หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1
เร่ือง งานเขียนแบบ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
เมื่อศกึ ษาหน่วยการเรียนนีแ้ ล้วให้นกั เรียนมีความรู้ความสามารถตอ่ ไปนี ้
1. อธิบายความหมาย ความสาคญั ของงานเขียนแบบได้
2. บอกประเภทของงานเขียนแบบได้
3. บอกประโยชน์ของงานเขียนแบบได้
4. จดั ทาแผนผงั มโนทศั น์เรื่องงานเขียนแบบได้
สาระการเรียนรู้
1. ความหมาย ความสาคญั ของงานเขียนแบบ
2. ประเภทของงานเขียนแบบ
3. ประโยชน์ของงานเขียนแบบ
ความหมายของงานเขียนแบบ
งานเขียนแบบคือ การถ่ายทอดความคิดและจินตนาการของวิศวกรหรือสถาปนิก ออกมาให้ปรากฏ
เป็ นรูปร่าง ลกั ษณะและรูปทรงต่าง ๆ ในกระดาษเขียนแบบ ซง่ึ สามารถนาไปปฏิบตั ิและทาได้จริง ดงั นนั ้ การ
เขียนแบบจึงเป็ นงานที่ถ่ายทอดความคิดอย่างสร้ างสรรค์ ด้วยการบูรณาการความคิดและจินตนาการเข้า
ด้วยกนั อย่างถกู ต้องเหมาะสมและสวยงาม
ความสาคัญของงานเขียนแบบ
แบบคือหวั ใจของงานชา่ งทกุ สาขา โดยเฉพาะงานช่างอตุ สาหกรรม เป็ นภาษาสากลที่ใช้แสดงหรือสื่อ
ความหมายของงานที่จะสร้าง หรือท่ีต้องการผลิต ภาพหรือรูปร่างที่เราเรียกกันว่าแบบนนั ้ เขียนขนึ ้ โดยอาศยั
เส้นชนิดต่าง ๆ เช่น เส้นตรง เส้นประ สัญลักษณ์ และเคร่ืองหมายเฉพาะอ่ืน ๆ เม่ือประกอบกันขึน้
เป็ นรูปทรง ก็ใช้ส่ือความหมายท่ีให้ผู้ท่เี ก่ียวข้องได้เหน็ รูปร่าง เหน็ ขนาด เหน็ ลักษณะของผวิ สี ชนิด
ของวัสดุ เห็นวิธีการและขัน้ ตอนในการนาไปสร้ างหรือประกอบ ผู้ที่เก่ียวข้องสามารถนาแบบมา
แยกแยะ เพ่ือคานวณปริมาณของวัสดุ ประมาณราคา และระยะเวลาในการผลิตได้ เป็ นการยากที่จะพูดว่า
อาชีพใดบ้างท่ีไม่ต้องการความสามารถในการอ่าน เขียน และเข้าใจแบบ สาหรับอาชีพช่างอตุ สาหกรรมแล้ว
ถือว่าแบบเป็ นหวั ใจสาคญั ของงาน
การจะสร้ างอาคาร สร้ างรถยนต์ โทรทัศน์ วิทยุ ตู้เย็น ของใช้ที่ผลิตขึน้ ในงานอุตสาหกรรม ที่เรา
อปุ โภค บริโภคอย่ทู กุ วนั นี ้ล้วนแล้วแต่ต้องออกแบบและเขียนแบบขนึ ้ มาก่อนทงั ้ สิน้ เม่ือพดู ถึงการเขียนแบบ
เรามกั จะรวมถึงการออกแบบไว้ด้วย หากเราออกแบบได้สวยงาม มีประโยชน์ เป็ นท่ีประทบั ใจแก่ผ้ใู ช้ ย่อมถือ
ว่าแบบมีความสาคญั การออกแบบ เขียนแบบ จึงเปรียบเสมือนเป็ นการวางแผน คือหาวธิ ีท่จี ะสร้าง
หรือผลิตของส่ิงหน่ึงขึน้ มาล่วงหน้า ผ้ทู ี่คิดวางแผนอาจไม่ใช่ผ้สู ร้างหรือผ้ผู ลิต เม่ือออกแบบหรือเขียนแบบ
สาเร็จขึน้ มาแล้ว ผู้ผลิตต้องสามารถเข้าใจแบบ ดังนัน้ การเขียนแบบจะต้องชัดเจน แม่ นยา และ
ตีความหมายแบบได้อย่างเดยี วกัน
ประเภทของงานเขียนแบบ
งานเขียนแบบแบง่ ออกเป็ น ๒ ประเภท คือ
1. งานเขียนแบบด้านสถาปั ตยกรรม (Architectural Drawing) เป็ นงานเขียนแบบท่ีเกี่ยวกับ
สง่ิ ก่อสร้างทกุ ชนดิ เชน่ อาคาร บ้านเรือนต่าง ๆ แบง่ ออกเป็ น 4 ชนดิ คือ
1.1 แบบภาพเหมือน เป็ นการแสดงให้เห็นรูปสาเร็จของชิน้ งานว่า เม่ือสร้ างเสร็จแล้ว
ผลงานจะมีรูปร่างหน้าตาเป็ นอย่างไร ดงั รูปที่ 1.1
รูปท่ี 1.1
ภาพ : www.tumcivil.com/house/2.htm
1.2 แบบรูปด้าน แสดงให้เห็นด้านต่าง ๆ ของวัตถุ หรือส่ิงก่อสร้ างนนั ้ อย่างชัดเจน เช่น ด้านหน้า ด้านบน
ด้านข้าง เป็ นต้น ดงั รูปท่ี 1.2
รูปท่ี 1.2
1.3 แบบโครงสร้ าง เป็ นการแสดงให้เห็นรายละเอียดของโครงสร้ างของอาคารหรือ
สง่ิ ก่อสร้าง เช่น แปลนพืน้ โครงหลงั คา เป็ นต้น ดงั รูปท่ี 1.3
รูปท่ี 1.3
ภาพ : www.tumcivil.com
1.4 แบบรูปตัด เป็ นการแสดงให้เห็นรายละเอียดภายในของโครงสร้ างในส่วนที่สาคญั ให้
เหน็ อยา่ งชดั เจนมากขนึ ้ ดงั รูปที่ 1.4
รูปท่ี 1.4
ภาพ : www.tumcivil.com
2. งานเขี ยนแบบด้ านวิศวกรรม (Engineering Drawing) เป็ นงานเขียนแบบท่ีเก่ียวกับ
เคร่ืองจกั รกล ช่างกลโรงงาน แบ่งออกเป็ น 4 ชนิด คือ
2.1 เขียนแบบเคร่ืองกล(Mechanical Drawing) เป็ นการแสดงให้เหน็ ถงึ แบบชนิ ้ สว่ นตา่ ง ๆ
ของเคร่ืองจักรกล เนื่องจากเคร่ืองจักรกลจะประกอบด้วยรายละเอียดมากจนไม่สามารถจะเขียนรูปแบบ
ทงั ้ หมดได้ในแบบเดียว จาเป็ นต้องแยกเขียนเป็ นชิน้ สว่ นต่าง ๆ เช่น เกลียว น๊อต ลกู สบู เฟื อง เป็ นต้น ดงั รูปท่ี
1.5
รูปท่ี 1.5
ภาพ : www.krusommai.com
2.2 การเขียนแบบงานโลหะ และ โลหะแผ่น (Metal & Sheetmetal Drawing) เป็ นงาน
เขียนแบบทเี่ ก่ียวกบั งานหลอ่ โลหะ แบบแผน่ คลตี่ ่าง ๆ ดงั รูปที่ 1.6
รูปท่ี 1.6
ภาพ : สวสั ด์ิ อดุ มโภชน์. เขยี นแบบเทคนิค 1-2. กรุงเทพฯ: วฒั นาพานชิ , 2536
2.3 เขียนแบบงานไฟฟ้ า อเิ ลคโทรนิกส์ (Electrical Drawing) เป็ นงานเขียนแบบเก่ียวกบั
อปุ กรณ์ไฟฟ้ า วงจรไฟฟ้ า การวางตาแหน่งของวงจร อปุ กรณ์จบั ยึดไฟฟ้ าวงจรวิทยุ โทรทศั น์ เป็ นต้น ดงั รูปท่ี
1.7
รูปท่ี 1.7
รูปวงจรสวติ ซ์ 2 ทาง
2.4 การเขียนแบบช่างสารวจ(Survey Drawing) แสดงแผนผังของเมือง กรรมสิทธิ์ท่ีดิน
รวมทงั ้ ตาแหนง่ ของทอ่ นา้ ประปา ทอ่ ก๊าซ เป็ นต้น ดงั รูปที่ 1.8
รูปท่ี 1.8
ภาพ : www.tumcivil.com
ประโยชน์ของงานเขียนแบบ
1.เพ่ือช่วยบนั ทกึ แนวคดิ สร้างสรรค์ขึน้ ไว้เป็ นรูปแบบท่เี ป็ นรูปธรรม
2. ช่วยในการจดั สดั สว่ นของงานให้มีความงดงามลงตวั
3. ชว่ ยในการคานวณวสั ดทุ ี่ใช้ในการสร้างให้พอดีกบั การทางาน
4. ชว่ ยให้ผ้อู ื่นเข้าใจในความคิดและความต้องการของผ้อู อกแบบ
5. ช่วยให้ผ้อู ่ืนสามารถนาแบบนนั ้ ไปสร้างได้อยา่ งถกู ต้องตามกระบวนการ ตรงตามความ
ต้องการของผ้อู อกแบบ
6. ช่วยจดั ขนั ้ ตอน วธิ ีการทางานได้อยา่ งถกู ต้อง
7. ชว่ ยแก้ปัญหาของช่างทน่ี าแบบไปปฏิบตั จิ ริง
8. ช่วยประหยดั เวลาและค่าใช้จ่ายในการปฏบิ ตั งิ านตามแบบ
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2
เร่ือง มาตรฐานเสน้ ทใี่ ช้ในงานเขียนแบบ และ มาตราส่วน
จุดประสงค์การเรียนรู้
เมอ่ื ศึกษาหนว่ ยการเรียนนีแ้ ล้วให้นักเรยี นมคี วามรู้ความสามารถตอ่ ไปนี้
1. บอกชอ่ื และ ความหมายของเส้นชนิดต่าง ๆ ได้
2. บอกมาตรฐานของเส้นที่ใชใ้ นงานเขียนแบบได้
3. บอกความสาคญั ของมาตราสว่ นได้
4. อธบิ ายมาตราสว่ นท่ีใชใ้ นงานเขยี นแบบได้
สาระการเรยี นรู้
1. ชนิดและความหมายของเส้นทใี่ ช้ในงานเขียนแบบ
2. มาตรฐานการเขียนแบบเส้นที่ใชใ้ นงานเขยี นแบบ
3. ความสาคัญของมาตราสว่ น
4. ชนดิ ของมาตราสว่ น
ชนดิ และความหมายของเส้น
แบบประกอบขึ้นด้วยเส้นชนิดต่าง ๆ เพ่ือให้เกิดเป็นรปู ที่ต้องการ เส้นก็เหมือนตัวอักษร เวลาเรียนเขียน
อ่านผู้เรียนจะเริ่มรู้จักตัวอักษรและการผสมตัวอักษร เขยี นแบบกเ็ ช่นเดียวกัน ผู้เรียนจะต้องรจู้ ักลักษณะของเส้น
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเส้นชนิดใดก็ตามจะต้องสะอาด ทึบ และสม่าเสมอตลอดเส้น โดยจะต้องแสดงให้เห็นความ
แตกต่างระหว่างเสน้ หนากับเส้นบาง
เสน้ ทีใ่ ช้ในงานเขียนแบบมีหลายชนิด แตล่ ะชนดิ จะมีลักษณะและความหมายท่ตี า่ งกนั ออกไป
1. เส้นร่างแบบ (Construction or Guide line) เป็นเสน้ ร่างเบา ๆ ท่ีใช้ร่างรูปทรงของแบบหรือวัตถุ
ที่ต้องการผลิต นอกจากน้ีเส้นร่างแบบยังนามาใช้ร่างเป็นแนวก่อนการเขียนตัวอักษรประกอบแบบ เส้นจะต้องมี
น้าหนักเบา ลบได้ง่าย ดังรูปท่ี 2.1
รปู ที่ 2.1
2. เส้นขอบหรือเส้นกรอบ (Border line) เป็นเส้นแสดงกรอบรูป เพ่ือกาหนดให้เห็นถึงขอบเขตที่จะ
เขยี นรูปให้อย่ภู ายในกรอบทก่ี าหนด เส้นกรอบเป็นเสน้ ทห่ี นาและหนักมาก มีความหนาของเสน้ 0.5 -1 มม. ดงั รูป
ที่ 2.2 เม่ือติดกระดาษลงบนโต๊ะเขียนแบบแล้ว เราจะตีกรอบให้เส้นห่างจากขอบกระดาษ 1 ซม. โดยรอบท้ัง 4
ด้านของกระดาษเขียนแบบ เพอื่ กาหนดให้แบบหรือรปู ทรงท่จี ะเขยี นข้ึนอยูภ่ ายในกรอบน้นั
รูปที่ 2.2
3. เส้นรูปทรงหรือเส้นรูปวัตถุ (Visible Object line) เป็นเส้นหนักแต่ไม่หนักและหนากว่าเส้นกรอบ
แสดงรูปทรงของแบบหรือของวัตถุที่ต้องการสร้างหรือผลิต เส้นรูปทรงเป็นเส้นหนักที่สร้างทับเส้นร่างแบบ หรือ
เส้นรูปร่างให้ชัดเจนข้ึนอีก เส้นรูปทรงควรจะมีน้าหนักเท่ากันตลอดเส้น ทุกเส้นท่ีประกอบกันข้ึนเป็นรูปทรง เส้น
รูปทรงควรมีความหนา 0.25 มม. ดงั รูปที่ 2.3
รปู ที่ 2.3
ภาพ : อนุศกั ด์ิ ฉิน่ ไพศาล. เขียนแบบเทคนิคเบือ้ งตน้ . กรงุ เทพฯ:แมค็ , 2547
4. เสน้ บอกขนาด (Dimension line) เปน็ เสน้ หนกั ปานกลาง หนกั กว่าเส้นร่างแต่หนกั น้อยกว่าเสน้ รูป ใช้
สาหรับบอกขนาด กวา้ ง ยาว สูง หรอื หนาของรปู ทรง ดงั รูปที่ 2.4 โดยมหี ลกั เกณฑก์ ารเขยี นดังน้ี
- เส้นบอกขนาดต้องขนานกับเสน้ รูปมีความยาวเท่ากับขนาดของชิ้นงาน
ใสห่ วั ลกู ศรทป่ี ลายท้ังสองขา้ ง ขนาดของลูกศรท่ีใชย้ าว 3 มม. ความหนาของหัวลูกศร 1 มม.
