คำชี้แจง
หนังสือเรียนเพ่ิมเติมรายวิชาภาษาไทย “เที่ยวเมืองสงขลา
รู้หลักภาษาไทย (ถนนสามสายย่านเมืองเก่า)” เป็นหนังสือที่ให้ความรู้เรื่อง
เสียงใ นภาษาไทย การสร้างคาใน ภาษาไ ทย โครงสร้างประโยค แล ะ
คาภาษาต่างประเทศที่ใชใ้ นภาษาไทย โดยสอดแทรกเรือ่ งราวของท้องถิน่
เรื่องราวข้อมูลของท้องถิ่น ผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัย
ถนนนางงาม : พ้ืนที่ย่านเมืองเก่าสู่การกลายเป็นสินค้าในกระแสการท่องเที่ยว
ของ สุนิสา มุนิเมธี วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตร์ มหาบัณฑิต
สาขาพัฒนามนุษย์และสังคม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (2555) และ
หนังสือสงขลาบ่อยางแผ่นดินทองเมืองสองทะเล ของ จิระนันท์ พิตรปรีชา
เป็นหลัก แล้วนาข้อมูลมาปรับเพ่ือให้เนื้อหาเหมาะสมแก่การนาเสนอความรู้
ในประเด็นต่าง ๆ
ภาพประกอบคณะผจู้ ัดทามีข้อช้แี จงดงั นี้
1. ภาพตัวการ์ตนู เป็นการสร้าง Avatar จาก Application Line ทั้งหมด
ผเู้ รียบเรียงจึงให้ลิขสิทธิ์ภาพแก่ Application ดังกล่าว และไมร่ ะบุแหล่งทีม่ าใต้ภาพ
2. ภาพวาดอาหารและขนมเก่าแก่ของถนนสามสาย ย่านเมืองเก่า
จังหวัดสงขลา ผู้เรียบเรียงได้นาภาพวาดซ่ึงเป็นผลงานของ กุลธวัช เจริญผล
มาจาก FacebookFanpage ร้านหนังสือเล็ก ๆ : ถนนยะหริ่ง สงขลา ซ่ึงเป็น
ร้านหนังสือที่ต้ังอยู่ในย่านเมืองเก่าจังหวัดสงขลา ผู้เรียบเรียงจึงให้ลิขสิทธิ์ภาพ
แก่เจ้าของผลงานและ Facebook Fanpage ดงั กล่าว และไมร่ ะบแุ หล่งทีม่ าใต้ภาพ
3. ภาพประกอบอ่นื ๆ ทผ่ี เู้ รียบเรียงนามาจากแหล่งอื่นที่ไม่ได้ถ่ายมา
ด้วยตนเอง ผเู้ รียบเรียงได้ระบุแหล่งข้อมลู ไว้ใต้ภาพ
ผเู้ รียบเรียง
คำนำ
หนังสือเรียนเพ่ิมเติมรายวิชาภาษาไทย “เที่ยวเมืองสงขลารู้หลักภาษาไทย
(ถนนสามสายย่านเมืองเก่า)” เรียบเรียงขึ้นเพ่ือใช้สาหรับการสอนเสริมสาระที่ 4
หลักการใช้ภาษาไทย สอดแทรกสาระที่ 1 การอ่าน สาระที่ 2 การเขียน และ
สาระที่ 4 การฟัง การดู และการพูด ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ตามหลักสูตร
แกน กล างการ ศึกษาขั้น พ้ืนฐาน พุทธ ศักร าช 25 5 1 โ ด ยเ น้นหลักไ ปที่
หลักการใช้ภาษาไทยที่มีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง
เสียงใ นภาษาไทย การสร้างคาใน ภาษาไ ทย โครงสร้างประโยค แล ะ
คาภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย
ท้ังนี้เ นื้อหาแ บ่งออ กเ ป็น 4 บท คือ จุดเ ริ่มต้น ขอ งการเ ดิน ทาง
โครงสร้างแห่งชีวิต รวมมิตรของอร่อย และเรียงร้อย “สามสัมพันธ์” นอกจาก
สาระการเรียนรู้แล้ว ได้จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการกับวัฒนธรรมและ
ภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ถนนสามสาย ย่านเมืองเก่า ตาบลบ่อยาง อาเภอเมือง
จังหวัดสงขลา ซ่ึงได้ถ่ายทอดผ่านเรื่องส้ันร้อยแก้วที่สอดคล้องกัน เพ่ือให้ผู้เรียน
เกดิ ความรู้ ความเข้าใจ ความภาคภูมิใจ และรักท้องถิน่
หวงั เป็นอยา่ งยิ่งว่าหนงั สือเรียนเพิ่มเติมรายวิชาภาษาไทย “เท่ียวเมืองสงขลา
รู้หลักภาษาไทย (ถนนสามสาย ย่านเมืองเก่า)” เล่มนี้ จะช่วยอานวยความสะดวก
และมีประโยชน์ในการให้ความรู้เพ่ิมเติมได้เป็นอย่างดี และทาให้ผู้เรียนสามารถ
นาความรู้ไปประยกุ ต์ใช้ในการดาเนินชีวิตได้
ผู้เรียบเรียงขอขอบคุณครู อาจารย์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทา
หนังสือเล่มนี้ให้สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีไว้ ณ โอกาสนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
หนงั สือเล่มนีจ้ ะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษา
ข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ต่อไป
ผเู้ รียบเรียง
แนวทำงกำรใช้หนังสือเรียน
หนังสือเรียนเพ่ิมเติมรายวิชาภาษาไทย “เที่ยวเมืองสงขลารู้หลักภาษาไทย
(ถนนสามสายย่านเมืองเก่า)” ช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น จัดทาขึ้นตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
เพื่อใชใ้ นการจัดการเรียนรู้ โดยมุ่งเน้นที่สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย บูรณาการ
เนื้อหาเข้ากับท้องถิ่น ถนนสามสาย ย่านเมืองเก่า ตาบลบ่อยาง อาเภอเมือง
จังหวัดสงขลา การจัดทาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับเรื่อง เสียงในภาษาไทย การสร้างคาในภาษาไทย โครงสร้างประโยค และ
คาภาษาต่างประเทศท่ีใช้ในภาษาไทย สอดแทรกทักษะการอ่าน การเขียน และ
การ ฟัง การ ดู แ ล ะการ พูด ไว้ด้วยเ ช่นกัน ต ล อ ดจน ปลูกฝังใ ห้ผู้เ รียน
เกดิ ความตระหนักเหน็ คุณคา่ และรักในท้องถิ่นของตน
วิธีกำรศึกษำ เริ่มจากการอ่านเรื่องสั้น “จุดเริ่มต้นของการเดินทาง”
เพ่ือให้ผู้เรียนได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของถนนสามสาย ย่านเมืองเก่า
จงั หวัดสงขลา ซ่ึงมีตัวละครหลัก 3 ตัว ได้แก่ กฤต ปั้นแป้ง และก้อนเมฆ ตัวละคร
ทั้ง 3 ตัวนี้ จะเป็นตัวละครที่ดาเนินเรื่องนาผู้เรียนท่องเที่ยวไปท่ัวบนถนนสามสาย
ย่านเมืองเก่า ท้ังสถานที่ทางประวัติศาสตร์ โครงสร้างสถาปัตยกรรมบ้านเรือน
อาหารที่ต้องห้ามพลาด และการเรียนรู้วิถีชีวิตของคนหลากเช้ือชาติที่อาศัยอยู่
บนถนนสามสาย พร้อมด้วยการเรียนรู้เนือ้ หาทางด้านวิชาการ
แนวทำงกำรใชห้ นังสือเรียน
เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง เสียงในภาษาไทย
การสร้างคาในภาษาไทย โครงสร้างประโยค และคาภาษาต่างประเทศที่ใช้
ในภาษาไทย เมื่อผู้เรียนศึกษาเนื้อหาข้างต้นแล้ว ผู้เรียนจะได้ฝึกทักษะในเรื่องที่ได้
เรียนรู้ผา่ นกิจกรรมต่าง ๆ ของแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ บทที่ 1 กิจกรรมเรียนรู้
ลกั ษณะเสียงรอ้ ยเรียงเรื่องท้องถิ่น บทที่ 2 กิจกรรมหลักสร้างคาน่ารู้เคียงคู่วิถีชีวิต
บทที่ 3 กิจกรรมสนุกกับประโยคบริโภคของหรอย และบทที่ 4 กิจกรรม
วิถีสร้างสรรค์สัมพันธ์หลากภาษาซึ่งสอดคล้องตามตัวช้ีวัดของหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ตลอดจนสนใจศึกษาค้นคว้าเรื่องราวท้องถิ่นของตนเองและ
นาไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานทางด้านภาษาไทย ด้วยทักษะต่าง ๆ โดยผู้สอน
สามารถประเมนิ ผเู้ รียนได้ตามเกณฑ์การประเมนิ ท้ายหน่วยการเรียนรู้
เนื้อหำของหนงั สือเรียนเพิม่ เติมรำยวิชำภำษำไทย “เที่ยวเมืองสงขลำรู้
หลักภำษำไทย (ถนนสำมสำยย่ำนเมืองเก่ำ)” ช้ันมัธยมศึกษำตอนต้น
เ ป็ น ค ว า ม รู้ ที่ จั ด ท า ขึ้ น เ ส ริ ม จ า ก ร า ย วิ ช า ห ลั ก เ พ่ื อ พั ฒ น า ใ ห้ ผู้ เ รี ย น มี ทั ก ษ ะ
ความสามารถเฉพาะด้านมากขึ้นซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการใช้เป็นสื่อประกอบ
การจัดการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถเพ่ิมเติมกิจกรรมหรือสื่ออื่น ๆ ได้ตาม
