The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ฎีกา-หักค่าจ้าง-จ่ายค่าจ้าง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ฎีกา-หักค่าจ้าง-จ่ายค่าจ้าง

ฎีกา-หักค่าจ้าง-จ่ายค่าจ้าง

เชิดศก ั ดิ์ กำ ปั น่ทอง นิติกรช ำนำญกำรพิเศษ ค ำพิพำกษำ เกี่ยวกับ คดีแรงงำน รวบรวมถึงปีล่ำสุด พ.ศ. 2564


คำนำ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าข้อพิพาทด้านแรงงานจะมีคดีขึ้นสู่ศาลจำนวนมาก เนื่ องจากความสัมพั นธ์ระห ว่างน ายจ้างและลูกจ้างย่อมก่อให้ เกิด ข้อพิ พ าท ได้เสมอ หากทั้งสองฝ่ายไม่ปฏิบัติต่อกันให้ถูกต้องตามข้อสัญญาและข้อกฎหมาย อีกฝ่ายจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ผลของการพิจารณาคดีของศาล ย่อมมีผู้แพ้และชนะคดี และคำพิพากษาของศาลหลายคดี ได้วางแนวทางในการตีความและเรียบเรียงถ้อยคำ ให้เกิดความกระจ่างชัดและสละสลวย การศึกษาคำพิพากษาจึงเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านทรัพยากรบุคคลและผู้สนใจกฎหมายแรงงานที่จะนำไปใช้ประโยชน์ ในการทำงานได้อย่างกว้างขวาง หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้รวบรวมคำพิพากษาที่น่าสนใจตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ย้อนหลังไป จำนวน ๘๗ เรื่อง ในประเด็นเกี่ยวกับการหักค่าจ้างและการจ่ายค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ และมาตรา ๗๐ โดยสรุปย่อ ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ผู้เขียนจึงมุ่งหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้ทำงานด้านทรัพยากรบุคคล และผู้ที่สนใจศึกษากฎหมายแรงงาน สะดวก ประหยัดเวลา และเข้าใจกฎหมายมากขึ้น เชิดศักดิ์ กำปั่นทอง มีนาคม ๒๕๖๕


๘๗ เรื่อง สารบัญบอกชื่อเรื่องย่อ @ ๑๕๘ ๑๕


สารบัญเรื่องย่อ รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๕/๒๕๖๓ เรื่อง ค่าฝึกอบรม / หักค่าจ้าง : แม้นายจ้างจะมีสิทธิเรียกร้องให้ลูกจ้างชำระค่าใช้จ่าย ในการฝึกอบรมได้ตามกฎหมายก็ตาม แต่นายจ้างจะหักเอาจากค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อชำระเงินดังกล่าวมิได้ เพราะไม่เข้าข้อยกเว้นในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ (๑) – (๕) แม้มีข้อตกลง หรือได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก็ใช้บังคับไม่ได้ นายจ้างจึงต้องคืนค่าจ้างที่หักไป ๑ ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๓๕๗/๒๕๖๓ (คุ้มครองชั่วคราว) เรื่อง นายจ้างหักค่าจ้างลูกจ้างชำระหนี้สหกรณ์ในฐานะผู้ค้ำประกันแทนผู้กู้ที่ไม่ชำระหนี้ จนลูกจ้างเหลือเงิน ๐ บาท ไม่เหลือเงินค่าจ้างเพื่อยังชีพเลย ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้นายจ้างหยุดหักเงินเดือนค่าจ้างในฐานะผู้ค้ำประกันแทนผู้กู้เป็นเงินไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดได้ ๒ ๓. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๓๗๘/๒๕๖๓ เรื่อง ลูกจ้างทำงานได้ ๓ วัน ขอเบิกเงินล่วงหน้าเนื่องจากไม่มีเงินไปทำงาน นายจ้างปฏิเสธ ลูกจ้างไม่มาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ลา เป็นการละทิ้งหน้าที่การงานไปเสีย และเป็นการทำอันไม่ เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า , ลูกจ้างรายเดือนเมื่อไม่มีข้อตกลงหรือระเบียบข้อบังคับในการหักค่าจ้างในวันที่ไม่มาทำงานหรือขาดงาน ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันขาดงาน ๓ ๔. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๓๘๑/๒๕๖๓ เรื่อง ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดให้อำนาจศาลแรงงานที่จะกำหนดให้จำเลยต้องเสียดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี คิดทบต้นทุก ๗ วัน การที่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ค้างจ่าย พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี คิดดอกเบี้ยทบต้นทุก ๗ วัน จนกว่าจะชำระเสร็จ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ๔ ๕. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๔๙๗/๒๕๖๓ เรื่อง ลูกจ้างสมัครใจและยินยอมให้นายจ้างหักเงินค่าสินค้าที่เสียหายออกจากค่าน้ำมันรถของ โจทก์ในแต่ละเดือน จึงเป็นกรณีที่ลูกจ้างให้ความยินยอมและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ได้ตกลงกัน ตามเงื่อนไขดังกล่าว นายจ้างจึงมีสิทธินำค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในความรับผิดชอบของลูกจ้างไปหัก ออกจากค่าสึกหรอที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับได้ กรณีมิใช่เป็นการนำค่าจ้างไปหักเพื่อชำระหนี้ จึงไม่ขัดต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ ๕


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๖. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๕๕๗/๒๕๖๓ เรื่อง หากนายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างขาดไปถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เกือบกึ่งหนึ่งของ ค่าจ้างต่อเดือน ก็ไม่น่าเชื่อว่าลูกจ้างจะนิ่งเฉยยอมให้นายจ้างเอารัดเอาเปรียบได้นานถึงเพียงนี้ อันผิดวิสัยของ บุคคลทั่วไป คำเบิกความจึงมีพิรุธน่าสงสัย จึงรับฟังได้ว่าตกลงจ้างกันเพียงเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บ าท ไม่ใช่ ๓๕,๐๐๐ ตามที่ลูกจ้างกล่าวอ้าง , นายจ้างมีลูกจ้าง ๒๑ คน จึงต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมาย โดยจัดทำเอกสารการรับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ฯลฯ แต่ไม่ได้จัดทำ จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อนายจ้างไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาแสดงยืนยันว่าจ่ายค่าจ้างครบถ้วนแล้ว ลำพังคำเบิกความลอย ๆไม่ อาจรับฟังได้ จึงฟังได้ว่านายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างจริง ๖ ๗. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๕๗๔/๒๕๖๓ เรื่อง ข้อยกเว้นในการให้ความยินยอมเป็นหนังสือของลูกจ้างให้นายจ้างหักค่าจ้างมากกว่า ร้อยละ ๑๐ อันเป็นข้อตกลงในทำนองสละสิทธิ ซึ่งต้องตีความโดยเคร่งครัด ข้อตกลงต้องมีความชัดแจ้งว่า ลูกจ้างรู้และเข้าใจถึงสิทธิตนในการที่จะถูกหักค่าจ้างมากกว่าจำนวนที่กฎหมายคุ้มครอง หากไม่รู้และเข้าใจใน การตกลงแล้ว นายจ้างอาจหักเงินเดือนค่าจ้างของลูกจ้างจนหมดสิ้น ไม่มีเงินเหลือเพื่อการดำรงชีพสำหรับ ลูกจ้างแม้สักเล็กน้อย จนลูกจ้างอาจไร้ซึ่งค่าจ้างที่จะนำไปจัดหาปัจจัยสี่ อันเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับมนุษย์ ทุกคนมาดำรงชีพจนทำให้ลูกจ้างขาดพละกำลังในการทำงาน อันจะไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน ๘ ๘. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๒๕๙/๒๕๖๒ (หักค่าจ้าง) เรื่อง การที่นายจ้างหักค่าจ้างลูกจ้างฝากสหกรณ์ออมทรัพย์แทนการนำเงินสดมาวางประกัน และมีข้อตกลงว่าลูกจ้างยินยอมให้หักเงินจำนวนดังกล่าวชดใช้ความเสียหายให้แก่นายจ้างได้ทันทีเป็นการขัด ต่อประกาศกระทรวงแรงงานฯ นายจ้างจึงต้องคืนเงินประกันให้แก่ลูกจ้าง , ลูกจ้างเป็นหนี้เงินกู้สหกรณ์ออม ทรัพย์และนายจ้างหักเงินนำส่งชำระหนี้ให้สหกรณ์ฯ เป็นไปตามหนังสือสัญญากู้สามัญที่ระบุว่าลูกจ้างยินยอม ให้จำเลยหักเงินได้รายเดือน ถือเป็นกรณีที่ลูกจ้างมีข้อตกลงพิเศษเป็นการเฉพาะที่ให้นายจ้างมีสิทธิหักเงิน ค่าจ้างส่งให้แก่สหกรณ์ฯ ได้ ตามมาตรา ๗๖ (๓) และมาตรา ๗๗ ๙ ๙. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๕๑/๒๕๖๒ เรื่อง ลูกจ้างมีหนี้เงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ โดยสัญญากู้สามัญระบุยินยอมให้นายจ้าง หักค่าจ้างส่งสหกรณ์ฯ ถือว่าเป็นกรณีที่มีข้อตกลงพิเศษเป็นการเฉพาะให้นายจ้างมีสิทธิหักเงินได้ตาม มาตรา ๗๖(๓) และมาตรา ๗๗ แต่การที่นายจ้างหักค่าจ้างเป็นเงินประกันการทำงานโดยฝากเข้าบัญชีเงินฝากออม ทรัพย์สหกรณ์ และระบุว่าลูกจ้างยินยอมชดใช้ความเสียหายให้แก่นายจ้างได้ทันทีขัดต่อประกาศกระทรวง แรงงานฯ นายจ้างต้องคืนเงินเงินประกันให้แก่ลูกจ้าง ๑๐


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๑๐. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๘๒๐/๒๕๖๒ (คดีฟ้องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม) เรื่อง เมื่อลูกจ้างมิได้ทำงานให้แก่นายจ้างเนื่องจากถูกเลิกจ้างเสียก่อนเริ่มต้นทำงาน ลูกจ้างจึง ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันนั้น , ลูกจ้างมีผลการปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามเป้าทั้งปี ระดับผลการปฏิบัติงานต้อง ปรับปรุง บกพร่องในเรื่องการอนุมัติการขายสินค้า ผลการสำรวจภาวะผู้นำ ประเมินศักยภาพทักษะการ ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มได้คะแนนต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานการเลิกจ้างจึงมีเหตุผล อันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑๒ ๑๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๔๓๕/๒๕๖๒ เรื่อง ลูกจ้างสแกนลายนิ้วมือเข้าทำงานแล้วแต่ไม่อยู่ทำงานให้นายจ้างจบครบ ๘ ชั่วโมง แต่กลับพาพนักงานไปทำงานให้กับนายจ้างอื่นและได้รับค่าจ้างมาแบ่งปันกัน โดยนายจ้างได้จ่ายค่าจ้าง ให้ด้วยรวมจำนวน ๒๖๓,๕๗๗.๕๐ บาท เมื่อลูกจ้างมิได้ทำงานให้นายจ้างเต็มเวลาการทำงานลูกจ้าง จึงต้องคืนค่าจ้างในส่วนที่ไม่ได้ทำงานให้แก่นายจ้างจำนวน ๒๖๓,๕๗๗.๕๐ บาท ตามหลักสัญญาต่างตอบแทน ๑๓ ๑๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่ ๒๓๔๑/๒๕๖๑ เรื่อง นายจ้างเรียกหลักประกันจากลูกจ้างโดยให้นำที่ดิน (น.ส.๓) มาจดทะเบียนจำนองถึงแม้ว่า จะจัดทำขึ้นก่อนที่ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันฯ ก็ตาม แต่มิใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายให้กระทำได้ เมื่อประกาศนี้มีผลใช้บังคับแล้ว นายจ้างไม่ดำเนินการเปลี่ยน หลักประกันให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด การนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ นายจ้างจึงต้องคืนทรัพย์สินที่นำมาเป็น หลักประกันฯ , เงินสะสมที่หักจากเงินเดือนทุกเดือน เป็นเงินของลูกจ้าง เมื่อนายจ้างเลิกจ้าง จึงต้องคืนเงิน สะสมให้แก่ลูกจ้าง นายจ้างไม่สามารถอ้างการใช้สิทธิยึดหน่วงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๑ ได้ ๑๔ ๑๓. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๔๐๗/๒๕๖๑ เรื่อง นายจ้างหักเงินค่าจ้างลูกจ้างโดยเรียกเป็น “เงินสะสม” แต่ได้ความว่านายจ้างไม่ได้ก่อตั้ง กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างขึ้นมา เงินดังกล่าวจึงไม่เงินสะสมตามความหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ดังนั้น การหักค่าจ้างจึงไม่ใช่การหักเพื่อการหนึ่งการใดตามมาตรา ๗๖ (๑) – (๕) เมื่อลูกจ้างออกจากงาน นายจ้างจึงต้องคืนเงินที่หักไว้พร้อมดอกเบี้ย ๑๕ ๑๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๔๐๙/๒๕๖๑ (รัฐวิสาหกิจ) เรื่อง การที่นายจ้างมีคำสั่งลงโทษลูกจ้างเนื่องจากทำผิดระเบียบด้วยการตัดเงินเดือน ร้อยละ ๑๐ นั้น การลงโทษมิใช่เป็นการหักค่าจ้าง แต่เป็นกรณีการลงโทษตามวินัยการทำงานซึ่งได้กำหนดไว้ ชัดเจนแล้วตามข้อบังคับของนายจ้าง ๑๖


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๑๕. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๔๗๑๓ – ๔๗๒๔/๒๕๖๑ (มาตรา ๑๑/๑) เรื่อง แม้นายจ้างจะมีระเบียบข้อบังคับกำหนดว่า การขาดงานและการละทิ้งหน้าที่การงาน ลูกจ้างจะไม่ได้รับค่าจ้างในวันที่ขาดงานหรือวันที่ละทิ้งหน้าที่ก็ตาม นายจ้างจะใช้ข้อบังคับดังกล่าวมาเป็นเหตุ แห่งการหักค่าจ้างไม่ได้ ข้อบังคับฯ ในส่วนที่ไม่จ่ายค่าจ้างแก่พนักงานรายเดือนในส่วนนี้ขัดต่อ มาตรา ๗๖ ไม่สามารถใช้บังคับได้, ขณะเกิดเหตุผู้ประกอบกิจการไม่มีพนักงานขับรถบรรทุกที่ทำงาน ในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างเหมาค่าแรง ลูกจ้างเหมาค่าแรงจึงไม่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง ๑๗ ๑๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๑๗/๒๕๖๑ เรื่อง นายจ้างลดค่าจ้าง และปรับเปลี่ยนตำแหน่งลูกจ้างมาโดยตลอดหลายปี โดยลูกจ้างมิได้ โต้แย้งคัดค้านหรือไปร้องพนักงานตรวจแรงงาน ส่วนรถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ นายจ้างไม่ได้จัดหา ให้ตั้งแต่ลูกจ้างเข้าทำงาน โดยลูกจ้างใช้รถยนต์โจทก์เองตลอดเวลากว่า ๑๐ ปี พฤติการณ์ถือได้ว่านายจ้าง และลูกจ้างต่างตกลงกันโดยปริยายเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการจ้างแล้ว ๑๙ ๑๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๐๒๕ – ๔๐๒๖/๒๕๖๑ เรื่อง ลูกจ้างรายเดือน นายจ้างกำหนดเงื่อนไขว่า ในเดือนนั้นต้องปล่อยสินเชื่อจำนวนรถยนต์ ได้ ๑๐ คัน หรือวงเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท จึงจะได้รับค่าตอบแทน อันเป็นการขัดแย้งกับหน้าที่ ที่นายจ้างจะต้องปฏิบัติ และขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะ ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้าง ๒๑ ๑๘. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๕๗๑๓/๒๕๖๑ (คดีเกี่ยวกับพนักงานตรวจแรงงาน) เรื่อง ลูกจ้างขาดงานวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔ – ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ นายจ้างเลิกจ้างเพราะขาด งานและเคยตักเตือนแล้วจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ า แต่วัน ที่ ๑ พฤษภาคม เป็นวันหยุดตามประเพณี วันที่ ๒ เป็นวันหยุดชดเชยวันแรงงาน วันที่ ๓ พฤษภาคม เป็นวันทำงาน ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้าง ๓ วัน ๒๒ ๑๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๙๑/๒๕๖๐ เรื่อง บริษัทแม่โอนลูกจ้างมาทำงานกับนายจ้างในประเทศไทย มีข้อตกลงชัดเจนตกลง นับอายุงานต่อเนื่อง เมื่อนายจ้างเลิกจ้างจึงต้องนับอายุงานต่อเนื่องจากบริษัทแม่ด้วย เมื่อลูกจ้างได้รับค่าจ้าง ๒ ส่วน คือ ที่ประเทศไทย ๒๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ อีกส่วน ๔,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ โอนจากต่างประเทศเข้า บัญชีธนาคารประเทศสก็อตแลนด์ เมื่อเลิกจ้างจึงต้องนำค่าจ้างทั้งสองส่วนมาคำนวณค่าชดเชย สินจ้างแทน การบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๓


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๒๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๐๕๖/๒๕๖๐ (คดีฟ้องเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัด) เรื่อง หักค่าจ้าง : การที่นายจ้างใช้วิธีทดรองออกค่าใช้จ่ายในการเข้ามาทำงานในประเทศไทย ให้แก่ลูกจ้างสัญชาติพม่าและให้ทำสัญญากู้ยืมเงินแล้วหักค่าจ้างชำระคืนก็ดี หรือหักค่าจ้างให้แก่บริษัทจัดหา งานก็ดี ล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่นายจ้างในการที่จะได้มีบุคลากรเข้ามาทำงานตามความจำเป็นแก่กิจการของ ตนเอง มิใช่เป็นการหักค่าจ้างตามมาตรา ๗๖ (๓) และไม่เข้าข้อยกเว้นให้หักค่าจ้างได้ในข้ออื่นของมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ๒๔ ๒๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๔๙๓/๒๕๖๐ เรื่อง เงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด ไม่เป็นค่าจ้าง นายจ้างจึงเสียดอกเบี้ยเพียง ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี , นายจ้างเลิกจ้างก่อนครบกำหนดในสัญญาจ้าง สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลง ความสัมพันธ์ ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างย่อมไม่มี เมื่อลูกจ้างมิได้ทำงานให้นายจ้างอีก นายจ้างจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง ให้แก่ลูกจ้าง การที่ศาลพิพากษาให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างไปจนครบระยะเวลา ที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง จึงไม่ถูกต้อง ๒๕ ๒๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๐๐/๒๕๖๐ เรื่อง นายจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างในวันสุดท้ายของเดือน อันเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ ตามวันแห่งปฏิทิน ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ลูกหนี้ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดทันที โดยมิพักต้องเตือนก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๔ วรรคสอง เมื่อนายจ้าง ค้างชำระค่าจ้างหลายเดือน จึงต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวน นับถัดจากวันสุดท้ายของแต่ละเดือนซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไป ๒๖ ๒๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๘๘๑/๒๕๕๙ เรื่อง ลูกจ้างมาทำงานสาย นายจ้างเตือน ๒ ครั้งแล้ว ยังฝ่าฝืน ถือว่ากระทำผิดซ้ำคำเตือนเลิก จ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เมื่อลูกจ้างเป็นลูกจ้างรายเดือน ทำงานถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔แล้วถูก เลิกจ้าง แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานสัปดาห์ละ ๔๐ ชั่วโมง นายจ้างจะจ่ายเฉพาะชั่วโมงที่ทำงานไม่ได้ แต่มี หน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ๑๘ วัน ซึ่งรวมวันหยุดประจำสัปดาห์ด้วย ๒๗ ๒๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๙๖/๒๕๕๙ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน) เรื่อง นายจ้างจะนำเอายอดเงินของค่า CFI และค่า LAPSE ส่วนที่นายจ้างคำนวณจากยอดขาย ประกันชีวิตที่ได้มีการยกเลิกมาหักกับค่าจ้างของลูกจ้างที่ค้างจ่ายแก่ลูกจ้างไม่ได้ขัดต่อมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ๒๙