-เส้นบอกขนาดตอ้ งลากยาวตดิ ต่อกันและมีตัวเลขบอกขนาดอยูต่ รงกลาง เหนอื เส้น
-เส้นบอกขนาดเสน้ แรกควรห่างจากเสน้ รูปไม่น้อยกวา่ 8 มม. หากมี
การบอกขนาดซ้อนกัน 2 เส้น เส้นทสี่ องจะหา่ งจากเส้นแรกอย่างนอ้ ย 5 มม.
-เส้นบอกขนาดจะเขยี นร่วมกบั เส้นกาหนดขนาดเสมอ
หากชอ่ งที่ตอ้ งการบอกขนาดมคี วามยาวน้อยกว่า 10 มม. ลงมา
หวั ลกู ศรควรอยู่ด้านนอกชี้เขา้ ดา้ นใน และมเี สน้ บอกขนาดเช่ือมโยงระหว่างหวั ลูกศร
รูปท่ี 2.4
ภาพ : อนุศกั ดิ์ ฉน่ิ ไพศาล. เขียนแบบเทคนคิ เบอ้ื งตน้ . กรงุ เทพฯ:แม็ค, 2547
5. เส้นตอ่ หรือเส้นช่วยกาหนดขนาด (Extension line) เปน็ เส้นหนักปานกลาง หนักกว่าเส้นร่างแต่หนักน้อย
กว่าเสน้ รปู ดังรูปที่ 2.5 โดยมีหลกั เกณฑ์การเขยี น ดงั น้ี
5.1 เป็นเส้นท่ีลากต่อออกมาจากเส้นรูปของแบบ โดยมรี ะยะห่างจากขอบรปู ประมาณ 1-2 มม.
และลากยาวเลยหวั ลูกศรไปประมาณ 3 มม.
5.2 ไมค่ วรลากเส้นชว่ ยกาหนดขนาดจากภาพฉายด้านหนึ่งข้ามไปยังภาพฉายอกี ด้านหนง่ึ
รูปท่ี 2.5
ภาพ : อนุศักดิ์ ฉิน่ ไพศาล. เขยี นแบบเทคนคิ เบอื้ งตน้ . กรุงเทพฯ:แม็ค, 2547
6. เสน้ ประหรือเสน้ ไข่ปลา (Hidden or Dotted line) เป็นเส้นแสดงวัตถใุ นสว่ นที่ถกู บังเอาไว้ หรือด้านหลังซ่ึง
มองไม่เห็น เช่น วัตถุหรือรูปทรงท่ีเขียนขึ้นมีมุมเว้า หรือรูปทรงต่างไปจากด้านหน้า ก็สามารถแสดงมุมเว้า หรือ
รูปทรงดา้ นหลังท่ีมองไม่เห็นนั้นด้วยเส้นประ เส้นประ เปน็ เส้นเตม็ บาง เส้นประมีลักษณะเป็นเสน้ ส้นั ๆ แต่ละเส้น
มคี วามยาว 3 มม. ช่องวา่ งระหว่างเส้น 1 มม. สลับกันไป ข้อสาคัญ เส้นประจะต้องเริ่มติดกบั เส้นรูปวตั ถุ และจบ
ลงที่จดุ สดุ ทา้ ยสัมผสั กับเสน้ วตั ถุ ดงั รูปท่ี 2.6
รูปท่ี 2.6
ภาพ : พงศ์วทิ ย์ วุฒิวริ ิยะ. เขียนแบบเทคนคิ 1. กรงุ เทพฯ: ศูนยส์ ง่ เสริมอาชวี ะ, ม.ป.ป
7. เส้นศูนย์กลาง (Center line) ใช้แสดงศนู ย์กลางของวัตถทุ ่ีมขี นาดสองข้างสมดลุ กนั เช่น แสดงศนู ย์กลางของ
วงกลม รูปทรงกระบอก เป็นเสน้ เตม็ บาง ยาวและสั้นสลบั กันไป เสน้ ยาว ยาวประมาณ 15 มม. เว้นช่องวา่ ง 1 มม.
และเส้นยาว 15 มม. สลับกันไป เช่นนี้จนส้ินสุดรูปของวัตถุ เส้นศูนย์กลางควรเริ่มต้นและสิ้นสุดลงด้วยเส้นยาว
และไม่ควรมีเส้นอื่นลากผ่านเส้นยาวและเส้นส้ันของเส้นศูนย์กลาง แต่ควรผ่านท่ีชอ่ งว่างระหวา่ งเสน้ ทั้งสอง ดังรูป
ท่ี 2.7
รปู ที่ 2.7
ภาพ : พงศ์วิทย์ วุฒวิ ิรยิ ะ. เขียนแบบเทคนิค 1. กรงุ เทพฯ: ศนู ย์ส่งเสริมอาชวี ะ, ม.ป.ป 5
8. เส้นตัดหรือเส้นท่ีใช้ในการแสดงแนวการผ่าวัตถุ (Cutting Plane line) ปกติแบบจะแสดงรายละเอียด
รูปรา่ งของวตั ถุภายนอก ผอู้ อกแบบและเขยี นแบบตอ้ งแสดงสว่ น ไม่สามารถมองเห็นภายในไวด้ ้วย โดยเฉพาะสว่ น
ภายในของวัตถุท่ีคิดว่าซับซ้อน การแสดงว่าแบบหรือรูปร่างของวัตถุน้ันถูกผ่า ณ จุดใดบ้าง จึงแสดงด้วยเส้นตัด
หรือเสน้ แสดงแนวการผา่ วัตถุ เปน็ เส้นหนักกว่าเส้นรปู ทรง แตเ่ บากวา่ เส้นก้นั ขอบ มี ๒ ชนดิ คอื
8.1 เสน้ ทึบยาว 15 – 35 มม. เส้นส้ันยาว 3 มม. 2 เสน้ โดยเวน้ ช่องวา่ งระหวา่ งเสน้ 1 มม. ปลายทง้ั สอง
ขา้ งของเส้นหักเป็นมุมฉากช้ไี ปในทิศทางทวี่ ตั ถถุ ูกผา่ และใส่ หวั ลกู ศรทีป่ ลายทงั้ สองขา้ ง ดังรทู ี่ 2.8
รูปที่ 2.8
8.2 มีลักษณะเหมอื นเสน้ ประ คือเปน็ เสน้ สน้ั ๆ โดยขนาดของเส้นยาว 6 มม. เว้นช่องวา่ งระหวา่ งเสน้
1 มม. ปลายทั้งสองขา้ งหักเปน็ มุมฉากช้ีตามทิศทางท่ถี กู ผ่า และมหี ัวลกู ศรที่ปลายเส้นทั้งสองข้าง ดังรูปที่ 2.9
รปู ท่ี 2.9
9. เส้นแสดงผิวท่ีถูกตัด เส้นแสดงหน้าตัด (Section line) เป็นเส้นเต็มหนา ใช้แสดงให้ทราบว่าผิวของวัตถุนั้น
เป็นผิวภายใน เป็นผิวที่ถูกผ่าออกมา เส้นดังกล่าวยังแสดงชนิดของวัตถุด้วย คือบอกให้ทราบว่าเป็นผิวของวัตถุที่
เป็นโลหะ หรือไม้ หรืออื่น ๆ ลักษณะเป็นเส้นยาวตลอด โดยเขียนให้เอียงทามุมตามมุมของฉากสามเหล่ียม เช่น
30 องศา 45 องศา และ 60 องศา เมื่อเขียนเส้นแสดงผิวของวัตถุท่ีถกู ตดั ในแบบเป็นมุมเท่าไร ก็ควรรักษามุมเดิม
ไวต้ ลอดในแบบเดียวกัน ดงั รูปที่ 2.10
รปู ที่ 2.10
ภาพ : อนุศักดิ์ ฉ่ินไพศาล. เขยี นแบบเทคนิคเบือ้ งตน้ . กรงุ เทพฯ:แมค็ , 2547
10. เส้นย่นรูป เส้นแสดงรอยตัดย่อส่วน (Break line) เส้นน้ีใช้ในกรณีท่ีไม่ต้องการเขียนรูปท้ังหมด เช่น เขียน
รูปสว่ นใดส่วนหน่งึ ของวัตถเุ ทา่ นน้ั ดงั รปู ท่ี 2.11
รปู ที่ 2.11
ภาพ : อนุศกั ดิ์ ฉิ่นไพศาล. เขียนแบบเทคนิคเบอ้ื งตน้ . กรงุ เทพฯ:แม็ค, 2547
มาตราสว่ น (Scale)
ความสาคญั ของมาตราส่วน
ในปจั จบุ ันขนาดของกระดาษเขียนแบบมีอยู่หลายขนาดตง้ั แตข่ นาด A0 ถึงขนาด A6 แต่ในบางคร้งั การ
เขยี นแบบกย็ งั ไม่สามารถใช้ขนาดจรงิ ของช้นิ งานไดท้ ุกกรณี เน่ืองจากบางคร้งั ชิน้ งานน้ันมีขนาดใหญ่กว่ากระดาษ
เขยี นแบบมาก ทาให้ไม่สามารถเขยี นแบบของชิน้ งานลงในกระดาษทีม่ อี ยไู่ ด้ และในบางครงั้ ชน้ิ งานก็มขี นาดเล็ก
มากจนเราไม่สามารถกาหนดขนาดและเขียนแบบออกมาใหเ้ หน็ ไดอ้ ย่างชดั เจน หรอื แบบที่เขยี นมขี นาดไม่
เหมาะสมกบั ขนาดของ กระดาษ ดังน้นั การเขยี นแบบงานจึงต้องมีการย่อหรอื ขยายภาพจากขนาดของจรงิ ของ
ช้ินงาน ใหม้ ีความเหมาะสมกบั ขนาดของกระดาษ และขนาดทีพ่ อจะเขียนไดง้ า่ ย มอี ยู่ 2 ชนิด คือ
1. การย่อส่วน ในกรณีท่ขี นาดของวัตถทุ ี่เรานามาเขียนแบบมีขนาดใหญม่ าก เกินกว่าขนาดของกระดาษ
เขยี นแบบ เราจาเป็นต้องย่อส่วนใหม้ ีขนาดเลก็ ลงเหมาะกบั ขนาด ของกระดาษ เชน่ มาตราสว่ น 1:20 หมายความ
วา่ ขนาดของจริง 20 ส่วน ย่อลงเหลอื เพยี ง 1 สว่ น ในกระดาษเขียนแบบ
ตัวอยา่ ง ช้ินงานมีความกวา้ ง 500 มม. และยาว 1,000 มม. ใช้มาตราส่วน 1:10 ขนาดของภาพ
ทเ่ี ขยี นลงในแบบจะมีความกวา้ งเทา่ กบั (500/10) 50 มม. ความยาวเท่ากับ(1,000/10)
100 มม. ซ่ึงมีขนาดเล็กลง 10 เทา่
2. การขยายสว่ น ในกรณีที่ขนาดของจรงิ เลก็ มาก จนไมส่ ามารถกาหนดขนาดลงในกระดาษเขยี นแบบให้
เหน็ อย่างชดั เจนได้ เราจาเปน็ ต้องขยายสว่ นให้มขี นาดใหญข่ ้ึน เพ่ือให้สามารถกาหนดขนาดไดอ้ ย่างชัดเจนและ
เขยี นลงบนกระดาษเขยี นแบบได้ เช่น มาตราสว่ น 20:1 หมายความวา่ ขนาดของจรงิ 1 ส่วน นาไปขยาย 20 เท่า
เขียนลงในกระดาษเขียนแบบ
ตวั อยา่ ง ชิ้นงานมีความยาว 5 มม. และกวา้ ง 2 มม. เม่อื เขยี นดว้ ยมาตราสว่ น 10:1 ขนาดที่
เขียนจะมคี วามยาวเท่ากบั (5x10) 50 มม. ความกวา้ งเท่ากบั (2x10) 20 มม.