ความเหมาะสม เพ่ือเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีความชานาญในทักษะดังกล่าว ส่งเสริม
ให้ผู้เรียนตระหนักและร่วมสืบสานมรดกอันทรงคุณค่าของท้องถิ่น พร้อมทั้ง
มีพัฒนาการด้านความรู้ที่เกี่ยวกับหลักการใช้ภาษาไทย และพัฒนาการด้านทักษะ
การใชภ้ าษาไทยไปในทางทีด่ ีและสามารถพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต
ผเู้ รียบเรียง
ผังมโนทศั น์
1 จดุ เริม่ ตน้ ของกำรเดนิ ทำง 2 โครงสร้ำงแหง่ ชวี ิต
เสียงในภำษำไทย การสรา้ งคาในภาษาไทย
- ความหมายของเสยี งในภาษาไทย - คามูล
- อวัยวะทีใ่ ช้ในการออกเสยี ง - คาประสม
- ลักษณะของเสยี งในภาษาไทย - คาซ้อน
- เสยี งในภาษาไทยและรูปอกั ษร - คาซ้า
- เสยี งและรปู สระ (เสยี งแท้) - คาพ้อง
- เสยี งและรูปพยัญชนะ (เสยี งแปร) - คาสมาส
- เสียงและรปู วรรณยุกต์ (เสียงดนตรี)
- การออกเสียงภาษาไทย
หนังสือเรยี นเพิ่มเติมรำยวิชำภำษำไทย
“เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลักภำษำไทย (ถนนสำมสำย ยำ่ นเมืองเก่ำ)”
ช้ันมธั ยมศึกษำตอนต้น
3 รวมมิตรของอร่อย 4 เรียงร้อย “สำมสมั พนั ธ์”
ประโยค คำภำษำต่ำงประเทศทีใ่ ช้
- ความหมาย
- ส่วนประกอบของประโยค ในภำษำไทย
- ชนิดของประโยค
- สาเหตุการยมื คาจากภาษาต่างประเทศ
- ประโยคสามัญ เข้ามาใช้
- ประโยครวม - คาจากภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้
- ประโยคซ้อน ในภาษาไทย
- ประโยคซบั ซ้อน
- ภาษาองั กฤษ - ภาษาเขมร
- ภาษาจีน - ภาษาชวา – มลายู
- ภาษาบาลแี ละสันสกฤต
สารบญั หนำ้
เร่อื ง 1
4
บทที่ 1 จุดเริม่ ต้นการเดินทาง 7
เสียงในภาษาไทย 8
ลกั ษณะของเสียงในภาษาไทย 14
สระในภาษาไทย 17
พยัญชนะในภาษาไทย 21
วรรณยกุ ต์ภาษาไทย 22
การออกเสียงภาษาไทย 28
กจิ กรรมท้ายบทเรียน 28
28
บทที่ 2 โครงสร้างแห่งชีวิต 29
การสร้างคาในภาษาไทย 32
คามลู 33
คาประสม 34
คาซา้ 35
คาซ้อน 38
คาพ้อง
คาสมาส
กจิ กรรมท้ายบทเรียน
สารบญั หนำ้
เร่อื ง 40
41
บทที่ 3 รวมมิตรของอร่อย 43
โครงสร้างประโยค 44
ประโยคสามญั 45
ประโยครวม 46
ประโยคซอ้ น 54
ประโยคซบั ซอ้ น 59
กจิ กรรมท้ายบทเรียน 60
61
บทที่ 4 เรียงร้อย “สามสมั พนั ธ์” 64
คาภาษาต่างประเทศในภาษาไทย 65
ภาษาองั กฤษ 69
ภาษาจีน 71
ภาษาบาลี สนั สกฤต 73
ภาษาเขมร 74
ภาษาชวา-มลายู
กจิ กรรมท้ายบทเรียน
บรรณานกุ รม
หนุ่มน้อยหน้ามน เด็กหญิงช่างพูด เดก็ ชายชาวจงั หวดั
คนตรงั ผู้มาเยือน ช่างเจรจา นครศรีธรรมราช
สงขลาดว้ ยความ มคั คเุ ทศกน์ าเทีย่ ว ผู้หลงมนต์เสน่ห์
หลงใหล ตวั น้อยที่จะพา ของเมืองสงขลา
เพือ่ น ๆ ไปรจู้ กั กับ จนต้องมาเยือน
ถนนสามสาย
ย่านเมืองเก่า
จงั หวัดสงขลา
“ มนุษย์ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือและสื่อกลางในการสื่อสาร
โดยธรรมชาติของภาษาจะประกอบด้วยเสียงและความหมาย การสื่อสาร
หรือการใช้ภาษาให้ถูกต้องประสบความสาเร็จอย่างมีประสิทธิผล
ผู้ ใ ช้ ภ า ษ า จ ะ ต้ อ ง อ า ศั ย ค ว า ม รู้ แ ล ะ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ รื่ อ ง เ สี ย ง ใ น ภ า ษ า
ซึ่งประกอบไปด้วยเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ เพื่อให้สามารถ
สื่อความหมายได้ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยการเรียนรู้และนาไปประยุกต์ใช้
เข้ากับทักษะต่าง ๆ ทางภาษาไม่ว่าจะเป็นการฟัง การพูด การอ่านและ
”การเขียนอยู่เสมอ และจะเปน็ จดุ เร่มิ ต้นทั้งหมดของการเดินทางในครั้งนี้
แสงแดดอ่อน ๆ ช่วงสายของเช้าวันเสาร์ส่องกระทบผ่านเข้ามาในกระจกรถ
ทีก่ าลังแล่นมงุ่ ตรงไปยัง ถนนสามสายย่านเมอื งเก่าจังหวัดสงขลา ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอาย
ของน้าทะเลทีล่ ่องลอยมาพรอ้ มกบั สายลม พัดมากระทบบนใบหน้า ทาให้ผมรู้สึกตื่นเต้น
อย่างบอกไม่ถูก ผมกาลังจะได้เจอกับเพ่ือนใหม่และในที่สุดความตื่นเต้นของผม
ก็ยิ่งทวีคูณขึ้น เมื่อล้อท้ังสี่ของรถที่ผมน่ังมาหยุดสนิท ภาพตรงหน้าที่ผมเห็นคือ
เด็กผู้หญิงผมเปียตัวเล็ก ๆ กาลังยืนอยู่กับ หนุ่มน้อยท่าทางดูตื่นเต้นไม่ต่างไปจากผม
ด้านหลังของเขาทั้งสองเป็นซุ้มประตูเมืองจาลองที่มีรูปแบบออกจะจีน ๆ ผสมผสาน
กบั แบบองั กฤษหน่อย ๆ เป็นสญั ญาณบอกให้ผมรู้ว่า
ผม...มำถึงยำ่ นเมืองเกำ่ จังหวดั สงขลำแล้ว
ป้นั แปง้ : กฤตใช่ม้ัย
กฤต : ใช่แล้ว เราเอง แสดงว่าเธอก็คือ ปัน้ แป้งใช่ไหม
ปัน้ แป้ง : ใช่คะ่ นี่ ก้อนเมฆนะ เพอ่ื นอีกคนที่เราบอกไปว่าจะมาเทย่ี วกับเราด้วย
ก้อนเมฆ : หวดั ดีกฤต เราก้อนเมฆนะ ยินดีที่ได้รู้จกั ขอร่วมทริปนีด้ ้วยคนนะ
ก้อนเมฆหนุ่มน้อย หน้ามลคนตรัง ผู้มาเยือนจังหวัดสงขลาด้วยความหลงใหล
ขอร่วมทริปกับพวกเราในครั้งนี้ด้วย ผมชักตื่นเต้นอยากจะตะลุยเที่ยวเมืองสงขลา
แล้ว ปั้นแป้งสาวน้อยเจ้าถิน่ ผชู้ า่ งพดู ช่างเจรจา มคั คเุ ทศก์นาเทย่ี วประจาทริปของผม
กพ็ ร้อมอยแู่ ล้ว ส่วนผมพร้อมยิ่งกว่าใครเพราะคลิป TikTok ทีป่ น้ั แป้งส่งมาทาง
Facebook ป้ายยาผมเม่อื สปั ดาหท์ ีแ่ ล้ว ทาให้ผมติดสินใจออกเดินทางมาที่นี่
อยา่ งมุ่งม่ันเพ่ือจะมาสมั ผัสกับมนต์เสน่หท์ ี่น่าหลงใหลของย่านเมอื งเก่า
จงั หวัดสงขลา ไมเ่ ชื่อกล็ อง กดดคู ลิปที่ปนั้ แป้งส่งมาให้ผมดูสิครบั
เทีย่ วเมืองสงขลำร้หู ลักภำษำไทย
ประวตั ิยำ่ นเมืองเกำ่ (ถนนสำมสำย)
ตำบลบอ่ ยำง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลำ
ตาบลบ่อยาง อาเภอเมือง จังหวัดสงขลา คือ ที่ตั้งของถนนเก่าแก่ 3 สาย ซ่ึงเป็น
ถนนที่ใครมาเยือนสงขลาแล้วไม่ได้มาเที่ยวถนน 3 สายนี้ คงคล้ายกับมาไม่ถึงจังหวัด
สงขลา เพราะ “ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนำงงำม” คือ ถนนท่ีวันเวลา
ในอดีตกับปัจจุบันเวียนมาบรรจบกันด้วยบรรยากาศร้านค้า บ้านเรือนที่ยังคงเอกลักษณ์
ด้ังเดิม และเตม็ ไปด้วยร่องรอยความยิง่ ใหญข่ องเมืองท่า เมื่อคร้ังที่สงขลาเคยเป็นเมืองท่า
สาคัญของภาคใต้ อาคารหลายหลังยังคงสภาพโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสาน
ระหว่างจนี กบั ยุโรปและแบบจีนด้ังเดิม บางหลังถูกปล่อยร้างให้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
บางหลังได้รบั การดูแลปรับปรุงสภาพ โดยคงสภาพเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด ขณะที่บางหลัง
เปลี่ยนแปลงหน้าตาภายนอกจนแทบจาไม่ได้ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ล้วนเป็นการผสม
กลมกลืนกนั ระหว่างความเป็นอดีตกับการดาเนินไปของปจั จบุ ัน
ใครได้มาเที่ยวถนน 3 สาย ถนนแห่งอารยธรรมประวัติศาสตร์ของคนสงขลา
คงไมพ่ ลาดที่จะเริม่ ต้นการเทีย่ วชมถนน 3 สายกันท่ีถนนนครนอก ซ่ึงมีประตูเมืองสงขลา
จาลอง ตั้งเด่นสง่ารอใหน้ กั ท่องเทย่ี วมาถ่ายรปู เชค็ อนิ การมาถ่ายรูปกับประตูเมืองสงขลา
นี้เปรียบได้กับการได้เข้าสู่เมืองสงขลาอย่างสมบูรณ์แบบ หรือเปรียบได้กับการได้รับการ
ต้อนรบั จากชาวสงขลาก็เป็นได้
บริเวณถนนนครนอก เช่ือมโยงทอดยาวจนถึงถนนนครใน มีประวัติการต้ังถิ่นฐาน