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๒๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๘๘๑/๒๕๕๙ เรื่อง ลูกจ้างมาทำงานสาย นายจ้างเตือน ๒ ครั้งแล้ว ยังฝ่าฝืน ถือว่ากระทำผิดซ้ำคำเตือน เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เมื่อลูกจ้างเป็นลูกจ้างรายเดือน ทำงานถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ แล้วถูกเลิกจ้าง แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานสัปดาห์ละ ๔๐ ชั่วโมง นายจ้างจะจ่ายเฉพาะชั่วโมง ที่ทำงานไม่ได้ แต่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ๑๘ วัน ซึ่งรวมวันหยุดประจำสัปดาห์ด้วย ๓๐ ๒๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๙๒/๒๕๕๙ เรื่อง ลูกจ้างประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชายักยอกเงินไป โดย ลูกจ้างทำหนังสือรับสภาพหนี้ชดใช้เงิน ยินยอมหักค่าจ้างกับเงินหรือผลประโยชน์หลังพ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง นายจ้างจึงมีสิทธิหักค่าจ้างและเงินบำเหน็จจากลูกจ้างได้ ๓๑ ๒๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๒๓๗ – ๑๐๒๔๐/๒๕๕๙ เรื่อง ในระหว่างปิดงาน ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง ๓๑ ๒๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๒๑/๒๕๕๘ เรื่อง แม้ลูกจ้างจะทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อนายจ้างไว้ก็ตาม แต่ลูกจ้างไม่มีส่วนร่วมรับผิดชอบ ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ลูกจ้างก็ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่นายจ้าง ๓๓ ๒๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๘๗๓/๒๕๕๘ เรื่อง แม้จะเป็นการเตือนด้วยจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาแล้วระบุว่าหาก ลูกจ้างไม่ปรับปรุง นายจ้างจะใช้มาตรการทางวินัยที่จำเป็น ถือว่ามีลักษณะเป็นหนังสือเตือนที่ชอบด้วย กฎหมายแล้ว , ลูกจ้างมีอาการป่วยจริง แม้ไม่มีใบรับรองแพทย์ก็ตาม นายจ้างก็ไม่มีสิทธิหักค่าจ้าง ในวันลาป่วยได้ ๓๓ ๓๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๓๘๔/๒๕๕๘ เรื่อง คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน : ค่าที่พัก ค่าน้ำ...และค่าใบอนุญาตทำงาน คนต่างด้าวไม่ใช่หนี้อื่นตามมาตรา ๗๖(๑) และไม่ใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว ตามมาตรา ๗๖(๓) นายจ้างจึงไม่สามารถหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ฯ ของลูกจ้างได้, สิทธิเรียกร้องค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาฯ มีอายุความ ๒ ปี ๓๔ ๓๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๖๒๔/๒๕๕๘ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน) เรื่อง การปรับลูกจ้างจากรายวันเป็นรายเดือนมีผลเพียงทำให้ลูกจ้างมีสิทธิต่างๆ เพิ่มขึ้นจาก การเป็นลูกจ้างรายวัน ไม่มีข้อตกลงใดให้เข้าใจได้ว่าการปรับดังกล่าวจะต้องมีการขึ้นค่าจ้างแก่ ลูกจ้างด้วย การที่นายจ้างใช้เกณฑ์นำค่าจ้างรายวันคูณด้วย ๒๖ เพิ่มอีกร้อยละ ๕ บวกด้วย ๑๘๐ บาทโดย ลูกจ้างได้รับเงินค่าจ้างรวมไม่ต่ำกว่าเดิม เป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้ว ๓๕


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๓๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๐๒๘/๒๕๕๘ เรื่อง ลูกจ้างลาไปเลือกตั้ง ส.ส. แต่นายจ้างไม่ยอมให้ลา หากลาต้องถูกหักค่าแรง ๓ แรง แต่ลูกจ้างยืนยันจะไปเลือกตั้ง นายจ้างเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม , แม้นายจ้างจะมีข้อตกลงจัด อาหารให้แก่ลูกจ้างแทนการจ่ายเงินค่าล่วงเวลาก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวก็ขัดต่อกฎหมาย ไม่อาจใช้บังคับได้ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าล่วงเวลาที่ขาดแก่ลูกจ้าง ๓๖ ๓๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๐๑๖/๒๕๕๘ เรื่อง หนี้ค่าใช้จ่ายที่นายจ้างออกไปเพื่อจัดทำใบอนุญาตทำงานนั้นก็ไม่ใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อ สวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว และข้อตกลงในสัญญายินยอมให้หักค่าจ้างขัดแย้งกับ มาตรา ๗๖ ไม่มีผลบังคับได้ , แต่ในส่วนของค่าที่พักและค่าอาหาร เมื่อนายจ้างโอนเงินค่าจ้างเข้าบัญชีธนาคารลูกจ้าง แต่ละคนแล้ว ธนาคารจะหักค่าจ้างเป็นค่าที่พักและค่าอาหารตามที่ลูกจ้างทำหนังสือยินยอม โดยนายจ้างไม่มี ส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดที่พักและอาหาร จึงไม่ใช่เป็นกรณีนายจ้างหักค่าจ้างตามมาตรา ๗๖ ๓๗ ๓๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๐๔๗/๒๕๕๘ เรื่อง ข้อตกลงพิเศษเป็นการเฉพาะในลักษณะที่นายจ้างเป็นตัวแทนลูกจ้างเป็นผู้นำค่าจ้าง ลูกจ้างไปชำระค่าเช่ารถยนต์แทนลูกจ้างนั้นมิใช่การหักค่าจ้างตามมาตรา ๗๖ และมิใช่การหักค่าจ้าง เพื่อชำระหนี้ที่เป็นสวัสดิการตามความในมาตรา ๗๖ (๓) ๓๘ ๓๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๔๐๓/๒๕๕๘ เรื่อง การที่นายจ้างไม่มอบหมายงานหรือสั่งงานให้ลูกจ้างทำทั้งที่ลูกจ้างมีความพร้อมที่จะ ทำงาน นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง , นายจ้างเลิกจ้างต้องจ่ายค่าจ้างภายใน ๓ วัน นับแต่วันเลิก จ้าง , สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ใช่ค่าจ้าง ผิดนัดเมื่อทวงถาม ๓๙ ๓๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๓๗/๒๕๕๗ เรื่อง นายจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างร้อยละ ๕๐ ร้อยละ ๖๐ และ ๗๐ ของค่าจ้างในระหว่างทดลอง งาน ข้อตกลงใช้บังคับได้ ไม่ถือเป็นการหักค่าจ้าง ๓๙ ๓๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๗๒๐/๒๕๕๗ เรื่อง ข้อตกลงให้หักเงินจำนวน ๗๓,๕๐๐ บาท ซึ่งเท่ากับเงิน ๒๑๐,๐๐๐ เยน ที่ลูกจ้าง ทำหายไป โดยลูกจ้างลงชื่อรับเช็ค และมีบันทึกสละสิทธิเรียกร้องเงินใด ๆ หลังจากลูกจ้างทราบ การเลิกจ้างแล้ว มีผลใช้บังคับได้ การที่ลูกจ้างนำคดีมาฟ้องอีกจึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ลูกจ้างไม่มี อำนาจฟ้อง ๔๐


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๓๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๕๐๒/๒๕๕๗ เรื่อง ลาพักผ่อนประจำปีแล้วนายจ้างยังไม่ได้อนุมัติ แต่ลูกจ้างหยุดงานไป ๒ วันครึ่ง ถือว่าเป็น การละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันควร ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในช่วงที่ละทิ้งหน้าที่ แต่การละทิ้งหน้าที่เพียง ๒ วันครึ่ง ไม่เข้าข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ๔๐ ๓๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๗๙๘/๒๕๕๗ เรื่อง นายจ้างมีสิทธินำเงินที่ลูกจ้างยักยอกมาหักกลบลบหนี้กับเงินโบนัสและเงินช่วยเหลือ ที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ มาตรา ๓๔๑ ๔๑ ๔๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๕๔๑ – ๑๔๕๕๑/๒๕๕๗ เรื่อง นายจ้างมีกฎระเบียบข้อบังคับฯ กำหนดว่า ขาดงานหัก ๒ เท่า ย่อมไม่ชอบด้วยมาตรา ๗๖ และนายจ้างได้หักค่าจ้าง ๑๐ บาท เป็นเวลา ๒๑ เดือน เป็นค่าธรรมเนียมแก่ธนาคาร ในการโอนเงินเข้าบัญชีลูกจ้างแต่ละคน ไม่ใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการอันเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง ฝ่ายเดียวตามมาตรา ๗๖ (๓) นายจ้างหักค่าจ้างของลูกจ้างไว้ จึงไม่ชอบ ต้องคืนค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ ๑๕ ต่อปีให้กับลูกจ้าง ๔๑ ๔๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๖๐๔ – ๑๗๖๐๕/๒๕๕๗ (รัฐวิสาหกิจ) เรื่อง ขณะที่ลูกจ้างดำรงตำแหน่งนักบริหาร ๗ ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งเป็นนักบริหาร ๘ ลูกจ้างยังมี สิทธิเบิกค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุด แม้ต่อมานายจ้างจะแต่งตั้งให้เป็นนักบริหารระดับ ๘ โดยให้มีผลย้อนหลังก็ย่อมไม่กระทบสิทธิในการเบิกค่าล่วงเวลาฯ ซึ่งลูกจ้างมีอยู่ก่อน และไม่อาจมีผลในทาง เป็นคุณแก่ลูกจ้างได้ นายจ้างจึงไม่มีสิทธิหักเงินดังกล่าวจากค่าจ้างของลูกจ้าง ๔๔ ๔๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๖๓/๒๕๕๖ เรื่อง นายจ้างเลิกจ้างระหว่างที่ศาลแรงงานสั่งให้รับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิ ได้รับค่าจ้างนับแต่วันเลิกจ้างนั้น ๔๕ ๔๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๔๓/๒๕๕๗ เรื่อง ข้อตกลงจ่ายเงินเดือนแก่ลูกจ้างตลอดชีวิต แม้ลูกจ้างจะปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เพราะเหตุ เกี่ยวกับสุขภาพพลานามัย ใช้บังคับได้ ๔๕ ๔๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๕๙/๒๕๕๖ เรื่อง ลูกจ้างมาทำงานสาย นายจ้างหักเงินรางวัลในเดือนดังกล่าว มิใช่เป็นการหักค่าจ้าง จึงไม่ใช่การลงโทษ จึงขออนุญาตศาลลงโทษตักเตือนเป็นหนังสือกรรมการลูกจ้างได้ ๔๖


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๔๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๑๕๑/๒๕๕๖ เรื่อง สัญญาจ้างเป็นสัญญาต่างตอบแทน ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าจ้างเมื่อทำงานให้แก่ นายจ้าง เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ทำงานตอบแทนแก่นายจ้างในฐานะลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิ ได้รับค่าจ้าง ๔๖ ๔๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๐๙๕/๒๕๕๖ เรื่อง ลูกจ้างมาทำงานสายบ่อยๆ นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และตาม ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดว่าบริษัทจะไม่จ่ายค่าจ้างกรณีลูกจ้างขาดงานหรือถือว่าขาดงาน เมื่อลูกจ้างขาดงาน จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันที่ขาดงานดังกล่าว ๔๗ ๔๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๒๕๘/๒๕๕๖ เรื่อง ลูกจ้างสมัครเข้าโครงการทางเลือกใหม่ (Early Retirement) โดยยอมรับว่า หากมีภาระผูกพันและมีหนี้สินค้างชำระอยู่กับนายจ้างต้องรับผิดชอบชดใช้ นายจ้างจึงนำหนี้กู้ยืมเงินมาหัก จากเงินตอบแทนพิเศษและค่าชดเชย ๔๗ ๔๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๔๙๑/๒๕๕๖ เรื่อง การที่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ให้ความยินยอมล่วงหน้า ยอมให้นายจ้างหักเงินค่าจ้าง หากลูกจ้างที่กู้ยืมเงินสหกรณ์ไม่ชำระหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ นายจ้าง ย่อมสามารถหักค่าจ้างของลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันได้ตามมาตรา ๗๖(๓) ๔๘ ๔๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๗๑๗/๒๕๕๖ เรื่อง “ค่านายหน้า” แม้จะระบุว่าค่านายหน้าจะได้รับหลังลูกค้าชำระค่าสินค้าแล้วภายในวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดไป ระหว่างปฏิบัติงานก็ตาม แต่เมื่อไม่มีข้อความตอนใดที่จำกัดสิทธิของพนักงานขายว่า ลาออกแล้วจะไม่ได้รับค่านายหน้าที่ขายได้ในระหว่างยังปฏิบัติงาน จึงไม่อาจแปลความว่าค่าสินค้า ต้องได้รับชำระระหว่างที่ยังมีสภาพเป็นลูกจ้างอยู่ ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่านายหน้า ๔๙ ๕๐. คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๑๓๔/๒๕๕๕ เรื่อง หนี้ค่าตรวจสุขภาพ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานคนต่างด้าว ค่าที่พักอาศัย ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าอาหาร ฯลฯ ไม่ใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว ตามมาตรา ๗๖ (๓) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ๕๐ ๕๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๗๒๓/๒๕๕๕ เรื่อง ลาออกไม่ถูกต้องตามระเบียบแต่นายจ้างอนุมัติ นายจ้างจะนำมาอ้างเพื่อจะไม่จ่าย ค่าคอมมิชชั่นไม่ได้ ๕๐


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๕๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๐๓๖/๒๕๕๕ เรื่อง ลงโทษตัดค่าจ้าง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายตามประกาศ คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง ๕๑ ๕๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๖๘๐๒/๒๕๕๕ เรื่อง ลูกจ้างทำหนังสือรับสภาพหนี้กับนายจ้างไว้ซึ่งหนี้นั้นมากกว่าค่าจ้าง นายจ้างจึงมีสิทธินำ ค่าจ้างที่จะต้องชำระแก่ลูกจ้างมาหักกับหนี้ดังกล่าวได้ ๕๑ ๕๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๖๒/๒๕๕๒ เรื่อง เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างแล้วนิติสัมพันธ์ย่อมสิ้นสุดลงนับแต่นั้น การที่ลูกจ้าง มาทำงานหลังจากนั้น จึงเป็นการกระทำไปเองตามอำเภอใจ ไม่ก่อให้เกิดหนี้ค่าจ้าง ๕๒ ๕๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๕/๒๕๕๑ (มาตรา ๗๖) เรื่อง กรรมการผู้มีอำนาจเป็นลูกจ้าง : หักเงินค่าจ้างเพื่อชำระภาษีเงินได้ เมื่อโจทก์จ่าย ค่าภาษีเงินได้ส่วนที่มิได้หักไว้และนำเงินส่งหรือได้หักและนำเงินส่งแล้วแต่ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้องแทนจำเลย ไปเพื่อปลดเปลื้องความรับผิดของโจทก์ที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยด้วยเช่นนี้แล้ว โจทก์จึงย่อมมีสิทธิเรียก ค่าภาษีเงินได้ที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยจากจำเลยได้ ๕๒ ๕๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๕๐-๑๓๕๑/๒๕๕๑ เรื่อง การปรับลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือน มีผลเพียงทำให้ลูกจ้างนั้นมีสิทธิต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตามที่ ลูกจ้างรายเดือนพึงมีสิทธิได้รับ ไม่มีผลเป็นการตกลงขึ้นค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างรายวันที่ปรับเป็นลูกจ้าง รายเดือนด้วย ดังนั้น การปรับลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือนโดยนำ ๒๖ คูณด้วยค่าจ้างรายวัน แทนที่จะใช้ ๓๐ เป็นตัวคูณ ย่อมมิใช่เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงและข้อกฎหมาย ๕๔ ๕๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๓๙/๒๕๕๐ (หักค่าจ้าง) เรื่อง นายจ้างเรียกเก็บเงินประกันของลูกจ้างโดยหักจากค่าจ้าง ลูกจ้างทำงานตำแหน่ง ช่างซ่อมบำรุง จึงไม่ใช่ลักษณะงานที่จะเรียกเก็บเงินประกันได้ เป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๐ และมาตรา ๗๖ นายจ้างย่อมไม่อาจอ้างระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเพื่อปฏิเสธที่จะคืนเงินค่าจ้างของลูกจ้างซึ่งหักไว้ ได้ หากลูกจ้างกระทำให้นายจ้างเสียหายในระหว่างที่เป็นลูกจ้าง ก็ชอบที่จะดำเนินคดีฟ้องร้องลูกจ้างให้ชดใช้ ค่าเสียหายได้เมื่อนายจ้างเลิกจ้างจึงต้องคืนค่าจ้างที่หักไว้ภายใน ๓ วัน ๕๕ ๕๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๓๙๗/๒๕๕๐ (มาตรา ๗๐) เรื่อง เลิกจ้าง นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างภายใน ๓ วัน ๕๖


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๕๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๙๕๓/๒๕๕๐ (มาตรา ๗๖) เรื่อง การห้ามหักเงินค่าจ้าง ใช้บังคับเฉพาะในกรณีที่คู่สัญญายังคงมีสภาพเป็นนายจ้าง ลูกจ้างกันเท่านั้น ๕๖ ๖๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๒๓๙ - ๘๒๔๔/๒๕๕๐ เรื่อง อายุความเรียกร้องค่าทำงานในวันหยุดมีกำหนด ๒ ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๘) (๙) การเรียกร้องค่าทำงานนั้น แม้ลูกจ้างยังคงทำงานอยู่กับนายจ้าง แต่หากนายจ้างไม่จ่ายให้ถูกต้องและตามกำหนดเวลา ลูกจ้างก็ฟ้องเรียกร้องสิทธิดังกล่าวได้ มิใช่สิทธิเรียกร้อง เมื่อถูกเลิกจ้าง ๕๘ ๖๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๕๘/๒๕๔๘ (มาตรา ๗๖) เรื่อง คำว่า “หนี้อื่น ๆ” นั้นย่อมหมายถึงหนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งเกิดจากกฎหมายกำหนด หรือบัญญัติไว้ แต่กรณีนี้สามีลูกจ้างเป็นผู้ทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง จึงมิใช่หนี้อื่น ๆ ตามนัย แห่งมาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง (๑) นายจ้างจึงต้องคืนเงินค่าจ้างให้ลูกจ้าง แม้ลูกจ้างจะทำหนังสือยินยอมให้ นายจ้างหักค่าจ้างชดใช้ค่าเสียหายที่สามีลูกจ้างกระทำละเมิดไว้แก่นายจ้าง นายจ้างก็ไม่อาจหักค่าจ้างของ ลูกจ้างได้ ๕๘ ๖๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙/๒๕๔๕ เรื่อง สิทธิในการเลิกจ้างของนายจ้างในกรณีที่ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงาน ติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรจะเกิดขึ้นเมื่อลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่ล่วงพ้นในวันที่ ๓ ไปแล้ว และนายจ้าง ย่อมไม่อาจให้การเลิกจ้างมีผลย้อนหลังนับแต่วันที่ลูกจ้างเริ่มละทิ้งหน้าที่ ๖๐ ๖๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๔๑๗/๒๕๔๕ (มาตรา ๗๐) เรื่อง นายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ลูกจ้างเรียกดอกเบี้ยในเงินดังกล่าว ได้นับแต่วันที่ครบ ๓ วัน นับแต่วันเลิกจ้าง ๖๐ ๖๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๘๓๑/๒๕๔๓ (มาตรา ๗๐) เรื่อง โจทก์เป็นลูกจ้างรายวัน มีสิทธิได้รับค่าจ้างเฉพาะวันที่มาทำงาน แม้ว่าสัญญาจ้าง แรงงานระหว่างจำเลยกับโจทก์ยังไม่สิ้นสุดลง แต่นับแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๔๒ โจทก์มิได้ทำงานให้แก่ จำเลย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ ๖๐ ๖๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๖๖/๒๕๔๓ เรื่อง นายจ้างได้บอกเลิกสัญญาจ้างแก่ลูกจ้างเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๒ โดยให้ลูกจ้างหยุด ทำงานตั้งแต่วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๒ เป็นต้นไป ฉะนั้นนายจ้างจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเพียง วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๒ เท่านั้น ไม่จำต้องจ่ายค่าจ้างหลังจากนั้นอีกเพราะสัญญาแรงงาน สิ้นสุดลงและ ลูกจ้างพ้นจากฐานะการเป็นลูกจ้างและไม่ได้ทำงานให้แก่นายจ้างแล้ว ๖๐


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๖๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๗๒๑/๒๕๔๑ เรื่อง ลูกจ้างขอลาออกล่วงหน้า นายจ้างไม่อนุญาตแต่กลับสั่งพักงาน ในระหว่างที่ลูกจ้าง ถูกพักงาน นายจ้างยังมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง นายจ้างจะอ้างว่าลูกจ้างไม่ได้ทำงานจึงไม่ต้องจ่าย ค่าตอบแทนการทำงานแก่ลูกจ้างหาได้ไม่ เพราะลูกจ้างไม่ได้ขอพักงานเอง ๖๑ ๖๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๗๗๙/๒๕๔๑ (มาตรา ๗๖) เรื่อง การที่นายจ้างกับลูกจ้างทำข้อตกลงให้นำค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีมาชำระหนี้เงินกู้สวัสดิการเมื่อลูกจ้างพ้นจากสภาพการเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับได้ไม่ตกเป็นโมฆะ ๖๑ ๖๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๗๘๑/๒๕๔๑ (มาตรา ๗๖) เรื่อง โจทก์เป็นลูกจ้างรายเดือนของจำเลยย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างเป็นเดือน เมื่อไม่มีข้อตกลง หรือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้สิทธิแก่จำเลย ผู้เป็นนายจ้างมีสิทธิหักค่าจ้างในวันที่โจทก์ซึ่งเป็น ลูกจ้างไม่มาทำงาน หรือขาดงานโดยโจทก์ไม่ตกลงยินยอมด้วยได้ ดังนั้น แม้โจทก์ขาดงานและทำงานไม่ครบ เวลาในเดือนมีนาคมและเมษายน ๒๕๔๐ ก็ตาม ก็มิใช่กรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕ และ ๔๒๑ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิหักค่าจ้างในวันที่โจทก์ขาดงานโดยมิชอบนั้นได้ ๖๒ ๖๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๙๒/๒๕๔๐ (มาตรา ๗๐) เรื่อง ในระหว่างวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๘ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๘ อันเป็นช่วงเวลา ที่โจทก์ละทิ้งหน้าที่โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุอันสมควรอย่างไร ทั้งไม่ได้ทำงานให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทนโจทก์ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในช่วงเวลานั้น ๖๓ ๗๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๘๒ - ๘๐๐/๒๕๓๙ เรื่อง นายจ้างย้ายลูกจ้างให้ไปทำงานที่สาขา ลูกจ้างไม่ไปทำงานตามคำสั่งของนายจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันที่ไม่ได้ทำงาน เนื่องจากข้อบังคับการทำงานกำหนดว่านายจ้างจะจ่ายค่าจ้าง แก่ลูกจ้างเฉพาะวันที่ลูกจ้างทำงานเท่านั้น ๖๓ ๗๑. คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๒๙๗/๒๕๓๙ เรื่อง การที่ลูกจ้างลาไปร่วมประชุมในฐานะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์เกี่ยวกับกรณีลูกจ้าง บริษัทอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับสหภาพแรงงานที่ตนสังกัดอยู่ เป็นการดำเนินการเป็นส่วนตัวหาใช่เป็นการร่วมประชุม ตามที่ทางราชการกำหนดไม่จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิลาไปร่วมประชุมตามนัยมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อลูกจ้างเป็นลูกจ้างรายวันและไม่ได้ทำงานในวันดังกล่าวจึงไม่มีสิทธิได้รับ ค่าจ้างสำหรับวันลาทั้ง ๘ วันนั้น ๖๔


