The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ฎีกา-หักค่าจ้าง-จ่ายค่าจ้าง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ฎีกา-หักค่าจ้าง-จ่ายค่าจ้าง

ฎีกา-หักค่าจ้าง-จ่ายค่าจ้าง

นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๓ - ๒๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๒๑/๒๕๕๘ เรื่อง แม้ลูกจ้างจะทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อนายจ้างไว้ก็ตาม แต่ลูกจ้างไม่มีส่วนร่วม รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ลูกจ้างก็ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่นายจ้าง คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขายให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามหนังสือ รับสภาพหนี้พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๔ พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ นาย ส. ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ในราคา ๗๓๗,๖๗๒ บาท โดยผ่อนชำระเป็นงวด ผู้จัดการฝ่ายขาย อนุมัติส่งมอบรถยนต์ให้แก่นาย ส. การที่ผู้จัดการฝ่ายขายอนุมัติให้ส่งมอบรถยนต์ไปโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ ของไฟแนนซ์เกี่ยวกับความสามารถในการชำระค่าเช่าซื้อและประวัติการเงินของนาย ส. ถือเป็นการฝ่าฝืน ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นพนักงานภายใต้การบังคับบัญชาของผู้จัดการฝ่ายขาย จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะตัดสินใจให้ส่งมอบรถยนต์ได้ ดังนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่นาย ส. ไม่ผ่อนชำระ ค่าเช่าซื้อและไม่ส่งมอบรถยนต์คืนก็เป็นเรื่องที่จะไปดำเนินการแก่ผู้สั่งอนุมัติให้ส่งมอบรถยนต์ เมื่อจำเลยไม่มี ส่วนร่วมรับผิดต่อความเสียหายในกรณีนี้ แม้จำเลยจะลงชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้ก็ไม่มีหนี้ที่จำเลยต้องรับผิด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลแรงงานภาค ๔ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ๒๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๘๗๓/๒๕๕๘ เรื่อง แม้จะเป็นการเตือนด้วยจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาแล้วระบุว่า หากลูกจ้างไม่ปรับปรุง นายจ้างจะใช้มาตรการทางวินัยที่จำเป็น ถือว่ามีลักษณะเป็นหนังสือเตือนที่ชอบ ด้วยกฎหมายแล้ว , ลูกจ้างมีอาการป่วยจริง แม้ไม่มีใบรับรองแพทย์ก็ตาม นายจ้างก็ไม่มีสิทธิหักค่าจ้าง ในวันลาป่วยได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งผู้จัดการผลิตภัณฑ์ วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า และเดือนธันวาคม ๒๕๔๘ จำเลย หักค่าจ้างโจทก์จำนวน ๔ วัน จำเลยให้การว่าโจทก์ทำผิดซ้ำคำเตือน เดือนธันวาคม ๒๕๔๘ โจทก์ขาดงาน โดยมิได้ลางาน โจทก์ยื่นใบลาโดยอ้างว่าลาป่วยไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดงหรือชี้แจงให้จำเลยทราบแต่ ประการใด ศาลแรงงานพิจารณาประเด็นหนังสือเตือนแล้วเห็นว่า ข้อความระบุให้โจทก์ปรับปรุงพฤติกรรม ในการทำงานไม่ปรากฏรายละเอียดว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเรื่องใด หากกระทำผิดซ้ำจะลงโทษอย่างใด จึงไม่มี ลักษณะเป็นหนังสือเตือนตามกฎหมาย พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้าง ค่าโทรศัพท์ ค่าพาหนะ ค่าจ้าง สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกามีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่จำเลยได้จัดส่งแก่โจทก์เป็นหนังสือ เตือนหรือไม่ เห็นว่า การเตือนเป็นหนังสือนั้นจะต้องประกอบด้วย ข้อเท็จจริงกับพฤติกรรมที่ลูกจ้างกระทำผิด


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๔ - รายละเอียดเกี่ยวกับที่โจทก์ฝ่าฝืนโดยละเอียดเพียงพอที่จะทำให้ลูกจ้างผู้กระทำผิดทราบถึงการฝ่าฝืนข้อบังคับ เกี่ยวกับการทำงานของตน และการเตือนว่าหากลูกจ้างกระทำผิดซ้ำคำเตือนจะถูกลงโทษทางวินัย หรือ ดำเนินการอย่างใด คดีนี้นาง อ. จำเลย มีหนังสือเตือนโจทก์ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ๒ ครั้ง คือในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๙ และ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๙ ว่าผลงานโจทก์ต่ำกว่าเป้าหมายและโจทก์ไม่ส่งรายงานการขาย โดยอ้างข้อบังคับของจำเลยข้อ ๑๔ (๑) ไร้ความสามารถ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม และ ระบุว่าหากโจทก์ไม่ปรับปรุง จำเลยจะใช้มาตรการทางวินัยที่จำเป็นนั้น ถ้อยคำในการเตือนตามเอกสารย่อม มีลักษณะเป็นหนังสือเตือนที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้ตามหนังสือเตือนวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๙ จะมี ถ้อยคำเป็นเพียงการย้ำให้ปฏิบัติตามคำเตือนอันมิใช่หนังสือเตือนก็ตาม แต่เมื่อจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ด้วยเหตุโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำเตือนในเรื่องการจัดส่งรายงานอยู่เป็นประจำ จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับฯ ระเบียบ คำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และจำเลยได้ ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วและไม่พ้นกำหนด ๑ ปี จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับ วันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๖๗ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕๗ ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้าง ในวันลาป่วย เมื่อคดีนี้ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มาทำงานในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เนื่องจาก โจทก์มีอาการป่วยจริง ดังนั้น จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำและค่าชดเชยแก่โจทก์ ๓๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๓๘๔/๒๕๕๘ เรื่อง คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน : ค่าที่พัก ค่าน้ำ...และค่าใบอนุญาต ทำงานคนต่างด้าวไม่ใช่หนี้อื่นตามมาตรา ๗๖(๑) และไม่ใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว ตามมาตรา ๗๖(๓) นายจ้างจึงไม่สามารถหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ฯ ของลูกจ้างได้, สิทธิเรียกร้องค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาฯ มีอายุความ ๒ ปี โจทก์ฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเอ ที่ ๐๐/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๐๐ สิงหาคม ๒๕๔๙ กรณีที่มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าจ้างที่จ่ายต่ำกว่าอัตราค่าจ้าง ขั้นต่ำย้อนหลังกว่า ๒ ปี แก่ลูกจ้างกับพวกรวม ๘๕ คน เป็นเงินจำนวน ๔๘๙,๔๙๙.๗๕ บาท โจทก์ไม่เห็นด้วย เนื่องจากสิทธิเรียกร้องค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ขาดอายุความ ๒ ปีแล้ว และโจทก์มีสิทธิ หักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาฯ ของลูกจ้างกับพวกได้ ศาลแรงงานภาค ๖ พิพากษาให้ แก้ไขคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน โดยให้โจทก์จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาฯ โดย แยกแยะหนี้ส่วนที่ขาดอายุความออก ซึ่งเมื่อหักแล้วคงเหลือเงินที่ลูกจ้างแต่ละคนจะได้รับ เป็นเงิน ๔๘๔,๔๕๒.๐๓ บาท โจทก์อุทธรณ์ประเด็นเรื่องการหักค่าจ้าง ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าอาหาร ค่าตรวจสุขภาพ ค่าประกัน สุขภาพ และค่าใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว เกิดจากการที่โจทก์ดำเนินการให้แก่ลูกจ้างทั้ง ๘๕ คน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๕ - ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดตากมีหนังสือขอความร่วมมือ ให้จัดหาที่พักแก่แรงงานเพื่อความมั่นคงและ ความสงบเรียบร้อยและเพื่อให้ความสะดวกแก่ลูกจ้างที่จะทำงานให้แก่โจทก์ เมื่อหนังสือขอความร่วมมือมิใช่ กฎหมายทั้งโจทก์ได้รับประโยชน์เป็นตัวเงินได้เพราะมีผลทำให้จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาฯ น้อยลงด้วย ดังนั้น ค่าที่พัก ค่าน้ำ ฯลฯ จึงมิใช่เงินอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ลูกจ้างต้องชำระและนายจ้างชำระแทน ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ (๑) หากแต่เป็นสวัสดิการที่นายจ้างจัด ให้เพื่อความสะดวกแก่โจทก์สามารถจ้างงานลูกจ้างซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวได้อย่างถูกต้องตามที่สำนักงาน จัดหางานมีหนังสือขอความร่วมมือโดยโจทก์ได้รับประโยชน์จากการออกค่าใช้จ่ายดังกล่าวด้วย เงินดังกล่าวจึง มิใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อ สวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว ตามมาตรา ๗๖ (๓) โจทก์จึงไม่สามารถ หักเงินดังกล่าวออกจากค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาฯ ได้ ที่ศาลแรงงานภาค ๖ พิพากษานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์โจทก์ ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ๓๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๖๒๔/๒๕๕๘ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน) เรื่อง การปรับลูกจ้างจากรายวันเป็นรายเดือนมีผลเพียงทำให้ลูกจ้างมีสิทธิต่างๆ เพิ่มขึ้น จากการเป็นลูกจ้างรายวัน ไม่มีข้อตกลงใดให้เข้าใจได้ว่าการปรับดังกล่าวจะต้องมีการขึ้นค่าจ้างแก่ ลูกจ้างด้วย การที่นายจ้างใช้เกณฑ์นำค่าจ้างรายวันคูณด้วย ๒๖ เพิ่มอีกร้อยละ ๕ บวกด้วย ๑๘๐ บาท โดยลูกจ้างได้รับเงินค่าจ้างรวมไม่ต่ำกว่าเดิม เป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้ว โจทก์ฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัด เอ กรณีที่มีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดและเงินอื่น ๆ ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า การปรับโจทก์เป็นพนักงานรายเดือนและใช้หลักเกณฑ์นำค่าจ้างรายวันคูณด้วย ๒๖ เพิ่มอีกร้อยละ ๕ บวกด้วย ๑๘๐ บาท เพิ่มค่าครองชีพ เพิ่มเบี้ยกันดาร และมีเงินประจำตำแหน่งให้อีกนั้น เป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์ได้รับค่าจ้างรายเดือนไม่ต่ำกว่าที่เคยได้จากการเป็นลูกจ้าง รายวันคูณด้วย ๒๖ ทั้งได้รับเงินส่วนเพิ่มในค่าครองชีพ เบี้ยกันดาร และค่าตำแหน่ง ไม่มีข้อตกลงใดให้เข้าใจ ได้ว่าการปรับจากลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนแล้วจะต้องมีการขึ้นค่าจ้างให้แก่โจทก์ การปรับประเภท ลูกจ้างดังกล่าวมีผลเพียงทำให้โจทก์มีสิทธิต่างๆ เพิ่มขึ้นตามที่ลูกจ้างรายเดือนของจำเลยที่ ๒ พึงจะมีสิทธิ ได้รับ ซึ่งลูกจ้างรายวันไม่มีสิทธิเท่านั้น ที่โจทก์อ้างว่าหากนำค่าจ้างต่อเดือนหารด้วย ๓๐ เป็นค่าจ้างต่อวัน ย่อมน้อยกว่าเดิมเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดน้อยกว่าเดิมนั้น เมื่อโจทก์ได้ปรับเป็น ลูกจ้างรายเดือนแล้ว การพิจารณารายได้ของโจทก์ต้องพิจารณาจากค่าจ้างรวมทั้งเดือนจะอ้างเหตุดังกล่าวแล้ว อ้างว่าค่าจ้างต่อวันลดลงไม่ได้เพราะโจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างรายวันอีกต่อไปแล้ว จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดค้างจ่ายแก่โจทก์ คำวินิจฉัยของพนักงานตรวจ แรงงานจึงชอบแล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ในลักษณะเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล แรงงานภาค ๒ เพื่อให้ศาลฎีกาฟังแตกต่างไปจากศาลแรงงานภาค ๒ ฟังมาแล้เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๖ - เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ๓๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๐๒๘/๒๕๕๘ เรื่อง ลูกจ้างลาไปเลือกตั้ง ส.ส. แต่นายจ้างไม่ยอมให้ลา หากลาต้องถูกหักค่าแรง ๓ แรง แต่ลูกจ้างยืนยันจะไปเลือกตั้ง นายจ้างเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม , แม้นายจ้างจะมีข้อตกลง จัดอาหารให้แก่ลูกจ้างแทนการจ่ายเงินค่าล่วงเวลาก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวก็ขัดต่อกฎหมาย ไม่อาจใช้ บังคับได้ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าล่วงเวลาที่ขาดแก่ลูกจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งแม่บ้าน มีหน้าที่ดูแลความสะอาดร้าน ข้าวต้มครัวราณี ค่าจ้างวันละ ๒๓๓ บาท ค่าทิปวันละ ๑๐๐ บาท วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ จำเลยเลิกจ้าง โจทก์โดยไม่เป็นธรรมและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ค้างจ่ายค่าล่วงเวลา จำเลยให้การว่าเลิกจ้างโจทก์เนื่องจาก โจทก์ด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบคายเป็นเหตุให้ได้รับความอับอายลูกค้าที่มาใช้บริการ ศาลแรงงานเห็นว่า เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ โจทก์กับนางสาว ย. ลูกสะใภ้ซึ่งทำงานเป็น ลูกจ้างจำเลยด้วย ขออนุญาตลางานเพื่อไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่จังหวัด นครราชสีมา แต่จำเลยไม่ยอมให้ลาเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ หากลาต้องถูกหักค่าแรง ๓ แรง แต่โจทก์ไม่ยอมให้ หักและยืนยันจะไปเลือกตั้ง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ การเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นการจงใจ ขัดคำสั่งของนายจ้าง ไม่นำพาต่อคำสั่งเป็นอาจิณหรือกระทำผิดร้ายแรง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่ล้างจาน ออกมาตะโกนด่าจำเลย ถอดรองเท้าขว้างใส่จำเลย เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค ๓ เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมีข้อตกลงกับพนักงานว่าร้านจะจัดอาหารให้แก่พนักงานวันละ ๒ มื้อ เป็นค่าล่วงเวลาเฉลี่ยวันละ ๒ ชั่วโมง คิดเป็นเงินวันละ ๖๐ บาท ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ บัญญัติว่า ค่าล่วงเวลา หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง เป็นการตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน ดังนั้น การจ่ายค่าล่วงเวลาจะต้องจ่ายเป็นเงิน แม้จะมี ข้อตกลงให้จำเลยจัดอาหารให้แก่โจทก์แทนการจ่ายเงินค่าล่วงเวลาก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวก็ขัดต่อบทบัญญัติ ของกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่อาจใช้บังคับได้ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าล่วงเวลา ที่ขาดแก่โจทก์


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๗ - ๓๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๐๑๖/๒๕๕๘ เรื่อง หนี้ค่าใช้จ่ายที่นายจ้างออกไปเพื่อจัดทำใบอนุญาตทำงานนั้นก็ไม่ใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อ สวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว และข้อตกลงในสัญญายินยอมให้หักค่าจ้างขัดแย้งกับ มาตรา ๗๖ ไม่มีผลบังคับได้ , แต่ในส่วนของค่าที่พักและค่าอาหาร เมื่อนายจ้างโอนเงินค่าจ้างเข้าบัญชี ธนาคารลูกจ้างแต่ละคนแล้ว ธนาคารจะหักค่าจ้างเป็นค่าที่พักและค่าอาหารตามที่ลูกจ้างทำหนังสือ ยินยอม โดยนายจ้างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดที่พักและอาหาร จึงไม่ใช่เป็นกรณีนายจ้างหักค่าจ้าง ตามมาตรา ๗๖ คดีนี้โจทก์กับพวกฟ้องว่า โจทก์กับพวกรวม ๒๗ คน ไม่มีสัญชาติไทย เป็นลูกจ้างจำเลย จำเลย ประกอบกิจการประเภทสิ่งทอ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด จำเลยหักค่าจ้าง ในการทำงาน จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้าง จำเลยไม่ต้องคืนเงินที่หักไว้ ศาลแรงงานภาค ๖ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์กับพวกลงลายมือชื่อในใบลาออกซึ่งเอกสารดังกล่าวมีทั้งภาษาไทยและ ภาษาพม่า ในวันดังกล่าวฝ่ายนายจ้างมีเพียงผู้จัดการโรงงานและล่ามรวม ๒ คน ฝ่ายลูกจ้างมีจำนวน ๒๙ คน ไม่ปรากฏว่าฝ่ายนายจ้างมีการใช้อาวุธ หรือมีอาวุธ หรือมีบุคคลอื่นที่สามารถข่มขู่ฝ่ายลูกจ้างได้ จึงฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ เมื่อโจทก์กับพวกลาออกจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ในส่วนของค่าที่พักและค่าอาหาร ภายหลังจากจำเลยโอนเงินค่าจ้างเข้าบัญชีธนาคารโจทก์แต่ละ คนแล้ว ธนาคารจะหักค่าจ้างที่นำฝากดังกล่าวเป็นค่าที่พักและค่าอาหารตามที่โจทก์กับพวกทำหนังสือยินยอม ให้ไว้แก่ธนาคารให้แก่บุคคลอื่น โดยจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดที่พักและอาหาร จึงไม่ใช่เป็นกรณีที่ จำเลยผู้เป็นนายจ้างหักค่าจ้างของโจทก์ตามมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่สำหรับที่จำเลยหักค่าจ้างเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขอหรือต่อใบอนุญาตทำงาน ได้แก่ ค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ค่าประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว ค่าตรวจสุขภาพ แรงงานต่างด้าว นั้น แม้ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดกำหนดให้เป็นหน้าที่ของนายจ้างที่ต้องออกค่าใช้จ่ายเพื่อ การดังกล่าวให้แก่ลูกจ้างซึ่งไม่มีสัญชาติไทย แต่หากนายจ้างรายใดออกค่าใช้จ่ายเพื่อการนั้นให้แก่ลูกจ้างไป ก่อน การจะนำหนี้นั้นหักจากค่าจ้างของลูกจ้างได้หรือไม่จำต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๗๖ แห่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ การที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดทำใน อนุญาตทำงานแทนโจทก์ไปก่อน นอกจากเป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่จะสามารถเข้าทำงานให้แก่จำเลยได้แล้ว จำเลยเองก็ได้รับประโยชน์จากการทำงานจากโจทก์เช่นกัน ทั้งหนี้ค่าใช้จ่ายที่จำเลยออกไปเพื่อจัดทำ ใบอนุญาตทำงานนั้นก็ไม่ใช่หนี้ค่าใช้จ่ายที่เป็นการจัดสิ่งที่เอื้ออำนวยให้โจทก์มีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ที่ดี และสะดวกสบายอันจะถือว่าเป็นหนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียวได้ หนี้ค่าใช้จ่าย เกี่ยวกับการจัดทำใบอนุญาตทำงานดังกล่าวจึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยจะนำมาหักจากค่าใช้จ่ายของโจทก์