มาพร้อมกับการก่อต้ังเมืองสงขลาปัจจุบัน กล่าวคือ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2385 หลังจากย้ายชุมชนจากแหลมสน ซึ่งอยู่คนละฝั่ง
ของทะเลสาบสงขลา ดังนั้น บริเวณนี้จึงมีการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องมายาวนานเกือบ
200 ปี
ลักษณะเด่นของผังเมืองบริเวณถนนนครนอก - ถนนนครใน ในอดีตสมัยท่ีเมือง
สงขลายงั มีกาแพงเมือง บริเวณถนนนครนอก - ถนนนครใน เป็นที่อยู่อาศัยและที่ค้าขาย
ซ่ึงต้ังอยู่ในกาแพงเมือง มีการติดต่อกับนอกเมืองด้านทะเลสาบ บริเวณถนนนครนอก
- ถนนนครใน เปน็ ส่วนของเมืองเก่าสงขลาด้านติดทะเลสาบ เฉพาะบริเวณนี้มีประตูออก
ถึง 4 ประตู
เที่ยวเมืองสงขลำรูห้ ลักภำษำไทย
จึงน่าจะเปน็ ข้อสังเกตว่า ในอดีตบริเวณนี้ต้องมีความสาคัญมากมีประชากรอาศัย
อยมู่ าก และอาจเปน็ ท่าเทยี บเรือสาหรับขนส่งสินค้า และอาจมีการค้าขายเกิดขึ้นบริเวณนี้
ด้วย
ถนนสายที่ 3 นัน่ คอื ถนนนางงาม หรือ “เก้าห้อง” เป็นช่ือด้ังเดิมของถนนนางงาม
ที่ได้ช่ือว่า “เก้าห้อง” เพราะถนนสายนี้มีบ้านอยู่ 9 คูหา และได้เปลี่ยนช่ือจาก
ถนนเกา้ ห้อง มาเปน็ ถนนนางงาม เพราะหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475
ได้มีการเฉลิมฉลองและมีการประกวดนางงามสงขลาขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2478
ปรากฏว่า สาวงามจากถนนเก้าห้อง ได้รับคัดเลือกให้เป็นนางงามสงขลาคนแรก ทาให้
ต่อมาคนสงขลาเรียกถนนเก้าห้อง ว่า ถนนนางงาม จนถึงปัจจุบัน ถนนนางงามเป็นที่ต้ัง
ของศาลหลักเมืองสงขลาและยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนจีนเก่าแก่นานเกือบ 300 ปี
ควบคกู่ บั ถนนนครนอก – ถนนนครใน
ถนนท้ัง 3 สาย ยังมีกลิ่นอายความเป็นอดีตของเมืองเก่าที่คนรุ่นปัจจุบันรู้สึก
โหยหาบรรยากาศที่คุ้นเคยในคร้ังวัยเยาว์ หวนให้ระลึกถึงความสุขที่เราทุกคนต่าง
หลงลืมไป ทว่าถนนท้ัง 3 สายนี้ ยงั คงรกั ษาความเปน็ เมืองเก่าให้เราทุกคนได้ระลึกถึงและ
รู้สึกได้เสมอว่าความสุขในอดีตอยู่ไม่ไกลจากตวั เราเลย
เที่ยวเมืองสงขลำร้หู ลกั ภำษำไทย
เสียงในภำษำไทย
เสียงในภำษำไทย คือเสียงที่เกิดจากการปล่อยลมออกมาจากปอดผ่านมา
ทางหลอดลมเข้าสู่กล่องเสียง (ลูกกระเดือก) โดยภายในมีเส้นเอ็นที่มีเนื้อเยื้อบาง ๆ
สองเส้น หรือทีเ่ รียกว่าเส้นเสียง เมือ่ ลมผ่านขึ้นมาที่เส้นเสียงแล้วลมเกดิ การกระทบเข้ากับ
เส้นเสียงที่ขวางอยู่เกิดการส่ันซ่ึงทาให้เกิดเสียง หรืออาจไม่กระทบแล้วผ่านขึ้นไปยัง
ช่องคอเพ่ือไปยังช่องปากหรือช่องจมูกและถูกสกักกั้นกล่อมเกลาลมด้วยอวัยวะภายใน
ช่องปาก ณ ฐานใดฐานหนึ่งในการเกิดเสียงภายในช่องปาก เช่น ลิ้นไก่ ลิ้น ริมฝีปาก ฟัน
ปุ่มเหงือก เพดานอ่อน เพดานแข็ง ก่อนจะปล่อยลมออกมากลายเป็นเสียงต่าง ๆ
ในภาษาไทย ได้แก่ เสียงสระ (แท้) เสียงพยัญชนะ (เสียงแปร) และเสียงวรรณยุกต์
(เสียงดนตรี)
อวัยวะ อวัยวะต่าง ๆ ที่ใช้ในการออกเสียง
ประกอบด้วย ปาก และส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ภายใน
ท่ีใช้ในการออกเสยี ง ปาก เชน่ ริมฝีปาก ฟนั เพดานอ่อน เพดานแข็ง
ลิ้น เป็นต้น และถัดไปจากช่องปาก ช่องคอ
กล่องเสียง ซึ่งจะสามารถแบ่งตามลักษณะ
ข อ ง ก า ร เ ค ลื่ อ น ไ ห ว ใ น ก า ร อ อ ก เ สี ย ง เ ป็ น
ฐาน และ กรณ์ ในการออกเสียงได้ดังนี้
เที่ยวเมืองสงขลำรูห้ ลักภำษำไทย
เช่น ริมฝีปากบน ฟันบน
ปุ่มเหงอื ก เพดานแขง็
เพดานอ่อน ลิน้ ไก่ และ
ผนังคอ หากสงั เกตจะ
พบว่าจะเป็นอวยั วะทีอ่ ยู่
ส่วนบนและไมเ่ คลือ่ นไหว
เกอื บทั้งหมด
ประกอบได้ด้วยอวัยวะที่สาคญั
คอื ลนิ้ ซง่ึ สามารถเคลือ่ นไหวได้
มากทีส่ ดุ ริมฝีปากล่าง โคนลิน้
และเส้นเสียง หากสังเกตจะพบว่า
อวยั วะส่วนนที้ ั้งหมดจะเป็นอวัยวะ
ส่วนล่างทีเคลื่อนไหวได้
อวัยวะตำ่ ง ๆ ท่ใี ช้ในกำรออกเสียง
1. ริมฝีปาก (Lips) เปน็ อวยั วะทีส่ ามารถเคลื่อนไหวได้ และสามารถบงั คับให้อยใู่ นรปู แบบต่าง ๆ
ได้ เช่น เหยียดออกหรือห่อกลมได้ เป็นต้น
2. ฟัน (tooth) เปน็ อวยั วะที่ทาให้เกดิ เสียงหลายชนิด เช่น เมือ่ ฟันบนจรดริมฝีปากล่าง ลมทีผ่ ่าน
ออกมาได้จะลอดผา่ นชอ่ งเล็ก ๆ ออกมาทาให้เกดิ เปน็ เสียงเสียดแทรกทีเ่ กิดระหว่างรมิ ฝีปากกบั
ฟัน เป็นต้น
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
อวยั วะตำ่ ง ๆ ทใ่ี ช้ในกำรออกเสียง
4. เพดานแข็ง (palate) หรือ เพดานปาก คือ เพดานส่วนที่โค้งเป็นกระดูกแข็ง เพดานแข็งเป็น
ตาแหน่งสาคญั อีกตาแหน่งหนึ่งในการอธิบายที่เกิดของเสียง
5. เพดานอ่อน (velum) คอื ส่วนของเพดานที่อยู่ต่อจากเพดานแข็งเข้าไปข้างใน มีลักษณะเป็น
กระดูกอ่อนที่ขยับขึ้นลงได้เล็กน้อย เวลาหายใจเพดานอ่อนและลิ้นไก่ ซึ่งอยู่ปลายเพดานอ่อน
จะลดระดับลงมาเปิดช่องให้ลมไปทางจมูก ฉะนั้นเวลาที่เราไม่พูด เพดานอ่อนและลิ้นไก่จะลด
ระดับลงมา เวลาพูดส่วนใหญ่เพดานอ่อนและลิ้นไก่จะถูกยกขึ้นไปจดกับผนังคอ ในเวลาออก
เสียงนาสิกเทา่ น้ัน ท่เี พดานอ่อนจะลดระดบั ลงมาเพอื่ ให้ลมออกไปทางจมูกได้
6. ลิน้ ไก่ (uvula) เปน็ กอ้ นเนอื้ เล็ก ๆ อยตู่ ่อปลายเพดานอ่อนตรงกลางปาก ส่ันร่วั ได้
7. ช่องจมูก (nasal cavity) คือ โพรงในช่องจมูก ซ่ึงอยู่เหนือลิ้นไก่ขึ้นไปเป็นช่องที่ลมซ่ึงผ่านเส้น
เสียงขนึ้ มาจะผา่ นออกไปทางจมกู ได้ เมอ่ื เวลาหายใจออกและเวลาออกเสียงนาสิก ในเวลาเปล่ง
เสียงอน่ื ๆ ลนิ้ ไกจ่ ะถกู ยกขึ้นไปปิดชอ่ งจมกู เพื่อให้ลมออกทางช่องปาก
8. ลิ้น (tongue) เป็นส่วนที่เคลื่อนไหวได้มากที่สุดในการออกเสียงพูด ส่วนที่เคลื่อนไหวของลิ้น
แต่ละส่วนมีผลต่อการออกเสียงที่ต่างกนั ไป เราจึงแบ่งลิ้นออกเป็น 3 ส่วนตามหน้าที่ในการออก
เสียงคือ
1. ปลายลิ้น (tip of the tongue) คือ ส่วนปลายของลิ้นซ่ึงสามารถจะยกขึ้นไปแตะอวัยวะ
ส่วนต่าง ๆ ในปากตอนบนได้โดยงา่ ย
2. ลิน้ ส่วนหน้า (blade of the tongue) คอื ลิน้ ส่วนซึง่ ถ้าวางลิน้ ราบกับปากตามปกติจะอยู่
ตรงข้ามกบั เพดานแขง็
3. ลิ้นส่วนหลัง (back of the tongue) คือ ส่วนของลิ้นซ่ึงถ้าวางลิ้นราบกับปากตามปกติ
จะอยตู่ รงข้ามกบั เพดานอ่อน
9. เส้นเสียง (vocal cords) หรือสายเสียง เป็นอวัยวะสาคัญที่ทาให้เกิดเสียง เส้นเสียงมีลักษณะ
ที่ประกอบด้วยเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อเป็นแผ่น 2 แผ่น เส้นเสียงทั้งสองจะวางขวางอยู่ตรงกลาง
กล่องเสียงหรือที่เรียกว่าลูกกระเดือก เมื่อลมที่ถูกขับออกมาจากปอดกระทบกับเส้นเสียงจะ
ทาให้เส้นเสียงส้ันและเกดิ เปน็ เสียง
เที่ยวเมืองสงขลำรูห้ ลกั ภำษำไทย
ลกั ษณะของเสียงในภำษำไทย
เสียงในภาษาไทย มี 3 ชนิด คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยกุ ต์ โดยมี
ลกั ษณะดังต่อไปนี้
เสียงในภำษำไทยและรปู อักษรแทนเสยี ง เสียงและรปู สระ
เสียงสระ คอื เสียงทีเ่ ปล่งออกมาจากปอดผา่ นเส้นเสียง เกดิ การสัน่ สะเทอื น เสียงสระ