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๗๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๕๗/๒๕๓๑ (ค่าไฟฟ้า) เรื่อง การที่โจทก์มีสิทธิเข้าพักอาศัยอยู่ในบ้านของบริษัทจำเลยนั้น ก็เพราะโจทก์เป็นลูกจ้าง จำเลย แม้โจทก์จะเสียเงินค่าเช่าเดือนละ ๓๐๐ บาท และค่าไฟฟ้าก็เป็นจำนวนน้อยมาก สิทธิของโจทก์ ดังกล่าวเป็นผลโดยตรงจากความผูกพันในฐานะลูกจ้างและนายจ้างระหว่างโจทก์จำเลย หนี้ดังกล่าว จึงถือได้ว่าเป็นหนี้อันเกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้าง หาใช่หนี้อื่นตามความหมายของประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๓๐ ไม่ จำเลยมีสิทธิหักค่าเช่าบ้านและค่าไฟฟ้า จากเงินเดือนของโจทก์ได้ ๖๔ ๗๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๗๗๑/๒๕๓๐ เรื่อง ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันขาดงาน นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ จึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันเลิกจ้าง ส่วนวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ แม้เป็นวันหยุด ลูกจ้างก็ยังคงเป็นลูกจ้างอยู่จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันดังกล่าว ๖๕ ๗๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๒๗๔/๒๕๓๐ เรื่อง การที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างปิดงานโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ อันเป็นมาตรการที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างมีสิทธิที่จะกระทำได้เพื่อบีบบังคับให้โจทก์ผู้เป็นลูกจ้าง จำต้องยอมตามข้อเรียกร้องของจำเลย โดยจำเลยไม่ยอมให้โจทก์ทำงานชั่วคราวจึงเป็นการปิดงานตาม พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕ วรรค ๖ ดังนั้น ในระหว่างปิดงานดังกล่าว การทำงาน ได้ยุติลงชั่วคราว จึงไม่มีวันทำงาน ไม่มีวันลาและไม่มีวันหยุดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๑๕ หมวด ๑ ว่าด้วยการใช้แรงงานทั่วไป และการจ้างแรงงานระหว่าง โจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยผู้เป็นนายจ้างจึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันทำงานตามปกติ รวมถึงค่าจ้างในวันหยุดให้แก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างในระหว่างหยุดงานนั้น ๖๖ ๗๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๗๗-๑๒๗๘/๒๕๒๙ (มาตรา ๗๐) เรื่อง การที่นายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากโรงงานถูกเพลิงไหม้จนไม่สามารถประกอบ กิจการต่อไปได้ แต่เมื่อนายจ้างมิได้เลิกจ้างการจ้างงานจึงยังไม่ระงับ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับช่วง ระยะเวลาที่นายจ้างหยุดกิจการ ๖๖ ๗๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๒/๒๕๒๗ เรื่อง ข้อบังคับของนายจ้าง เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและเป็นส่วนหนึ่ง ของสัญญาจ้าง ไม่มีข้อตกลงเรื่องตัดค่าจ้างกรณีลูกจ้างขาดงาน มีแต่กำหนดว่าถ้าลูกจ้างละทิ้งงาน ติดต่อกัน ๓ วัน ให้พ้นจากการเป็นลูกจ้าง การที่นายจ้างกำหนดมาตรการลงโทษลูกจ้างที่ละทิ้งหน้าที่ การงานติดต่อกัน ๓ วัน เป็นตัดค่าจ้าง จึงเป็นการกำหนดมาตรการลงโทษขึ้นใหม่ จึงไม่ชอบ ๖๗


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๗๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๔๓/๒๕๒๗ เรื่อง นายจ้างมีระดับการลงโทษไว้ ๔ กรณี คือ ตักเตือน ตัดค่าจ้าง ลดค่าจ้าง หรือให้ออกจาก งาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ลูกจ้างกระทำผิดฐานขาดงาน นายจ้างลงโทษโดยตัดค่าจ้าง ถือได้ว่าความผิดดังกล่าว ได้หมดไปโดยการลงโทษตัดค่าจ้างแล้ว ลูกจ้างมิได้กระทำผิดขึ้นใหม่ นายจ้างจะนำความผิดที่ได้ลงโทษไปแล้ว มาเป็นเหตุเลิกจ้างอีกไม่ได้ ๖๗ ๗๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๒๒ - ๑๔๒๓/๒๕๒๗ เรื่อง ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งกฎหมายกำหนดให้ นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง เมื่อนายจ้างไม่ชำระ ถือว่าผิดนัดนับแต่วันเลิกจ้าง ๖๗ ๗๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๕๓/๒๕๒๗ เรื่อง ค่าทำงานในวันหยุด หมายถึง ลูกจ้างมีสิทธิหยุดงานแต่นายจ้างมาใช้ให้ทำงานใน วันหยุดดังกล่าว นายจ้างต้องจ่ายเงินมากขึ้นกว่าค่าจ้างปกติ ส่วนคำว่า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี หมายถึง ลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนระจำปีแล้ว ลูกจ้างมาทำงานในวันหยุดดังกล่าว แม้นายจ้างจะมิได้ใช้ ลูกจ้างก็มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี โดยไม่จำต้องแสดงความจำนงขอหยุดพักผ่อน ประจำปีไว้ ๖๘ ๘๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๐๑/๒๕๒๗ เรื่อง นายจ้างจำเป็นต้องหยุดงานเพราะขาดวัตถุดิบป้อนโรงงาน จึงตกลงกับลูกจ้างว่า ในระหว่างหยุดงานจะจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างต่ำกว่าค่าจ้างที่ลูกจ้างเคยได้รับ และต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ตามกฎหมาย ดังนี้ลูกจ้างจะเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างตามที่เคยได้รับหรือตามค่าจ้างขั้นต่ำ ตามกฎหมายหาได้ไม่ ๖๘ ๘๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๗๙/๒๕๒๖ เรื่อง โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย สัญ ญ าจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญ ญ า ต่างตอบแทนโดยโจทก์ต้องทำงานให้แก่จำเลยและจำเลยต้องชำระสินจ้างให้แก่โจทก์ แม้จำเลยอาจ ไม่มอบงานหรือสั่งให้โจทก์ทำงานจำเลยก็ต้องจ่ายสินจ้างให้ตลอดเวลาที่จ้างกันจนกว่าจะมีการเลิก สัญญาจ้าง การที่จำเลยหยุดกิจการเพื่อซ่อมแซมโรงงาน ที่ถูกเพลิงไหม้มิได้เป็นเหตุขัดขวางอย่างใด ที่จะทำให้ถึงแก่จำเลยจ่ายสินจ้างไม่ได้ เพราะยังไม่พ้นวิสัยที่จำเลยจะชำระหนี้จ่ายสินจ้างให้โจทก์ ๖๘ ๘๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๕๒/๒๕๒๖ เรื่อง นายจ้างกับลูกจ้างจะตกลงกันว่าจะไม่จ่ายค่าจ้างหรือจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่ตกลงในช่วง ที่ไม่มีงานทำสามารถทำได้ ๖๘


รายการ (หักค่าจ้าง - ไม่จ่ายค่าจ้าง) หน้า ๘๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๙๑๖ - ๒๙๑๘/๒๕๒๖ เรื่อง เมื่อนายจ้างผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างหลายงวด ลูกจ้างย่อมมีสิทธิที่จะพร้อมใจกันหยุด งานได้กรณีหาใช่เป็นการนัดหยุดงานเกี่ยวกับข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้อันจะต้องดำเนินการ ตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ไม่ และกรณีดังกล่าวก็มิใช่เป็นการที่ลูกจ้างจงใจทำให้นายจ้าง ได้รับความเสียหาย นายจ้างจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากลูกจ้าง ๖๘ ๘๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๘/๒๕๒๕ เรื่อง การที่น้ำท่วมบริเวณโรงงานแต่มิได้ท่วมตัวโรงงานจนนายจ้างต้องปิดโรงงาน ประกอบกับ ลูกจ้างพร้อมที่จะทำงานให้แก่นายจ้างนั้นพฤติการณ์ดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นเหตุขัดขวางในการที่นายจ้างจะจ่าย ค่าจ้างแก่ลูกจ้างและกรณีไม่ถือว่าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น ภายหลังที่ได้ก่อหนี้ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ นายจ้างยังไม่หลุดพ้นจากการชำระค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ๖๙ ๘๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๕๐/๒๕๒๕ เรื่อง ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องมอบหมายงานให้ลูกจ้างทำ และเมื่อไม่ปรากฏว่าสัญญาจ้างได้กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่เช่นนั้น ดังนั้น การที่นายจ้างจะมอบหมายงานให้ ลูกจ้างทำหรือไม่จึงเป็นสิทธิของนายจ้าง เมื่อนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างแล้วก็ถือไม่ได้ว่ามีข้อโต้แย้ง เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของลูกจ้าง ลูกจ้างหามีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้นายจ้างมอบหมายงานให้ ลูกจ้างทำไม่ ๖๙ ๘๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๔๖ -๓๕๔๗/๒๕๒๔ (หนี้อื่น) เรื่อง คำว่า 'หนี้อื่น' ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐นั้น หมายถึงหนี้อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้าง หนี้ที่โจทก์ ทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลยเนื่องจากการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างจึงมิใช่หนี้อื่นซึ่งนายจ้าง จะนำมาหักจากค่าจ้างมิได้ ๗๐ ๘๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๖๖/๒๕๑๖ (มาตรา ๗๖) เรื่อง ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐ ซึ่งออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ที่ระบุว่า “ในการจ่ายค่าจ้าง ... นายจ้างจะนำหนี้อื่นมาหักมิได้นั้นหมายถึงห้ามมิให้นายจ้างนำหนี้อื่นที่ลูกจ้างเป็นหนี้นายจ้าง หรือบุคคลอื่นมาหักกับค่าจ้าง ฯลฯ เท่านั้น ไม่ได้ระบุห้ามไม่ให้เงินค่าจ้างอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี การที่ศาลออกหมายอายัดเงินค่าจ้างของจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ร้องตามคำขอของโจทก์นั้นจึงต้องบังคับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖ (๓) ๗๑


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑ - หักค่าจ้าง – การจ่ายค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๕/๒๕๖๓ เรื่อง ค่าฝึกอบรม / หักค่าจ้าง : แม้นายจ้างจะมีสิทธิเรียกร้องให้ลูกจ้างชำระค่าใช้จ่าย ในการฝึกอบรมได้ตามกฎหมายก็ตาม แต่นายจ้างจะหักเอาจากค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อชำระเงินดังกล่าว มิได้ เพราะไม่เข้าข้อยกเว้นในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ (๑) – (๕) แม้มีข้อตกลงหรือได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก็ใช้บังคับไม่ได้ นายจ้างจึงต้องคืนค่าจ้างที่หักไป คดีนี้โจทก์(นายจ้าง) ฟ้องว่า จำเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ ตำแหน่งช่างต่อขนตา ค่าจ้างอัตรา สุดท้ายเดือนละ ๒๒,๐๐๐ บาท ระหว่างทำงานโจทก์ให้จำเลยฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรและเทคนิควิธีการ ปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญรวม ๓ คอร์ส แต่หลังจากผ่านการอบรมและทำงานกับโจทก์ถึงเดือน สิงหาคม ๒๕๖๑ จำเลยละทิ้งหน้าที่และเปิดร้านกิจการเสริมความงามแข่งขันกับโจทก์อันเป็นการผิด สัญญาจ้างแรงงาน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย (ค่าฝึกอบรม ๑๓๒,๐๐๐ บาท ค่าเปิดเผยข้อมูลความลับ ๑๓๒,๐๐๐ บาท ค่าละทิ้งหน้าที่ ๔๔,๐๐๐ บาท ค่าไม่สามารถอยู่ปฏิบัติงานกับโจทก์อย่างน้อย ๒ ปี ๕๐,๐๐๐ บาท ขอบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ๔๐๗,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า ค่าอบรมทั้งหมดไม่เกิน ๑๐,๐๒๐ บาท โจทก์หักค่าจ้างเป็นเงินประกัน ๘,๐๐๐ บาท โจทก์ยังไม่ได้จ่ายค่าจ้าง ระหว่างวันที่ ๑ – ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ จำเลยมิได้ละทิ้งหน้าที่ และค่าเสียหายเป็นเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า การที่โจทก์ให้จำเลยเข้าฝึกอบรมฯ รวม ๓ คอร์ส โดยจำเลยเข้าอบรมไม่เต็มเวลา ไม่ได้รับอุปกรณ์และวุฒิบัตรแสดงถึงวิทยฐานะหรือคุณวุฒิที่สามารถใช้ ประกอบอาชีพต่อไปได้ ย่อมไม่เป็นธรรมต่อจำเลย โจทก์ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าจำเลยเปิดร้านเสริมสวย แข่งขันกับโจทก์ ค่าเสียหายที่กำหนดในสัญญา ๕๐,๐๐๐ บาท เป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน พิพากษาให้จำเลย ชำระเงิน ๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้โจทก์ชำระเงินค่าจ้าง ๘,๐๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย เงินประกัน ๘,๐๐๐ บาท คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นค่าใช้จ่ายจากการฝึกอบรม ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การ ยอมรับว่าจำเลยเข้าฝึกอบรมตามฟ้องและมีค่าใช้จ่ายค้างชำระแก่โจทก์ แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังเป็นยุติว่าจำเลย เข้าอบรมไม่เต็มเวลา ไม่ได้รับอุปกรณ์และวุฒิบัตรจากโจทก์ แต่ก็ต้องถือว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากการ เข้าฝึกอบรมในครั้งนั้นแล้ว ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงมีว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าฝึกอบรมให้แก่โจทก์ เพียงใด ดังนั้น การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัย นอกเหนือคำให้การและเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคดี ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อศาลแรงงานกลาง ยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ ศาลแรงงานกลางดำเนินการต่อไป ประเด็นโจทก์มีสิทธิหักค่าฝึกอบรมจากค่าจ้างของจำเลยหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า แม้โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมได้ตามกฎหมาย แต่โจทก์จะหักเอา


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒ - จากค่าจ้างของจำเลยเพื่อชำระเงินดังกล่าวมิได้ เพราะไม่เข้าข้อยกเว้นการหักเพื่อชำระเงินตามที่บัญญัติไว้ ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ (๑) – (๕) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ โจทก์คืนเงินค่าจ้าง ๘,๐๐๐ บาท และจ่ายค่าจ้างค้างชำระอีก ๘,๐๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยนั้น ชอบ ด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษาแก้เป็น...และให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนค่าเสียหาย...โดยให้ย้อน สำนวนให้ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์จากการลาออกของจำเลยและ วินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าฝึกอบรมให้แก่โจทก์เพียงใด แล้วพิพากษาใหม่ ตามรูปคดีต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๓๕๗/๒๕๖๓ (คุ้มครองชั่วคราว) เรื่อง นายจ้างหักค่าจ้างลูกจ้างชำระหนี้สหกรณ์ในฐานะผู้ค้ำประกันแทนผู้กู้ที่ไม่ชำระหนี้ จนลูกจ้างเหลือเงิน ๐ บาท ไม่เหลือเงินค่าจ้างเพื่อยังชีพเลย ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้นายจ้างหยุดหักเงินเดือนค่าจ้างในฐานะผู้ค้ำประกันแทนผู้กู้เป็นเงินไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดได้ สืบเนื่องจากโจทก์(ลูกจ้าง) ฟ้องขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่ให้จำเลยหักเงินเดือนค่าจ้าง โจทก์ในส่วนที่ต้องชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันแทนผู้กู้ส่งสหกรณ์ออมทรัพย์ ร้อยละ ๑๐ และรวมแล้วให้เงิน คงเหลือเพียงพอแก่การยังชีพไม่ต่ำกว่า ๒๐,๐๐๐ บาท ของศาลแรงงานกลาง โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครอง ชั่วคราว ให้จำเลยหยุดหักเงินเดือนและค่าจ้างของโจทก์ ๑๗,๕๔๐.๕๐ บาท ไว้ก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย โจทก์ได้รับ เงินเดือนในเดือนกันยายน ๒๕๖๒ จำนวน ๔๘,๕๗๐ บาท หักภาษีเงินได้ ๑,๓๕๘ บาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ๒,๙๑๔.๒๐ บาท หนี้ตามคำพิพากษา ๔,๑๐๐ บาท ฌสท. ๖๐๐ บาท ค่าหุ้นและเงินกู้สหกรณ์ ๓๙,๕๗๙.๘๐ บาท โจทก์คงเหลือเงินสุทธิ ๐ บาท เดือนพฤศจิกายน....คงเหลือเงิน ๐ บาท...และเดือน ตุลาคม ๒๕๖๒ คงเหลือเงินสุทธิ ๑๑,๖๗๘.๓๐ บาท เนื่องจากยังไม่ได้หักเงินเดือนและค่าจ้างโจทก์ชำระหนี้ ในฐานะผู้ค้ำประกันแทนผู้กู้๑๗,๕๔๐.๕๐ บาท การที่จำเลยหักค่าจ้างของโจทก์จนไม่เหลือเงินค่าจ้างเพื่อ ยังชีพเลยย่อมเป็นการกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง อันอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อไปแก่โจทก์เนื่องจากการกระทำของจำเลยได้ ทั้งเมื่อพิจารณาประกอบปมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๒ (๒) แล้ว กรณีจึงมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๕๔ (๒) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ มาใช้ โดยให้จำเลยหยุดหักเงินเดือนค่าจ้างในฐานะ ผู้ค้ำประกันแทนผู้กู้เป็นเงิน ๑๗,๕๔๐.๕๐ บาท ต่อเดือน ไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด พิพากษากลับ ให้จำเลยหยุดหักเงินเดือนค่าจ้างในฐานะผู้ค้ำประกันแทนผู้กู้เป็นเงิน ๑๗,๕๔๐.๕๐ บาท ไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓ - ๓. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๓๗๘/๒๕๖๓ เรื่อง ลูกจ้างทำงานได้ ๓ วัน ขอเบิกเงินล่วงหน้าเนื่องจากไม่มีเงินไปทำงาน นายจ้าง ปฏิเสธ ลูกจ้างไม่มาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ลา เป็นการละทิ้งหน้าที่การงานไปเสีย และเป็นการทำ อันไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต เลิกจ้างได้โดยไม่ต้อง บอกกล่าวล่วงหน้า , ลูกจ้างรายเดือนเมื่อไม่มีข้อตกลงหรือระเบียบข้อบังคับในการหักค่าจ้างในวันที่ไม่มา ทำงานหรือขาดงาน ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันขาดงาน คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่ง ผู้ช่วย ผู้สอบบัญชีอาวุโส อัตราค่าจ้างเดือนละ ๓๓,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ด้วยวาจา อ้างสาเหตุว่าโจทก์ไม่สามารถทำงานร่วมกับจำเลยได้ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้ จำเลยจ่ายค่าจ้าง ๕,๕๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๙๙,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ไม่เป็นธรรม ๙๙,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า จำเลยจ้างโจทก์เพราะพิจารณาจากประวัติการทำงานว่าโจทก์มีประสบการณ์ การทำงานกับบริษัท เอ จำกัด ซึ่งมีชื่อเสียงเกี่ยวกับการทำบัญชีและการตรวจสอบบัญชีเป็นเวลา ๑ ปี ๖ เดือน อันเป็นสาระสำคัญในการรับบุคคลเข้าทำงานตำแหน่งผู้ช่วยผู้สอบบัญชีอาวุโส จำเลยเชื่อจึงตกลงรับโจทก์เข้า ทำงาน หลังจากโจทก์ทำงานกับจำเลยเพียง ๓ วัน วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ โจทก์ส่งข้อความแจ้งว่าไม่มีเงิน ไปทำงานขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าแล้วไม่มาทำงาน ถือเป็นการละทิ้งหน้าที่ ต่อมาจำเลยตรวจสอบประวัติ การทำงานของโจทก์พบว่าโจทก์แจ้งประวัติการทำงานอันเป็นเท็จต่อจำเลย กล่าวคือ โจทก์ทำงานกับ บริษัท เอ จำกัด เพียง ๓ เดือน ประวัติการทำงานโจทก์ไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง แสดงให้เห็นว่าโจทก์ มิได้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์การทำงานดังที่ระบุในประวัติการทำงาน การที่จำเลยจ้าง โจทก์เป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของโจทก์ อันเป็นการการสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุ คล สัญญาจ้างตกเป็นโมฆะ โจทก์มิได้ประสงค์จะทำงานกับจำเลยแต่แรก เพียงแต่การหลอกลวงให้จำเลยรับ โจทก์เข้าทำงาน หลังจากนั้นโจทก์จะสร้างเรื่องอันเป็นเท็จเพื่อให้จำเลยเลิกจ้าง ดังที่โจทก์เคยทำมาแล้ว ในคดีอื่นของศาลแรงงานกลางทั้ง ๒ สำนวน ซึ่งโจทก์ทำงานกับบริษัททั้งสองเพียงไม่ถึงเดือนและ พฤติการณ์ของโจทก์ถูกเลิกจ้างคล้ายกับพฤติการณ์ของโจทก์ในคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ๔,๔๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ โจทก์ส่งข้อความในไลน์ถึง นางสาว เอ กรรมการจำเลย ขอเบิกเงินล่วงหน้าเนื่องจากไม่มีเงินไปทำงาน ซึ่งนางสาว เอ ปฏิเสธ โจทก์จึงไม่ มาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ลา การที่โจทก์หยุดงานในวันดังกล่าว โดยอ้างสาเหตุไม่มีเงินไปทำงานจึง เป็นการขาดงานไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการละทิ้งหน้าที่การงานไปเสีย และเป็นการทำอันไม่ เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าวันดังกล่าวโจทก์


