงผู้เก่ียวข้องจะมีโอกาส
ชแ้ี จงข้อซักถามข้อสงสัยได้ ก่อให้เกิดความรู้สึกร่วมแรงร่วมใจมีความรู้สึกเป็นส่วนหน่ึงของหน่วยงานนั้น
ทำให้เกิดการเรียนรู้ถึงวิธีการปรับตนเองให้เข้ากับผู้อื่นและทราบข่าวสารเรื่องราวความเคลื่อนไหวใน
กิจการตา่ งๆในสงั คมทเ่ี กีย่ วข้อง

7

4) เป็นเทคนิคของการให้ได้มาซึ่งความรู้แนวคิดและประสบการณ์ เพ่ือเปน็ แนวทางของ
การหาขอ้ สรุปและนำไปใช้แกไ้ ขหรอื พัฒนาให้มปี ระสิทธิภาพยง่ิ ขึน้

5) เป็นเครอ่ื งมอื สำคญั ในการปฏบิ ตั ิหน้าท่ีเอ้อื อำนวยในการปฏบิ ัตงิ านและการถา่ ยทอด
ความรหู้ รอื ขา่ วสารตา่ งๆเชน่ การประชุมชแี้ จงเกย่ี วกบั นโยบายตา่ งๆของหนว่ ยงานหรอื การประชมุ ทาง
วิชาการ

ผลยา วิชัย. (2553 หน้า 4) กล่าวว่า การปฏิบัติงานในชีวติ ประจำวันปัจจุบันต้องมีการ
ปรบั ตัวอย่ตู ลอดเวลา เพอ่ื ให้เกดิ ความสมั พนั ธ์กับการเปลี่ยนแปลงมีการแข่งขันดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ
การแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กรตลอดเวลา มีความ
จำเป็นตอ่ การประกอบอาชีพของบุคคลทั่วไปมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมการเมืองและ
เทคโนโลยีของประเทศการดำเนินชีวิตการประกอบอาชีพจำเป็นท่ีจะต้องมีการแข่งขันในทุกๆด้านโดย
มุ่งหวังที่จะให้อาชีพที่ตนยึดถือปฏิบัติมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นที่นิยมชมชอบของผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องสิ่งท่ี
ตามมาก็คือความสำเร็จจากการดำเนินงานน่ันเองอันหมายถึงการอยู่ดีกินดีบรรลุผลสำเร็จในกิจการท่ี
ปฏิบตั เิ ปน็ อยา่ งดี

สังคมปจั จุบันจึงให้ความสำคัญในข้อมูลข่าวสาร (Information Society) เป็นอย่างมาก
ซึ่งโลกปัจจุบันต้องยึดข้อมูลท่ีเป็นจริง และทันสมัยอยู่เสมอท้ังนี้เพราะเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารมีความ
ทันสมัยก้าวหน้า สามารถตดิ ต่อสื่อสารไดอ้ ย่างรวดเร็วมคี วามคล่องตวั สูงกจิ การใดท่ีมีข้อมูลขา่ วสารที่เป็น
ปัจจุบันมากเท่าใดกิจกรรมหรือกิจการนั้น ๆ ย่อมมีโอกาสท่ีจะพัฒนาตัวเองให้เจริญก้าวหน้ามากย่ิงขึ้น
สถานประกอบการหรือองคก์ รธรุ กิจตา่ งๆจงึ มีความจำเปน็ ทีจ่ ะตอ้ งขวนขวายเสาะแสวงหาขอ้ มลู ข่าวสารที่
ทันสมัยเพ่ือส่งผลต่อการพัฒนาบุคลากรและพัฒนาทรัพยากรต่างๆ ของหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพมี
คุณภาพในการบรหิ ารจัดการมากที่สดุ เท่าท่ีจะมากได้

การสัมมนาหรือการประชุมสัมมนา จึงเป็นรูปแบบหน่ึงหรือเทคนิคของการให้ได้มาซึ่ง
ความรู้แนวคิดและประสบการณ์โดยอาศัยการประชุมพบปะพูดคุยบรรยายซักถามอภิปรายระดมความ
คิดเห็นท้ังผู้นำเสนอวทิ ยากรหรือผู้เชี่ยวชาญรวมทั้งผู้ฟังต่างมีโอกาสไดแ้ ละเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่ง
กันและกันเพ่ือเป็นหนทางของการหาข้อสรุปและนำข้อมูลที่ได้จากการสัมมนาไปปรับปรุงแก้ไขปัญหา
หรือพัฒนาบุคลากรและทรัพยากรอ่ืน ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึนต่อไปนำมาซ่ึงความสำเร็จมาสู่
เจ้าของกจิ การสถานประกอบการและองคก์ รต่างๆ

สรปุ ได้ว่าการสัมมนามคี วามสำคัญต่อการพฒั นาองคก์ ร และการพฒั นาบคุ ลากรเพอื่ เพ่ิม
ประสิทธิภาพการทำงานโดยการจัดกระบวนการสัมมนาเป็นส่วนสำคัญที่จะเสริมสร้างประสิทธิภาพด้าน
การบริหารจัดการให้เกิดรูปแบบการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ให้เกิดความรู้ แนวคิดประสบการณ์โดยการ

8

พูดคุยบรรยายซักถามอภิปรายระดมความคิดเห็นภายในกลุ่มและวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิท้ั งประสบการณ์
และความรู้ต่อองค์กรและบคุ ลากรตอ่ ไป

2.1.3 ประโยชน์ของการสมั มนา
ผลของการจัดสัมมนาหรือการจัดการเรียนการสอนสัมมนากอ่ ใหเ้ กดิ ความเจรญิ ก้าวหน้า

ทางวิชาการ อันเป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าเพื่อเสนอบทความทางวิชาการะการประมวลข้อเท็จจริง
ทางวิชาการใหม่ ๆ เพื่อนำเสนอในรูปของเอกสารประกอบการสัมมนาสามารถนำไปเป็นแนวทางในการ
ปรับปรุงแก้ปัญหาหรือสร้างสรรค์การทำงานดังได้มีนักวิชาการกล่าวถึง ประโยชน์ของการสัมมนา
ดงั ตอ่ ไปน้ี

เกษกานดา สภุ าพจน์ (2549 หนา้ 3) ไดก้ ล่าวถึงประโยชนข์ องการสัมมนาดังน้ี
1) ผ้จู ัดสัมมนาหรือผู้เรียนสามารถจดั สัมมนาได้อย่างมีประสิทธภิ าพ
2) ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับความรูแ้ นวคิดจากการสัมมนาสามารถนำไปปรับใช้ใน

การทำงานและชีวติ ส่วนตวั ได้
3) ผลจากการที่ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับความรู้และความสามารถมากขึ้นจากการ

สมั มนาชว่ ยทำให้ระบบและวิธกี ารทำงานมีประสทิ ธิภาพสูงข้ึน
4) การจัดสัมมนาจะช่วยแบ่งเบาภาระการปฏิบตั ิงานของผู้บังคับบัญชาเพราะผู้

ได้บังคับบัญชาได้รับการสัมมนาทำให้เข้าใจถึงวิธีการปฏิบัติงานตลอดจนปัญหาต่างๆและวิธีการแก้ไข
ปรบั ปรุงและพัฒนางานใหไ้ ดผ้ ลดี

5) เป็นการพัฒนาผู้ปฏิบัติงานให้พร้อมอยู่เสมอที่จะก้าวไปรับตำแหน่งที่สูง
กว่าเดิมหรืองานท่ีจำเป็นต้องอาศัยความรู้ทางด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งผู้ปฏิบัติงานจะไม่รู้สึกลำบากใน
การปรับตัวเพราะไดร้ บั ความรใู้ หม่ ๆ ตลอดเวลา

6) เป็นการส่งเสริมความก้าวหน้าของผู้ปฏิบัติงานเพราะโดยปกติแล้วการ
พจิ ารณาเลอ่ื นตำแหน่งผูท้ ีไ่ ดร้ ับการสมั มนายอ่ มมโี อกาสได้รบั การพจิ ารณากอ่ น

7) เกิดความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์เป็นผลให้เกิดแรงบันดาลใจมุ่งกระทำกิจกรรม
อันดงี ามให้สงั คม

8) สามารถสร้างความเข้าใจอนั ดีงามต่อเพือ่ นร่วมงานมีมนุษย์สัมพันธ์เกิดความ
ร่วมมือร่วมใจในการทำงานสามารทำงานเป็นทมี ได้เปน็ อย่างดี

9) เกิดความกระตือรือร้นกล้าคิดกล้าทำกล้าตัดสินใจมีความรับผิดชอบรู้จัก
ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นรู้จักใช้ดุลยพินิจวิเคราะห์ปัญหาสามารถแก้ปัญหาในการทำงานและเกิด
ภาวะผู้นำ

9

ผล ยาวิชัย (2553 หนา้ 5) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการสัมมนาไว้ดังนี้
1) เป็นการแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารระหว่างผู้เข้าสัมมนาทำให้มีความเข้าใจ

ข้อเทจ็ จรงิ ตา่ งๆ ดีขึ้นซ่ึงจะทำใหเ้ กดิ ความรว่ มมือเพื่อความสำเร็จตอ่ ไป
2) เป็นการร่วมกันแก้ปัญหาโดยผนึกความคิดความรู้และประสบการณ์ของคน

หลายคนเข้าด้วยกันซึ่งย่อมได้ผลดีกว่าคน ๆ เดียวและเป็นการชักจูงให้หลายคนเข้ามามีส่วนร่วมในการ
รับผดิ ชอบ

3) ก่อให้เกิดความรู้สึกร่วมแรงร่วมใจมีความรู้สึกเป็นส่วนหน่ึงของกิจกรรมน้ัน
ๆ เพราะได้รับทราบเรือ่ งราวและมสี ่วนเป็นผู้กำหนดเกี่ยวกบั ความเคล่อื นไหวเหลา่ นัน้ อยดู่ ้วย

4) เป็นการชวยผ่อนผันหรือทุเลาปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้เพราะผู้เข้า
สัมมนาทมี่ ีปญั หาไดม้ โี อกาสระบายความอดั อ้นั ตันใจบ้างแลว้

5) เป็นการช่วยให้ผู้เข้าสัมมนาได้ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นซึ่งจะทำให้มีทัศนะที่
กวา้ งขวางข้นึ และเกิดแนวคิดของตนเอง

6) ช่วยในการประสานงานได้ดีถ้าผู้เข้าสัมมนาจากสถานที่หลายแห่งด้วยกัน
ความสมั พันธท์ ่เี กดิ ขน้ึ ในระหวา่ งประชมุ กลมุ่ ยอ่ ยจะช่วยให้มีความเข้าอกเขา้ ใจเหน็ อกเห็นใจกนั

ไพโรจน์ เนียมนาศ (2554 หน้า 3) ได้กล่าวไว้ว่าการสัมมนาและการฝึกอบรมเป็น
กิจกรรมท่ีสำคัญยิ่งในที่ทำงานร่วมกันซึ่งต้องอาศัยความคิดร่วมกันด้วยผลท่ีได้จากการสัมม นาและ
ฝึกอบรมทุกคนจะได้รับเช่นเดียวกันไม่อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสามารถสรุปประโยชน์ของการสัมมนาและ
ฝกึ อบรมทว่ั ไป มีดังน้ี

1) เปิดโอกาสให้สมาชิกมีการรับผิดชอบร่วมกันในการดำเนินงานเพราะถ้าผู้
หน่ึงผู้ใดตัดสินใจตามลำพังและเกิดผิดพลาดข้ึนผู้นั้นจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด แต่ถ้าเป็นมตขิ องที่ประชุม
ทุกคนจะต้องรับผิดชอบรว่ มกัน

2) เป็นเครื่องมือสำคัญในการกระจายข่าวสารต่างๆไปได้ทุกทิศทางโดยแจ้งให้ผู้
เขา้ ประชมุ ทราบแล้วนำไปถา่ ยทอดต่อไปนับวา่ เปน็ การประชาสัมพันธ์ขา่ วสารที่ดีอกี วิธีหนึง่

3) ช่วยให้การตัดสินใจรอบคอบย่ิงขึ้นเพราะการวินิจฉัยคนเดียวอาจทำให้เกิด
ความผดิ พลาดเนื่องจากขอ้ จำกัด ทางความร้คู วามคดิ ประสบการณแ์ ละอ่นื ๆ

4) ผ้เู ข้าสมั มนาหรือฝึกอบรมได้มโี อกาสรับฟังความคิดเหน็ ของผู้อืน่ ทำใหต้ นเอง
มที ัศนะท่ีกว้างขวางขนึ้

10

5) เป็นโอกาสดีที่ผู้เข้าร่วมการสัมมนาและฝึกอบรมจะได้พบปะสังสรรค์
แลกเปล่ยี นความคิดเหน็ ในเรอื่ งตา่ งๆทงั้ เร่ืองส่วนตวั และเร่อื งหน้าท่กี ารงานจะก่อให้เกดิ ความรู้สกึ ร่วมแรง
รว่ มใจสร้างความรสู้ กึ เป็นสว่ นหนงึ่ ของหน่วยงานและช่วยให้เกดิ การประสานงานทีด่ ใี นโอกาสตอ่ ไป