ท้ังหมดจึงมีลักษณะเป็น เสียงกอ้ ง หรือ โฆษะ ต่อจากนั้นกระแสลมที่ออกมาจะไมถ่ กู
สกกั ก้ันจากอวัยวะใด ๆ ในปาก แต่จะมีการเปลีย่ นแปลงระดบั ของลิ้นและรปู ของริมฝีปาก
ทาให้เกดิ เสียงต่างกันออกไปลักษณะสาคญั ของเสียงสระมี 2 อยา่ ง คอื เป็นเสียงสนั่ หรือ
เสียงก้อง และเปน็ เสียงผ่านออกไปโดยตรง บางคร้ังจึงได้ชื่อว่า เสียงแท้
อวัยวะทีท่ ำให้เสียงสระต่ำงกัน
เสียงสระเป็นเสียงที่ออกมาโดยตรงไม่ผ่านการสกดั กน้ั จากอวัยวะใด ๆ ในช่องปากแต่ก็ยังมี
อวัยวะบางส่วนในช่องปากกล่อมเกลากระแสลมที่ออกมาจากปอดทาให้เกดิ เสียงที่แตกต่าง
กันออกไป อวัยวะสาคัญที่ทาหน้าท่กี ล่อมเกลาเสียงสระ ได้แก่ ลนิ้ และริมฝีปาก
ลกั ษณะและหนำ้ ที่ของเสียงสระ หรือเสียงแท้
1. เป็นเสียงที่ลมผา่ นออกมาได้โดยสะดวกไมถ่ กู อวยั วะในปากกักทางลม
2. อวัยวะที่ช่วยให้เสียงสระต่างกนั ได้แกล่ ิน้ และริมฝีปาก
3. เสียงสระออกเสียงได้ยาวนาน
4. เสียงสระทุกเสียงเปน็ เสียงก้อง เส้นเสียงจะสัน่ สะเทอื น
5. เสียงสระมีทั้งเสียงส้ัน และเสียงยาว
6. เสียงสระเปน็ เสียงที่ช่วยให้พยญั ชนะออกเสียงได้ เพราะพยัญชนะต้องอาศัยเสียงสระ
เกาะเสมอ จึงออกเสียงได้
เทีย่ วเมืองสงขลำรูห้ ลักภำษำไทย
สระในภำษำไทย
สระในภาษาไทยมี 21 หน่วยเสียงและมีอักษรท่ใี ช้แทนเสียงได้ เรียกว่า รูปสระ มี 21 รปู
คอื สระเดีย่ ว 18 หน่วยเสียงเปน็ สระเดี่ยวเสียงยาว (ทฆี สระ) 9 หน่วยเสียงและสระเดีย่ ว
เสียงยาว (รสั สระ) 9 หน่วยเสียง สระประสม 3 หน่วยเสียง
สระในภำษำไทยมี 21 รูป 21 เสียง ดังนี้
รปู สระ ชื่อสระ กำรใช้รปู สระ
ะ วิสรรชนีย์
ั ไม้ผดั หรือไมห้ ันอากาศ ประวิสรรชนีย์หลงั พยญั ชนะเปน็ สระ อะ
า ลากข้าง เช่น กระทะ
ิ พินทอุ ิ เขียนข้างบนพยญั ชนะ เป็นเสียงสระ อะ
่ ฝนทอง เมอ่ื มตี ัวสะกด เช่น ร + อะ + ก = รกั
นิคหติ หรือหยาดน้า ค้าง เขียนข้างหลงั พยัยชนะ เปน็ สระ อา เชน่ กา
" ฟันหนู มา นา
ุ ตีนเหยียด
ู ตีนคู้ เขียนข้างบนพยญั ชนะ เปน็ สระ อิ
เขียนข้างบนพนิ ทุ์อิ เป็นสระ อี
เขียนข้างบนลากข้าง เป็นสระ อา
เขียนข้างบนพนิ ท์ุอิ เป็นสระ อึ
เขียนข้างบนพนิ ทุ์อิ เป็นสระ อื
เขียนข้างล่างพยัญชนะ เปน็ สระ อุ เชน่ ยุบ
กุ้ง
เขียนข้างล่างพยญั ชนะ เป็นสระ อู เชน่ ลกู
ฝงู
เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลักภำษำไทย
สระในภำษำไทยมี 21 รูป 21 เสียง ดงั นี้
รปู สระ ชือ่ สระ กำรใชร้ ูปสระ
็ ไม้ไต่คู้
เ ไม้หน้า เขียนข้างบนแทนวิสรรชนีย์ในสระบางตัวทีม่ ี
ใ ไม้ม้วน ตัวสะกด เช่น ย + เอะ + น = เย็น
ไ ไม้มลาย เขียนข้างหน้าพยัญชนะ เป็นสระ เอ เช่น เกเร
โ ไม้โอ
อ ตัวออ เขียนไม้หน้าสองรปู เปน็ สระ แอ เช่น แม่ แกง
เขียนหน้าพยญั ชนะแทนเสียงอะ เม่อื มี ย เปน็
ย ตวั ยอ ตัวสะกด เช่น ห + อะ + ย + เสียงโท = ให้
เขียนหน้าพยัญชนะแทนเสียงอะ เมื่อมี ย เป็น
ว ตัววอ ตวั สะกด เช่น ม + อะ + ย + เสียงโท = ไม้
ฤ ตัวรึ เขียนข้างหน้าพยญั ชนะ เป็นสระ โอ เช่น โมโห
ฤๅ ตัวรือ เขียนข้างหลังพยัญชนะ เปน็ สระออ เช่น รอ สอง
ฦ ตัวลึ
ฦๅ ตวั ลือ เขียนข้างหลังพยญั ชนะแทนเสียงอะ เมอ่ื มี ย เป็น
ตวั สะกด ในคาทม่ี าจากภาษาสนั สกฤต เช่น ไสย
ไวยากรณ์
เขียนข้างหลงั พยญั ชนะ เป็นสระ อวั เมอ่ื มีตัวสะกด
เช่น ร + อวั + ย = รวย
แทนเสียงริ เช่น ฤทธิ์
แทนเสียงรึ เช่น มฤตยู หฤทัย
แทนเสียงเรอ เช่น ฤกษ์
แทนเสียงรอื เช่น ฤๅษี
แทนเสียงลึ
แทนเสียงลือ เช่น ฦๅชา ฦๅสาย
เที่ยวเมืองสงขลำรูห้ ลักภำษำไทย
สระเดีย่ ว สระเดี่ยวหรือสระแท้ มี 18 เสียงแบ่งเป็น
สระเสียงส้ัน (รัสสระ) 9 เสียง สระเสียงยาว (ทีฆสระ) 9 เสียง
สว่ นของลิน้ ลิ้นสว่ นหนำ้ ลิ้นส่วนกลำง ลิ้นสว่ นหลงั
ลักษณะริมฝีปาก ริมฝีปากเหยยี ด ริมฝีปากเหยยี ด ริมฝีปากห่อ (กลม)
(รปู ปาก) สั้น ยาว ส้ัน ยาว
รีปกติ
ลกั ษณะเสียง ส้ัน ยาว
(รสั สระ) (ทีฆสระ) (รัสสระ) (ทีฆสระ) (รสั สระ) (ทฆี สระ)
ลักษณะลนิ้ อยู่ในระดับสงู อิ อี อึ อื อุ อู
ลกั ษณะลนิ้ อยใู่ นระดับกึ่งสูง เอะ เอ เออะ เออ โอะ โอ
ลักษณะลิน้ อยใู่ นระดับกึง่ ตา่ แอะ แอ เอาะ ออ
ลกั ษณะลนิ้ อยใู่ นระดับตา่ อะ อา
เทคนิค : ทีค่ รูเคยบอกเวลาคอื โจทย์แท้
สระประสม สระประสม มี 3 เสียง สระประสมเกิดจากสระเดีย่ วสองเสียง
ประสมกนั มี 3 เสียงคอื
เสียงสระประสม เสียงสระเดีย่ ว
ระดบั ที่ 1 ระดับที่ 2
เอีย อี อา
เอือ อือ อา
อัว อู อา
หมายเหตุ เสียง เอียะ เอือะ และ อวั ะ เมื่อก่อนนับเป็นสระประสม เสียงสั้นแต่นักภาษาศาสตร์
ในปัจจบุ นั ไมน่ ับเปน็ เสียงสระแล้วเนื่องจากมีคาใช้น้อยและบางคากเ็ ปน็ คาทีร่ ับมาจากภาษา
อืน่ หรอื คาภาษาไทยถิ่น เชน่ เกยี ะ เฉอื ะ เทคนิค : เมยี เบอ่ื ผวั
เทีย่ วเมืองสงขลำรูห้ ลกั ภำษำไทย
สระเกิน เสียงสระที่มีเสียงพยญั ชนะประสม
สระเกนิ มี 8 รูป ซึ่งนักภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน ไมน่ ับเป็นเสียงสระ เพราะมีเสียง
พยัญชนะประสมอยกู่ บั เสียงสระเดี่ยว มดี งั นี้ อา ไอ ใอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ตาราหลัก
ภาษาแต่เดิมจัดเปน็ สระเกนิ แต่ในปจั จุบนั ถอื เป็นพยางคไ์ ด้แก่
อา (อ-อะ-ม) ฤ ฤๅ (ร-อึ, ร-อือ)
ไอ ใอ (อ-อะ-ย) ฦ ฦๅ (ล-อ,ึ ล-อือ)
เอา (อ-อะ-ว) ดังน้ัน จึงกาหนดว่าเสียงสระมี 21 เสียง
เทคนิค : จาใจไปเอา
เสียงในภำษำไทยและรูปอักษรแทนเสียง เสียงและรปู พยัญชนะ
เสียงพยัญชนะ คือ เสียงที่เกิดจากกระแสลมจากปอดผ่านเส้นเสียงในกล่องเสียง
หากกระแสลมไม่กระทบเส้นเสียงไม่สั่นสะเทือน จะเกิดพยัญชนะธรรมดา พยัญชนะไม่ก้อง
หรือ อโฆษะหากกระแสลมกระทบเส้นเสียงเกิดการสั่นสะเทือน จะเกิดพยัญชนะเสียงก้อง
หรอื โฆษะ ต่อจากน้ันกระแสลมท้ังหมดหรือบางส่วนจะถูกสกัดกั้นไว้ครู่หนึ่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง
ในชอ่ งปากแล้วปล่อยให้ผ่านออกไปทางปากหรือจมูกเกิดพยัญชนะเสียงแตกต่างกันออกไป
ตามที่กักเสียงและลกั ษณะการปล่อยเสียงจากทีก่ ักไมเ่ หมอื นกนั เสียงที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็น
เสียงแปร มจี านวน 21 หน่วยเสียงและมีอักษรแทนเสียงพยญั ชนะจานวน 44 รูป
ตาแหน่งที่เกิดของเสียงพยญั ชนะ พยัญชนะไทย 21 เสียงมีฐานทีเ่ กิดในตาแหน่งต่าง ๆ กันดังนี้
1. เส้นเสียง ใชเ้ ส้นเสียงท้ังสองกักเสียงไว้ ได้แก่ /อ/ /ฮ/
2. เพดานอ่อน ใชโ้ คนลนิ้ กับเพดานอ่อนกกั เสียง ได้แก่ /ก/ /ค/ /ง/ /ว/
3. ปุ่มเหงอื ก-เพดานแขง็ ใช้ปลายลนิ้ กบั ปุ่มเหงอื ก-เพดานแข็งกักเสียง /จ/ /ช/
4. เพดานแข็ง ใชป้ ลายลิน้ กบั เพดานแขง็ กักเสียง ได้แก่ /ย/
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลักภำษำไทย
ตาแหน่งทีเ่ กิดของเสียงพยญั ชนะ พยญั ชนะไทย 21 เสียงมีฐานทีเ่ กิดในตาแหน่งต่าง ๆ กนั ดงั นี้
5. ปุ่มเหงอื ก ใช้ปลายลนิ้ กบั ปุ่มเหงอื กกกั เสียง ได้แก่ /ซ/ /ด/ /น/ /ร/ /ล/
6. ฟัน-ปุ่มเหงอื ก ใช้ปลายลนิ้ กับฟนั -ปุ่มเหงอื ก ได้แก่ /ต/ /ท/