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๘ - ตามมาตรา ๗๖ ข้อตกลงในสัญญายินยอมให้หักค่าจ้างจึงขัดแย้งกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ไม่มีผลบังคับได้ ๓๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๐๔๗/๒๕๕๘ เรื่อง ข้อตกลงพิเศษเป็นการเฉพาะในลักษณะที่นายจ้างเป็นตัวแทนลูกจ้างเป็นผู้นำค่าจ้าง ลูกจ้างไปชำระค่าเช่ารถยนต์แทนลูกจ้างนั้นมิใช่การหักค่าจ้างตามมาตรา ๗๖ และมิใช่การหักค่าจ้าง เพื่อชำระหนี้ที่เป็นสวัสดิการตามความในมาตรา ๗๖ (๓) คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประสานงานและตรวจสอบด้านภาษา ค่าจ้างสุดท้ายเฉลี่ยเดือนละ ๓๐๔,๒๓๕ บาท วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓ โจทก์ยื่นหนังสือลาออกให้มีผลวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๓ ต่อมาวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๓ จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานโดยมิได้บอกล่าวล่วงหน้า รวมทั้งวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๓ จำเลยแจ้งต่อกรมการจัดหางานว่าโจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างจำเลยแล้ว จึงเป็น การเลิกจ้าง ขอบังคับให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างชำระ ค่าชดเชย ค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม จำเลยให้การว่าจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ เนื่องจากโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนคำเตือน ศาลแรงงานภาค ๘ พิจารณาว่าโจทก์ กระทำผิดซ้ำคำเตือนในเรื่องทำงานไม่ตรงเวลา นอกจากนี้โจทก์เปิดบริษัทที่ปรึกษากฎหมายและทำหนังสือ เชิญชวนลูกค้าของจำเลยให้ไปใช้บริการถือเป็นการทำธุรกิจแข่งขันกับจำเลย พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ในประเด็นเรื่องหักค่าเช่ารถยนต์ออกจากค่าจ้างได้หรือไม่ ศาลฎีกา เห็นว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพื่อไปเช่ารถยนต์ให้แก่โจทก์ แล้วให้หักจากค่าจ้างโจทก์ชำระค่าเช่ารถยนต์ วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๒ จำเลยจึงทำสัญญาเช่าแบบลีสซิ่งกับ บริษัท เอเอเอ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด มีกำหนดเวลาเช่า ๓๖ เดือน และมีการนำค่าจ้างโจทก์ชำระค่าเช่า รถยนต์ตามสัญญาเช่ามาตลอดจนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ โจทก์แจ้งว่าจะนำค่าเช่ารถยนต์ไปชำระ ให้แก่บริษัท เอเอเอ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เอง แต่โจทก์ไม่ชำระ บริษัท เอเอเอ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ทวงถามจำเลย จากข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่โจทก์เป็นผู้ประสงค์จะเช่ารถยนต์มาใช้เองแต่ให้จำเลยไป ดำเนินการทำสัญญาเช่าแทนโจทก์โดยโจทก์เป็นผู้ชำระค่าเช่ารถยนต์ มิใช่เป็นกรณีนายจ้างจัดสวัสดิการให้แก่ ลูกจ้าง แต่เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยมีข้อตกลงพิเศษเป็นการเฉพาะในลักษณะที่จำเลยเป็นเพียงตัวแทนโจทก์ ในการทำสัญญาเช่าและเป็นผู้นำค่าเช่ารถยนต์ไปชำระให้แก่ผู้เช่าแทนซึ่งเป็นการปฏิบัติมาตั้งแต่วันทำสัญญา เช่าจนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ที่โจทก์ประสงค์จะไปชำระค่าเช่ารถยนต์เองแต่โจทก์ไม่ชำระ ซึ่งข้อตกลงที่ให้จำเลยเป็นผู้นำค่าจ้างโจทก์ไปชำระค่าเช่ารถยนต์แทนโจทก์นั้นมิใช่การหักค่าจ้าง ตามมาตรา๗๖ และมิใช่การหักค่าจ้างเพื่อชำระหนี้ที่เป็นสวัสดิการตามความในมาตรา ๗๖ (๓) ดังที่ ศาลแรงงานภาค ๘ วินิจฉัย จึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือว่าโจทก์ยินยอมให้หักค่าเช่ารถยนต์ออกจาก ค่าจ้างโจทก์ตามความในมาตรา ๗๗ ดังนั้น จำเลยจึงมีสิทธิหักค่าเช่ารถยนต์ออกจากค่าจ้างของโจทก์ ตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลย พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๙ - ๓๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๔๐๓/๒๕๕๘ เรื่อง การที่นายจ้างไม่มอบหมายงานหรือสั่งงานให้ลูกจ้างทำทั้งที่ลูกจ้างมีความพร้อมที่จะ ทำงาน นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง , นายจ้างเลิกจ้างต้องจ่ายค่าจ้างภายใน ๓ วัน นับแต่วัน เลิกจ้าง , สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ใช่ค่าจ้าง ผิดนัดเมื่อทวงถาม โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย จำเลยประกอบกิจการร้านอาหาร จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๘ แต่ร้านจะเปิดดำเนินการวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๙ โจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงว่าโจทก์ จะนำสิทธิในวันหยุดพักผ่อนประจำปี วันหยุดนักขัตฤกษ์ วันหยุดประจำสัปดาห์ของโจทก์มาใช้หยุดในระหว่าง ที่ร้านปิดปรับปรุง หากโจทก์ใช้วันหยุดเกินสิทธิ จำเลยขอสงวนสิทธิไม่จ่ายค่าจ้างในวันหยุด แต่ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ให้คำจำกัดความคำว่า “ ค่าจ้าง” หมายความรวมถึง เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงาน แต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตาม พระราชบัญญัตินี้ ซึ่งวันหยุดตามบันทึกข้อตกลงล้วนเป็นวันหยุดที่กฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้าง แก่ลูกจ้างแม้ลูกจ้างมิได้ทำงานทั้งสิ้น นอกจากนี้การมอบหมายงานหรือการสั่งให้ลูกจ้างทำงานเป็นสิทธิของ นายจ้าง การที่นายจ้างไม่อาจมอบหมายงานหรือสั่งงานให้ลูกจ้างทำ ทั้งที่ลูกจ้างมีความพร้อมที่จะทำงานให้ แก่นายจ้างนั้น นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างตลอดระยะเวลาที่ตกลงจ้างกัน นายจ้างจะยกขึ้นเป็นเหตุ อ้างว่าไม่มีงานให้ลูกจ้างทำจึงไม่จ่ายค่าจ้างให้ไม่ได้เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยทั้งสองตกลงให้โจทก์ หยุดงานในระหว่างที่ร้านปิดปรับปรุงอันเป็นกรณีที่จำเลยไม่มีงานให้โจทก์ทำ มิใช่โจทก์ไม่สามารถทำงานให้แก่ จำเลยได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธินำค่าจ้างที่จ่ายให้แก่โจทก์ในช่วงวันหยุดดังกล่าวมาหักกับค่าจ้างที่โจทก์มีสิทธิ ได้รับหลังจากร้านเปิดดำเนินการแล้ว ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๐ วรรคสอง กำหนดว่าในกรณีที่ นายจ้างเลิกจ้างให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างภายใน ๓ วัน นับแต่วันเลิกจ้าง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๙ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างภายในวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๙ จำเลยไม่จ่ายภายในเวลา ดังกล่าวจึงต้องเสียดอกเบี้ยจากต้นเงินค่าจ้างตั้งแต่วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๙ เป็นต้นไป สำหรับสินจ้างแทน การบอกกล่าวล่วงหน้าไม่มีบทกฎหมายใดให้จำเลยต้องจ่ายทันทีเมื่อเลิกจ้าง จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยจากต้น เงินดังกล่าวนับแต่วันทวงถาม เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทวงถามในวันใด ต้องถือวันฟ้องเป็นวันทวงถาม ๓๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๓๗/๒๕๕๗ เรื่อง นายจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างร้อยละ ๕๐ ร้อยละ ๖๐ และ ๗๐ ของค่าจ้างในระหว่าง ทดลองงาน ข้อตกลงใช้บังคับได้ ไม่ถือเป็นการหักค่าจ้าง โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งผู้จัดการฝ่าย จำเลยหักค่าจ้างโจทก์ไว้ ต่อมา โจทก์ลาออกแต่จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างที่หักไว้แก่โจทก์ จำเลยให้การว่าไม่ได้หักค่าจ้างโจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์และจำเลยตกลง อัตราค่าจ้างในช่วงทดลองงาน กล่าวคือ เดือนแรกร้อยละ ๕๐ ของ ๘๕,๐๐๐ บาท (๔๒,๕๐๐ บาท)


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๐ - เดือนที่สองร้อยละ ๖๐ ของ ๘๕,๐๐๐ บาท (๕๑,๐๐๐ บาท) และเดือนที่สามร้อยละ ๗๐ ของ ๘๕,๐๐๐ บาท (๕๙,๕๐๐ บาท) นั้น ใช้บังคับได้ ดังนั้นเมื่อโจทก์ลาออกวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ก่อนครบช่วงทดลองงาน เงื่อนไขดังกล่าวยังไม่สำเร็จ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินส่วนต่างของเงินดังกล่าว ๓๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๗๒๐/๒๕๕๗ เรื่อง ข้อตกลงให้หักเงินจำนวน ๗๓,๕๐๐ บาท ซึ่งเท่ากับเงิน ๒๑๐,๐๐๐ เยน ที่ลูกจ้าง ทำหายไป โดยลูกจ้างลงชื่อรับเช็ค และมีบันทึกสละสิทธิเรียกร้องเงินใด ๆ หลังจากลูกจ้างทราบ การเลิกจ้างแล้ว มีผลใช้บังคับได้ การที่ลูกจ้างนำคดีมาฟ้องอีกจึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ลูกจ้างไม่มี อำนาจฟ้อง โจทก์ทำงานตำแหน่งพนักงานขายของจำเลย ก่อนเลิกจ้างโจทก์ได้มีการตกลงจ่ายเงินจำนวน สุดท้ายเป็นยอดเงินค่าจ้างและค่าชดเชยจนถึงวันที่สัญญาจ้างสิ้นสุดจำนวน ๓๗๐,๐๓๓ บาท โดยโจทก์ตกลง รับเงินจำนวนดังกล่าวและจะไม่เรียกร้องสิทธิใด ๆ จากจำเลยอีกต่อไปนั้น เห็นว่า ข้อตกลงได้มีการตกลง ให้หักเงินจำนวน ๗๓,๕๐๐ บาท ซึ่งเท่ากับเงิน ๒๑๐,๐๐๐ เยน ที่โจทก์ทำหายไปออกไปด้วย โจทก์ได้ ตรวจสอบเงินดังกล่าวและลงลายมือชื่อในเอกสารกับรับเช็คดังกล่าวมาจากจำเลยจนครบถ้วนแล้ว เมื่อโจทก์มี ตำแหน่งเป็นพนักงานขายอาวุโส ทำงานกับจำเลยมากกว่า ๑๐ ปี จบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี โจทก์ย่อม เข้าใจในสิทธิและหน้าที่หากมีการลงนามในเอกสาร เมื่อจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และโจทก์ลงนามรับเงินจากจำเลยและตกลงจะไม่เรียกร้องสิทธิใดๆ จากจำเลยอีก การสละสิทธิของ โจทก์จึงเป็นการกระทำโดยสมัครใจมีผลใช้บังคับผูกพันโจทก์ได้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจึงเป็นการใช้สิทธิ ไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ๓๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๕๐๒/๒๕๕๗ เรื่อง ลาพักผ่อนประจำปีแล้วนายจ้างยังไม่ได้อนุมัติ แต่ลูกจ้างหยุดงานไป ๒ วันครึ่ง ถือว่า เป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันควร ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในช่วงที่ละทิ้งหน้าที่ แต่การละทิ้ง หน้าที่เพียง ๒ วันครึ่ง ไม่เข้าข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย คดีนี้โจทก์ทำงานตำแหน่งรองประธานอาวุโส ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ ๘๐,๐๐๐ บาท โจทก์ขอลา หยุดพักผ่อนประจำปีตั้งแต่วันที่ ๙ – ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ แล้วออกจากงานไปเองตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ น ของวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๐ โดยยังไม่ได้รับการอนุมัติจากจำเลยก่อน และหยุดงานต่อเนื่องไปเองจนถึงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ รวม ๒ วันครึ่ง ถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ ๒ วันครึ่งโดยไม่มีเหตุอันควร โจทก์จึงไม่มีสิทธิ ได้รับค่าจ้างในช่วงที่ละทิ้งหน้าที่ คงมีสิทธิได้รับค่าจ้างเฉพาะการทำงานครึ่งวันของวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๐ เท่านั้น ส่วนกรณีค่าชดเชยนั้นเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา ๑๑๙ (๕) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๑ - ๓๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๗๙๘/๒๕๕๗ เรื่อง นายจ้างมีสิทธินำเงินที่ลูกจ้างยักยอกมาหักกลบลบหนี้กับเงินโบนัสและเงินช่วยเหลือ ที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ มาตรา ๓๔๑ โจทก์ฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจ่ายเงินสะสม เงินโบนัสการขาย เงินช่วยเหลือ รวมทั้งสิ้น ๑๐๕,๑๐๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่และกระทำผิดอาญาต่อนายจ้าง ซึ่งศาลจังหวัดพิพากษาว่าโจทก์มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์จำคุก ๒ ปี และให้โจทก์คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ แก่จำเลยเป็นเงิน ๑,๑๐๐,๖๒๐ บาท คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องชำระเงินตามฟ้อง ศาลแรงงานภาค ๓ เห็นว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินสะสม โบนัส และเงินช่วยเหลือ แต่ไม่มีสิทธิได้รับ เงินสมทบในส่วนของจำเลยจึงพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓๕,๗๔๙.๕๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์และจำเลยต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุ เป็นอย่างเดียวกันและหนี้ของโจทก์และจำเลยถึงกำหนดชำระแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิที่จะนำเงินดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๓ ที่โจทก์ได้รับจากจำเลยมาหักกลบลบหนี้ได้ตามประมวล กฎหมายแพ่งและ มาตรา ๓๔๑ แม้จะไม่มีข้อบังคับหรือข้อตกลงให้จำเลยนำมาหักได้ก็ตาม ดังนั้น จึงไม่มี เงินเหลือที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์อีก พิพากษาแก้เป็นจำเลยไม่ต้องจ่ายโบนัสและเงินช่วยเหลือ พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ๔๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๕๔๑ – ๑๔๕๕๑/๒๕๕๗ เรื่อง นายจ้างมีกฎระเบียบข้อบังคับฯ กำหนดว่า ขาดงานหัก ๒ เท่า ย่อมไม่ชอบด้วย มาตรา ๗๖ และนายจ้างได้หักค่าจ้าง ๑๐ บาท เป็นเวลา ๒๑ เดือน เป็นค่าธรรมเนียมแก่ธนาคาร ในการโอนเงินเข้าบัญชีลูกจ้างแต่ละคน ไม่ใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการอันเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง ฝ่ายเดียวตามมาตรา ๗๖ (๓) นายจ้างหักค่าจ้างของลูกจ้างไว้ จึงไม่ชอบ ต้องคืนค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ ๑๕ ต่อปีให้กับลูกจ้าง คดีนี้โจทก์ทั้ง ๑๑ คน ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จ่ายค่าจ้างที่นายจ้างหักไว้ แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๑ เป็นเงินคนละ ๒๑๐ บาท ๑,๐๑๙.๔๑ บาท ๑,๖๑๐ บาท ๒๑๐ บาท ๙๑๐ บาท ๓,๐๑๐ บาท ๓,๑๐๑ บาท ๑,๖๑๐ บาท ๒๑๐ บาท ๔๔,๓๑๐ บาท และ ๒๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินแก่โจทก์กับพวกพร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัย ปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่าโจทก์ที่ ๑ ถึง ๑๑ ลาออก ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเมื่อถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ตามมาตรา ๖๗ และ ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และโจทก์ดังกล่าวไม่ได้ฟ้อง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๒ - เรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีนั้น เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๖ กับที่ ๘ ถึงที่ ๑๑ บรรยายว่า ระหว่างการทำงานจำเลยมีข้อตกลงให้มีวันหยุดพักผ่อนประจำปีปีละ ๖ วัน ให้แก่ลูกจ้างที่ทำงาน ติดต่อกันครบ ๑ ปี ซึ่งโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๖ กับที่ ๘ ถึงที่ ๑๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ทำงานติดต่อกันครบ ๑ ปี ย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีในปี ๒๕๕๓ รวม ๖ วัน เป็นเงิน ๒,๑๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้าง สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จึงพอถือได้ว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๖ กับที่ ๘ ถึงที่ ๑๑ ฟ้องเรียกค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่เกิดขึ้น ในปี ๒๕๕๔ หลังจากทำงานให้แก่จำเลยติดต่อกันครบ ๑ ปี นับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๓ รวมมาด้วย เมื่อจำเลยให้โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๖ กับที่ ๘ ถึงที่ ๑๑ ซึ่งทำงานติดต่อกันครบ ๑ ปี ทำงานในวันหยุดพักผ่อน ประจำปี จำเลยจึงมีหน้าที่จ่ายค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ดังกล่าวแม้ไม่มีการเลิกจ้าง แต่เป็นการลาออก ซึ่งต้องจ่ายให้ไม่น้อยกว่า ๒ เท่าของอัตราค่าจ้างในวันทำงานเนื่องจากโจทก์ดังกล่าว เป็นลูกจ้างรายวันที่ไม่ได้รับค่าจ้างในวันหยุด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๖๒ และมาตรา ๖๔ อันเป็นคนละกรณีกับมาตรา ๖๗ ดังที่จำเลยอุทธรณ์ เมื่อจำเลยจ่ายค่าทำงานในวันหยุด พักผ่อนประจำปีให้โจทก์ดังกล่าวคนละเท่ากับอัตราค่าจ้างรายวันจำนวน ๖ วัน เป็นเงิน ๒,๑๐๐ บาท จึงต้อง จ่ายส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๖ กับที่ ๘ ถึงที่ ๑๑ อีกคนละ ๒,๑๐๐ บาท ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษา ให้จำเลยจ่ายค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ดังกล่าวไม่ได้เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏ ในคำฟ้อง จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๕๒ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ประเด็นหักค่าจ้าง เห็นว่า นายจ้างจะหักค่าจ้างได้ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามข้อยกเว้นในพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง การที่กฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย และตารางแนบท้ายกำหนดว่า ขาดงานหัก ๒ เท่า และจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างหักค่าจ้างของโจทก์ที่ ๓ ที่ ๕ ถึงที่ ๘ และที่ ๑๐ เป็น ๒ เท่าของค่าจ้างรายวันที่โจทก์ดังกล่าวได้รับในอัตราวันละ ๓๕๐ บาท โดยหักค่าจ้าง โจทก์ที่ ๓ ซึ่งขาดงาน ๒ วัน จำนวน ๑,๔๐๐ บาท โจทก์ที่ ๕ ซึ่งขาดงาน ๑ วัน จำนวน ๗๐๐ บาท โจทก์ที่ ๖ ซึ่งขาดงาน ๔ วัน จำนวน ๒,๘๐๐ บาท โจทก์ที่ ๗ ซึ่งขาดงาน ๔ วัน จำนวน ๒,๘๐๐ บาท โจทก์ที่ ๘ ซึ่งขาดงาน ๒ วัน จำนวน ๑,๔๐๐ บาท และโจทก์ที่ ๑๐ ซึ่งขาดงาน ๖๓ วัน จำนวน ๔๔,๑๐๐ บาท เช่นนี้ เป็นกรณีที่จำเลยหักค่าจ้างเนื่องจากขาดงาน ซึ่งไม่เข้าข้อยกเว้นตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยไม่มี สิทธิหักค่าจ้างจำนวนดังกล่าว เมื่อหักไว้แล้วจำเลยจึงต้องคืนค่าจ้างจำนวนที่หักไปดังกล่าวแก่โจทก์ที่ ๓ ที่ ๕ ถึงที่ ๘ และที่ ๑๐ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าเป็นโทษปรับกรณีขาดงานและให้ปรับ ๑.๕ เท่าของ ค่าจ้างรายวันมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ในส่วนที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของค่าจ้างที่หักไว้นั้น เห็นว่า จำเลยมีหน้าที่ชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ที่ ๓ ที่ ๕ ถึงที่ ๘ และที่ ๑๐ แต่จำเลยกลับอ้างเหตุขาดงานมาหักค่าจ้างอันเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง จำเลยมีหน้าที่ชำระคืนค่าจ้างแก่โจทก์ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง ซึ่งโจทก์


