“ ประโยค คอื ถ้อยคาทีม่ ีเนอื้ ความสมบูรณ์ ประกอบด้วย ภาคประธาน และ
ภาคแสดง ประโยคแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ ประโยคสามัญ ประโยครวม
ประโยคซ้อน และประโยคซับซ้อน การสื่อสารของมนุษย์ในชีวิตประจาวัน
อาจใช้ประโยคหลายชนิดในการสื่อสาร ดังนั้น เพ่ือให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล
บรรลุวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร ผู้ส่งสารต้องมีความรู้ความเข้าใจ และมีทักษะ
ในการใช้ประโยคท้ัง 4 ชนิดในการสื่อสาร เพ่ือให้สามารถใช้ประโยคสื่อสาร
ได้อย่างชัดเจนและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ของภาษาไทย อันจะทาให้เกิด
การสือ่ สารท่ปี ระสบความสาเร็จต่อไป เช่นเดียวกันกับอาหารที่จะให้อร่อยครบทั้ง
”คาวหวานก็ต้องมาที่ถนนนางงาม
ถนนเส้นนอกสุดของถนนสามสาย หรือ ถนนนางงาม เป็นถนนเส้นที่
เป็นเหมือนศูนย์รวมอาหารรสเลิศ ของจังหวัดสงขลาไว้ มีอาหารหลากหลายชาติ
ทั้งอาหารจีน อาหารมสุ ลิม และอาหารไทย แสดงว่าบนถนนสามสายนี้มีคนอยู่ร่วมกันมาก
ถึง 3 วัฒนธรรม มีท้ังของกินที่ได้รับอิทธิพลและวัฒนธรรมการกิน การดาเนินชีวิต
แบบชาวจีนกับพ่ีน้องชาวมุสลิม รวมถึงไทยพุทธรวมอยู่ด้วยกัน จึงเกิดเป็นเมนูต่าง ๆ
ทีเ่ กิดการผสมครวั เข้าด้วยกันของแต่ละเช้อื ชาติอย่างกลมกล่อม อร่อยจนต้องหา้ มพลาด
ก้อนเมฆ : ทุกคน ไม่ไหวแล้วก้อนเมฆอิ่มมาก ทั้งข้าว ทั้งขนม ไหนจะของหวานอีก
ขอยกธงขาวไมส่ ู้ต่อแล้วนะ
ปั้นแป้ง : โห้ เสียดาย ยังมีอีกหลายร้านเลยนะ ท่ีเธอยังไม่ได้ลองชิม เอ่อแล้วพวก
เธอชอบเมนูไหนกันเปน็ พเิ ศษบ้าง
กอ้ นเมฆ : เราชอบไอติดโคม สายของหวานอยา่ งเราจะพลาดได้ไง
กฤต : เอ่อ จริง ๆ เราชอบทุกเมนูเลยมันอร่อยจนเราเลือกไม่ถูกแต่ถ้าต้องเลือก
เราชอบขนมบอกมากที่สุด เมนูนี้ถือเป็นเมนูแห่งความสัมพันธ์ของสามครัว จีนแขกไทย
เลยกว็ ่าได้ แล้วคนที่นีเ่ ขาอยรู่ วมกนั บนความหลากหลายนไี้ ด้ยงั ไงกันหรอ
ปัน้ แปง้ : ออ! ถา้ เธออยากรู้ความสมั พนั ธ์ของการอยรู่ ่วมกนั ของคนท่นี ี่ เดยี๋ วเรา
จะเปน็ คนพาเธอไป
เทีย่ วเมืองสงขลำรูห้ ลักภำษำไทย
โครงสร้ำงประโยค
ควำมหมำยของประโยค
ประโยค หมายถึง ข้อความ ถ้อยคา หรือ กลุ่มคา ที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ ที่ผู้พูดหรือ
ผเู้ ขียนต้องการบอกเล่าเพอ่ื ให้ผู้ฟังหรือผอู้ ่านทราบว่า ใคร ทาอะไร ที่ไหน อย่างไร
เช่น ปกป้องเปน็ คนสงขลา
ธารใสกินขนม
กองทัพขายของเล่น
สว่ นประกอบของประโยค
ส่วนประกอบของประโยค แบ่งออกเป็น 2 ภาค คอื
1. ภาคประธาน เป็นคานามหรือสรรพนามท่ีกล่าวขึ้นก่อนเพ่ือให้รู้ว่าใครเป็นผู้ทากริยา
เช่น ฉัน พ่อ แม่ เธอ ตารวจ แมว ฉลาม
2. ภาคแสดง เป็นส่วนประกอบของประโยคท่ีมีคากริยาเป็นหลัก เป็นคาท่ีแสดงอาการ
ของภาคประธานให้ได้ความครบถ้วนสมบรู ณ์ว่าแสดงกริยาอย่างไร
เช่น ฉนั กิน พอ่ นอน แมววิง่
โดยที่ภาคแสดงอาจมีกรรมหรือไม่มีกรรมมารับข้างท้ายก็ได้ ถ้าหากประโยค
มีใจความสมบูรณ์ รู้แล้วว่า ใคร ทาอะไร ท่ไี หน อย่างไร กส็ ามารถเรียกว่า ประโยค ได้
เช่น แม่เดิน (อกรรมกริยา หรือ กริยาที่ไม่มีกรรมมารับ)
สมบรู ณ์) เธอขจี่ ักรยาน (สกรรมกริยา หรือ กริยาที่มีกรรมมารบั )
ฉลามเปน็ สตั ว์ (คานามที่ทาหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มทาให้เนื้อความ
เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
จะเห็นได้ว่า ประโยคจะต้องมี 2 ภาค คือ ภาคประธานและภาคแสดงครบถ้วน
สมบูรณ์ สาหรบั ประโยคสนทนาบางประโยคที่ไม่ใชป่ ระโยคแรกเริม่ ในการใช้พูดโต้ตอบกัน
อาจมีเพยี งภาคแสดงเท่านั้นไม่มีภาคประธานก็ให้ถือว่าเป็นประโยค ถ้ามีแต่ภาคประธาน
ไมม่ ีภาคแสดงไม่ถือว่าเปน็ ประโยคเพราะเนอื้ ความจะไมค่ รบถ้วนสมบรู ณ์
เช่น บทสนทนา
มาร์ติน : ปยุ นุ่นเห็นไทก้าไหม
ปยุ นุ่น : เห็นจ้ะ ไทก้าไปวดั (ละประธาน “ปยุ นุ่ม” ไว)้
มาร์ติน : ไทก้าไปไหนนะฟังไม่ชัด
ปุยนุ่น : ไปวดั (ละประธาน “ไทก้า” ไว)้
ชนิดของประโยค
ประโยคแบง่ เป็น 4 ชนิด ดงั นี้
1. ประโยคสามัญ
2. ประโยครวม
3. ประโยคซ้อน
4. ประโยคซับซอ้ น
เที่ยวเมืองสงขลำร้หู ลักภำษำไทย
ประโยคสามัญ ประโยคที่มีใจความเดียว มีความหมาย
อ ย่ า ง เ ดี ย ว เ ป็ น ป ร ะ โ ย ค ที่ ไ ม่ มี ป ร ะ โ ย ค ย่ อ ย ห รื อ
ประโยคเล็ก ๆ หลายประโยคมาประกอบกัน
ไม่มีประโยคเล็ก ๆ มาเป็นส่วนหนึ่งของประโยค
ประโยคสามัญมีโครงสร้างดังนี้
เพียงประโยคเดียว ไม่มีอนุประโยคหรือประโยคย่อยมาขยายภาคประธานหรือ
ภาคแสดง ประโยคสามัญมีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ ภาคประธานและภาคแสดง
ภ า ค แ ส ด ง อ า จ มี ก ริ ย า ห ลั ก เ พี ย ง ก ริ ย า เ ดี ย ว ห รื อ อ า จ มี ก ริ ย า ห ลั ก ห ล า ย ก ริ ย า ก็ ไ ด้
ดังตวั อย่างต่อไปนี้
1) ประโยคทีภ่ าคแสดงมีคากริยาหลักเพียง