7. ริมฝีปากและฟนั ใช้ริมฝีปากล่างกบั ฟันบนกกั เสียง ได้แก่ /ฟ/
8. ริมฝีปาก ใช้ริมฝีปากบนกับริมฝีปากล่างกกั เสียง ได้แก่ /บ/ /ป/ /พ/ /ม/ /ว/
ลกั ษณะกำรเปลง่ เสียงพยัญชนะ
1. เสียงกกั หรือเสียงระเบดิ คอื เสียงพยัญชนะที่เกิดจากการทล่ี มเปล่งออกมาจากปอดผ่านเส้น
เสียงแล้วถูกกักอยู่ ณ ที่ใดที่หนึง่ ของปาก เม่อื เปิดส่วนที่กักไวล้ มจึงพงุ่ ออกมาอยา่ งแรง เช่น
ปิดริมฝีปากทั้งสอง หรือเอาลิน้ ปิดปุ่มเหงอื ก เสียงระเบดิ แบ่งได้เปน็ 2 แบบคอื
1.1 เสียงระเบดิ แบบไมม่ ีกลุ่มลมตาม หมายถึงการท่ลี มจากปอดถูกกักในชอ่ งปากแล้วถูก
ปล่อยออกมาอย่างแรง แต่เมื่อเอามือองั ที่บริเวณรมิ ฝปี ากจะไมร่ ู้สึกว่ามีลมตามเสียงน้ัน
ออกมาหรือออกมาน้อยมาก ได้แก่ เสียง /ป/ /ก/ /ต/ /อ/ /ด/ /บ/
1.2 เสียงระเบดิ แบบมีกลุ่มลมตาม หมายถึงการทล่ี มจากปอดถกู กกั ในชอ่ งปากแล้วถกู
ปล่อยออกมาพร้อมกับกลุ่มลมกลุ่มหนึง่ สามารถรับรู้ได้ด้วยการเอามือองั บริเวณริม
ฝปี าก เช่น เสียง /พ/ /ท/ หรอื เสียง /ค/
2. เสียงนาสิก คือ เสียงพยญั ชนะซ่งึ เกิดจากลมที่ออกจากปอดผา่ นเส้นเสียงออกมาแล้วถกู กัก
อยู่ ณ ทีใ่ ดที่หนึง่ แล้วจึงปล่อยลมให้ออกมาทางช่องจมูก ได้แกเ่ สียง /ม/ /น/ /ง/
3. เสียงข้างลิ้น คอื เสียงพยญั ชนะทีเ่ กิดจากลมออกจากปากทางด้านข้างของลิ้น เมอ่ื ลมผา่ น
เส้นเสียงออกมาถึงชอ่ งปาก ลนิ้ กดเพดานตรงแนวชอ่ งกลางของลิน้ ปล่อยลมให้ออกทางด้าน
ข้าง ได้แกเ่ สียง /ล/
4. เสียงรัวลนิ้ คือ เสียงพยญั ชนะซ่งึ ถูกลมไปกระทบอวยั วะอืน่ หลาย ๆ คร้ังจนเกิดอาการรัว
เช่น ปลายลนิ้ กระทบปุ่มเหงอื กหลายครั้งจนทาให้เกดิ เสียง /ร/
เที่ยวเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
ลกั ษณะกำรเปล่งเสียงพยญั ชนะ
5. เสียงเสียดแทรก คือ เสียงพยัญชนะที่เมื่อเวลาออกเสียงลมจะออกมาอย่างไม่สะดวก
ต้องผ่านช่องแคบในปากจนเกิดเสียงดังซู่ซ่า เช่น ริมฝีปากหรือฟันที่อยู่ใกล้กันมาก หรือลิ้น
ทีอ่ ยู่ใกล้อวัยวะในปากมากเช่น เสียง /ฟ/ /ซ/ /ฮ/
6. เสียงกึ่งเสียดแทรก คือ เสียงพยัญชนะที่ออกประสมกันระหว่างเสียงกักและเสียง
เสียดแทรก โดยออกเสียงคร้ังแรกจะหยุดลมไว้ที่ตาแหน่งของฐานกรณ์ก่อนแล้วจึงปล่อยลม
ออกมาแบบเสียงเสียดแทรก เช่น /จ/ /ช/
7. เสียงกึ่งสระ คอื เสียงพยัญชนะที่เวลาออกเสียงจะทาอาการทุกอย่างเหมือนสระอี และสระ
อู แต่ปล่อยลมออกมาทางช่องปาก กล่าวคอื เม่อื ออกเสียงสระอี ให้ยกลิน้ ใกล้เพดานแข็ง แล้ว
ปล่อยลมเลื่อนปากลงมาจะได้เสียง /ย/ และเม่ือออกเสียงสระอู ให้ยกลิ้นส่วนหลังยกขึ้นใกล้
เพดานอ่อนแต่ปล่อยลมออกทางช่องปากด้วยริมฝีปากห่อกลม จะได้เสียง /ว/
เที่ยวเมืองสงขลำร้หู ลักภำษำไทย
พยญั ชนะในภำษำไทย
พยัญชนะไทยมี ๔๔ รปู มเี สียง ๒๑ เสียง เนื่องจากพยญั ชนะบางรปู มีเสียงซ้ากันและ
สามารถแบง่ ตามการใชไ้ ด้ ดงั นี้
การใชพ้ ยัญชนะ สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดงั นี้
พยญั ชนะทีอ่ ยตู่ ้นคำหรือตน้ พยำงคซ์ ึ่งใชไ้ ด้ 3 ลักษณะ เสียงพยญั ชนะต้น
เสียงพยญั ชนะตน้ ลกั ษณะพยญั ชนะต้น ตวั อย่ำง
เสียง รูป
/ป/ ป
/ต/ ต ฏ
/จ/ จ
/ก/ ก
/อ/ อ
พยญั ชนะที่อยตู่ ้น /พ/ พผภ
/ท/
คา หรือตน้ พยางค์ /ช/ ทถฐฑฒธ
/ค/
ซึง่ หน่วยเสยี ง /บ/ ฉชฌ
/ด/
พยญั ชนะ 21 หน่วย /ม/ ค ข ฆ (ฃ ฅ)
เสยี งในภาษาไทย /น/
เสียงพยัญชนะตน้ สามารถปรากฎเป็น /ง/ บ นัง่ เดนิ วิ่ง กิน ยืน
เดี่ยว /ล/ ด ฎ (ฑ ในบางคา) พดู
พยัญชนะตน้ ของ ม
พยางค์ไดท้ กุ หน่วย นณ
เสียง ง
ลฬ
/ร/ ร
/ฟ/ ฟ ฝ
/ซ/ ซ ศ ษ ส
/ฮ/ ห ฮ
/ว/ ว
/ย/ ย ญ
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลกั ภำษำไทย
พยญั ชนะทีอ่ ยู่ต้นคำหรือตน้ พยำงค์ซึง่ ใชไ้ ด้ 3 ลกั ษณะ เสียงพยัญชนะต้น
เสียงพยัญชนะต้น ลกั ษณะพยัญชนะต้น ตัวอย่ำง
เสียงพยญั ชนะ /ปร/ ปรุง ปราย
ควบกลำ้ ปลาย ปลา
พยญั ชนะควบกล้าแท้ /ปล/ ตรวจ ตรง
อักษรนำ ในภาษาไทยมีหน่วย /ตร/ กลอง กลาง
เสยี งพยญั ชนะที่ /กล/ กรงุ เกรียว
กวาง กวาด
สามารถออกเสียงควบ /กร/ พลาย พลอย
พร้อม พระ
กล้า คือ ออกเสียง /กว/ คลา คลาน
ครอบ ครู
พยญั ชนะ 2 เสียง /พล/ ควาย ความ
ติดต่อกัน โดยไมม่ ี /พร/
เสยี งสระคั่นกลาง /คล/
ปรากฏทั้งสิน้ 11 คู่ /คร/
/คว/
พยัญชนะควบไมแ่ ท้ คือ คาทีป่ ระสมกบั พยัญชนะตัว จริง เศร้า ไซร้
อื่นแลว้ ออกเสยี งเพียงเสยี งเดยี ว ตัวที่มาควบกล้าด้วย สร้อย สร้าง (หรือ
จะไมอ่ อกเสียง เช่นเสยี ง /จร/ /สร/ /ศร/ /ทร/ อาจออกเสียงเปน็
เสยี งอืน่ ไป เช่น
ทราบ พทุ รา ทรพั ย์
ต้นไทร)
พยัญชนะตน้ สองเสยี งที่ออกเสียงร่วมกนั สนิทและทา หมู หมา หนู หนา
ให้เสยี งพยญั ชนะตัวทีส่ องเสยี งสูงข้ึนกว่าเดมิ หนาว หมอ หงาย
หรู อย่า อยู่ อย่าง
อยาก
เสยี งพยญั ชนะทั้งสองเสยี งประสมกันแตไ่ ม่กลมกลืน กนก ขนม ขนุน
กันสนิท จึงมเี สยี ง อะ กลางคากึ่งเสยี ง ฉลาด ตลก ตลาด
ตลอด ฝร่งั สนม
สนอง สนุกสนาน
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
พยญั ชนะทีอ่ ยตู่ น้ คำหรือตน้ พยำงคซ์ ึ่งใช้ได้ 3 ลกั ษณะ เสียงพยญั ชนะท้าย
มำตรำตวั สะกด เสียง รูปพยัญชนะท้ำย ตวั อย่ำง
แม่กก /ก/ กขคฆ รัก สขุ โชค เมฆ
โสด กฎ ชีวิต ปรากฏ กจิ
แม่กด /ด/ ด ฎ ต ฏ จ ช ท ธ ศ ษ ส คช ศรทั ธา พธุ ประเทศ
ซฐฑฒถ เศษ รส กา๊ ซ อิฐ ครฑุ
พัฒนา รถ
แม่กบ /ป/ บปพฟภ ดาบ รูป ภาพ กราฟ โลภ
แม่กน /น/ นณญรลฬ ฝน คุณ เบญ หาร กาล
กาฬ
แม่กง
แม่กม /ง/ ง ก้าง กลอง ทาง
แม่เกย /ม/ ม ชาม ชม สาม ส้ม
แม่เกอว /ย/ ย ควาย เขย เฉลย
/ว/ ว เหีย่ ว เสียว แกว้ เปรีย้ ว
วรรณยกุ ต์ในภำษำไทย
เสียงในภำษำไทยและรปู อกั ษรแทนเสียง เสียงและรูปวรรณยุกต์
ภาษาไทยเปน็ ภาษาที่มีวรรณยุกต์ กล่าวคือ มีการเปลี่ยนระดับเสียงของคาในภาษา
ซ่ึงทาให้ความหมายของคาเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าภาษาทุกภาษามีเสียงสูง ต่า ในการพูด
แต่เสียงสูงต่านั้นไม่ได้ทาให้ความหมายเปลี่ยนไป หรือเสียงที่มีการเปลี่ยนระดับสูงต่าโดย
เส้นเสียงและเปล่งออกมาพร้อมกับเสียงสระบางครั้งเรียกว่า เสียงดนตรี คาไทยทุกคา
จะปรากฎเสียงวรรณยุกต์กากับอยู่เสมอ คาบางคามีรูปวรรณยุกต์กากับหรืออาจจะไม่มี
รปู วรรณยุกต์กากบั อยกู่ ็ได้ วรรณยกุ ต์ในภาษาไทยมี 4 รปู 5 เสียง
เสียง สามญั เอก โท ตรี จัตวา
่ ้๊
รปู - (ไมเ้ อก) (ไมโ้ ท) (ไมต้ รี) (ไม้จตั วา)
หลักกำรผันเสียงวรรณยุกต์ เนื่องจากเสียงวรรณยุกต์จะใช้ควบคู่กับรูปพยัญชนะ
ดงั น้ัน ในการผนั เสียงเพอ่ื แยกความหมายของคา จาเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับไตรยางค์หรือ
อกั ษรสามหมู่และเรื่องคาเป็น คาตาย ประกอบด้วย
1 ไตรยางคห์ รืออักษรสามหมู่ คอื การจดั พยัญชนะท้ัง 44 รูป แบ่งออกเป็นหมู่เพ่ือให้สะดวก
ในการผนั อักษร
2 คาเปน็ คอื คาที่ประสมกบั สระเสียงยาว เช่น พ่ี ป้า ไป เรือ และ คาที่สะกดในแม่ กน กม
เกย เกอว กง เชน่ คน ตาม ดอย หิ้ว ของ และคาที่ประสมด้วยเสียง อา ไอ ใอ เอา เช่น ถ้า
ใหญ่ ไฟ เผา