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๓ - ดังกล่าวมีคำขอท้ายฟ้องเรียกดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง ดังนี้แม้ศาลแรงงานกลางจะพิพากษา ให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยสำหรับค่าจ้างที่หักไว้ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี และไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ก็ตาม แต่เพื่อความเป็นธรรม ศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในค่าจ้างที่หักไว้อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๕๒ ปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่าจำเลยหักค่าจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดคนละ ๑๐ บาท ต่อเดือน เป็นเวลา ๒๑ เดือน เป็นค่าธรรมเนียมแก่ธนาคารในการจ่ายค่าจ้างผ่านธนาคารอันเป็นประโยชน์แก่โจทก์ ทั้งสิบเอ็ด แม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือให้ความยินยอมแต่ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกำหนดให้จำเลย จ่ายค่าจ้างผ่านธนาคารได้หากลูกจ้างยินยอม ซึ่งจำเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดด้วยวิธีนี้ตลอดมาอันเป็น พฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ามีข้อตกลงกันไว้ชัดเจนว่าโจทก์ทุกคนยอมให้จำเลยหักค่าจ้าง จำเลยย่อมมีสิทธิ หักค่าจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดได้โดยไม่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๗๗ นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดซึ่งเป็นลูกจ้างให้ ณ สถานที่ทำงาน ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕๕ การหักค่าจ้างชำระ ค่าธรรมเนียมการโอนค่าจ้างเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดจึงไม่ใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการอันเป็น ประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดซึ่งเป็นลูกจ้างแต่ฝ่ายเดียวตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ (๓) ดังนั้นจำเลยไม่มีสิทธิหักค่าจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นค่าธรรมเนียมแก่ธนาคารจึงต้องคืนค่าจ้าง ที่หักไว้แก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาในปัญหานี้มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็นค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท และค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒,๑๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็น ค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท และค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒,๑๐๐ บาท โจทก์ที่ ๓ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็นค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท กับที่หักไว้กรณีขาดงาน ๑,๔๐๐ บาท และค่าทำงาน ในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒,๑๐๐ บาท โจทก์ที่ ๔ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็นค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท และค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี๒,๑๐๐ บาท โจทก์ที่ ๕ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็นค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท กับที่หักไว้กรณีขาดงาน ๗๐๐ บาท และค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒,๑๐๐ บาท โจทก์ที่ ๖ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็นค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท กับที่หักไว้กรณีขาดงาน ๒,๘๐๐ บาท และค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒,๑๐๐ บาท โจทก์ที่ ๗ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็นค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท กับที่หักไว้กรณีขาดงาน ๒,๘๐๐ บาท โจทก์ที่ ๘ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็นค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท กับที่หักไว้กรณีขาดงาน ๑,๔๐๐ บาท และค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี๒,๑๐๐ บาท โจทก์ที่ ๙ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็นค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท และค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒,๑๐๐ บาท โจทก์ที่ ๑๐ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็นค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท กับที่หักไว้กรณีขาดงาน ๔๔,๑๐๐ บาท และค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒,๑๐๐ บาท โจทก์ที่ ๑๑ เป็นค่าจ้างที่หักไว้เป็น


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๔ - ค่าธรรมเนียมธนาคาร ๒๑๐ บาท และค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒,๑๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของเงินทุกจำนวน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด ๔๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๖๐๔ – ๑๗๖๐๕/๒๕๕๗ (รัฐวิสาหกิจ) เรื่อง ขณะที่ลูกจ้างดำรงตำแหน่งนักบริหาร ๗ ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งเป็นนักบริหาร ๘ ลูกจ้าง ยังมีสิทธิเบิกค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุด แม้ต่อมานายจ้างจะแต่งตั้งให้เป็นนักบริหารระดับ ๘ โดยให้มีผลย้อนหลังก็ย่อมไม่กระทบสิทธิในการเบิกค่าล่วงเวลาฯ ซึ่งลูกจ้างมีอยู่ก่อน และไม่อาจมีผล ในทางเป็นคุณแก่ลูกจ้างได้ นายจ้างจึงไม่มีสิทธิหักเงินดังกล่าวจากค่าจ้างของลูกจ้าง คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง ฟ้องว่าจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ เมื่อปี ๒๕๕๐ โจทก์ที่ ๑ ได้รับการแต่งตั้ง เป็นนักบริหาร ๗ รองหัวหน้าแผนกบริการเครื่องวัด และเมื่อปี ๒๕๕๑ โจทก์ที่ ๒ ได้รับการแต่งตั้งเป็น นักบริหาร ๗ ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ – ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ โจทก์ทั้งสองได้รับอนุมัติทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุด จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวแล้ว ต่อมาวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๔ จำเลยมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ ที่ ๑ เป็นนักบริหาร ๘ หัวหน้าแผนกบริการเครื่องวัด และแต่งตั้งโจทก์ที่ ๒ เป็นนักบริหาร ๘ หัวหน้าแผนก ก่อสร้างระบบจำหน่าย โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ แล้วจำเลยหักค่าจ้างโจทก์ทั้งสอง ที่ได้รับค่าล่วงเวลา ทำงานในวันหยุด โจทก์เห็นว่าไม่เป็นธรรมทำให้โจทก์เสียหาย ขอบังคับให้จำเลยจ่ายเงิน ที่หักไปพร้อมดอกเบี้ย รวมเป็นเงิน ๒๙,๓๑๘ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ และ ๕๗,๕๑๒.๐๘ บาท แก่โจทก์ ๒ พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยหักเงินค่าล่วงเวลาฯ ของโจทก์โดยไม่ปรากฏ ข้อยกเว้นที่จะหักได้ เป็นการไม่ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐาน ขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ข้อ ๓๑ พิพากษาให้จำเลยคืน ค่าล่วงเวลาฯ แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะที่จำเลยยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ทั้งสองเป็นนักบริหาร ๘ หัวหน้าแผนก โจทก์ทั้งสองยังคงมีสิทธิเบิกค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดได้โดยชอบ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย แม้ต่อมาจำเลยจะมีคำสั่งแต่งตั้งให้โจทก์ทั้งสองเป็นนักบริหาร ระดับ ๘ หัวหน้าแผนก โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ก็ย่อมไม่กระทบสิทธิในการเบิก ค่าล่วงเวลาฯ ซึ่งโจทก์ทั้งสองมีอยู่ก่อนแล้ว และไม่อาจมีผลในทางเป็นคุณแก่โจทก์ทั้งสองได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิ หักเงินดังกล่าวจากค่าจ้างของโจทก์ทั้งสอง พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๕ - ๔๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๖๓/๒๕๕๖ เรื่อง นายจ้างเลิกจ้างระหว่างที่ศาลแรงงานสั่งให้รับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน ลูกจ้างจึงไม่มี สิทธิได้รับค่าจ้างนับแต่วันเลิกจ้างนั้น คดีสืบเนื่องจากจำเลยสั่งพักงานโจทก์ โจทก์จึงฟ้องคดีต่อศาล ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่าและได้รับ เงินเดือนตั้งแต่วันที่สั่งพักงานจนถึงวันที่รับกลับเข้าทำงาน จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ในระหว่างนั้นจำเลยที่ ๑ ได้เลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙ จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ก่อนที่จะมี การอ่านคำสั่งศาลฎีกา ดังนั้น หลังจากจำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์แล้ว โจทก์ก็ไม่ใช่พนักงานของจำเลยที่ ๑ ต่อไปแล้ว จึงไม่มีเงินเดือนค่าจ้างที่จำเลยที่ ๑ จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์อีก ส่วนที่โจทก์อ้างว่าการที่จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ก่อนที่จะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน ทำให้โจทก์เสียเปรียบไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนั้น เห็นว่า คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางดังกล่าวเป็นการแก้ไขเยียวยาความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลย ที่ ๑ มีคำสั่งพักงานโจทก์โดยไม่ชอบ มิใช่เป็นการจำกัดสิทธิของจำเลยที่ ๑ ที่มีอยู่ตามกฎหมายในอันที่จะ เลิกจ้างโจทก์แม้มีเหตุผลใหม่ที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้ หากโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโดยไม่ชอบ ทำให้โจทก์ ได้รับความเสียหายประการใดขึ้นอีก โจทก์อาจยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีใหม่ได้โดยอาศัยเหตุที่เกิดขึ้นใหม่ นั้นได้ ๔๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๔๓/๒๕๕๗ เรื่อง ข้อตกลงจ่ายเงินเดือนแก่ลูกจ้างตลอดชีวิต แม้ลูกจ้างจะปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เพราะเหตุ เกี่ยวกับสุขภาพพลานามัย ใช้บังคับได้ โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจ้างโดยจ่ายเงินเดือนแก่โจทก์ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๒ เป็นต้นไปทุกวันสิ้นเดือนตลอดชีพของโจทก์พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินเดือน ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๒ เป็นต้นไป ตลอดชีวิตของโจทก์ พร้อมดอกเบี้ย โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาจ้างระหว่างนาย ส. นายจ้าง กับโจทก์ ข้อ (๒)(ข) ระบุว่า นาย ส. จะจ่ายเงินเดือนให้โจทก์เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ตลอดไปตลอดอายุแม้จะปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เพราะเหตุ เกี่ยวกับสุขภาพพลานามัย แม้สัญญาจะมีเนื้อหาสร้างภาระผูกพันแก่นาย ส. มากกว่าสัญญาจ้างโดยทั่วไป ก็ยังคงมีผลบังคับตามกฎหมาย ครั้นจำเลยรับโอนกิจการโรงเรียนรวมทั้งโจทก์มาจากนาย ส. จำเลยก็ยังคง จ่ายเงินโจทก์ในสภาพการจ้างเดิมเท่ากับโจทก์มีนายจ้างใหม่แทนนาย ส. จำเลยจึงต้องมีสิทธิและหน้าที่ ตามสัญญาแก่โจทก์เหมือนกับที่นายสมัยเคยมีต่อโจทก์เช่นเดียวกัน การที่นาย ส. ถึงแก่ความตายในปี ๒๕๕๐ ภายหลังจากจำเลยรับโอนกิจการโรงเรียนก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์แห่งสัญญา ข้อตกลง ข้อ (ข) แสดงให้เห็นว่าเป็นข้อตกลงจ่ายเงินเดือนแก่โจทก์ตลอดอายุโดยปราศจากเงื่อนไข และข้อความที่ว่า แม้จะปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เพราะเหตุเกี่ยวกับสุขภาพพลานามัยนั้น เท่ากับคู่สัญญาตอกย้ำถึงเจตนาในการทำ


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๖ - สัญญาตราบเท่าที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ได้ คู่สัญญาจะจ่ายเงินเดือนแก่โจทก์ตลอดอายุโจทก์ เมื่อศาลแรงงาน รับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มีปัญหาสุขภาพต้องหยุดงานรักษาตัวและยังไม่หายกรณีจึงต้องด้วยสัญญาข้อ (๒)(ข) จำเลยต้องจ่ายเงินเดือนแก่โจทก์ทุกเดือนจนตลอดชีวิต พิพากษายืน ๔๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๕๙/๒๕๕๖ เรื่อง ลูกจ้างมาทำงานสาย นายจ้างหักเงินรางวัลในเดือนดังกล่าว มิใช่เป็นการหักค่าจ้าง จึงไม่ใช่การลงโทษ จึงขออนุญาตศาลลงโทษตักเตือนเป็นหนังสือกรรมการลูกจ้างได้ ผู้ร้องประกอบกิจการเจียระไนเพชร พลอย อัญมณี ผู้คัดค้านเป็นกรรมการลูกจ้าง ได้กระทำการ ขัดต่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานมาทำงานสายหลายครั้ง ผู้ร้องจึงขออนุญาตลงโทษผู้คัดค้านด้วย การตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้คัดค้านต่อสู้ว่าผู้ร้องใช้วิธีการลงโทษหักค่าจ้างไปแล้วจึงนำความผิดมา ลงโทษโดยการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรอีกไม่ได้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ลูกจ้างคนใดลาป่วย ลากิจ ขาดงาน มาสายภายใน ๑ เดือน อาจถูกหักเงินรางวัล เงินรางวัลที่ผู้ร้องกำหนดมีวัตถุประสงค์ในการจูงใจให้มาทำงาน สม่ำเสมอทุกวัน มิใช่ค่าจ้าง การที่ผู้ร้องหักเงินรางวัลเนื่องจากผู้คัดค้านมาทำงานสายจึงไม่ใช่การลงโทษ ผู้คัดค้านตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เมื่อผู้คัดค้านกระทำการอันเป็นความผิดต่อระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมข้อ ๙.๓ พนักงานต้องมาปฏิบัติงานให้ตรง ตามเวลาและลงบันทึกทะเบียนเวลาทำงานตามที่กำหนดด้วยตัวของพนักงานเองหากฝ่าฝืนจะถูกพิจารณา ลงโทษโดยการตักเตือนเป็นหนังสือ ตัดค่าจ้าง ลดค่าจ้าง พักงาน หรือให้ออกจากงานตามที่เห็นสมควร ผู้ร้อง จึงมีสิทธิขอให้ลงโทษตักเตือนผู้คัดค้านเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งไม่ใช่การลงโทษซ้ำได้ ๔๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๑๕๑/๒๕๕๖ เรื่อง สัญญาจ้างเป็นสัญญาต่างตอบแทน ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าจ้างเมื่อทำงานให้แก่ นายจ้าง เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ทำงานตอบแทนแก่นายจ้างในฐานะลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงไม่มี สิทธิได้รับค่าจ้าง โจทก์มีตำแหน่งเป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการบริหารอีกทั้งเป็นเลขานุการของจำเลย ที่ ๑ คณะกรรมการบริหารมีหน้าที่บริหารกิจการของจำเลยที่ ๑ ให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นโจทก์จำเลยในคดี แพ่งและอาญาหรือคดีล้มละลาย โจทก์ทำหน้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกจัดเตรียมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง กับข้อพิพาท การทำงานดังกล่าวของโจทก์จึงเป็นการทำงานในหน้าที่ที่โจทก์เป็นกรรมการคนหนึ่ง เมื่อรายงาน การประชุมวิสามัญระบุว่า “ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์รับโจทก์กลับเข้าทำงานเป็นพนักงานบริษัทในตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายขายหรือตำแหน่งอื่นในระดับเดียวกันตั้งแต่วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป” เมื่อโจทก์


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๗ - ยังไม่ได้ทำงานตอบแทนแก่จำเลยที่ ๑ ในฐานะลูกจ้างตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายหรือตำแหน่งอื่นตามสัญญา จ้างแรงงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องเพราะสัญญาจ้างแรงงานเป็นสัญญา ต่างตอบแทนระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง นายจ้างมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างเมื่อลูกจ้างทำงานตอบแทนค่าจ้าง เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๓๖๙ และมาตรา ๕๗๕ ๔๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๐๙๕/๒๕๕๖ เรื่อง ลูกจ้างมาทำงานสายบ่อยๆ นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดว่าบริษัทจะไม่จ่ายค่าจ้างกรณีลูกจ้างขาดงานหรือถือว่าขาดงาน เมื่อลูกจ้างขาดงาน จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันที่ขาดงานดังกล่าว คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำงานหน้าที่โฟร์แมน ค่าจ้างเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ต่อมา วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๙ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าน้ำมันรถยนต์และค่าทางด่วน ค่าควบคุมงานก่อสร้าง พร้อมดอกเบี้ย และจ่ายค่าจ้างที่ค้างจำนวน ๒,๕๐๐ บาท ค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกา เห็นว่า โจทก์มาทำงานควบคุมงานที่ไซด์งานทุกวัน โดยวันที่ ๒๗ , ๒๘ และ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๘ โจทก์มาทำงาน ๐๙.๐๐ น. แทนที่จะมาถึงในเวลา ๐๘.๓๐ น. โจทก์มาทำงานสายวันละ ครึ่งชั่วโมง และวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๙ โจทก์มาทำงาน ๐๙.๓๐ น. การที่โจทก์มาทำงานสายไปวันละครึ่ง ชั่วโมงหลายวัน ถือได้ว่าโจทก์ทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้อง และสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ แล้ว จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้อง บอกกล่าวล่วงหน้า และตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดว่า บริษัทจะไม่จ่ายค่าจ้างกรณีลูกจ้าง ขาดงานหรือถือว่าขาดงาน ดังนั้น เมื่อโจทก์ขาดงานในวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๙ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง ในวันดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างเพียงวันที่ ๑,๒,๓ และ ๕ เท่านั้น เมื่อโจทก์ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท หารด้วย ๓๐ วัน เท่ากับวันละ ๕๐๐ บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างจำนวน ๒,๐๐๐ บาท เท่านั้น อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น ๔๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๒๕๘/๒๕๕๖ เรื่อง ลูกจ้างสมัครเข้าโครงการทางเลือกใหม่ (Early Retirement) โดยยอมรับว่า หากมีภาระผูกพันและมีหนี้สินค้างชำระอยู่กับนายจ้างต้องรับผิดชอบชดใช้ นายจ้างจึงนำหนี้กู้ยืมเงินมา หักจากเงินตอบแทนพิเศษและค่าชดเชย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีประกาศเรื่องโครงการทางเลือกใหม่ (Early Retirement) โจทก์สมัครเข้า ร่วมโครงการ โดยโจทก์มีสิทธิได้รับผลตอบแทนและค่าชดเชย จำเลยได้จ่ายเงินตอบแทนและค่าชดเชยแล้ว แต่จำเลยไม่จ่ายเงินผลตอบแทนและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์สมัครเข้าโครงการโดย