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔ - ไม่ได้ขาดงาน เนื่องจากเป็นวันลา เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ประเด็นค่าจ้าง เห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างรายเดือน ทำงานตั้งแต่วันที่ ๑-๓ ตุลาคม ๒๕๖๒ วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ ขาดงาน วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ จำเลย เลิกจ้างโจทก์ โจทก์จึงมีฐานะเป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑- ๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ เมื่อไม่มีข้อตกลงหรือระเบียบ ข้อบังคับของจำเลยที่ให้สิทธิจำเลยในการหักค่าจ้างในวันที่โจทก์ไม่มาทำงานหรือขาดงานโดยโจทก์ไม่ตก ลงยินยอมด้วย ดังนั้น แม้วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ โจทก์จะขาดงานก็ตาม การขาดงานของโจทก์เป็นเพียง การบกพร่องต่อหน้าที่ซึ่งอาจมีผลต่อสิทธิอื่น ๆ ของโจทก์ แต่หากระทบต่อสิทธิในค่าจ้างซึ่งเป็นรายเดือน ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันดังกล่าว พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างเป็นเงิน ๕,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ๔. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๓๘๑/๒๕๖๓ เรื่อง ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดให้อำนาจศาลแรงงานที่จะกำหนดให้จำเลยต้องเสีย ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี คิดทบต้นทุก ๗ วัน การที่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ค้างจ่ายพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี คิดดอกเบี้ยทบต้นทุก ๗ วัน จนกว่าจะชำระเสร็จ จึงเป็นการ ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตำแหน่ง ผู้จัดการแผนกความปลอดภัยในการทำงาน รายงานตรงต่อกรรมการผู้จัดการ ปฏิบัติหน้าที่ประจำที่สำนักงาน กรุงเทพ ท่าอากาศยานดอนเมือง และจำเลยยังมอบหมายให้โจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้ประสานงานพิเศษ ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ จำเลย สั่งพักงานโจทก์และเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ กล่าวหาว่า โจทก์ดำเนินการเบิกค่าจ่าย ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงรับรองในการต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายในการแปลเอกสารเพื่อรับรองการตรวจคุณภาพ สากลด้านความปลอดภัยในการปฏิบัติการของผู้ให้บริการภาคพื้น อันเป็นการดำเนินการเบิกจ่ายที่ผิดระเบียบ ซึ่งไม่เป็นความจริง ขอบังคับให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์สำรองจ่ายเทนจำเลย ค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทาง ไปประชุม ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง โดยไม่เป็นธรรม สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ย....ค่าจ้างค้างจ่าย ๒๐,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี คิดดอกเบี้ยทบต้นทุก ๗ วัน นับแต่วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕ - ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยเสียดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๑๕ ต่อปี คิดทบต้นทุก ๗ วัน ของต้นเงินค่าจ้างค้างจ่าย ๒๐,๕๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เห็นว่า ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดให้อำนาจศาลแรงงานกลางที่จะ กำหนดให้จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี คิดทบต้นทุก ๗ วัน จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ เห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินค่าจ้างค้างจ่าย นับแต่วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย.....และให้เสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของค่าจ้างค้างจ่าย ๒๐,๕๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี คิดทบต้นทุก ๗ วัน นับแต่วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ในค่าจ้างค้างจ่าย ๒๐,๕๐๐ บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ๕. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๔๙๗/๒๕๖๓ เรื่อง ลูกจ้างสมัครใจและยินยอมให้นายจ้างหักเงินค่าสินค้าที่เสียหายออกจากค่าน้ำมันรถ ของโจทก์ในแต่ละเดือน จึงเป็นกรณีที่ลูกจ้างให้ความยินยอมและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ได้ตกลงกัน ตามเงื่อนไขดังกล่าว นายจ้างจึงมีสิทธินำค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในความรับผิดชอบของลูกจ้างไปหัก ออกจากค่าสึกหรอที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับได้ กรณีมิใช่เป็นการนำค่าจ้างไปหักเพื่อชำระหนี้ จึงไม่ขัดต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่พนักงานขายต่างจังหวัด ค่าจ้าง อัตราสุดท้ายเดือินละ ๒๔,๘๕๐ บาท (ค่าจ้างเดือนละ ๑๒,๐๕๐ บาท ค่าสึกหรอเดือนละ ๑๒,๘๐๐ บาท) วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ โจทก์เขียนใบลาออก ให้มีผลวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ระหว่างทำงาน จำเลยหักค่าสินค้าที่ชำรุดและหมดอายุในส่วนค่าสึกหรอ โดยจำเลยไม่มีสิทธิหักเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ - ๒๕๖๒ รวม ๗๕ เดือน เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท แต่จำเลยไม่ยอมคืนโจทก์ และจำเลยเก็บเงินสะสม โดยหักจากค่าจ้างเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๙๒,๕๐๐ บาท โดยจำเลยจะคืนให้เมื่อโจทก์ ออกจากงาน แต่จำเลยไม่คืน ขอบังคับให้จำเลยจ่ายเงินที่หักไว้คืน พร้อมดอกเบี้ย จำเลยกับโจทก์มีข้อตกลง กันว่า กรณีมีการคืนสินค้าที่โจทก์เป็นผู้ขาย โจทก์จะเป็นผู้รับผิดชอบในราคาค่าสินค้าหากเกิดกรณีการคืน สินค้าไม่ว่าราคาสินค้าจะมีมูลค่าเท่าใด โจทก์ยินยอมหักเงินเพื่อชำระค่าสินค้าเสียหายได้เพียงเดือนละไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท โดยค่าเสียหายส่วนที่ยังค้างอยู่โจทก์ตกลงยอมให้หักในเดือนถัดไป และจำเลยตกลงจ่าย ค่าคอมมิชชั่นให้โจทก์อีกร้อยละ ๑ ของยอดเงินที่จำเลยได้รับชำระค่าสินค้าในแต่ละเดือน ส่วนเงินสะสม จำเลยนำฝากเข้าบัญชีโจทก์ที่ธนาคาร เอ โจทก์เป็นผู้เดียวที่สามารถเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าว จำเลย เพียงเก็บรักษาสมุดบัญชีเงินฝากของโจทก์เท่านั้น ระหว่างพิจารณา โจทก์แถลงรับสมุดบัญชีเงินฝากคืน จากจำเลย ขอสละประเด็นเงินสะสม


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖ - ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์สมัครใจและ ยินยอมให้จำเลยหักเงินค่าสินค้าที่เสียหายออกจากค่าน้ำมันรถของโจทก์ในแต่ละเดือน โดยโจทก์ลงลายมือชื่อ ยินยอมให้หักเงินค่าสินค้าที่เสียหายมาโดยตลอด เมื่อจำเลยมีหลักเกณฑ์การจ่ายค่าจ้างโดยมีเงื่อนไขการจ่าย ให้นำค่าเสียหายมาหักออกเสียก่อน และจำเลยได้หักเงินเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท เพื่อชำระค่างาดำที่เสียหาย ตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ ซึ่งโจทก์ลงลายมือชื่อกำกับไว้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ให้ความยินยอมและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ที่ได้ตกลงกันตามเงื่อนไขดังกล่าว จำเลยจึงมีสิทธินำค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในความรับผิดชอบของโจทก์ไปหักออก จากค่าสึกหรอที่โจทก์มีสิทธิได้รับได้ กรณีมิใช่เป็นการนำค่าจ้างของโจทก์ไปหักเพื่อชำระหนี้ จึงไม่ขัดต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินที่หัก ค่าสินค้าที่ชำรุดและหมดอายุไว้ได้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า เป็นข้อตกลงเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เป็นอุทธรณ์ ข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดี แรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ ของโจทก์ ๖. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๕๕๗/๒๕๖๓ เรื่อง หากนายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างขาดไปถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เกือบกึ่งหนึ่งของ ค่าจ้างต่อเดือน ก็ไม่น่าเชื่อว่าลูกจ้างจะนิ่งเฉยยอมให้นายจ้างเอารัดเอาเปรียบได้นานถึงเพียงนี้ อันผิดวิสัย ของบุคคลทั่วไป คำเบิกความจึงมีพิรุธน่าสงสัย จึงรับฟังได้ว่าตกลงจ้างกันเพียงเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่ใช่ ๓๕,๐๐๐ ตามที่ลูกจ้างกล่าวอ้าง , นายจ้างมีลูกจ้าง ๒๑ คน จึงต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมาย โดยจัดทำเอกสารการรับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ฯลฯ แต่ไม่ได้จัดทำ จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อนายจ้างไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาแสดงยืนยันว่าจ่ายค่าจ้างครบถ้วนแล้ว ลำพังคำเบิกความลอย ๆ ไม่อาจรับฟังได้ จึงฟังได้ว่านายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างจริง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการให้บริการด้านอาหารในภัตตาคารและ ร้านอาหาร จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ จำเลยทั้งสองรับโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งสุดท้ายเป็นพ่อครัว ค่าจ้างเดือนละ ๓๕,๐๐๐ บาท โจทก์ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดประจำสัปดาห์ เป็นเวลา ๑๒ ชั่วโมงต่อวัน กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๑๕ ของเดือน ต่อมาวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ จำเลย ทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลในวันดังกล่าว ระหว่างทำงานจำเลยทั้งสองจ่ายค่าจ้างให้เพียงเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ยังขาดค่าจ้างเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท จำนวน ๑๕ เดือน โจทก์ทำงานโดยไม่มีวันหยุด ประจำสัปดาห์ จึงขอถือเอาวันอาทิตย์เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ โจทก์ทำงานวันละ ๑๒ ชั่วโมง เกินกว่าที่ กฎหมายกำหนด รวม ๑๔ เดือน จำนวน ๓๕๐ วัน วันละ ๔ ชั่วโมง รวม ๑,๔๐๐ ชั่วโมง จำเลยหักค่าจ้าง เป็นค่าดำเนินการทำวีซ่าและใบอนุญาตทำงานรวม ๗๐,๐๐๐ บาท ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหาย


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗ - คืนค่าดำเนินการทำวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าชดเชย สินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เกินกว่า ๓ วันทำงานติดต่อกัน พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรวมกันชำระเงิน ๕๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์และจำเลย ทั้งสองอุทธรณ์ ประเด็นค่าจ้างค้างจ่าย ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า สัญญาจ้างแรงงานระหว่าง นายจ้างกับลูกจ้างไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ไม่อยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา ๓๑ แม้โจทก์จะมี แบบหนังสือรับรองการจ้างยืนยันว่าได้รับค่าจ้างเดือนละ ๓๕,๐๐๐ บาท แต่ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ และจำเลยว่าโจทก์ทำงานเป็นพ่อครัว มีหน้าที่ทำอาหารสำหรับชาวอาหรับเรียกว่า “กาบับ” เพียงชนิดเดียว ซึ่งเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์นำมาย่างแล้วแล่เอาเนื้อมาม้วนรวมกับโรตีโดยมีลูกมือช่วยเหลือ ในการทำอาหารทั้งจำเลยที่ ๑ ตกลงจ่ายค่าเช่าที่พักรวมค่าอาหารรวมทั้งออกค่าภาษีเงินได้กับส่งประกันสังคม แทนโจทก์เมื่อพิจารณาประกอบกับโจทก์ทำงานมาเป็นเวลา ๑ ปีเศษแล้ว หากจำเลยที่ ๑ จ่ายค่าจ้าง แก่โจทก์ขาดไปถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เกือบกึ่งหนึ่งของค่าจ้างต่อเดือน ก็ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะนิ่งเฉยยอม ให้จำเลยที่ ๑ เอารัดเอาเปรียบได้นานถึงเพียงนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้มีการทวงถามหรือโต้แย้งให้จำเลยชำระ ค่าจ้างส่วนที่ขาดไปจนกระทั่งถูกเลิกจ้าง อันผิดวิสัยของบุคคลทั่วไป คำเบิกความโจทก์มีพิรุธน่าสงสัย การที่ ศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจพิเคราะห์พยานบุคคลประกอบพยานแวดล้อมต่าง ๆ แล้ว รับฟังว่าจำเลยที่ ๑ ตกลงจ้างโจทก์เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้อง ชำระค่าจ้างค้างจ่าย ประเด็นหักค่าจ้างเป็นค่าวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า จำเลยที่ ๑ มีลูกจ้าง ๒๑ คน จึงต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย โดยจัดทำเอกสารการรับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ฯลฯ ให้แก่ลูกจ้างไว้เป็นหลักฐาน แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ได้จัดทำเอกสารดังกล่าวไว้ จึงเป็นการฝ่า ฝืนกฎหมาย เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาแสดงยืนยันว่าจ่ายค่าจ้างของเดือนดังกล่าวให้แก่ โจทก์ครบถ้วนแล้ว ลำพังคำเบิกความลอย ๆ ของจำเลยที่ ๒ จึงไม่อาจรับฟังได้ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ คงค้างจ่ายค่าจ้างตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๖๑....เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ รวม ๗๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าดำเนินการทำวิซ่าและใบอนุญาตทำงาน โดยเหตุที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔ ๑ มาตรา ๗๖ บัญญัติห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ฯลฯ เว้นแต่หักเพื่อ (๑) – (๕) ซึ่งกรณีดังกล่าว กฎหมายมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองลูกจ้างไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรเพราะถูกหักค่าจ้างระหว่าง ที่ทำงานตามอำเภอใจของนายจ้าง เมื่อจำเลยที่ ๑ หักค่าจ้างโจทก์ดังกล่าวไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะกระทำได้ ตามกฎหมาย จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีสิทธิหักค่าจ้างโจทก์ได้ พิพากษายืน และยกอุทธรณ์จำเลยทั้งสอง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘ - ๗. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๕๗๔/๒๕๖๓ เรื่อง ข้อยกเว้นในการให้ความยินยอมเป็นหนังสือของลูกจ้างให้นายจ้างหักค่าจ้างมากกว่า ร้อยละ ๑๐ อันเป็นข้อตกลงในทำนองสละสิทธิ ซึ่งต้องตีความโดยเคร่งครัด ข้อตกลงต้องมีความชัดแจ้งว่า ลูกจ้างรู้และเข้าใจถึงสิทธิตนในการที่จะถูกหักค่าจ้างมากกว่าจำนวนที่กฎหมายคุ้มครอง หากไม่รู้และ เข้าใจในการตกลงแล้ว นายจ้างอาจหักเงินเดือนค่าจ้างของลูกจ้างจนหมดสิ้น ไม่มีเงินเหลือเพื่อการดำรง ชีพสำหรับลูกจ้างแม้สักเล็กน้อย จนลูกจ้างอาจไร้ซึ่งค่าจ้างที่จะนำไปจัดหาปัจจัยสี่ อันเป็นสิ่งจำเป็น พื้นฐานสำหรับมนุษย์ทุกคนมาดำรงชีพจนทำให้ลูกจ้างขาดพละกำลังในการทำงาน อันจะไม่ตรงตาม เจตนารมณ์ของกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานนำจ่าย อัตราเงินเดือน เดือนละ ๔๘,๕๗๐ บาท เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๖๒ จำเลยหักเงินเดือนโจทก์ส่งให้สหกรณ์ออมทรัพย์ซึ่งโจทก์ เป็นสมาชิก โดยหักในส่วนที่โจทก์กู้ยืมเป็นเงิน ๓๙,๕๙๗.๘๐ บาท และชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกัน แทนสมาชิก ๑๗,๕๔๐.๕๐ บาท เมื่อหักเงินต่าง ๆ ด้วยแล้วรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๘,๕๗๐ บาท หลังหักแล้ว คงเหลือเงิน ๐ บาท ทำให้โจทก์ไม่มีเงินเพียงพอแก่การยังชีพ ถือว่าจำเลยนายจ้างไม่ปฏิบัติตาม ข้อ ๓๑ แห่งประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ขอให้บังคับจำเลยหักเงินเดือนค่าจ้างโจทก์ในส่วนชำระหนี้ฐานะ ผู้ค้ำประกันไม่เกินร้อยละ ๑๐ และรวมแล้วให้คงเหลือเพียงพอแก่การยังชีพไม่ต่ำกว่า ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยให้การว่า โจทก์ยินยอมให้สหกรณ์ฯ หักเงินค่าจ้างชำระหนี้สหกรณ์ฯ อันเข้าข้อยกเว้น ตามวรรคสองของข้อ ๓๑ แห่งประกาศฯ จำเลยในฐานะนายจ้างจึงมีหน้าที่หักเงินโจทก์ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว การที่จำเลยหักเงินเดือนของโจทก์ จึงไม่ขัดต่อประกาศฯ ข้อ ๓๑ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ ข้อ ๓๑ กำหนดห้ามนายจ้างหักค่าจ้าง...เว้นแต่ เป็นการหักเพื่อ (๑) – (๕) ทั้งนี้ การหักตาม (๒) (๓) (๔) (๕) ห้ามมิให้หักเกินร้อยละ ๑๐ และจะหักรวมกันได้ไม่เกิน ๑ ใน ๕...ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอม เป็นหนังสือขากลูกจ้าง และพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔๒/๑ กำหนดว่า เมื่อสมาชิกได้ทำ ความยินยอมเป็นหนังสือไว้กับสหกรณ์ ให้ผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้างหักเงินเดือนหรือค่าจ้าง หรือเงินอื่นใดที่ ถึงกำหนดจ่ายแก่สมาชิกนั้น เพื่อชำระหนี้หรือภาระผูกพันอื่นที่มีต่อสหกรณ์ ให้แก่สหกรณ์ตามจำนวนที่ สหกรณ์แจ้งไป จนกว่าหนี้หรือภาระผูกพันจะระงับสิ้นไป ให้หน่วยงานนั้นหักเงินดังกล่าวและส่งเงินที่หักให้แก่ สหกรณ์โดยพลัน การแสดงเจตนายินยอมดังกล่าว มิอาจถอนคืนได้ เว้นแต่สหกรณ์ให้ความยินยอม แต่ตาม พระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็มิได้ระบุจำนวนของการหักไว้ว่าหักได้มากน้อยเพียงใด การจะหักได้ มากน้อยเพียงใดจึงต้องมาพิจารณาตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ ข้อ ๓๑ อันเป็น ประกาศที่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของลูกจ้างในการได้รับค่าจ้างอย่างเต็มจำนวนค่าจ้าง โดยไม่ให้นายจ้าง มีสิทธิหักค่าจ้าง เว้นแต่เข้าข้อยกเว้น ซึ่งในข้อยกเว้นยังกำหนดประเภทและจำนวนของค่าจ้างที่นายจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙ - สามารถหักได้ไว้เพื่อเป็นการคุ้มครองให้ลูกจ้างมีค่าจ้างเพื่อไปใช้จ่ายให้อยู่รอดในสังคมโดยไม่แร้นแค้น และไม่ถูกใช้ให้ทำงานฝ่ายเดียวแต่ไม่ได้รับค่าจ้างตอบแทน ด้วยเหตุนี้ข้อยกเว้นในการให้ความยินยอม เป็นหนังสือของลูกจ้างให้นายจ้างหักค่าจ้างมากกว่าจำนวนที่ระบุในข้อ ๓๑ อันเป็นข้อตกลงในทำนองสละสิทธิ ที่กฎหมายคุ้มครอง ซึ่งต้องตีความโดยเคร่งครัด ข้อตกลงดังกล่าวจึงต้องมีความชัดแจ้งว่าลูกจ้างรู้และเข้าใจถึง สิทธิตนในการที่จะถูกหักค่าจ้างมากกว่าจำนวนที่กฎหมายคุ้มครอง หากไม่รู้และเข้าใจในการตกลงแล้ว นายจ้างอาจหักเงินเดือนค่าจ้างของลูกจ้างจนหมดสิ้น ไม่มีเงินเหลือเพื่อการดำรงชีพสำหรับลูกจ้าง แม้สักเล็กน้อย จนลูกจ้างอาจไร้ซึ่งค่าจ้างที่จะนำไปจัดหาปัจจัยสี่ อันเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับมนุษย์ทุกคน มาดำรงชีพจนทำให้ลูกจ้างขาดพละกำลังในการทำงาน อันจะไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเกี่ยวกับ การคุ้มครองแรงงาน เมื่อพิจารณาหนังสือยินยอม (ผู้กู้) แล้ว มีข้อความที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยหักค่าจ้างเท่านั้น หาได้ระบุโดยชัดแจ้งว่ายินยอมให้หักค่าจ้างมากกว่าจำนวนตามประกาศฯ ข้อ ๓๑ และเมื่อพิจารณาหนังสือ ยินยอมของผู้ค้ำประกัน แม้จะมีข้อความว่า “การหักเงินเดือนค่าจ้างหรือเงินอื่นใด โจทก์ยินยอมให้หักค่าจ้าง เกินกว่าร้อยละ ๑๐ และหักรวมกับรายการหักอื่น ๆ ได้เกิน ๑ ใน ๕ “ ก็ตาม แต่ก็เป็นการตกลงให้หักเงิน อื่นใดรวมอยู่ด้วย มิใช่การตกลงโดยชัดแจ้งให้หักค่าจ้างเพียงอย่างเดียว ทั้งมิได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าจะเป็นการหัก ค่าจ้างจนไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว โดยไม่ปรากฏว่า โจทก์รับทราบและยินยอมให้หักเฉพาะค่าจ้างจนไม่เหลือ แต่บาทเดียว จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ให้ความยินยอมให้หักเกินจำนวนตามข้อ ๓๑ วรรคสอง แล้ว การหักค่าจ้าง ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษากลับให้จำเลยหักเงินเดือนค่าจ้างโจทก์ในแต่ละเดือนโดยให้เป็นไปตามประกาศ คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ ข้อ ๓๑ ๘. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๒๕๙/๒๕๖๒ (หักค่าจ้าง) เรื่อง การที่นายจ้างหักค่าจ้างลูกจ้างฝากสหกรณ์ออมทรัพย์แทนการนำเงินสดมาวาง ประกัน และมีข้อตกลงว่าลูกจ้างยินยอมให้หักเงินจำนวนดังกล่าวชดใช้ความเสียหายให้แก่นายจ้างได้ทันที เป็นการขัดต่อประกาศกระทรวงแรงงานฯ นายจ้างจึงต้องคืนเงินประกันให้แก่ลูกจ้าง , ลูกจ้างเป็นหนี้เงินกู้ สหกรณ์ออมทรัพย์และนายจ้างหักเงินนำส่งชำระหนี้ให้สหกรณ์ฯ เป็นไปตามหนังสือสัญญากู้สามัญที่ระบุ ว่าลูกจ้างยินยอมให้จำเลยหักเงินได้รายเดือน ถือเป็นกรณีที่ลูกจ้างมีข้อตกลงพิเศษเป็นการเฉพาะที่ให้ นายจ้างมีสิทธิหักเงินค่าจ้างส่งให้แก่สหกรณ์ฯ ได้ ตามมาตรา ๗๖ (๓) และมาตรา ๗๗ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๒ โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานควบคุม ๓ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๒๑,๐๔๒.๗๑ และเงินอื่น ๆ ต่อมาวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้าง โจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้า คืนเงินประกัน คืนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คืนเงินสหกรณ์ออมทรัพย์พนักงาน และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยให้การว่า เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์สแกนลายพิมพ์