6) ชว่ ยเพม่ิ ผลผลิตทัง้ ปรมิ าณและคุณภาพ
7) ชว่ ยแก้ปัญหาในการปฏิบตั ิงานลดภาระในการควบคมุ รวมถึงชว่ ยลดอบุ ตั ิเหตุ
8) ช่วยสง่ เสริมทศั นคติตอ่ องค์การ
9) ช่วยลดการส้ินเปลืองตา่ งๆลดตน้ ทุน
10) ช่วยใหพ้ นักงานมขี วญั และกำลงั ใจดขี ้ึน
11) ช่วยพฒั นาบคุ ลากรให้มีคุณภาพสูงขนึ้
นอกจากประโยชน์ที่ได้จากการสัมมนาและการฝึกอบรมดังกล่าวข้างต้นซ่ึงล้วน แต่เป็น
กระบวนการพฒั นาทรัพยากรบคุ คลให้มคี ณุ ภาพอนั จะนำไปสู่การทำงานท่มี ปี ระสทิ ธิภาพ
2.1.4 วัตถุประสงคข์ องการจัดสัมมนา
วตั ถปุ ระสงคห์ รอื ความมุ่งหมายในการสมั มนานอกจากจะได้เพิม่ ทักษะความรใู้ หแ้ กผ่ ู้เข้า
รบั สมั มนาแลว้ ยงั มวี ตั ถุประสงค์ท่ีสำคญั หลายประการดงั นักวิชาการไดก้ ล่าวไว้ดังนี้
สุทธนู ศรีไสย์ (2544 หนา้ 5) ไดก้ ล่าวถงึ วัตถุประสงคข์ องการสมั มนาไวด้ งั น้ี
1) เพือ่ การศึกษาและเรียนรู้ประเดน็ ตา่ งๆของปัญหาเพอ่ื นำไปสู่การแกป้ ญั หา
2) เพ่อื ค้นควา้ หาคำตอบข้อเสนอแนะหรือหาข้อยตุ ทิ ่ีจะใชแ้ กป้ ญั หารว่ มกัน
3. เพื่อนำผลของการสมั มนาเป็นเครือ่ งมอื ในการตัดสินใจหรอื กำหนดนโยบาย
4. เพอื่ การพฒั นาและการปฏิบตั งิ านให้บรรลุตามเปา้ ประสงค์
สมจิตร เกิดปรางศ์และนุตประวีณ์เลิศ กาญจนวัต (2545, หน้า 73) ได้กล่าวว่าการ
สมั มนาโดยทว่ั ไปมวี ตั ถุประสงค์ที่สำคัญดงั น้คี อื
1) เพอ่ื เพม่ิ พนู ความรคู้ วามสามารถและประสบการณแ์ ก่ผเู้ ขา้ ร่วมสัมมนา
2) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันระหว่างผู้เข้าสัมมนาด้วยกันและ
ผเู้ ขา้ สัมมนากับวทิ ยากร
3) เพ่อื คน้ หาวธิ กี ารแกป้ ญั หาหรอื แนวทางปฏบิ ัตริ ว่ มกนั
4) เพ่ือใหไ้ ด้แนวทางประกอบการตัดสนิ ใจหรอื กำหนดนโยบายบางประการ
5) เพ่ือกระตุ้นให้ผู้ร่วมเข้าสัมมนา นำหลักวิธีการท่ีได้เรียนรู้ไปใช้ให้เป็น
ประโยชน์การสัมมนาแต่ละครั้งจะบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใดนอกเหนือจากกระบวนการจัด
สัมมนาและวิทยาการแล้วสมาชิกผู้เข้าร่วมสัมมนามีความสำคัญมากเชน่ เดยี วกันเพราะเป้าหมายท่ีเด่นชัด

11

ของการสัมมนาก็คือผู้เขา้ ร่วมสัมมนาทุกคนต้องทำหน้าท่ีเปน็ ทง้ั ผู้ให้และผู้รับคือเปน็ ผู้ฟังความคิดเห็นจาก
ผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วยกันและในขณะเดียวกันก็เป็นผู้เสนอความคิดเห็นให้แก่กลุ่มด้วยดังนั้นหัวใจของการ
สัมมนาจึงอยู่ที่ว่าสมาชิกทุกคนได้มีส่วนร่วมได้แสดงความคิดเห็นและได้เสนอแนวคิดให้แก่กลุ่มเป็น
ประการสำคญั

ไพพรรณ เกียรติโชติชัย (2548, หน้า 56) ได้กล่าวว่าการสัมมนามีวัตถุประสงค์เพื่อ
ยกระดับประสิทธิภาพท่ีมีลักษณะเด่นอย่างหนึ่งหรือมากกวา่ หนึ่งข้ึนไปเพื่อให้เกิดผลสำเร็จทั้งความรู้ใหม่
และข้อมูลท่ีใช้ในการปฏิบัติงานโดยการสอนทักษะใหม่ให้หรือโดยการสร้างให้แต่ละคนมีเจ ตคติใหม่
ค่านิยมมีแรงจูงใจพร้อมทั้งมีคุณสมบัติของบุคลิกภาพท่ีดีการสัมมนาโดยท่ัวไปมักจะจัดเป็นหลักสูตร
เฉพาะสำหรับกลุ่มงานหรือกลุ่มบริหารมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการพัฒนาบทบาทพฤติกรรมและให้มี
ความเข้าใจในการปฏิบัติงานเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของทุกค นการใช้โอกาสในการ
สัมมนาเพอื่ ฝึกอบรมหรือพฒั นาใหม้ ีประสิทธภิ าพและให้มผี ลสัมฤทธ์ใิ นการทำงาน

นิรันตร์จุลทรัพย์ (2550 หน้า 270) ได้กล่าวว่าการสัมมนาโดยทั่วไปมีวัตถุประสงค์ท่ี
สำคัญ ดงั น้ี

1) เพื่อเพิ่มพูนและเติมเต็มความรู้ความสามารถทักษะประสบการณ์ท้ังด้าน
วิชาการหรือดา้ นวชิ าชีพแก่ผเู้ ขา้ ร่วมสมั มนาโดยตรง

2) เพ่ือแลกเปล่ียนความคิดเห็นระหว่างกันและกันของผู้เข้าร่วมสัมมนากับ
วทิ ยากรหรือผู้เชียวชาญในเรื่องหรอื สาขาวชิ าเฉพาะทางนนั้ ๆ

3) เพื่อค้นหาคำตอบวิธีการแก้ปัญหาหรือแนวทางการแก้ปัญหาในทางปฏิบัติ
ร่วมกนั

4) เพ่ือให้ได้แนวทางสรุปประกอบการตัดสินใจหรือหาแนวทางการแก้ปัญหา
หรือกำหนดนโยบายของหนว่ ยงานองค์กรบางประการ

5) เพื่อสร้างความตระหนักหรือกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมสัมมนานำหลักการวิธีการ
เรยี นรหู้ รือแนวทางปฏบิ ัติไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ต่อหนา้ ทแี่ ละภาระงานท่ีปฏบิ ัติหรือรบั ผดิ ชอบต่อไป

จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่าวัตถุประสงค์ของการสัมมนาการคือการเพ่ิมพูนความรู้
ทักษะและประสบการณ์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหวา่ งผู้เข้าร่วมสัมมนาค้นหาแนวทางวิธีในการปฏิบัติ
ร่วมกันเพ่ือแก้ไขปัญหาหรือกำหนดนโยบายบางประการและเพื่อฝึกอบรมหรือพัฒนาให้ผู้เข้าร่วมให้มี
ประสิทธิภาพในการปฏบิ ตั ิงานทส่ี ูงข้ึนทงั้ นีย้ อ่ มขึ้นอยูก่ บั กระบวนการจดั การสมั มานาที่ดีควบคูก่ นั ไปด้วย

12

2.2 องคป์ ระกอบของการสมั มนา
การสัมมนาเป็นวิธีการประชุมและการสอนรูปแบบหน่ึงท่ีมีกลุ่มบุคคลมาร่วมแสดงความคิดเห็น

โดยใช้หลักการเหตุผลประสบการณ์และความรู้ต่างๆนำมาเสนอแนะแลกเปล่ียนเพ่ิมพูนหาประโยชน์
ร่วมกนั ในการแก้ปัญหาน้นั ๆ ใหส้ ำเรจ็ ลุล่วงดว้ ยดหี รอื นำแนวทางท่ีได้รบั จากการสัมมนาไปปรบั ปรงุ แก้ไข
พัฒนาการดำเนินการสัมมนาแต่ละคร้ังมีองค์ประกอบสำคัญ 5 ด้าน (เกษกานดา สุภาพพจน์ 2549
หน้า 22-41, ผลยาวิชยั 2553 หนา้ 7-12)

2.2.1 องค์ประกอบต้านเน้ือหาองค์ประกอบด้านเนอ้ื หาของการสัมมนา ได้แก่ สาระของเร่ืองราว
ทนี่ ำมาจดั ลำดับก่อนหลังอยา่ งเป็นระบบประกอบดว้ ยรายละเอยี ด ดงั น้ี

2.2.1.1 ชื่อเร่ืองหรือช่ือโครงการที่นำมาจัดสัมมนานับว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ผู้
จัดสมั มนาควรจะได้พจิ ารณาว่าจะเลือกเร่อื งอะไรทจี่ ะนำมาจัดสัมมนาจงึ จะได้รับประโยชน์คุ้มค่าสิ่งทีค่ วร
คำนึงถึงในการพิจารณาเกี่ยวกับชื่อเรื่องในการจดั สัมมนา ได้แก่

1) ควรเป็นเรื่องที่ต้องการศึกษาปัญหาหาแนวทางแก้ไขท่ีเก่ียวข้องกับงานหรือ
เร่ืองทีก่ ำลงั ศึกษาอยูแ่ ละเป็นเรื่องที่ตนเองถนดั รู้แจง้ รลู้ กึ ซง้ึ เปน็ อย่างดี

2) มคี วามทันสมยั สอดคลอ้ งกบั สภาการณป์ จั จบุ ัน
3) สามารถกำหนดปญั หาหาแนวทางการแกไ้ ขปญั หาได้อย่างเปน็ ระบบ
4) เป็นเร่ืองท่ีไม่กว้างไม่แคบจนเกินไปควรเป็นเร่ืองท่ีมีขอบเขตเฉพาะเร่ือง
สามารถกำหนดปัญหาและแนวทางการดำเนนิ การจัดสมั มนาไดช้ ดั เจน
2.2.1.2 จุดมุ่งหมายของการจัดสัมมนา โดยปรกติแล้วการจัดสัมมนาก็เพ่ือเป็นการฝึก
ผเู้ ข้าร่วมสัมมนาหรือนกั ศึกษาท่ีนอกจากเพ่อื ให้ได้เกดิ การเรียนรู้แลกเปล่ียนความคิดเห็นแล้วยังทำให้เกิด
การเพ่ิมพูนความรู้ประสบการณ์ได้รับแนวความคิดใหม่ ๆ สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตนเอง
หน่วยงานท่ีรับผิดชอบเป็นการสร้างสรรค์ต่อส่วนรวมและสังคมอย่างไรก็ตามในการสัมมนาจำเป็นที่
จะต้องมีหรือเขียนจุดมุ่งหมายของการสัมมนาไว้ให้ชัดเจนเพ่ือคณะกรรมการผู้ดำเนินการจัดสัมมนา
ผู้เข้าร่วมสัมมนาวิทยากรและบุคคลอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้องจะได้เข้าใจและดำเนินการสัมมนาให้เป็นไปตาม
จุดมุ่งหมายที่ต้ังไว้การเขียนจุดมุ่งหมายมักจะกำหนดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือได้รับสาระตามต้องการ
อยา่ งใดอย่างหนงึ่ ไดแ้ ก่
1) เพื่อศกึ ษาและสำรวจปัญหาเร่อื งใดเร่ืองหนง่ึ ทอ่ี ยู่ในความสนใจ
2) เพื่อใหไ้ ดว้ ิธีการหรอื แนวทางในการแก้ปัญหาเรอื่ งใดเร่อื งหนึง่
3) เพื่อศึกษาค้นควา้ วิจยั ในเร่อื งที่มีความจำเป็นเรง่ ด่วน

13

4) เพ่ือเรียนรู้และมีการแลกเปลี่ยนผลของการศึกษาค้นคว้าวิจัยระหว่างผู้เรียน
ที่เรยี นรว่ มกนั

5) เพอ่ื รว่ มพิจารณาหาข้อสรุปผลรายงานการศกึ ษาคน้ ควา้ ในเรอ่ื งทส่ี นใจ
2.2.1.3 กำหนดการสัมมนานับวา่ เปน็ เรือ่ งท่จี ำเป็นประการหนึ่งท่ผี จู้ ัดสัมมนาควรจะต้อง
มีการวางแผนกำหนดและจัดทำเพราะจะทำให้ทราบช่วงเวลาของการดำเนินการแต่ละรายการของ การ
สมั มนาซ่งึ กำหนดการสมั มนาควรระบสุ ่ิงตอ่ ไปน้ี

1) ชื่อกลุ่มสาระวิชากลุ่มบคุ คลผดู้ ำเนินการหรือผ้รู บั ผิดชอบจดั สัมมนา
2) ชือ่ เรือ่ งสัมมนา
3) วนั เดอื นปีทีจ่ ดั สัมมนา
4) สถานทจ่ี ัดสัมมนา
2.2.1.4 ผลท่ีได้จากการสัมมนา เป็นส่ิงที่ผู้จัดสัมมนาได้คาดหวังว่าการจัดสัมมนาจะทำ
ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับผลประโยชน์ท้ังเชิงปริมาณและคุณภาพจึงเป็นเร่ืองที่ผู้จัดสัมมนาจะต้องมีการ
กำหนดผลท่ีคาดว่าจะได้รับจากการสัมมนาไว้ด้วยตัวอย่างเช่นผลท่ีได้จากการสัมมนาผู้เข้าร่วมสัมมนา
จำนวน 90 คนได้รับความรู้และสามารถนำเอาความรู้ที่ได้จากการสัมมนาไปพัฒนางานที่ตนปฏิบัติอยู่ได้
อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
2.2.2 องค์ประกอบด้านบุคลากรองค์ประกอบด้านบุคลากรหมายถึงบุคคลที่เก่ียวข้องในการจัด
สมั มนาแตล่ ะครัง้ จะประกอบไปดว้ ยบคุ ลากรดังนี้
2.2.2.1 บคุ ลากรฝา่ ยจดั สัมมนาหรือคณะกรรมการจัดสัมมนา ให้บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีตง้ั
ไว้คณะกรรมการอาจแบ่งออกเป็นฝ่ายต่างๆ ได้แก่ ประธานรองประธานเลขานุการฝ่ายทะเบียนฝ่าย
เอกสารฝ่ายเหรัญญิกฝ่ายพิธีการฝ่ายอาคารสถานที่วัสดุอุปกรณ์ส่ือทัศนูปกรณ์ฝ่ายอาหารและเครื่องด่ืม
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ฝา่ ยปฏคิ มและฝ่ายประเมนิ ผลคณะกรรมการแตล่ ะฝา่ ยท่ีกำหนดข้ึนอาจจะมกี ารผนวก
รวมกับบางฝ่ายงานเข้าด้วยกันส่วนจำนวนบุคลากรที่จัดให้รับผิดชอบแต่ละฝ่ายอาจมีจำนวนที่ไม่เท่ากัน
ข้ึนอยู่กับความจำเป็นความสามารถของบุคคลเพราะว่าบางงานบางฝ่ายบุคลากรท่ีมีความสามารถหล าย
ด้านก็สามารถปฏิบัติงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามการออกคำสั่งแต่งต้ัง
คณะกรรมการตอ้ งลงนามคำส่งั แตง่ ต้งั โดยผบู้ งั คับบญั ชาสงู สุดของหน่วยงานหรอื องค์กรน้นั ๆ
2.2.2.2 วิทยากร คือบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายผู้นำอภิปรายและเป็นผู้ถ่ายทอด
ความรู้ประสบการณ์โดยนำเสนอผ่านสื่อต่างๆนำเสนอให้กับผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วยความมุ่งหวังที่จะให้
ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับความรู้และประสบการณ์อย่างเต็มท่ีดังน้ันวิทยากรจึงเป็นบุคคลที่มีความรู้