ตวั อย่ำง รถ ชน ฝูงวัว (มีคากริยา 1 คา)
2) ประโยคทภ่ี าคแสดงมีกริยาหลักหลายกริยา
ตวั อยำ่ ง ผปู้ ระสบอทุ กภยั เข้ำแถว รบั ถงุ ยังชพี (มีคากริยา 2 คา)
3) ประโยคท่ภี าคประธานอาจมปี ระธานและบทขยายประธานได้
ตวั อย่ำง เตำ่ สตั วเ์ ล้ยี งของผมว่ายน้าเกง่
12
ลงุ สำยลมผู้ใหญ่บำ้ นคนใหม่เป็นคนใจดี
12
หมายเลข 1 เป็นประธาน หมายเลข 2 เป็นบทขยายประธาน
4) ประโยคท่ภี าคแสดงอาจมีกริยา บทขยายกริยา กรรม และบทขยายกรรมได้
ตวั อยำ่ ง น้องคลำนช้ำ
12
ฉนั เหน็ ปลำตัวใหญ่
12 3
หมายเลข 1 เปน็ คากริยา หมายเลข 2 ขยายกริยา
หมายเลข 3 ทาหน้าทีเ่ ป็นกรรม หมายเลข 4 ขยายกรรม
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
ประโยครวม ประโยคที่รวมประโยคเล็ก ๆ หลายประโยค
เข้าเป็นประโยคเดียวกัน โดยประโยคเล็กที่เป็นส่วน
หนึ่งของประโยครวมเรียกว่า ประโยคย่อยซ่ึง
การที่ประโยคย่อยจะรวมกันเป็นประโยครวมได้น้ัน
ต้องอาศัยคา และ แต่ หรือ ฯลฯ มาเป็นคาเช่ือม
ประโยคย่อยเข้าด้วยกนั
ประโยครวม แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดงั นี้
1) ประโยครวมที่มีเนือ้ ความคล้อยตามกัน
ตัวอย่ำง
หมอและพยาบาลมีหน้าทีร่ กั ษาผู้ป่วย
2) ประโยครวมที่มีเนือ้ ความแตกต่างกนั
ตัวอยำ่ ง
พอ่ ไปทะเลแต่แมน่ อนอยู่บ้าน
3) ประโยครวมที่มีเนอื้ ความให้เลือกอยา่ งใดอยา่ งหนึง่
ตัวอย่ำง
เธอจะขับรถหรือเดินไปโรงเรียน
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
ประโยคซอ้ น ประโยคที่มีประโยคเล็ก ๆ ประกอบอยู่ด้วย
ประโยคเล็ก ๆ มีคาเช่ือม เช่น ที่ ซ่ึง อัน ว่า ฯลฯ
นาหน้าคาเชือ่ มเหล่านีร้ วมกบั ประโยคเล็ก ๆ เรียกว่า
“ อ นุ ป ร ะ โ ย ค ” ค า เ ช่ื อ ม เ ห ล่ า นี้ จึ ง เ รี ย ก ว่ า
“คาเช่ือมอนุประโยค” ในประโยคซ้อนต้องมี
อนุประโยคอยู่ด้วยเส มอ อนุประโยคอาจใ ช้
เป็นส่วนหนึ่งของประโยคซ้อน หรือใช้ขยายส่วนใด
ส่วนหนึง่ ของประโยคซ้อนได้
ตวั อยำ่ ง
เดก็ ทีน่ ง่ั อยู่ตรงนนั้ เปน็ น้องของเธอ
ผมได้รบั รางวัลซึ่งมีมลู คำ่ ไม่มำกแต่มีค่ำทำงจิตใจมหำศำล
ข่าวว่ำโควิดระบำดทัว่ โลกอีกครัง้ ไมจ่ ริง
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
ข้อสังเกต ในประโยคซ้อนคาที่ตามหลัง “ท่ี ซ่ึง อัน” จะต้องเป็นคากริยา
จึงจะเปน็ ประโยคซอ้ น ถา้ คาทีต่ ามหลัง “ท่ี” เป็นคานาม จะเป็นประโยคสามัญ และ “ที่”
เป็นคาบพุ บท
เช่น นักเรียนไปทัศนศึกษาทชี่ ลบุรี (ประโยคสามัญ)
คาว่า “ที่” ในประโยคดังกล่าวทาหน้าที่เป็นคาบุพบท เพราะคาที่ตามหลังคาว่า
“ที”่ คอื คาว่า “ชลบรุ ี” ซ่งึ ทาหน้าที่เป็นคานาม ดังน้ัน ประโยคนีจ้ ึงเปน็ ประโยคสามญั
ครทู ีย่ ืนอยตู่ รงโน่นเปน็ ญาติของฉัน (ประโยคซ้อน)
คาว่า “ท”ี่ ในประโยคดงั กล่าวทาหน้าทีเ่ ปน็ คาเชื่อม เพราะคาที่ตามหลังคาว่า “ที่”
คอื คาว่า “ยืน” ซึง่ ทาหน้าที่เปน็ คากริยา ดังน้ัน ประโยคนีจ้ ึงเปน็ ประโยคซ้อน
ประโยคซับซ้อน การนารูปประโยคทั้งประโยคสามัญ ประโยค
รวม และประโยคซ้อนมาขยายความให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น
โดยเพิม่ คาขยาย หรือ ข้อความขยาย เพ่อื ให้สามารถ
สื่อสารได้อย่างชดั เจน และสละสลวยมากยิง่ ขึ้น
ประโยคซับซอ้ นแบ่งเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1) ประโยคสามญั ท่ซี ับซอ้ น
2) ประโยครวมท่ซี บั ซอ้ น
3) ประโยคซอ้ นท่ซี บั ซอ้ น
เที่ยวเมืองสงขลำร้หู ลกั ภำษำไทย
ประโยคสำมญั ทีซ่ ับซ้อน ประโยคซับซอ้ น
ประโยคสามญั ที่มีกลุ่มคามาขยาย ภาคประธานหรือภาคแสดง ประโยคสามัญ
ท่ซี บั ซอ้ นแบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด ดังนี้
1.1) ประโยคสามญั ทีซ่ ับซอ้ นในภาคประธาน คือ ประโยคที่ตัวประธานมีส่วนขยาย
ทีเ่ ปน็ คาและกลุ่มคาทาให้ประโยคสามญั มีข้อความซับซ้อนขึ้น ประโยคสามัญที่ซับซ้อนใน
ภาคประธานมีโครงสร้างดงั นี้
ภำคประธำน + บทขยำยประธำน + ภำคแสดง
ประโยคสามญั ทีซ่ บั ซอ้ นในภาคประธาน สามารถแบง่ ออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
1.1.1) ประธานเป็นกลุ่มคาที่นาหน้าด้วยคาว่า “การ” หรือ “ความ” ตามด้วยส่วน
ขยาย เช่น
การผลิตสินค้าแปรรูปจำกผลผลิตทำงกำรเกษตรในชุมชนจะช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ
ให้กับคนในชมุ ชนได้
ภำคประธำน : การผลิตสินค้าแปรรปู
ภำคแสดง : ชว่ ยสร้างงานสร้างอาชพี ให้กับคนในชมุ ชนได้
บทขยำยประธำน : จากผลผลิตทางการเกษตรในชุมชน
ความสามัคคีของคนในชำติแสดงให้เหน็ ถึงความเปน็ อนั หนึง่ อนั เดียวกันของคนทั้งชาติ
ภำคประธำน : ความสามคั คี
ภำคแสดง : แสดงให้เหน็ ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกนั ของคนท้ังชาติ
บทขยำยประธำน : ของคนในชาติ
1.1.2) ประธานมีคาและกลุ่มคาขยายประธาน ทาให้ความซับซอ้ นเพิม่ ขึ้น เช่น