หมายเหตุ
1. ใหส้ ังเกตตาแหนง่ ของเลข 1 ถา้ เลข 1 อยหู่ น้าเคร่ืองหมาย: แสดงว่าเปน็ การย่อส่วน ถา้ เลข 1 อยู่หลงั
เคร่อื งหมาย: แสดงวา่ เป็นการขยายส่วน
2. ในการย่อหรือขยายเราจะย่อหรอื ขยายเฉพาะขนาดของวัตถุเทา่ นน้ั คอื ความกว้าง ความยาว ความ
สงู รปู ทรงของวตั ถุจะไมม่ กี ารเปล่ยี นแปลง ดังนนั้ วตั ถจุ ะทามุมเทา่ ไรกต็ าม ไม่ว่าจะเป็นการยอ่ หรือขยายมมุ ของ
วตั ถจุ ะตอ้ งเทา่ เดิม
3. จะตอ้ งเขียนบอกมาตราสว่ นทใี่ ช้ในการเขียนแบบทุกครั้ง
4. มาตราส่วน 1:1 หมายความวา่ ขนาดในแบบกับขนาดของจริงเทา่ กัน
ตารางแสดงการเปรียบเทียบมาตราส่วน
5. ระบบการวัดทีใ่ ช้ในงานเขยี นแบบปัจจุบันใช้ระบบเมตริก ซง่ึ มีหน่วยเป็น
มิลลเิ มตร = มม. เซนตเิ มตร = ซม. เมตร = ม.
การแปลงหนว่ ยระบบเมตริกเปน็ ระบบอังกฤษ(น้วิ )
1 มลิ ลเิ มตร = 0.03937 นิ้ว
1 เซนตเิ มตร = 0.3937 นิว้
1 เมตร = 39.37 นิ้ว
1 กโิ ลเมตร = 0.6214 ไมล์
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 3
เรือ่ ง ตัวเลขและตวั อกั ษร
จุดประสงค์การเรยี นรู้
เมอ่ื ศกึ ษาหนว่ ยการเรยี นนี้แล้วใหน้ ักเรียนมคี วามรูค้ วามสามารถต่อไปนี้
1. อธบิ ายวธิ ีการเขยี นตัวอักษรได้
2. อธบิ ายวธิ กี ารเขียนตัวเลขได้
3. เขยี นตวั อกั ษรและตวั เลขได้ถกู ต้องตามหลักเกณฑ์
สาระการเรียนรู้
1. การเขยี นตวั เลขและตัวอกั ษร
2. ฝึกเขียนตวั เลขและตัวอักษรตามมาตรฐาน
ตัวเลขและตัวอกั ษร
การเขียนแบบนอกจากจะใช้ภาษาแบบที่สร้างขึ้นแล้ว ยังต้องใช้ภาษาหนังสือ(written language)
สาหรับอธิบายเพ่ือให้แบบสมบูรณย์ ่ิงขึ้น กล่าวคือ ภาษาหนังสืออาจอธบิ ายชนิดของวสั ดุ ขนาด ระยะและจานวน
ตลอดจนประเภทของส่ิงของในแบบภาษาหนังสือดังกล่าวน้ี มาในรูปของตัวเลขและตัวอักษร ดังน้ันนอกจาก
ตัวอกั ษรและตัวเลขมีความหมายต่อแบบ กล่าวคือ จะต้องเป็นตัวอักษรและตัวเลขที่สะอาด ชัดเจน อ่านได้ง่าย
เข้าใจได้ง่าย ผู้เรียนจะต้องหาประสบการณ์และทาความเข้าใจเร่ืองการเขียนตัวเลขและตัวอักษรอีกด้วย
ตวั อักษรและตัวเลขที่ใช้ในการเขียนแบบโดยท่ัวไป คือ ถา้ แบบจะใช้ประโยชน์กว้างขวางถงึ ประเทศอื่น ๆ ก็นิยม
ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษ และตัวเลขอาราบิค แต่การใช้ภาษาไทยและตัวเลขไทยก็ควรศึกษาไว้ ตัวอักษร
ภาษาอังกฤษ นิยมใช้อักษรท่ีเรียกว่า Single Stroke Gothic เป็นตัวอักษรที่เขียนง่าย เขียนได้รวดเร็วและอ่าน
ไดเ้ ร็ว คาว่า Single Stroke หมายถึงตัวอกั ษรทีม่ ีความกว้าง หรอื ความหนาของเส้นเท่ากบั ความหนาของไส้ดินสอ
พูดง่าย ๆ ก็คือ ตัวอักษรท่ีเป็นเส้นช้ันเดียว การเขียนตัวอักษรเพ่ือใช้ในแบบนั้น จะใช้ ตัวอักษรแบบตรง
(vertical) หรือแบบเอียง(inclined) ก็ได้ ข้อสาคัญคือ ในแบบชดุ หนึง่ ๆ ถ้าใช้ตัวอักษรแบบใดก็ควรใช้แบบน้ัน
ตลอด ไมค่ วรปนกนั ทงั้ สองแบบ ดงั รปู ท่ี 3.1
รูปท่ี 3.1
การเขียนตวั อกั ษรนนั ้ ไม่ยากนกั ในขนั ้ ต้นควรเรียนรู้รูปร่างลกั ษณะตวั อกั ษร เรียนหลกั การเขียน เช่น ช่องไฟ
ความสงู และการฝึ กปฏิบตั ิ เวลาเขียนควรหมนุ ดินสอเพื่อให้ได้เส้นตวั อกั ษรคม และมีนา้ หนกั สม่าเสมอ ขยัน
เหลาหรือฝนไส้ดนิ สอเม่ือเหน็ วา่ เส้นแตกหนา
เส้นนา(Guide Line) จากรูปแสดงการใช้เส้นนาในการเขียนตวั อักษร เป็ นเส้นเบามาก ไม่ต้องลบเม่ือเขียน
ตวั อกั ษรเสร็จแล้ว แตเ่ ส้นนานีจ้ ะไมป่ รากฏเมื่อนาแบบไปทาพมิ พ์เขียว เส้นนาเป็ นเส้นทก่ี าหนดความสงู ความ
ตรง หรือเอียงของตวั อกั ษรอีกด้วย (ตวั อกั ษรเอียงทามมุ 67.5 องศา) ดงั รูปที่ 3.2
รูปที่ 3.2
ช่องไฟ (Spacing) ไม่มีกฎเกณฑ์ท่ีแน่นอนและรวดเร็ว เพื่อใช้ในการกาหนดช่องไฟในการเขียนตัวอักษรแบบ
Single Stroke แต่ใช้สายตาจัดระยะช่องไฟระหวา่ งตวั อักษรมากกวา่ ใช้การวัด หลกั การก็คอื พยายามใหต้ ัวอกั ษร
อยู่ห่างจากกันเท่ากัน โดยสายตา ข้อสังเกตสาหรับตัวอักษรภาษาอังกฤษคือ ตัวอักษรที่สร้างขึ้นด้วยเส้นตรง จะ
ต้องการเน้ือที่มากกว่าตัวอักษรท่ีสร้างขึ้นด้วยเส้นโค้ง ตัวอย่างเช่น ตัว M และ W โตกว่า O และ D เป็นต้น
สาหรับระยะห่างระหว่างคาและระหว่างประโยคน้ัน ควรมีความห่างเท่ากับความสูงของตัวอักษรส่วนระยะห่าง
ระหว่างแถว เช่น แถวบนกับแถวล่างห่างกันเท่ากับความสูงของตัวอักษร หรือน้อยกว่าความสูงของตัวอักษร
เลก็ นอ้ ย ดงั รปู ที่ 3.3
รูปท่ี 3.3
ความสูงของตัวอักษรท่ีใชเ้ ขียนแบบทั่วไป นิยมสูงประมาณ 3 มม. สาหรับตัวอกั ษรท่ีใช้เป็นหัวเร่ืองหรือ
หวั ข้อ สูง 5-6 มม. กรณที แ่ี บบมีขนาดใหญ่ ต้องการตวั หนังสอื ทีใ่ หญ่ กว่าท่ีกล่าวมาแล้วกไ็ ด้ เพ่อื ให้อ่านได้งา่ ยข้ึน
ตัวอักษรภาษาอังกฤษนิยมเขียน ตัวพิมพ์ใหญ่มากกว่าตัวพิมพ์เล็ก ในการฝึกหัดเขียนนิยมสร้างเป็นรูปส่ีเหล่ียม
จัตุรัส แบ่งออกเป็น 6 หน่วย ทุกด้านรวมกันเป็น 36 ช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ในส่ีเหล่ียมจัตุรัสใหญ่ ควรศึกษาว่า
ตัวอักษรมีรูปร่างสัดส่วนและลาดับการเขียนเป็นอย่างไร เช่น ตัว I เป็นตัวอักษรท่ีอยู่ก่ึงกลางรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
พอดี เวลาลากเสน้ หรือตวั อักษรทส่ี ร้างข้นึ ตามแนวดงิ่ กต็ ้องลากเส้นจากบนลงลา่ ง ถา้ เปน็ อักษรที่เขียนในแนวราบ
เช่น ท่อนล่างของตัว L หรือส่วนบนของตัว T ก็ต้องลากจากซ้ายไปขวา ตัวอักษร บางตัวใช้เพียง 5 ช่องเล็ก
(สเี่ หลี่ยมจัตุรสั เลก็ ) และมีตวั อักษรหลายตวั ทีเ่ ขยี นเต็ม 6 ช่องเล็ก เช่น M , T ,V , A ดังรูปท่ี 3.4
รปู ที่ 3.4
การเขียนตัวเลข (Numberals) ผู้เขยี นควรเอาใจใส่เปน็ พิเศษโดยการสังเกตลกั ษณะของตวั เลขตา่ ง ๆ ดคู วาม
แตกต่างในรูปร่างและขนาด เช่น เลข 1 ขนาดเล็กกว่า 2 , 4 , 6 และ 9 โดยปกติเวลาเขียนตัวเลขในระยะฝึกหัด
มักสร้างเป็นรูปส่ีเหล่ียมเช่นเดียวกับตัวอักษร โดยทาเป็นส่ีเหล่ียมจัตุรัสใหญ่ แล้วแบ่งเป็น 5 ช่อง สร้างเป็น
สี่เหล่ียมจตั ุรสั เล็กในนน้ั ใหไ้ ด้ 25 ช่อง ให้สังเกตการสร้างเลข 1 , 4 , 7 และ 2 ดังรูปท่ี 3.5
รูปที่ 3.5
สาหรับเลข 0 , 3 , 5 , 6 , 8 , 9 มีขนาดโตกว่า 4 , 7 , 2 คาว่า”และ” อาจใช้เคร่ืองหมายอยา่ งใดอย่างหน่ึงใน 3
แบบ แทน แบบ A เป็นแบบที่นิยมใช้มากท่ีสุด และ แบบ Cเป็นแบบที่สะดวกในการเขียนด้วยมือเปล่าเวลา
ปฏิบัติงานจริง ดังรูปที่ 3.6
รูปท่ี 3.6
การเขยี นตัวอกั ษรภาษาไทย
การเขียนตัวอักษรภาษาไทยเพื่ออธิบายแบบหรือประกอบแบบ นิยมเขียนเป็นตัวหนังสือคัดลายมือ คือ
ตวั หนงั สือที่มีความหนาหรือความกว้างของเสน้ เทา่ กบั ขนาดไส้ดนิ สอ ความหมายเดียวกับคาว่า Single Stroke ที่
ใช้ในการเขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวหนังสือที่เขียนมี 2 แบบ คือ แบบตัวตรง หรือแบบตัวอียง ไม่ว่าจะเป็น