14

มีความสามารถ มีประสบการณ์ มีความเช่ียวชาญเฉพาะทางด้านใดด้านหน่ึง หรือเป็นบุคคลที่มีช่ือเสียง
เปน็ ท่ีมคี วามร้คู วามสามารถเกย่ี วขอ้ งกบั หัวขอ้ เรื่องทใี่ ชใ้ นการสมั มนานน้ั ๆ

2.2.2.3 ผู้เข้าร่วมสัมมนา ได้แก่ บุคคลท่ีมีความสนใจใฝ่รู้ในปัญหาหรือประสบปัญหา
ต้องการแสวงหาแนวความคิดใหม่ ๆ หรือมีความมุ่งหมายต้องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกันและกัน
ผู้เขา้ รว่ มสว่ นใหญเ่ ปน็ ผทู้ ่มี พี ้นื ฐานความรแู้ ละมปี ญั หาทีส่ นใจจะศึกษาคล้ายคลึงกนั

2.2.3 องค์ประกอบด้านสถานทส่ี ถานทเี่ คร่ืองมอื และอุปกรณ์ตา่ งๆทใี่ ช้สัมมนาควรมดี งั น้ี
2.2.3.1 ห้องประชุมใหญ่ หมายถึงห้องประชุมขนาดใหญ่ที่ใชใ้ นการสัมมนากำหนดที่นั่ง

สามารถบรรจผุ ู้เข้ารว่ มสมั มนาไดจ้ ำนวนมากควรระบุสถานทต่ี ัง้ และการเดนิ ทางเข้าถึงสถานท่จี ดั สมั มนา
2.2.3.2 ห้องประชุมขนาดกลางหรอื ขนาดเลก็ อาจต้องมีมากกว่าหนงึ่ หอ้ งควรอยู่ในพื้นท่ี

ใกล้กันหรือบริเวณเดียวกันกับห้องประชุมใหญ่ท้ังน้ีเพ่ือความสะดวกในการร่วมกิจกรรมหรือประสานงาน
หากมีปัญหาและเพ่ือความสะดวกในการเดนิ ทางมายังหอ้ งประชมุ ใหญ่

2.2.3.3 ห้องรับรอง เป็นห้องท่ีใช้สำหรับรับรองวิทยากรแขกพิเศษเพื่อให้พักผ่อนหรือ
เตรียมตัวก่อนการสัมมนา แต่ถ้าสถานท่ีมีพื้นท่ี จำกัด อาจใช้ส่วนหน้าของห้องประชุมจัดวางโต๊ะรับแขก
สามารถใชป้ ระโยชน์บนพืน้ ทดี่ ังกลา่ วได้

2.2.3.4 ห้องรับประทานอาหารว่าง มุมพักผ่อนนองห้องหรือหน้าห้องประชุมเป็นพ้ืนที่
จัดไวส้ ำหรับใหผ้ เู้ ข้ารว่ มสมั มนาไดม้ าพกั รวมทง้ั เป็นจดุ พักรบั ประทานอาหารวา่ ง

2.2.3.5 อุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ ได้แก่ ชุดไมโครโฟนชนิดตั้งโต๊ะไมโครโฟนชนิดตั้งพื้น
ไมโครโฟนไรส้ ายไมโครโฟนชนิดเล็กใช้หนีบติดปกคอเส้ือเครื่องขยายเสียงเคร่ืองฉายโปรเจกเตอร์ โน้ตบุ๊ค
และอุปกรณ์ไฟฟ้า เกย่ี วกบั เครอ่ื งเสยี งสแี สงและอ่นื ๆ

2.2.3.6 ห้องรับประทานอาหารเป็นห้องที่อำนวยความสะดวกจัดไว้สำหรับให้ผู้เข้าร่วม
สัมมนาได้ร่วมรับประทานอาหารอาจเป็นทั้งห้องรับประทานอาหารเช้ากลางวันและหารเย็นในพื้นที่
เดียวกนั

2.2.3.7 อุปกรณ์เครื่องมือประเภทเคร่ืองคอมพิวเตอร์ เครื่องปร้ินเตอร์และวัสดุอื่น ๆ ที่
จำเป็น ในการจัดท ำเอกส ารป ระกอบค ำบ รรยายเอกสารสรุปก ารจัดสัม ม นาตลอดจนเอกสารแล ะ
แบบฟอร์มอื่น ๆ ทใี่ ชใ้ นการสัมมนา

2.2.3.8 อุปกรณ์ต้านเคร่ืองเขียนเครื่องใช้สำนักงานที่มีความจำเป็นมีไว้ใช้ ได้แก่ ดินสอ
ปากกาปากกาสำหรับเขียนกระดานไวท์บอร์ดน้ำยาลบคำผิดกระดาษถ่ายเอกสารกระดาษใช้พิมพ์งาน
เครื่องเขียนไม้บรรทดั คลิปเสียบป้ายชื่อตดิ หน้าอกผูเ้ ข้ารว่ มสมั มนาคณะกรรมการแตล่ ะฝา่ ย ฯลฯ อปุ กรณ์
เหลา่ น้ีควรตดิ ไวใ้ ห้พรอ้ มทีจ่ ะใชง้ านไดท้ ันทีทีต่ ้องการ

15

2.2.4 องค์ประกอบต้านเวลา การกำหนดเวลาสำหรับการสัมมนาเป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญ
ประการหนึ่งผู้จัดการสัมมนาควรวางแผนให้ดีว่าควรจะใช้วันใดเวลาใด ดำเนินการจัดการสัมมนาจึงจะ
เหมาะสมเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้จัดสัมมนาจะได้มีเวลาสำหรับการเตรียมการ
วิทยากรและผู้เขา้ รว่ มสมั มนาสะดวกที่จะมาสัมมนาจึงควรคำนงึ ถึงในเรอ่ื งดังตอ่ ไปนี้

2.2.4.1 ระยะเวลาสำหรับการเตรยี มการผู้จดั สมั มนาควรวางแผนปฏบิ ัตงิ านใหช้ ดั เจนว่า
งานแตล่ ะอย่างแต่ละประเภทท่ีต้องทำน้ันจะใช้เวลานานเท่าใดจงึ จะแล้วเสร็จจนถึงวันท่ีจะต้องจัดสัมมนา
เพราะงานบางอย่างต้องทำล่วงหน้าก่อนเช่นการประชุมวางแผนจัดทำโครงการการวางแผนศึกษาดูงาน
นอกสถานทีป่ ระกอบการสัมมนาวางแผนเกี่ยวกบั วิทยากรการจัดสถานที่งบประมาณและการวางแผนการ
ประเมนิ ผลเป็นต้นระยะเวลาสำหรับการดำเนินบางเรื่องอาจใชเ้ วลามากบางเรือ่ งอาจใช้เวลานอ้ ยบางเรอ่ื ง
ตอ้ งทำอย่างต่อเน่ืองผู้จัดทำสัมมนาจึงควรท่ีจะได้วางแผนไว้อย่างรอบคอบมีการคาดคะเนสถานการณ์ให้
ดจี ะสามารถเตรยี มการใหท้ ันตามกำหนดได้

2.2.4.2 การเชิญวิทยากรเป็นเร่ืองสำคัญอีกเร่ืองหน่ึงท่ีผู้จัดสัมมนาควรจะวางแผนให้ดี
เพราะวทิ ยากรบางท่านเปน็ ผู้ที่มีช่ือเสียงมากมักจะไม่วา่ งบางท่านต้องติดต่อล่วงหน้าในบางคร้ังถึงกับต้อง
เลื่อนวันจัดสัมมนาออกไปเพ่ือจะให้ตรงกับวันที่วิทยากรว่างเพราะหวังว่าจะได้วิทยากรที่ มีคุณภาพมา
บรรยายกรณีเชน่ น้ีเกิดน้อยครั้งมากเพราะไม่จำเป็นจริงๆก็จะไม่เปลี่ยนวนั เวลาท่ีกำหนดจัดสมั มนาไว้หาก
ได้ออกหนังสือเชิญผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ทราบวันเวลาแล้วเพราะเป็นการยุ่งยากส้ินเปลืองค่าใช้จ่ายรวมทั้ง
ยังเสียเวลาในการแจ้งให้ผู้ร่วมสัมมนาได้ทราบวันเวลาให ม่หากวิทยากรที่ได้เชิญ ไปไม่มาควรเปลี่ยน
วิทยากรท่ีมคี ณุ สมบัตใิ กล้เคยี งแทน

2.2.4.3 วันเวลาท่ีใช้ในการสัมมนาจะใช้ข้ึนอยู่อับเร่ืองท่ีสัมมนาว่ามีขอบเขตกว้างมาก
น้อยเพียงใดอาจเพียงวันเดียวบางเร่ืองใช้เวลาสามวันบางเร่ืองใช้เวลาถึงห้าวันหรืออาจมากกว่าน้ันทั้งน้ี
ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจความจำเป็นของเรื่องท่ีต้องการรู้หรือขึ้นอยู่กับปัญหางานที่ประสบอยู่พอดีบาง
เร่ืองอาจต้องมีกิจกรรมเสริมเช่นการศึกษาดูงานประกอบการสัมมนาในเรื่องที่เกี่ยวข้องข้อควรสังเกตใน
การใช้เวลาเพ่ือจัดสัมมนาหากใช้เวลาน้อยเกินไปอาจส่งผลทำให้การอภิปรายการแสดงความคิดเห็นไม่
กว้างขวาง แต่ถ้าหากใชเ้ วลามากเกินไปอาจส่งผลทำให้บรรยากาศของการสัมมนาน่าเบื่อที่เป็นประโยชน์
น้อยหรืออาจต้องใช้งบประมาณเพ่ิมขึ้นโดยใช่เหตุดังนั้นในการกำหนดวันเวลาที่ใช้ในการสัมมนาจึงควร
กำหนดให้ทันต่อการเตรียมการในทุกๆเรื่องจัดวันเวลาให้พ อดีกับหัวข้อเร่ืองท่ีใช้ในการสัมมนาและ
สามารถปรบั ยดื หยนุ่ ได้บา้ งตามความเหมาะสม

2.2.5 องค์ประกอบด้านงบประมาณการดำเนินงานจัดสัมมนาย่อยมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการ
ดำเนินงานค่อนข้างมากคณะผู้ดำเนินงานจัดทำสัมมนาต้องวางแผนงานด้านค่าใช้จ่ายให้ดีด้วยความ

16

รอบคอบเพ่อื ให้การประมาณค่าใชจ้ ่ายอยู่ในภาวะเพียงพอไม่ขาดหรอื ติดขดั ในค่าใช้จา่ ยฉุกเฉินซง่ึ อาจเกิด
ภายหลังไดข้ อ้ ควรคำนึงถงึ การจดั ทำงบประมาณค่าใชจ้ ่ายในการดำเนินงานจัดสัมมนาที่เรียกวา่ การจัดทำ
งบประมาณ ได้แก่

2.2.5.1 จัดประมาณการค่าใช้จ่ายแต่ละฝ่ายท่ีทำหน้าที่รับผิดชอบงานจัดประมาณการ
ค่าใช้จ่ายท่ีต้องใช้จ่ายท้ังหมดของฝ่ายตนเองออกมาในรูปของบัญชีค่าใช้จ่ายนำเสนอฝ่ายเหรัญญิกและท่ี
ประชุมเพ่ือพิจารณาถึงความเหมาะสมสำหรับค่าใช้จ่ายแต่ละรายการของแต่ละฝ่ายก่อนโดยให้มี
รายละเอียดใหม้ ากทส่ี ดุ อยา่ ให้ตอ้ งตกหล่นในรายการใดรายการหน่ึงไป

2.2.5.2 ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องจัดซื้อควรมีรายการ
ราคาตามท้องตลาดหรืออาจใช้วิธีสืบราคาวัสดุอุปกรณ์เหล่าน้ันก่อนเพื่อการประมาณค่าใช้จ่ายจะไม่เกิด
ข้อผิดพลาดการวางแผนค่าใช้จ่ายจึงควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายท่ีคาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้โดยอาจนำไปใส่ใน
คา่ ใชจ้ ่ายอื่น ๆ

2.2.5.3 จดั ทำงบประมาณรวมการวางแผนเกย่ี วกับคา่ ใช้จ่ายของแต่ละฝ่ายเหน็ ชอบจาก
ทปี่ ระชมุ แลว้ จงึ จัดทำงบประมาณรวมท้งั โครงการแลว้ เสนอผูร้ บั ผดิ ชอบหรอื เสนอฝ่ายบริหารอนมุ ตั กิ รณีที่
เป็นการสัมมนาเพื่อพัฒนาองค์กรข้อสังเกตในการวางแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายของการจัดสัมมนาควร
ดำเนินการ ดงั น้ี