บ้านพักรับรองของท่ำนผ้วู ำ่ รำชกำรจังหวัดหลังใหม่สร้างเสร็จแล้ว
ภำคประธำน : บา้ นพักรับรอง
ภำคแสดง : สร้างเสร็จแล้ว
บทขยำยประธำน : ของท่านผวู้ ่าราชการจงั หวัดหลงั ใหม่
เที่ยวเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
1.2) ประโยคสามัญที่ซับซ้อนในภาคแสดง คือ มีคากริยาหลายคาหรือมีคากริยา
เป็นส่วนขยายอยหู่ ลายแห่ง ประโยคสามญั ทซ่ี บั ซอ้ นในภาคแสดงมีโครงสร้างดังนี้
ภำคประธำน + ภำคแสดง + กลุม่ คำกริยำ หรือ บทขยำยกริยำ
ประโยคสามัญทซ่ี ับซอ้ นในภาคแสดง สามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดงั นี้
(1) ประโยคสามัญทีซ่ ับซอ้ นในภาคแสดงที่มีคากริยาหลายคา เช่น
หนตู วั น้ันวิ่งไปที่กองขนม มนั พยายาม กดั แกะ แทะ เคี้ยว และกิน ขนมอย่างอร่อย
ภำคประธำน : หนตู วั นั้น
ภำคแสดง : วิ่งไปท่กี องขนม มันพยายาม กดั แกะ แทะ เคี้ยว และกิน ขนม
อย่างอร่อย
กลมุ่ คำกริยำ : วิง่ กดั แกะ แทะ เค้ยี ว กนิ
(2) ประโยคสามัญที่ซบั ซอ้ นในภาคแสดงทีม่ ีคากริยาเป็นส่วนขยายอยู่หลายแห่ง
เช่น กอ่ นไปทำงำนแม่จะนงั่ อา่ นนิตยสารทีห่ อ้ งนั่งเล่นทกุ วัน
ภำคประธำน : แม่
ภำคแสดง : จะนง่ั อ่านนิตยสารทีห่ อ้ งน่งั เล่นทุกวนั กอ่ นไปทางาน
บทขยำยกริยำ : 1. ที่ห้องน่ังเล่น ทาหน้าที่ขยายกริยา น่ันคือ คาว่า “นั่ง
2. ก่อนไปทางานทุกวัน ทาหน้าทีข่ ยายกริยา “อ่าน”
ประโยครวมทีซ่ ับซ้อน ประโยคซับซอ้ น
ประโยครวมทีม่ ีส่วนย่อยเปน็ ประโยครวมด้วยกัน หรือส่วนย่อยเปน็ ประโยคซอ้ น
ประโยครวมที่ซบั ซ้อนแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้
2.1) ประโยครวมที่ซับซ้อนซ่ึงมีส่วนย่อยเป็นประโยครวมด้วยกัน หมายถึง ประโยค
ทีม่ ีประโยครวมอยู่มากกว่า 2 ประโยค โดยมีประโยคใหญ่เป็นประโยครวม และมีประโยค
ย่อยเปน็ ประโยครวมเช่นเดียวกัน ข้อสาคัญ คือ ต้องสังเกตบทเช่ือมเป็นหลัก ประโยครวม
ทีซ่ บั ซอ้ นซง่ึ มีส่วนย่อยเป็นประโยครวมด้วยกันมีโครงสร้างดังนี้
ประโยครวม + คำเชื่อม + ประโยครวม
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลกั ภำษำไทย
ตวั อย่ำงที่ 1
พอ่ และแม่ทาสวนแต่ลูกและหลานกินขนม
จะเหน็ ได้ว่า ประโยครวมที่ซับซ้อนประโยคนี้แยกได้เป็นประโยคสามัญ 4 ประโยค
เป็นประโยครวมได้ 2 ประโยค โดยมีประโยคใหญ่เป็นประโยครวมที่ซับซ้อน และประโยค
รวมที่ซบั ซ้อนประโยคนเี้ ป็นประโยครวมที่ซับซ้อนทีม่ ีเนือ้ ความแตกต่างกัน
ตัวอยำ่ งที่ 2
คุณหญิงจะให้ลกู เรียนหนงั สือและเล่นกฬี าด้วยหรือจะให้ลกู เรียนหนังสือแต่ไม่เล่น
กีฬา
จะเห็นได้ว่า ประโยครวมที่ซับซ้อนแยกได้เป็นประโยคสามัญ 4 ประโยค
เป็นประโยครวมได้ 2 ประโยค โดยมีประโยคใหญ่เป็นประโยครวมที่ซับซ้อน และประโยค
รวมที่ซบั ซอ้ นประโยคนี้เป็นประโยครวมที่ซับซอ้ นที่มีเนือ้ ความให้เลือกอยา่ งใดอยา่ งหนึง่
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลกั ภำษำไทย
ตวั อย่ำงที่ 3
คุณหมอจะให้ยาระงบั ความเจ็บปวดและยานอนหลบั ด้วยและพยาบาลจะดูแลผู้ป่วยอย่าง
ใกล้ชิดเพราะผปู้ ่วยมีอาการวกิ ฤต
จะเห็นได้ว่า ประโยครวมที่ซับซ้อนแยกได้เป็นประโยคสามัญ 4 ประโยค
เปน็ ประโยครวมได้ 2 ประโยค โดยมีประโยคใหญ่เป็นประโยครวมที่ซับซ้อน และประโยค
รวมทีซ่ ับซอ้ นประโยคนี้เปน็ ประโยครวมทีซ่ ับซอ้ นที่มีเนอื้ ความคล้อยตามกนั
2.2 ประโยครวมท่ซี บั ซอ้ นซง่ึ มีส่วนย่อยเป็นประโยคซ้อน หมายถึง ประโยคซับซ้อน
ทีม่ ีประโยคใหญ่เปน็ ประโยครวมและมีส่วนย่อยเป็นประโยคซ้อน ประโยครวมที่ซับซ้อนซ่ึง
มีส่วนย่อยเป็นประโยคซ้อนมโี ครงสร้างดงั นี้
ประโยคซอ้ น + คำเชือ่ ม + ประโยคซอ้ น
รดาซ่ึงเป็นประธานนักเรียนได้รับรางวัล นักเรียนดีเด่น ส่วนปณิธานซ่ึงเป็นรองประธาน
นกั เรียนได้รบั รางวลั คนดีศรีสังคม
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
2.3) ประโยครวมทีซ่ บั ซอ้ นซ่งึ มีส่วนย่อยเป็นประโยคซับซ้อน หมายถึง ประโยครวม
ซับซอ้ นที่มีส่วนย่อยเปน็ ประโยคสามัญกบั ประโยครวมบ้าง ส่วนย่อยเป็นประโยคสามัญกับ
ประโยคซ้อนบ้าง ประโยครวมที่ซับซ้อนซ่ึงมีส่วนย่อยเป็นประโยคซับซ้อนแบ่งออกเป็น 2
ชนิด ดงั นี้
(1) ส่วนย่อยเปน็ ประโยคสามญั กับประโยครวม มีโครงสร้างประโยคดังนี้
ประโยคสำมัญ + คำเชือ่ ม + ประโยครวม
เช่น มะลิไปสวนสัตว์แต่พจ่ี ะไปทะเลและน้องกจ็ ะไปด้วย
(2) ส่วนย่อยเปน็ ประโยคสามญั รวมกบั ประโยคซ้อนมีโครงสร้างประโยคดงั นี้
ประโยคสำมญั + บทเชื่อม + ประโยคซ้อน
เช่น ท่ศี าลาประชาคมมีนิทรรศการในวันเสาร์ ดังนน้ั เมื่อเขามีเวลาว่างเขามักพาลูกไป
ชมนิทรรศการ
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลกั ภำษำไทย
3. ประโยคซ้อนที่ซบั ซอ้ น หมายถึง ประโยคซ้อนที่มีประโยคหลักหรือประโยคย่อยซ้อนกัน
ประโยคซ้อนที่ซับซอ้ นแบ่งออกเปน็ 3 ชนิด ดงั นี้
3.1 ประโยคหลักหรือประโยคย่อยที่มีคาหรือกลุ่มคามาขยายมีโครงสร้างดงั นี้