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๘ - ยอมรับว่าหากโจทก์มีภาระผูกพันและมีหนี้สินค้างชำระอยู่กับจำเลย โจทก์ต้องรับผิดชอบชดใช้ให้แก่จำเลย โจทก์กู้เงินจากจำเลยจำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ผิดนัดชำระ จำเลยจึงมีสิทธิบังคับชำระหนี้ได้ทันที ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์และจำเลยต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกัน มูลหนี้มีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน อีกทั้งหนี้ทั้งสองถึงกำหนดชำระแล้ว จำเลยซึ่งมีฐานะเป็นลูกหนี้ของโจทก์จึงมีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้ จำเลยนำเงินค่าตอบแทนและค่าชดเชยมาหักกลบลบหนี้กับเงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยดังกล่าวยังคงเหลือยอดเงิน ที่โจทก์ค้างชำระรวมเป็นเงิน ๓,๑๖๒,๘๒๗.๒๗ บาท เมื่อพิจารณาส่วนใบสมัครโครงการทางเลือกใหม่ของ โจทก์ระบุว่ากรณีที่โจทก์มีภาระผูกพันหรือหนี้สินค้างชำระกับจำเลยหรือต้องมีความรับผิดที่ก่อให้เกิดภาระ ผูกพันหรือหนี้สินอื่นใดต่อไปในอนาคตต่อจำเลย โจทก์ยินยอมที่จะรับผลตอบแทนตามประกาศของจำเลยเรื่อง โครงการทางเลือกนั้น ไม่ได้ระบุเจาะจงหนี้ใดโดยเฉพาะ จำเลยจึงนำหนี้เงินกู้มาหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์ มีสิทธิได้รับได้ ๔๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๔๙๑/๒๕๕๖ เรื่อง การที่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ให้ความยินยอมล่วงหน้า ยอมให้นายจ้างหักเงินค่าจ้าง หากลูกจ้างที่กู้ยืมเงินสหกรณ์ไม่ชำระหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ นายจ้าง ย่อมสามารถหักค่าจ้างของลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันได้ตามมาตรา ๗๖(๓) คดีนี้โจทก์เป็นลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็น นายจ้างคืนเงินค่าจ้างที่หักไปจำนวน ๑๖,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลาง เห็นว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่พนักงานควบคุม วัตถุดิบ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๕,๐๙๕ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๒๘ ของเดือน ในระหว่างทำงานนาย ส. สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์พ. จำกัด ทำสัญญากู้ยืมเงินจากสหกรณ์ฯ โดยมีโจทก์ นาย จ. และนาย ส. ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินต่อสหกรณ์ ต่อมานาย ส. ผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลย จึงหักค่าจ้างของโจทก์ระหว่างเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๘ - เดือนเมษายน ๒๕๕๐ และเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๐ เดือนละ ๗๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๖,๘๐๐ บาท ส่งให้แก่สหกรณ์ โจทก์ยังมีข้อโต้แย้งในหนี้ที่ต้องรับผิดชอบ ตามสัญญาค้ำประกันในเรื่องจำนวนเงินที่นาย ส.กู้ยืมไปจากสหกรณ์ ยอดหนี้ที่นาย ส. ค้างชำระ และลายมือชื่อของผู้รับเงินในหนังสือกู้ยืมเงินไม่เหมือนกับลายมือชื่อของนาย ส. แล้ววินิจฉัยว่า หนี้ตามสัญญา ค้ำประกันที่โจทก์มีต่อสหกรณ์เป็นหนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้ เมื่อสหกรณ์ยังไม่ได้ฟ้องให้โจทก์รับผิดตามสัญญา ค้ำประกัน จำเลยจึงไม่อาจนำหนี้ความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันมาหักจากค่าจ้างของโจทก์ได้ การที่จำเลย หักค่าจ้างของโจทก์ในระหว่างเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๘ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๐ และเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๐ เดือนละ ๗๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๖,๘๐๐ บาท เพื่อนำไปจ่ายให้แก่สหกรณ์จึงเป็นการหักค่าจ้างโดยไม่ชอบ


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๙ - จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าจ้างที่หักแก่โจทก์ พิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าจ้างที่หักไป ๑๖,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ตกลงว่าหากนายสุรชัยผิดนัดไม่ชำระหนี้ คืนสหกรณ์ โจทก์ยินยอมให้จำเลยหักเงินได้ของโจทก์ส่งให้แก่สหกรณ์เพื่อชำระหนี้แทนนาย ส. ตามสัญญา ค้ำประกัน ข้อ ๖ ประกอบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติ ข้อยกเว้นให้นายจ้างมีสิทธิหักค่าจ้างของลูกจ้างชำระหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์ ในกรณีที่ได้รับความยินยอม ล่วงหน้าจากลูกจ้างได้ และการหักเงินในกรณีดังกล่าวก็ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ตามมาตรา ๗๖ วรรคสอง ดังนั้น จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจึงมีสิทธิหักค่าจ้างโจทก์เพื่อชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ได้ที่ศาลแรงงานกลางพิจารณา ให้จำเลยจ่ายเงินค่าจ้างคืนแก่โจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ๔๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๗๑๗/๒๕๕๖ เรื่อง “ค่านายหน้า” แม้จะระบุว่าค่านายหน้าจะได้รับหลังลูกค้าชำระค่าสินค้าแล้วภายใน วันที่๑๕ ของเดือนถัดไป ระหว่างปฏิบัติงานก็ตาม แต่เมื่อไม่มีข้อความตอนใดที่จำกัดสิทธิของพนักงาน ขายว่าลาออกแล้วจะไม่ได้รับค่านายหน้าที่ขายได้ในระหว่างยังปฏิบัติงาน จึงไม่อาจแปลความว่าค่าสินค้า ต้องได้รับชำระระหว่างที่ยังมีสภาพเป็นลูกจ้างอยู่ ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่านายหน้า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นพนักงานขาย ค่าจ้างเดือนละ ๑๔,๑๐๐ บาท ระหว่างทำงาน จำเลยตกลงให้ค่านายหน้าจากการขายสินค้า จะชำระให้ใน ๒ เดือน ถัดไปหลังจากสรุปยอดขายในแต่ละเดือน ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ๒๕๕๐ โจทก์ขายสินค้าได้มากกว่า ๔ ล้านบาท คิดเป็นค่านายหน้า ๒๓,๙๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าค่านายหน้าจะจ่ายเมื่อจำเลยได้รับชำระค่าสินค้าแล้วและโจทก์ ต้องมีสภาพเป็นพนักงานของจำเลย โจทก์ลาออกมีผลให้ไม่เป้นพนักงานของจำเลยนับแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๐ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒๓,๙๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อตกลงในหมายเหตุข้อ ๕ ว่า ค่านายหน้า (ค่าคอมมิสชัน) จะได้รับหลังลูกค้า ชำระค่าสินค้าแล้ว ภายในวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดไป ระหว่างปฏิบัติงานนั้น หมายความว่า ค่าสินค้าต้องได้รับ ชำระในระหว่างที่โจทก์ยังมีสภาพเป็นลูกจ้างจำเลยจึงจะมีสิทธิได้รับค่านายหน้า ศาลฎีกาเห็นว่า แม้หมายเหตุข้อ ๕ จะระบุว่าค่านายหน้าจะได้รับหลังลูกค้าชำระค่าสินค้าแล้ว ภายในวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดไป ระหว่างปฏิบัติงานก็ตาม แต่เมื่อไม่มีข้อความตอนใดที่จำกัดสิทธิของ พนักงานขายว่าลาออกแล้วจะไม่ได้รับค่านายหน้าที่ขายได้ในระหว่างยังปฏิบัติงานเป็นพนักงานอยู่ จึงไม่ อาจแปลความว่าค่าสินค้าต้องได้รับชำระระหว่างที่โจทก์ยังมีสภาพเป็นลูกจ้างจำเลยอยู่ โจทก์จึงจะได้ ค่านายหน้า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๐ - ๕๐. คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๑๓๔/๒๕๕๕ เรื่อง หนี้ค่าตรวจสุขภาพ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานคนต่างด้าว ค่าที่พักอาศัย ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าอาหาร ฯลฯ ไม่ใช่หนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียวตาม มาตรา ๗๖ (๓) พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ บัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างหัก ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด เว้นแต่เป็นการหักเพื่อ...(๓) ชำระหนี้สิน สหกรณ์ออมทรัพย์ หรือสหกรณ์อื่นที่มีลักษณะเดียวกันกับสหกรณ์ออมทรัพย์ หรือหนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการที่ เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว โดยได้รับความยินยอมล่วงหน้าจากลูกจ้าง...” เห็นว่า หนี้ที่เป็นไปเพื่อ สวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียวเป็นข้อความที่ต่อเนื่องจากหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์ จึงต้องเป็น สวัสดิการที่ให้ประโยชน์แก่ลูกจ้างในทำนองเดียวกันกับประโยชน์ที่ลูกจ้างได้รับจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งลูกจ้างได้รับประโยชน์ฝ่ายเดียวโดยนายจ้างไม่ได้รับประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างของลูกจ้างทั้ง ๘๑ คน ได้จ่ายเงินตรวจสุขภาพ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ทำงานคนต่างด้าวให้แก่ลูกจ้างทั้ง ๘๑ คน ซึ่งเป็นต่างด้าวก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ที่โจทก์จะจ้างลูกจ้าง ดังกล่าวให้ทำงานแก่โจทก์โดยถูกต้องตามกฎหมายและได้รับผลผลิตจากการทำงานของลูกจ้างทั้ง ๘๑ คนส่วนการให้ลูกจ้างทั้ง ๘๑ คน พักอาศัยในที่พักโดยมีน้ำ ไฟฟ้า อาหาร โดยให้ลูกจ้างชำระเงินค่าพักอาศัย ค่าน้ำ ฯลฯ แก่โจทก์ ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการให้ลูกจ้างทำงานซึ่งบางวันจะต้องทำงานล่วงเวลาจนถึง ๐๒.๐๐ นาฬิกา บางวันถึง ๐๔.๐๐ นาฬิกา จึงเป็นการจัดสวัสดิการให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานให้โจทก์อันเป็น ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจที่โจทก์ได้รับอีกด้วย จึงหาใช่เป็นการจัดให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นสวัสดิการที่เป็น ประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว โจทก์จึงไม่มีสิทธิหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลา ในวันหยุด เพื่อชำระหนี้ดังกล่าว ไม่ว่าลูกจ้างทั้ง ๘๑ คน จะได้ลงลายมือชื่อในการให้ความยินยอมเป็นหนังสือ หรือไม่ก็ไม่เข้ากรณีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ (๓) ๕๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๗๒๓/๒๕๕๕ เรื่อง ลาออกไม่ถูกต้องตามระเบียบแต่นายจ้างอนุมัติ นายจ้างจะนำมาอ้างเพื่อจะไม่จ่าย ค่าคอมมิชชั่นไม่ได้ จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานเร่งรัดหนี้สินค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ในระหว่างทำงานจำเลยตกลงจะให้ค่าคอมมิชชั่นและเงินพิเศษทีม แต่จำเลยไม่จ่ายให้ จำเลย อ้างว่าโจทก์ลาออกไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าคอมมิชชั่น ๔,๙๖๘.๖๔ บาท และเงิน พิเศษทีม ๗,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ นับแต่วันฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ยื่นใบลาออกวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๐ ระบุมีผลวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ซึ่งไม่ถึง ๓๐ วัน ตามระเบียบของจำเลย แต่นาย จ. ผู้บังคับบัญชาโจทก์อนุมัติการลาออกโดยมิได้


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๑ - ทักท้างแต่อย่างใด ย่อมเท่ากับว่าจำเลยผู้เป็นนายจ้างได้ยกเว้นไม่นำระเบียบเกี่ยวกับการบอกกล่าวล่วงหน้า มาใช้กับโจทก์ ดังนั้นแม้จะลาออกล่างหน้าเพียง ๑๖ วัน จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบดังกล่าว จำเลยจึงไม่อาจระเบียบดังกล่าวเพื่อที่จะไม่จ่ายค่าตอบแทนใดๆ ซึ่งรวมถึงค่าคอมมิชชั่นและเงินพิเศษทีมได้ พิพากษายืน ๕๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๐๓๖/๒๕๕๕ เรื่อง ลงโทษตัดค่าจ้าง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายตามประกาศ คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ จ้างโจทก์ทำงานตำแหน่งพนักงานติดรถนำจ่ายประจำที่ทำการไปรษณีย์ จตุจักร ค่าจ้างวันละ ๒๓๕ บาท ระหว่างทำงานจำเลยมีคำสั่งลงโทษโจทก์ด้วยการตัดค่าจ้างร้อยละ ๑๐ เนื่องจากโจทก์ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ไม่เชื่อฟังและแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชาไม่ถือปฏิบัติ ตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของบริษัท ไม่อุทิศเวลาของตนให้แก่การงาน ละทิ้งหน้าที่การงาน เห็นว่า แม้ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง ข้อ ๓๑ จะบัญญัติห้ามนายจ้างหักค่าจ้างลูกจ้างก็ตามแต่การลงโทษของจำเลยมิใช่เป็นการหักค่าจ้างโจทก์แต่เป็นกรณี การลงโทษตามวินัยการทำงานซึ่งได้กำหนดไว้ชัดเจนแล้วตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ทั้งไม่ปรากฏว่า คำสั่งตัดค่าจ้างของจำเลยดังกล่าวเป็นคำสั่งลงโทษที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ ดังนั้น คำสั่งลงโทษโจทก์ด้วยการตัดค่าจ้าง ร้อยละ ๑๐ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยได้มีคำสั่งลงโทษโจทก์โดยการตัดเงินเดือนโจทก์ร้อยละ ๑๐ และมีหนังสือเตือนให้โจทก์ ปฏิบัติตามโดยส่งเงินเดือนร้อยละ ๑๐ แก่จำเลยแต่โจทก์ไม่ยอมลงนามรับทราบคำเตือน ต่อมาโจทก์ไม่ส่งเงิน คืนแก่จำเลย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากทำผิดซ้ำคำเตือน เห็นว่า แม้คำสั่งลงโทษจะชอบด้วยกฎหมาย แต่หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยก็ชอบที่จะบังคับตามคำสั่งลงโทษทางวินัยด้วยวิธีอื่น เช่น หักค่าจ้างเดือนถัดไป เนื่องจากระเบียบข้อบังคับมิได้กำหนดวิธีหักเงินเดือนไว้ การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจึงไม่เป็นการฝ่าฝืน ระเบียบคำสั่งของจำเลย เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ ๕๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๖๘๐๒/๒๕๕๕ เรื่อง ลูกจ้างทำหนังสือรับสภาพหนี้กับนายจ้างไว้ซึ่งหนี้นั้นมากกว่าค่าจ้าง นายจ้างจึงมีสิทธิ นำค่าจ้างที่จะต้องชำระแก่ลูกจ้างมาหักกับหนี้ดังกล่าวได้ โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งพนักงานบัญชี-การเงิน ต่อมาได้ลาออกจากงานโดยจำเลย ค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ ๑๕,๓๐๐ บาท จำเลยตรวจพบว่าโจทก์ยักยอกทรัพย์จำเลยเป็นเงินจำนวน ๑,๔๒๗,๓๓๖.๘๙ บาท จำเลยร้องทุกข์พนักงานสอบสวน โจทก์ยอมรับสภาพหนี้บางส่วนโดยทำหนังสือ รับสภาพหนี้ยินยอมชดใช้หนี้แก่จำเลย เมื่อค่าจ้างที่โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับจากจำเลยมีจำนวนน้อยกว่า