1) จัดประชุมแต่ละฝ่ายท่ีรับผิดชอบมอบหมายงานในหน้าท่ีต่างๆจัดทำแผน
งบประมาณค่าใชจ้ ่ายของฝา่ ยตนข้นึ มานำเสนอตอ่ ท่ีประชมุ เพอ่ื พิจารณารว่ มกนั

2) เมื่องบประมาณแต่ละฝ่ายไดร้ ับการเห็นชอบแล้วต้องนำงบค่าใช้จ่ายของแต่
ละฝ่ายมาลงในโครงการโดยแยกค่าใช้จา่ ยท่ตี อ้ งใชจ้ า่ ยทต่ี อ้ งจ่ายจรงิ เป็นเงนิ เทา่ ใด

3) อาจแนบรายละเอียดค่าใช้จ่ายของแต่ละฝ่ายไปพร้อมโครงการเพ่ือให้ฝ่าย
บริหารหรือผบู้ ังคบั บัญชาพิจารณาอนุมตั ใิ นกรณที ่ีแต่ละฝ่ายตอ้ งการเบิกเงนิ จากเหรญั ญิกเพอ่ื นำไปใช้จ่าย
ในฝ่ายของตนเหรัญญิกต้องจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายรวมท้ังมีเอกสารการเบิกจ่ายเงินและลายเซ็นของ
ผู้รบั เงนิ ดว้ ยทง้ั นเี้ พือ่ เป็นหลกั ฐานในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทท่ี ่ที ่ีรับผดิ ชอบ

สรุปได้ว่าองค์ประกอบของการสัมมนามี 5 ด้านประกอบด้วยองค์ประกอบด้านเน้ือหา
องค์ประกอบด้านบุคลากรองค์ประกอบด้านสถานที่องค์ประกอบด้านเวลาองค์ประกอบด้านงบประมาณ
ล้วนเป็นส่ิงท่ีมีความสำคัญเป็นอย่างย่ิงเพราะไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบด้านเน้ือหาองค์ประกอบด้าน
บุคลากรองค์ประกอบด้านสถานที่เคร่ืองมือและอุปกรณ์ต่างๆองค์ประกอบด้านเวลาองค์ประกอบด้าน
งบประมาณใช้ประกอบในการจัดสัมมนาเพ่ือเป็นกรอบแนวคิดในการดำเนินการจัดสัมมนาให้สมบูรณ์
แบบและต่อเนือ่ งจนบรรลตุ ามวตั ถุประสงค์

17

2.3 รูปแบบของการจดั สัมมนา
คำว่า "รูปแบบ" หรือ Model เป็นคำที่ใช้เพ่ือส่ือความหมายหลายอย่างซ่ึงโดยทั่วไปแล้วรูปแบบ

จะหมายถึงส่ิงหรือวิธีการดำเนินงานที่เป็นต้นแบบอย่างใดอย่างหนึ่งเช่นแบบจำลองส่ิงก่อสร้างรูปแบบใน
การพัฒนาชนบท เปน็ ตน้

พจนานุกรม Contemporary English ของ Longman (1981, p. 668) ให้ความหมายไว้
5 ความหมาย แต่โดยสรปุ แล้วจะมี 3 ลกั ษณะคอื

1) Model หมายถงึ ส่งิ ซึ่งเป็นแบบย่อสว่ นของของจรงิ ซง่ึ เท่ากับแบบจำลอง
2) Model ท่ีหมายถึงส่ิงของหรือคนที่นำมาใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินการบาง
อย่างเช่นครตู ้นแบบ
3) Model หมายถงึ รุน่ ของผลิตภณั ฑต์ ่าง ๆ
เยาวดี วิบูลย์ศรี (2536, หน้า 25) รูปแบบคอื วธิ ที ีบ่ ุคคลใดบุคคลหน่ึงไดถ้ ่ายทอดความคิดความ
เข้าใจตลอดจนจิตนาการของคนที่มีต่อปรากฏการณ์หรือเรื่องราวใด ๆ ให้ปรากฏในลักษณะของการ
สอ่ื สารในลักษณะใดลักษณะหน่ึงรูปแบบจึงเป็นแบบจำลองในลักษณะเลียนแบบหรือเปน็ ตวั แบบท่ีใชเ้ ป็น
แบบอยา่ งเป็นแผนผงั หรอื แบบแผนของการดำเนินการอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ต่อเน่อื งดว้ ยความสัมพนั ธ์เชงิ ระบบ
สวัสดิ์ สุคนธรังสี (2520, หน้า 206) ให้ความหมายรูปแบบหมายถึงตัวแทนท่ีสร้างขึ้นเพื่อ
อธิบายพฤติกรรมของลักษณะบางประการของสิ่งท่ีเป็นจริงอย่างหน่ึงหรือเป็นเครื่องมือทางความคิดท่ี
บคุ คลใช้ในการหาความร้คู วามเข้าใจปรากฏการณ์
สุบรรณ์ พันธ์วิศวาสและชัยวัฒน์ ปัญจพงษ์ (2522, หน้า 22-23) ใช้คำว่าแบบจำลอง
(Model) เท่ากับการย่อหรือเลียนแบบความสัมพันธ์ที่ปรากฏอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงของ
ปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่งโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยในการจัดระบบความคิดในเรื่องน้ันให้เข้าใจ
ได้ง่ายข้ึนและเปน็ ระเบียบ
อาจกล่าวได้ว่ารูปแบบหมายถึงแบบจำลองอย่างง่ายหรือย่อส่วนของปรากฏการณ์ต่าง ๆ
ท่ีผู้เสนอรูปแบบดังกล่าวได้ศึกษาและพัฒนาข้ึนมาเพ่ือแสดงหรืออธิบายปรากฏการณ์ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
หรือในบางกรณีอาจจะใช้ประโยชนใ์ นการทำนายปรากฏการณ์ทจ่ี ะเกดิ ข้ึนตลอดจนอาจใช้เปน็ แนวทางใน
การดำเนินการอย่างใดอย่างหนึง่ ตอ่ ไป
จากความหมายท้ังหมด สามารถสรุปได้ว่า รูปแบบ หมายถึงส่ิงที่สร้างหรือพฒั นาข้ึนจากแนวคิด
ทฤษฎีที่ได้ศึกษามาของผู้สร้างเองเพื่อถ่ายทอดความสัมพันธ์ขององค์ประกอบโดยใช้สื่อท่ีทำให้เข้าใจได้
งา่ ยและกระชบั ถูกต้อง และสามารถตรวจสอบเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์จริงได้เพ่ือช่วยให้ตนเองและ
คนอืน่ สามารถเขา้ ใจไดช้ ดั เจนข้นึ

18

2.3.1 รปู แบบของการสัมมนา
การสัมมนาแต่ละครั้งมีกิจกรรมท่ีใช้ในขณะสัมมนาหลายกิจกรรมเช่นการอภิปรายการ

ประชุมกลุ่มย่อยและเทคนิคการประชุมแบบต่างๆสามารถเลือกใช้เป็นแนวทางในการสัมมนาตามความ
เหมาะสมของรปู แบบและสถานการณน์ ้นั ๆ เทคนคิ และวิธีการต่างๆในการสัมมนา มีดังนี้

พจนานุกรมฉบบั บัณฑิตยสถาน (พ.ศ. 2525 หน้า 979) การอภิปรายตามความหมายใน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายไว้ว่า "การอภิปรายหมายถึงการพูดจา
หรือการปรกึ ษาหารอื กนั "

สมพงศ์ เกษมสิน (2519, หน้า 5) การอภิปรายหมายถึงการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งมีเจตนา
จะพิจารณาเรื่องใดเร่ืองหนึ่งปรึกษาหารือกันออกความคิดเห็นเพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่หรือเพื่อเป็นการ
แลกเปล่ียนความรู้ความคิดเห็นถ่ายทอดประสบการณ์ท่ีได้รับให้ได้ทราบซึ่งในท่ีสุดก็มีการตัดสินตกลงใจ
ร่วมกัน

สุจริต เพียรชอบ (2516 หน้า 1) การอภิปรายหมายถึงการท่ีบุคคลกลุ่มหน่ึงประมาณ
5-20 คนมคี วามรู้ความสนใจในเร่ืองเดยี วกันหรือมปี ญั หาในทำนองเดียวกนั มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซ่ึง
กนั และกัน ฉะนน้ั ลกั ษณะการอภิปรายดังกล่าวพอสรุปได้ดังนี้

1) ลักษณะของการอภิปราย
- จำนวนผูอ้ ภิปรายประมาณ 5-20 คน
- จะต้องเปน็ การปรึกษาหารือเปน็ กลุ่ม
- จุดมุ่งจะต้องแก้ปัญหาร่วมกันหรือแลกเปล่ียนความรู้ความคิดทัศนคติและ

ประสบการณ์ร่วมกนั
- ผมู้ าอภปิ รายจะตอ้ งสนใจในเร่ืองอย่างเดียวกนั

2) จดุ ม่งุ หมายของการอภิปราย
- เพื่อฝึกความคดิ แบบประชาธิปไตย
- เพ่ือช่วยให้ผู้ร่วมอภิปรายได้ทำงานร่วมกันรู้จักปรับตัวและรู้จักเป็นผู้นำและผู้

ตามทด่ี ี
- การอภิปรายมจี ดุ มงุ่ หมายเพ่อื หาขอ้ เทจ็ จรงิ
- เพอ่ื นำความรูห้ รอื ขอ้ คดิ เหน็ มาแกป้ ญั หาสังคม
- เพอ่ื นำความรคู้ วามคิดเห็นท่ไี ดจ้ ากการอภปิ รายไปใชป้ ฏบิ ตั ิในชวี ติ ประจำวนั

19

3) ประเภทของการอภปิ ราย
การอภปิ รายใชก้ นั มาอยา่ งกวา้ งขวางในวงสงั คมซ่งึ สว่ นมากแบ่งออกได้ 3 แบบคือ
1. การอภปิ รายกลุ่ม (Group discussion) เป็นการอภิปรายที่ใช้คนไม่

จำกัด จำนวนผู้อภิปรายจะเป็นท้ังผู้พูดและผลัดกันเป็นผู้ฟังเพราะการอภิปรายแบบนี้จะไม่มีผู้ฟังผู้
อภิปรายจะมีจำนวนไม่เกิน 20 คนการอภิปรายแบบนี้มักใช้กันมากในวงการศึกษาหรือหน่วยราชการ
โดยท่วั ไป

2. การอภิปรายในท่ีชุมชน (Public discussion) เป็นการอภิปรายท่ี
ประกอบด้วยบุคคล 2 ฝ่ายคือมีผู้อภิปรายเป็นผู้พูดและผู้ฟังอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อการอภิปรายยุติลงจะมีการ
เปิดให้ซักถาม (Forum-period) การอภิปรายน้ีมีประโยชน์มากที่สุดในการให้ความรู้ความคิด
ประสบการณ์ขอ้ เทจ็ จรงิ และเป็นการแก้ปญั หาสงั คมโดยสว่ นรวมดที ีส่ ดุ

3. การอภิปรายแบบโต้วาที (Debate) เป็นการอภิปรายแบบโต้แย้งกัน
อย่างมีเหตผุ ลโดยมผี คู้ ้านฝ่ายหนึ่งและผูเ้ สนออกี ฝ่ายหนึง่ หาเหตผุ ลมาหักล้างความคิดซึง่ กันและกันฝ่ายใด
มีเหตุผลดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่งฝ่ายมีเหตุผลกว่าก็จะได้รับชัยชนะโดยมีประธานเป็นผู้ตัดสินหรือดำเนินการโต้
วาท่ีให้เป็นไปอย่างเรียบร้อยวิธีการน้ีใช้สำหรับหาข้อมูลหรือนโยบายที่ตอ้ งการเลือกสิ่งหน่ึงส่งิ ใดไปปฏิบัติ
และยังตกลงกันไม่ได้ต้องอาศัยวิธีการอภิปรายนี้ในการประชุมตัดสินวิธีน้ีส่วนมากใช้ในการประชุม
พิจารณาเรอ่ื งสำคัญหรอื ใช้ในทีป่ ระชุมสภาการอภปิ รายในทชี่ ุมชนมีลกั ษณะของการจัดหลายแบบดังนี้

- การอภิปรายแบบพาเนล (Panel discussion) การอภิปรายแบบน้ี
จะให้สมาชิกประมาณ 3 คน 6 คนหรือ 8 คนผู้พูดจะมีความรู้โดยท่ัวไปอภิปรายหรือพูดในปัญหาอย่าง
เดียวกันโดยผู้พูดเป็นผู้ที่ศึกษาหาความรู้ค้นคว้าหาหลักฐานข้อเท็จจริงมาพูดต่อหน้าผู้ฟังเป็นการสนทนา
อยา่ งเป็นกันเองโดยมผี ู้ดำเนินการเป็นผเู้ ชิญให้ผอู้ ภิปรายแสดงความรู้ความคิดและให้ข้อเสนอแนะสำหรบั
ตอนท้ายของการอภปิ รายควรเปดิ โอกาสให้ผู้ฟงั ได้ร่วมอภปิ รายด้วยการอภิปรายแบบน้ีเหมาะสำหรับการ
แยกแยะประเด็นปัญหาและผู้อภิปรายทุกคนจะเป็นผู้ศึกษาหาความรู้ค้นคว้าข้อเท็จจริงในเรื่อง ท่ีจะ
อภิปรายมาก่อนแล้วนำมาพูดให้ผู้ฟังฟังการพูดของผู้อภิปรายแต่ละคนจะเป็นการพู ดตามทัศนะของตน
การอภปิ รายแบบนน้ี ยิ มใชก้ ันมากในองคก์ ารท้ังทีเ่ ป็นของรัฐและเอกชนต่างๆ