ตัวอกั ษรชนิดใด ข้อสาคัญเวลาเลือกใช้ในแตล่ ะคร้ัง ขอให้ใชช้ นิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดยี ว ตัวอย่างตัวอกั ษร ดัง
รปู ที่ 3.7
รปู ที่ 3.7
ตัวอักษรภาษาไทยอีกแบบหนึ่งเป็นแบบที่มีความหนา หนามากกว่าการคัด ลายมือ ตัวอักษรแบบนี้ต้อง
ใชเ้ คร่อื งมอื ที่มปี ลายคอ่ นขา้ งหนาเขยี น เชน่ ปากกาปลายแบน หรือไส้ดนิ สอแบนใหญ่ แม้จะเป็นตัวหนังสอื ทอ่ี า่ น
งา่ ย ไม่มลี วดลาย ไมเ่ หมาะท่ีจะนามาใชป้ ระกอบการเขียนแบบ เหมาะท่ีจะใช้สาหรับการเขียนเป็นปา้ ยชือ่ สถานท่ี
ตา่ ง ๆ ดงั รูปที่ 3.8 6
รปู ท่ี 3.8
การปฏิบัติเพ่ือเขียนตัวอักษรท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีลักษณะคล้ายคลึงกัน กล่าวคือจะต้องมีช่องไฟ
(Spacing) มีความสูง (Height) มีชนิดของตัวอักษรที่จะเลือกใช้ เวลาเริ่มต้นเขียนจะต้องสร้างหรือกาหนดส่วนสูง
กาหนดเส้นนา ส่วนสูงของอักษรภาษาไทยควรมากกว่าส่วนกว้างถ้ากาหนดให้เป็นรูปสี่เหล่ียมให้แต่ละตัวอักษร
แล้วจะไม่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่จะเป็นรูปส่ีเหลี่ยมที่มีความสูงมากกว่าความกว้าง ตัวอักษรประกอบแบบใน
ภาษาองั กฤษ จะมีความสงู ประมาณ 3 มม. สาหรับภาษาไทย อาจเปน็ ขนาดความสูง 5 มม. กว้าง 3 มม. เม่อื แบ่ง
ความกว้างออกเป็นสี่ส่วนแล้ว จะใช้เขียนตัวอักษรเพียงสามส่วน อีกหนึ่งส่วนท่ีเหลือเป็นช่องไฟ ฉะน้ันการจัด
ช่องไฟของตัวอักษรภาษาไทยจึงเทา่ กันทุกตัว เพราะหักออกมาหน่ึงในส่ีสว่ นของความกวา้ งของตวั อักษรแต่ละตัว
ยกเว้นสระบางตวั เชน่ สระ เ และ สระ า
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4
เร่อื ง เครื่องมอื และอุปกรณ์งานเขียนแบบ
จุดประสงค์การเรียนรู้
เม่ือศกึ ษาหนว่ ยการเรียนนี้แล้วใหน้ กั เรียนมคี วามร้คู วามสามารถตอ่ ไปน้ี
1. บอกชอ่ื เครอ่ื งมือและอุปกรณง์ านเขยี นแบบได้
2. อธิบายหนา้ ท่กี ารใช้งานและวธิ ีการใช้เครอ่ื งมืองานเขียนแบบได้
3. ปฏบิ ตั งิ านโดยใชเ้ คร่อื งมืองานเขียนแบบไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ
สาระการเรยี นรู้
1. ชนิดของเครอื่ งมือและอปุ กรณ์งานเขียนแบบ
2. หน้าทแ่ี ละวิธกี ารใช้เคร่อื งมอื และอุปกรณ์งานเขียนแบบ
เคร่ืองมอื และอปุ กรณ์งานเขยี นแบบ
ในการทางานเขียนแบบผู้เรียนจาเปน็ ต้องร้จู กั เครอื่ งมอื และอปุ กรณท์ ีใ่ ช้ในงานเขยี นแบบท่จี าเปน็ รจู้ กั
หลักการใชอ้ ยา่ งถูกวิธี เพอื่ ให้การทางานเกดิ ประสทิ ธภิ าพ สามารถทางานไดอ้ ย่างรวดเร็ว ถูกต้องและสวยงาม
ตลอดจนวิธกี ารดแู ลรักษา เพ่ือใหเ้ ครอื่ งมอื อยใู่ นสภาพดี สมบูรณใ์ นระยะเวลายาวนาน
1. โต๊ะเขียนแบบ (Drawing Table) โตะ๊ เขยี นแบบโดยทั่ว ๆ ไป จะมีขนาดมาตรฐานจาก 600X900
มม. ถึง 1,050 X 2,100 มม. คณุ ลักษณะทดี่ ีของโต๊ะเขียนแบบ คอื
1.1 พืน้ โตะ๊ ต้องราบเรยี บสนทิ ใชว้ ัสดแุ ขง็ เรยี บ ทาความสะอาดงา่ ย
1.2 มขี อบดา้ นหนึ่งเรียบและไดฉ้ ากกบั พืน้ ผวิ
1.3 ปรับพ้ืนโตะ๊ ให้สูง ต่า หรือเอียงได้เพอื่ ความสะดวกในการเขียนแบบ ดังรปู ที่ 4.1
รปู ท่ี 4.1
ภาพ : www.hhkint.com
การบารงุ รักษา
1. ทาความสะอาดพื้นโต๊ะทุกคร้งั ก่อนและหลงั จากการใชง้ าน
2. รักษาพื้นผิวไม่ให้มรี อยแตก หรือรอยบุม๋
2. กระดานเขยี นแบบ (Drawing Board) ในกรณีท่ีไม่สามารถจัดหาโต๊ะเขียนแบบได้ ก็อาจใช้กระดาน
เขียนแบบแทน กระดานเขยี นแบบทาจากแผน่ กระดานไม้เนื้อออ่ นพน้ื เรียบ ปูพืน้ โตะ๊ ด้วยวัสดแุ ผน่ เรียบ เช่น ฟอร์
ไมก้า และมขี อบตง้ั ได้ฉากกับพนื้ เม่อื ตดิ กระดาษลงบนแผ่น กระดานแลว้ วางกระดานบนโตะ๊ อีกครั้งหนงึ่ แลว้ ใช้
ปฏบิ ัติงานเขียนแบบได้ ดังรปู ท่ี 4.2
รูปท่ี 4.2
ภาพ : www.hhkint.com
การบารุงรักษา
1. ทาความสะอาดพื้นกระดานทุกคร้ังกอ่ นและหลงั จากการใชง้ าน
2. รกั ษาผิวกระดานอย่าใหม้ ีรอยแตกหรอื บุ๋ม
3. การจัดเกบ็ ควรจดั เก็บในแนวตง้ั
3. ไม้ที (T-Square) ใชเ้ ปน็ แนวในการลากเสน้ ตรงในแนวนอน (180 องศา) และใช้เป็นฐานรองรบั ฉาก
สามเหลีย่ ม เพ่อื เขียนเส้นในแนวตงั้ หรอื ในแนวดงิ่ (90 องศา) ซึง่ จะตอ้ งใช้รว่ มกับ
โต๊ะเขยี นแบบหรือกระดานเขียนแบบ ฉากตัวทปี ระกอบดว้ ยส่วนหัว(Head) และส่วนใบ (Blade) ตดิ กนั เป็นรูปตัว
ทีทามมุ ฉากต่อกัน ดังรปู ท่ี 4.3
รปู ที่ 4.3
ภาพ : www.hhkint.com
ขอบบนของส่วนใบซึ่งเป็นที่ใช้เพื่อเขียนเส้นในแนวนอนมักหุ้มด้วยพลาสติก เพื่อรักษาขอบให้ตรง และ
สามารถมองเห็นเส้นขณะเขียนได้ ความยาวของไม้ทีมีตั้งแต่ 45 ซม. จนถึง 180 ซม. การเลือกใช้ไม้ทีขนาดยาว
เท่าใดข้ึนอยู่กับระดับงานของผู้ใช้ และข้ึนอยู่กับขนาดของโต๊ะและกระดาษเขียนแบบ ปกติขนาดของไม้ทีท่ี
เลือกใช้ ควรมขี นาดความยาวเกือบเทา่ หรือเทา่ กับความยาวของโต๊ะเขียนแบบ
เวลาท่ีใช้ไม้ทีจะต้องให้ส่วนหัวของไม้ทีเกาะแน่นขนานกับขอบของโต๊ะหรือกระดานเขียนแบบ และส่วน
ใบแบนราบทับบนพื้นโตะ๊ บนกระดาษเขยี นแบบ เวลาเขยี นเส้นในแนวนอนเพียงใช้แรงกดเล็กน้อย ให้ส่วนใบแบน
ราบกับพน้ื โต๊ะ และใหส้ ่วนหัวเกาะแน่นกบั ขอบโตะ๊ เขยี นแบบ แลว้ ลากเสน้ ไปตามขอบบนสว่ นใบของไมท้ ี เลอื่ นไม้
ทีขนึ้ ลงตามวิธที ี่กล่าว เม่ือตอ้ งการเขียนเสน้ ในตาแหน่งต่าง ๆ ดังรปู ท่ี 4.4,4.5 และ 4.6
รปู ท่ี 4.4
รปู ท่ี 4.5 ภาพ : www.krusommai.com
การใช้ไม้ทสี าหรบั ลากเสน้ ในแนวนอน
รปู ท่ี 4.6 ภาพ : www.krusommai.com
การบารุงรักษา
การรกั ษาไม้ทีใหใ้ ชไ้ ดน้ าน และมีประสิทธภิ าพ คอื
1. อย่าทาหลน่ ระวงั ใหส้ ่วนหวั ยดึ แนน่ กับใบ ถา้ โยกจะทาให้เส้นไมต่ รง
2. ไมใ่ ชส้ ่วนใบตสี ง่ิ ของอืน่ ๆ แทนค้อน จะทาใหข้ อบใบเสียหายเป็นรอย
3. การเกบ็ ใหใ้ ชว้ ธิ กี ารแขวนปลายส่วนใบซ่งึ มีรูกลมเจาะไว้แล้ว
4. กอ่ นและหลังจากการใชง้ านทกุ ครง้ั ควรใชผ้ ้าเช็ดทาความสะอาด
ทีสไลด์ เป็นเครื่องมือท่ีใช้ทางาน ในลักษณะเดียวกับไม้ทีธรรมดา สามารถนามาประกอบกับโต๊ะเขียนแบบหรือ
กระดานเขียนแบบได้ ใชห้ ลกั การทางานของเชอื กและรอก มีความสะดวก รวดเร็ว และมีความขนานเท่ียงตรงกว่า
ไม้ที ดังรปู ท่ี 4.7
รปู ท่ี 4.7 ภาพ : www.hhkint.com
4. ฉากสามเหลี่ยม หรอื เซตสแควร์(Triangle Set-Square) ชุดหนง่ึ มอี ยู่ 2 แบบ โดย มีมมุ ต่างกันดังน้ี อันแรก
ทามุม 30,60 และ 90 องศา สว่ นอันที่สองทามมุ 45,45 และ 90 องศา การเขยี นมุมของฉากสามเหลี่ยมทั้ง 2 อัน
นี้ จะต้องให้ด้านใดด้านหนึ่งของฉากสามเหลี่ยมวางบนขอบไม้ทีเพ่ือเขียนเส้นในแนวดิ่งหรือเส้นในแนวตั้ง(90
องศา) นอกจากนั้นยังใช้เขียนเส้นทามุม 30 45 , 60 องศา ฉากเหล่านี้ทาด้วยเซลลูลอยด์ หรือพลาสติก มีขนาด