3 คาตาย คือ คาที่ประสมด้วยระเสียงสั้น เช่น มะระ เละเทะ เลอะเทอะ และคาที่สะกดใน
แม่กก กบ กด เชน่ นก จับ มด
เทีย่ วเมืองสงขลำร้หู ลักภำษำไทย
หลักกำรผันเสียงวรรณยกุ ต์ เสียงวรรณยกุ ต์
ไตรยำงค์ มำตรำตวั สะกด
8 มำตรำ
อักษรกลำง 9 อกั ษรสูง อกั ษรตำ่ 24 ตวั คำเป็น คำตำย
ตัว 11 ตัว ตำ่ คู่ (คูก่ ับสงู ) ต่ำเดีย่ ว (ไร้ กน กก
ก (ไก)่
จ (จิก) 14 ตัว ค)ู่ 10 ตวั
ด (เด็ก) ผ (ผี) พ ภ (พอ่ ) ง (ง)ู กม กบ
ต (ตาย)
ฎ (เดก็ ) ฝ (ฝาก) ฟ (ฟัน) ญ (ใหญ)่ เกย กด
ฏ (ตาย) ถ ฐ (ถุง) ท ฒ ฑ ธ (ทอง) น (นอน) เกอว
บ (บน) ข ฃ (ข้าว) ค ฅ ฆ (คน) ย (ยาว) กง
ป (ปาก)
อ (โอ่ง) ศษส ซ (ซอ่ื ) ณ (ณ) ไมม่ ี ไมม่ ี
(สาร) ตัวสะกด ตวั สะกด
อักษรกลางคา
เป็น ผนั ประสมสระ ประสมสระ
วรรณยุกต์ได้ ห (ให้) ฮ (ฮ)ู้ ร (ริม) เสียงยาว เสียงสั้น
ครบ 5 เสียง และ อา ไอ
ใอ เอา
ฉ (ฉนั ) ช ฌ (ชอบ) ว (วดั ) เทคนิคการจา
ม (โม)
ฬ (ฬ)ี
ล (โลก)
อกั ษรสงู กบั อักษรต่าคู่ อักษรตา่ สะกด กบด
ผันวรรณยุกต์ร่วมกันได้เสียง เดี่ยวใช่ สะกดส้ัน
อักษรนาจะ นมยวง ยาว คาตาย
วรรณยุกต์ครบ 5 เสียง
ผนั คาเป็น
วรรณยกุ ต์
ได้ครบ 5
เสียง
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลักภำษำไทย
วิธผี นั เสียงวรรณยกุ ต์ เสียงวรรณยกุ ต์
สำมญั เอก โท ตรี จัตวำ
ห่า ห้า หา
คำเป็น ข่าว ข้าว ขาว
อักษรสูง เสือ่ เสอื้ เสือ
ขะ ข้ะ
คำตำย ขับ ขั้บ
หาด ห้าด
กา ก่า กา้ ก๊า กา
คำเป็น กาง ก่าง ก้าง ก๊าง กาง
อักษรกลำง ดัน ดน่ั ด้ัน ดนั๊ ดั๋น
จะ จ้ะ จ๊ะ จะ
คำตำย จับ จ้ับ จั๊บ จ๋ับ
จ้าบ จ๊าบ จาบ
จาบ ค่า คา้
คา
คน่ั คนั้
คำเปน็ คนั ว่าว ว้าว
วาว ค่ะ คะ
อกั ษรต่ำ คำตำย คึก่ คึก
สระเสียงสัน้ วาก ว้าก
คำตำย เชิด เชดิ้
สระเสียง
ยำว
เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
วิธผี นั เสียงวรรณยกุ ต์ เสียงวรรณยกุ ต์
อักษรกลางผนั ได้ครบท้ัง 5 เสียง ขณะที่อักษรสูงและอักษรต่าไม่สามารถผันครบ 5
เสียงได้ทั้งยังมีรปู และเสียงตรงกนั แต่มีวิธผี นั อกั ษรสงู อกั ษรต่าให้ครบ 5 เสียงได้ ดงั นี้
1. อกั ษรต่าที่มีเสียงคู่กับอักษรสงู สามารถผันคกู่ นั ได้ ดงั นี้
อกั ษร สำมัญ เสียงวรรณยกุ ต์ ตรี จัตวำ
สงู - เอก โท - ขา
ตำ่ คา ข่า ข้า ค้า -
- ค่า
2. อกั ษรต่าที่ไม่มีเสียงคู่กบั อกั ษรสูง สามารถผันให้ครบ 5 เสียงได้โดยใช้ ห นา หรือ อ นา
อกั ษร สำมัญ เสียงวรรณยกุ ต์
ห นำ งา
อ นำ ยา เอก โท ตรี จัตวำ
หงา
หง่า ง่า ง้า หยา
อยา่ ย่า ย้า
เคลด็ ไมล่ บั ฉบับเสียงในภำษำไทย เสียงวรรณยกุ ต์
- คาที่ออกเสียงไม่ตรงตามรปู วรรณยุกต์ได้แก่ อกั ษรตา่ คาเป็นและคาตาย มีรูปวรรณยุกต์
เอกกับโท แต่ออกเสียงโทกบั ตรีตามลาดับ หรือรูปเอกเสียงโท รปู โทเสียงตรี
- คาที่ออกเสียงวรรณยุกต์ แต่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ เป็นพ้ืนเสียงของคาจะขึ้นอยู่ที่พยัญชนะ
ต้นวา่ เป็นอักษรหมใู่ ดในอักษรสามหมู่
- อกั ษรสงู คาเปน็ พ้นื เสียงจัตวา คาตายพ้นื เสียงเอก
- อกั ษรตา่ คาเป็น พ้นื เสียงสามญั คาตายเสียงส้ัน พืน้ เสียงตรี คาตายเสียงยาว พ้ืนเสียงโท
- อกั ษรกลางคาเปน็ พนื้ เสียงสามัญ คาตาย พ้ืนเสียงเอก
เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
กำรออกเสียง เสยี งในภาษาไทยเปน็ เสียงท่มี เี อกลักษณเ์ ฉพาะตวั ผู้เรียน
ภำษำไทย จาเปน็ ตอ้ งเรยี นร้แู ละฝกึ ฝนการออกเสยี งให้ถูกต้อง
เพราะถา้ ออกเสยี งผดิ กจ็ ะส่งผลตอ่ การเขยี นก็จะผิดไปดว้ ย
กำรออกเสียงภำษำไทยให้ถกู ตอ้ ง
1. การออกเสียงพยัญชนะ และถ้อยคาให้สอดคล้องถูกต้อง ชัดเจน ตามหลักการออกเสียง
ภาษาไทยไมอ่ อกเสียงช้าหรือเร็วเกินไป เช่น
มกราคม ออกเสียงว่า มะ-กะ-รา-คม
สปั ดาห์ ออกเสียงว่า สับ-ดา หรือ สับ-ปะ-ดา
2. ออกเสียงควบกล้าให้ชดั เจน เป็นธรรมชาติ ไมด่ ัดเสียงหรือเน้นเสียงเกินไป เช่น
ปรบั ปรุง เปลี่ยนแปลง กล้อง กล้วย คล้าย ควาย ขวนขวาย ขวกั ไขว่ เปน็ ต้น
3. ระมัดระวงั ไมอ่ อกเสียงเลียนแบบภาษาต่างประเทศ เช่น เสียง /จ/ /ช/ /ร/ /ล/ /ว/ /ฟ/ /ท/
/ด/ ไมพ่ ดู ฉัน เปน็ Chan ประเทศไทย ไมอ่ อกเสียงเปน็ ประเทศไช หรือออกเสียง /ร/ โดยรัว
ลิน้ มากเกนิ ไป
4. ไมอ่ อกเสียงตดั คา ยอ่ คา หรือรวบคา เช่น
อย่างนี้ ไมอ่ อกเสียงเป็น หยงั่ เนีย้ ะ หย่ังงี้
มหาวิทยาลยั ไมอ่ อกเสียงเปน็ หมาลัย
5. เม่อื พูดอยา่ งเปน็ ทางการต้องใช้ภาษาไทยกลางและต้องออกเสียงให้ชดั เจน ระมดั ระวงั
ไมอ่ อกเสียงสาเนียงท้องถิน่ เช่น โกหก ไม่ออกเสียงเป็น กอหก ฉ่นั ไมอ่ อกเสียงเปน็ ฉ่ัน แต่
เมอ่ื สนทนาอยา่ งไม่เป็นทางการกับคนในท้องถิน่ หรือผู้ทีค่ ุ้นเคยควรรกั ษาเอกลักษณภ์ าษา
ถิ่นของตนไวด้ ้วยความภาคภมู ิใจ
6. ไมพ่ ดู ภาษาไทยปนกบั ภาษาต่างประเทศ เพราะผฟู้ ังอาจไมเ่ ข้าใจ
7. ระมดั ระวงั การออกเสียงวรรณยุกต์ให้ถกู ต้องไมเ่ พยี้ นเสียง
8. อ่านเวน้ วรรคตอนให้ถูกต้อง
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
1. จงเขียนระบลุ กั ษณะของเสียงในภำษำไทย ได้แก่ เสียงพยญั ชนะ เสียงสระ และเสียง
วรรณยุกต์ ลงในตำรำงที่กำหนดให้
1.1 ตำรำงลกั ษณะของเสียงพยัญชนะในภำษำไทย เสียงวรรณยกุ ต์
เที่ยวเมืองสงขลำรหู้ ลกั ภำษำไทย
เรียนรู้ลักษณะเสียงรอ้ ยเรียงเรอื่ งท้องถน่ิ
1.2 ตำรำงลักษณะของเสียงสระในภำษำไทย
เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลักภำษำไทย
เรียนรู้ลักษณะเสียงรอ้ ยเรียงเรอื่ งทอ้ งถน่ิ
1.3 ตำรำงลกั ษณะของเสียงวรรณยกุ ต์ในภำษำไทย
เที่ยวเมืองสงขลำร้หู ลักภำษำไทย
เรียนรลู้ ักษณะเสียงรอ้ ยเรียงเรอื่ งทอ้ งถ่นิ
2. จงจับค่เู สียงในภำษำไทยกบั ลักษณะของเสียงในภำษำไทยใหส้ ัมพันธ์กัน
(ในรูปแบบเกมที่สแกนผ่ำน QR Code)
3. จงเขียนเล่ำประวตั ิท้องถิ่นของตนเองอยำ่ งสรำ้ งสรรค์ และฝึกอ่ำนออกเสียงเรื่อง
ที่ตนเองเขยี นหนำ้ ช้ันเรียน
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
“ ภาษาไทยเป็นภาษาที่ความยืดหยุ่น มีพัฒนาการอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมีคา
เป็นหน่วยคาที่เล็กที่สุด ที่มีความหมายในตัว มีวิธีการสร้างคาเพ่ือเพ่ิมคาโดยวิธี
ของตนเอง โดยเริม่ จากนาคามูลมาประสมกนั ด้วยวิธกี ารประสมคา ซ้อนคา ซ้าคา
และเรียกคาที่สร้างขึ้นใหม่ว่า คาประสมคาซ้อน และคาซ้า และยังมีการสร้างคา
ที่นามาจากภาษาต่างประเทศ เช่น การสร้างคาโดยวิธีการสมาส สนธิ
ของภาษาบาลีและสันสกฤต ซึ่งทาให้ภาษามีความหลากหลาย คาเหล่านจี้ ะสะท้อน
ความเจริญทางด้านภาษา อีกท้ังเพ่ือสนองต้องการของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอีก
ด้วย แม้สังคมและภาษาจะเปลีย่ นแปลงไปแคไ่ หนแต่ย่านเมืองเก่าจังหวัดสงขลาจะ
”ยงั คงความเกา่ แก่ที่คณุ คิดถงึ ตลอดไปเหนือกาลเวลา
กำรเดินทำงของเด็กน้อยท้ังสามคน ณ ถนนสามสายย่านเมืองเก่าจังหวัดสงขลา
ได้เริ่มต้นขึ้นนาโดยป้ันแป้งมัคคุเทศก์สาวน้อยช่างเจรจา นาหนุ่มน้อยท้ังสองคนไปยัง