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๒ - ค่าเสียหายที่โจทก์รับว่าจะใช้ให้แก่จำเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่มีข้อต่อสู้แล้ว จำเลยจึงมีสิทธิ นำค่าจ้างที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์มาหักกับหนี้ที่จำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์ได้ ๕๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๖๒/๒๕๕๒ เรื่อง เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างแล้วนิติสัมพันธ์ย่อมสิ้นสุดลงนับแต่นั้น การที่ลูกจ้าง มาทำงานหลังจากนั้น จึงเป็นการกระทำไปเองตามอำเภอใจ ไม่ก่อให้เกิดหนี้ค่าจ้าง นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๖ เป็นต้นไป เนื่องจากลูกจ้าง รู้เห็นและปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ให้มีลักน้ำมันใช้แล้วไปขายให้แก่บุคคลภายนอกแล้วรับเงินส่วนแบ่ง ถือว่า เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ แต่ลูกจ้างคงมาทำงานให้แก่จำเลยตามปกติ ศาลฎีกาเห็นว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยตามสัญญาจ้างแรงงานย่อมสิ้นสุดลงนับแต่ วันดังกล่าว ทั้งจำเลยยังมีคำสั่งห้ามโจทก์เข้าบริเวณโรงงานตั้งแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๖ เป็นต้นไป อีกด้วย ดังนั้น แม้หากโจทก์ยังคงเข้าทำงานให้จำเลยก็เป็นกรณีที่โจทก์กระทำไปเองตามอำเภอใจ ไม่ก่อให้เกิดหนี้ ค่าจ้างที่จำเลยจะต้องจ่ายแก่โจทก์ ๕๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๕/๒๕๕๑ (มาตรา ๗๖) เรื่อง กรรมการผู้มีอำนาจเป็นลูกจ้าง : หักเงินค่าจ้างเพื่อชำระภาษีเงินได้ เมื่อโจทก์จ่าย ค่าภาษีเงินได้ส่วนที่มิได้หักไว้และนำเงินส่งหรือได้หักและนำเงินส่งแล้วแต่ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้องแทน จำเลยไปเพื่อปลดเปลื้องความรับผิดของโจทก์ที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยด้วยเช่นนี้แล้ว โจทก์จึงย่อมมีสิทธิ เรียกค่าภาษีเงินได้ที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยจากจำเลยได้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๕ ได้รับตำแหน่งกรรมการ ผู้มีอำนาจ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๔๕ ได้รับเงินเดือน ๆ ละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท กับค่าที่พักและค่าพาหนะ เป็นรายได้ประจำอีกเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๙๐,๐๐๐ บาท โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจ้าง แรงงานขึ้นภายหลังในวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๕ มีข้อตกลงว่าจำเลยยินยอมทำงานตามสัญญาว่าจ้าง โดยจะรับผิดชอบสำหรับเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยตนเอง และจำเลยลาออกจากงานในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ในช่วงระยะเวลาระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๕ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๗ จำเลยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยโจทก์มีหน้าที่หักและนำส่งกรมสรรพากร แต่บางเดือน โจทก์มิได้หักและนำส่งให้กรมสรรพากร บางเดือนโจทก์หักและนำส่งภาษีเงินได้ของจำเลยให้กรมสรรพากร แต่ไม่ครบจำนวนเนื่องจากจำเลยเป็นกรรมการของโจทก์และมีหน้าที่ควบคุมดูแลฝ่ายบัญชีและการเงิน ของโจทก์ จำเลยรู้หรือควรจะรู้ว่าจะต้องหักเงินได้และนำส่งภาษีให้กรมสรรพากร แต่จำเลยฝ่าฝืนสัญญาจ้าง โดยบางเดือนจำเลยมิได้ชำระภาษีแต่มีรายการทางบัญชีระบุชัดว่าได้มีการนำเอาเงินของโจทก์ไปชำระภาษี เงินได้ให้ บางเดือนมีรายการว่าได้หักเงินได้ของจำเลยชำระภาษีเงินได้ แต่ไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่ต้องหัก และบางเดือนไม่ปรากฏการหักเงินได้ของจำเลยชำระภาษีให้กรมสรรพากร ระหว่างเวลาที่จำเลยเป็นลูกจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๓ - โจทก์ จำเลยต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเงิน ๑,๑๐๙,๘๖๘.๒๕ บาท แต่โจทก์หักภาษีเงินได้จาก จำเลยนำส่งกรมสรรพากรเพียง ๑๙๕,๓๘๙.๘๔ บาท จำเลยคงค้างชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๙๑๔,๔๗๘.๔๑ บาท ต่อมาโจทก์ชำระภาษีเงินได้แทนจำเลยพร้อมทั้งค่าปรับครบถ้วน เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๗ จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๐,๓๓๔.๘๕ บาท รวมเป็นเงิน ๙๒๔,๘๑๓.๒๖ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๙๒๔,๘๑๓.๒๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๙๑๔,๔๗๘.๔๑ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ศาลแรงงานภาค ๙ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๙๒๔,๘๑๓.๒๖ บาท ให้โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๙๑๔,๔๗๘.๔๑ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกามีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อไปมีว่า จำเลยต้องชำระเงินภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาที่โจทก์ชำระให้แก่กรมสรรพากรแทนจำเลยไปดังที่ศาลแรงงานภาค ๙ วินิจฉัย หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า เมื่อจำเลยลาออกจากการเป็นกรรมการโจทก์แล้ว สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลง การที่ โจทก์นำเงินทดรองชำระภาษีเงินได้แทนจำเลยจึงเป็นการกระทำไปโดยปราศจากอำนาจ การหักภาษีเงินได้ เพื่อนำส่งให้แก่กรมสรรพากรจะต้องหักจากจำเลยในขณะที่จำเลยได้รับเงินเดือน หรือได้รับเงินได้เท่านั้น นอกจากนี้เงินค่าพาหนะและค่าที่พักเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท ก็เป็นเงินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณภาษี เงินได้ การที่โจทก์นำค่าพาหนะและค่าที่พักเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท ไปรวมกับเงินเดือนเดือนละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๙๐,๐๐๐ บาท แล้วคำนวณชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแทนจำเลย ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา ๕๐ บัญญัติให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายภาษีเงินได้พึงประเมินตามวิธีการดังที่บัญญัติไว้ และมาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถูกผู้จ่ายเงินได้มิได้หักและนำเงินส่งหรือได้หักและนำเงินส่งแล้วแต่ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้อง ผู้จ่ายเงินต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนเงินภาษีที่มิได้หักและนำส่งหรือ ตามจำนวนที่ขาดไปแล้วแต่กรณี..." เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ตรวจสอบพบว่า โจทก์มิได้หักและนำเงินส่งหรือได้หักและนำเงินส่งแล้วแต่ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้อง ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดร่วมกับ จำเลยในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนที่มิได้หักและนำส่งหรือตามจำนวนที่ขาดไปแล้วเช่นนี้ การที่โจทก์ ชำระภาษีเงินได้ส่วนที่ขาดไปเพื่อปลดเปลื้องความรับผิดของโจทก์ที่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยด้วยจึงมิได้ เป็นการกระทำไปโดยปราศจากอำนาจแม้ในขณะที่โจทก์ชำระภาษีเงินได้ส่วนที่ขาด จำเลยจะลาออกจาก งานแล้ว แต่ความรับผิดในการเสียภาษีเงินได้เกิดขึ้นตั้งแต่ขณะที่จำเลยยังมิได้ลาออกจากงาน การที่จำเลย ลาออกจากงานและมิได้เป็นลูกจ้างของโจทก์แล้วจึงหาทำให้ความรับผิดในการเสียภาษีเงินได้ของจำเลยที่ ยังขาดจำนวนอยู่ระงับไปด้วยไม่ เมื่อโจทก์จ่ายค่าภาษีเงินได้ส่วนที่มิได้หักไว้และนำเงินส่งหรือได้หัก และนำเงินส่งแล้วแต่ไม่ครบจำนวนที่ถูกต้องแทนจำเลยไปเพื่อปลดเปลื้องความรับผิดของโจทก์ที่ต้องร่วม รับผิดกับจำเลยด้วยเช่นนี้แล้ว โจทก์จึงย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าภาษีเงินได้ที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยไปจาก


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๔ - จำเลยได้ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ค่าที่พักและค่าพาหนะเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมเป็น เงินได้ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้ จึงทำให้ภาษีเงินได้ที่นำส่งแล้วเกินจำนวนที่จะต้องเสีย โจทก์จึงเรียกเอาจาก จำเลยไม่ได้นั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๓ บัญญัติว่า บุคคลใดถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วเป็น จำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษีตามส่วนนี้ บุคคลนั้นมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืน แต่ต้องยื่นคำร้อง ต่อเจ้าพนักงานภายใน ๓ ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไป กฎหมายประสงค์จะให้เป็นหน้าที่ของ ผู้มีเงินได้ดำเนินการขอคืนเอง ไม่ประสงค์จะให้ผู้มีเงินได้ไปพิพาทหรือโต้แย้งกับผู้จ่ายเงินได้ที่หักภาษีเงินได้ไว้ และนำส่งแล้วอันอาจเกิดอุปสรรคในการจัดเก็บภาษีเงินได้ คดีนี้แม้โจทก์จะตรวจสอบพบในภายหลังว่าโจทก์ มิได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้หรือหักไว้ไม่ครบถ้วนตามวิธีที่ประมวลรัษฎากรกำหนด และโจทก์ทดรองเงินของ ตนนำส่งให้กรมสรรพากรแทนจำเลยไป หากจำเลยเห็นว่าจำนวนเงินที่นำส่งเกินกว่าจำนวนภาษีเงินได้ที่จำเลย ควรต้องเสีย จำเลยก็ชอบที่จะดำเนินการขอคืนจากกรมสรรพากรดังที่ประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๓ บัญญัติไว้ เช่นกัน จะอ้างว่าโจทก์มิได้หักไว้ก่อนและโจทก์จ่ายเกินจำนวนไปเอง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในจำนวน ที่โจทก์ทดรองจ่ายแทนไปไม่ได้ ที่ศาลแรงงานภาค ๙ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินภาษีเงินได้ที่โจทก์ทดรองจ่าย แทนจำเลยไปให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยด้วยนั้นชอบแล้ว" พิพากษายืน ๕๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๕๐-๑๓๕๑/๒๕๕๑ เรื่อง การปรับลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือน มีผลเพียงทำให้ลูกจ้างนั้นมีสิทธิต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ตามที่ลูกจ้างรายเดือนพึงมีสิทธิได้รับ ไม่มีผลเป็นการตกลงขึ้นค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างรายวันที่ปรับเป็นลูกจ้าง รายเดือนด้วย ดังนั้น การปรับลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือนโดยนำ ๒๖ คูณด้วยค่าจ้างรายวัน แทนที่จะใช้ ๓๐ เป็นตัวคูณ ย่อมมิใช่เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงและข้อกฎหมาย โจทก์ทั้งสามฟ้องว่าการที่จำเลยปรับจากลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือนโดยนำ ๒๖ คูณด้วยค่าจ้าง รายวัน แทนที่จะใช้ ๓๐ เป็นตัวคูณ จำเลยปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมายและข้อตกลง เห็นว่า ข้อตกลง ระหว่างสหภาพแรงงานกับบริษัท เอเอ จำกัด หัวข้อที่ ๓ เป็นเรื่องการปรับพนักงานรายวันเป็นรายเดือน ซึ่งมี ข้อความระบุว่า “บริษัทจะพิจารณาปรับคนงานรานวันที่ทำงานครบ ๑๐ ปี เป็นคนงานรายเดือนโดยมีเงื่อนไข ต่างๆ...” จะเห็นได้ว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวแยกกรณีการขึ้นค่าแรง ซึ่งก็คือค่าจ้างกับกรณี การปรับคนงานรายวันเป็นรายเดือนไว้คนละหัวข้ออย่างชัดเจน ดังนั้น การปรับลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือน จึงมีผลเพียงทำให้ลูกจ้างนั้นมีสิทธิต่างๆ เพิ่มขึ้นตามที่ลูกจ้างรายเดือนของจำเลยพึงมีสิทธิได้รับ เช่น ได้รับ ค่าจ้างในวันลากิจ ซึ่งรายวันไม่มีสิทธิได้รับเท่านั้น ไม่มีผลเป็นการตกลงขึ้นค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างรายวันที่ปรับ เป็นลูกจ้างรายเดือนด้วย ดังนั้น ในการปรับจากลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือน หากค่าจ้างรายเดือนที่ลูกจ้าง มีสิทธิได้รับมิได้น้อยไปกว่าค่าจ้างรายวันรวมทั้งเดือนที่ลูกจ้างเคยมีสิทธิได้รับก็มิใช่ที่จำเลยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ส่วนที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่าหากนำเงินเดือนหารด้วย ๓๐ เป็นค่าจ้างต่อวัน อัตราค่าจ้างต่อวันย่อมน้อยลงกว่าเดิมเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายนั้น เมื่อโจทก์ทั้งสามได้ปรับเป็นลูกจ้างราย เดือนแล้ว การพิจารณาถึงรายได้ของโจทก์ทั้งสามก็ต้องพิจารณาจากค่าจ้างรวมทั้งเดือน เมื่อค่าจ้างรวมทั้ง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๕ - เดือนมิได้ลดน้อยกว่าเดิมหรือต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย ย่อมมิใช่เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตาม กฎหมาย จะนำเอารายได้ต่อเดือนหารด้วย ๓๐ เพื่อให้เป็นอัตราค่าจ้างต่อวันและอ้างว่าอัตราค่าจ้างต่อวัน ลดลงไม่ได้ ๕๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๓๙/๒๕๕๐ (หักค่าจ้าง) เรื่อง นายจ้างเรียกเก็บเงินประกันของลูกจ้างโดยหักจากค่าจ้าง ลูกจ้างทำงานตำแหน่ง ช่างซ่อมบำรุง จึงไม่ใช่ลักษณะงานที่จะเรียกเก็บเงินประกันได้ เป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๐ และมาตรา ๗๖ นายจ้างย่อมไม่อาจอ้างระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเพื่อปฏิเสธที่จะคืนเงินค่าจ้างของลูกจ้างซึ่งหัก ไว้ได้ หากลูกจ้างกระทำให้นายจ้างเสียหายในระหว่างที่เป็นลูกจ้าง ก็ชอบที่จะดำเนินคดีฟ้องร้องลูกจ้างให้ ชดใช้ค่าเสียหายได้เมื่อนายจ้างเลิกจ้างจึงต้องคืนค่าจ้างที่หักไว้ภายใน ๓ วัน โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ให้โจทก์คืนเงินประกัน-เงินสะสมแก่จำเลย ที่ ๒ จำนวน ๑๒,๕๗๕ บาท ของจำเลยที่ ๑ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า มีเหตุที่จะ เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ซึ่งโจทก์คืนเงินจำนวน ๑๒,๕๗๕ บาท ที่โจทก์หักจากค่าจ้างจำเลยที่ ๒ หรือไม่ ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ เป็นช่างซ่อมบำรุง ไม่ได้รับผิดชอบเกี่ยวกับ การเงินหรือทรัพย์สินของโจทก์ ที่โจทก์หักค่าจ้างร้อยละ ๕ ไว้เป็นเงินประกันหรือเงินสะสมโดยไม่ได้รับ ความยินยอมจากจำเลยที่ ๒ เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๐ และมาตรา ๗๖ เมื่อจำเลยที่ ๒ ลาออกโจทก์มีหน้าที่ต้องคืนเงินที่หักไว้ทั้งหมด โจทก์หาได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า การหักเงินค่าจ้างดังกล่าวชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๐ และมาตรา ๗๖ แล้วไม่ โจทก์คงอุทธรณ์เพียงว่า จำเลยที่ ๒ ดำเนินธุรกิจแข่งขันกับโจทก์ในขณะที่ยังเป็นลูกจ้างของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย และจำเลยที่ ๒ ใช้เวลาทำงานไปทำกิจการส่วนตัวอันเป็นการทุจริตเวลาทำงานของโจทก์ ซึ่งเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ ๑๐.๒ จำเลยที่ ๒ ย่อมไม่มีสิทธิได้รับเงินประกัน -เงินสะสมเท่านั้น เห็นว่า ไม่ว่าจำเลยที่ ๒ จะได้กระทำการอันเป็นความผิดฝ่าฝืนต่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับ การทำงานของโจทก์ดังที่โจทก์อ้างในอุทธรณ์หรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์หักเงินค่าจ้างเพื่อเป็นเงินประกันหรือ เงินสะสมอันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยของประชาชนแล้ว โจทก์ย่อมไม่อาจจะอ้างระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์เพื่อปฏิเสธ ที่จะคืนเงินค่าจ้างของจำเลยที่ ๒ ซึ่งโจทก์หักไว้ได้ ทั้งหากจำเลยที่ ๒ กระทำให้เกิดความเสียหายใด ๆ ขึ้นแก่ โจทก์ในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ยังเป็นลูกจ้างของโจทก์ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินคดีฟ้องร้องให้จำเลยที่ ๒ ชดใช้ ค่าเสียหายแก่โจทก์ดังที่โจทก์ได้ดำเนินคดีฟ้องร้องแก่จำเลยที่ ๒ แล้ว เมื่อจำเลยที่ ๒ ลาออกจากการ เป็นลูกจ้าง โจทก์จำต้องคืนเงินค่าจ้างที่หักไว้แก่จำเลยที่ ๒ คดีไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ คำพิพากษาศาลแรงงานกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๖ - ๕๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๓๙๗/๒๕๕๐ (มาตรา ๗๐) เรื่อง เลิกจ้าง นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างภายใน ๓ วัน คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการร้านขายอาหารญี่ปุ่น จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงาน เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๒ ตำแหน่งสุดท้ายทำหน้าที่กุ๊ก (แม่ครัว) ค่าจ้างอัตราเดือนละ ๗,๓๐๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๕ ของเดือน วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาโดยไม่ได้ กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้าง ค่าชดเชย ค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าจำเลยเคยตักเตือนโจทก์ห้ามโจทก์สั่งซื้ออาหาร (ของสด) หลายครั้ง แต่โจทก์ยังคงปฏิบัติเช่นเดิม จำเลยจึงตักเตือน หลังจากนั้นโจทก์ไม่มาทำงานเกินกว่า ๓ วันติดต่อกันโดยไม่แจ้งเหตุหยุดงาน จำเลยจึงเลิกจ้าง และให้โจทก์มารับค่าจ้างเดือนตุลาคม ๒๕๔๗ แต่โจทก์ไม่มารับ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว โจทก์ไม่มีเจตนาขัดคำสั่ง จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยที่โจทก์มิได้ กระทำความผิด เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นดอกเบี้ยค่าจ้างค้างจ่าย ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ (เวลา ๒๐.๐๐ - ๒๑.๐๐ น.) โจทก์จึงสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างตั้งแต่วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๗ ดังนั้น จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ภายใน ๓ วัน นับแต่วันเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๐ วรรคสอง จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างภายในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๗ แต่จำเลยไม่จ่าย จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัด แม้จำเลยระบุไว้ในหนังสือแจ้งการเลิกจ้างลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๗ ให้โจทก์ไปรับ ค่าจ้างค้างจ่ายได้นับแต่วันนี้ (วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๗) เป็นต้นไป ก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นหลังจากจำเลย ตกเป็นผู้ผิดนัดแล้ว เมื่อจำเลยไม่จ่าย จึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่ วันฟ้องนับว่าเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว พิพากษายืน ๕๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๙๕๓/๒๕๕๐ (มาตรา ๗๖) เรื่อง การห้ามหักเงินค่าจ้าง ใช้บังคับเฉพาะในกรณีที่คู่สัญญายังคงมีสภาพเป็นนายจ้าง ลูกจ้างกันเท่านั้น โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าคอมมิชชั่น พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกา เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ วรรคแรกบัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด เว้นแต่เป็นการหัก เพื่อ...(๔) เป็นเงินประกันตามมาตรา ๑๐ หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายจ้างซึ่งลูกจ้างได้กระทำโดยจงใจหรือ