ตา่ ง ๆ กัน ท่ีนิยมใชก้ ันมากเปน็ ขนาด 8”,10” และ 12” ดังรูปที่ 4.8 และ 4.9
รูปที่ 4.8 ภาพ : www.hhkint.com
การใชฉ้ ากสามเหลี่ยมในการลากเส้นตงั้ ฉาก
รปู ที่ 4.9 ภาพ : www.krusommai.com
ยังมีฉากอีกชนิดหน่ึงท่ีปรับองศาได้ (Adjustable Triangle) แทนที่จะใช้ฉากสามเหล่ียมสองอันดังกล่าวข้างต้น
เราสามารถใช้ฉากปรับองศาแทนได้ เพราะสะดวกกว่า ฉากท่ีปรับองศาน้ีจะมี โปรแทรกเตอร์รวมอยู่ด้วยในตัว
ระบุองศาให้ปรับ ดังรปู ท่ี 4.10 องศาดงั กล่าวมีต้ังแต่ 0 ถงึ 90 องศา
รปู ที่ 4.10 ภาพ : www.hhkint.com
การบารงุ รักษา
1. ไมใ่ หฉ้ ากสามเหล่ียมบิดงอ
2. ตอ้ งเกบ็ โดยการวางในแนวราบเสมอ
3. ควรใชผ้ ้าเช็ดทาความสะอาดทกุ คร้งั ทั้งกอ่ นและหลงั การใช้งาน
4. ไม่ควรทาฉากตกหล่น โดยเฉพาะฉากปรับองศา เพราะอาจทาให้ตัวยึดหลวม ไม่แน่น เส้นท่ีได้จะไม่
เทีย่ งตรง
5. บรรทัดสเกล (Scale) มีหน้าท่ีสาหรับวัดระยะและช่วยในการเขียนแบบให้ได้ขนาด ตามท่ีต้องการ โดยใช้
มาตราส่วนที่เหมาะสม บรรทัดสเกลมีทั้งแบบแบน ดังรูปท่ี 4.11 และ แบบหน้าตัดเป็นสามเหลี่ยม ดังรูปท่ี 4.12
ซ่งึ จะมีผิวหน้าสาหรับวดั มากขึน้ ในบรรทัดเพยี งอนั เดียว เวลาใช้บรรทดั สเกลแบบนี้มักจะมีตัวหนบี หนีบไว้ เพื่อให้
ผวิ หน้าท่ตี ้องการจะใชห้ ันขึ้นดา้ นบน สาหรบั ใช้งานได้ทนั ที ดงั รปู ที่ 4.13
รูปที่ 4.11
ภาพ : เจ.ดับบลวิ เกียไชชนและคณะ. เขยี นแบบเทคนิค. กรุงเทพฯ: ซเี อ็ดยูเคช่ัน, 2531
รูป 4.12 ภาพ : www.hhkint.com
รูปที่ 4.13
ภาพ : เจ.ดบั บลวิ เกยี ไชชนและคณะ. เขยี นแบบเทคนิค. กรงุ เทพฯ: ซีเอด็ ยูเคช่ัน, 2531
6. วงเวียน (Compass) เป็นอุปกรณ์สาหรับเขียนวงกลมและเส้นโค้ง ดังรูปท่ี 4.14 ต่างจากดิไวเดอร์ตรงที่มีขา
แหลมเพียงข้างเดียวส่วนอีกข้างหน่ึงเป็นทีใ่ ส่ไส้ดินสอ ในกรณีที่ ต้องการเขียนวงกลมท่ีมีขนาดใหญ่ จะมีชุดต่อขา
วงเวียน (Lengthening bar) ใหย้ าวออกเพอื่ เขยี นวงกลมให้โตขนึ้ ได้ ดังรปู ที่ 4.15
รปู ที่ 4.14 ภาพ : www.hhkint.com
รูปท่ี 4.15
ภาพ : เจ.ดบั บลวิ เกียไชชนและคณะ. เขยี นแบบเทคนคิ . กรุงเทพฯ: ซเี อด็ ยเู คช่ัน, 2531
การบารุงรักษา รักษาปลายแหลมของขาส่วนทจ่ี ะใชเ้ ป็นจุดศนู ยก์ ลางให้แหลมคม สว่ นปลายดนิ สอตอ้ งเหลาให้
แหลมคมอยเู่ สมอ
7. วงเวียนวัดระยะ (Divider) มลี ักษณะคล้ายวงเวยี น แตป่ ลายท้งั สองข้างแหลมเหมอื นกัน ใช้สาหรับแบ่งเส้น
แบง่ ระยะ ถา่ ยระยะ เน่อื งจากปลายทง้ั สองขา้ งของดิไวเดอรแ์ หลมคมมาก การถา่ ยระยะออกเป็นสว่ น ๆ ทาได้
แมน่ ยากวา่ เคร่ืองมือวัด ดังรปู ที่ 4.16
รปู ที่ 4.16
ภาพ : อนุศักดิ์ ฉ่ินไพศาล. เขียนแบบเทคนิคเบือ้ งตน้ . กรงุ เทพฯ:แมค็ , 2547
8. สว่ นโค้งหรอื เคิร์ฟ (Irregular or curves) ในกรณีทจ่ี ะเขยี นสว่ นโค้งซึ่งไม่ปกติ กล่าวคือส่วนโค้งท่ีไมส่ ามารถ
สร้างด้วยวงเวียนได้ ก็จาเป็นต้องใช้เคิร์ฟน้ีเขียนแทน ดังรูปที่ 4.17 การจะใช้เคิร์ฟเพ่ือเขียนส่วนโค้งน้ัน ควรจะ
กาหนดจุดท่ีจะให้ส่วนโค้งผ่านไปไว้ล่วงหน้าก่อน อาจจะโดยการคานวณ โดยการทดลอง แล้วร่างเส้นเบา ๆ ด้วย
มอื เปล่าไวก้ ่อน จึงนาเอา เคิรฟ์ มาทาบแล้วลากเสน้ ตามแนวเคริ ์ฟ ดังรปู ที่ 4.18
รปู ที่ 4.17 ภาพ : www.hhkint.com
ภาพ : สวัสดิ์ อุดมโภชน์. เขยี นแบบเทคนิค 1-2. กรุงเทพฯ: วฒั นาพานชิ , 2536
รูปท่ี 4.18
ภาพ : สวัสด์ิ อุดมโภชน์. เขียนแบบเทคนคิ 1-2. กรงุ เทพฯ: วัฒนาพานิช, 2536
8. เทมเพลท (Templates) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดเวลาในการทางานของช่างเขียนแบบ เทมเพลทเป็นแผ่น
พลาสติกเจาะรู รูปวงกลม วงรี ห้าเหล่ียม ฯ ขนาดต่าง ๆ กัน ดังรูป 4.19 ใช้ทาบรูปทรงที่ต้องการเขียนจากแผ่น
เทมเพลทบนกระดาษ แล้วใชด้ ินสอลากตามรูปในเทมเพลทเหลา่ นน้ั ไม่ตอ้ งเสียเวลาในการเขยี นตามหลักการ
รปู ท่ี 4.19
ภาพ : สวสั ดิ์ อุดมโภชน์. เขียนแบบเทคนคิ 1-2. กรุงเทพฯ: วัฒนาพานชิ , 2536
9. ดินสอเขียนแบบ (Drawing pencil) งานเขยี นแบบแตกต่างกับงาน
เขียนอื่น ๆ ตรงท่ีจะต้องพิจารณาเลือกชนิดของไส้ดินสอให้เหมาะสมกับชนิดของเส้น และของกระดาษท่ีใช้เขียน
แบบ ไส้ดินสออาจทาจากแกรไฟท์ ดินเหนียว และยางสนหรือส่วนผสมของยางไม้ ดินสอชนิดท่ีใช้แกรไฟท์ทาไส้
ใช้มาแล้วเป็นเวลากว่า 200 ปี และเหมาะท่ีจะใช้กับกระดาษเขียนแบบ ปัจจุบันดินสอไส้แกรไฟท์ ที่มีความแข็ง
ออ่ นแตกต่างกนั 17 ชนิด เร่ิมจากอ่อนที่สดุ คอื เวลาเขียนเส้นจะดามากไปจนถงึ แขง็ ที่สดุ เส้นจะเบาดาน้อย โดยใช้
อกั ษรยอ่ ดงั นี้ 6B,5B,4B, 3B,2B,B,HB,F,H,2H,3H,4H,5H,6H,7H,8H,9H ดนิ สอท่ไี สอ้ อ่ นที่สุดมีความดามาก ๆ นน้ั
ไส้จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโตกว่าท่ีมีไส้แข็งท่ีสุด เช่น ดินสอ 6B ไส้จะโตและเส้นดากว่าไส้ F และ 9H เป็นต้น
ดังรูปที่ 4.20
รูปที่ 4.20
ภาพ : www.krusommai.com
การเลือกดินสอเกรดใดใช้กับงานชนิดใดขึ้นอยู่กับผิวของวัสดุท่ีใช้ทากระดาษเขียนแบบ ขึ้นอยู่กับชนิด
ของเส้นที่ต้องการ เช่น เวลาเขียนเส้นร่าง (Layout) ใช้ดินสอไส้แข็งขนาด 4H และ 6H เวลาลงเส้นหนัก อาจใช้
HB หรือ 2H ถ้าเขียนตัวหนังสือ ลูกศร เส้นกรอบรูป อาจใช้ดินสอ HB, F, H และ 2H เป็นต้น ช่างเขียนแบบใน
ปัจจุบันนิยมใช้ดินสอแบบที่เรียกว่า Mechanical pencil เป็นดินสอท่ีคล้ายปากกาเปลี่ยนไส้ได้ ท้ังน้ีเพราะดินสอ
ประเภทน้ีคงความยาวของดินสอเท่าเดมิ ตลอดเวลา และสามารถเปล่ยี นไส้ไดง้ ่าย ดงั รปู 4.21
รปู ท่ี 4.21 ภาพ : www.krusommai.com
10. กระดาษเขียนแบบ (Drawing sheet) กระดาษเขียนแบบโดยท่ัวไปมีลักษณะและหน้าท่ีใช้สอยต่างกัน
ออกไป ดังน้ี
กระดาษร่าง มีลักษณะเหมอื นกระดาษลอกลายทัว่ ไป มีความทึบน้อยจนมองทะลุผ่านถงึ แบบท่ีรา่ งไว้ข้าง
ใต้
กระดาษปอนด์ มีลักษณะเหมือนกระดาษวาดเขียนท่ัวไป แต่มีความหนาบางต่างกันหลายขนาดตาม
นา้ หนักคือต้ังแต่ 80-100 ปอนด์ สว่ นขนาดกว้างยาวของแผ่นกระดาษมขี นาดมาตรฐาน
กระดาษไข กระดาษชนิดนี้มีเน้ือเรียบแข็งและมีความขุ่นน้อยกว่ากระดาษร่าง บางทีก็เรียกกันว่า
กระดาษแก้ว และผลิตออกขายเปน็ ม้วน มีความยาวประมาณ 30 เมตร กวา้ ง 1.10 ม. มีความหนาบางตา่ งกันตาม
เบอร์ต้ังแต่ 60,70,80,90 และ 100 ยังมีกระดาษไขอีกชนิดหน่ึงทาจากพลาสติก ซึ่งถูกน้าจะไม่หดตัวหรือย่น แม้
การพิมพก์ ็ไดผ้ ลดี ไมแ่ ตกตา่ งกบั กระดาษไขธรรมดา ผวิ หน้าทางดา้ นหน่ึงเป็นผิวด้านจบั ดนิ สอและหมกึ ได้ดี แตอ่ ีก
ดา้ นจะลน่ื อายุการใช้งานสน้ั เพราะมักกรอบแตกเร็วกวา่ กระดาษไขธรรมดามาก
กระดาษอนื่ ๆ ทใ่ี ช้ในการเขียนแบบ เช่น กระดาษสี กระดาษขาว-เทา และกระดาษสาหรบั พมิ พ์แบบ