ประโยคหลัก + คำเชือ่ ม + ประโยคย่อย + บทขยำยประโยคย่อย
เช่น ครูทุกคนชอบนกั เรียนทปี่ ระพฤติตนตามกฎระเบียบของโรงเรียน
3.2 ประโยคซ้อนทีม่ ีส่วนย่อยเป็นประโยครวม มีโครงสร้างดงั นี้
ประโยคหลัก + ประโยคยอ่ ย
เช่น ชาวประมงเหน็ เรือกาลังแล่นและเครื่องบินกาลังบิน
3.3 ประโยคซ้อนทีม่ ีส่วนย่อยเป็นประโยคซอ้ น มีโครงสร้างดงั นี้
ประโยคซ้อนท่ี 1 + ประโยคซ้อนท่ี 2
เช่น พอ่ แม่ทางานหนักเพอ่ื ให้ลูกมีอนาคตสดใสอันจะนาความปลาบปลืม้ มาสู่ครอบครวั
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
สรุปควำมรู้
1. ประโยค หมายถึง ข้อความ ถอ้ ยคา หรือ กลุ่มคา ทม่ี ีเนื้อหาสมบูรณ์ ที่ผู้พูดหรือผู้เขียน
ต้องการบอกเล่าเพือ่ ให้ผู้ฟงั หรือผอู้ ่านทราบว่า ใคร ทาอะไร ทไ่ี หน อย่างไ
2. ประโยคมี 4 ชนิด คอื
2.1 ประโยคสามญั เป็นประโยคทีม่ ีใจความสมบูรณ์ โดยไมม่ ีประโยคอน่ื ๆ แทรก
2.2 ประโยครวม เป็นประโยค 2 ประโยคที่นามารวมกันโดยใช้คาเช่ือมเช่ือม
ประโยคให้สัมพันธ์กัน มีท้ังประโยคที่อสดงความหมายคล้อยตามกัน ประโยคท่ีแสดง
ความหมายแตกต่างกัน ประโยคที่แสดงความหมายเป็นเหตุเป็นผลกัน และประโยค
ทีแ่ สดงความหมายให้เลือกอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง
2.3 ประโยคซ้อน เป็นประโยคที่มีประโยคหลักและประโยคย่อย มักมีคาเช่ือม
ให้สังเกต คือ “ที่ ซง่ึ อัน”
2.4 ประโยคซับซ้อน คือ ประโยคสามัญ ประโยครวม และประโยคซ้อนท่ีขยาย
ความให้ซบั ซอ้ นยิ่งขึ้น
2.4.1 ประโยคสามัญที่ซับซ้อน เป็นประโยคที่มีกลุ่มคาขยายประธาน หรือ
ภาคแสดงให้ซบั ซ้อนมากขึ้น
2.4.2 ประโยครวมที่ซับซ้อน เป็นประโยครวมที่มีส่วนย่อยเป็นประโยครวม
หรือประโยคย่อยเปน็ ประโยคซอ้ น
2.4.3 ประโยคซ้อนที่ซับซ้อน เป็นประโยคที่มีคาหรือกลุ่มคามาขยาย
ประโยคหลักหรือประโยคย่อย มีส่วนย่อยเป็นประโยครวมหรอื มีส่วนย่อยเป็นประโยคซ้อน
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
จงวิเครำะห์โครงสรำ้ งของประโยคต่อไปนี้ ลงในตำรำงวิเครำะหโ์ ครงสรำ้ ง
ของประโยคให้ถูกต้อง
1.1 ชาวมุสลิมขายข้าวมนั แกงไก่
1.2 กวยเตีย๋ วหางหมรู า้ นของปา้ สายใจขายดีมาก
1.3 ไอศกรีมไข่แข็งและไอศกรีมยิวเปน็ ของหวานดบั ร้อนยอดฮิต
เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลักภำษำไทย
1.4 ขนมพิมพ์ทาจากแป้งข้าวเจ้าแต่ขนมหัวล้านทาจากแป้งข้าวเหนียว
1.5 ข้าวสตูท่วี างอยตู่ รงน้ันคืออาหารเท่ยี งของพวกเรา
1.6 ผมกินเต้าควั่ ซง่ึ มีองคป์ ระกอบหลากหลาย
1.7 การจาหน่ายอาหารพ้ืนถิ่นของคนในชุมชนถนนสามสายช่วยสร้างรายได้ให้กับคน
ในชุมชนได้เป็นกอบเป็นกา
เที่ยวเมืองสงขลำรหู้ ลกั ภำษำไทย
สนกุ กบั ประโยคบริโภคของหรอย
1.8 คณุ ยายจะทานขนมบอกและข้าวยาด้วยหรือจะทานข้าวยาแต่ไม่ทานขนม
1.9 โมโนอยากกินขนมไขแ่ ต่พ่โี มนาอยากจะกินขนมดอกโดนและน้องโมจกิ อ็ ยากจะกินด้วย
1.10 นักท่องเท่ยี วเห็นแม่ค้ามสุ ลิมกาลังฟาดโรตีและอาแปะกาลงั นึ่งติ่มซา
เที่ยวเมืองสงขลำรูห้ ลักภำษำไทย
จงนำชื่ออำหำรมำแตง่ ประโยคสำมญั ประโยครวม ประโยคซ้อน
และประโยคซับซอ้ น
แบ่งกลุ่มศึกษำเพิ่มเติมเกี่ยวกบั กำรสรำ้ งคำในภำษำไทยประเภทตำ่ ง ๆ
พรอ้ มทงั้ นำเสนอหนำ้ ช้ันเรียน อย่ำงสรำ้ งสรรค์
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
“ คาภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย คือ คาภาษาต่างประเทศที่ไทยยืม
เข้ามาใช้ในภาษาไทย สาเหตุของการยืมคาจากภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้
ในภาษาไทยมีหลายสาเหตุ เช่น ความสัมพันธ์ทางการค้า อิทธิพลทางศาสนา
ความสัมพันธ์ทางการศึกษา เป็นต้น โดยคาภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทยน้ัน
พบว่าเป็นคาที่มาจากหลาย ๆ ชาติ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาบาลีและ
สันสกฤต ภาษาเขมร ภาษาชวา - มลายู เป็นต้น ซ่ึงลักษณะและความหมาย
ข อ ง ค า ภ า ษ า ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ข อ ง แ ต่ ล ะ ช า ติ ที่ น า เ ข้ า ม า ใ ช้ ใ น ภ า ษ า ไ ท ย ย่ อ ม
มีความเหมือนและแตกต่างกับคาในภาษาไทย ดังนั้น ผู้ใช้ภาษาต้องมีความรู้
ความเข้าใจ เรื่อง คาภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย เพ่ือให้สามารถเข้าใจ
ความหมาย จาแนก และใช้คาที่มาจากภาษาต่างประเทศประกอบการสื่อสารได้
อย่างถูกต้อง แม้ภาษาจะแตกต่างกันแต่คนที่ย่านเมืองเก่า สงขลาสามารถอยู่
”ร่วมกันได้อย่างมีความสขุ มาอยา่ งยาวนาน
หลังจำกตะลุยกินอำหำรในย่านถนนนางงามกันจนอิ่มหนาสาราญ ตามร้านที่ใคร
มาเยือนสงขลาก็ต้องแวะเช็กอินแล้ว ท้ังสามก็ไม่พลาดที่จะทาคอนเทนต์ถ่ายรูปกับ
สตรีทอาร์ตบนผนังกาแพง ตามสไตล์ กันอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่สุเหร่าหรือมัสยิดบ้านบน