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๗ - ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง (๕)...” และมาตรา ๗๗ บัญญัติว่า “ในกรณีที่ นายจ้างต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างหรือมีข้อตกลงกับลูกจ้างเกี่ยวกับการจ่ายเงินตามมาตรา ๕๔ มาตรา ๕๕ หรือการหักเงินตามมาตรา ๗๖ นายจ้างต้องจัดทำเป็นหนังสือและให้ลูกจ้างลงลายมือชื่อในการ ให้ความยินยอมหรือมีข้อตกลงกันไว้ให้ชัดเจนเป็นการเฉพาะ” จากบทบัญญัติดังกล่าวทำให้เห็นเจตนารมณ์ ได้ว่า การห้ามนายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดก็เพื่อ คุ้มครองลูกจ้างไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด อันจะทำให้รายได้จากการทำงานลดลง และลูกจ้างอาจหมดกำลังใจในการ ทำงานที่ไม่ได้รับเงินเดือนเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยนายจ้างจะหักได้ก็เฉพาะกรณีเข้าข้อยกเว้นตามที่บัญญัติ ไว้เท่านั้น และสำหรับกรณีหักเพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายจ้างซึ่งลูกจ้างได้กระทำโดยจงใจหรือประมาท เลินเล่ออย่างร้ายแรงซึ่งเป็นไปตามข้อยกเว้น จะหักได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากลูกจ้างโดยนายจ้างต้อง จัดทำเป็นหนังสือและให้ลูกจ้างลงลายมือชื่อในการยินยอมหรือมีข้อตกลงกันไว้ให้ชัดเจนเป็นการเฉพาะอีกด้วย เมื่อพิเคราะห์เจตนารมณ์ของการห้ามหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุด ดังกล่าว ประกอบกับข้อที่ว่านายจ้างต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างด้วยแล้ว ทำให้เข้าใจได้ว่า การห้ามหัก ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดใช้บังคับเฉพาะในกรณีที่คู่สัญญายังคงมี สภาพเป็นนายจ้างลูกจ้างกันอยู่เท่านั้น คดีนี้ในขณะที่จำเลยฟ้องแย้ง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ไปก่อนแล้ว ทั้งจำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด แต่ฟ้องแย้งขอให้ บังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการทำงานซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นคนละ กรณีกัน จึงนำบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ และมาตรา ๗๗ มาปรับใช้อ้างเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยไม่ได้ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงมาแต่เพียงว่า จำเลยได้รับค่าโฆษณารายบริษัท ท. จำกัด โดยได้รับมอบ เครื่องฟอกอากาศ มูลค่า ๑๐๐,๐๐๐ บาท ครบถ้วนแล้ว และได้รับมอบน้ำดื่มบรรจุขวด และน้ำอัดลม บรรจุขวดไว้จากบริษัท ที จำกัด และบริษัท ไทย จำกัด ไว้หลายครั้ง แต่ยังไม่ครบถ้วน โดยมิได้ฟังข้อเท็จจริง มาให้ชัดเจนว่า น้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำอัดลมบรรจุขวดที่บริษัท ที จำกัด และบริษัท ไทย จำกัด ส่งมอบให้ จำเลยแล้วมีค่าเท่าใด ยังค้างชำระอยู่อีกเท่าใด ซึ่งศาลฎีกาไม่มีอำนาจกระทำได้ จึงต้องส่งสำนวนไปให้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาต่อไป พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเฉพาะที่ให้ยกฟ้องแย้ง ของจำเลย ให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้รับชำระค่าโฆษณาจากบริษัท ที จำกัด และบริษัทไทย จำกัด รวมเป็นเงินเท่าใด และพิพากษาในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๘ - ๖๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๒๓๙ - ๘๒๔๔/๒๕๕๐ เรื่อง อายุความเรียกร้องค่าทำงานในวันหยุดมีกำหนด ๒ ปีตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๘) (๙) การเรียกร้องค่าทำงานนั้น แม้ลูกจ้างยังคงทำงานอยู่กับนายจ้าง แต่หากนายจ้างไม่จ่ายให้ถูกต้องและตามกำหนดเวลา ลูกจ้างก็ฟ้องเรียกร้องสิทธิดังกล่าวได้ มิใช่สิทธิ เรียกร้องเมื่อถูกเลิกจ้าง คดีนี้กับพวกทั้ง ๖ คน เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย จำเลยประกอบกิจการธุรกิจร้ายขาย เครื่องดื่ม จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้กระทำความผิดระหว่างทำงานจำเลยกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ ให้เพียงเดือนละ ๒ วัน และจำเลยให้จัดวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันหยุดพักผ่อนประจำปี ขอบังคับให้จำเลยจ่าย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าทำงานในวันหยุด พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย และค่าทำงานในวันหยุดให้แก่ โจทก์กับพวก พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า อายุความเรียกร้องค่าทำงานในวันหยุดมีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๘) (๙) นับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป เมื่อจำเลยกำหนด จ่ายค่าทำงานในวันหยุดแก่โจทก์ทุกวันที่ ๕ ของเดือนถัดไป ค่าทำงานในวันหยุดของเดือนมกราคม ๒๕๔๕ จึงถึงกำหนดจ่ายในวันที่ กุมภาพันธ์๒๕๔๕ ค่าทำงานในวันหยุดของเดือนกุมภาพันธ์๒๕๔๕ จึงถึงกำหนด จ่ายในวันที่ มีนาคม ๒๕๔๕ ค่าทำงานในวันหยุดของเดือนมีนาคม ๒๕๔๕ และเดือนถัดไปจนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๔๖ จึงถึงกำหนดจ่ายวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๕ และวันที่ ๕ ของเดือนถัดไป ถึงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๗ โจทกืที่ ๑ ถึง ๓ ฟ้องคดี เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ สิทธิเรียกร้องค่าทำงานในวันหยุดของเดือนมกราคม ๒๕๔๕ จึงพ้นกำหนด ๒ ปี จึงขาดอายุความ ส่วนค่าทำงานในวันหยุดของเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ - เดือน ธันวาคม ๒๕๔๖ ยังไม่พ้นกำหนด ๒ ปี จึงยังไม่ขาดอายุความ การเรียกร้องค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์นั้น แม้ลูกจ้างยังคงทำงานอยู่กับนายจ้างแต่หาก นายจ้างไม่จ่ายให้ถูกต้องและตามกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๐ ลูกจ้างก็ฟ้องเรียกร้องสิทธิดังกล่าวได้ มิใช่สิทธิเรียกร้องเมื่อถูกเลิกจ้าง พิพากษายืน ๖๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๕๘/๒๕๔๘ (มาตรา ๗๖) เรื่อง คำว่า “หนี้อื่น ๆ” นั้นย่อมหมายถึงหนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งเกิดจากกฎหมาย กำหนดหรือบัญญัติไว้ แต่กรณีนี้สามีลูกจ้างเป็นผู้ทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง จึงมิใช่หนี้ อื่น ๆ ตามนัยแห่งมาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง (๑) นายจ้างจึงต้องคืนเงินค่าจ้างให้ลูกจ้าง แม้ลูกจ้างจะทำ หนังสือยินยอมให้นายจ้างหักค่าจ้างชดใช้ค่าเสียหายที่สามีลูกจ้างกระทำละเมิดไว้แก่นายจ้าง นายจ้าง ก็ไม่อาจหักค่าจ้างของลูกจ้างได้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนเมษายน ๒๕๔๑ จำเลยได้จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งพนักงานขับรถ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๓,๑๐๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๙ - ต่อมาวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ นาย อ. สามีของโจทก์ ซึ่งเป็นพนักงานขับรถของจำเลยเช่นเดียวกัน ได้ขับรถ ของจำเลยไปประสบอุบัติเหตุ ทำให้รถของจำเลยเสียหาย คิดเป็นเงิน ๒๐๖,๕๗๐ บาท จำเลยได้ให้นาย อ. ออกจากงาน และนำค่าเสียหายที่จำเลยได้รับมาหักออกจากค่าจ้างที่โจทก์ได้รับแต่ละเดือนนับตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ๒๕๔๔ - มิถุนายน ๒๕๔๖ รวม ๒๖ ครั้ง เป็นเงินที่จำเลยหักออกจากค่าจ้างโจทก์ทั้งสิ้น ๙๙,๔๙๗ บาท ซึ่งเป็นเงินค่าจ้างที่จำเลยไม่สามารถหักจากโจทก์ได้ตามกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตาม กฎหมายคุ้มครองแรงงานโดยจ่ายค่าจ้างรวม ๙๙,๔๙๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่ วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยให้การว่าข้อตกลงหักค่าเสียหายออกจากค่าจ้างดังกล่าว เป็นข้อตกลงพิเศษระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ให้สิทธิแก่จำเลยที่จะทำได้ตามกฎหมาย จำเลยจึงมีสิทธิ หักค่าเสียหายโดยได้รับความยินยอมของโจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าจ้างที่หักไว้๙๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกา เห็นว่า แม้โจทก์จะทำหนังสือยินยอมให้จำเลยหักค่าจ้างชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งนาย อ. สามีโจทก์ได้กระทำไว้แก่จำเลยก็ตาม แต่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๗๖ บัญญัติ ไว้ว่าห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุด เว้นแต่เป็นการหัก เพื่อ... (๑) ชำระภาษีเงินได้ตามจำนวนที่ลูกจ้างต้องจ่ายหรือชำระเงินอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ กับ...(๔) เป็นเงินประกันตามมาตรา ๑๐ หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายจ้างซึ่งลูกจ้างได้กระทำโดยจงใจหรือประมาท เลินเล่ออย่างร้ายแรงโดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง กรณีตาม (๔) นั้น มุ่งหมายถึงตัวลูกจ้างโดยตรง เป็นผู้กระทำให้เกิดหนี้หรือความเสียหายแก่นายจ้างและลูกจ้างได้ให้ความยินยอมแล้ว จึงหักค่าจ้าง ลูกจ้างได้แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้โจทก์เป็นเพียงภริยาของนาย อ. มิได้เป็นผู้ก่อหนี้หรือความเสียหาย แก่จำเลยแต่อย่างใด กรณีย่อมไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้โจทก์จะทำหนังสือยอม ให้หักค่าจ้างได้ก็ตาม จำเลยก็หาอาจจะหักค่าจ้างของโจทก์ได้ไม่ ส่วนที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์อีกว่า หนี้ของสามีโจทก์เป็นหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทั้งยังเป็นหนี้อื่น ๆ ตามที่บทบัญญัติไว้ใน มาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง (๑) เช่นกัน เมื่อโจทก์ทำหนังสือยินยอมให้หักค่าจ้างโจทก์ไว้ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะหัก ค่าจ้างโจทก์ได้ เห็นว่า คำว่าหนี้อื่น ๆ นั้นย่อมหมายถึงหนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น การชำระภาษีเงินได้ ของลูกจ้างนั้นเอง หรือการชำระเงินสะสมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างนั้นเอง เป็นต้น ซึ่งเกิดจากกฎหมาย กำหนดหรือบัญญัติไว้ แต่กรณีนี้สามีโจทก์เป็นผู้ทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย จึงมิใช่หนี้อื่น ๆ ตามนัยแห่งมาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง (๑) จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าจ้างให้โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๐ - ๖๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙/๒๕๔๕ เรื่อง สิทธิในการเลิกจ้างของนายจ้างในกรณีที่ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงาน ติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรจะเกิดขึ้นเมื่อลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่ล่วงพ้นในวันที่ ๓ ไปแล้ว และนายจ้าง ย่อมไม่อาจให้การเลิกจ้างมีผลย้อนหลังนับแต่วันที่ลูกจ้างเริ่มละทิ้งหน้าที่ โจทก์ทำหน้าที่เป็นพนักงานขับรถของจำเลยที่ ๑ ซึ่งประจำอยู่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๑ สามารถย้ายโจทก์ไปปฏิบัติงานในโครงการก่อสร้างจังหวัดใกล้เคียงได้ ดังนั้น คำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ให้โจทก์ไปทำงานในโครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำจังหวัดนนทบุรี จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ไม่ยอมไปทำงานที่โครงการดังกล่าวแม้จะยังคงไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ทุกวัน ย่อมเป็นการละทิ้ง หน้าที่สามวันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา ๑๑๙ (๕) สิทธิในการเลิกจ้างของนายจ้างในกรณีที่ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรจะเกิดขึ้นเมื่อลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่ล่วงพ้นในวันที่สามไปแล้ว และนายจ้างย่อมไม่อาจ ให้การเลิกจ้างมีผลย้อนหลังนับแต่วันที่ลูกจ้างเริ่มละทิ้งหน้าที่ ฉะนั้น การที่โจทก์ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ ของจำเลยที่ ๑ ทุกวัน ระหว่างวันที่ ๓ ถึงวันที่ ๘ มกราคม โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างเวลา ดังกล่าว ๖๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๔๑๗/๒๕๔๕ (มาตรา ๗๐) เรื่อง นายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ลูกจ้างเรียกดอกเบี้ยในเงิน ดังกล่าวได้นับแต่วันที่ครบ ๓ วัน นับแต่วันเลิกจ้าง ๖๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๘๓๑/๒๕๔๓ (มาตรา ๗๐) เรื่อง โจทก์เป็นลูกจ้างรายวัน มีสิทธิได้รับค่าจ้างเฉพาะวันที่มาทำงาน แม้ว่าสัญญาจ้าง แรงงานระหว่างจำเลยกับโจทก์ยังไม่สิ้นสุดลง แต่นับแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๔๒ โจทก์มิได้ทำงานให้แก่ จำเลย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ ๖๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๖๖/๒๕๔๓ เรื่อง นายจ้างได้บอกเลิกสัญญาจ้างแก่ลูกจ้างเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๒ โดยให้ลูกจ้าง หยุดทำงานตั้งแต่วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๒ เป็นต้นไป ฉะนั้นนายจ้างจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ ลูกจ้างเพียงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๒ เท่านั้น ไม่จำต้องจ่ายค่าจ้างหลังจากนั้นอีกเพราะสัญญาแรงงาน สิ้นสุดลงและลูกจ้างพ้นจากฐานะการเป็นลูกจ้างและไม่ได้ทำงานให้แก่นายจ้างแล้ว


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๑ - ๖๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๗๒๑/๒๕๔๑ เรื่อง ลูกจ้างขอลาออกล่วงหน้า นายจ้างไม่อนุญาตแต่กลับสั่งพักงาน ในระหว่างที่ลูกจ้าง ถูกพักงาน นายจ้างยังมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง นายจ้างจะอ้างว่าลูกจ้างไม่ได้ทำงานจึงไม่ต้อง จ่ายค่าตอบแทนการทำงานแก่ลูกจ้างหาได้ไม่ เพราะลูกจ้างไม่ได้ขอพักงานเอง ๖๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๗๗๙/๒๕๔๑ (มาตรา ๗๖) เรื่อง การที่นายจ้างกับลูกจ้างทำข้อตกลงให้นำค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีมาชำระหนี้เงินกู้สวัสดิการเมื่อลูกจ้างพ้นจากสภาพ การเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับได้ไม่ตกเป็นโมฆะ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๔ ตำแหน่งสุดท้าย ทำหน้าที่ช่วยงานเฉพาะกิจ ต่อมาวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าประสบปัญหา ทางเศรษฐกิจ ต้องลดพนักงาน ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้าง สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี คืนเงินประกัน และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี แต่โจทก์มีหนี้เงินกู้สวัสดิการที่จำเลยให้โจทก์กู้ไป จำนวน๗๔,๐๒๒.๕๓ บาท โจทก์ได้ทำข้อตกลงให้จำเลยนำค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีไปชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวได้ จึงต้องนำเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับไป หักชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยก่อน พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินที่เหลือจากหักชำระหนี้เสร็จ จำนวน ๒๔,๒๓๐.๒๓ บาทและคืนตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ว่า ข้อตกลงขัดต่อกฎหมาย เป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ ศาลฎีกา เห็นว่า การที่กฎหมายบัญญัติห้ามมิให้นายจ้างนำหนี้อื่นนอกจากที่กฎหมายกำหนด มาหักกับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดที่จะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้าง มีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองลูกจ้างมิให้ได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกหักเงินดังกล่าวในระหว่างที่ลูกจ้างยังไม่พ้น สภาพการเป็นลูกจ้าง ส่วนข้อตกลงที่โจทก์ทำกับจำเลยในคดีนี้ เป็นการตกลงให้มีการชำระหนี้เงินกู้สวัสดิการ ของโจทก์เมื่อโจทก์พ้นจากสภาพการเป็นลูกจ้างแล้ว ดังนั้น การที่จำเลยนำค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอก กล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีซึ่งเป็นเงินที่จำเลยต้องจ่ายให้โจทก์หลังจากโจทก์ พ้นสภาพการเป็นลูกจ้างเนื่องจากถูกเลิกจ้าง มาชำระเงินกู้สวัสดิการของโจทก์ตามข้อตกลงก่อน จึงไม่ต้องห้าม ตามกฎหมาย ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจึงมีผลบังคับได้ไม่ตกเป็นโมฆะ