กระดาษท่ีใชใ้ นการเขยี นแบบโดยท่ัวไปจะใช้กระดาษขนาด AO ซงึ่ มพี ื้นทเี่ ท่ากบั 1 ตารางเมตร
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งขนาดของกระดาษหลาย ๆ ขนาด แสดงดังรูปที่ 4.22
รูปที่ 4.22
ภาพ : อนุศกั ด์ิ ฉนิ่ ไพศาล. เขียนแบบเทคนิคเบือ้ งตน้ . กรงุ เทพฯ:แม็ค, 2547
วิธีติดกระดาษเขียนแบบบนโต๊ะหรือกระดานเขียนแบบ ให้ใช้ไม้ทีวางทับกระดาษ โดยให้หัวไม้ทีแนบ
ขนานกับขอบโต๊ะหรือขอบกระดาษเขียนแบบ และให้ขอบบนของกระดาษเขียนแบบขนานกับขอบบนของไม้ที
กระดาษเขียนแบบควรวางห่างจากขอบโต๊ะท้ัง 4 ด้าน เท่า ๆ กัน (ให้อยู่ตรงกลางโต๊ะ)เพ่ือสะดวกในการทางาน
เม่ือขอบบนของกระดาษเขียนแบบขนานกับขอบบนของไม้ทีแล้ว เลอ่ื นไม้ทีลงดา้ นลา่ งเลก็ น้อยและกดทบั กระดาษ
ไว้ ใช้สกอ๊ ตเทปตดิ ทม่ี มุ ทั้ง 4 ดา้ น ดังรูป 4.23
รปู ที่ 4.23
ภาพ : www.krusommai.com
11. ยางลบ (Rubber) รูปร่างโดยทัว่ ไปของยางลบจะเปน็ รูปสเ่ี หล่ียมผืนผ้า ยางลบทด่ี ีไม่ควรแขง็ เกินไป เพราะ
จะทาให้ผิวของกระดาษเขียนแบบชา้ ดงั รูปที่ 4.24
รูปท่ี 4.24
ภาพ : www.hhkint.com
ก่อนจะใชย้ างลบควรตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่ายางลบอยู่ในสภาพท่ีสะอาด วิธีทา ความสะอาดยางลบง่าย ๆ
ก็โดยการถูกับกระดาษสะอาด ในกรณีท่ีต้องการจะลบเส้นท่ีติดอยู่กับส่วนอ่ืนซึ่งไม่ต้องการลบ ควรใช้ชิลด์กันลบ
(Erasing shield) จะทาให้ทางานได้สะดวกขึ้น ดังรปู ที่ 4.25 ชิลด์กันลบมีชอ่ งรปู ร่างต่าง ๆ กัน สาหรบั เลือกใช้ให้
เหมาะสมกับส่วนท่ีต้องการจะลบ จับชิลด์กันลบให้แน่นแล้วลบผ่านช่องว่างดังกล่าว เมื่อลบเสร็จแล้วใช้แปรงปัด
หรอื ผ้าสะอาดปดั เศษยางลบท้งิ
รปู ท่ี 4.25
ภาพ : www.hhkint.com
12. เทปกาว (Scotch Tape) ใช้ตดิ กระดาษเขียนแบบกับโต๊ะเขียนแบบ หรือกระดานเขียนแบบให้แนน่ ในขณะ
เขียนแบบทุกคร้ัง ดังรูปท่ี 4.26 เพื่อป้องกันกระดาษเลื่อน การติดกระดาษเขียนแบบท่ีถูกวิธีนั้น ต้องติดขวางมุม
กระดาษเขียนแบบทัง้ 4 มมุ
รูปที่ 4.26
ภาพ : www.krusommai.com
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 5
เรอื่ ง ภาพที่ใช้ในงานเขยี นแบบ
จุดประสงค์การเรยี นรู้
เมือ่ ศกึ ษาหนว่ ยการเรยี นนี้แลว้ ใหน้ ักเรยี นมีความรูค้ วามสามารถตอ่ ไปน้ี
1.บอกลักษณะของภาพ 2 มติ ิ และ ภาพ 3 มิติ ได้
2.อธิบายลักษณะของภาพออบบลิก (Oblique) ได้
3.อธบิ ายลักษณะของภาพไดเมตริก (Diametric) ได้
4.อธบิ ายลกั ษณะของภาพไอโซเมตริก (Isometric) ได้
5.อธิบายลักษณะของภาพเอรส์ เปกทีฟ (Perspective) ได้
สาระการเรยี นรู้
1.ภาพ 2 มิติ
2.ภาพ 3 มติ ิ
ภาพออบบลกิ (Oblique)
ภาพไดเมตริก(Diametric)
ภาพไอโซเมตรกิ (Isometric)
ภาพเพอร์สเปกทีฟ(Perspective)
ภาพที่ใชใ้ นงานเขียนแบบ
ในงานเขยี นแบบช้นิ ส่วนของเครื่องจักรกล หรอื แบบงานทว่ั ไป ภาพทใี่ ช้มอี ยู่ดว้ ยกนั 2 ชนิด คอื ภาพ 2
มติ ิ และ ภาพ 3 มติ ิ ดังรูปท่ี 5.1
ภาพสองมติ ิ ภาพสามมติ ิ
รูปที่ 5.1
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขยี นแบบเทคนคิ เบือ้ งต้นกรุงเทพฯ.: สมาคมสง่ เสรมิ เทคโนโลย(ี ไทย-ญี่ปนุ่ )47.25
ภาพ 2 มติ ิ
ภาพ 2 มิติ คือภาพที่แสดงรูปทรงของภาพใน 2 มิติ คือ ความกว้าง และความสูง หรือ ความกว้างและ
ความยาว โดยจะมองเห็นเป็นลักษณะของพื้นที่ เช่น รูปสามเหลี่ยมสี่เหล่ียม ห้าเหลี่ยม หกเหล่ียม วงกลม หรือ
รปู ทรงอ่ืน ๆ ดงั รปู ท่ี 5.2
รูปท่ี 5.2
ภาพ 3 มิติ
ภาพ 3 มติ ิ คือภาพทีแ่ สดงรปู ทรงของภาพใน 3 มติ ิ คอื ความกวา้ ง ความยาว หรอื ความสงู และความลึก
ลกั ษณะของภาพจะแสดงปริมาตรของสิ่งที่อยใู่ นภาพนั้น ๆ ดงั รูปท่ี 5.3
รูปท่ี 5.3
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขยี นแบบเทคนคิ เบ้ืองตน้ กรงุ เทพฯ.: สมาคมสง่ เสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญ่ีปนุ )47.25
ภาพสามมิตทิ ีน่ ิยมใชใ้ นงานเขยี นแบบ มอี ย่ดู ว้ ยกนั 4 ชนิด คือ
1.ภาพออบบลกิ (Oblique)
2.ภาพไดเมตริก (Diametric)
3.ภาพไอโซเมตรกิ (Isometric)
4.ภาพเพอรส์ เปกทีฟ (Perspective)
1.ภาพออบบลกิ (Oblique) ลักษณะของภาพออบบลกิ
1.1 โครงรา่ งของขอบภาพจะประกอบด้วยเส้น 3 เส้น คือ เส้นในแนวนอน(180 องศา)เส้นในแนวด่ิง(90
องศา) และ เส้นเอยี ง 45 องศา ดังแสดงในรูปที่ 5.4
1.2ขนาดความกวา้ งความสูงของภาพจะมขี นาดเทา่ กับของจริง(1:1)ส่วนความลึกของภาพจะมีขนาดเพียง
คร่งึ หนึง่ (1:2)ของขนาดของจริง
1.3ขอบของชิ้นงานหรือสว่ นที่ถูกบังเอาไว้จะแสดงด้วยเส้นประในกรณีที่รูปทรงของวัตถุมีวงกลมหรือรูป
ไม่ปกติเขียนยากจะนามาเขียนไว้ด้านหน้าของภาพออบบลิก เพราะเป็นด้านที่สามารถเขียนเป็นรปู จริง ขนาดจริง
ได้ เช่น ถ้ามีรปู วงกลมอยู่ เมอ่ื นามาเขียนไว้ทีร่ ูปด้านหน้าของภาพออบบลิก ก็ยงั คงสภาพเปน็ วงกลมตามเดิม แต่
ถา้ นารปู วงกลมไปเขยี นทด่ี ้านทีเ่ ป็นมมุ เอียงแล้ว รูปวงกลมน้นั จะกลายเป็นรปู วงรี ซึ่งเขียนยาก ต้องมีหลักการและ
วธิ ีการเขียนที่ซับซอ้ นขึน้ ไปอีก
รูปที่ 5.4
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขยี นแบบเทคนิคเบอื้ งต้นกรงุ เทพฯ.: สมาคมส่งเสรมิ เทคโนโลยี (ไทย-ญปี่ ุ่น)47.25
2.ภาพไดเมตริก (Diametric) ลักษณะของภาพไดเมตรกิ
2.1 โครงร่างของขอบภาพจะประกอบด้วยเส้นสามเส้น คือ เส้นเอียง 7 องศา เส้นใน แนวดิ่ง และเส้น
เอยี ง 42 องศา ดงั แสดงในรูปที่ 5.5
2.2 ขนาดความกว้าง ความสูง จะมีขนาดเท่าของจริง:1) (1ส่วนความลึกจะมีขนาดเพียงคร่ึงหน่ึง (1:2)
ของขนาดของจริงขอบของชนิ้ งานหรอื สว่ นทถ่ี ูกบงั มองไม่เหน็ ใสเ่ ป็นเส้นประ ภาพไดเมตริกเป็นภาพท่ีเขยี นได้ยาก
เนื่องจากมีเส้นเอียงทามุม 7 องศา และ 42 องศา ต้องใช้ ฉากท่ีปรับมุมได้ แต่รูปร่างของภาพจะเหมือนจริง
มากกว่าภาพ 3 มิติ แบบอืน่ ๆ
รปู ที่ 5.5
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขยี นแบบเทคนคิ เบอื้ งตน้ กรุงเทพฯ.: สมาคมสง่ เสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญป่ี ุน่ )47.25
3.ภาพไอโซเมตรกิ (Isometric) ลกั ษณะของภาพไอโซเมตรกิ
3.1 โครงร่างของขอบภาพจะประกอบด้วยเส้น 3 เสน้ คือ เส้นเอยี ง 30 องศา 2 เส้น และ เสน้ ในแนวด่ิง
(90 องศา) 1 เส้น ดังรปู ท่ี 5.6
3.2 ขนาดความกวา้ ง ความสงู และความลึกของภาพจะมขี นาดเท่ากบั ขนาดของจริง
3.3 ขอบของชิน้ งานหรือสว่ นท่ีถกู บงั เอาไว้หรอื มองไมเ่ ห็นจะถกู เขียนดว้ ยเส้นประ
รปู ที่ 5.6
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขียนแบบเทคนคิ เบือ้ งตน้ กรงุ เทพฯ.: สมาคมส่งเสรมิ เทคโนโลยี (ไทย-ญ่ปี ่นุ )47.25
4. ภาพเพอร์ สเปกทฟี (Perspective)