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐ - นิ้วมือแทนพนักงานอื่น เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จงใจทำให้จำเลยได้รับ ความเสียหาย ศาลแรงงานภาค ๕ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นการหักค่าจ้าง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลา ในวันหยุด เว้นแต่เป็นการหักเพื่อชำระหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์หรือสหกรณ์อื่นที่มีลักษณะเดียวกันกับสหกรณ์ ออมทรัพย์โดยได้รับความยินยอมล่วงหน้าจากลูกจ้าง และมาตรา ๗๗ กำหนดให้นายจ้างต้องจัดทำหนังสือ และให้ลูกจ้างลงลายมือชื่อในการให้ความยินยอมหรือมีข้อตกลงกันไว้ให้ชัดเจนเป็นการเฉพาะ เมื่อได้ความว่า โจทก์เป็นหนี้เงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์และจำเลยส่งเงิน ๓,๐๖๖ บาท ชำระหนี้ให้สหกรณ์ฯ แล้ว ซึ่งตามหนังสือ สัญญากู้สามัญในข้อ ๕ ที่ระบุว่ายินยอมและขอร้องให้จำเลยหักเงินได้รายเดือนโจทก์เมื่อได้รับแจ้งจากสหกรณ์ ถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์มีข้อตกลงพิเศษเป็นการเฉพาะที่ให้จำเลยมีสิทธิหักเงินดังกล่าวส่งให้แก่สหกรณ์ฯ ได้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ (๓) และมาตรา ๗๗ ที่ศาลแรงงานภาค ๕ วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ประเด็นว่าจำเลยต้องคืนเงินประกัน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า เมื่อได้ความว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยหักเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ฝากไว้กับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สหกรณ์ ออมทรัพย์แทนการนำเงินสดมาวางเป็นหลักประกันการทำงาน และได้ความตามเอกสารหมาย ล ๑๖ ปรากฏ ข้อความว่าจำเลยได้หักเงินค้ำประกันจากเงินเดือนโจทก์เป็นรายเดือนรวม ๑๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ยินยอม ให้หักเงินจำนวนดังกล่าวชดใช้ความเสียหายให้แก่จำเลยได้ทันที เมื่อประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันความเสียหายจากการทำงานของโจทก์ในข้อ ๙ ที่มีการ กำหนดให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันที่เป็นทรัพย์สินได้เพียงสมุดเงินฝากประจำธนาคารหรือหนังสือ ค้ำประกันของธนาคารเท่านั้น ดังนั้น การที่จำเลยเรียกหรือรับหลักประกันความเสียหายจากการทำงาน จากโจทก์จากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สหกรณ์ที่อาศัยข้อตกลงตามเอกสารหมาย ล. ๑๖ เพื่อหักเงินจากบัญชี ดังกล่าว จึงเป็นการขัดต่อประกาศกระทรวงแรงงานฯ จำเลยจึงต้องคืนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินประกันการทำงาน ๑๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้เป็นไป ตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๕ ๙. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๕๑/๒๕๖๒ เรื่อง ลูกจ้างมีหนี้เงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ โดยสัญญากู้สามัญระบุยินยอมให้นายจ้าง หักค่าจ้างส่งสหกรณ์ฯ ถือว่าเป็นกรณีที่มีข้อตกลงพิเศษเป็นการเฉพาะให้นายจ้างมีสิทธิหักเงินได้ตาม มาตรา ๗๖(๓) และมาตรา ๗๗ แต่การที่นายจ้างหักค่าจ้างเป็นเงินประกันการทำงานโดยฝากเข้าบัญชีเงิน ฝากออมทรัพย์สหกรณ์ และระบุว่าลูกจ้างยินยอมชดใช้ความเสียหายให้แก่นายจ้างได้ทันทีขัดต่อประกาศ กระทรวงแรงงานฯ นายจ้างต้องคืนเงินเงินประกันให้แก่ลูกจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑ - คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๒ โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงาน ควบคุม ๓ ค่าจ้างเดือนละ ๒๑,๐๔๒.๗๑ บท เบี้ยเลี้ยงครั้งละ ๑๐๐ บาท ค่าล่วงเวลาวันละ ๒๕๐ บาท ต่อมา วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า คืนเงินประกัน คืนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คืนเงิน สหกรณ์ออมทรัพย์ และจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยให้การว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ โดยบันทึกเวลาเข้าออกแทนพนักงานอื่น ศาลแรงงานภาค ๕ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นหักค่าจ้าง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้างค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด เว้นแต่เป็นการหักเพื่อชำระหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์หรือสหกรณ์อื่น....โดยได้รับความยินยอมล่วงหน้า จากลูกจ้าง เมื่อได้ความว่าโจทก์มีหนี้เงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์และจำเลยส่งเงิน ๓,๐๖๖ บาท ชำระหนี้ให้แก่ สหกรณ์ฯ แล้ว ตามหนังสือสัญญากู้เงินสามัญข้อ ๕ ที่ระบุว่ายินยอมและขอร้องให้จำเลยหักเงินได้รายเดือน โจทก์เมื่อได้รับแจ้งจากสหกรณ์ ถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์มีข้อตกลงพิเศษเป็นการเฉพาะให้จำเลยมีสิทธิหักเงิน ดังกล่าวส่งให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มรองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ (๓) และ มาตรา ๗๗ อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น ประเด็นเงินประกันการทำงานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยหักเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ฝากไว้กับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สหกรณ์ออมทรัพย์แทนการนำเงินสดมาวางเพื่อเป็น หลักประกัน โดยจำเลยให้การเพียงว่าจำเลยไม่ได้รับเงินดังกล่าวเพราะเงินอยู่ในความครอบครองของสหกรณ์ แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้หักเงินจำนวนดังกล่าว และตามเอกสารหมาย ล. ๑๖ ปรากฏข้อความว่าโจทก์ยินยอม ให้หักเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ชดใช้ความเสียหายให้แก่จำเลยได้ทันที เมื่อประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันความเสียหายจากการทำงานจากลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ใช้ บังคับในขณะที่จำเลยเรียกหรือรับหลักประกันความเสียหายจากการทำงานจากโจทก์ในข้อ ๙ ที่มีการ กำหนดให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันที่เป็นทรัพย์สินได้เพียงสมุดเงินฝากประจำธนาคารหรือหนังสือ ค้ำประกันของธนาคารเท่านั้น ดังนั้น การที่จำเลยเรียกหรือรับหลักประกันความเสียหายจากการทำงาน จากโจทก์จากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สหกรณ์ที่อาศัยข้อตกลงตามเอกสารหมาย ล. ๑๖ เพื่อหักเงินจาก บัญชีดังกล่าว จึงเป็นการขัดต่อประกาศกระทรวงแรงงานฯ จำเลยต้องคืนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินประกันการทำงาน ๑๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๕


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๒ - ๑๐. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๘๒๐/๒๕๖๒ (คดีฟ้องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม) เรื่อง เมื่อลูกจ้างมิได้ทำงานให้แก่นายจ้างเนื่องจากถูกเลิกจ้างเสียก่อนเริ่มต้นทำงาน ลูกจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันนั้น , ลูกจ้างมีผลการปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามเป้าทั้งปี ระดับผลการ ปฏิบัติงานต้องปรับปรุง บกพร่องในเรื่องการอนุมัติการขายสินค้า ผลการสำรวจภาวะผู้นำ ประเมิน ศักยภาพทักษะการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มได้คะแนนต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน การเลิกจ้างจึงมีเหตุผลอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการบริหาร ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๓๘๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ จำเลย ที่ ๒ (กรรมการผู้มีอำนาจ) เลิกจ้างโจทก์อ้างว่าผลงานโจทก์ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการทำงาน ซึ่งไม่เป็น ความจริง เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหาย ๑๕,๙๖๐,๐๐๐ บาท และค่าจ้างของ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ จำนวน ๑๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์หย่อน ประสิทธิภาพในการทำงาน... จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าจ้างงวดวันที่ ๑- ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ สินจ้างแทนการบอก กล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และเงินช่วยเหลือพิเศษอีก ๓๐ วันแล้ว โจทก์เรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมสูงถึง ๑๕,๙๖๐,๐๐๐ บาท เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นว่าจำเลยที่ ๑ ต้องจ่ายค่าจ้างวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ หรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญ พิเศษ เห็นว่า เวลาเริ่มปกติของโจทก์คือ เวลา ๐๘.๓๐ จำเลยที่ ๒ เลิกจ้างโจทก์ในวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ระหว่างเวลา ๐๘๐๐ - ๐๘.๓๐ น. เป็นการเลิกจ้างก่อนเริ่มต้นทำงานในวันดังกล่าว หลังจากโจทก์ถูกเลิก จ้างแล้วก็ไม่ได้ทำงานให้จำเลยที่ ๑ อีก ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๕ บัญญัติว่า “อันว่าสัญญาจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้” จากบทบัญญัติดังกล่าวลูกจ้างจะมี สิทธิได้รับสินจ้างก็ต่อเมื่อได้ทำงานให้แก่นายจ้างเท่านั้น เมื่อโจทก์มิได้ทำงานให้แก่จำเลยที่ ๑ ในวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ เนื่องจากถูกเลิกจ้างเสียก่อนเริ่มต้นทำงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างจากจำเลยที่ ๑ ประเด็นเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เห็นว่า โจทก์มีผลการปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามเป้าทั้งปีที่จำเลยที่ ๑ กำหนดไว้ในปี ๒๕๕๘ โจทก์มีระดับผลการปฏิบัติงานตามความคาดหวังและต้องปรับปรุงซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่ จำเลยที่ ๑ กำหนดไว้ ถือได้ว่า ปี ๒๕๕๘ และปี ๒๕๕๙ ประสิทธิภาพในการทำงานของโจทก์อยู่ในเกณฑ์ต้อง ปรับปรุงหรือต่ำกว่ามาตรฐานที่นายจ้างกำหนด โจทก์มีความบกพร่องในเรื่องการอนุมัติการขายสินค้าให้กับ ตัวแทนจำหน่ายมากเกินความจำเป็น และทำให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหาย ผลการสำรวจภาวะผู้นำ ของโจทก์ ผลการประเมินศักยภาพโจทก์ในส่วนทักษะการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มและการให้ความร่วมมือกับ ความเป็นผู้นำและการตัดสินใจ โจทก์ได้คะแนนต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โจทก์บกพร่องใน การทำหน้าที่ผู้อำนวยการ ก่อให้เกิดการประสานงานกับแผนกอื่น การเลิกจ้างจึงมีเหตุผลอันสมควร ไม่เป็น การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๓ - ๑๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๔๓๕/๒๕๖๒ เรื่อง ลูกจ้างสแกนลายนิ้วมือเข้าทำงานแล้วแต่ไม่อยู่ทำงานให้นายจ้างจบครบ ๘ ชั่วโมง แต่กลับพาพนักงานไปทำงานให้กับนายจ้างอื่นและได้รับค่าจ้างมาแบ่งปันกัน โดยนายจ้างได้จ่ายค่าจ้าง ให้ด้วยรวมจำนวน ๒๖๓,๕๗๗.๕๐ บาท เมื่อลูกจ้างมิได้ทำงานให้นายจ้างเต็มเวลาการทำงาน ลูกจ้างจึงต้องคืนค่าจ้างในส่วนที่ไม่ได้ทำงานให้แก่นายจ้างจำนวน ๒๖๓,๕๗๗.๕๐ บาท ตามหลักสัญญา ต่างตอบแทน คดีนี้โจทก์ฟ้องซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้า งานบำรุงรักษาไฟฟ้าแรงดันต่ำ ค่าจ้างเดือนละ ๕๑,๒๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ทำงานกับโจทก์จนถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ เนื่องจากเกษียณอายุ ในการทำงานนั้นพนักงานจะต้องสแกนลายนิ้วมือเข้า-ออก เว้นแต่ ไปทำงานนอกสถานที่ตามที่โจทก์มอบหมายจะบันทึกเวลาเข้าออกทางโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยระบบ Photo Stamp เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ โจทก์ตรวจสอบพบว่าจำเลยที่ ๑ กับพวกรวม ๒๗ คน โดยจำเลยที่ ๑ สแกนลายนิ้วมือก่อนเวลา ๐๘.๐๐ น. แต่ไม่อยู่ทำงานให้โจทก์จนครบ ๘ ชั่วโมง แล้วไปทำงานให้จำเลยที่ ๒ และกลับมาสแกนลายนิ้วมือออกจากงานเวลา ๑๗.๐๐ น. ซึ่งเป็นการบันทึกเวลาการทำงานเป็นเท็จ ทำให้ จำเลยที่ ๑ ได้ไปซึ่งค่าจ้างโดยไม่ได้ทำงานให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ก็มีผลงานและรายได้ เมื่อทำงานเสร็จ จำเลยที่ ๑ จะได้ค่าจ้างจากจำเลยที่ ๒ มาจัดสรรและจ่ายพนักงานที่จำเลยที่ ๑ พาไปทำงาน การกระทำของ จำเลยที่ ๑ เป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน และถือว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่เดือน ธันวาคม ๒๕๕๘ – สิงหาคม ๒๕๖๐ ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหาย ๕๒๗,๑๕๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย ระหว่างพิจารณาศาลแรงงานภาค ๒ เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องจำเลยที่ ๒ เป็นไม่รับฟ้องจำเลยที่ ๒ จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความ ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้เงิน ๒๖๓,๕๗๗.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่าและวินิจฉัยว่า แม้จำเลย ที่ ๑ จะพ้นสภาพการเป็นพนักงานเนื่องจากเกษียณอายุการทำงานก่อนโจทก์ฟ้องคดี แต่สัญญาจ้างแรงงาน เป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อจำเลยที่ ๑ สแกนลายนิ้วมือบันทึกเวลาทำงานแต่ไม่ได้ทำงานเต็มเวลาการทำงาน ซึ่งเป็นการบันทึกเวลาอันเป็นเท็จและโจทก์ได้จ่ายค่าจ้างให้จำเลยที่ ๑ ไป ๒๖๓,๕๗๗.๕๐ บาท โจทก์ย่อมมี อำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๑ ไปทำงานนอกสถานที่แต่จำเลยที่ ๑ สแกนลายนิ้วมือบันทึก เวลาทำงานอันเป็นเท็จ เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำงานให้โจทก์เต็มเวลาการทำงาน จำเลยที่ ๑ ต้องคืนค่าจ้าง ในส่วนที่ไม่ได้ทำงานให้โจทก์ ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ในทำนองว่า การไปทำงานนอกสถานที่เป็นการทำงานให้ โจทก์ จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างนั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลแรงงานภาค ๒ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๔ - ๑๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่ ๒๓๔๑/๒๕๖๑ เรื่อง นายจ้างเรียกหลักประกันจากลูกจ้างโดยให้นำที่ดิน (น.ส.๓) มาจดทะเบียนจำนอง ถึงแม้ว่าจะจัดทำขึ้นก่อนที่ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันฯ ก็ตาม แต่มิใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายให้กระทำได้ เมื่อประกาศนี้มีผลใช้บังคับแล้ว นายจ้างไม่ดำเนินการเปลี่ยน หลักประกันให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด การนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ นายจ้างจึงต้องคืนทรัพย์สินที่นำมา เป็นหลักประกันฯ , เงินสะสมที่หักจากเงินเดือนทุกเดือน เป็นเงินของลูกจ้าง เมื่อนายจ้างเลิกจ้าง จึงต้อง คืนเงินสะสมให้แก่ลูกจ้าง นายจ้างไม่สามารถอ้างการใช้สิทธิยึดหน่วงตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๒๔๑ ได้ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ จำเลยจ้างโจทก์ทำงานตำแหน่งผู้จัดการสหกรณ์ ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ ๘๔,๒๗๐ บาท ต่อมาวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๙ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่าย เงินบำเหน็จ เงินสะสม ค่าเสียโอกาสในการทำงาน รวมเป็น เงินจำนวน ๖,๗๑๐,๓๐๐.๔๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยคืนหลักประกันการทำงานไถ่ถอนจำนองที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) แก่โจทก์ จำเลยให้การว่าเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ศาลแรงงานภาค ๕ พิพากษาให้จำเลยคืนเงินสะสม ๖๓๙,๑๑๖.๔๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย กับให้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) คืนแก่โจทก์ หากไม่ ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นต้องคืนหลักประกันการทำงานแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์เริ่มทำงานกับจำเลยตั้งแต่ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๕ โดยนำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) มาจดทะเบียนจำนอง เป็นหลักประกันการทำงานแก่จำเลย ถึงแม้ว่าจะจัดทำขึ้นก่อนที่ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ก็ตาม แต่ประกาศดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานฯ ไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๕ หลักประกันการทำงานฯ มี ๓ ประเภท ได้แก่ (๑) เงินสด (๒) ทรัพย์สิน (๓) การค้ำประกันด้วยบุคคล ข้อ ๙ กำหนดว่าในกรณีนายจ้างเรียกหรือรับ หลักประกันเป็นทรัพย์สินได้ ได้แก่ (๑) สมุดเงินฝากประจำธนาคาร (๒) หนังสือค้ำประกันธนาคาร และข้อ ๑๒ กำหนดว่าในกรณีที่นายจ้างได้เรียกหรือรับหลักประกันฯ เป็นทรัพย์สินหรือให้บุคคลค้ำประกัน... แต่มิใช่ทรัพย์สินตามข้อ ๙ หรือมีจำนวนมูลค่าของหลักประกันเกินจากที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ ทั้งนี้ ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ แสดงให้เห็นว่าเมื่อประกาศฉบับดังกล่าวนี้มีผลใช้บังคับแล้ว และโจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการสหกรณ์ซึ่งเป็นงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามข้อ ๔ แต่ทรัพย์สิน ที่โจทก์นำมาเป็นหลักประกันไม่ใช่ทรัพย์สินตามข้อ ๙ จำเลยจึงต้องดำเนินการเปลี่ยนหลักประกันให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ข้างต้น เนื่องจากประกาศฉบับนี้ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติ


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๕ - คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน หากมีการ ดำเนินการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว การนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าภายหลังที่ประกาศใช้บังคับ จำเลยไม่ได้ดำเนินเปลี่ยน หลักประกันไปเป็นหลักประกันอื่นตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๙ ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ กำหนดไว้ในประกาศดังกล่าว ดังนั้น ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่นายจ้างจะ เรียกหรือรับหลักประกันฯ ได้อีกต่อไป จำเลยจึงต้องคืนทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันฯ ประเด็นเงินสะสมที่จำเลยอุทธรณ์ว่า วัตถุประสงค์หลักของการเก็บเงินสะสมคือโจทก์สามารถใช้ สิทธิกู้เงินจากจำเลยได้ ๑๕ เท่าของเงินสะสมโจทก์ จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงเงินดังกล่าวเพื่อนำมาชำระหนี้ในมูล หนี้ละเมิดที่โจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายได้ เห็นว่า คดีนี้โจทก์และจำเลยตกลงยินยอมให้จำเลย หักเงินเดือนอัตราร้อยละ ๕ ทุกเดือนเพื่อเก็บเป็นเงินสะสม และจะคืนให้เมื่อโจทก์ออกจากตำแหน่ง ดังนั้น เงินสะสมดังกล่าวจึงเป็นเงินของโจทก์ เมื่อจำเลยเลิกจ้าง จึงต้องคืนเงินสะสมให้แก่โจทก์ แม้จำเลยจะอ้างว่า โจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและพนักงานอัยการจังกวัดดำเนินคดีแพ่งแก่โจทก์แล้วก็ตาม แต่กรณี ดังกล่าว ไม่ถือว่าเป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยทรัพย์สินซึ่งครอบครอง จำเลยจึงไม่สามารถอ้าง การใช้สิทธิยึดหน่วงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๑ ได้ พิพากษายืน ๑๓. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๔๐๗/๒๕๖๑ เรื่อง นายจ้างหักเงินค่าจ้างลูกจ้างโดยเรียกเป็น “เงินสะสม” แต่ได้ความว่านายจ้างไม่ได้ ก่อตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างขึ้นมา เงินดังกล่าวจึงไม่เงินสะสมตามความหมายพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ดังนั้น การหักค่าจ้างจึงไม่ใช่การหักเพื่อการหนึ่งการใด ตามมาตรา ๗๖ (๑) – (๕) เมื่อลูกจ้างออกจากงาน นายจ้างจึงต้องคืนเงินที่หักไว้พร้อมดอกเบี้ย คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งช่างซ่อมบำรุง ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๒๒,๗๔๑ บาท ระหว่างทำงานจำเลยหักค่าจ้างเป็นเงินประกันการทำงานเดือนละ ๕๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท หักเงินสะสมจากเงินเดือนทุกเดือนตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๐ – ตุลาคม ๒๕๕๗ รวมเป็นเงิน ๖๖,๐๘๒ บาท และค้าจ่ายค่าจ้างเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ หลังออกจากงานโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่จ่าย ขอบังคับให้จำเลยชำระเงินสะสม เงินประกัน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จ่ายค่าจ้างเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นช่างซ่อมบำรุงและได้ ครอบครองรถยนต์กระบะเพื่อใช้ในการทำงาน แต่โจทก์มีเจตนาลักทรัพย์อะไหล่รถยนต์ และฟ้องแย้งว่าโจทก์ ลาออกไม่บอกล่าวล่วงหน้าทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ๑,๕๐๑,๘๕๐.๘๑ บาท ศาลแรงงานภาค ๘ พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ทุจริต พิพากษาให้จำเลย จ่ายค่าจ้างเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ จ่ายคืนเงินประกัน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี จ่ายคืนเงินสะสม พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปียกฟ้องแย้งจำเลย จำเลยอุทธรณ์


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๖ - ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ บัญญัติว่า เงินสะสม หมายความว่า เงินที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แสดงว่าการที่ลูกจ้างจะจ่ายเงินสะสม เข้ากองทุนฯ ได้นั้น ต้องได้ความว่านายจ้างได้ก่อตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างแล้ว แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ก่อตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างขึ้นมาและเงินที่จำเลยหักจาก เงินเดือนโจทก์ทุกเดือนนั้น จำเลยได้นำมาจ่ายเข้ากองทุนดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น เงินที่จำเลยหักจาก เงินเดือนโจทก์ทุกเดือนดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นเงินที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุนฯ จึงไม่ใช่เงินสะสมตาม ความหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่ศาลแรงงานภาค ๘ วินิจฉัยว่าเงินที่ จำเลยหักจากเงินเดือนโจทก์ทุกเดือนจำนวน ๖๖,๐๘๒ บาท เป็นเงินสะสมนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาล ฎีกา เมื่อไม่ปรากฏว่าเงินที่จำเลยหักไว้ดังกล่าวไม่ใช่การหักเพื่อการหนึ่งการใดดังที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง (๑) – (๕) จึงถือว่าจำเลยหักเงินเดือน ของโจทก์ไว้โดยไม่ชอบ ต้องห้ามตามบทบัญญัติมาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง ดังนั้น จำเลยจึงต้องคืนเงิน ๖๖,๐๘๒ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย พิพากษายืน ๑๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๔๐๙/๒๕๖๑ (รัฐวิสาหกิจ) เรื่อง การที่นายจ้างมีคำสั่งลงโทษลูกจ้างเนื่องจากทำผิดระเบียบด้วยการตัดเงินเดือน ร้อยละ ๑๐ นั้น การลงโทษมิใช่เป็นการหักค่าจ้าง แต่เป็นกรณีการลงโทษตามวินัยการทำงานซึ่งได้กำหนด ไว้ชัดเจนแล้วตามข้อบังคับของนายจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้ายเป็นนายช่างระดับ ๗ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๒ จำเลยให้โจทก์ย้ายออกจากบ้านพักโดยอ้างว่าโจทก์มีเรื่อง ทะเลาะวิวาท แต่โจทก์ไม่ย้ายออกตามคำสั่ง ต่อมาจำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและลงโทษ ทางวินัยโจทก์โดยการตัดเงินเดือนร้อยละ ๑๐ ไม่ได้รับการพิจารณาขึ้นเงินเดือน ไม่ได้รับโบนัส ขอบังคับ ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างและเงินเดือนที่หักไป โบนัส พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นการตัดเงินเดือนร้อยละ ๑๐ ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยคดีนี้เป็นรัฐวิสาหกิจ จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ แต่อยู่ภายใต้บังคับ ของประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ออกตามความในมาตรา ๑๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งแม้ว่า ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๓๑ จะบัญญัติห้ามนายจ้างหักค่าจ้างลูกจ้างก็ตาม แต่การที่จำเลยมีคำสั่งลงโทษโจทก์เนื่องจากโจทก์ ไม่เชื่อฟังและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ถือ ปฏิบัติตามระเบียบและธรรมเนียมปฏิบัติ ด้วยการตัดเงินเดือนของเดือนมีนาคม ๒๕๕๓ ร้อยละ ๑๐ นั้น การลงโทษของจำเลยมิใช่เป็นการหักค่าจ้าง แต่เป็นกรณีการลงโทษตามวินัยการทำงานซึ่งได้กำหนดไว้ชัดเจน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๗ - แล้วตามข้อบังคับของจำเลย ว่าด้วยระเบียบพนักงาน พ.ศ. ๒๕๑๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑.๒๑) ข้อ ๓๘ (๒) และข้อ ๔๐ (๔) ไม่ปรากฏว่าเป็นคำสั่งลงโทษที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบ ด้วยกฎหมาย ประเด็นคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ชอบด้วยมาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายค่าจ้างและเงินเดือนที่จำเลยหักไปร้อยละ ๑๐ เป็นเงิน ๗๓,๐๓๒ บาท เงินโบนัสประจำปี ๒๕๕๓ เป็นเงิน ๘๔,๖๑๔ บาท แต่จำเลยหักเงินเดือนเพียง ๔,๑๐๔ บาท ค่าจ้างที่โจทก์ ฟ้องจึงเรียกร้องมาจึงแปลความหมาได้ว่า เป็นเงินเดือนที่จำเลยไม่ได้ปรับเพิ่มให้โจทก์ตามฟ้องนั่นเอง เมื่อศาล แรงงานภาค ๒ กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ ๒ ข้อ ข้อ ๑ การลงโทษตัดเงินเดือนชอบหรือไม่ ข้อ ๒ จำเลย จะต้องจ่ายค่าจ้าง เงินเดือน เงินโบนัสหรือไม่ เพียงใด จึงมีความหมายว่า จำเลยจะต้องจ่ายค่าจ้างหรือ เงินเดือนที่จำเลยไม่ได้ปรับเพิ่มและเงินเดือนที่จำเลยตัดไปร้อยละ ๑๐ เงินโบนัส แก่โจทก์หรือไม่ แต่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงแต่เพียงว่าโจทก์กระทำผิดวินัยไม่อาจเรียกร้องเงินเดือนและ เงินโบนัสได้ ยังไม่ได้กล่าวหรือแสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและยังไม่ได้มีคำวินิจฉัย รวมทั้งยังไม่ได้ให้ เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยในส่วนเงินเดือนเพิ่ม คำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวน ไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป ๑๕. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๔๗๑๓ – ๔๗๒๔/๒๕๖๑ (มาตรา ๑๑/๑) เรื่อง แม้นายจ้างจะมีระเบียบข้อบังคับกำหนดว่า การขาดงานและการละทิ้งหน้าที่การงาน ลูกจ้างจะไม่ได้รับค่าจ้างในวันที่ขาดงานหรือวันที่ละทิ้งหน้าที่ก็ตาม นายจ้างจะใช้ข้อบังคับดังกล่าวมาเป็น เหตุแห่งการหักค่าจ้างไม่ได้ ข้อบังคับฯ ในส่วนที่ไม่จ่ายค่าจ้างแก่พนักงานรายเดือนในส่วนนี้ขัดต่อ มาตรา ๗๖ ไม่สามารถใช้บังคับได้, ขณะเกิดเหตุผู้ประกอบกิจการไม่มีพนักงานขับรถบรรทุกที่ทำงาน ในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างเหมาค่าแรง ลูกจ้างเหมาค่าแรงจึงไม่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง คดีนี้โจทก์ทั้ง ๑๒ คน ฟ้องว่า โจทก์กับพวกเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ทำงานตำแหน่งพนักงาน ขับรถบรรทุกสินค้า จำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า จำเลยที่ ๑ ได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ ว่าจ้างโจทก์กับพวกเข้าทำงานกับจำเลยที่ ๑ ในตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุกสินค้า ยกสินค้า คลังสินค้า อันเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของจำเลยที่ ๑ ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับ ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ ถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นนายจ้างของโจทก์ด้วย แต่โจทก์กับพวก ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการไม่เท่าเทียมกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ กล่าวคือ ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ มีเวลาทำงานปกติตั้งแต่วันจันทร์ – ศุกร์เวลา ๐๘.๓๐ – ๑๗.๐๐ น. รวมวันละ ๘ ชั่วโมง ส่วนโจทก์กับพวกมีเวลาทำงาน ๐๘.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. รวมวันละ ๘ ชั่วโมงครึ่ง อันเป็นการเลือกปฏิบัติและไม่เท่าเทียมกัน นอกจากนี้จำเลยที่ ๒ ยังมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับ


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๘ - การทำงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ หากลูกจ้างคนใดขาดลามาสายเกินวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ กำหนด จำเลยที่ ๒ จะหักค่าจ้างวันต่อวันที่ขาดลามาสาย นอกจากนี้จำเลยทั้งสองต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (งานขนส่งทางบก) ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าจ้างอันเป็นค่าตอบแทนที่ยังไม่ได้ชำระ ร่วมกัน จ่ายค่าจ้างที่หักไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยทั้งสองแก้ไขยกเลิกข้อบังคับฯ ที่หักเงินค่าจ้างฯ ให้จำเลย ทั้งสองปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (งานขนส่งทางบก) จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ยกเลิกแผนกพนักงานขับรถบรรทุกสินค้ามาตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ โดยจำเลยที่ ๑ ได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริการพนักงานขับรถเพียงรายเดียว จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีพนักงาน คนใดมีตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุกฯ และทำงานในลักษณะเดียวกับโจทก์อีกต่อไป โจทก์กับพวกมีลักษณะ การทำงานแตกต่างจากพนักงานประจำสำนักงาน จำเลยทั้งสองจึงสามารถกำหนดวันและเวลาทำงานของ โจทก์และลูกจ้างโดยตรงในสภาพที่แตกต่างกันได้ สำหรับเรื่องข้อบังคับการทำงานของจำเลยที่ ๒ กรณี ดังกล่าวไม่ใช่การหักค่าจ้าง แต่เป็นกรณีที่พนักงานไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างเนื่องจากไม่ได้ทำงาน จึงไม่ขัดต่อ กฎหมาย ประกอบกับสัญญาจ้างแรงงานเป็นสัญญาต่างตอบแทน หากลูกจ้างไม่ได้ทำงาน ก็จะไม่มีสิทธิได้รับ ค่าจ้างในช่วงเวลานั้น ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า ๑. กรณีลูกจ้างผู้รับเหมาค่าแรงจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง จะต้องทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง เมื่อจำเลย ที่ ๑ ยกเลิกพนักงานขับรถฯ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ จำเลยที่ ๑ ไม่มีพนักงานขับรถฯ ที่ทำงานในลักษณะเดียวกับ โจทก์ โจทก์ทั้ง ๑๒ คน จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นเพียง นายจ้างโดยตรงของโจทก์กับพวก จึงไม่ต้องรับผิดด้วย ๒. ข้อบังคับฯ ของจำเลยที่ ๒ ได้กำหนดหลักเกณฑ์การลาไว้อย่างชัดแจ้ง ระเบียบฯ เกี่ยวกับ การขาดลามาสายชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ต้องคืนเงินที่หักไว้ ๓. งานที่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงทำเป็นงานขนส่งทางบก เมื่อข้อบังคับฯ ของจำเลยที่ ๒ กำหนดเวลาทำงานปกติวันละ ๘ ชั่วโมง ทำงานสัปดาห์ละ ๖ วัน ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้ปรับปรุงแก้ไขข้อบังคับฯ ทำงาน ๕ วัน หยุด ๒ วัน สลับกัน โดยวันหยุดไม่จำเป็นต้องเป็นวันเสาร์อาทิตย์ ทำงานวันละ ๗.๕ ชั่วโมง สัปดาห์ละไม่เกิน ๓๗.๕ ชั่วโมง จึงเป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ แล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์กับพวกอุทธรณ์ ประเด็นมาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง โจทก์อุทธรณ์ว่า แม้พนักงานตามสัญญาจ้างโดยตรงของ จำเลยที่ ๑ จะไม่มีพนักงานขับรถบรรทุก แต่ในกระบวนการผลิตฯ ยังมีพนักงานที่ไม่ได้เป็นพนักงานขับรถมา ควบคุมการทำงานของโจทก์กับพวก ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า มาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง มี เจตนารมณ์มุ่งหมายที่จะคุ้มครองให้ลูกจ้างทั้งสองประเภทดังกล่าวที่ทำงานในลักษณะเดียวกันได้รับสิทธิ ประโยชน์และสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกัน จึงต้องพิจารณาจากลักษณะงานของลูกจ้างทั้งสองประเภทว่ามี หน้าที่อย่างเดียวกันหรือไม่ มิใช่พิจารณาจากงานที่ทำให้แก่หน่วยงานนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิด


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๙ - เหตุจำเลยที่ ๑ ไม่มีพนักงานขับรถบรรทุกฯ ที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับโจทก์กับพวก โจทก์กับพวกจึงไม่มี สิทธิได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง ประเด็นระเบียบข้อบังคับฯ ขัดต่อมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา ๗๖ มีเจตนารมณ์มุ่งหมายจะคุ้มครองให้ลูกจ้าง ได้รับค่าจ้างอย่างครบถ้วน จึงมีข้อยกเว้นให้หักได้เฉพาะ ๕ กรณี เท่านั้น เมื่อโจทก์กับพวกเป็นลูกจ้าง ที่ได้รับค่าตอบแทนการทำงานปกติเป็นรายเดือน ดังนั้น แม้จำเลยที่ ๒ จะมีระเบียบข้อบังคับการทำงานว่า การหยุดงานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการหยุดงานที่ไม่ถูกระเบียบ หากมีเหตุผลพอสมควรจะถือว่าเป็น การขาดงานหรือหากไม่มีเหตุผลอันสมควรถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่การงาน ทั้งการขาดงานและการ ละทิ้งหน้าที่การงานพนักงานจะไม่ได้รับค่าจ้างในวันที่ขาดงานหรือวันที่ละทิ้งหน้าที่ขาดงานและจะต้องถูก ลงโทษทางวินัยตลอดจนมีผลต่อการพิจารณาขึ้นเงินเดือนประจำปีและหรือเงินรางวัลหรือเงินตอบแทนอื่น ของบริษัทด้วยก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะให้ค่าจ้างได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ การที่โจทก์กับพวกไม่ปฏิบัติตามระเบียบเกี่ยวกับการลา หรือขาดงาน ก็เป็นเรื่องที่ จำเลยที่ ๒ ในฐานะนายจ้างจะต้องไปดำเนินการทางวินัยและลงโทษทางวินัยกับโจทก์ จำเลยที่ ๒ จะใช้ ข้อบังคับดังกล่าวมาเป็นเหตุแห่งการหักค่าจ้างไม่ได้ ข้อบังคับฯ ในส่วนที่ไม่จ่ายค่าจ้างแก่พนักงานราย เดือนในส่วนนี้จึงขัดต่อมาตรา ๗๖ ไม่สามารถใช้บังคับได้จำเลยที่ ๒ จึงหักค่าจ้างในวันที่โจทก์กับพวกไม่มา ทำงานไม่ได้ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าจ้างที่หักไว้คืนให้แก่โจทก์กับพวกคนละ ๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ๑๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๑๗/๒๕๖๑ เรื่อง นายจ้างลดค่าจ้าง และปรับเปลี่ยนตำแหน่งลูกจ้างมาโดยตลอดหลายปี โดยลูกจ้าง มิได้โต้แย้งคัดค้านหรือไปร้องพนักงานตรวจแรงงาน ส่วนรถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ นายจ้าง ไม่ได้จัดหาให้ตั้งแต่ลูกจ้างเข้าทำงาน โดยลูกจ้างใช้รถยนต์โจทก์เองตลอดเวลากว่า ๑๐ ปี พฤติการณ์ ถือได้ว่านายจ้างและลูกจ้างต่างตกลงกันโดยปริยายเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการจ้างแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลย เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน ค่าจ้างเดือนละ ๑๙๕,๐๐๐ ประกอบด้วยเงินเดือน ๑๙๐,๐๐๐ บาท และค่าน้ำมันรถ ๕,๐๐๐ บาท จำเลยตกลงให้โจทก์มีสิทธิครอบครองและใช้รถยนต์ประจำตำแหน่ง ๑ คัน พร้อมคนขับ ๑ คน ต่อมาตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๕ จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท ค่าจ้างส่วนที่เหลือ อีก ๙๕,๐๐๐ บาท จำเลยไม่จ่ายโดยไม่มีเหตุผล ในระหว่างทำงานโจทก์ได้รับค่าจ้างเรื่อยมา แต่จำเลยไม่นำ ค่าจ้างจำนวน ๙๕,๐๐๐ บาท มาเป็นฐานในการปรับค่าจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้าง โจทก์ดำรง ตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป อัตราค่าจ้างเดือนละ ๑๘๐,๐๖๒.๒๔ บาท แต่เมื่อรวมค่าจ้างที่จำเลยต้องจ่ายให้อีก