ที่มีอาแบนุ่งผ้าโสร่งกับอาเดะกาลังไขกุญแจเข้าไปทาพิธีกรรมทางศาสนาด้านใน ผ่าน
ศาลเจ้าพอ่ หลกั เมอื ง เสียงประทดั ดังจนเจ๊ขายบะหมีด่ ้านหน้าเอามือปิดหู แต่เฮียที่อยู่ด้านใน
กาลังเสี่ยงเซียมซีอย่างตั้งใจ เด็กทั้งสามคนมองซ้ายมองขวาดูรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์
จนปลอดภัยแล้วจึงข้ามไปอีกฝ่ังของถนนหน้าวัดยางทอง เห็นโบสถ์ อุโบสถ ของวัด
ที่สวยงดงามมีเอกลักษณ์ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากเพียงแค่ถนนเส้นเดียวกลับ
สร้างประสบการณ์ มากมายให้กบั เดก็ น้อยท้ังสามคนท่นี อกเหนือไปจากการมีประวัติศาสตร์
หรือ ตานานทีม่ ีมาชา้ นานแล้ว มรดกทางวฒั นธรรมการอยรู่ วมกันกับคนต่างชาติต่างศาสนา
บนถนนเส้นเดียวกัน
กฤต : ดีจังเลยนะ แม้ว่าจะต่างเช้ือชาติ ต่างศาสนา คนที่นี่ก็อยู่ร่วมกันอย่าง
มีความสุข เหมือนเรา 3 คนเลยเนาะ ที่เหมือนผู้คนบนถนนสามสายจังหวัดสงขลา
ที่อยู่ท่ามกลางความหลายหลาย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถ่อยทีถ่อยอาศัยกัน เกิดเป็น
สามสัมพันธ์ผสมกันอย่างกลมกล่อมเหมือนรสชาติอาหารที่มีความหลากหลายอร่อย
ถูกปาก งดงามอย่างกลมกลืนเหมือนสิ่งปลูกสร้างที่ประกอบด้วยความคลาสสิคผสาน
กับความเป็นชิโนโปตุกีสอย่างลงตัว เลื่องลือไปทั่วถึงความกลมเกลียวของคนสงขลาต้ังแต่
อดีตที่รับรู้ได้จากประวัติความเป็นมาของคนสามสาย ที่ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นจนถึง
ปจั จบุ นั
เทีย่ วเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
คำภำษำตำ่ งประเทศที่ใช้ในภำษำไทย
สำเหตกุ ำรยืมคำจำกภำษำตำ่ งประเทศเข้ำมำใช้
ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย มี ก า ร ติ ด ต่ อ กั บ ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ม า น า น ท า ใ ห้ มี ก า ร ยื ม ค า
จากภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ ในประเทศไทยเป็นจานวนมาก การนาคาต่างประเทศ
ม า ใ ช้ จึ ง ท า ใ ห้ ภ า ษ า ไ ท ย ไ ท ย มี ค า ใ ช้ เ พ่ิ ม ม า ก ขึ้ น ซ่ึ ง ส า เ ห ตุ ข อ ง ก า ร ยื ม ค า
จากภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ในภาษาไทย มีสาเหตตุ ่าง ๆ ดงั นี้
1.1 ความสัมพนั ธ์ทางการคา้ การที่ไทยติดต่อค้าขายกบั ต่างประเทศทาให้มีการนา
ภาษาต่างประเทศของชาติทีม่ าคา้ ขายกบั ไทยเข้ามาใช้ในภาษาไทย
1.2 อิทธิพลทางศาสนา ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติ
คนไทยจึงจาเป็นต้องศึกษาภาษาบาลี เพ่ือให้สามารถอ่านตาราพระไตรปิฎกที่จารึก
ด้วยภาษาบาลีออก ด้วยปัจจัยดังกล่าวทาให้มีการยืมคาภาษาบาลีมาใช้ในภาษาไทย
เปน็ จานวนมาก
1.3 อิทธิพลทางวรรณคดี ประเทศไทยรบั วรรณคดีชาติอื่นเข้ามา จึงทาให้รับภาษา
ชองชาตินั้นเข้ามาด้วยผ่านการอ่านและศึกษาวรรณคดี เช่น ภาษาชวาในวรรณคดีเรื่อง
ดาหลังและอิเหนา
1.4 ความสัมพันธ์ทางภูมิศาสตร์ การที่ประเทศไทยมีอาณาเขตติดตกับประเทศ
เพ่อื นบ้านทีย่ อู่ใกล้ชิดกนั ย่อมทาให้เกิดการติดต่อสื่สารกัน เกิดการแลกเปลี่ยนภาษาและ
ใช้ภาษาร่วมกนั เช่น ภาษาเขมร ภาษามลายู
1.5 ความสัมพันธ์ทางการทูต การที่ไทยเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตกับชาติอื่น
ๆ ทาให้มีการยมื ภาษาของชาติน้ัน ๆ มาใช้ เชน่ ภาษาอังกฤต
1.6 ความสัมพันธ์ทางการศึกษา การที่คนไทยเดินทางไปศึกษายังต่างประเทศ
ทาให้มีโอกาสใช้และพูดภาษาของชาติอื่น ๆ จึงทาให้เกิดการนาภาษาของชาตินั้น ๆ มาใช้
ในภาษาไทย
เที่ยวเมืองสงขลำรูห้ ลักภำษำไทย
คำจำกภำษำตำ่ งประเทศเข้ำมำใช้ในภำษำไทย ภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันท่ัวโลก การที่ไทยติดต่อค้าขาย
กับอังกฤษจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ทาให้มีการยืมคาจากภาษาอังกฤษมาใช้อย่าง
แพร่หลายในการใช้ภาษาไทย ตลอดจนการใช้ภาษาอังกฤษในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์
ทาให้ภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในภาษาไทย
2.1.1 ลักษณะของคาภาษาองั กฤษในภาษาไทย
1) เปน็ คาทม่ี หี ลายพยางค์ เช่น ฟตุ บอล วอลเลยบ์ อล ดรัมเมเยอร์
2) เขียนรูปคาตรงตามเสียงในภาษาเดิม เช่น ลอนดอน กรมั โอโซน
3) เปลี่ยนคาและเสียงให้ผิดไปจากเดิม เชน่ อิงลิซ เปน็ อังกฤษ
4) ชนิดและหน้าทข่ี องคาเปลีย่ นไปจากเดิม คอื คาภาษาอังกฤตเดิมท่ีอยู่ใน
คานาม แต่ภาษาไทยใช้เป็นคากริยา เช่น คอร์รัปชัน ชอบปิง ได้เอ็ต ในรูปของกริยา
ท้ังที่ 3 คานเี้ ปน็ คานามในภาษาองั กฤษ
5) ปรับระบบเสียงภาษาอังกฤษตามระบบเสียงของภาษาไทย เช่น
เสียงพยัญชนะต้น /j/ เป็น (ch) (ช) พยัญชนะท้ายให้กับตัวสะกด แม่ กบ แม่ กล และ
แม่กด เชน่ แอปเปลิ (แอ๊บ – เป้นิ ) เทนนิส (เทน–นิด)
6) ใช้เครื่องหมายทัณฆาตหรือการันต์กากับพยัญชนะท้ายคา เพ่ือ