ภาพเพอร์สเปกทีฟเป็นภาพที่เหมือนที่คล้ายภาพจริงมากที่สุดหรือคล้ายกับภาพจริงท่ีตามองเห็นมาก
ท่ีสุด คือส่ิงที่อยู่ใกล้ตัวจะมีขนาดใหญ่ส่ิงที่อยู่ไกลออกไปจะมีขนาดเช่นการมองภาพทางรถไฟท่ีรางทั้งสองข้างพุ่ง
บรรจบกันทปี่ ลายสุดสายตาดงั รปู ท่ี7นยิ มใชก้ นั มากในงานด้านสถาปัตยกรรม
รูปท่ี5.7
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขียนแบบเทคนิคเบ้อื งตน้ กรุงเทพฯ.: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุน่ )47.25
ลกั ษณะของภาพเพอร์สเปกทีฟ
โครงร่างของขอบภาพจะประกอบด้วยเส้น 3 เส้น คือ เส้นเอียง 2 เส้น และเส้นในแนวดิ่ง1 เส้น ละมีจุด
ปลายสายตามองเห็นท่ีเรียกว่าVanishing Point (VP) 1-3 จุด ดังรูปท่ี8 5. ภาพเพอร์สเปกทีฟ เป็นภาพท่ีมีความ
เหมอื นจรงิ มใี ช้มากในงานดา้ นสถาปัตยกรรม
รูปท่ี 5.8
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขยี นแบบเทคนคิ เบื้องตน้ กรงุ เทพฯ.: สมาคมสง่ เสรมิ เทคโนโลยี (ไทย-ญปี่ ุ่น)47.25
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6
เร่อื ง ภาพฉาย
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
เมอ่ื ศึกษาหน่วยการเรยี นน้แี ล้วให้นกั เรียนมีความรู้ความสามารถต่อไปน้ี
1. บอกหลักการเขียนภาพฉายได้
2. อธิบายหลักการและมาตรฐานในการมองภาพฉายได้
สาระการเรยี นรู้
1. หลักการเขียนภาพฉาย
2. มาตรฐานในการมองภาพฉาย
หลักการเขยี นภาพฉาย(Orthographic projection)
Orthographic projection คอื วิธกี ารฉายภาพหรอื ถ่ายทอดภาพจรงิ ของวตั ถุจากลักษณะ ภาพสามมติ ิ
ออกมาเปน็ ภาพสองมิติ ภาพท่ตี ามองเหน็ เชน่ โต๊ะ เกา้ อ้ี ฯลฯ เปน็ ภาพสามมติ ิ คอื มองเห็นความกว้าง ความยาว
หนา สงู หรอื ลกึ เมอ่ื นาไปเขยี นในแบบหรือถ่ายทอดออกมาเป็นเพียงรปู ด้าน เชน่ ด้านบน ดา้ นหน้า ฯ รูปด้าน
ต่าง ๆ จะมเี พยี งสองมิติ เชน่ รปู ดา้ นบนก็จะแสดง ใหเ้ หน็ เพียงความกวา้ งกับความยาว หรือรปู ด้านหน้าแสดงให้
เห็นเพียงความยาวกบั ความสงู เทา่ นั้น วิธกี ารของ Orthographic กค็ อื การถา่ ยทอดรูปรา่ งจรงิ ของวตั ถุแตล่ ะมุม
แต่ละดา้ นออกไปส่พู ้ืนราบน่ันเอง
การมองภาพฉาย
การมองภาพฉายเป็นการมองต้ังฉากกับระนาบด้านต่าง ๆ ทช่ี น้ิ งานต้งั อยู่ ซึ่งระนาบดา้ นจะมีอยู่ 6 ด้าน
เหมอื นชิน้ งานต้ังอยใู่ นกลอ่ งแก้วสีเ่ หลย่ี มท่ีมีผนังของกล่องแกว้ เปน็ ระนาบดา้ นต่าง ๆ ดังตัวอย่างในรปู ท่ี 6.1
รูปท่ี 6.1
ภาพทเี่ กิดขึ้นจากการมองจะมีลกั ษณะเป็นพืน้ ทข่ี องผิวชิน้ งานทีม่ ีเสน้ ขอบของช้นิ งานลอ้ มรอบอยู่ การ
มองชิ้นงานในแตล่ ะดา้ น จะเกิดภาพท่ีแตกต่างกันไปตามรปู ร่างของช้ินงาน และจานวนพ้นื ท่ผี วิ ของชน้ิ งานในแต่
ละดา้ น
1. การมองชิ้นงานตามทิศทางหมายเลข 1
การมองตามทศิ ทางหมายเลข 1 จะเห็นผวิ ของชนิ้ งาน 1 สว่ น รปู รา่ งเหมอื นตวั L กลบั ดา้ น ดังในรปู
ที่ 6.2
รปู ที่ 6.2
ภาพ : นพดล เวชวฐิ าน. เขียนแบบเทคนิคเบอื้ งต้น. กรุงเทพฯ: สมาคมสง่ เสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญีป่ นุ่ ). 2547
2. การมองชน้ิ งานตามทิศทางของหมายเลข 2
การมองตามทศิ ทางของหมายเลข 2 จะเห็นพื้นท่ีผวิ ของชิ้นงาน 2 ส่วน เป็นรปู ส่ีเหลี่ยม 2 รปู ตดิ กัน ใน
แนวต้ัง ดังรปู ท่ี 6.3
รปู ท่ี 6.3
3. การมองชิน้ งานตามทิศทางของหมายเลข 3
การมองตามทิศทางของหมายเลข 3 จะเห็นพื้นผิวของช้ินงาน 1 ส่วน รูปร่างเหมือนตัว L ซึ่งจะตรงกัน
ข้ามกบั ทิศทางการมองตามหมายเลข 1 ดังรูปที่ 6.4
รปู ท่ี 6.4
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขยี นแบบเทคนคิ เบื้องต้น. กรงุ เทพฯ: สมาคมส่งเสรมิ เทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปนุ่ ). 2547
4. การมองช้ินงานตามทิศทางของหมายเลข 4
การมองตามทศิ ทางของหมายเลข 4 จะเห็นพน้ื ท่ีผิวของชน้ิ งาน 1 ส่วน เปน็ รูปสี่เหลยี่ ม มีเสน้ ประตรง
กลางรปู สเ่ี หลยี่ ม ซึง่ แสดงให้เห็นสว่ นที่บงั เอาไว้ ดงั รปู ท่ี 6.5
รปู ท่ี 6.5
5. การมองชนิ้ งานตามทิศทางของหมายเลข 5
การมองตามทศิ ทางของหมายเลข 5 จะเห็นพ้นื ท่ีผิวของช้นิ งาน 2 สว่ น เปน็ รูปส่ีเหลีย่ ม 2 รปู ติดกัน ดัง
ในรปู ที่ 6.6
รูปที่ 6.6
ภาพ : นพดล เวชวฐิ าน. เขียนแบบเทคนิคเบอ้ื งต้น. กรุงเทพฯ: สมาคมสง่ เสรมิ เทคโนโลยี(ไทย-ญป่ี นุ่ ). 2547
6. การมองชน้ิ งานตามทิศทางของหมายเลข 6
การมองตามทศิ ทางของหมายเลข 6 จะเหน็ พ้ืนท่ีผิวของช้ินงาน 1 สว่ น เป็นรูปสี่เหลี่ยมผนื ผ้า มเี ส้นประ
แสดงชิ้นงานส่วนทถ่ี กู บงั เอาไว้ตรงกลาง ดงั รปู ท่ี 6.7
รูปท่ี 6.7
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขียนแบบเทคนคิ เบ้ืองตน้ . กรุงเทพฯ: สมาคมสง่ เสรมิ เทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปนุ่ ). 2547
มาตรฐานในการมองภาพฉาย
การมองภาพฉายจากช้ินงานสามารถมองได้ 6 ด้าน ภาพท่ีเกิดจากการมองในทิศทางของหมายเลข 1 จะ
เหมือนกับทิศทางหมายเลข 3 ภาพที่เกิดจากการมองในทิศทางของหมายเลข 2 จะเหมือนกับทิศทางของ
หมายเลข 4 และภาพที่เกิดจากการมองในทิศทางของหมายเลข 5 จะคล้ายกับทิศทางการมองของหมายเลข 6
ดงั น้นั อาจสรุปไดว้ ่า ภาพฉายเพียงสามด้านสามารถใหร้ ายละเอยี ดของชน้ิ งานได้ครบถ้วน เพ่ือให้การมองภาพฉาย
เป็นไปในรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน และมีความเข้าใจตรงกัน ระหว่างผู้เขียนแบบกับผู้อ่านแบบ ได้มีการกาหนด
วิธีการมองภาพฉายโดยใชห้ ลกั การของฉากรับภาพทม่ี ี 4 มุม เป็นตัวกาหนดความสัมพันธข์ องภาพฉาย 3 ดา้ น ดัง
ในรูปที่ 6.8 6
รูปที่ 6.8
จากรปู ที่ 6.8 เปน็ ฉากรบั ภาพสีเ่ หล่ียมทมี่ แี ผน่ ฉากกั้นกงึ่ กลาง ทาใหแ้ บ่งฉากเปน็ 4 สว่ น แต่ละสว่ นจะมี
ลักษณะเป็นมมุ โดยกาหนดให้
- มุมท่อี ยดู่ ้านบนขวา เปน็ ฉากรับภาพมุมที่ 1 (First Angle Projection)
- มมุ ทอ่ี ยู่ด้านบนซ้าย เปน็ ฉากรับภาพมุมท่ี 2 (Second Angle Projection)
- มมุ ทอ่ี ยดู่ ้านล่างซา้ ย เปน็ ฉากรับภาพมุมที่ 3 (Third Angle Projection)
- มมุ ท่อี ยูด่ ้านลา่ งขวา เป็นฉากรบั ภาพมุมที่ 4 (Fourth Angle Projection)
การมองภาพจะอาศยั ฉากรบั ภาพมมุ ใดมมุ หน่ึงมาเปน็ ฉากรับภาพ ในระบบท่ีใช้ในยุโรปที่ เรียกวา่ ISO Method E
(E=European) จะใช้ฉากรับภาพมุมที่ 1(First Angle Projection) ส่วนระบบอเมริกันท่ีเรียกว่า ISO Method
A(A=American) จะใชร้ บั ภาพมมุ ที่ 3 (Third Angle Projection)
หลกั การมองภาพฉายมุมที่ 1
เป็นฉากรบั ภาพมมุ ที่ 1 มาพิจารณา จะไดฉ้ ากรับภาพท่มี ี 3 ดา้ น ดังในรปู ที่ 6.9
รูปที่ 6.9
ภาพ : นพดล เวชวฐิ าน. เขยี นแบบเทคนคิ เบอ้ื งตน้ . กรุงเทพฯ: สมาคมสง่ เสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปนุ่ ). 2547