- ก า ร อ ภิ ป ร า ย แ บ บ ซิ ม โป เซี ย ม (Smposiurn Discussion)
การอภิปรายนี้เป็นการอภิปรายทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้โดยผู้อภิปรายแตล่ ะคนจะเตรยี มค้นหา
ความรู้ข้อเท็จจริงเฉพาะตอนหน่ึงตอนใดของเร่ืองมาอภิปรายตามท่ีได้ตกลงกันไว้ผู้อภิปรายแบบนี้จะเป็น
ผูเ้ ชย่ี วชาญหรอื ผู้ชำนาญการในดา้ นใดด้านหน่งึ สว่ นผู้ดำเนนิ การอภปิ รายจะมีหน้าทเ่ี ช่อื มโยงเร่อื งต่างๆให้

20

ต่อเนื่องประสานกันให้เป็นไปด้วยดีตลอดระยะเวลาของการอภิปรายหน่วยงานที่ใช้การอภิปรายแบบนี้
กันมาก ได้แก่ หน่วยงานทางการศึกษาแพทย์ทหารและธุรกิจการจัดสถานท่ีวิธีดำเนินการอภิปราย
เหมือนกันกับการอภิปรายแบบพาเนลแตกต่างกันเพียงแต่ว่าการจัดอภิปรายแบบซิมโปเซียมมีลักษณะ
เป็นวิชาการท่ีให้ความรู้ลึกซ้ึงมากกว่าการอภิปรายแบบซิมโปเซียมนี้บางครั้งมักเรียกว่า "ชุมชนปาฐก"
เพราะมีลักษณะคล้ายผู้อภิปรายมาบรรยายโดยมีผู้ทรงคุณวุฒินักวิชาการผู้เช่ียวชาญแต่ละสาขามา
อภิปรายให้ความรู้แก่ที่ประชุมผู้อภิปรายจะใช้เวลาประมาณคนละ 10-15 นาทีเป็นอย่างน้อยและเวลา
การอภปิ รายแบบน้ไี มค่ วรเกิน 2-3 ชว่ั โมง

- การอภิปรายแบบปุจฉาวิสัชนา (Colloquy) การอภิปรายแบบนี้ใน
ประเทศไทยมักเรียกว่าการอภิปรายแบบปุจฉา-วิสัชนาหรือบางคร้ังก็เรียกว่าการอภิปรายแบบโต้ปัญหา
ระหว่างกลุ่มวิทยากรกับกลุ่มผู้พูดผูฟ้ ังสามารถซักถามกลุ่มวิทยากรไดอ้ ย่างใกล้ชิดซึ่งเป็นการแกไ้ ขข้อข้อง
ใจระหว่างกลุ่มคนทั้งสองกลุ่มไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

2.3.2 รูปแบบการจดั สมั มนาโดยใช้เทคนิคอ่นื ๆ
1) การบรรยาย (Lecture of Speech) เปน็ วิธีการท่ีเกา่ แก่ แตย่ ังคงเป็นที่นิยมใชก้ ันอยู่

มากเพราะวา่ จัดไดร้ วดเร็วใชผ้ ู้ทรงคุณวฒุ ิเพียงรายเดียวต่อผู้ฟังจำนวนมาก แตก่ ็เป็นเทคนิคท่ีน่าเบื่อที่สุด
สำหรับผู้ฟังหรือผู้ท่ีเข้าอบรมเพราะเป็นการพูดในทิศทางเดียวผู้ฟังไม่มีโอกาสได้ร่วมในการบรรยายซึ่ง
จดุ อ่อนที่จริงไม่ไดอ้ ยู่ท่ีวิธีการ แตจ่ ะอยู่ท่ีตวั ผู้บรรยายซ่ึงจะต้องรจู้ ริงในเรอ่ื งน้ัน ๆ จึงจะสามารถถ่ายทอด
ออกมาได้เรา้ ใจและสรา้ งความสนใจแก่ผฟู้ ัง

2) การอบรมระยะส้ัน (Short Courses) เป็นการฝึกอบรมหรือการเรียนบางวิชาอย่าง
เร่งรัดภายในระยะเวลาอันสั้นอาจะเป็นตัง้ แต่ 1 วันถึง 2 สัปดาห์การเรียนเป็นแบบง่ายๆและเข้มข้นน้อย
การเรียนระยะส้ันมักจะเปน็ การเรียนรู้เพิ่มเติมในวชิ าเฉพาะสาขาของคนบางกลุ่มซ่ึงทำงานในสาขาน้ัน ๆ
เป็นประจำตัวอย่างของ short Courses เช่นเรื่องการธนาคารของนายธนาคาร

3) การปฐมนิเทศ (Orientation Training) เป็นการให้ความรู้แก่สมาชิกใหม่เกี่ยวกับ
เร่ืองราวของหน่วยงานเพ่ือเป็นแนวทางในการปฏบิ ัติงานอาจจะเป็นนโยบายวัตถุประสงค์สภาพแวดล้อม
หรือระเบียบข้อบงั คบั ของหน่วยงานลกั ษณะการจัดกค็ ลา้ ยกับการสัมมนาอบรม
คือมีวิทยากรบรรยายแนะนำให้ความรู้ต่างๆตามที่กำหนดไว้ข้อดีของการปฐมนิเทศคือทำให้สมาชิกมี
ความคนุ้ เคยและรู้จกั หนว่ ยงานดีย่ิงขน้ึ แตก่ ารปฐมนเิ ทศมเี วลา จำกดั บางคร้งั สมาชิกก็ได้รับข้อมลู นอ้ ยเกินไป

4) การสาธิต (Demonstration) เป็นการแสดงหรือการนำของจริงมาแสดงวิธีการให้ได้
เห็นการปฏิบตั ิจริงเหมาะกับงานกลุ่มเล็ก ๆ นิยมใชก้ ับหัวข้อวิชาที่มีการปฏบิ ัตเิ ช่นการอบรมเก่ียวกับการ
ใชเ้ ครอ่ื งมอื หรืออปุ กรณต์ า่ งๆ

21

5) สถานการณ์จําลอง (Simulation) เป็นการจำลองสถานการณ์ในชีวิตจริงโดยจัด
สถานการณ์ข้ึนแล้วกำหนดบทบาทของสมาชิกให้ทำตามบทที่ได้รับมอบหมายโดยสมาชิกท้ังกลุ่มต้อง
ร่วมกันเล่นหรืออาจจะแบ่งเป็นกลุ่มเล็กหลาย ๆ กลุ่มหลังจากนั้นก็มีการอภิปรายสถานการณ์และ
เหตุการณ์เพ่ือนำผลไปใช้ประโยชน์ข้อดีของการประชุมแบบนี้คือเป็นการให้สมาชกิ ได้แสดงออกและร่วม
กิจกรรมกันช่วยให้สมาชิกได้รู้จักติดอย่างมีเหตุผลและมีจุดมุ่งหมายข้อเสียคือต้องมีการเตรียมตัวทำให้
เสียเวลาและประเมินผลสมาชกิ แตล่ ะคนไม่ได้

6) การแบ่งกลุ่มเล็ก (Knee Group) เป็นการอภิปรายกลุ่มย่อยต้ังแต่ 3-5 คนในเร่ือง
ท่ีกำหนดให้หรือเร่ืองท่ีสนใจร่วมกันเพ่ือสรุปผลแนวทางการแก้ปัญหาแสวงหาข้อยุติภายได้การนำของ
ประธานกลุม่ มเี ลขาเป็นผบู้ นั ทกึ และสรปุ ข้อเสนอแนะ

2.3.3 ลักษณะการสมั มนาทีด่ ี
1) ผ้เู ข้ารว่ มสัมมนาทราบวตั ถุประสงคข์ องการสัมมนา
2) จดั ใหม้ ีกิจกรรมในการแก้ปญั หาร่วมกนั
3) จดั ใหม้ ีกจิ กรรมในการเรียนรรู้ ว่ มกนั
4) จดั ใหม้ ีเวทแี ลกเปล่ยี นเรียนรู้ความคดิ เหน็ และข้อเทจ็ จรงิ รว่ มกัน
5) ผเู้ ข้ารว่ มสมั มนามีทศั นคติทดี่ ีตอ่ ปัญหาข้อเทจ็ จรงิ ผูเ้ ขา้ ร่วมสมั มนาและตนเอง
6) ผ้เู ขา้ รว่ มสมั มนาต้องใชค้ วามคิดรว่ มกนั ในการแก้ปญั หา
7) มผี นู้ ำทีด่ ี
8) ผูเ้ ขา้ ร่วมสัมมนาเปน็ ผู้ฟังที่ดี
9) ผ้เู ข้ารว่ มสมั มนาเป็นผพู้ ูดท่ดี ี
10) ผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกคนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินการประชุมสัมมนา

เพือ่ ให้งานสมั มนาบรรลเุ ปา้ หมาย

2.4 ความรู้ท่วั ไปเกย่ี วกับสอี ะคริลิก
สีอะคริลิก เป็นสีท่ีมีส่วนผสมของสารพลาสติกโพลีเมอร์ (Polymer) จำพวกอะคริลิก (Acrylic)

หรือ ไวนิล (Vinyl) เป็นสีท่ีมีการผลิตขึ้นมาใหม่ล่าสุด เวลาจะใช้นำมาผสมกับน้ำ ใช้งานไดเ้ หมือนกับสีน้ำ
และสีน้ำมัน มีท้ังแบบโปร่งแสงและทึบแสง แต่จะแห้งเร็วกว่าสีน้ำมัน 1-6 ช่ัวโมงเม่ือแห้งแล้วจะมี
คุณสมบัติกันน้ำได้และเป็นสีท่ีติดแน่นทนนาน สามารถเก็บไว้ได้นาน เมื่อระบายสีแล้วอาจใช้น้ำยาวานิช
เคลอื บผิวหน้าเพ่อื ปอ้ งกัน การขดู ขีด เพื่อให้คงทนมากย่ิงข้ึน

22

2.4.1 คณุ สมบตั ขิ องสอี ะคริลกิ
สีอะคริลิกเป็นสีท่ีมีส่วนผสมของสารพลาสติกโพลีเมอร์ (Polymer) จำพวกอะคริลิก

(Acrylic) หรือ ไวนิล (Vinyl) เป็นสีท่ีมีการผลิตข้ึนมาใหม่ล่าสุด เวลาจะใช้นำมาผสมกับน้ำใช้งานได้
เหมือนกับสีน้ำและสีน้ำมัน สีอะคริลิกเป็นสีที่สามารถนำไปใช้กับงานได้หลากหลายประเภท แถมยัง
ระบายได้กบั หลายพ้ืนผิว เชน่ โลหะ ไม้ พลาสติก แกว้ ผ้า และกระดาษ

นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติท่ีแห้งเร็ว ติดแน่นกับพ้ืนผิวได้ดีและทนทาน สีอะคริลิกจึง
กลายเป็นสียอดนิยมที่คนท่ัวไปเลือกใช้กัน ลักษณะของสีเป็นแบบทึบแสง ถ้าระบายแบบหนาๆ
จะดูเหมอื นภาพวาดดว้ ยสีน้ำมนั แต่ถา้ ระบายแบบบางๆ กด็ เู หมอื นระบายดว้ ยสีน้ำเชน่ กนั

2.4.2 พน้ื ฐานการระบายสอี ะครลิ กิ
สีอะคริลิก เป็นสีทึบแสงเวลาท่ีระบายไปแล้ว สีอาจจะทับลายเส้นท่ีวาดไวไ้ ด้ และจะทำ

ให้มองไม่เห็นรูปภาพที่จะระบาย สำหรับผู้เร่ิมต้นอาจใช้พู่กันลากสีตามเส้นภาพที่วาดไว้ก่อนจะระบายสี
จากน้ันจึงค่อยทำการระบายสีบนรูป แต่ข้อควรระวังก็คือ สีอะคริลิกเป็นสีที่แห้งเร็ว การระบายจึงต้อง
มีความแม่นยำ และอุปกรณ์ที่ใช้กับสีอะคริลิกต่างๆ อย่างพู่กัน และจานรองสี เมื่อใช้เสร็จแล้ว ควรล้างออก
ในทนั ทีเพราะถ้าหากสีแห้ง อปุ กรณ์เหลา่ นอี้ าจจะนำกลับมาใชง้ านอกี ไม่ได้

2.4.3 ขั้นตอนการวาดภาพสีอะครลิ กิ
1) ร่างภาพท่ีต้องการวาด สำหรับมือใหม่แนะนำให้ร่างภาพให้ละเอียดเพราะจะมีผล

ตอนลงสี ถ้าไมล่ ะเอียด หรือร่างภาพเบาไปเวลาลงสีภาพท่ีรา่ งไว้จะหายไป
2) ลงสีเพือ่ คลุมโทนภาพ ให้ดูภาพตน้ แบบว่าโทนภาพสอี ะไร แล้วลงสตี ามน้นั ข้ันตอนน้ี

ให้ละลายสีอะคริลิกให้จาง เพราะถ้าลงสีเข้มภาพที่ร่างไว้จะหายไป เมือเรียบร้อยแล้วก็เกล่ียสีให้เสมอ
วธิ ีนี้ช่วยทำใหภ้ าพท่ีออกมาดเู ป็นธรรมชาติ

3) เมื่อลงสีพื้นเรียบร้อยแล้ว เราก็มาเร่ิมลงสีในส่วนของรายละเอียดของภาพในส่วน
ต่างๆ เช่นใบหญ้าสีเขียว หยดน้ำ ลงสีแค่ให้รู้ว่าตรงไหนสีอะไร แล้วค่อยมาเก็บมิติ ความลึกต้ืนของภาพ
ภายหลัง จะทำให้สีสม่ำเสมอ ไม่มากไปหรือน้อยไป

4) เม่ือเราลงสีในส่วยต่างๆ ของภาพเรียบร้อย ก็เริ่มเก็บรายละเอียดในส่วนรายละเอยี ด
ของภาพ เม่อื เรยี บรอ้ ยก็เริม่ ลงสใี นสว่ นของบรรยากาศ