ถนนนครนอก หนึ่งในถนนสามสายที่ตั้งอยู่นอกสุดติดกับทะเล กลิ่นอายของบรรยากาศ
แหง่ วิถีชีวิตของชมุ ชนยา่ นเมอื งเก่าอบอวลอยู่รอบตัวเขาท้ังสามคน
ผมไม่สามารถละสายตาไปจาก ตึกแถว บ้านเรือน อาคารสถาปัตยกรรมท่ีเรียงราย
อยู่ระหว่างสองข้างทางได้เลย บางหลังมีลักษณะเป็นบ้านเก่าแก่แบบด่ังเดิม บางหลัง
ก็ปรับเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ทันสมัยบางหลังก็ปะปนกันท้ังแบบชาวจีนผสมกับชาวตะวันตก
สะท้อนให้เห็นการอยู่รวมกันของคนหลากหลายวัฒนธรรม ต้ังแต่ในอดีตสมัยบรรพบุรุษ
มาจนถึงปัจจุบนั ปรากฏเปน็ รากเหงา้ วันวานของผู้คนที่เคยอาศยั อยู่ ณ ทีแ่ ห่งนี้
กฤต : ปัน้ แป้งรู้ไหมว่าเม่อื กอ่ นคนที่อยู่แถวนเี้ ขาทาอาชพี อะไรกนั
ไมท่ นั สุดเสียงของเดก็ ชายกฤตผู้สงสัย ป้นั แปง้ ไกด์นาทางตอบออกไปอยา่ งไว
ปั้นแป้ง : ในอดีตแถวนี้เคยเป็นท่าเรือสาคัญ มีเรือสาเภามาจอดเทียบท่า
ทาการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้ากันมากมายโดยเฉพาะชาวจีนกไ็ ด้มาต้ังรกราก สร้างถิ่นฐาน
ทีน่ ี่ด้วย บ้านเรือนแถวนีเ้ ลยมีลกั ษณะเหมอื นที่เราเห็นไงละ
ก้อนเมฆ : กฤต ปั้นแป้ง เธอสองคนได้ยินเสียงอะไรไหม
(ตงุ้ แช่ ตุ้งแช่ ตุง้ แช่ตงุ้ แช)่ ทง้ั สามคน วิง่ ตามเสียงทีไ่ ด้ยินไปอยา่ งรวดเร็ว
โคมไฟสีแดง ๆ ท่ีแขวนเรียงรายเป็นทิวแถวทอดยาวสุดลูกหูลูกตา พลิ้วไหวตาม
สายลม ควันธูปที่ลอยตลบอบอวลท่ามกลางผู้คนที่กาลังเฉลิมฉลองสมโภชศาลหลักเมือง
ประจาปี ดคู กึ คัก ทาให้ผมรู้สึกมหัศจรรยใ์ จอย่างบอกไม่ถูก ดูเหมือนจะมีท้ังคนที่เป็นคนจีน
แท้ ๆ ผิวขาว ตาตี๋ และก็เหมอื นจะมีคนไทยรวมอยู่ด้วย หนุ่ม ๆ สาว ๆ พากันแต่งตัวสวย ๆ
ออกมาเดินขบวน ทาให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ความผูกพันของคนต่างชาติพันธุ์ที่อยู่ร่วมกัน
ในย่านนี้
กอ้ นเมฆ : (เสียงท้องร้อง) ท้องมันน่าจะหิวแล้วล่ะทกุ คน
ปน้ั แปง้ : หิวแล้วใช่ไหมล่ะ อยู่ถนนสายนีพ้ อดีเลย เดีย๋ วเราพาไปหาของอร่อย ๆ กนิ
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
กำรสร้ำงคำในภำษำไทย
กำรสร้ำงคำ มนุษย์ในยุคปัจจุบันมีการติดต่อสื่อสารกันมากข้ึน ย่อมต้องมี
ความหลากหลายของความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ที่จะแสดงออกมาให้ตรงตามความประสงค์
ของผู้ส่งสารมากท่ีสุด คามูลเป็นคาด่ังเดิมท่ีใช้ในภาษาไทยมีไม่เพียงพอในการใช้ จึงจาเป็น
ทจ่ี ะต้องสรา้ งคาข้นึ ใหม่ดว้ ยการประสมคา ซ้อนคา ซา้ คาและสมาสคา
คามูล เป็นคาดั่งเดิมที่มีใช้ในภาษาไทย มีความหมาย
สมบูรณ์ชัดเจนและเด่นชัดในตัว โดยอาจเป็นได้
ท้ังคาไทยแท้ หรือเป็นคายืมจากภาษาต่างประเทศก็ได้
ซง่ึ คามลู สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ชนดิ ดงั นี้
คามูลพยางค์เดียว
เปน็ คาพยางค์เดียวที่มีความหมาย จดั เป็นคาไทยแท้และคายืมจากภาษาต่างประเทศ
คำไทยแท้ คำมูลพยำงค์เดียว
คำยืมจำกภำษำจีน กิน นั่ง ดา ขาว ร้อน เย็น พ่อ แม่ ลงุ ป้า
คำยืมจำกภำษำบำลี สันสกฤต เกง กก๊ โต๊ะ ห้าง เก๊ยี ะ เก๊ยี ว กง เฮีย
คำยืมจำกภำษำองั กฤษ บาป กรรม บาตร เวร ผล อาสน์
แชร์ เมตร ลติ ร เกม เทป ชอลก์ ออนซ์
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลกั ภำษำไทย
คามูลหลายพยางค์
เป็นคาที่มีสองพยางคข์ ึ้นไป มีความหมายในตัวแต่ไม่สามารถแยกพยางคใ์ นคาออกได้เพราะ
จะทาให้ไมม่ ีความหมาย คามูลหลายพยางค์อาจเป็นคาไทยแท้ หรือคายืมจาก
ภาษาต่างประเทศ
คำมลู พยำงคเ์ ดียว
คำไทยแท้ ดอกไม้ โหระพา มะลิ มะม่วง มะระ มะละกอ เกเร
คำยืมจำกภำษำจีน ซาลาเปา บะหมี่ กวยเตยี๋ ว เฉาก๊วย เกา้ อี้
คำยืมจำกภำษำบำลี สันสกฤต นาฬกิ า ราชินี มารดา นมสั การ วิจารณ์
คำยืมจำกภำษำอังกฤษ คอมพวิ เตอร์ อินเทอร์เนต็ ไมโครซอฟต์ สติกเกอร์
เทคนิค : มี 1 ถึงจะใช่ มี 2 ไซร้ไรพ้ นั ธะ
คือคาที่สร้างขึ้นใหม่โดยการนาคามูลต้ังแต่
สองคาขึ้นไปทีม่ ีความหมายต่างกนั หรือไม่สัมพันธ์กัน
คาประสม มารวมกันเกิดเป็นคาใหม่ที่มีความหมายใหม่
แต่คงเค้าความหมายเดิมอยู่ อาจมาจากการประสม
คาไทยกับคาไทย คาไทยกับคาภาษาต่างประเทศ
หรือคาภาษาต่างประเทศประสมกนั เช่น
กำรประสมคำ คำมลู คำประสม
คำประสมทีเ่ ปน็ คำไทยกบั คำไทย ทางด่วน
ทาง ด่วน น้ามนตร์
คำประสมที่เป็นคำไทยกบั คำ
ตำ่ งประเทศ น้า มนตร์ มารผจญ
(คาไทย) (คาบาลี
คำประสมที่เป็นคำตำ่ งประเทศกับคำ สันสกฤต)
ตำ่ งประเทศ
มาร ผจญ
(คาบาลี (คาเขมร)
สันสกฤต)
เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลักภำษำไทย
คาประสมทีเ่ กดิ ความหมายใหมแ่ ต่ยงั มีเค้าความหมายเดิม คาประสม
คำมูล คำประสม ควำมหมำย
เตา ถ่าน เตาถ่าน เตาทีใ่ ชถ้ ่ายเปน็ เช้อื เพลิง
เตา รีด เตารีด เตาทีใ่ ชร้ ีดเสอื้ ผา้
ผ้า ขี้รวิ้ ผา้ ขี้รวิ้ ผา้ เกา่ ขาดทใ่ี ช้เช็ดถพู ้นื
คาประสมทีเ่ กิดความหมายใหมเ่ ปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คาประสม
คำมูล คำประสม ควำมหมำย
ขาย หน้า ขายหน้า รู้สึกอบั อาย
ชอบว่าคนอื่นซ้า ๆ ซาก ๆ
ปาก มาก ปากมาก หรือพูดมาก
คดิ และกระทาการต่อต้าน
แขง็ ข้อ แข็งข้อ
ขอ้ สงั เกตคำประสม
1. ถ้านาคามูลสองคามารวมกันแล้วไม่เกินความหมายใหม่ ไม่จัดเป็นคาเป็นคาประสม
เช่น ลกู + ไก่ = ลกู ไก่ หมายถึง ลูกของไก่ (เปน็ กลุ่มคา)
ดาว + ลูก + ไก่ = ดาวลูกไก่ หมายถึง ชอ่ื ดาว (เป็นคาประสม)
2. คาภาษาบาลีประสมกับคาสันสกฤตไมถ่ ือเป็นคาประสม แต่เป็นคาสมาส เชน่
คุณ + ธรรม = คุณธรรม อ่านว่า คุน – นะ - ทา
มัธยม + ศึกษา = มธั ยมศึกษา อ่านว่า มัด - ทะ - ยม - มะ - สึก – สา
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
โครงสร้างคาประสม
เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
คาซา้ เป็นการสร้างคามูลที่เหมือนกันท้ังรูปและ
เ สี ย ง ม า ซ้ า กั น ( ย ก เ ว้น น า น า แ ล ะ จ ะ จ ะ )
เพอื่ ให้เกิดความหมายใหมม่ ี 2 วิธดี งั นี้
1. คาซา้ ที่ใช้ไม้ยมก (ๆ) กากบั เช่น
เด็ก ๆ ไปไหน (เดก็ ๆ หมายถึง เด็กหลายคน)
ของอร่อย ๆ ทงั้ นั้น (อร่อย ๆ หมายถึง ของอร่อยทุกอยา่ ง ไมเ่ น้นวา่ อร่อยเพยี งใด)
2. คาซ้าทีเ่ ล่นเสียงวรรณยุกต์ โดยเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์แรกให้สงู ขนึ้ เชน่
น้องคนที่หมายเลข 3 ซอ้ ยสวย (ซว้ ยสวย หมาถึง สวยมาก ๆ)
ลองรับประทานกวยเตี๋ยวร้านนี้ไหมคะ พ่ีเขาบอกว่า อร้อยอร อย (อร้อยอร่อย
หมายถึง อร่อยมาก)
ประโยชน์ของกำรใชค้ ำซ้ำ
1. ให้มีความหมายเป็นพหูพจน์ เช่น น้อง ๆ
2. ให้มีความหมายว่าทากริยานั้นซ้า ๆ หรือต่อเนื่องกนั เช่น ปรอย ๆ นงั่ ๆ นอน ๆ
3. ให้ทราบว่าสิ่งนั้น ๆ มจี านวนมากขึ้น เช่น ชิ้น ๆ
4. ให้มีความหมายบอกรูปพรรณสัณฐาน เช่น หนา ๆ แท่ง ๆ เหลี่ยม
5. ให้มีความหมายเน้นหนกั มากขึ้น (มักซา้ เสียงวรรณยกุ ต์) เช่น มา้ กมาก
6. ให้มีความหมายใหม่ หรือเป็นสานวน เชน่ งู ๆ ปลา ๆ
7. ให้มีความหมายไมเ่ ฉพาะเจาะจง เช่น แถว ๆ บา่ ย ๆ