ไมต่ ้องการออกเสียง เช่น ไมล์ ไลน์ คาร์บอนไดออกไซต์
7) คาที่มาจากภาษาอังกฤษ ในภาษาไทยมักตัดพยางค์ให้สั้นลง เพ่ือ
นาไปใช้ในกรณีที่ไม่เป็นทางการ เช่น
กิโลกเมตร ใช้ว่า กิโล
ไมโครเวฟ ใช้ว่า เวฟ
มอเตอร์ไซค์ ใช้ว่า มอไซค์
8) มีการเพ่ิมเสียงพยัญชนะควบกล้า คือ ภาษาอังกฤษที่ใช้ในไทยจะมี
พยัญชนะควบกล้าเพ่มิ ขึ้น ได้แก่ “ทร บร บล ฟร ฟล ดร” เช่น ทราซิสเตอร์ เบรก บล็อก
ฟรตุ สลัด ไฟลท์ ดราฟต์ ซึ่งเสียง ควบกล้าดงั กล่าวไมม่ ใี นระบบเสียงในภาษาไทย
9) มีการเพ่ิมเสียงตัวสะกดหรือพยัญชนะท้าย คือ คาภาษาอังกฤษมีเสียง
ตวั สะกดเพิ่ม คือ “ฟ ล ซ ช ส ศ” ซง่ึ เปน็ เสียงเกิดใหม่ เชน่ ทัฟ อีเมล พซิ ซา โบนัส โฟกัส
เทีย่ วเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
ขอ้ แตกตำ่ งระหวำ่ งภำษำอังกฤษกับภำษำไทย ภาษาองั กฤษ
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
ข้อแตกต่ำงระหว่ำงภำษำองั กฤษกับภำษำไทย ภาษาองั กฤษ
ตัวอยำ่ งคำภำษำอังกฤษทีน่ ำมำใช้ในภำษำไทย
1. คาทเ่ี กี่ยวกบั การกีฬา เช่น เทนนิส ฟุตบอล แบตมนิ ตัน บาสเกตบอล
2. คาท่เี ก่ยี วกบั การดนตรี เช่น เปยี โน ไวโอลิน ทรมั เปต็ แซ็กโซโฟน
3. คาทเ่ี กีย่ วกับอาหาร เช่น สเตก็ สตู สลัด แซนดืวิช แฮมเบอร์เกอร์ ทูน่า โดนตั
4. คาท่เี กี่ยวกบั ผลไม้ เช่น แอปเปิล สตรอวเ์ บอร์รี พลัม ราสป์เบอร์รี
5. คาท่เี กี่ยวกับเครือ่ งดืม่ และขนม เช่น ไอศกรีม คกุ ก้ี เค้ก ไวน์ เบียร์
6. คาทเ่ี กี่ยวกับเครือ่ งใช้ เช่น เชิ้ต เนกไท โซฟา ชอล์ก
7. คาทเ่ี ก่ยี วกับวิชาการ เช่น อะตอม เรดาร์ พลาสติก วคั ซนี ออกซเิ จน
คำจำกภำษำต่ำงประเทศเข้ำมำใช้ในภำษำไทย ภาษาจีน
ไทยและจีนเปน็ ชาติทีม่ ีความสัมพนั ธ์เกีย่ วข้องกันมาเป็นเวลานานต้ังแต่อดีต
จนถึงปัจจุบัน คาภาษาจีนจึงเข้ามาปนอยู่ในภาษาไทยมากมายด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น
ความสัมพันธ์ทางด้านถิน่ ท่อี ยอู่ าศยั ความสมั พันธ์ทางด้านเช้ือชาติ ความสัมพันธ์ทางด้าน
การค้า เป็นต้น นอกจากนี้ภาษาจีนและภาษาไทยยังมีลักษณะคล้ายคลึงกันจึงทาให้คา
ภาษาจีนเข้ามาปนอยใู่ นภาษาไทยจนแยกไมอ่ อก
เทีย่ วเมืองสงขลำร้หู ลกั ภำษำไทย
คำจำกภำษำตำ่ งประเทศเข้ำมำใช้ในภำษำไทย ภาษาจีน
2.2.1 ลักษณะของคาภาษาจีนในภาษาไทย
1) คายืมภาษาจีนมกั มีเสียงวรรณยุกต์ตรีหรอื จตั วา เช่น เจ๊ กง ตี๋ อู่ อั๊ว
2) คายืมภาษาจีนมักมีพยัญชนะต้นเป็นอกั ษรกลาง ได้แก่ ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ เช่น
กวยเตยี๋ ว เจ๊ง เจี๋ยน เก๊กฮวย แปะก๊วย เอีย๊ ม กงเต๊ก บว๊ ย เก๊ียมอี๋
3) คาทีป่ ระสมสระเสียงสั้น เช่น / เอียะ / และ / อัวะ / ส่วนใหญ่เป็นคายืมภาษาจีน
เช่น เกีย๊ ะ เจี๊ยะ ยวั ะ
4) ภาษาไทยกับภาษาจีนมเี สียงวรรณยกุ ต์ที่กาหนดความหมาย ถ้าเสียงวรรณยุกต์
เปลี่ยนความหมายของคาก็เปลี่ยนด้วย เช่น ติ้นหงัน (คาจีน) แต่งงาน (คาไทย)
ป้อ (คาจีน) บ่ (คาไทย)
ขอ้ แตกต่ำงระหวำ่ งภำษำจีนกบั ภำษำไทย ภาษาจีน
ตวั อย่ำงคำภำษำจีนที่นำเข้ำมำใชใ้ นภำษำไทย
1. คาที่เกีย่ วกบั อาหารและขนม เช่น กวยเตีย๋ ว กวยจับ๊ เย็นตาโฟ เก้ียมอี้ บะหมี่ เฉาก๊วย
2. คาที่เกี่ยวกับเครือญาติ เช่น เจ๊ กง เตี่ย เฮีย
3. คาที่เกีย่ วกบั ผกั ผลไม้ เช่น เก้ียมไฉ่ ขึ้นฉา่ ย ตังโอ กยุ ชา่ ย เกก๊ ฮวย บ๊วย หนาเลีย้ บ
4. คาที่เกีย่ วกบั เครื่องใช้ เช่น เกะ๊ เข่ง โต๊ะ เกา้ อี้ ต๋ัว อั้งโล่
5. คาทีเ่ กีย่ วกับเครือ่ งแต่งกาย เช่น ขาก๊วย เก๊ยี ะ เอีย๊ ม
6. คาทีเ่ กี่ยวกับวัฒนธรรมจีน เช่น งวิ้ กงเต๊ก เซยี มซี
เทีย่ วเมืองสงขลำรูห้ ลกั ภำษำไทย
คำจำกภำษำตำ่ งประเทศเข้ำมำใชใ้ นภำษำไทย ภาษาบาลี สนั สกฤต
ภาษาบาลีและสันสกฤตเป็นภาษาในตระกูลอินโด-ยโู รเปียน รูปลักษณะภาษาเป็น
ภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย ภาษาบาลีและสันสกฤตแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยเนื่องจาก
การรับพระทุทธศาสนามาเป็นศาสนาประจาชาติ เนื่องจากคาสอนทางพระพุทธศาสนา
บนั ทึกด้วยภาษาบาลีและสนั สกฤต นอกจากการนบั ถือ พุทธศาสนาแล้ว ประเทศไทย
ยังได้รับความเช่ือ ขนมธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ เข้ามา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็น
เหตุให้ภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาปนในภาษาไทยอยา่ งแยบยล
2.3.1 ลกั ษณะของคาภาษาบาลีในภาษาไทย
1) คาที่มีพยัญชนะตัวสะกดและตวั ตาม
คาภาษาบาลีจะต้องมีตวั สะกด ตัวตามอยใู่ นวรรคเดียวกนั
พยัญชนะบาลี มี 33 ตัว แบง่ เปน็ วรรค ๆ ดงั นี้
1 2345
วรรค ก กข คฆง
วรรค จ จ ฉ ช ฌญ
วรรค ฏ ฏฐ ฑฒ ณ
วรรค ต ตถทธน
วรรค ป ปผพภม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อ
เทีย่ วเมืองสงขลำร้หู ลักภำษำไทย
คำจำกภำษำต่ำงประเทศเข้ำมำใช้ในภำษำไทย ภาษาบาลี สนั สกฤต