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๐ - ๙๕,๐๐๐ บาท โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๒๙๕,๐๖๒.๒๔ บาท และตั้งแต่ทำงาน จำเลยไม่เคยส่ง มอบรถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ ต่อมาวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๔ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีเหตุผล เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายเดือนละ ๙๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย และเงินเพิ่มทุกระยะเวลา ๗ วัน เป็นเงิน ๓๔๑,๗๓๓,๐๔๙.๙๕ บาท โจทก์ต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวและต้อง ว่าจ้างคนขับเองเป็นเวลา ๑๐ ปี ๒ เดือน ๓ วัน คิดเป็นเงิน ๖,๘๓๒,๐๐๐ บาท นอกจากนี้โจทก์ไม่นำ ค่าจ้าง ๙๕,๐๐๐ บาท มาคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงต้องรับผิด ค่าชดเชยที่จ่ายไม่ครบ ๙๕๐,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่วงล่วงหน้า ๙๕,๐๐๐ บาท เงินโบนัส ฯลฯ ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๕,๕๐๑,๒๔๔.๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลแรงงานภาค ๒ รับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติและวินิจฉัยว่า สิทธิเรียกร้องค่าจ้าง ค้างจ่ายมีอายุความ ๒ ปีนับแต่วันครบกำหนดจ่ายค่าจ้าง ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ส่วนที่จำเลยจ่าย ค่าจ้างเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๔๕ เป็นต้นไปนั้น หากจำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่ โจทก์ไม่ครบ โจทก์น่าจะโต้แย้งต่อผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยหรือโต้แย้งไปยังสำนักงานใหญ่ของจำเลย หากจำเลยยังเพิกเฉย โจทก์น่าจะร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน แต่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านหรือทวงถามหรือ ร้องทุกข์หรือร้องเรียนไปยังสำนักงานใหญ่ของจำเลย หรือยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน ประกอบกับ จำเลยย้ายโจทก์ดำรงตำแหน่งต่างๆ และปรับเปลี่ยนอัตราเงินเดือนโจทก์มาโดยตลอด จนกระทั่งครั้งสุดท้าย ได้รับเงินเดือน ๑๘๐,๐๖๒.๒๔ บาท โจทก์ก็รับเงินเดือนในอัตราที่ปรับเปลี่ยนโดยไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน จึงรับฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยได้มีการตกลงปรับเปลี่ยนตำแหน่งและกำหนดเงินเดือนกันใหม่ให้เหมาะสม ตามที่จำเลยนำสืบ และจำเลยได้จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ครบตามข้อตกลงที่เปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว จำเลยจึงไม่ได้ ค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ ส่วนรถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ จำเลยไม่ได้จัดหาให้โจทก์ตั้งแต่โจทก์เข้าทำงานกับ จำเลย โดยโจทก์ใช้รถยนต์โจทก์เองตลอดเวลากว่า ๑๐ ปี พฤติการณ์ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างตกลงกันโดย ปริยายให้จำเลยแก้ไข้เปลี่ยนแปลงข้อตกลงการจ้างในเรื่องการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมคนขับรถ และสัญญาจ้างตามเอกสาร จ. ๘ ปรากฏเพียงโจทก์มีสิทธิใช้รถยนต์ของบริษัทเท่านั้น แต่โจทก์กลับใช้รถยนต์ ส่วนตัว โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกค่าใช้สอยรถยนต์ส่วนตัวเป็นรถยนต์ประจำตำแหน่งและค่าจ้างคนขับรถได้ จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ขณะอายุ ๖๓ ปี ซึ่งโจทก์ทำงานจนถึงอายุ ๗๔ ปี ปรากฏในทางนำสืบ ว่าโจทก์ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในตำแหน่งรักษาการผู้จัดการทั่วไป จำเลยจึงนำเสนอโครงการเกษียณอายุ การทำงานให้โจทก์และเลิกจ้างโจทก์ เป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผลอันสมควร ไม่อาจถือว่าเป็นการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรม ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า คำวินิจฉัยศาลแรงงานภาค ๒ ไม่ชอบเนื่องจากในทางนำสืบไม่ปรากฏ หลักฐานใดๆ ที่ระบุว่าโจทก์และจำเลยตกลงปรับเปลี่ยนตำแหน่งและกำหนดอัตราเงินเดือน เมื่อไม่ปรากฏว่า ข้อตกลงโจทก์ยินยอมหรือตกลงเปลี่ยนแปลงเป็นลายลักษณ์อักษร....อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหมดล้วนเป็นอุทธรณ์


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๑ - โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค ๒ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ ๑๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๐๒๕ – ๔๐๒๖/๒๕๖๑ เรื่อง ลูกจ้างรายเดือน นายจ้างกำหนดเงื่อนไขว่า ในเดือนนั้นต้องปล่อยสินเชื่อจำนวน รถยนต์ได้ ๑๐ คัน หรือวงเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท จึงจะได้รับค่าตอบแทน อันเป็นการขัดแย้งกับหน้าที่ ที่นายจ้างจะต้องปฏิบัติ และขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะ ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างฟ้องว่า วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จำเลยรับโจทก์ที่ ๑ และ ๒ ทำงาน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สินเชื่อและการตลาด บริการด้านสินเชื่อเกี่ยวกับรถยนต์ ประจำสำนักงานสาขาเชียงใหม่ ค่าจ้างเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท และได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าคอมมิสชันในการขาย ลักษณะงานไปต้องเข้า สำนักงานทุกวัน โดยออกทำงานหาลูกค้าตามพื้นที่ต่างๆ โจทก์ทั้งสองยื่นหนังสือลาออกมีผลวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ จำเลยค้างจ่ายค่าจ้าง ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าจำเลยกำหนด เงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทนว่าต้องปล่อยสินเชื่อรายใหม่หรือหาลูกค้าแก่จำเลยไม่ต่ำกว่า ๑๐ คนต่อเดือน หรือไม่น้อยกว่า ๑, ๕๐๐,๐๐๐ บาท จึงจะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเดือนนั้น แต่โจทก์ทั้งสองไม่สามารถทำได้ ตามหลักเกณฑ์ จึงไม่มีสิทธิได้รับ ศาลแรงงานภาค ๕ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒๕,๖๗๒.๖๗ บาท และ ๓๐,๕๙๐.๘๓ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ทั้งสองได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาทเป็นค่าจ้าง ตอบแทนการทำงานเป็นรายเดือนทุกเดือนตามใบจ่ายเงินเดือน ดังนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงต้องเป็นไปตามสัญญาจ้างแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ โดยจำเลยมีหน้าที่ ต้องจ่ายค่าจ้างตลอดเวลาที่โจทก์ทั้งสองทำงานให้แก่จำเลยและแม้โจทก์ทั้งสองจะทราบเงื่อนไขที่จำเลย กำหนดให้โจทก์ทั้งสองจะได้รับค่าจ้าง ๑๐,๐๐๐ บาท ต่อเมื่อปล่อยสินเชื่อจำนวนรถยนต์ได้ ๑๐ คันหรือวงเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ในเดือนนั้นก็ตาม แต่เมื่อเงื่อนไขดังกล่าวมีผลให้การทำงานในเดือนนั้นของโจทก์ทั้งสอง อาจไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่จำเลยกำหนด กลับทำให้โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับค่าจ้างตอบแทนการทำงานที่ตนได้ ลงแรงไปแล้ว อันเป็นการขัดแย้งกับหน้าที่ที่จำเลยจะต้องปฏิบัติ และขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสอง จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้าง ค้างจ่ายแก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ย พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๒ - ๑๘. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๕๗๑๓/๒๕๖๑ (คดีเกี่ยวกับพนักงานตรวจแรงงาน) เรื่อง ลูกจ้างขาดงานวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔ – ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ นายจ้างเลิกจ้างเพราะ ขาดงานและเคยตักเตือนแล้วจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่วัน ที่ ๑ พฤษภาคม เป็นวันหยุดตามประเพณี วันที่ ๒ เป็นวันหยุดชดเชยวันแรงงาน วันที่ ๓ พฤษภาคม เป็นวันทำงาน ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้าง ๓ วัน คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการบริการและจำหน่ายส่วนประกอบเครื่องจักร จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งวิศวกรตั้งแต่วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ จำเลยที่ ๒ มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงาน ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียโอกาสในการทำงาน พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า ก่อนฟ้องโจทก์เคยไปยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจ แรงงานเรียกค่าชดเชย พนักงานตรวจแรงงานวินิจฉัยและมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย โจทก์ ขาดงาน ซึ่งเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน กาเลิกจ้างจึงชอบแล้เป็นธรรมแล้ว ระหว่างพิจารณา โจทก์และ จำเลยทั้งสองแถลงรับว่าพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและโจทก์มินำคดีไปสู่ ศาลภายใน ๓๐ วัน โจทก์จึงไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยตามฟ้อง ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างและสินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ได้ความตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ที่โจทก์และจำเลยแถลงรับกันในชั้น พิจารณาและที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันว่า โจทก์หยุดงานโดยไม่แจ้งตามระเบียบและขาดงานวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นวันเสาร์ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เป็นวันแรงงานและเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์) จึงเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว เป็นการละทิ้งหน้าที่การงานไปเสีย จำเลยจึงชอบที่จะเลิกจ้างได้โดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ โจทก์เป็นลูกจ้างรายเดือนจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันที่ ๑ และวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันหยุด ประจำสัปดาห์และวันหยุดตามประเพณี และวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เป็นวันทำงานปกติ คิดเป็นเงินวันละ ๓,๓๓๓.๓๓ บาท จำนวน ๓ วัน เป็นเงิน ๙,๙๙๙.๙๙ บาท จำเลยทั้งสองจึงต้องชำระค่าจ้างในส่วนดังกล่าว ส่วนกรณีของจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ให้คำนิยามคำว่า “นายจ้าง” ว่า นายจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้าง เข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทน นิติบุคคลและผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลให้ทำการแทนด้วย เมื่อจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ย่อมมีฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจาก จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้างโดยตรงของโจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคล จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำ แทน จำเลยที่ ๒ ได้กระทำไปภายในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๓ - ต่อโจทก์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าจ้างค้างจ่าย ๙,๙๙๙.๙๙ บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว และจำเลยทั้งสองไม่ต้องจ่ายสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ๑๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๙๑/๒๕๖๐ เรื่อง บริษัทแม่โอนลูกจ้างมาทำงานกับนายจ้างในประเทศไทย มีข้อตกลงชัดเจนตกลง นับอายุงานต่อเนื่อง เมื่อนายจ้างเลิกจ้างจึงต้องนับอายุงานต่อเนื่องจากบริษัทแม่ด้วย เมื่อลูกจ้างได้รับ ค่าจ้าง ๒ ส่วน คือ ที่ประเทศไทย ๒๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ อีกส่วน ๔,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ โอนจาก ต่างประเทศเข้าบัญชีธนาคารประเทศสก็อตแลนด์ เมื่อเลิกจ้างจึงต้องนำค่าจ้างทั้งสองส่วนมาคำนวณ ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๒ โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย ค่าจ้างอัตราสุดท้าย เดือนละ ๖,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและไม่ได้ บอกกล่าวล่วงหน้า ขอบังคับให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการ เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เงินโบนัส ฯลฯ (ดอลลาร์สหรัฐ) พร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๗,๐๒๘.๖๐ บาท สินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๗๒,๖๙๘ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๖๐๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ๑๙,๙๗๐.๐๓ ดอลลาร์สหรัฐ โบนัส ๓๖,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ประเด็นอายุงานเพื่อคำนวณค่าชดเชย ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามหนังสือโอน การจ้างระหว่างบริษัทแม่ บริษัทจำเลย และโจทก์ มีข้อความชัดเจนว่า บริษัทแม่จะโอนโจทก์มาทำงานกับ จำเลย โจทก์จะได้รับผลตอบแทนจากการจ้างจากจำเลยเหมือที่เคยได้รับจากบริษัทแม่ จำเลยตกลงว่า อายุงานโจทก์จะถูกโอนไปอยู่กับจำเลย เพื่อให้โจทก์ได้รับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ซึ่งบริษัทแม่ โจทก์ และจำเลย ต่างลงชื่อในข้อตกลงดังกล่าว ย่อมถือว่าโจทก์มีอายุทำงานเริ่มนับจากการทำงานให้ บริษัทแม่ในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๒ มาถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ระยะเวลา ทำงานของโจทก์จึงติดต่อกันครบ ๓ ปี แต่ไม่ครบ ๖ ปี โจทก์จึงต้องได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตรา สุดท้าย ๑๘๐ วัน ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว ประเด็นค่าชดเชย ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัท A จำกัด สาขาประเทศไทย ซึ่งมี นิติบุคคลจดทะเบียนที่ประเทศปานามา เงินเดือน ๖,๕๐๐ บาท แบ่งจ่ายเป็นค่าจ้าง ๒ ส่วน คือ จ่ายในประเทศไทย ๒,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอีก ๔,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ โอนจากต่างประเทศเข้าบัญชี โจทก์ในธนาคารที่ประเทศสกอตแลนด์ตามสัญญาจ้าง วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย โดยบริษัทแม่โอนสิทธิประโยชน์ หน้าที่ อายุงานของโจทก์มายังจำเลย ดังนั้น เมื่อจำเลยกับบริษัทแม่ตกลงกัน ให้บริษัทแม่จ่ายเงินเดือนส่วนที่ ๒ อีก ๔,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ แก่โจทก์ เพื่อตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๔ - ในประเทศไทย เงินเดือนส่วนที่สองจึงเป็นค่าจ้างเช่นกัน โจทก์จึงมีสิทธิได้ค่าจ้าง ๒ ส่วนดังกล่าว ที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาเพียงพอที่จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยถึงค่าชดเชย ค่าจ้างค้างจ่าย และสินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้าไปได้ จึงเห็นควรวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นไป ประเด็นโจทก์ฟ้องขอให้ชำระเงินเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ จำเลยชำระเงินดังกล่าวเป็นดอลลาร์สหรัฐและตามเอกสารการจ่ายเงินเดือน/โบนัส สำหรับพนักงานต่างชาติ ก็ระบุให้การจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหนี้เงินที่กำหนดไว้เป็นเงินตราต่างประเทศ จำเลยอาจชำระหนี้เป็นเงินไทยก็ได้ โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน ณ สถานที่และเวลาที่ใช้เงินตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๖ ซึ่งเป็นสิทธิของลูกหนี้ที่จะเลือกปฏิบัติการชำระหนี้ ศาลแรงงาน กลางจึงไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงสิทธิของลูกหนี้ได้ตามลำพัง และเมื่อโจทก์ขอให้จำเลยจ่ายเงินเป็น ดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศโดยไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕๔ ศาลแรงงานกลางจึงต้องกำหนดให้เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๓๓,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ๔,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยฯ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๕,๔๑๖.๖๖ ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยฯ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ๒๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๐๕๖/๒๕๖๐ (คดีฟ้องเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัด) เรื่อง หักค่าจ้าง : การที่นายจ้างใช้วิธีทดรองออกค่าใช้จ่ายในการเข้ามาทำงานในประเทศ ไทยให้แก่ลูกจ้างสัญชาติพม่าและให้ทำสัญญากู้ยืมเงินแล้วหักค่าจ้างชำระคืนก็ดี หรือหักค่าจ้างให้แก่ บริษัทจัดหางานก็ดี ล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่นายจ้างในการที่จะได้มีบุคลากรเข้ามาทำงานตามความ จำเป็นแก่กิจการของตนเอง มิใช่เป็นการหักค่าจ้างตามมาตรา ๗๖ (๓) และไม่เข้าข้อยกเว้นให้หักค่าจ้าง ได้ในข้ออื่นของมาตรา ๗๖ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัด กล่าวคือ โจทก์ฟ้องว่า บันทึกการประชุมร่วมกันระหว่างประเทศไทยกับสหภาพหม่า เรื่อง ขบวนการจัดส่งแรงงานพม่า รายใหม่มาทำงานในประเทศไทย ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ข้อ ๗ ระบุว่า “ทั้งสองฝ่ายได้ปรึกษาหารือ เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการเดินทางไปทำงานในประเทศไทย เช่น ค่าตรวจลงตรา (วีซ่า) การผ่านแดน ค่าตรวจโรค ค่าประกันสุขภาพ ค่าใบอนุญาตทำงาน ค่าเดินทางและค่าบริการ ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท และเป็น ภาระของฝ่ายคนงานพม่า หากคนงานพม่าไม่สามารถจ่ายได้ นายจ้างไทยจะจ่ายแทนให้ล่วงหน้า โดยนายจ้าง สามารถหักค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากเงินเดือนของคนงานได้ไม่เกินเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท” เป็นข้อยกเว้น มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ต่อมาโจทก์จ้างลูกจ้าพม่า ๖๔ คน โดยทดรอง จ่ายค่าดำเนินการทำหนังสือเดินทางและค่าอื่นๆ คนละ ๑๐,๐๐๐ บาท และ ๑๒,๐๐๐ บาท แล้วให้ลูกจ้างพม่า ทำสัญญากู้ยืมเงินกองทุนช่วยเหลือของโจทก์โดยไม่เสียดอกเบี้ยและทำหนังสือยินยอมให้โจทก์หักค่าจ้างไว้ โจทก์จึงหักค่าจ้างลูกจ้างเป็นรายเดือนชำระคืนค่าใช้จ่ายจึงเป็นหนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการแก่ลูกจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๕ - ฝ่ายเดียวตามมาตรา ๗๖ (๓) นอกจากหนี้ยังมีลูกจ้างสัญชาติพม่าที่โจทก์รับเข้าทำงานอีก ๑๘๖ คน ที่บริษัท จัดหางาน ก. ได้ทดรองออกค่าใช้จ่าย และลูกจ้างยินยอมให้โจทก์หักค่าจ้างชดใช้คืนแก่บริษัทจัดหางานได้ จึงไม่ฝ่าฝืนมาตรา ๗๖ โจทก์จึงไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัด... เรื่อง อุทธรณ์คำสั่ง พนักงานตรวจแรงงาน ที่วินิจฉัยว่าหนี้ดังกล่าวไม่ใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง ฝ่ายเดียวตามมาตรา ๗๖ (๓) ศาลแรงงานภาค ๒ เห็นว่า บันทึกการประชุมร่วมกันระหว่างประเทศไทยกับสหภาพพม่า...ข้อ ๗ เรื่องการหักค่าจ้างขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงตกเป็นโมฆะไม่สามารถบังคับได้คำวินิจฉัยอุทธรณ์ฯ จึงชอบแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ต้องการลูกจ้างสัญชาติพม่าจำนวนมากเข้ามาทำงานจึงต้องใช้วิธีทดรอง ออกค่าใช้จ่ายในการเข้ามาทำงานให้ไปก่อนแล้วหักค่าจ้างของลูกจ้างสัญชาติพม่าชำระคืนภายหลัง เช่นนี้ แสดงว่า การที่โจทก์ใช้วิธีทดรองออกค่าใช้จ่ายในการเข้ามาทำงานในประเทศไทยให้แก่ลูกจ้างสัญชาติพม่า และให้ทำสัญญากู้ยืมเงินแล้วหักค่าจ้างชำระคืนก็ดี หรือการที่โจทก์ดำเนินการหักค่าจ้างของลูกจ้างของลูกจ้าง สัญชาติพม่าให้แก่บริษัทจัดหางานเพื่อชดใช้คืนค่าใช้จ่ายในการเข้ามาทำงานในประเทศไทยก็ดี ล้วนแต่เป็น ประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างในการที่จะได้มีบุคลากรเข้ามาทำงานตามความจำเป็นแก่กิจการของ ตนเองมิใช่เป็นการหักค่าจ้างชำระหนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว จึงเป็น การฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ (๓) และไม่เข้าข้อยกเว้นให้หักค่าจ้างได้ ในข้ออื่นของมาตรา ๗๖ ทั้งนี้เมื่อมาตรา ๗๖ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ นายจ้างกับลูกจ้างไม่อาจตกลงหักค่าจ้างที่มีลักษณะแตกต่างจากบทบัญญัติดังกล่าวได้ โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง จึงยกเหตุความยินยอมของลูกจ้างและบันทึกการประชุมระหว่างประเทศไทยและสหภาพพม่ามาอ้างเพื่อ หักค่าจ้างไม่ได้โจทก์ต้องคืนค่าจ้างที่หักไว้พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีแก่ลูกจ้างสัญชาติพม่าทุกคน พิพากษายืน ๒๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๔๙๓/๒๕๖๐ เรื่อง เงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด ไม่เป็นค่าจ้าง นายจ้างจึงเสียดอกเบี้ยเพียง ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี , นายจ้างเลิกจ้างก่อนครบกำหนดในสัญญาจ้าง สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลง ความสัมพันธ์ ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างย่อมไม่มี เมื่อลูกจ้างมิได้ทำงานให้นายจ้างอีก นายจ้างจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง ให้แก่ลูกจ้าง การที่ศาลพิพากษาให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างไปจนครบระยะเวลา ที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง จึงไม่ถูกต้อง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการนวดแผนโบราณและสปา จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการทำหน้าที่บริหารจัดการมีระยะเวลาการจ้าง ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๕ – ๑๓ มกราคม ๒๕๕๗ ต่อมาวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโดยที่โจทก์มิได้กระทำ