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๒ - ๖๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๗๘๑/๒๕๔๑ (มาตรา ๗๖) เรื่อง โจทก์เป็นลูกจ้างรายเดือนของจำเลยย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างเป็นเดือน เมื่อไม่มี ข้อตกลงหรือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้สิทธิแก่จำเลย ผู้เป็นนายจ้างมีสิทธิหักค่าจ้างในวันที่ โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างไม่มาทำงาน หรือขาดงานโดยโจทก์ไม่ตกลงยินยอมด้วยได้ ดังนั้น แม้โจทก์ขาดงาน และทำงานไม่ครบเวลาในเดือนมีนาคมและเมษายน ๒๕๔๐ ก็ตาม ก็มิใช่กรณีตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๕ และ ๔๒๑ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิหักค่าจ้างในวันที่โจทก์ขาดงานโดยมิชอบนั้นได้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งรังสีแพทย์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๘๐,๐๐๐ บาท จำเลยค้างค่าจ้างของเดือนมีนาคมและเมษายน ๒๕๔๐ จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ บาท โจทก์ ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน ๑๖๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน ๑๕๑,๕๐๐ บาท แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การกระทำ ของโจทก์เป็นการขาดงานกับละทิ้งหน้าที่และผิดสัญญาจ้างแรงงานไปพร้อมกันและสัญญาจ้างแรงงาน เป็นสัญญาต่างตอบแทนระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ดังนั้น เมื่อโจทก์ขาดงานและละทิ้งหน้าที่โจทก์จึงไม่มีสิทธิ ได้รับค่าจ้างตอบแทนในวันที่ขาดงานและละทิ้งหน้าที่ แม้จำเลยจะไม่ได้แสดงกฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่ให้สิทธิ แก่จำเลยโดยตรงในการปรับลดค่าจ้าง หรือโจทก์ไม่ได้ตกลงยินยอมให้ลดเงินเดือนด้วยก็ตาม แต่ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕ บัญญัติว่า ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี ท่านว่าบุคคลทุก คนต้องกระทำโดยสุจริต และมาตรา ๔๒๑ บัญญัติว่า การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในเดือนมีนาคมและเมษายน ๒๕๔๐ โจทก์ขาด งานบางช่วงกับละทิ้งหน้าที่และผิดสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวแล้ว จำเลยย่อมเกิดสิทธิที่จะหักค่าจ้างในวันที่ โจทก์ขาดงานโดยมิชอบได้นั้น เห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างรายเดือนของจำเลยย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างเป็นเดือน ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงหรือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้สิทธิแก่จำเลยผู้เป็นนายจ้าง มีสิทธิหักค่าจ้างในวันที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างไม่มาทำงานหรือขาดงานโดยโจทก์ไม่ตกลงยินยอมด้วยได้ดังนั้น แม้จะฟังได้ว่าโจทก์ขาดงานและทำงานไม่ครบเวลาในเดือนมีนาคมและเมษายน ๒๕๔๐ ก็ตาม จำเลยก็ไม่มี สิทธิลดเงินเดือนของโจทก์พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๓ - ๖๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๙๒/๒๕๔๐ (มาตรา ๗๐) เรื่อง ในระหว่างวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๘ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๘ อันเป็นช่วงเวลา ที่โจทก์ละทิ้งหน้าที่โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุอันสมควรอย่างไร ทั้งไม่ได้ทำงานให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในช่วงเวลานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การกระทำ ของโจทก์เป็นการขาดงานกับละทิ้งหน้าที่และผิดสัญญาจ้างแรงงานไปพร้อมกันและสัญญาจ้างแรงงาน เป็นสัญญาต่างตอบแทนระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ดังนั้น เมื่อโจทก์ขาดงานและละทิ้งหน้าที่โจทก์จึงไม่มีสิทธิ ได้รับค่าจ้างในช่วงเวลานั้น ๗๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๘๒ - ๘๐๐/๒๕๓๙ เรื่อง นายจ้างย้ายลูกจ้างให้ไปทำงานที่สาขา ลูกจ้างไม่ไปทำงานตามคำสั่งของนายจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันที่ไม่ได้ทำงาน เนื่องจากข้อบังคับการทำงานกำหนดว่านายจ้างจะจ่ายค่าจ้าง แก่ลูกจ้างเฉพาะวันที่ลูกจ้างทำงานเท่านั้น จำเลยรับโจทก์ทั้งหมดเข้าทำงานในตำแหน่งลูกจ้างในการผลิตสินค้าของจำเลยเป็นการทำงาน โดยใช้แรงงานตามธรรมดาทั่วไปมิใช่จ้างให้ทำงานโดยอาศัยความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ทั้งตามสัญญาจ้างก็ระบุไว้ชัดว่าจำเลยสามารถย้ายโจทก์ทั้งหมดไปทำงานในสาขาอื่นของจำเลยได้ซึ่งโจทก์ ทุกคนก็ทราบความข้อนี้ตั้งแต่วันทำสัญญาจ้างแรงงานกับจำเลยและตามสัญญาดังกล่าวก็ไม่มีข้อตกลงว่า การย้ายโจทก์ไปทำงานที่อื่นจำเลยจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าก่อน เมื่อจำเลยมีความจำเป็นย้ายโจทก์ ทั้งสิบเก้าให้ไปทำงานที่สาขาของจำเลยที่โรงงานอำเภอ ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าเดิม และให้มีสิทธิและประโยชน์เท่าเดิม จำเลยจึงมีสิทธิย้ายโจทก์ทุกคนได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และไม่ถือว่าเป็นการย้ายโดยกะทันหันและรวบรัด คำสั่งของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง มีหน้าที่และความรับผิดชอบตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายแพ่งจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามโดยไม่ไปทำงานเกินกว่า ๓ วันทำงานจึงเป็นการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติ หน้าที่โดยถูกต้องและสุจริตเป็นการขาดงานติดต่อกัน ๓ วันทำงานโดยไม่มีเหตุอันสมควรจำเลยมีสิทธิเลิกจ้าง โจทก์ทั้งหมดโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า สำหรับค่าจ้างค้างที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยจ่ายแก่โจทก์นั้นเป็นค่าจ้างในระหว่างวันที่จำเลยมีคำสั่ง ย้ายโจทก์ไปทำงานที่อำเภอ ปากเกร็ด เมื่อโจทก์ทั้งหมดไม่ไปทำงานตามคำสั่งของจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันที่ไม่ได้ทำงานเนื่องจากข้อบังคับการทำงานกำหนดว่าจำเลยจะจ่ายค่าจ้าง แก่ลูกจ้างเฉพาะวันที่ลูกจ้างทำงานเท่านั้น


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๔ - ๗๑. คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๒๙๗/๒๕๓๙ เรื่อง การที่ลูกจ้างลาไปร่วมประชุมในฐานะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์เกี่ยวกับกรณี ลูกจ้างบริษัทอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับสหภาพแรงงานที่ตนสังกัดอยู่ เป็นการดำเนินการเป็นส่วนตัวหาใช่ เป็นการร่วมประชุมตามที่ทางราชการกำหนดไม่จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิลาไปร่วมประชุมตามนัยมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อลูกจ้างเป็นลูกจ้างรายวันและไม่ได้ทำงาน ในวันดังกล่าวจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันลาทั้ง ๘ วันนั้น ๗๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๕๗/๒๕๓๑ (ค่าไฟฟ้า) เรื่อง การที่โจทก์มีสิทธิเข้าพักอาศัยอยู่ในบ้านของบริษัทจำเลยนั้น ก็เพราะโจทก์เป็นลูกจ้าง จำเลย แม้โจทก์จะเสียเงินค่าเช่าเดือนละ ๓๐๐ บาท และค่าไฟฟ้าก็เป็นจำนวนน้อยมาก สิทธิของโจทก์ ดังกล่าวเป็นผลโดยตรงจากความผูกพันในฐานะลูกจ้างและนายจ้างระหว่างโจทก์จำเลย หนี้ดังกล่าว จึงถือได้ว่าเป็นหนี้อันเกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้าง หาใช่หนี้อื่นตามความหมายของประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๓๐ ไม่ จำเลยมีสิทธิหักค่าเช่าบ้านและค่าไฟฟ้า จากเงินเดือนของโจทก์ได้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมและจำเลยได้หักเงินค่าเช่าบ้านและค่าไฟฟ้า จากค่าจ้างของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหาย ค่าชดเชย ค่าเช่าบ้านและค่าไฟฟ้า ฯลฯ จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เลิกจ้าง โจทก์ลาออกจากงานเองจำเลย ปลูกบ้านให้ลูกจางเช่าอยู่อาศัยใกล้ที่ทำงาน คิดค่าเช่าเดือนละ ๓๐๐ บาทค่าน้ำค่าไฟฟ้าตามที่ได้ใช้จริง โจทก์ เช่าบ้านของจำเลย จำเลยไม่ได้หักค่าเช่าและค่าไฟฟ้าจากเงินค่าจ้างของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงิน จำนวนนี้คืนขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ฯ ข้อ ๓๐ ห้ามมิให้นายจ้างนำ 'หนี้อื่น'มาหักจากเงินค่าจ้างที่จะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งคำว่า “หนี้อื่น” นี้ ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า หมายถึงหนี้อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้าง ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๔๖ - ๓๕๔๗/๒๕๒๔ ระหว่างนายเอกชัย บุญชู โจทก์ การรถไฟ แห่งประเทศไทย จำเลย กรณีของโจทก์นี้ปรากฏว่าการที่โจทก์ได้มีสิทธิเข้าพักอาศัยอยู่ในบ้านของจำเลยนั้น ก็เพราะโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยแม้การเข้าอยู่อาศัยโจทก์จะได้เสียเงินค่าเช่าให้แก่จำเลยในอัตราเดือนละ ๓๐๐ บาท และเสียค่าไฟฟ้าด้วยก็ตามก็นับว่าเป็นจำนวนเงินที่น้อยมาก ซึ่งบุคคลอื่นที่มิใช่ลูกจ้างของจำเลย ย่อมไม่อาจใช้สิทธิดังเช่นโจทก์ได้การที่โจทก์มีสิทธิดังกล่าวจึงเป็นผลโดยตรงมาจากความผูกพันในฐานะลูกจ้าง และนายจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยนั่นเองหนี้ดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นหนี้อันเกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามสัญญา จ้าง หาใช่หนี้อื่นตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๓๐ แต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินดังกล่าวนี้คืนจากจำเลยได้ พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๕ - ๗๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๗๗๑/๒๕๓๐ เรื่อง ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันขาดงาน นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ จึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันเลิกจ้าง ส่วนวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ แม้เป็นวันหยุด ลูกจ้างก็ยังคงเป็นลูกจ้างอยู่จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันดังกล่าว โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ จำเลยเลิกจ้าง โจทก์โดยไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย จำเลยให้การว่า โจทก์ขาดงานอยู่เสมอ ละทิ้ง หน้าที่เกินกว่าสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุ อันสมควร โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ที่ค้างค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปี พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ไม่ได้มาทำงานในวันที่ ๘ และวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ โดยไม่ได้ลาแต่อย่างใดนั้นถือได้ว่าโจทก์ขาดงาน ส่วนที่โจทก์ไม่ได้มาทำงานในวันที่ ๑๑ ถึงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ ซึ่งโจทก์ขอลากิจโดยแจ้งให้จำเลยทราบทางโทรศัพท์นั้น ปรากฏว่าจำเลยได้ มีคำสั่ง เรื่อง การลาหยุดงานของพนักงาน ระบุว่า “.........การลากิจในแต่ละครั้ง พนักงานลูกจ้าง จะต้องเขียน ใบลากิจล่วงหน้า เพื่อขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชาและเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะหยุดงานได้ การลากิจโดย ไม่ได้รับอนุญาตทางห้างฯ จะถือว่าพนักงาน ลูกจ้าง ผู้นั้นขาดงาน.......... ในกรณีที่พนักงาน ลูกจ้าง มีกิจธุระ จำเป็นเร่งด่วนจนไม่อาจยื่นใบลากิจได้ในวันนั้น ผู้ขอลากิจจะต้องแจ้งเหตุผล หรือแสดงหลักฐานเท่าที่จำเป็น ให้กับทางห้างฯ ทราบ ไม่ว่าด้วยวิธีใดทันทีและต้องยื่นใบลาหยุดงานตามระเบียบนี้ในวันแรกที่กลับเข้า ทำงาน” เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ขอลากิจโดยไม่ได้ยื่นใบลาล่วงหน้าเพื่อขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา เสียก่อน เป็นแต่เพียงแจ้งการลากิจให้จำเลยทราบทางโทรศัพท์เท่านั้น ทั้งเมื่อโจทก์มาทำงานก็ไม่ได้ยื่นใบลา การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยเกี่ยวกับการลากิจ ส่วนที่โจทก์ลาป่วยในวันที่ ๑๔ ถึง ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ โดยแจ้งให้จำเลยทราบทางโทรศัพท์นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อโจทก์มาทำงาน ก็มิได้ยื่นใบลาและไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยให้ลาป่วยได้ ดังนั้น การที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบทางโทรศัพท์ ว่าป่วยจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการลาป่วยแล้ว เมื่อพฤติการณ์ของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ไม่มาทำงานตั้งแต่วันที่ ๘ ถึง วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ โดยในชั้นแรกโจทก์หยุดงานไปเฉยๆ ไม่ได้ลาในวันที่ ๘ และวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ แล้วต่อมาโจทก์จึงได้โทรศัพท์ลากิจและลาป่วยต่อเนื่องกันมาอีก ครั้นเมื่อมาทำงานโจทก์ ก็มิได้ส่งใบลาตามระเบียบ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการขาดงานและถือได้ว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา สามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงเข้าข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๗ (๔) และกรณีมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๖ - เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตั้งแต่วันที่ ๘ ถึงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ โจทก์ขาดงาน และคำสั่ง ของจำเลยระบุใจความว่า ในกรณีลูกจ้างขาดงานนายจ้างจะไม่จ่ายค่าจ้าง ซึ่งสภาพการจ้างดังกล่าวมีผล บังคับได้ฉะนั้น จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๘ ถึงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ แต่กรณี ปรากฏว่าจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันเลิกจ้าง ส่วนวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ นั้น จำเลยยังเป็นลูกจ้างของโจทก์อยู่จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างอีก ๑ วัน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๕ ระบุว่า' ถ้านายจ้างเลิกจ้าง ลูกจ้างประจำโดยลูกจ้างมิได้มีความผิดตามข้อ ๔๗ ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อน ประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ ตามข้อ ๑๐ และข้อ ๓๒ ด้วย' เมื่อกรณีของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ละทิ้ง หน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรอันเป็นความผิดตามประกากระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๗ (๔) ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ตามนัยแห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ดังกล่าวข้างต้น คำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนนี้จึงเป็นคุณ แก่โจทก์อยู่แล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ค้างแก่โจทก์เพิ่มอีก ๑ วันนอกจากที่แก้คงให้เป็นไป ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ๗๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๒๗๔/๒๕๓๐ เรื่อง การที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างปิดงานโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ อันเป็นมาตรการที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างมีสิทธิที่จะกระทำได้เพื่อบีบบังคับให้โจทก์ผู้เป็นลูกจ้าง จำต้องยอมตามข้อเรียกร้องของจำเลย โดยจำเลยไม่ยอมให้โจทก์ทำงานชั่วคราวจึงเป็นการปิดงานตาม พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕ วรรค ๖ ดังนั้น ในระหว่างปิดงานดังกล่าว การทำงานได้ยุติลงชั่วคราว จึงไม่มีวันทำงาน ไม่มีวันลาและไม่มีวันหยุดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๑๕ หมวด ๑ ว่าด้วยการใช้แรงงานทั่วไป และการจ้างแรงงานระหว่าง โจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยผู้เป็นนายจ้างจึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันทำงาน ตามปกติรวมถึงค่าจ้างในวันหยุดให้แก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างในระหว่างหยุดงานนั้น ๗๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๗๗-๑๒๗๘/๒๕๒๙ (มาตรา ๗๐) เรื่อง การที่นายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากโรงงานถูกเพลิงไหม้จนไม่สามารถประกอบ กิจการต่อไปได้ แต่เมื่อนายจ้างมิได้เลิกจ้างการจ้างงานจึงยังไม่ระงับ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับ ช่วงระยะเวลาที่นายจ้างหยุดกิจการ


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๗ - ๗๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๒/๒๕๒๗ เรื่อง ข้อบังคับของนายจ้าง เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและเป็นส่วนหนึ่ง ของสัญญาจ้าง ไม่มีข้อตกลงเรื่องตัดค่าจ้างกรณีลูกจ้างขาดงาน มีแต่กำหนดว่าถ้าลูกจ้างละทิ้งงาน ติดต่อกัน ๓ วัน ให้พ้นจากการเป็นลูกจ้าง การที่นายจ้างกำหนดมาตรการลงโทษลูกจ้างที่ละทิ้งหน้าที่ การงานติดต่อกัน ๓ วัน เป็นตัดค่าจ้าง จึงเป็นการกำหนดมาตรการลงโทษขึ้นใหม่ จึงไม่ชอบ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์รวม ๑,๗๗๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินจำนวน ดังกล่าวและดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยให้การว่า โจทก์ขาดงานรวม ๘ วัน ควรได้รับโทษถึงขั้นเลิกจ้างแต่จำเลย ไม่ได้เลิกจ้าง เพียงแต่ลงโทษสถานเบาคือตัดค่าจ้าง ๑,๗๗๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิพากษา ให้จำเลยชำระเงิน ๑,๗๗๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดี แรงงานวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างการที่จำเลยมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานไว้อย่างใด ข้อบังคับนั้นก็เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้าง ตรวจข้อบังคับเกี่ยวกับ การทำงานของจำเลยแล้ว ไม่มีข้อความในที่ใดว่าเมื่อลูกจ้างละทิ้งงานติดต่อกัน๓ วันให้นายจ้างมีอำนาจตัด ค่าจ้างได้ มีแต่ข้อบังคับข้อ ๘ กำหนดไว้ว่า ในกรณีเช่นนี้ให้พ้นจากการเป็นลูกจ้างของบริษัท ดังนั้น การที่ จำเลยกำหนดมาตรการลงโทษโจทก์ที่ละทิ้งการงานติดต่อกัน ๓ วันเป็นว่าให้ตัดค่าจ้าง จึงเป็นการกำหนด มาตรการลงโทษใหม่ ไม่เป็นการขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมตามพระราชบัญญัติแรงงาน สัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๐ การเพิ่มเติมสภาพการจ้างเช่นนี้ไม่มีกำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ของจำเลยว่าจำเลยมีอำนาจกระทำได้ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๑(๗) การที่ จำเลยใช้อำนาจตัดค่าจ้างโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นการไม่ชอบจำเลยมีหน้าที่ ต้องจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์สำหรับเดือนกันยายน ๒๕๒๖ เต็มจำนวนดังที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาเป็นการชอบ แล้ว พิพากษายืน ๗๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๔๓/๒๕๒๗ เรื่อง นายจ้างมีระดับการลงโทษไว้ ๔ กรณี คือ ตักเตือน ตัดค่าจ้าง ลดค่าจ้าง หรือให้ออก จากงาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ลูกจ้างกระทำผิดฐานขาดงาน นายจ้างลงโทษโดยตัดค่าจ้าง ถือได้ว่าความผิด ดังกล่าวได้หมดไปโดยการลงโทษตัดค่าจ้างแล้ว ลูกจ้างมิได้กระทำผิดขึ้นใหม่ นายจ้างจะนำความผิดที่ได้ ลงโทษไปแล้วมาเป็นเหตุเลิกจ้างอีกไม่ได้ ๗๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๒๒ - ๑๔๒๓/๒๕๒๗ เรื่อง ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งกฎหมายกำหนดให้ นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง เมื่อนายจ้างไม่ชำระ ถือว่าผิดนัดนับแต่วันเลิกจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๘ - ๗๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๕๓/๒๕๒๗ เรื่อง ค่าทำงานในวันหยุด หมายถึง ลูกจ้างมีสิทธิหยุดงานแต่นายจ้างมาใช้ให้ทำงานใน วันหยุดดังกล่าว นายจ้างต้องจ่ายเงินมากขึ้นกว่าค่าจ้างปกติ ส่วนคำว่า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อน ประจำปี หมายถึง ลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนระจำปีแล้ว ลูกจ้างมาทำงานในวันหยุดดังกล่าว แม้นายจ้าง จะมิได้ใช้ ลูกจ้างก็มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี โดยไม่จำต้องแสดงความจำนงขอ หยุดพักผ่อนประจำปีไว้ ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งกฎหมายกำหนดให้ นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง เมื่อนายจ้างไม่ชำระ ถือว่าผิดนัดนับแต่วันเลิกจ้าง ๘๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๐๑/๒๕๒๗ เรื่อง นายจ้างจำเป็นต้องหยุดงานเพราะขาดวัตถุดิบป้อนโรงงาน จึงตกลงกับลูกจ้างว่า ในระหว่างหยุดงานจะจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างต่ำกว่าค่าจ้างที่ลูกจ้างเคยได้รับ และต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ตามกฎหมาย ดังนี้ลูกจ้างจะเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างตามที่เคยได้รับหรือตามค่าจ้างขั้นต่ำ ตามกฎหมายหาได้ไม่ ๘๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๗๙/๒๕๒๖ เรื่อง โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญา ต่างตอบแทนโดยโจทก์ต้องทำงานให้แก่จำเลยและจำเลยต้องชำระสินจ้างให้แก่โจทก์ แม้จำเลยอาจ ไม่มอบงานหรือสั่งให้โจทก์ทำงานจำเลยก็ต้องจ่ายสินจ้างให้ตลอดเวลาที่จ้างกันจนกว่าจะมีการเลิก สัญญาจ้าง การที่จำเลยหยุดกิจการเพื่อซ่อมแซมโรงงาน ที่ถูกเพลิงไหม้มิได้เป็นเหตุขัดขวางอย่างใด ที่จะทำให้ถึงแก่จำเลยจ่ายสินจ้างไม่ได้ เพราะยังไม่พ้นวิสัยที่จำเลยจะชำระหนี้จ่ายสินจ้างให้โจทก์ ๘๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๕๒/๒๕๒๖ เรื่อง นายจ้างกับลูกจ้างจะตกลงกันว่าจะไม่จ่ายค่าจ้างหรือจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่ตกลงในช่วง ที่ไม่มีงานทำสามารถทำได้ ๘๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๙๑๖ - ๒๙๑๘/๒๕๒๖ เรื่อง เมื่อนายจ้างผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างหลายงวด ลูกจ้างย่อมมีสิทธิที่จะพร้อมใจกัน หยุดงานได้กรณีหาใช่เป็นการนัดหยุดงานเกี่ยวกับข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้อันจะต้องดำเนินการ ตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ไม่ และกรณีดังกล่าวก็มิใช่เป็นการที่ลูกจ้าง จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย นายจ้างจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากลูกจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๙ - ๘๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๘/๒๕๒๕ เรื่อง การที่น้ำท่วมบริเวณโรงงานแต่มิได้ท่วมตัวโรงงานจนนายจ้างต้องปิดโรงงาน ประกอบกับลูกจ้างพร้อมที่จะทำงานให้แก่นายจ้างนั้นพฤติการณ์ดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นเหตุขัดขวางในการที่ นายจ้างจะจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างและกรณีไม่ถือว่าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใด อันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ นายจ้างยังไม่หลุดพ้นจากการชำระค่าจ้าง ให้แก่ลูกจ้าง ๘๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๕๐/๒๕๒๕ เรื่อง ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องมอบหมายงานให้ลูกจ้างทำ และเมื่อไม่ปรากฏว่าสัญญาจ้างได้กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่เช่นนั้น ดังนั้น การที่นายจ้างจะมอบหมาย งานให้ลูกจ้างทำหรือไม่จึงเป็นสิทธิของนายจ้าง เมื่อนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างแล้วก็ถือไม่ได้ว่ามี ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของลูกจ้าง ลูกจ้างหามีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้นายจ้าง มอบหมายงานให้ลูกจ้างทำไม่ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ ต่อมาจำเลยไม่มอบหมายงานให้โจทก์ทำเป็น การผิดสัญญาจ้างแรงงานทำให้โจทก์เสียหาย คือเสียขวัญ ไม่มีผลงานทำให้อาจจะไม่ได้ขึ้นเงินเดือนและอับ อายเพื่อนร่วมงานจนอาจเป็นเหตุให้ลาออกไปเองได้ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยมอบหมายงานตามหน้าที่แก่ โจทก์เป็นปกติ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ดีกฎหมายอื่นก็ดี หาได้ มีบทบัญญัติกำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องมอบหมายงานให้ลูกจ้างทำไม่ และคดีนี้ตามฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์จำเลยได้กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เช่นนั้นการที่จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ ขณะ เกิดเหตุจำเลยย้ายโจทก์มาทำหน้าที่เจ้าหน้าที่โครงการด้านคุณภาพ หาอาจถือว่าจำเลยตกลงโดยปริยายที่จะ มอบหมายงานในหน้าที่ดังกล่าวให้โจทก์ทำด้วยไม่ การที่จำเลยจะมอบหมายงานให้โจทก์ทำหรือไม่จึงเป็นสิทธิ ของจำเลยเพียงแต่จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ตลอดเวลาที่จ้างกันเท่านั้น เมื่อได้ความว่าจำเลย ได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ตามปกติแล้ว การที่จำเลยไม่มอบหมายงานให้โจทก์ทำจึงถือไม่ได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับ สิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ที่โจทก์อุทธรณ์อ้างว่า การที่จำเลยไม่มอบหมายงานให้โจทก์ทำทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คือ เสียขวัญในการทำงาน เกิดความละอายแก่ใจ ได้รับความอับอาย เมื่อถึงวาระการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนโจทก์อาจไม่ได้รับ การพิจารณาเลื่อนขั้นเพราะไม่มีผลงานทั้งการกระทำของจำเลยเป็นวิธีที่จะบีบให้โจทก์ลาออกเองนั้น เห็นว่า การที่โจทก์ไม่มีผลงานเพราะจำเลยไม่มอบหมายงานให้ทำ จะเป็นเหตุโดยชอบที่จำเลยจะพิจารณาเลื่อนขั้น เงินเดือนให้โจทก์ได้หรือไม่ ย่อมเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการนั้นอีกชั้นหนึ่ง ทั้งการลาออกหรือไม่