เม่ือนาชนิ้ งานมาวางระหว่างฉากรับภาพทั้ง 3 ด้าน แลว้ มองช้นิ งานตามทิศทางของลกู ศร 3 ทศิ ทาง จะ
ได้ภาพฉายที่มองเห็นเกิดข้นึ ท่ีฉากรับภาพดา้ นหลงั ท้ัง 3 ด้าน ดงั ในรปู ท่ี 6.10(การวางชน้ิ งานระหวา่ งฉากรบั ภาพ
และภาพฉายที่เกิดขน้ึ บนฉากรับภาพเปน็ เพยี งจินตนาการเทา่ น้ัน) เม่อื นาชิ้นงานออกจะไดภ้ าพ 2 มิตขิ องรปู ด้าน
ทงั้ 3 ดา้ นของชนิ้ งาน ดังรปู ท่ี 6.11
รปู ท่ี 6.10
รปู ท่ี 6.11
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขียนแบบเทคนิคเบือ้ งต้น. กรงุ เทพฯ: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ป่นุ ). 2547
จากรูปที่ 6.11 ภาพฉายทเี่ กิดขึ้นบนฉากท้ัง 3 ด้าน จะมีรูปร่างที่แตกต่างกันตามภาพที่มองเห็นในแต่ละ
ทิศทาง แต่ภาพที่เกิดข้ึนบนฉากรับภาพที่ทามุมต้ังฉากซึ่งกันและกันทาให้ดูยาก เพ่ือความสะดวกในการดูแบบ
ภาพฉาย จึงหมนุ ฉากรบั ภาพดา้ นขวาไป 90 องศา และหมนุ ฉากรับภาพดา้ นลา่ งลงไป 90 องศา ให้ฉากรับภาพท้ัง
สามอยใู่ นระนาบเดยี วกัน ดังแสดงในรปู ที่ 6.12
รูปท่ี 6.12
จากนน้ั นาฉากรับภาพ 3 ด้านที่แผ่ออกเปน็ ระนาบเดียวกันมาพิจารณา กาหนดให้ภาพฉายท่อี ยบู่ นฉากรับภาพรูป
บนด้านซ้ายเป็นภาพด้านหน้า ภาพฉายรูปบนด้านขวาเป็นภาพด้านข้าง และภาพฉายด้านล่างที่เกิดจากการมอง
ดา้ นบนของชิน้ งานเป็นภาพด้านบน ดงั แสดงในรปู ที่ 6.13
F=Front view ภาพดา้ นหนา้
S=Side view ภาพด้านขา้ ง
T=Top view ภาพด้านบน
รูปท่ี 6.13
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขยี นแบบเทคนิคเบอ้ื งต้น. กรงุ เทพฯ: สมาคมสง่ เสรมิ เทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปนุ่ ). 2547
เมื่อพิจารณาภาพ 3 มิติ และภาพฉายของช้ินงานตามระบบการมองภาพฉายมุมที่ 1 จะพบว่า ภาพฉาย
ทั้ง 3 ดา้ น มคี วามสัมพนั ธก์ ัน คอื
1. ภาพด้านขา้ งเกิดจากการมองทางด้านซา้ ยของภาพด้านหน้า ภาพด้านบนเกิดจากการมองทางด้านบน
ของด้านหนา้
2. ขนาดความสงู ของภาพด้านหนา้ จะเทา่ กบั ความสงู ของภาพดา้ นข้าง
3. ขนาดความกวา้ งของภาพด้านหนา้ จะเท่ากบั ความกวา้ งของภาพดา้ นบน
4. ขนาดความสงู ของภาพดา้ นบนจะเทา่ กบั ความกวา้ งของภาพด้านข้าง
หลักการมองภาพฉายมมุ ที่ 3
การมองภาพฉายของชน้ิ งานแบบน้จี ะใช้ฉากรบั ภาพในสว่ นของมมุ ท่ี 3 มาพิจารณา โดยใหฉ้ ากรับภาพทงั้
3 ดา้ น มีคุณสมบัตเิ หมอื นแผน่ กระจกใส ดงั ในรปู ท่ี 6.14
รูปท่ี 6.14
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขียนแบบเทคนคิ เบอ้ื งต้น. กรงุ เทพฯ: สมาคมสง่ เสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปนุ่ ). 2547
เมื่อจินตนาการว่านาช้ินงานมาวางระหว่างฉากรับภาพท้ัง 3 ด้าน ดังในรูปที่ 6.15 แล้วมองช้ินงานตาม
ทศิ ทางของลกู ศร 3 ทศิ ทางผ่านฉากรบั ภาพ ทาให้ภาพฉายที่มองเหน็ เกิดขึ้นบนฉากรับภาพทัง้ 3 ด้าน
รปู ท่ี 6.15
เมือ่ นาช้ินงานออกมาจะไดภ้ าพ 2 มิติ ของรูปด้านทง้ั 3 ดา้ นของชิ้นงาน ดังแสดงในรูปที่ 6.16
รปู ท่ี 6.16
ภาพ : นพดล เวชวฐิ าน. เขยี นแบบเทคนิคเบ้ืองต้น. กรงุ เทพฯ: สมาคมส่งเสรมิ เทคโนโลยี(ไทย-ญ่ปี นุ่ ). 2547
จากรปู ท่ี 6.16 ภาพฉายทีเ่ กดิ ขนึ้ บนฉากทั้ง 3 ด้าน จะมีรปู รา่ งท่ีแตกตา่ งกันตามภาพ ท่ีมองเหน็ ในแต่ละทศิ ทาง
และดว้ ยเหตผุ ลทีฉ่ ากรบั ภาพตั้งฉากซึ่งกันและกันทาให้ดไู ดย้ าก จงึ ทาการหมนุ ฉากรับภาพดา้ นบนขึน้ 90 องศา
และหมนุ ฉากรับภาพหลงั ออกมา 90 องศา ใหฉ้ ากรบั ภาพทงั้ สามอยใู่ นแนวระนาบเดยี วกัน ดงั แสดงในรูป 6.17
รปู ที่ 6.17
จากน้ันนาฉากรับภาพทั้ง 3 ด้าน ที่แผ่ออกมาเปน็ ระนาบเดียวกนั มาพิจารณากาหนดใหภ้ าพท่ีเกดิ ขนึ้ จาก
การมองทางดา้ นบนของช้ินงานเป็นภาพด้านบน ภาพท่อี ยู่ด้านล่างซา้ ยเปน็ ภาพด้านหน้า และภาพทอ่ี ย่ทู างด้าน
ลา่ งขวาเป็นภาพด้านขา้ ง ดงั แสดงในรปู ที่ 6.18
รูปท่ี 6.18
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขียนแบบเทคนิคเบอ้ื งตน้ . กรงุ เทพฯ: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญีป่ ุ่น). 2547
เม่ือพิจารณาภาพ 3 มิติ และภาพฉายของช้ินงานตามระบบการมองภาพฉายมุมท่ี 3 จะพบว่า ภาพฉาย
ทงั้ 3 ดา้ น มคี วามสมั พันธ์กัน คอื
1. ภาพด้านข้างเกิดจากการมองทางด้านขวาของภาพด้านหน้า ภาพด้านบนเกิดจากการมองภาพทาง
ด้านบนของภาพดา้ นหน้า
2. ขนาดความสงู ของภาพด้านหนา้ จะเทา่ กับความสงู ของภาพดา้ นขา้ ง
3. ขนาดความกว้างของภาพดา้ นหน้าจะเท่ากับความกว้างของภาพดา้ นบน
4. ขนาดความกว้างของภาพด้านบนจะเท่ากับความกว้างของภาพด้านข้าง จากหลกั การมองภาพฉายมุม
ท่ี 1 และมุมที่ 3 จะเห็นว่ามที ิศทางในการมอง 3 ทิศทาง เหมือนกัน แต่ลักษณะการพจิ ารณาการเกิดภาพฉายบน
ฉากรับภาพจะแตกต่างกัน ดงั รปู ท่ี 6.19
ในด้านการใช้งาน การมองภาพฉายมุมที่ 1 จะมใี ชก้ ันในกลุ่มยุโรป ส่วนการมองภาพฉายมุมท่ี 3 จะใช้ใน
ประเทศสหรัฐอเมรกิ า สาหรับในประเทศไทยจะมีใชท้ ั้ง 2 ระบบ เน่ืองจากประเทศไทยรับเทคโนโลยีมาจากยุโรป
และอเมริกา แต่ระบบที่ใช้กันในมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมคือ การมองภาพฉายมุมที่ 1 ท่ีเราจะศึกษา
วิธกี ารเขยี นกันต่อจากนไี้ ปจะเปน็ การเขียนแบบภาพฉาย
ที่เกดิ จากการมองภาพฉายมุมที่ 1 เทา่ นั้น
รปู ที่ 6.19
ภาพ : นพดล เวชวิฐาน. เขียนแบบเทคนคิ เบอื้ งต้น. กรงุ เทพฯ: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญป่ี ุน่ ). 2547
ข้นั ตอนในการมองภาพฉายของชิน้ งาน
รปู ท่ี 6.20
จากภาพสามมิติของช้ินงานรูปที่ 6.20 เราสามารถมองภาพฉาย 3 ดา้ น ตามกระบวนการมองภาพฉายมมุ ท่ี 1 ได้
ตามขน้ั ตอน ดังนี้
1. กาหนดทศิ ทางการมองภาพด้านหน้าเป็นภาพหลัก โดยภาพดา้ นหนา้ ควรเปน็ ภาพทีม่ องเหน็ รปู ร่าง
และรายละเอียดของชิ้นงานได้ดที ่ีสุด
2. กาหนดทศิ ทางในการมองภาพดา้ นขา้ ง โดยมองจากทางด้านซ้ายของภาพดา้ นหนา้
3. กาหนดทศิ ทางการมองภาพดา้ นบน โดยมองจากทางดา้ นบนของภาพด้านหนา้
4. มองชน้ิ งานตามทิศทางท่กี าหนดจะได้ภาพฉายของช้ินงาน 3 ภาพ คอื ภาพด้านหนา้ ภาพดา้ นขา้ ง
และภาพดา้ นบน ดงั แสดงในภาพฉาย 3 ดา้ น
ตัวอยา่ งการมองภาพฉายของชิ้นงาน รูปที่ 6.21-6.27
รูปที่ 6.21
ภาพ : นพดล เวชวฐิ าน. เขียนแบบเทคนิคเบือ้ งตน้ . กรุงเทพฯ: สมาคมสง่ เสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญป่ี ุน่ ). 2547
รูปท่ี 6.22
รูปที่ 6.23
รปู ที่ 6.24
ภาพ : นพดล เวชวฐิ าน. เขยี นแบบเทคนิคเบ้อื งตน้ . กรงุ เทพฯ: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลย(ี ไทย-ญี่ปนุ่ ). 2547
รูปที่ 6.25