5) หลายคนมักลงสีในส่วนของบรรยากาศก่อน อันนั้นก็ไม่ผิด แต่การวาดภาพ
บรรยากาศภายหลังวาดภาพหลักมักทำให้ภาพดสู มจริงมากข้ึน เพราะตามความเป็นจริงแล้ว บรรยากาศ
ครอบคลมุ สรรพสิง่

23

6) เกลี่ยสีของบรรยากาศในส่วนต่างๆ ไล่สีให้กลมกลืนกับสีในส่วนสว่าง ซึ่งเป็นสีที่เรา
ระบายคลุมโทนเอาไว้ในตอนแรก จะเห็นได้ว่า ถ้าเราไม่ระบายคลุมโทนไว้แต่ต้น ข้ันตอนนี้จะทำได้ยาก
มากมาก อาจต้องใชเ้ วลา และสีก็มักจะดูไมเ่ ป็นธรรมชาติ

7) เม่ือลงสีของบรรยากาศเรียบร้อยแล้ว เราก็มาเก็บรายละเอียดของภาพอีกครั้ง เพ่ือ
คัดให้ภาพโดดเด่นข้ึน เช่น ภาพของหยดน้ำค้างที่ต้องแสงอาทิตย์ ซึ่งข้ันตอนพวกน้ีเรามักทำภายหลัง
เพราะต้องการความสดของสี เพือ่ เนน้ ใหเ้ กิดความโดดเด่น สวยงาม

2.5 ความรเู้ กยี่ วกับวงจรสแี ละหลกั การผสมสี
สี (COLOUR) หมายถึง ลักษณะกระทบต่อสายตา ให้เห็นเป็นสีมีผลถึงจิตวิทยา คือมีอำนาจให้

เกิดความเข้มของแสงที่อารมณ์และความรู้สึกได้ การท่ีได้เห็นสีจากสายตาสายตาจะส่งความรู้สึกไปยัง
สมองทำให้เกิดความรู้สึก ตา่ งๆตามอิทธพิ ลของสี เชน่ สดชื่น รอ้ น ต่ืนเตน้ เศร้า สีมีความหมายอยา่ งมาก
เพราะศิลปินต้องการใชส้ ีเป็นสื่อสร้างความประทับใจในผลงานของศิลปะและสะท้อนความประทับใจน้ัน
ให้บังเกิดแก่ผดู้ ูมนษุ ยเ์ กีย่ วข้องกับสีตา่ งๆ อย่ตู ลอดเวลาเพราะทุกสิ่งทอี่ ยู่รอบตัวน้ันลว้ นแต่มีสีสันแตกต่าง
กันมากมาย สเี ปน็ สง่ิ ทีค่ วรศึกษาเพ่อื ประโยชนก์ ับตนเองและ ผสู้ รา้ งงานจติ รกรรมเพราะ เรื่องราวองสนี ้ัน
มีหลักวิชาเปน็ วิทยาศาสตร์จึงควรทำความเขา้ ใจวทิ ยาศาสตร์ ของสีจะบรรลุผลสำเรจ็ ในงานมากขน้ึ ถา้ ไม่
เขา้ ใจเรือ่ งสดี ีพอสมควร ถ้าไดศ้ กึ ษาเรอื่ งสดี ีพอแลว้ งานศลิ ปะก็จะประสบความสมบรู ณเ์ ปน็ อยา่ งยิ่ง

2.5.1 วงจรสี (Color Wheel)

ภาพท่ี 2.1 แสดงภาพวงจรสี

24

วงจรสี คือ สีที่เกิดจากการผสมกันเป็นคู่ เร่ิมต้ังแต่ แม่สี 3 สี แล้วเกิดเป็นสีใหม่ข้ึนมา จนครบ
วงจร จะได้สที ั้งหมด 12 สี ซงึ่ แบ่งสีเป็น 3 ขัน้ คอื

1) สีขั้นที่ 1 (Primary Colors) คือ แม่สี 3 สี ได้แก่ สีแดง เหลือง และนำ้ เงนิ
2) สีข้ันท่ี 2 (Secondary Colors) คือ สีที่เกิดจากการผสมกันเป็นคู่ ๆ ระหว่างแม่สี 3 สี
จะไดส้ เี พมิ่ ขนึ้ อีก 3 สี
3) สีขน้ั ท่ี 3 (Tertiary Colors) คอื สีทีเ่ กิดจากการผสมกันเปน็ คๆู่ ระหว่างแมส่ ี 3 สี กับ
สีขน้ั ท่ี 2 จะไดส้ เี พ่ิมข้นึ อีก 6 สี
4) สีกลาง (Neutral Color) คือ สที ่ีเกิดการผสมสีทกุ สี ในวงจรสี หรอื แม่สี 3สี ผสมกัน
จะได้สีเทาแก่สีท้งั 3ขนั้ เมอื่ นำมาจัดอย่เู ป็นวงจรจะไดล้ ักษณะเปน็ วงล้อสี
5) สีตรงข้าม (Complementary Color) หมายถึง สีท่ีอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกันใน
วงจรสี และมีการตัดกันอย่างเด่นชัดซ่ึงจะให้ความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน หากนำมาผสมกันจะได้สีกลาง (เทา)
ซึง่ มที ง้ั หมด 6 คู่ ไดแ้ ก่

- สีเหลอื ง ตรงขา้ มกับ สีมว่ ง
- สแี ดง ตรงขา้ มกับ สเี ขยี ว
- สีน้ำเงิน ตรงขา้ มกับ สสี ้ม
- สีเขียวเหลอื ง ตรงขา้ มกบั สีมว่ งแดง
- สีสม้ แดง ตรงข้ามกับ สเี ขียวนำ้ เงิน
- สีมว่ งน้ำเงนิ ตรงข้ามกบั สีสม้ เหลอื ง

2.6 ความรู้เก่ยี วกับการเพ้นท์สี
การออกแบบงานเพ้นท์ เปน็ งานทอี่ อกแบบเพื่อกล่มุ คนทีร่ กั ความสวยงามในการสร้างสรรคง์ าน

ศลิ ปะและชอบทีจ่ ะหาความแปลกใหมข่ องการสรา้ งสรรคง์ านศิลปะทแี่ ตกตา่ งให้กบั ชีวิต ชอบและรักการ
ตกแต่งหรอื ชอบสะสมสิ่งทแ่ี ปลกใหม่ ไม่จำกัดว่าจะเปน็ กลมุ่ คนเพศไหน หรือว่าเป็นหนว่ ยงานไหน จะ
เป็นกลุ่มคนทเี่ รียนหรือศกึ ษาอยู่หรืออาจจะทำงานแลว้ และมกี ำลังการซอื้ ผลิตภัณฑ์ทไ่ี ด้ทำการออกแบบ
เพน้ ทน์ ้ี สามารถพัฒนาเป็นสนิ คา้ ของทรี่ ะลกึ ของฝาก สนิ คา้ OTOP เพื่อสร้างรายได้ให้กับกลุม่ คนท่ีมี
ฝีมอื ในด้านการสร้างสรรคง์ านเพ้นท์ และยงั สามาสร้างรายได้ ในเวลาว่างอกี ดว้ ย สำหรับวัสดุที่ใช้ ไดแ้ ก่

- ลวดลายทไ่ี ดม้ กี ารออกแบบไว้
- วสั ดุกลอ่ งไมร้ ูปทรงตา่ งๆท่จี ะทำการเพน้ ทล์ าย
- สีอะครลิ ิค

25

- สที าบา้ น (ทาลองพ้ืน)
- สสี เปรยเ์ คลอื บเงา
- อุปกรณท์ ใ่ี ช้ในการเพน้ ท์
การเพ้นท์สี ยังทำให้มีภาพท่ีโดดเด่น สวยงามเป็นที่สะดุดตาและน่าจดจำ โดยการใช้ชุดสีแบบ
หลักการใช้สปี ระกอบรวมแบบวรรณะ(TONE) โดยจะเน้นให้เกิดความกลมกลนื ดว้ ยสีต่างวรรณะจะไม่ใช้สี
เพิง่ วรรณะใดวรรณะหน่ึงโดดเด่ยี ว โดยจะกำหนดอัตราการใชส้ ีให้เกดิ การตดั กนั มากน้อยไว้ การออกแบบ
เพ้นทจ์ ะสามารถสะทอ้ นอารมณ์ความรสู้ ึกและสิง่ ท่ีมนุษย์นกึ คิดได้เป็นอย่างดีจากลวดลายและสสี ันทใ่ี ชใ้ น
การเพ้นท์งานแต่ละชิ้น จึงได้นำเอาการออกแบบเพ้นท์มาประยุกต์เพ่ือสร้างภาพลักษณ์ความแตกต่าง
ใหก้ ับตวั ของผลิตภณั ฑ์

2.7 งานวจิ ัยที่เก่ยี วขอ้ ง
ไพบูลย์ อาชารุ่งโรจน์ (2562) ศึกษาปัจจัยแรงจูงใจและเครื่องมือส่ือสารทางการตลาดแบบ

บูรณาการท่ีส่งผลต่อแนวโน้มพฤติกรรมการใช้ถุงผ้าลดโลกร้อนพบว่าผู้บริโภคมีแรงจูงใจในถุงผ้าลดโลก
ร้อนมีการรับรู้เครื่องมือส่ือสารทางการตลาดและมีแนวโน้มพฤติกรรมการใช้ถุงผ้าลดโลกร้อนในภาพรวม
และรายไดอ้ ยใู่ นระดับปานกลางผู้บริโภคท่ีมีเพศและอาชีพแตกต่างกันมีแนวโน้มพฤติกรรมการใช้ถงุ ผา้ ใน
ภาพรวมแตกต่างกัน ปัจจัยแรงจูงใจการใชถ้ ุงผ้าในดา้ นเหตผุ ลและอารมณท์ ้ัง 2 ด้านมีอิทธิพลต่อแนวโนม้
พฤติกรรมการใช้ถุงผ้าลดโลกร้อนในภาพรวมและรายด้านและเครื่องมือสื่อสารทางการตลาดด้านการจัด
กจิ กรรมดา้ นการโฆษณาและด้านการสง่ เสริมการใช้ถุงผ้า

สุพาดา สิริกุตตา (2561) การวิจัยน้ีมีวตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษาปจั จัยแรงจูงใจและเครอื่ งมือสื่อสาร
ทางการตลาดแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อแนวโน้มพฤติกรรมการใช้ถุงผ้าลดโลกร้อนโดยเก็บแบบสอบถาม
จากผู้บริโภคที่ซ้ือสินค้าในซุปเปอร์มาร์เกตที่ห้างสรรพสินค้าในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 400 ตัวอย่าง
ผลการวิจัยพบว่าผู้บริโภคมีแรงจูงใจในการใช้ถุงผ้าลดโลกร้อนมีการรับรู้เคร่ืองมือสื่อสารทางการตลาด
แบบบูรณาการและแนวโน้มพฤติกรรมการใช้ถุงผ้าลดโลกร้อนในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระ ดับปาน
กลางผ้บู ริโภคท่มี ีเพศและอาชีพแตกต่างกันมีแนวโน้มพฤติกรรมการใชถ้ งุ ผ้าในภาพรวมแตกตา่ งกันอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ปัจจัยแรงจูงใจการใช้ถุงผ้าในด้านเหตุผลและอารมณ์ทั้ง 2 ด้านมีอิทธิพล
ต่อแนวโน้มพฤติกรรมการใชถ้ ุงผ้าลดโลกร้อนในภาพรวมและรายด้านและเครื่องมือส่ือสารทางการตลาด
แบบบรู ณาการดา้ นการจัดกิจกรรมด้านการโฆษณาและด้านการส่งเสริมการใช้ถุงผ้ามีอิทธิพลตอ่ แนวโน้ม
พฤตกิ รรมการใช้ถงุ ผา้ ลดโลกร้อนในภาพรวมอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .01

26

กมลวรรณ พัชรพรพิพัฒน์สารสุข (2560) การวิจัยนี้มีของชุมชนนักวิชาการและนักออกแบบ
และการวิจยั เชิงปริมาณผวู้ ิจัยใชท้ ำแบบสอบถาม(Questionnaire) เก็บขอ้ มลู จากกลุ่มตวั อย่างจำนวน 50
คนจากน้ันวิเคราะห์ผลที่ได้เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนในการออกแบบผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้วิจัยค้นพบ
องค์ประกอบของการพัฒนาศักยภาพทางการออกแบบผลิตภัณฑ์แฟชั่นประเภทกระเป๋าจากเศษผ้าทอ
เหลือใชจ้ ากกระบวนการตัดที่สามารถสร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับผลติ ภัณฑ์กระเป๋าท่ีเหมาะสมกับศักยภาพของ
ชุมชนและสร้างแนวทางจำนวน 3 แนวทางที่เหมาะสมกับศักยภาพเดิมของชุมชน 2) ผู้วิจัยนำเสนอ
ผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์แฟชั่นประเภทกระเปา๋ ให้แก่ชมุ ชนทอผ้าบ้านเฮ้ียอำเภอปัวจังหวดั น่านโดย
ผลิตกระเปา๋ จำนวน 3 แบบตาม 3 แนวทางทค่ี ้นพบเพ่ือพัฒนาเปน็ ตน้ แบบกระเปา๋ จากเศษผา้ ใหแ้ ก่ชมุ ชน
ส่งผลให้ชุมชนเกดิ ประสทิ ธภิ าพในการเรียนรู้และเขา้ ใจสามารถพฒั นาศกั ยภาพในการออกแบบของชมุ ชน
ให้อยู่ได้เองอย่างย่ังยืนออกแบบผลิตภัณฑ์แฟชั่นประเภทกระเป๋าให้แก่ชุมชนทอผ้าบ้านเฮี้ยอำเภอปัว
จังหวัดน่านโดยผลิตกระเป๋าจำนวน 3 แบบตาม 3 แนวทางที่ค้นพบเพ่ือพัฒนาเป็นต้นแบบกระเป๋าจาก
เศษผ้าให้แก่ชมุ ชนส่งผลให้ชมุ ชนเกิดประสิทธภิ าพในการเรียนรู้และเข้าใจสามารถพัฒนาศักยภาพในการ
ออกแบบของชมุ ชนให้อยูไ่ ดเ้ องอย่างย่ังยืน

ณัตินลิน คำสุข (2559) การศึกษาเพื่อพัฒนากระเป๋าผ้าใยธรรมชาติเพ่ือทดแทนการใช้ถุงจาก
วัสดสุ ังเคราะห์ในครั้งน้ีมีวตั ถุประสงค์เพื่อพัฒนางานการออกแบบและตัดเย็บประเป๋าจากผ้าใยธรรมชาติ
โดยใช้เทคนิคการตัดเย็บผ้า 7 รูปแบบพัฒนาให้ได้ต้นแบบของกระเป๋าผ้าท่ีเป็นท่ีต้องการใช้ท้ังขนาดและ
รูปแบบที่เหมาะสมจากผ้าใยธรรมชาตแิ ล้วพบว่าผ้าจากใยฝ้ายcotton เปน็ ผ้าที่ไดร้ ับความนิยมสูงสุดด้วย
มีคณุ สมบัตทิ ี่ดูแลรักษาง่ายไมท่ ำลายสภาวะแวดลอ้ มมีลักษณะเฉพาะที่สวยงามเมอ่ื ตกแต่งแล้วสามารถใช้
ทดแทนการใชถ้ ุงจากวัสดุสังเคราะหไ์ ดด้ ีผลจาการศึกษาในคร้ังน้ียังได้วิธีการและเทคนคิ การผลิตรวมไปถงึ
ได้กระเป๋าถงึ 15 รปู แบบพรอ้ มแบบตัดสำเรจ็ เมอื่ นำไปฝกึ อบรมใหผ้ ู้สนใจก็ได้รับความสะดวกผ้เู ข้ารับการ
อบรมสามารถตัดเย็บเสร็จภายใน 1 วันได้รับแบบตัดและกระเป๋าท่ีเย็บด้วยตนเองไปดูเป็นต้นแบบต่อไป
ยงั สามารถลอกแบบทีต่ นสนใจนอกเหนือจากแบบทต่ี นเลือก

อัจฉราพรรณ ลีฬพันธ์ (2558) ถุงพลาสติกเป็นส่ิงประดิษฐ์ที่กำเนินข้ึนมาเพื่อตอบสนองความ
ตอ้ งการของผูบ้ รโิ ภคเกดิ ความสะดวกสบายขนึ้ ในการดำเนินชวี ิตประจำวัน โดยเฉพาะเมอ่ื ตอ้ งไปซื้อสินค้า
ต่างๆ แต่ยิ่งมีการใช้ถุงพลาสติกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็เท่ากับการสร้างขยะให้แก่โลกมากข้ึน เท่าน้ัน ปัจจุบัน
หลายๆประเทศทั่วโลกได้ตระหนักถึงปัญหาขยะจากถุงพลาสติกมากขึ้น เท่านั้น ปัจจุบันหลายๆประเทศ
ได้ตระหนักถึงปัญหาน้ีมากขึ้น ส่งผลให้เกิดมาตรการในการลดใชถ้ ุงพลาสติกอย่างจริงจัง สำหรับประเทศ
ไทยมีการใช้ถุงพลาสติก 20ล้านตันต่อปี แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายควบคุมการใช้ถุงพลาสติกเข้มงวดเหมือน
ประเทศอื่นๆ ด้วยเหตุทำให้ผู้ทำวิจัย4สนใจที่จะศึกษาเจตคติและพฤติกรรมการลดใช้ถุงพลาสติกของ

27

ประชาชน ผลการวิจัยพบว่าประชาชนเคยเห็นหรือรู้จักโครงการ ประสบความสำเร็จ สำหรับเหตุผลที่ทำ
ให้ประชาชนท่ีคิดว่าโครงการลดการใช้ถุงพลาสติกไม่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ ความเคยชินของ
พฤติกรรม คนไม่มีจิตสำนึก ถุงพลาสติกเป็นสิ่งที่จำเป็นและสะดวกเพราะยังไม่มีวัสดุอื่นทดแทนดีกว่า
ผ้ขู ายยงั คงใชถ้ ุงพลาสตกิ ใสส่ ินค้าใหแ้ ละขาดการสนบั สนุนจากภาครัฐ

ปุณยาพร โพธ์ิแดงและคณะ (2558) การใช้ถุงขยะฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นพลาสติกเป็นวัสดุ
สังเคราะห์ท่ีมีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันของมนุษย์ในยุคนี้พลาสติกมีคุณสมบัติในด้านนราคาถูก
น้ำหนักเบาแข็งแรงทนทานทำให้พลาสติกกลายเป็นท่ีนิยมและมีปริมาณการใช้งานเพิ่มมากข้ึนอย่าง
ตอ่ เนื่องเช่นถุงพลาสติกบรรจุภัณฑ์ใส่อาหารของเล่นเด็กเฟอร์นิเจอร์ถึงแม้พลาสติกจะมีความสะดวกและ
มีข้อดีมากกว่าวัสดุอื่นๆแต่สารประกอบในพลาสติกบางชนิดก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้นอกจากน้ี
ในกระบวนการผลิตพลาสติกจะมีการเพิ่มสารเติมแต่งบางชนิดลงไปเช่นสารเสริมสภาพพลาสติกสารคง
สภาพพลาสติกสารยับยงั้ ปฏิกริ ยิ าและสารสีตา่ งๆดัง้ น้ันการขาดความร้แู ละมีความเข้าใจผิดเกยี่ วกับการใช้
งานพลาสตกิ อาจทำให้สารเคมีจากผลิตภัณฑ์พลาสตกิ ถูกชะและปนเปื้อนสู่อาหารและเคร่ืองดมื่ ได้ซ่ึงอาจ
ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผ้บู ริโภคนอกจากน้ีปรมิ าณการใช้พลาสตกิ ที่เพ่มิ มากข้ึนทำให้เกิดของ
เสียท่ีเป็นภาระในการจัดเก็บและการทำลายโดยเฉพาะพลาสติกบางชนิดที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศในท่ีสุดแม้การใช้งานพลาสติกจะมีประโยชน์ในหลายๆดา้ นแตโ่ ทษ
และผลเสียจากการใช้พลาสตกิ ก็มีอยู่มากเช่นกันการใช้งานพลาสติกทุกคร้ังจึงควรคำนงึ ถึงความปลอดภัย
ต่อสุขภาพโดยเฉพาะกับทารกและเด็กในด้านสิ่งแวดล้อมเราควรเลือกใช้พลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้
ใหมไ่ ด้หรอื พลาสติกท่ีสามารถย่อยสลายไดเ้ พ่ือลดผลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม

วรางคณา ศรนิล (2555) ได้ทำการวิจัยเรื่องมาตรการทางนโยบายเพ่ือลดการใช้ถุงพลาสติก
ประสบการณ์ของต่างประเทศกับการประยุกต์ใช้ในประเทศไทยผลการวิจัยพบว่าประเทศต่างๆให้
ความสำคัญกับปริมาตรการใช้ถุงพลาสติกและปัญหาขยะถุงพลาสติกเพ่ือมากขึ้นโดยเฉพาะถุงพลาสตกิ หู
หิ้วที่ผลิตจากโพลิเอทธิลีนความหนาแน่นสูงมาตรการทางนโยบายได้ถูกนำมาใชเ้ พื่อลดปญั หาที่เกิดขึ้นซ่ึง
มีมาตรการทางกฎหมายและมาตรการสมัครใจบางประเทศดำเนินมาตรตราการด้วยรูปแบบใดรูปแบบ
หนึ่งบางประเทศดำเนินการมาตรการท้ังสองแบบควบคู่กันไปผลก ารดำเนินงานพบว่ามาตรการทาง
กฎหมายประสบความสำเร็จในการลดปริมาณการใชล้ งไดม้ ากกวา่ แตค่ วามสำเรจ็ มีแนวโนม้ ลดลงเม่ือเวลา
ผ่านไปอย่างไรก็ตามการดำเนินมาตรการการสมัครใจก็พบว่าสามารถประสบความสำเร็จเช่นกันหาก
ดำเนินการในระดับเมืองห รือชุมชนโดยเฉพ าะเมืองและชุมชนท่ี ได้รับผ ลกระท บโดยตรงจากขยะ
ถุงพลาสติกเช่นเมืองนักท่องเที่ยวโดยมีปัจจัยความสำเร็จท่ีสำคัญคือความมุ่งมั่นและเสียสละของ
ผู้ดำเนนิ การ

28

นิตยา โตทัยและคณะ (2551) ไดท้ ำการวิจัยเรื่องความคิดเห็นของการใช้ถุงผา้ แทนถุงพลาสติก
เพื่อลดภาวะโลกร้อนของลูกค้าที่เดินเท่ียวในจตุจักรเพ่ือเปรียบเทียบความคิดเห็นของการใช้ถุงผ้าแทน
ถุงพลาสติกระหว่างลูกค้าท่ีมีอาชีพแตกต่างกันที่เดินเท่ียวในสวนจตุจักรเพื่อศึกษาความคิดเห็นการใช้ถุง
ผ้าแทนถุงพลาสติกของลูกค้าผลการวิจัยพบว่ากว่าร้อยละ 58.3 ที่ใช้ให้ความสำคัญกับกรใช้ถุงผ้าแทน
ถุงพลาสตกิ

บทท่ี 3
วิธดี ำเนินการสมั มนา

ในการจัดสัมมนาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ เพ่ือให้ผู้ที่เข้าร่วมสัมมนาเกิดความรู้ ความเข้าใจ
เก่ียวกับวิธีการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเกิดความคิดสร้างสรรค์ใน
การเพ้นท์สี และเพ่ือให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเกิดสมาธิจากการทำกิจกรรมการเพ้นท์สีอะคริลิก ซ่ึงคณะ
ผู้จัดสมั มนาไดด้ ำเนนิ การตามขัน้ ตอนดงั น้ี

3.1 ประชากรกล่มุ ตวั อย่าง
นักศึกษาสาขาวิชาการโรงแรม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง ชั้นปีที่ 2 ห้อง 2 และ 3

ประกอบด้วยนักศกึ ษาระดบั ชั้น ปวส. 2/2 จำนวน 25 คน และนกั ศกึ ษาระดับช้ัน ปวส. 2/3 จำนวน 24
คน รวมผ้เู ขา้ รว่ มสัมมนาทั้งสน้ิ 48 คน

3.2 เครือ่ งมือในการศกึ ษา
- แบบลงทะเบยี นเขา้ รว่ มสมั มนา
- แบบทดสอบความร้เู บื้องตน้ ก่อนการสมั มนา
- แบบสงั เกตการณม์ สี ่วนรว่ ม
- แบบประเมินความพึงพอใจและประเมินผลในการจดั สัมมนา
- แบบทดสอบความรหู้ ลงั การสัมมนา

3.3 การดำเนนิ การศกึ ษา
3.3.1 การเตรียมการ
1) ประชุมและคดิ หัวขอ้ การจัดสัมมนา

ภาพที่ 3.1 แสดงภาพการประชมุ และคดิ หวั ขอ้ การจดั สัมมนา

30

2) เสนอโครงรา่ งเพ่อื พจิ ารณาอนุมัตกิ ารจดั สมั มนา

ภาพที่ 3.2 แสดงภาพเอกสารการเสนอโครงรา่ งทผ่ี า่ นการอนมุ ัตใิ ห้จดั การสมั มนา

3) วางแผนดำเนินการจัดสมั มนา

ภาพที่ 3.3 แสดงภาพการวางแผนดำเนนิ การจัดสัมมนา

31

4) ตดิ ตอ่ วิทยากรและจัดทำบนั ทกึ ขอ้ ความขอเชญิ วทิ ยากร

ภาพท่ี 3.4 แสดงภาพเอกสารบนั ทึกขอ้ ความขอเชิญวิทยากร

5) จัดเตรียมการจัดสมั มนา ไม่วา่ จะดา้ นสถานท่ี ดา้ นเอกสารในการจัดสมั มนา
ด้านอุปกรณ์ของใชต้ า่ ง ๆ ในการจัดสมั มนา

ภาพที่ 3.5 แสดงภาพการจดั เตรยี มอปุ กรณ์ในการจดั สมั มนา

32

3.3.2 การดำเนินการจดั สมั มนา
1) ลงทะเบียนผู้เข้ารว่ มการสมั มนา

ภาพที่ 3.6 แสดงภาพการลงทะเบียนของผ้เู ขา้ ร่วมสมั มนา

2) พธิ เี ปิดการประชมุ สัมมนาเรื่อง “เทคนิคการเพ้นท์สีอะครลิ กิ ลงบนกระเปา๋ ผา้ หรู ดู ”

ภาพท่ี 3.7 แสดงภาพพธิ ีเปดิ การประชุมสัมมนา

3) วิทยากรบรรยายใหค้ วามรเู้ ก่ียวกับหวั ขอ้ สัมมนา

ภาพที่ 3.8 แสดงภาพวทิ ยากรบรรยายให้ความรู้

33

4) พกั รับประทานอาหารอาหารว่างและเครื่องดืม่

ภาพที่ 3.9 แสดงภาพอาหารว่าง

5) ผ้เู ข้ารว่ มสมั มนาลงมอื ปฏบิ ตั ิวาดรปู และเพน้ ท์สีอะครลิ กิ ลงบนกระเป๋าผา้ หรู ดู

ภาพที่ 3.10 แสดงภาพผเู้ ข้าร่วมสัมมนาลงมอื ปฏบิ ตั ิวาดรปู และเพ้นท์สีอะครลิ ิกลงบนกระเปา๋ ผ้าหูรูด

6) พิธปี ดิ การสัมมนา เรือ่ ง “เทคนิคการเพน้ ทส์ อี ะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหรู ดู ”