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๐ - ก็เป็นความสมัครใจของโจทก์เอง จะถือว่าเป็นผลโดยตรงจากการที่จำเลยไม่มอบหมายงานให้โจทก์ทำมิได้ ส่วนความเสียหายประการอื่นที่โจทก์อ้างเกิดขึ้นจากการกระทำอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย โจทก์หามี อำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยมอบหมายงานให้โจทก์ทำไม่ พิพากษายืน ๘๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๔๖ -๓๕๔๗/๒๕๒๔ (หนี้อื่น) เรื่อง คำว่า 'หนี้อื่น' ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐นั้น หมายถึงหนี้อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้าง หนี้ที่โจทก์ ทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลยเนื่องจากการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างจึงมิใช่หนี้อื่นซึ่งนายจ้าง จะนำมาหักจากค่าจ้างมิได้ คดีสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกโจทก์ว่า โจทก์ที่ ๑ และ โจทก์ที่ ๒ ตามลำดับ โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องใจความทำนองเดียวกันว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ เป็นลูกจ้างประจำ ของจำเลย มีหน้าที่ปิดเปิดประตูหน้าต่างโรงซ่อมรถจักรดีเซลต่อมามีคนร้ายโจรกรรมทรัพย์สินของโรงซ่อมรถ จักรดีเซลระหว่างที่โจทก์ที่ ๑ทำหน้าที่ปิดเปิดประตูหน้าต่าง ๖ ครั้ง และระหว่างที่โจทก์ที่ ๒ ทำหน้าที่ปิดเปิด ประตูหน้าต่าง ๕ ครั้ง จำเลยได้สั่งให้โจทก์ที่ ๑ รับผิดชดใช้เงิน ๓,๙๔๓.๗๓ บาทโจทก์ที่ ๒ รับผิดชดใช้เงิน ๓,๘๐๘.๑๕ บาท โดยหักจากค่าจ้างของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒เป็นรายเดือน และโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ถูกตัดค่าจ้าง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ มีกำหนด ๑ เดือนเป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำ พ.ศ. ๒๕๒๓หนึ่งขั้น คำสั่งของจำเลยไม่ถูกต้อง เพราะการที่ทรัพย์สินหายมิได้อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ ที่ ๑ ที่ ๒ โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ มิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใดขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ลงโทษตัดค่าจ้าง และให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหาย ให้จำเลยจ่ายเงินให้แก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๓,๙๔๓.๗๓ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๓,๘๐๘.๑๕ บาท กับค่าจ้างที่จำเลยสั่งตัดไปแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน๒๙๗.๙๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑๗๙.๑๐ บาท และให้จำเลยเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๓ แก่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ คนละ ๑ ขั้น จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า นอกจากโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าช่างชั้นสองประจำ กองซ่อมรถจักรโรงงานมักกะสัน ฝ่ายการช่างกลแล้วโจทก์ทั้งสองยังมีหน้าที่ปิดเปิดโรงซ่อมรถจักรดีเซล ในระหว่างเวลา๖.๓๐ นาฬิกา ถึง ๑๖.๔๕ นาฬิกาอีกด้วย โดยจำเลยจ่ายค่าล่วงเวลาตอบแทนเพิ่มให้อีกวันละ ๒ ชั่วโมง ระหว่างที่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ทำหน้าที่ปิดเปิดโรงซ่อมรถจักรดีเซล ได้มีคนร้ายลักทรัพย์ของจำเลย ภายในโรงซ่อมรถจักรดีเซลรวม๖ ครั้ง จำเลยตั้งกรรมการสอบสวนแล้วสรุปว่าคนร้ายได้เข้าหลบซ่อนตัวอยู่ ภายในโรงซ่อมรถจักรดีเซลก่อนที่โจทก์จะปิดประตูหน้าต่างและยังปรากฏด้วยว่ามีการชำรุดบกพร่องของ ประตูและช่องลม เป็นเหตุให้คนร้ายโจรกรรมทรัพย์สินของจำเลยแสดงว่าโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ประมาทเลินเล่อ บกพร่องต่อหน้าที่ คณะกรรมการสอบสวนเสนอให้ลงโทษทางวินัย และให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ กับผู้อื่นที่ต้องรับผิด ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย จำเลยเห็นพ้องกับความเห็นของกรรมการสอบสวน จึงลงโทษตัดเงินเดือนคนละ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ มีกำหนด ๑ เดือน ลงโทษภาคทัณฑ์และมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายรวม ๖ ครั้ง ทั้งนี้ตาม ระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของจำเลยคือประมวลการลงโทษผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ และคำสั่งทั่วไปลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๐๒ ซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ได้รับการเลื่อนค่าจ้างประจำปี ๒๕๒๓ เพราะถูกลงโทษตัดเงินเดือนในรอบปีที่แล้วมาซึ่งเป็นคำสั่งทั่วไป


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๑ - ลงวันที่ ๒๑ มกราคม๒๕๑๒ เรื่อง หลักเกณฑ์การเลื่อนเงินเดือนและค่าจ้างประจำปีของผู้ปฏิบัติงาน ในการรถไฟแห่งประเทศไทย จำเลยจึงไม่อาจเลื่อนเงินเดือนให้โจทก์ได้ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลาง พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้าง มีความเห็นแย้งในประเด็นที่ว่า จำเลยมีสิทธิหักค่าจ้างของโจทก์เพื่อชดใช้ทรัพย์สินที่ถูกลัก โจทก์ทั้งสอง สำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐ ที่กำหนดไว้ว่า "ในการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด นายจ้างจะนำหนี้อื่นมาหักมิได้ "นั้น มีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองลูกจ้างในเรื่องค่าแรงงาน มิให้นายจ้าง เอาเปรียบลูกจ้าง ถือว่าเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเพราะการปล่อยให้นายจ้าง เอาเปรียบกดขี่ข่มเหงลูกจ้างย่อมจะก่อให้เกิดความระส่ำระสายและกระทบกระเทือนความสงบเรียบร้อย ในบ้านเมือง ในทางกลับกัน ถ้าปล่อยให้ลูกจ้างประมาทเลินเล่อและมีความบกพร่องในการทำงานหรือ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างอย่างไรก็ได้ โดยนายจ้างไม่มีสิทธิที่จะออกคำสั่งหรือวางระเบียบหรือทำ ข้อตกลงใด ๆ เพื่อป้องกันความเสียหายนั้น ความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ย่อมจะถูกทำลายเช่นเดียวกัน ดังนั้น ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จึงมิได้มีเจตนารมณ์ที่จะให้ความเป็นธรรมแก่ลูกจ้างหรือนายจ้าง ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแต่เพียงฝ่ายเดียว คำว่า "หนี้อื่น" ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐ หมายถึงหนี้ชนิดใดพิเคราะห์ข้อความที่ว่า "ในการจ่ายค่าจ้างค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด นายจ้างจะนำหนี้อื่นมาหักมิได้" แล้วตีความกลับกันได้ว่า ถ้าไม่ใช่ "หนี้อื่น" แต่เป็นหนี้ เกี่ยวข้องกับตัวค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดนั้นเองก็ย่อมจะหักได้ ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์ถ้อยคำ ข้างต้นกับเจตนารมณ์ของประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวประกอบกันแล้ว คำว่า "หนี้อื่น" จึงหมายถึงหนี้ อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้าง เช่น ค่าซื้อของจากสโมสร หนี้เงินกู้ ฯลฯ เป็นต้น แต่กรณีนี้ เป็นหนี้ที่โจทก์ทั้งสองต้องรับผิดชดใช้แก่จำเลยเนื่องจากการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างจึงมิใช่ “หนี้อื่น” ซึ่งจำเลยจะนำมาหักจากค่าจ้างมิได้ ถ้าประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวประสงค์จะมิให้มีการหักหนี้ทุก ชนิดจากค่าจ้างแรงงาน ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุดแล้ว ก็ย่อมจะใช้คำว่า "หนี้ใด ๆ" หรือถ้อยคำอื่น ที่มีความหมายทำนองเดียวกัน คงจะไม่ใช้คำว่า "หนี้อื่น" ดังที่ปรากฏในปัจจุบันเป็นแน่ ทั้งไม่จำเป็นที่จะต้อง เป็นหนี้ตามคำพิพากษาดังที่โจทก์อ้างในอุทธรณ์ เพราะไม่มีข้อความตอนใดในประกาศกระทรวงมหาดไทยที่ พอจะแปลความได้เช่นนั้น จึงเห็นว่าคำสั่งทั่วไปของการรถไฟที่ ก.๖๒/๓๕๘๐ เรื่อง การหักเงินเดือนและเงิน ค่าจ้างชดใช้ค่าเสียหายไม่ขัดต่อประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐ จำเลยจึงมีสิทธิหักค่าจ้างของโจทก์ชดใช้ความเสียหายสำหรับทรัพย์สินของจำเลย ที่ถูกโจรกรรมได้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชอบแล้ว พิพากษายืน ๘๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๖๖/๒๕๑๖ (มาตรา ๗๖) เรื่อง ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐ ซึ่งออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ที่ระบุว่า “ในการจ่ายค่าจ้าง ... นายจ้างจะนำหนี้อื่นมาหักมิได้นั้นหมายถึงห้ามมิให้นายจ้างนำหนี้อื่นที่ลูกจ้างเป็นหนี้นายจ้าง หรือบุคคลอื่นมาหักกับค่าจ้าง ฯลฯ เท่านั้น ไม่ได้ระบุห้ามไม่ให้เงินค่าจ้างอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับ


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๒ - คดีการที่ศาลออกหมายอายัดเงินค่าจ้างของจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ร้องตามคำขอของโจทก์นั้นจึงต้อง บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖ (๓) คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์และจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลย ทั้งสามยอมใช้เงินให้โจทก์ ๑๑,๓๘๗ บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสา ไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามสัญญายอมความ โจทก์จึงร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินรายได้ของจำเลยที่ ๒ ประมาณเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ไปยังบริษัท ส. จำกัด ผู้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ ให้ส่งเงินรายได้ของจำเลย ที่ ๒ มายังเจ้าพนักงานบังคับคดีครึ่งหนึ่งทุกเดือนจนกว่าจะครบจำนวนหนี้ ศาลชั้นต้นได้ออกหมายอายัด ถึงผู้จัดการบริษัท ส. จำกัด ตามคำขอของโจทก์บริษัท ส. จำกัด ร้องคัดค้านว่า หมายอายัดขัดต่อกฎหมาย เพราะเงินค่าจ้างที่บริษัท ส. จำกัด จะต้องจ่ายให้จำเลยที่ ๒ ไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐ ซึ่งออกตามความในข้อ ๒ แห่งประกาศ ของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๕ ที่ห้ามมิให้นายจ้างนำหนี้อื่นมาหักจากค่าจ้าง ที่จะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ขอให้สั่งเพิกถอนหมายอายัดและยกคำขอของโจทก์เสีย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างปฏิบัติตามหมายอายัดของศาลไม่ใช่เป็นเรื่องที่ นายจ้างหาหนี้อื่นมาหักในการจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างอันต้องห้ามตามประกาศกระทรวงมหาดไทยตามที่ผู้ร้อง อ้าง และประกาศดังกล่าวของกระทรวงมหาดไทยก็ไม่มีข้อห้ามมิให้ศาลอายัดเงินค่าจ้างของลูกจ้าง ทั้งหมายอายัดของศาลก็ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖(๓) ให้ยกคำร้อง ของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐ ซึ่งออกตามความในประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๕ ที่ระบุว่า "ในการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุดนายจ้างจะนำหนี้อื่นมาหักมิได้" นั้น หมายถึงห้ามมิให้นายจ้างนำหนี้อื่นที่ลูกจ้างเป็นหนี้นายจ้างหรือบุคคลอื่นมาหักกับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด ที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเท่านั้นและประกาศดังกล่าวของ กระทรวงมหาดไทยก็ไม่ได้ระบุห้ามไม่ให้เงินค่าจ้างของลูกจ้างอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี กรณีจึงต้อง บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖(๓) คือ ค่าจ้างส่วนที่เกินกว่าเดือนละ ๔๐ บาท เมื่อไม่มีกฎหมายพิเศษบังคับไว้ประการใดแล้ว ให้อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีได้จนถึงจำนวน ที่ศาลจะกำหนดตามที่เห็นสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป ที่ศาลออกหมายอายัดเงินค่าจ้าง ของจำเลยที่ ๒ นั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน


CHERDSAK KAMPANTHONG เชดิศกัดิ์กา ปั่นทอง ผอู้า นวยการกลุม่งานทปี่รกึษากฎหมาย นิติกรรมและสัญญา A B O U T Contact Information กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400 (096) 865 6547 [email protected] “ความรู้” ท าให้ชีวิตเปลี่ยน P U B L I C A T I O N / ผลงานวิชาการ สรุปค าพิพากษาศาลฎีกาคดีแรงงาน รายปี รวมค าพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับค่าจ้าง รวมเล่มค าพิพากษาเกี่ยวกับพนักงานตรวจแรงงาน ปี 2560 – 2564 รวมเล่มค าพิพากษาเกี่ยวกับพนักงานตรวจแรงงาน ปี 2555 - 2559 รวมเล่มค าพิพากษาเกี่ยวกับความเป็นนายจ้างลูกจ้าง ปี 2555 - 2564 รวมเล่มค าพิพากษาเกี่ยวกับเลิกจ้าง ลาออก ปี 2555 - 2564 รวมเล่มค าพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกฎหมายประกันสังคมและ กฎหมายเงินทดแทน W O R K E X P E R I E N C E / ประสบการณ์การท างาน วิทยากรบรรยาย ความรู้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน วินัยในการท างาน ข้อบังคับการท างาน สัญญาจ้าง ค่าจ้าง ค่าตอบแทน วันหยุด/วันลา E D U C A T I O N / การศึกษา นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์ นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามค าแหง


โดย เช ิ ดศก ั ด ์ ิ กำ ปั น ่ ทอง นิติกรช ำนำญกำรพิเศษ กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน โทร/ไลน์ : 096 865 6547 [email protected]


Click to View FlipBook Version