มีหลักการสงั เกต ดงั นี้
(1) พยัญชนะตวั ที่ 1 3 5 เปน็ ตัวสะกดได้เท่าน้ัน
(2) ถ้าพยัญชนะตัวที่ 1 สะกด พยัญชนะตัวที่ 1 หรือ 2 เป็นตัวตามได้ในวรรค
เดียวกนั เช่น สกั กะ ทกุ ข์ สจั จะ ปัจฉิม สัตตะ หัตถ์ บุปผา
(3) ถ้าพยัญชนะตัวที่ 3 เป้นตัวสะกด พยัญชนะตัวที่ 3 หรือ 4 เป็นตัวตามได้
ในวรรคเดียวกนั เช่น อคั คี พยคั ฆ์ วิชชา อชั ฌา พุทธ
(4) ถ้าพยัญชนะตัวที่ 5 เป็นตัวสะกด พยัญชนะทุกตัวในวรรคเดียวกันตามได้
รวมท้ังพยญั ชนะตัวที่ 5 ด้วย เช่น องค์ สังข์ สงฆ์ สัญญา สัมปทาน สมั ผัส สมั พนั ธ์
(5) เศษวรรค ตวั “ย ล ส” ตามหลังตัวเองได้ เช่น สมั ผสั ส อัยยิกา
(6) พยัญชนะบาลี ตัวสะกด ตัวตามจะอยู่ในวรรคเดียวกันเท่านั้นจะข้ามไป
วรรคอน่ื ไมไ่ ด้
2) คาที่มีพยญั ชนะ “ฬ” มักเป็นคายมื ภาษาบาลี เช่น จุฬา กฬี า วิฬาร์ กาฬ
3) คาที่มีตัวสะกดตัวตามในภาษาบาลีบางคา เมื่อนามาใช้ในภาษาไทยจะตัด
ตวั สะกดออกเหลือแต่ตวั ตาม เชน่
บำลี ไทย
รัฏฐ รัฐ
วฑั ฒน ทิฐิ
กิจจ กิจ
วิชชา วิชา
อฏั ฐิ อิฐิ
ปญุ ญ บุญ
นิสสิต นิสิต
นิสสัย นิสัย
ยกเว้นคาโบราณที่นามาใช้แล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงหรือตัดรูปคาออก เช่น
ศัพท์ศาสนา ได้แก่ วปิ สั สนา จิตตวิสทุ ธิ์
เที่ยวเมืองสงขลำรหู้ ลักภำษำไทย
คำจำกภำษำตำ่ งประเทศเขำ้ มำใช้ในภำษำไทย ภาษาบาลี สนั สกฤต
4) อกั ษรบางตัวไม่นิยมใช้ในภาษาไทย แต่พบมากในคาบาลีในภาษาไทย เช่น ฆ ฌ
ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เชน่ พยคั ฆ์ ฆราวาส ฌาน อชั ฌาสัย ปรากฏ รัฐ อฐั ิ วุฒิ ญาณ วิญญาณ
5) คาที่มี “ปฏิ” อยู่ข้างหน้ามักจะเป็นภาษาบาลี เช่น ปฏิบัติ ปฏิรูป ปฏิวัติ
ปฏิภาณ ยกเว้นบางคาที่ไม่ใช่ภาษาบาลีแต่เป็นการบัญญัติศัพท์ของผู้รู้ เช่น ปฏิคม
ปฏิชีวนะ ปฏิญาณ
ตัวอยา่ งคาภาษาบาลีทีน่ ามาใช้ในภาษาไทย
กีฬา กัญญา ขัตติยะ ขันธ์ บุคคล อวิชชา เมตตา บัลลังก์ กาฬ นิพพาน อักขระ
ญาณ วิญญาณ บญุ ดุริยางค ดิรจั ฉาน ตัณหา ปจั ฉิม มนต์ เวช สัจจะ สิกขา อคั คี ทฐิ ิ
2.3.2 ลกั ษณะของคาภาษาสนั สกฤตในภาษาไทย
1) พยญั ชนะสันสกฤตมี 35 ตวั เหมือนกับพยัญชนะบาลี แต่เพ่ิม “ศ ษ” อีก 2 ตัว
ฉะนั้นคาทีม่ ี “ศ ษ” ส่วนใหญท่ ี่นามาใช้ในไทยจึงเปน็ คายืมภาษาสันสกฤต
ยกเวน้ คาไทยบางคา เช่น ศอก ศึก เศิก เศร้า
คาภาษาสนั สกฤตในไทย เช่น ศาลา ศีรษะ ศาสตร์ ศูนย์ ศิลา บุษบา พษิ พรรษา
2) สระ ฤ ฤา ฦ ฦา ไอ เอา มีในภาษาสันสกฤต ไม่มีในภาษาบาลี เช่น พฤกษ์
ฤกษ์ ฤทธิ์ ทฤษฎี ฤาษี ไอศวรรย์ เสาร์
3) ภาษาสันสกฤตไม่มีหลักการสะกดทที่แน่นอนอย่างภาษาบาลี พยัญชนะใด
สะกดพยัญชนะใดจะเป็นตัวตามก็ได้ หรือไม่มีตัวตามก็ได้ หรือตัวสะกดตัวตามจะข้าม
วรรคกนั ก็ได้ เช่น อักษร ปรัชญา อัปสร เกษตร
4) คาที่มี “รร” อยู่ จะเป็นคาที่มาจากภาษาสันสกฤต เช่น สวรรค์ ธรรม กรรม
บรรพต ภรรยา ทรรศนะ สรรพ บรรณารักษ์ ยกเว้นคาไทยที่ยืมมาจากภาษาเขมร เช่น
บรรทัด บรรทุก กรรไกร กรรแสง สรรเสริญ หรือคาไทย กรรเชียง (กระเชียง) กรรโชก
(กระโชก) บรรดา (ประดา)
5) คาที่มีตัว ร ควบกับพยัญชนะอื่น และใช้เป้นตัวสะกด เป็นคาที่มาจากภาษา
สันสกฤต เชน่ จกั ร มารค อคั ร บุตร ศาสตร์ จันทร์
6) คาที่มีพยัญชนะ “ฑ” มักเป็นคาภาษาสันสกฤต เช่น ครุฑ กรีฑา จุฑา ยกเว้น
คาว่า บณั ฑิต มณฑล มณฑป จัณฑาล เปน็ ได้ทั้งภาษาบาลีและภาษาสนั สกฤต
เทีย่ วเมืองสงขลำร้หู ลกั ภำษำไทย
ขอ้ แตกต่ำงระหวำ่ งคำภำษำบำลี/สันสกฤตกบั ภำษำไทย ภาษภาาบษาาลอี ังสกันฤสษกฤต
วิธใี ช้คาบาลีคาสนั สกฤตในภาษาไทย
1) ไทยใช้คาบาลีคาสนั สกฤตในความหมายเหมอื นกนั เช่น
บำลี สันสกฤต ไทย
อคั คี อัคนี ไฟ
บุปผา บุษบา ดอกไม้
อักขร อักษร ตวั หนงั สือ
2) ไทยใช้คาบาลีคาสันสกฤตในความหมายต่างกนั เช่น
บำลี สนั สกฤต
รัฐ (ประเทศ) ราษฎร์ (ประชาชนในประเทศ)
ปัญญา (ความรอบรู้) ปรชั ญา (วิชาแห่งความรู้)
อัจฉริยะ (ฉลาดเลิศ) อัศจรรย์ (แปลกประหลาด)
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
คำจำกภำษำต่ำงประเทศเข้ำมำใชใ้ นภำษำไทย ภาษาเขมร
เขมรเป็นชาติที่มีความสัมพันธ์กับไทยมาช้านานทั้งทางด้านการถ่ายทอด
วัฒนธรรมและอารยธรรม ซึ่งกนั และกัน เขมรและไทยมีอาณาเขตติดต่อกันทาให้ภาษา
เขมรเข้ามาปนกับภาษาไทยอย่างแยกไม่ออก ในอดีตคนไทยเรียกภาษาเขมรว่า
“ภาษาขอม” ซึ่งถือกันว่าเป็นภาษาที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะใช้บันทึกเรื่องราวศาสนาลงแผ่นหิน
ใบลาน หรือแมก้ ระทัง่ ศิลาจารึกต่าง ๆ ในประเทศไทยพบว่าใช้ภาษาขอมในการบนั ทกึ
ลักษณะของภำษำเขมรในภำษำไทย
1) คาภาษาเขมรมกั ใช้พยัญชนะ จ ร ล ญ เปน็ ตวั สะกด
ตวั อยา่ ง
จ สะกด เชน่ เผดจ็ เสดจ็ สมเด็จ กาจ อาจ อานาจ สาเร็จ สารวจ ตารวจ
ร สะกด เชน่ ควร จาร บังอร ขจร
ล สะกด เชน่ ดล ถกล บนั ดาล ทูล กงั วล ถวิล
ญ สะกด เชน่ เพญ็ เจริญ เชญิ อญั เชญิ ชาญ ชานาญ ผลาญ