ภาพท่ี 3.11 แสดงภาพพธิ ีปดิ การประชมุ สมั มนา

34

3.3.3 ประเมนิ ผลการดำเนนิ งาน
โดยทางคณะผจู้ ดั สัมมนาไดจ้ ดั แบง่ การประเมินผลดังน้ี
1) แบบลงทะเบยี น
2) แบบทดสอบความรเู้ บื้องตน้ กอ่ นการสัมมนา
3) แบบสังเกตการณม์ สี ว่ นร่วม
4) แบบประเมนิ ความพึงพอใจและประเมินผลในการจัดสมั มนา
5) แบบทดสอบความรหู้ ลังการสัมมนา

3.4 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ผู้จัดทำสัมมนาได้รวบรวมข้อมูลการจัดสัมมนาผ่านการประเมินออนไลน์ โดยเร่ิมต้ังแต่การ

ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนา แบบทดสอบความรู้เบ้ือต้นก่อนการสัมมนา แบบสอบถามความพึงพอใจ
และแบบทดสอบความร้หู ลังการจดั สัมมนา ได้ดังน้ี

3.4.1 การลงทะเบยี นเข้าร่วมสมั มนา
การลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาผู้จัดทำสัมมนาจะให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาลงทะเบียนโดย

ผา่ นการสแกนคิวอาร์โค้ด เพ่ือให้ผู้เขา้ ร่วมสัมมนากรอกข้อมูลการลงทะเบยี นสัมมนา จากการลงทะเบยี นใน
ครั้งน้ีมีนักศึกษาระดับชั้น ปวส. 2/2 เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 24 คน และนักศึกษาระดับช้ัน ปวส. 2/3 เข้า
ร่วมสัมมนาจำนวน 24 คน รวมผ้เู ขา้ ร่วมสมั มนาทง้ั สนิ้ 48 คน

ภาพที่ 3.12 แสดงภาพคิวอาร์โคด้ การลงทะเบยี นเข้าร่วมสัมมนา

35

3.4.2 แบบทดสอบก่อนการสัมมนา
หลังจากที่ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ทำการลงทะเบียน ผู้จัดทำสัมมนาจึงให้ผู้เข้าร่วม

สัมมนาทำแบบทดสอบความรู้เบ้ืองต้นก่อนการสัมมนาผ่านระบบออนไลน์ Google Form โดยการ
สแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อทดสอบความรู้เบ้ืองต้นของผู้เข้าร่วมสัมมนาก่อนการสัมมนา โดยใช้ข้อคำถาม
5 ขอ้ ดงั น้ี

1) แมส่ ีแบง่ ออกเป็นก่ีประเภท
2) ขอ้ ใดไม่ใช่แม่สี
3) เมอ่ื นำสีขาวมาผสมกบั สแี ดงจะได้สอี ะไร
4) สใี ดคอื สโี ทนเย็น
5) สีทนี่ ำมาใชใ้ นการเพ้นท์สกี ระเปา๋ ผ้าเป็นสปี ระเภทใด

ภาพที่ 3.13 แสดงภาพควิ อาร์โค้ดแบบทดสอบก่อนการสมั มนา

3.4.3 แบบสังเกตการณ์การมสี ่วนรว่ ม
แบบการสังเกตการณ์มีส่วนร่วมเป็นแบบสังเกตการณ์ที่ทางคณะผู้จัดทำสัมมนาจะ

เป็นผูค้ อยสงั เกตผู้เขา้ ร่วมสัมมนาว่าใหค้ วามร่วมมือมากน้อยเพียงใด โดยสมาชกิ ของคณะผจู้ ัดสัมมนา
จะเป็นผูป้ ระเมนิ โดยมีข้อหัวการประเมนิ ดงั น้ี

1) ผเู้ ขา้ รว่ มสัมมนาให้ความร่วมมือสวมหนา้ กากอนามัยตลอดการจัดสัมมนา
2) ผเู้ ขา้ ร่วมสัมมนาให้ความสนใจในการรบั ชมวดิ ีวิทยากรบรรยายใหค้ วามรู้
3) ผเู้ ขา้ ร่วมสัมมนาใหค้ วามร่วมมอื รบั ฟังคำอธิบายของคณะผู้จดั ทำ
4) ผู้เข้าร่วมสมั มนาให้ความรว่ มมือในการลงมือปฏิบตั ิ
5) ผเู้ ขา้ ร่วมสัมมนาให้ความสนใจในการเขา้ ร่วมการประกวดผลงาน

36

ภาพท่ี 3.14 แสดงภาพคิวอาร์โค้ดแบบทดสอบก่อนการสมั มนา

3.4.4 แบบประเมินความพึงพอใจและแบบทดสอบหลงั การสมั มนา
คณะผู้จัดสัมมนาได้จัดทำแบบประเมินความพึงพอใจและแบบทดสอบหลังการ

สัมมนา ผ่านระบบออนไลน์ Google Form เพ่ือสอบถามความพึงพอใจเกี่ยวกับการจัดสัมมนาและ
เพื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจของผู้เข้าร่วมสัมมนาหลังจากเสร็จส้ินการสัมมนาว่าได้รับความรู้และ
เข้าใจถึงเทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูดหรือไม่ โดยมีหัวข้อที่ใช้ในการประเมิน
และข้อคำถามดังนี้

1) แบบประเมินความพงึ พอใจ
1.1 หัวขอ้ เรือ่ งสัมมนามีความทันสมัยเหมาะสมกบั สภาพการณป์ จั จบุ นั
1.2 หวั ขอ้ ข้อเรอื่ งสัมมนามคี วามเหมาะสมตรงกับความต้องการเรียนรู้ของ

ผู้เขา้ รว่ มสมั มนา
1.3 วทิ ยากรมคี วามร้แู ละประสบการณ์ตรงกบั หวั ขอ้ ที่บรรยาย
1.4 วทิ ยากรมคี วามสามารถในการถา่ ยทอด
1.5 เกิดความรู้ ความเขา้ ใจเกยี่ วกับการเพ้นท์สอี ะคริลิก
1.6 สามารถนำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจำวนั
1.7 ความเหมาสมของเวลาที่ใชใ้ นการสมั มนา
1.8 ความเหมาะสมของส่อื ในการจดั การสมั มนา
1.9 ผู้เข้ารว่ มสัมมนามีสว่ นรว่ มในการทำกจิ กรรมการสัมมนา
1.10 ความเหมาะสมของการจัดอาหารว่างและเครอ่ื งด่มื

37

2) แบบทดสอบหลังการสมั มนา
2.1 ข้อใดไมใ่ ชแ่ มส่ ี
2.2 สแี ทท้ ่ีถูกผสมดว้ ยสขี าว จนสอี อ่ นหรือจาง เชน่ สเี ทา สีชมพู เรียกว่าอะไร
2.3 สใี ดคอื สีโทนเยน็
2.4 สแี ทท้ ีถ่ ูกผสมด้วยสดี ำ จนเป็นสแี ก่ เรยี กว่าอะไร
2.5 สีทยี่ ังไม่ถูกสีอน่ื ผสม เป็นลักษณะของสแี ท้ที่มคี วามสะอาดตาสดใส เชน่

สีแดง เหลือง น้ำเงิน เรียกว่าอะไร

ภาพที่ 3.15 แสดงภาพควิ อาร์โคด้ แบบประเมนิ ความพึงพอใจ
และแบบทดสอบหลงั การสมั มนา

3.5 การวิเคราะห์และสรุปผล
จากการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง เทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด

ข้อมูลท่ีได้จากการเก็บรวบรวม ผู้จัดสัมมนาได้ทำการตรวจสอบความเรียบร้อยสมบูรณ์ของ แบบ
ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนา แบบทดสอบก่อนการสัมมนา แบบสังเกตการณ์มีส่วนร่วม แบบสอบถาม
ความพึงพอใจ และแบบทดสอบความรู้หลังการสัมมนา และนำข้อมูลมาประมวลผลวิเคราะห์ด้วย
โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปสำหรับการคิดค่าร้อยละ (%) การหาค่าเฉลี่ย ( ̅) และส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน (S.D) ดงั นี้

3.5.1 การวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนผู้ลงทะเบียน แบบทดสอบก่อนการสัมมนา แบบสอบถาม
ความพึงพอใจและแบบทดสอบความรู้หลังการสัมมนา ได้แก่การหาค่าความถี่ (Frequency)
และค่ารอ้ ยละ (Percentage)

38

สูตรการหาค่าร้อยละ

เมื่อ P แทน รอ้ ยละ
F แทน ความถท่ี ต่ี ้องการแปลคา่ ใหเ้ ป็นรอ้ ยละ
N แทน จำนวนขอ้ มูลท้ังหมด

3.5.2 การวิเคราะห์ข้อมลู แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมสมั มนา ในการวิเคราะห์
ไดแ้ ก่ การหาค่าเฉล่ยี ( ̅) และ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D)

สตู รการหาค่าเฉลย่ี

เม่อื X แทน ค่าเฉล่ีย
∑X แทน ผลรวมทัง้ หมดของความถี่ คูณ คะแนน
N แทน ผลรวมท้งั หมดของความถซี่ ง่ึ มีคา่ เท่ากบั จำนวนข้อมลู ทงั้ หมด

สูตรการหาสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน

เมอ่ื S.D. แทน ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
N แทน จำนวนค่ทู ้ังหมด
X แทน คะแนนแต่ละตัวในกลุม่ ขอ้ มลู
∑X แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนแตล่ ะคู่

โดยมเี กณฑ์การประเมนิ ดงั นี้
ดมี าก ใหม้ ีคา่ คะแนนเป็น 5
ดี ให้มีค่าคะแนนเป็น 4
ปานกลาง ให้มคี ่าคะแนนเป็น 3
นอ้ ย ให้มคี ่าคะแนนเป็น 2
น้อยทีส่ ดุ ให้มคี ่าคะแนนเปน็ 1

39

นำแบบสอบถามท่ีลงคะแนนเรียบรอ้ ยแล้วไปประมวลผลข้อมลู โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์
สำเร็จรูป พรอ้ มกำหนดเกณฑ์การใหค้ ะแนนคา่ เฉลยี่ ดงั น้ี

คะแนนเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถงึ ระดบั ความพงึ พอใจอยูใ่ นระดับดมี าก
คะแนนเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถงึ ระดบั ความพึงพอใจอยู่ในระดบั ดี
คะแนนเฉล่ีย 2.51-3.50 หมายถงึ ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดบั ปานกลาง
คะแนนเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง ระดบั ความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั นอ้ ย
คะแนนเฉลย่ี 1.00-1.50 หมายถึง ระดบั ความพงึ พอใจอยูใ่ นระดับน้อยทีส่ ุด
3.5.3 การวเิ คราะหข์ ้อมูล ข้อเสนอแนะ

การวิเคราะหข์ ้อมลู ข้อเสนอแนะซึง่ เป็นคำถามปลายเปิด เพ่ือให้ผู้ตอบแบบสอบถาม
ความพงึ พอใจได้แสดงความคิดเห็นอย่างเปดิ กว้างเกย่ี วกับการจดั สัมมนาเร่ือง เทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิก
ลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด ซ่ึงเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยมีลำดับการวิเคราะห์มูลดังน้ี
ทำความคุ้นเคยกับข้อมลู กำหนดกรอบประเด็น สรุปข้อมูล แปลความหรือเปรียบเทียบโดยการอุปมา
อปุ มยั และบรรยายเปน็ เชิงพรรณนา ใหเ้ หมาะสมและเปน็ ประโยชน์สอดคล้องกบั รายงาน

บทท่ี 4
ผลการดำเนนิ งาน

จากการสัมมนาเรื่อง เทคนิคการเพ้นท์สีอะคริลิกลงบนกระเป๋าผ้าหูรูด ในครั้งน้ี สามารถ
แสดงผลการศึกษาและ วิเคราะห์ข้อมูลได้ประกอบไปด้วย ผลการวิเคราะห์จำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนา
ผลกการวิเคราะห์แบบ สังเกตการณ์ ผลการวิเคราะห์ความพึงใจของผู้เข้าร่วมสัมมนาและข้อเสนอแนะ

4.1 ผลการวเิ คราะหจ์ ำนวนผูเ้ ขา้ ร่วมสัมมนา
การวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 48 คน ซึ่งเป็น อาจารย์และนักเรียน

นักศกึ ษาสาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลยั อาชวี ศึกษาเชยี งใหม่ ปรากฏผลดงั ตารางต่อไปน้ี

ตารางท่ี 4.1 แสดงจำนวนและรอ้ ยละข้อมลู ของผูเ้ ข้ารว่ มสัมมนาจำแนกตามตัวแปรเพศ (N=48)

เพศ จำนวน (คน( ร้อยละ

ชาย 8 16.66

หญิง 40 83.33

รวม 48 100.00

ตารางท่ี 4.1 พบว่าข้อมลู ของผู้เขา้ ร่วมสัมมนาเมอ่ื จำแนกตามเพศ ส่วนใหญเ่ ปน็ เพศหญิง

จำนวน 40 คน คดิ เป็นร้อยละ 83.33 และเปน็ เพศชาย จำนวน 8 คน คดิ เป็นร้อยละ 16.66

ตารางที่ 4.2 จำนวนและร้อยละของผู้เขา้ ร่วมสัมมนาจำแนกตามตวั แปรอายุ (N=48)

อายุ จำนวน (คน) รอ้ ยละ

15 - 19 ปี 7 14.58

20 - 24 ปี 38 79.16

25 - 29 ปี 3 6.23

30 ปขี ้ึนไป 0 0

รวม 48 100

ตารางที่ 4.2 จำนวนและร้อยละของผู้เข้าร่วมสัมมนาเม่ือจำแนกตามอายุพบว่า ผู้เข้าร่วม

สัมมนาส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20-24 ปี จำนวน 38 คน คิดเป็นร้อยละ 79.16 รองลงมาคือช่วงอายุ

15 - 19 ปี จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 14.58 และลำดับสุดท้ายอายุอยู่ในช่วง 25 - 29 ปี จำนวน

3 คน คิดเปน็ ร้อยละ 6.23


Click to View FlipBook Version