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๖ - ความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด ค่าผลการทำงาน ค่าจ้างที่จำเลยต้องจ่าย หากโจทก์ปฏิบัติงานครบตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และ เงินอื่นๆ พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๕ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย เงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด ๑,๒๓๙,๔๑๕.๔๐ บาท ค่าจ้างส่วนที่โจทก์ไม่ได้ทำงานเนื่องจากจำเลยเลิกจ้างก่อนครบกำหนด ๒๐๔,๐๑๒.๖๔ บาท เงินอื่นๆ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ๗.๕ ต่อปี จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นว่าจำเลยต้องชำระค่าจ้างในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ทำงานเนื่องจากเลิกจ้างก่อนครบกำหนด หรือไม่ ศาลฎีกา เห็นว่า เมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงเพราะจำเลยเลิกจ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยผู้เป็น นายจ้างกับโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างย่อมไม่มี เมื่อโจทก์มิได้ทำงานให้แก่จำเลยอีก จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง ซึ่งเป็นเงินที่โจทก์จะได้รับเมื่อทำงานให้แก่จำเลย ที่ศาลแรงงานภาค ๕ พิพากษาให้จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่าย ค่าจ้างให้แก่โจทก์ไปจนครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ประเด็นเงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อได้ความว่าเงินค่าตอบแทน พิเศษทางการตลาดและค่าน้ำมันรถเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเป็นสวัสดิการแก่โจทก์ มิใช่จ่ายเพื่อตอบแทน การทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ เงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวจึงมิใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ และมิใช่เงิน ตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่ศาลแรงงานภาค ๕ กำหนดดอกเบี้ย ระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ ๑๕ ต่อปี จึงไม่ถูกต้อง แต่เงินทั้งสองประเภทเป็นหนี้เงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ย ระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔วรรคหนึ่ง ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกา มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) และ มาตรา ๒๔๖ ประกองพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าจ้างส่วนที่โจทก์ไม่ได้ทำงานเนื่องจากจำเลยเลิกจ้าง ก่อนครบกำหนด ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด และค่าน้ำมันรถ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๕ ๒๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๐๐/๒๕๖๐ เรื่อง นายจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างในวันสุดท้ายของเดือน อันเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ลูกหนี้ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดทันที โดยมิพักต้องเตือนก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๔ วรรคสอง เมื่อนายจ้าง ค้างชำระค่าจ้างหลายเดือน จึงต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวน นับถัดจากวันสุดท้ายของแต่ละเดือนซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไป


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๗ - คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ โจทก์ได้รับค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ ๓๘๐,๐๐๐ บาท มีกำหนดระยะเวลาการจ้าง ๑ ปีมี ข้อตกลงแบ่งจ่ายเงินค่าจ้างจำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท โอนเข้าบัญชีธนาคารโจทก์ในประเทศไทย ส่วนอีก ๓๐๐,๐๐๐ บาท โอนเข้าบัญชีธนาคารโจทก์ในต่างประเทศ ต่อมาวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ โจทก์ลาออก เนื่องจากจำเลยทั้งสองไม่จ่ายค่าจ้างตามสัญญา โดยจ่ายเพียง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองจ่าย ค่าจ้างค้างจ่าย ๑,๐๑๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันวันสุดท้ายของแต่ละเดือนจนกว่า จะชำระเสร็จ และเงินเพิ่มทุกระยะ ๗ วัน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าจ้างค้างจ่ายเป็นเงิน ๙๔๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๖) จนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ประเด็นค่าจ้างค้างจ่ายพร้อมดอกเบี้ย ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ตกลงจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ ในวันสุดท้ายของเดือน อันเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภายใน กำหนดเวลาดังกล่าว ลูกหนี้ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีโดยมิพักต้องเตือนก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๒๐๔ วรรคสอง เมื่อจำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าจ้างเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ – มิถุนายน ๒๕๕๕ จำเลยที่ ๑ จึงต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับถัดจากวันสุดท้ายของแต่ ละเดือนซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไป พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าจ้างเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน นับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ค่าจ้างเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน นับแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ค่าจ้างเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน นับแต่ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ และค่าจ้างเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๗๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน นับแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ๒๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๘๘๑/๒๕๕๙ เรื่อง ลูกจ้างมาทำงานสาย นายจ้างเตือน ๒ ครั้งแล้ว ยังฝ่าฝืน ถือว่ากระทำผิดซ้ำคำเตือน เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เมื่อลูกจ้างเป็นลูกจ้างรายเดือน ทำงานถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ แล้วถูกเลิกจ้าง แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานสัปดาห์ละ ๔๐ ชั่วโมง นายจ้างจะจ่ายเฉพาะชั่วโมง ที่ทำงานไม่ได้ แต่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ๑๘ วัน ซึ่งรวมวันหยุดประจำสัปดาห์ด้วย คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำงานตำแหน่งวิศวกรซอฟแวร์ ค่าจ้างเดือนละ ๕๕,๐๐๐ บาท วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาให้มีผลทันทีโดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอบังคับให้


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๘ - จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ขาดไป ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่ เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนเรื่องมาทำงานสายและกลับก่อนเป็น อาจิณ และขาดงาน ๓ วันทำงานติดต่อกัน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยกำหนดให้โจทก์ทำงานจันทร์ – ศุกร์ เวลาทำงาน ปกติ ๐๙.๐๐ – ๑๘.๐๐ น. ในทางปฏิบัติจำเลยยอมผ่อนผันให้เริ่มทำงานได้ไม่เกินเวลา ๐๙.๓๐ น. โจทก์ เข้าทำงานหลัง ๐๙.๓๐ ประจำ จนกระทั่งจำเลยออกหนังสือเตือนฉบับที่ ๒ แล้วยังมาทำงานสายอีก นอกจากนี้ยังละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยจึงเลิกจ้างได้โดยไม่ต้อง จ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจ่ายค่าจ้าง เดือนที่เลิกจ้างให้แล้ว ๔๑ ชั่วโมง ๒๖ นาที จึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้อ้างเหตุละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกันในหนังสือ เลิกจ้าง ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้นอกจากศาลแรงงานกลางจะฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วัน ทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ยังฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ซึ่งต่อมาได้เตือนเป็นหนังสือแล้ว จำเลยจึงเลิกจ้างได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชยฯ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ ข้อนี้ของโจทก์เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ประเด็นค่าจ้างของเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ เห็นว่า ระหว่างวันที่ ๑ – ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ อันเป็นวันเลิกจ้าง แม้โจทก์มาทำงานระหว่างวันจันทร์ – ศุกร์ เป็นวันทำงาน ๙ วัน และมีวันหยุดประจำ สัปดาห์คือวันที่ ๕,๖ และ ๑๒, ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โจทก์ขาดงานวันที่ ๒ , ๑๔ – ๑๗ รวม ๕ วัน เมื่อโจทก์เป็นลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนตามสัญญาจ้างแรงงานโดยได้รับค่าจ้างเป็นอัตรารายเดือนละ ตามจำนวนที่กำหนดไว้แน่นอน และการคิดค่าจ้างรายเดือนมิได้นำจำนวนวันหรือชั่วโมงที่โจทก์เข้าปฏิบัติงาน จริงมาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าจ้าง ถ้าโจทก์ขาดงานหรือปฏิบัติงานสายบ้าง โจทก์ก็มิได้ถูกลดหรือถูกตัด ค่าจ้างในวันดังกล่าว โจทก์ยังคงได้รับค่าจ้างรายเดือนเต็มจำนวน เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างรวม ๑๘ วัน เป็นเงิน ๓๙,๙๙๙.๙๙ บาท ที่ศาลแรงงานกลาง วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างเฉพาะชั่วโมงที่ทำงานนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อจำเลยจ่ายค่าจ้าง เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้โจทก์เพียง ๑๓,๑๔๗ บาท จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างอีก ๑๙,๘๕๒.๙๙ บาท พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ จำนวน ๑๙,๘๕๒.๙๙ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๙ - ๒๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๙๖/๒๕๕๙ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน) เรื่อง นายจ้างจะนำเอายอดเงินของค่า CFI และค่า LAPSE ส่วนที่นายจ้างคำนวณจาก ยอดขายประกันชีวิตที่ได้มีการยกเลิกมาหักกับค่าจ้างของลูกจ้างที่ค้างจ่ายแก่ลูกจ้างไม่ได้ขัดต่อ มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๔๐/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล ประเภทบริษัท จำกัด จำเลย เป็นพนักงานตรวจแรงงาน เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ลูกจ้างของโจทก์ จำนวน ๓๒ ราย ยื่นคำร้องต่อจำเลย ขอให้สั่งให้โจทก์จ่ายค่าจ้างและค่าทำงานในวันหยุดของเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งลูกจ้างบางรายได้ถอนคำร้องแล้ว คงเหลือลูกจ้างเพียง ๒๒ ราย ต่อมาจำเลยได้มีคำสั่งที่ ๐๐/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๐๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ สั่งให้โจทก์จ่ายค่าจ้างและค่าทำงานในวันหยุดแก่ลูกจ้างทั้ง ๒๒ ราย และฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์ยังไม่จ่ายค่าจ้างที่เป็นเงินเดือนของเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ทั้งค่าจ้างที่ค้างจ่าย นั้นมิได้มีค่าคอมมิชชันรวมอยู่ด้วยเงินเดือนที่โจทก์จ่ายแก่ลูกจ้างบางรายจึงต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์จะนำเอายอดเงินของค่า CFI และค่า LAPSE ส่วนที่โจทก์คำนวณจากยอดขายประกันชีวิต ที่ได้มีการยกเลิกมาหักกับค่าจ้างของเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ที่โจทก์ค้างจ่ายแก่ลูกจ้างทั้ง ๒๒ ราย หาได้ไม่ ส่วนค่าทำงานในวันหยุดที่โจทก์จ่ายให้ลูกจ้างวันละ ๒๐๐ บาท นั้น ขัดต่อกฎหมายโจทก์จึงต้องจ่ายให้ถูกต้อง ตามที่กฎหมายกำหนดไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอนคำสั่งของจำเลย ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๐๐/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๐๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้แล้วว่าค่าจ้างของเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ที่โจทก์ค้างจ่ายลูกจ้างตามคำสั่งของจำเลย มิได้มีค่าจ้างที่เป็นส่วนของค่าคอมมิชชันรวมอยู่ด้วย และเมื่อ ค่า CFI และค่า LAPSE ที่โจทก์จะนำมาหักนั้น มิใช่เป็นเงินประเภทใดประเภทหนึ่ง ตามมาตรา ๗๖ (๑) ถึง (๕) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ ที่จะให้นายจ้างมีสิทธินำมาหักออกจากค่าจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธินำค่า CFI และค่า LAPSE ดังกล่าวมาหักออกจากค่าจ้างที่ค้างจ่ายได้ ที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ จ่ายค่าจ้างค้างจ่ายแก่ลูกจ้างทั้ง ๒๒ ราย ตามคำสั่งที่ ๔๐/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ จึงเป็นคำสั่ง ที่ชอบแล้ว และที่ศาลแรงงานกลางไม่เพิกถอนคำสั่งของจำเลยมานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนไป พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๐ - ๒๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๘๘๑/๒๕๕๙ เรื่อง ลูกจ้างมาทำงานสาย นายจ้างเตือน ๒ ครั้งแล้ว ยังฝ่าฝืน ถือว่ากระทำผิดซ้ำคำเตือน เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เมื่อลูกจ้างเป็นลูกจ้างรายเดือน ทำงานถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ แล้วถูกเลิกจ้าง แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานสัปดาห์ละ ๔๐ ชั่วโมง นายจ้างจะจ่ายเฉพาะชั่วโมง ที่ทำงานไม่ได้ แต่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ๑๘ วัน ซึ่งรวมวันหยุดประจำสัปดาห์ด้วย คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำงานตำแหน่งวิศวกรซอฟแวร์ ค่าจ้างเดือนละ ๕๕,๐๐๐ บาท วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาให้มีผลทันทีโดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอบังคับให้ จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ขาดไป ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่ เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนเรื่องมาทำงานสายและกลับก่อนเป็น อาจิณ และขาดงาน ๓ วันทำงานติดต่อกัน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยกำหนดให้โจทก์ทำงานจันทร์ – ศุกร์ เวลาทำงาน ปกติ ๐๙.๐๐ – ๑๘.๐๐ น. ในทางปฏิบัติจำเลยยอมผ่อนผันให้เริ่มทำงานได้ไม่เกินเวลา ๐๙.๓๐ น. โจทก์เข้า ทำงานหลัง ๐๙.๓๐ ประจำ จนกระทั่งจำเลยออกหนังสือเตือนฉบับที่ ๒ แล้วยังมาทำงานสายอีก นอกจากนี้ยัง ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยจึงเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนที่เลิกจ้าง ให้แล้ว ๔๑ ชั่วโมง ๒๖ นาที จึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้อ้างเหตุละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกันในหนังสือ เลิกจ้าง ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้นอกจากศาลแรงงานกลางจะฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วัน ทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ยังฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ซึ่งต่อมาได้เตือนเป็นหนังสือแล้ว จำเลยจึงเลิกจ้างได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชยฯ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ ข้อนี้ของโจทก์เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ประเด็นค่าจ้างของเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ เห็นว่า ระหว่างวันที่ ๑ – ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ อันเป็นวันเลิกจ้าง แม้โจทก์มาทำงานระหว่างวันจันทร์ – ศุกร์ เป็นวันทำงาน ๙ วัน และมีวันหยุดประจำ สัปดาห์คือวันที่ ๕,๖ และ ๑๒, ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โจทก์ขาดงานวันที่ ๒ , ๑๔ – ๑๗ รวม ๕ วัน เมื่อโจทก์เป็นลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนตามสัญญาจ้างแรงงานโดยได้รับค่าจ้างเป็นอัตรารายเดือนละ ตามจำนวนที่กำหนดไว้แน่นอน และการคิดค่าจ้างรายเดือนมิได้นำจำนวนวันหรือชั่วโมงที่โจทก์เข้าปฏิบัติงาน จริงมาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าจ้าง ถ้าโจทก์ขาดงานหรือปฏิบัติงานสายบ้าง โจทก์ก็มิได้ถูกลดหรือถูกตัด ค่าจ้างในวันดังกล่าว โจทก์ยังคงได้รับค่าจ้างรายเดือนเต็มจำนวน เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างรวม ๑๘ วัน เป็นเงิน ๓๙,๙๙๙.๙๙ บาท ที่ศาลแรงงานกลาง วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างเฉพาะชั่วโมงที่ทำงานนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อจำเลยจ่ายค่าจ้าง เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้โจทก์เพียง ๑๓,๑๔๗ บาท จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างอีก ๑๙,๘๕๒.๙๙ บาท


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๑ - พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ จำนวน ๑๙,๘๕๒.๙๙ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ๒๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๙๒/๒๕๕๙ เรื่อง ลูกจ้างประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชายักยอกเงินไป โดย ลูกจ้างทำหนังสือรับสภาพหนี้ชดใช้เงิน ยินยอมหักค่าจ้างกับเงินหรือผลประโยชน์หลังพ้นสภาพการเป็น ลูกจ้าง นายจ้างจึงมีสิทธิหักค่าจ้างและเงินบำเหน็จจากลูกจ้างได้ คดีนี้โจทก์ ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ต่อมาพนักงานของจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ของโจทก์ยักยอกเงินของจำเลยไป จำเลยให้โจทก์ทำหนังสือรับสภาพหนี้และหักค่าจ้างเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย เป็นเงิน ๕๘,๐๐๐ บาท และเมื่อโจทก์ออกจากงานจำเลยหักเงินบำเหน็จหรือเงินสงเคราะห์ของโจทก์หักชดใช้ ค่าเสียหายอีก ๙๕,๕๓๙.๗๗ บาท โดยไม่มีสิทธิ ขอบังคับให้จำเลยชำระเงิน ๑๕๓,๕๓๙.๗๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๔ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ทำงานตำแหน่งผู้จัดการเขตขายสาขาขอนแก่น จำเลย มีประกาศกำหนดให้ผู้ทำงานในตำแหน่งเช่นโจทก์ต้องรับผิดชอบร้อยละ ๗๐ หากพนักงานขายยักยอก นาย ส. ผู้ใต้บังคับบัญชาโจทก์ได้เก็บเงินค่าสินค้าเชื่อจากร้านค้าแล้วทุจริตเบียดบังยักยอกเงินไปจำนวน ๑๙๑,๙๒๕ บาท โจทก์ทำหนังสือรับสภาพหนี้ชดใช้เงินแก่จำเลย ๑๖๑,๖๘๕ บาท โดยยอมหักค่าจ้างบางส่วน กับเงินหรือผลประโยชน์หลังพ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง โดยจำเลยเริ่มหักค่าจ้างเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท รวม ๕๘ เดือน ต่อมาโจทก์ลาออก วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จำเลยหักเงินบำเหน็จและเงินสงเคราะห์ชดใช้ เงินจนครบและจ่ายส่วนที่เหลือแก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานภาค ๔ วินิจฉัยว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินตามฟ้องจึงชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าหนังสือยินยอม ชดใช้หนี้เป็นสัญญาที่เอาเปรียบลูกจ้างเกินสมควรนั้นเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลแรงงานภาค ๔ เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ ๒๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๒๓๗ – ๑๐๒๔๐/๒๕๕๙ เรื่อง ในระหว่างปิดงาน ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง โจทก์กับพวกเป็นลูกจ้างของจำเลยและเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ม. เดิมจำเลยกับสหภาพ แรงงานทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๒๒ ต่อมาสหภาพแรงงาน ยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลยเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และจำเลยยื่นข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงาน เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งไม่สามารถตกลงกันได้จนเกิดเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ขึ้น จำเลย จึงใช้สิทธิปิดงานเฉพาะสมาชิกสหภาพแรงงานและลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องตั้งแต่วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ จกกว่าจะตกลงกันได้โดยไม่จ่ายค่าจ้างและสวัสดิการต่างๆ เป็นเวลา ๔๑ วัน ต่อมาวันที่ ๕ มีนาคม


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๒ - ๒๕๕๔ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับใหม่และจำเลยประกาศเปิดงาน ตามปกติ โดยปรับค่าจ้างประจำปีให้โจทก์ในอัตราวันละ ๒ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามข้อตกลง เกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ ข้อตกลงที่ ๑ ข้อ ๒ ระบุว่าตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป จำเลยปรับฐานค่าจ้างเพิ่มให้ลูกจ้างทุกคนอีกปีละ ๒ บาทต่อวัน หมายความว่า ตลอดเวลา ที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับเมื่อถึงวันที่ ๑ มกราคมของปีถัดไป จำเลยต้องเพิ่มค่าจ้าง ให้ลูกจ้างอีกปีละ ๒ บาทต่อวัน และปรับเข้าเป็นฐานค่าจ้างของลูกจ้างจนกว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง สิ้นผลใช้บังคับ เนื่องจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระบุว่าให้มีผลใช้บังคับระหว่างวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ – ๒๒ มกราคม ๒๕๕๔ ดังนั้นในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ จำเลยจึงต้องปรับฐานค่าจ้างให้ลูกจ้างเพิ่ม อีกวันละ ๒ บาท ประกอบกับเมื่อสหภาพแรงงานกับจำเลยตกลงกันได้ใหม่ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ฉบับลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ข้อ ๘ ระบุว่าสภาพการจ้างอื่นใดที่ดีอยู่แล้วและไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ให้คงไว้ตามเดิม ไม่มีการตกลงให้ยกเลิกหรือแก้ไขข้อตกลงฯ ฉบับลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ ข้อตกลงที่ ๑ ข้อ ๒ ดังนั้น จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มให้ลูกจ้างอีกปีละ ๒ บาทต่อวัน นับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ อันเป็นการปรับฐานค่าจ้างเพิ่มตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ ที่มีผลใช้ บังคับอยู่ในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ นั่นเอง สหภาพแรงงานและจำเลยตกลงกันได้และทำข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ซึ่งข้อ ๙ ระบุว่ามีอายุนับตั้งแต่วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ดังนั้น ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ คงมีอยู่ถึงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นวันสุดท้าย ในวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ไม่มีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกัน ไม่ได้ จำเลยจึงปิดงานตามมาตรา ๒๒ วรรคสาม ได้ถึงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๔ รวมเป็นระยะเวลาปิดงาน ๓๙ วัน แม้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ข้อ ๑๐ ระบุให้ลูกจ้างทุกคน กลับเข้าทำงานภายในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๔ แต่ไม่ได้ระบุข้อยกเว้นให้จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในระหว่างที่ ลูกจ้างยังไม่เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ ๕ – ๙ มีนาคม ๒๕๕๔ ดังนั้น จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างตั้งแต่วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป การที่ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งสี่คนละ ๔๒๖ บาท อันเป็นเงินที่เกิดจากการปรับเพิ่มค่าจ้างประจำปี ๒ บาทต่อวัน ตามข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๔ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันฟ้องโดยไม่หักวันที่จำเลย ปิดงานตามมาตรา ๒๒ วรรคสาม เป็นเวลา ๓๙ วัน ออก จึงไม่ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ให้แก่โจทก์ทั้งสี่เพิ่มขึ้นอีกวันละ ๒ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ จนถึงวันฟ้อง (วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔) แต่ไม่เกินเดือนละ ๖๐ บาท ตามที่โจทก์ทั้งสี่ขอ โดยให้หักวันที่จำเลยปิดงานโดยชอบด้วย พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๒ วรรคสาม จำนวน ๓๙ วัน ออกเสียด้วย นอกจาก ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒


Click to View FlipBook Version