2) คายืมภาษาเขมรจะมีพยัญชนะต้น 2 ตัวเรียงกันในลักษณะของคาควบกล้า เมื่อออก
เสียงไทยอ่านพยัญชนะสองตัวเรียงกันโดยมีสระอะที่พยางค์แรก ทาให้คาเดิมพยางค์
เดียวกลายเป็นสองพยางค์ แต่จะไมป่ รากฏรูปสระให้เห็นในการเขียน และบางคาไทยอ่าน
ออกเสียงแบบอกั ษรนา
ตวั อยา่ ง
อ่านออกเสียงแบบอักษรนา เช่น โตนด จมูก ไถง (ตะวัน) โขนง ขจี เขนย ขยา
เฉพาะ ผกา สดับ ขนุน ถนน
3) คาที่มาจากภาษาเขมรแล้วนามาใช้ในภาษาไทยจะเป็นคา 2 พยางค์ พยางค์ต้นจะ
ขึ้นต้นด้วย “บัง บัน บา บรร ประ” เช่น บังอร บังเกิด บังควร บังอาจ บังคับ บังคม
บันดาล บันเทิง บันทึก บรรทม บรรทุก บรรทัด บรรจุ บรรจบ บาเพ็ญ บาบัด บารุง
บาเรอ ประกาย ประสาน
เทีย่ วเมืองสงขลำร้หู ลกั ภำษำไทย
คำจำกภำษำตำ่ งประเทศเขำ้ มำใชใ้ นภำษำไทย ภาษาเขมร
4) คาทม่ี าจากภาษาเขมรพยางคแ์ รกมกั ขึน้ ต้นด้วยสระอา เช่น กา คา ชา ดา ตา ทา สา
ตัวอยา่ ง
กา เชน่ กาเนิด กาหนด
คา เช่น คานนั (เฝ้าเจ้านาย)
ชา เช่น ชารดุ ชานาญ ชานิ
ดา เชน่ ดาริ ดาเนิน
ทา เช่น ทานบ ทาเนียบ
สา เชน่ สาเร็จ สาราญ สาคัญ
5) คาเขมรไทยนามาใข้เป็นคาราชาศัพท์จานวนมาก เช่น เสด็จ ถวาย ตรัส เสวย สรง
ขนง โปรด บรรทม
6) คาเขมรท่แี ผลงเปน็ คาไทย
ตัวอยา่ ง ข แผลงเปน็ กระ เช่น
ขดาน แผลงเปน็ กระดาน
ขจอก แผลงเปน็ กระจอก
ขจัด แผลงเป็น กระจัด
ขจาย แผลงเป็น กระจาย
ผ แผลงเป็น ประ เช่น
ผสม แผลงเปน็ ประสม
ผสาน แผลงเปน็ ประสาน
ผกาย แผลงเป็น ประกาย
ประ แผลงเป็น บรร เช่น
ประทม แผลงเปน็ บรรทม
ประทกุ แผลงเปน็ บรรทุก
ประจง แผลงเปน็ บรรจง
7) คาเขมรในไทยบางคาเป็นคาโดดมีใช้ในภาษาไทยจนคิดว่าเป็นคาไทย เช่น แข (ดวง
จันทร์) มาน (มี) อวย (ให้) บาย (ข้าว) เลิก (ยก) ตกั (วาง,ใส่)
เที่ยวเมืองสงขลำรหู้ ลกั ภำษำไทย
ตัวอยำ่ งคำภำษำเขมรทีน่ ำมำใช้ในภำษำไทย
1. ไทยใช้ในคาราชาศัพท์โดยการรับคาราชาศัพท์เขมรมาใช้เป้นคาราชาศัพท์ไทยด้วย
การรับรูปแบบการใช้ราชาศัพท์มาจากเขมร เช่น บรรทม เสด็จ เสวย สรง ถวาย ทูล ตรัส
หรือนาคาว่า“ทรง พระ ทรงพระ” นาหน้าคาธรรมดาภาษาเขมร เช่น ทรงพระดาเนิน
ทรงทราบ พระดาริ พระดารัส ทรงพระเจริญ ทรงพระสาราญ
2. ไทยใช้ภาษาเขมรในวรรณคดี เช่น ผกา (ดอกไม้) ขจร (ฟุ้งไป) เชวง (รุ่งเรือง)
ทรวง (อก,ใจ) พนม (ภูเขา) เพ็ญ (เตม็ ) ไพร (ป่า) ไถง (ตะวนั ) เสนง (สตั ว์)
3. ไทยใช้ภาษาเขมรในคาท่ัว ๆ ไป เช่น ประชุม ขนุน ชนะ โดย ติ ทลาย เพลิง ผลัด กราบ
บวช บรรทดั แถลง ราพึง เสบยี ง ขลัง กาลัง ครบ ฉลาด
คำจำกภำษำต่ำงประเทศเข้ำมำใช้ในภำษำไทย ภาษาชวา – มลายู
ภาษาชวา – มลายู ปัจจุบันเรียกว่า ภาษาอินโดนีเซีย – ภาษามาเลเซีย ซ่ึงเป็น
ภาษาของประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อและมีความสัมพันธ์ใกล้ชัดกับประเทศไทย
มาช้านาน ภาษาชวา-มลายู เข้ามาในภาษาไทยได้นั้นเพราะการติดต่อสื่อสาร
ในชีวิตประจาวันของคนไทยโดยเฉพาะใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกท้ังการได้รับ
อิทธิพลจากวรร ณคดีเรื่อ งเด่นที่พระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัย
ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ คือ อิเหนาซึ่งนับเป็นวรรณคดีที่ทาให้คนไทยยอมรับภาษาชวา –
มลายู
ลกั ษณะของคำภำษำชวำ – มลำยู ในภำษำไทย
1) คายืมภาษาชวา – มลายู ส่วนใหญ่เป้นคา 2 พยางค์ คาพยางคืเดียวมีน้อยมาก
เช่น ทุเรียน น้อยหน่า ทงั คดุ สาคู โลมา
2) ภาษาชวา – มลายู ไม่มีเสียงควบกล้า เช่น กะปะ (งู) กะพง (หอย) กเุ ลา (ปลา)
3) ภาษาชวา –มลายู ไม่ใช้เสียงวรรณยุกต์ แม้ระดับเสียงของคาเปลี่ยนไป
แต่ความหมายของคายังคงเหมือนเดิม เช่น กระดังงา กดุ งั สลัก กระจดู
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
คำจำกภำษำต่ำงประเทศเข้ำมำใช้ในภำษำไทย ภภาาษษาาบชาวลาี ส–นั มสลกาฤยตู
ตวั อยำ่ งคำภำษำชวำ – มลำยู ทีน่ ำมำใชใ้ นภำษำไทย
1. คาท่ใี ช้ในวรรณคดี เช่น ตนุ าหงัน สะตาหมัน กระยาหงัน บาหยัน ระเด่น อสัญแดหวา
อิเหนา กดิ าหยัน
2. คาท่ใี ช้เปน็ ช่ือพืช เช่น มงั คุด ทุเรียน ปาหนัน บุหงา บุหงนั
3. คาทใ่ี ช้เป็นชื่อสัตว์ เช่น บหุ รง (นกยูง) โลมา กระตั้ว โนรี
4. คาท่ใี ช้เป็นชือ่ สิ่งของ เช่น ปนั้ เหน่ง กระชัง
5. คาทใ่ี ช้ในศิลปวฒั นธรรม เช่น รองเง็ง องั กะลุง ตนุ าหงนั บหุ งาราไป ย่เี ก
6. คาท่ใี ช้เกี่ยวกบั สถานท่ี เช่น เบตง ภเู กต็ มัสยดิ
เทีย่ วเมืองสงขลำร้หู ลักภำษำไทย
จงหำคำภำษำตำ่ งประเทศในภำษำไทยในเรอ่ื ง เรียงร้อย "สำมสมั พนั ธ"์
และจำแนกจดั กล่มุ ใหถ้ ูกต้อง
จงนำคำภำษำต่ำงประเทศที่ใช้ในภำษำไทย มำแต่งเรื่องอยำ่ งสร้ำงสรรค์
พูดสรปุ สิ่งทีไ่ ดร้ ับจำกกำรชมวีดีโอเรือ่ ง เรียงรอ้ ย "สำมสมั พันธ"์
และแนวทำงในกำรนำไปประยุกตใ์ ช้ในกำรดำเนินชีวิต
เที่ยวเมืองสงขลำรู้หลกั ภำษำไทย
บรรณานกุ รม