8. ให้มีความหมายเชิงคาสงั่ เช่น เร็ว ๆ เขา
9. ให้มีความหมายเบาบางลง เช่น ดา ๆ
10. ให้มีความหมายเปน็ เสียงธรรมชาติ เช่น เปรี้ยง ๆ
11. ให้มีความหมายแยกจานวน แยกหมวดหมู่ เช่น ท่ี ๆ ช้ัน ๆ
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
คาซ้อน เป็นการสร้างคาโดยนาคามูลที่มีความหมาย
เหมือนกัน ใกล้เคียงกัน หรือตรงข้ามกันมาวาง
ซ้ อ น กั น เ กิ ด ค า ใ ห ม่ มี ค ว า ม ห ม า ย ใ ห ม่
โดยความหมายใหมอ่ าจกว้างขนึ้ หรือเบาลง
1. คาซ้อนเพ่ือความหมาย คือ คาซ้อนที่มีเกิดจากคามูลที่มีความหมายเหมือนกัน
ใกล้เคียงกัน หรือตรงกนั ข้ามมาวางชดิ กัน มลี กั ษณะดงั นี้
ความหมายเหมอื นกนั เช่น ผู้คน บา้ นเรือน จิตใจ
ความหมายใกล้เคียงกนั เช่น คัดเลือก รกร้าง ถ้วยชาม
ความหมายตรงกนั ข้ามกนั เช่น ผิดชอบ บาปบญุ คุณโทษ ได้เสีย
2. คาซอ้ นเพื่อเสียง คอื คาซอ้ นที่เกิดจากการนาคาที่มีเสียงคล้องจองและมีความหมาย
สัมพันธ์กนั มาซอ้ นกนั เพอ่ื ให้ออกเสียงได้ง่ายและไพเราะ มีลกั ษณะดงั นี้
ซอ้ นเสียงพยัญชนะต้น เช่น ทอ้ แท้ จริงจัง ซบุ ซบิ
ซ้อนเสียงสระ เชน่ ราบคาบ แร้นแคน้ อ้างว้าง
ซอ้ นเสียงพยญั ชนะต้นและสระ เช่น รวบรวม ออดอ้อน อัดอ้ัน
ซ้อนด้วยพยางค์ที่ไม่มีความหมาย แต่มีเสียงสัมพันธ์กับคาที่มีความหมาย เช่น
พยายงพยายาม กระดูกกระเดยี้ ว
ซ้อนด้วยคาที่มีความหมายใกล้เคียงแล้วเพม่ิ พยางค์ให้เสียงสมดุลกัน เช่น ขโมยขโจร
กระดุกกระดิก
คาซ้อน 4-6 พยางค์ จะมีเสียงสัมผัสภายในคา เช่น ทรัพย์ในดินสินในน้า
ถว้ ยโถดอชาม ประเจิดประเจ้อ
เที่ยวเมืองสงขลำร้หู ลักภำษำไทย
คาพอ้ ง คาพอ้ งเสยี ง คาพอ้ งความหมาย
คาพอ้ งรปู คาพอ้ งรปู พอ้ งเสยี ง
คำพ้องเสียง หมายถงึ คาทอ่ี ่านออกเสียงเหมอื นกันแต่สะกดต่างกัน มคี วามหมาย
ต่างกนั เช่น พีช่ อบนั่งดพู ระจันทรใ์ ต้ต้นจันทน์ทกุ คนื
(จนั ทร์ หมายถึง พระจันทร์หรือดวงจนั ทร์) (จนั ทน์ หมายถึง ต้นไม้ชนิดหนึง่ )
คำพ้องรปู หมายถึง คาทีเ่ ขียนกนั แต่อ่านต่างและความหมายต่างกนั เช่น
เราขับรถไปต่อไมไ่ ด้แล้วพ่เี พราะเพลาหกั
(เพลา อ่านว่า เพลา หมายถึง แกนสาหรับสอดดมุ รถหรอื ดุมเกวียน)
รีบ ๆ หน่อย เพลานีข้ ้าศึกมาประชิดเราแล้ว
(เพลา อ่านว่า เพ - ลา หมายถึง เวลา)
คำพอ้ งควำมหมำย (คำไวพจน์) หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึง่ อาจเรียกได้หลายคา เพราะใน
ภาษาไทยมีคาเรียกใช้ได้มากมายตามคามเหมาะสม เรามกั เลือกใช้คาลกั ษณะนใี้ นการ
แต่งคาประพนั ธ์ เช่น
คาที่หมายถึง น้า ได้แก่ ชล วารี นที สายธารา กระแสสินธ์ุ
คาทีห่ มายถึง ดวงจนั ทร์ ได้แก่ ศศิธร รชั นีกร แข จันทร์ แถง โสม
คำพอ้ งรูปพ้องเสียง เป็นคาทีเ่ ขียนเหมอื นกัน อ่านเหมอื นกัน แต่ความหมายต่างกัน
เปน็ คาต่างชนิดและต่างหน้าทก่ี ัน เช่น เขาขนึ้ เขาไปหาเขากวางมาทายา
(เขา คาแรกเป็นคาสรรพนาม บุรษุ ที่ 3 ทาหน้าที่ประธานของประโยค)
(เขา คาที่สอง หมายถึง ภูเขา)
(เขา คาที่สาม หมายถึง อวัยวะส่วนทีแ่ ข็งมากอยบู่ นหัวสตั ว์ ซง่ึ ใชเ้ ปน็ อาวธุ ใน
การต่อสู้ป้องกันตวั )
เที่ยวเมืองสงขลำรูห้ ลกั ภำษำไทย
คาสมาส คำสมำสแบ่งออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ คือ
1. คาสมาสที่ไม่มีการเปลีย่ นแปลง (สมาส)
2. คาสมาสทีม่ ีการเปลี่ยนแปลงเสียง (คาสนธิ)
1. คำสมำสทีไ่ มม่ ีกำรเปลี่ยนแปลง (สมำส) มีลักษณะดงั นี้
1.1 คาที่นามาสมาสกนั ต้องเปน็ คาที่มาจากภาษาบาลีหรอื สนั สกฤตเทา่ นั้น เช่น
ราชการ ราชครู ราชโองการ ราชบุตร
1.2 เรียงคาประกอบไว้หน้า คาหลักไวห้ ลงั เช่น ปฐมเจดีย์ อดุ มคติ ประถมศึกษา
ภารกจิ
1.3 แปลความจากหลังมาหน้า เช่น
อักษรศาสตร์ วชิ าว่าด้วยตวั หนงั สือ วาทศิลป์ ศิลปะการพูด
ยุทธวธิ ี วธิ ีการทาสงคราม ชยั ภมู ิ ทต่ี ้ังทพั ที่ทาให้ได้รับชัยชนะ
1.4 ไมป่ ระวิสรรชนีย์และไมใ่ ช้ทณั ฆาตทีพ่ ยางค์สุดท้ายของคาหน้า เช่น
กจิ การ ไม่ใช่ กจิ ะการ ธรุ การ ไม่ใช่ ธุรการ
แพทยศาสตร์ ไมใ่ ช่ แพทยศ์ าสตร์ มนุษยธรรม ไมใ่ ช่ มนษุ ย์ธรรม
1.5 อ่านออกเสียงสระที่พยางค์ท้ายของคาหน้า เช่น
อณุ หภูมิ อนุ - หะ - พมู เกษตรกรรม กะ - เสด - ตระ - กา
สิทธิบตั ร สิด - ทิ - บดั อทุ กภัย อุ - ทก - กะ - ไพ
**มีคาสมาสบางคาที่ไม่นิยมออกเสียงระหว่างคา ได้แก่ เกยี รตินิยม ชาตินิยม สามญั ชน
สภุ าพบุรุษ**
**มีบางคานิยมออกเสียงท้ังสองแบบ เชน่
สุขศึกษา สุก - สึก - สา , สุก - ขะ - สึก - สา
ประวตั ิศาสตร์ ประ - หวัด - สาด , ประ - หวัด - ติ - สาด
หลักสงั เกต 1. มาจาก บ/ส เท่าน้ัน 2. แปลจากหลังมาหน้า
3. อ่านออกเสียงระหว่างคา 4. ไม่มีการันต์ (ทัณฑฆาต) และวิสรรชนีย์ (สระอะ)
5. วร/พระ+ บ/ส
เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลักภำษำไทย
2. คำสมำสที่มีกำรเปลย่ี นแปลงเสียง (คำสนธิ) มี 3 ชนิดคือ
2.1 พยญั ชนะสนธิ
- เปลี่ยน ส เป็น โ เช่น
มนสั + ธรรม = มโนธรรม รหสั + ฐาน = รโหฐาน
- เปลี่ยน ส เป็น ร (ในกรณี นิส,ทสุ ) เช่น
ทสุ + ชน = ทรุ ชน นิส + โทษ = นิรโทษ
2.2 สระสนธิ
- ตดั สระท้ายคาหน้า ใช้สระหน้าคาหลงั เช่น
หิมำ + อำลยั ตดั ะ ใช้ ำ สนธิเป็น หิมำลัย
เทว + อาลยั เทวาลัย มหา + อัศจรรย์ มหศั จรรย์
ขปี น + อาวธุ ขีปนาวธุ ภุช + องค์ ภุชงค์
- ตัดสระท้ายคาหน้า ใช้สระหน้าคาหลงั แต่เปลี่ยน อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู
, โอ แล้วสนธิ
รำช + อธิรำช ตดั อะ แรกใช้ อะหลงั แตเ่ ปลี่ยนเป็น อำ แลว้ สนธิเป็น รำชำธิรำช
ประชา + อธิปไตย ประชาธิปไตย เทศ + อภิบาล เทศาภิบาล
รำม + อิศวร ตัด อะ แรกใช้ อิ หลงั แตเ่ ปลี่ยนเปน็ เอ แล้วสนธิเป็น รำเมศวร
ปรม + อินทร์ ปรเมนทร์ มหา + อิสี มเหสี
รำช + อุบำย ตัด อะ แรก ใชอ้ ุหลังแตเ่ ปลย่ี นเป็น โอ สนธิเปน็ รำโชบำย
นย + อุบาย นโยบาย ชล + อุทร ชโลทร
รำช + อปุ โภค ตดั อะ แรก ใช้อุหลังแต่เปลย่ี นเป็น อู สนธิเปน็ รำชปู โภค
ราช + อุปถัมภ์ ราชูปถัมภ์ คณุ + อปุ การ คณุ ูปการ
- เปลีย่ นสระท้ายคาหน้า อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว เสียก่อน แล้วสนธิ
รติ + อำรมณ์ เปลย่ี น อิ เป็น ย เป็น รตย สนธิเปน็ รตยำรมณ์
อธิ + อาศยั อัธยาศยั สามัคคี + อาจารย์ สามัคยาจารย์
ธนู + อำคม เปลี่ยน อูเปน็ ว เป็น ธนว สนธิเป็น ธันวำคม
สินธุ + อานนท์ สินธวานนท์ จตุ + อังค์ จตั วางค์
เที่ยวเมืองสงขลำรหู้ ลกั ภำษำไทย
2.3 นฤคหิตสนธิ
ส เจอวรรไหนเปลี่ยนเปน็ ท้ายวรรค (แถว 5 ) น้ัน
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
จงหำคำและระบปุ ระเภทของคำในภำษำไทยทีพ่ บในเรือ่ ง
“โครงสรำ้ งแหง่ วิถีชีวิต”
จงจบั คู่คำและประเภทของคำในภำษำไทยให้สัมพันธ์กนั
(ในรปู แบบเกมที่สแกนผำ่ น QR Code)
แบง่ กลุม่ ศึกษำเพิ่มเติมเกีย่ วกับกำรสรำ้ งคำในภำษำไทยประเภทตำ่ ง ๆ
พรอ้ มทง้ั นำเสนอหนำ้ ช้ันเรียน อย่ำงสร้ำงสรรค์
เที่ยวเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย