คำอธิบายเบื้องต้นรายมาตรา พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ จัดทำโดย ฝ่ายกฎหมายสวัสดิการสังคม กองกฎหมายสวัสดิการสังคม มกราคม ๒๕๖๔
คำนำ คำอธิบายเบื้องต้นพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการใช้กฎหมายและการตีความกฎหมาย โดยในเนื้อหาประกอบด้วยเนื้อหาของกฎหมาย รายมาตรา ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา คำวินิจฉัยของศาลฎีกา และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง ซึ่งฝ่ายกฎหมายสวัสดิการสังคม กองกฎหมายสวัสดิการสังคม หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานวิชาการฉบับนี้จะเป็น ประโยชน์ในการศึกษาและค้นคว้าสำหรับการปฏิบัติงานร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพของเจ้าหน้าที่ในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ฝ่ายกฎหมายสวัสดิการสังคม มกราคม ๒๕๖๔
สารบัญ หน้า ความเป็นมาของพระราชบัญญัติ ๑ มาตรา ๑ ชื่อพระราชบัญญัติ ๓ มาตรา ๒ วันใช้บังคับ ๓ มาตรา ๓ บทนิยาม ๓ มาตรา ๔ ผู้รักษาการตามกฎหมาย ๖ หมวด ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๕ การจัดตั้งกองทุน ๖ มาตรา ๖ การยื่นคำขอจดทะเบียน ๗ มาตรา ๗ สถานะของกองทุน ๘ มาตรา ๗/๑ ทรัพย์สินของกองทุน ๙ มาตรา ๘ การประกาศการจดทะเบียนกองทุน ๑๐ มาตรา ๙ ข้อบังคับของกองทุน ๑๐ มาตรา ๑๐ เงินสะสมและเงินสมทบ ๒๒ มาตรา ๑๐/๑ การหยุดหรือเลื่อนการส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบ ๒๖ มาตรา ๑๑ คณะกรรมการกองทุน ๒๖ หมวด ๒ การจัดการกองทุน มาตรา ๑๒ การกำกับและควบคุม ๒๗ มาตรา ๑๒ ทวิ อำนาจหน้าที่ของนายทะเบียน ๒๘ มาตรา ๑๒ ตรี การจัดทำรายงานของนายทะเบียน ๒๘ มาตรา ๑๓ การจัดการกองทุน ๒๘ มาตรา ๑๔ ผู้จัดการกองทุน ๓๑ มาตรา ๑๕ บัญชีและเอกสาร ๓๔ มาตรา ๑๖ การลงทุนหรือหาประโยชน์ของกองทุน ๓๔ มาตรา ๑๗ การบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายของกองทุน ๓๕ มาตรา ๑๘ ยกเลิก มาตรา ๑๙ ยกเลิก มาตรา ๒๐ การพ้นจากการเป็นผู้จัดการกองทุน ๓๖ มาตรา ๒๑ การแต่งตั้งผู้จัดการกองทุนใหม่ ๓๖ มาตรา ๒๒ การขอตรวจดูบัญชีและเอกสาร ๓๖
หมวด ๓ การจ่ายเงินจากกองทุนและการเลิกกองทุน มาตรา ๒๓ การจ่ายเงินจากกองทุน ๓๖ มาตรา ๒๓/๑ การคำนวณเงินผลประโยชน์ ๔๖ มาตรา ๒๓/๒ การรับเงินจากกองทุนเป็นงวด ๔๖ มาตรา ๒๓/๓ การคงเงินไว้ในกองทุน ๔๗ มาตรา ๒๓/๔ การโอนเงินจากกองทุนไปยังกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ๔๗ มาตรา ๒๔ สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุน ๔๙ มาตรา ๒๕ การเลิกกองทุน ๕๑ มาตรา ๒๖ การแจ้งนายทะเบียนทราบ ๕๓ มาตรา ๒๗ การสั่งเลิกกองทุน ๕๓ มาตรา ๒๘ การประกาศเลิกกองทุน ๕๓ มาตรา ๒๙ การชำระบัญชีกองทุน ๕๓ หมวด ๔ พนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา ๓๐ การตรวจสอบการจัดการกองทุน ๕๔ มาตรา ๓๑ บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ ๕๔ หมวด ๕ บทกำหนดโทษ มาตรา ๓๒ บทลงโทษการไม่ใช้ชื่อกองทุน ๕๖ มาตรา ๓๓ บทลงโทษการห้ามใช้ชื่อกองทุน ๕๖ มาตรา ๓๔ บทลงโทษคณะกรรมการกองทุน ๕๖ มาตรา ๓๕ บทลงโทษผู้จัดการกองทุน ๕๖ มาตรา ๓๖ ยกเลิก มาตรา ๓๗ บทลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๕ ๕๖ มาตรา ๓๘ ยกเลิก มาตรา ๓๙ ยกเลิก มาตรา ๔๐ บทลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ๕๗ มาตรา ๔๑ บทลงโทษผู้แทนนิติบุคคล ๕๗ มาตรา ๔๒ การเปรียบเทียบคดี ๕๘ มาตรา ๔๓ อายุความ ๕๘
พระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นปีที่ ๔๒ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (provident fund) คือ กองทุนที่ลูกจ้างและนายจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วย ความสมัครใจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ลูกจ้างมีหลักประกันทางการเงิน และเป็นสวัสดิการเมื่อลูกจ้างลาออกจาก งาน เกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต และถือว่าเป็นสวัสดิการส่วนหนึ่งที่นายจ้างมีให้แก่ลูกจ้าง ปัจจุบันประเทศไทยมีกองทุนในลักษณะนี้หลายกองทุน โดยแยกไปตามประเภทของสถานะภาพ ของบุคคลหรือสมาชิกของกองทุน ได้แก่ ๑. กองทุนประกันสังคมตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งครอบคลุมลูกจ้าง เอกชนในสถานประกอบการ ลูกจ้างชั่วคราว และพนักงานราชการ ๒. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งครอบคลุมข้าราชการส่วนกลาง ๓. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งครอบคลุม แรงงานเอกชนในสถานประกอบการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างประจำส่วนราชการ ๔. กองทุนการออมแห่งชาติตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งครอบคลุม ลูกจ้างนอกระบบประกันสังคม ๕. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้คนไทย เก็บออมระยะยาวเพื่อเอาไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณอายุ คล้ายๆ กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ของเอกชน และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ของข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐1 มีวิวัฒนาการ ดั้งเดิมมาจากการที่นายจ้างภาคเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจจัดให้มีสวัสดิการแก่พนักงานหรือลูกจ้างเมื่อออกจากงาน ในลักษณะเงินบำเหน็จ โดยคำนวณจ่ายให้ตามอายุงานของพนักงานหรือลูกจ้าง และมีหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขว่า 1 ความเป็นมาตาม บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง ขอทบทวนปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่องเสร็จที่ ๓๗๐/๒๕๔๘
๒ ผู้มีสิทธิรับบำเหน็จต้องมีอายุงานไม่น้อยกว่าที่กำหนด และผู้ที่ออกจากงานโดยมีความผิดไม่มีสิทธิรับบำเหน็จ เช่นเดียวกันกับการจ่ายเงินบำเหน็จของข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของทางราชการ การจ่ายบำเหน็จของ นายจ้างภาคเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจนี้ นายจ้างอาจจ่ายจากเงินของกิจการเองเช่นเดียวกับรายจ่ายในการดำเนินงาน อื่นๆ หรือจ่ายจากเงินที่นายจ้างจัดสรรหรือกันสำรองไว้เป็นเงินสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลักษณะสำคัญของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแต่เดิมจึงเป็นกองทุนที่นายจ้างสมัครใจตั้งขึ้นแต่ฝ่ายเดียวเพื่อจูงใจให้ ลูกจ้างทำงานอยู่กับนายจ้างด้วยความภักดี โดยที่เงินที่นายจ้างจ่ายหรือกันสำรองเข้ากองทุนยังไม่ได้รับสิทธิ ประโยชน์ด้านภาษี กล่าวคือ จะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีไม่ได้จนกว่านายจ้างจะจ่ายเงิน ให้แก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างออกจากงานเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เพื่อเป็นการส่งเสริมการระดมเงินออมภาคเอกชน เพื่อนำไปใช้ในการ พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ และเพื่อส่งเสริมการจัด สวัสดิการให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน กระทรวงการคลังจึงได้มีมาตรการส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ลูกจ้างและนายจ้างมีส่วนร่วมกันจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุน และลูกจ้างจะได้รับเงินสะสมและ เงินสมทบ รวมทั้งผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว เมื่อลูกจ้างออกจากงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ ของกองทุน และกระทรวงการคลังให้ประโยชน์ในทางภาษีแก่นายจ้างที่จ่ายเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยการ แก้ไขมาตรา ๖๕ ตรี (๒) แห่งประมวลรัษฎากร ให้นำเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี เงินได้นิติบุคคลได้ตามมาตรา ๑๙ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล รัษฎากร (ฉบับที่ ๒๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ ในการนี้ได้มีการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ออกตามความ ในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการรับจ่ายและ การจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไว้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้มีการออกพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐2 โดยรัฐ ได้ส่งเสริมให้มีการระดมเงินออมภาคเอกชน เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้วางหลักเกณฑ์ การดำเนินการและจัดการกองทุน เพื่อให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมั่นคงและเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง โดยกำหนดให้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นนิติบุคคล นอกจากนี้ มาตรา ๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ กำหนดไว้ว่า “เงินทุนสำรองเลี้ยงชีพลูกจ้างที่ได้จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ถ้าประสงค์จะให้เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ดำเนินการ (ยื่นขอจดทะเบียน) ตามวรรคหนึ่ง” และ มาตรา ๒๓ กำหนดไว้ว่า “เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงิน จากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน...” ต่อมาได้มีการออก กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๘๓ (พ.ศ. ๒๕๓๓) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ยกเลิก กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ บัญญัติให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมาย 2 เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ โดยที่เป็นการสมควรส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุน สำรองเลี้ยงชีพโดยความสมัครใจของนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อประสงค์จะให้เป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน ตลอดจน ส่งเสริมการระดมเงินออมภาคเอกชนเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในการนี้สมควรวางหลักเกณฑ์การ ดำเนินการและจัดการกองทุนเพื่อให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมั่นคงและเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง
๓ ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ดังนั้น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จึงได้มาจดทะเบียนเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐” พระราชบัญญัตินี้มีการแก้ไขเพิ่มเติมจำนวน ๓ ครั้ง ได้แก่ (๑) พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒) พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ (๓) พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป พระราชบัญญัติฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๔/ตอนที่ ๒๕๔/ฉบับพิเศษ หน้า ๒๓ วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๓๐ จึงมีผลใช้บังคับในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๓๐ มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “กองทุน” หมายความว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ “กองทุนนายจ้างเดียว” หมายความว่า กองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อลูกจ้างของนายจ้างเพียงรายเดียว “กองทุนหลายนายจ้าง” หมายความว่า กองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อลูกจ้างของนายจ้างหลายราย “ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงาน ทั้งนี้ ไม่ว่า จะกำหนด คำนวณ หรือจ่ายเป็นการตอบแทนโดยวิธีใด และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างใด แต่ไม่รวมถึงค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด หรือเงินหรือผลประโยชน์อย่างอื่นที่นายจ้างหักไว้ หรือจ่ายเพิ่มเติมให้แก่ลูกจ้างเพื่อ ประโยชน์ในการทำงาน “นายจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ธรรมดาหรือนิติบุคคล และไม่ว่าการตกลงนั้นจะมีสัญญาเป็นหนังสือหรือไม่ “ลูกจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะมีสัญญาเป็น หนังสือหรือไม่ “นายทะเบียน” หมายความว่า บุคคลซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
๔ ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) ได้วินิจฉัยนิยามคำว่า “นายจ้าง” และ “ลูกจ้าง” ในมาตรา ๓ กรณีของลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ว่า ลูกจ้างประจำของส่วนราชการอยู่ใน ความหมายของคำว่า “ลูกจ้าง” ส่วน “นายจ้าง” ก็ย่อมหมายความถึงส่วนราชการที่มีสภาพเป็นนิติบุคคล ซึ่งได้ตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างนั่นเอง ดังนั้น ส่วนราชการต่าง ๆ จึงสามารถจัดตั้งกองทุน สำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้างประจำได้ ตามความเห็น ดังนี้ กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๕๒๖/๑ ลงวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๘ ถึงสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กระทรวงการคลังได้เสนอร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. .... แต่โดยที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับแก่ข้าราชการเท่านั้น ไม่รวมถึงลูกจ้างประจำของ ส่วนราชการด้วย ทั้งที่ลักษณะการปฏิบัติงานของข้าราชการและลูกจ้างประจำมีสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก กรมบัญชีกลางจึงมีนโยบายจะจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้างประจำของส่วนราชการขึ้น โดยให้ ลูกจ้างประจำที่เป็นสมาชิกส่งเงินสะสมในอัตราร้อยละ ๓ ของค่าจ้าง และมีสิทธิได้รับเงินสมทบจากทางราชการ ในอัตราเดียวกัน ส่งเข้ากองทุนไว้เพื่อจ่ายให้แก่ลูกจ้างประจำเมื่อออกจากราชการ เพิ่มเติมจากการมีสิทธิได้รับ เงินบำเหน็จจากทางราชการซึ่งจ่ายจากเงินงบประมาณ ซึ่งเมื่อได้พิจารณาถึงลักษณะของกองทุนที่จะจัดตั้งขึ้นนี้ เห็นว่ามีลักษณะและความประสงค์คล้ายคลึงกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของลูกจ้างในภาคเอกชน และของพนักงาน รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.๒๕๓๐ จึงเห็นว่า การจัดตั้งกองทุนสำหรับ ลูกจ้างประจำของส่วนราชการน่าจะจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.๒๕๓๐ ได้ แต่เมื่อ พิจารณาถึงเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว เห็นว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการระดมเงินออมใน ภาคเอกชนเท่านั้น กรมบัญชีกลางจึงขอหารือ ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง การจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำหรับลูกจ้างประจำของส่วนราชการสามารถ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.๒๕๓๐ ได้หรือไม่ ประเด็นที่สอง ถ้าสามารถจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของลูกจ้างประจำขึ้นตาม ๑ ได้ จะจัดตั้ง ขึ้นเพียงกองทุนเดียวเพื่อใช้กับลูกจ้างประจำทั่วประเทศในทุกส่วนราชการ โดยให้กรมบัญชีกลางมีฐานะเป็น ฝ่ายนายจ้างแทนส่วนราชการอื่นๆ ได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวแล้ว มีความเห็นดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ แล้วจะเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์หลักของพระราชบัญญัติฉบับนี้มุ่งที่จะจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นสวัสดิการหรือหลักประกันแก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างตาย ออกจากงาน หรือลาออกจาก กองทุน และเป็นการส่งเสริมให้ลูกจ้างออมทรัพย์ไว้เมื่อออกจากงานหรือเมื่อออกจากกองทุน ทั้งนี้ โดยกองทุน เกิดขึ้นจากการที่ลูกจ้างและนายจ้างตกลงกันจัดตั้งขึ้น โดยลูกจ้างจ่ายเงินสะสมและนายจ้างจ่ายเป็นเงินสมทบตาม เกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งคำว่า “ลูกจ้าง” หมายความถึง ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะมี สัญญาเป็นหนังสือหรือไม่ และคำว่า “นายจ้าง” หมายความถึง ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล และไม่ว่าการตกลงนั้นจะมีสัญญาเป็นหนังสือหรือไม่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
๕ ลูกจ้างประจำของส่วนราชการอยู่ในความหมายของคำว่า “ลูกจ้าง” ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ส่วน “นายจ้าง” ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ย่อมหมายความถึงส่วนราชการที่มีสภาพเป็นนิติบุคคลซึ่งตกลง รับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้าง นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติอื่นในพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีข้อห้ามมิให้จัดตั้งกองทุนสำหรับลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ดังนั้น หากส่วนราชการและ ลูกจ้างประจำมีความประสงค์ที่จะจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขึ้นโดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการของ พระราชบัญญัตินี้ทุกประการก็เห็นว่าสามารถจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ได้ สำหรับข้อความในเหตุผลท้ายพระราชบัญญัติที่กำหนดว่า “เพื่อเป็นการส่งเสริม การระดมเงินออมในภาคเอกชนเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” นั้น เห็นว่า ข้อความดังกล่าว เป็นเพียงการขยายความเพื่อให้เห็นถึงผลประโยชน์อื่นที่ได้รับเนื่องจากการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเท่านั้น มิได้เป็นข้อจำกัดหรือข้อห้ามมิให้จัดตั้งกองทุนดังกล่าวในภาคราชการ และหากจะพิจารณาข้อเท็จจริงในกรณีนี้ ก็จะเห็นว่า การที่ลูกจ้างประจำได้จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนนั้นถือได้ว่าเป็นการระดมเงินออมจากภาคเอกชน ได้อย่างหนึ่งด้วย ประเด็นที่สอง เนื่องจากคำว่า “นายจ้าง” ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหมายถึงส่วนราชการ ที่มีสภาพเป็นนิติบุคคล คือ กระทรวง ทบวง กรม ดังนั้น แต่ละส่วนราชการจึงต้องร่วมกับลูกจ้างประจำของ ส่วนราชการนั้นเพื่อจัดตั้งกองทุนขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัตินี้ก็ได้เปิดช่องให้ส่วนราชการต่าง ๆ สามารถร่วมกันจัดตั้งกองทุนขึ้นเพียงแห่งเดียวได้ ดังจะเห็นได้จากนิยามคำว่า “นายจ้าง” และ “กองทุน” มีความหมายกว้างมิได้จำกัดเฉพาะเพียงนายจ้างคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถจัดตั้งกองทุนได้ รวมทั้งมาตรา ๒๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ก็แสดงให้เห็นได้โดยปริยายว่ากองทุนสามารถจัดตั้งขึ้นโดยนายจ้างมากกว่า หนึ่งรายได้ และข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในปัจจุบันมีหลายบริษัทได้ร่วมกันจัดตั้งกองทุนขึ้นเพียงแห่งเดียว และบริหารงานร่วมกันแล้ว ดังนั้น จึงเห็นว่า หากส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นนายจ้างจะร่วมกันจัดตั้งกองทุน สำรองเลี้ยงชีพขึ้นเป็นกองทุนเดียวร่วมกันสำหรับลูกจ้างประจำของทุกส่วนราชการเพื่อความสะดวกในการ บริหารงานหรือการจัดการกองทุน ไม่ว่าจะอยู่ที่หน่วยงานใดก็ย่อมสามารถกระทำได้ (บันทึก เรื่อง การจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้างประจำของส่วนราชการ เรื่องเสร็จที่ ๖๔๐/ ๒๕๓๘) คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๒๗/๒๕๓๓ แม้โจทก์เป็นกรรมการบริษัทจำเลยและมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไป มีอำนาจกระทำการแทน จำเลยได้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์คงเป็น “ลูกจ้าง” ของจำเลย เมื่อหลักเกณฑ์การจ่าย เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของจำเลยไม่มีข้อจำกัดว่าพนักงานระดับผู้บังคับบัญชาไม่มีสิทธิได้รับ โจทก์จึงมีสิทธิ ได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
๖ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจ แต่งตั้งนายทะเบียน และพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออกกฎกระทรวงและกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตาม พระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ (๑) การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ได้มีประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๑ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๕/ตอนที่ ๑๗/หน้า ๕๙๕/๒๘ มกราคม ๒๕๓๑) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประกาศแต่งตั้ง พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้แก่ ๑. ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๒. รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๓. ข้าราชการพลเรือนสามัญตั้งแต่ระดับ ๓ ขึ้นไป สังกัดกองนโยบายการเงินและสถาบัน การเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (๒) การแต่งตั้งนายทะเบียน ได้มีประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติกองทุน สำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๓ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๗/ ตอนพิเศษ ๒๙ ง/หน้า ๙/๒๙ มีนาคม ๒๕๔๓) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แต่งตั้งให้ สำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หมวด ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๕3 กองทุนจะมีขึ้นได้ต่อเมื่อลูกจ้างและนายจ้างตกลงกันจัดตั้งขึ้นและได้จดทะเบียน ตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างตาย ออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุน โดยลูกจ้างจ่ายเงินสะสมและนายจ้างจ่ายเงินสมทบตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของกองทุนนั้น ทั้งนี้ จะจัดตั้งเป็นกองทุนนายจ้างเดียวหรือกองทุนหลายนายจ้าง ซึ่งอาจมีนโยบายการลงทุนนโยบายเดียวหรือหลาย นโยบายก็ได้ 3 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
๗ มาตรา ๖ เมื่อลูกจ้างและนายจ้างตกลงกันจัดตั้งกองทุนขึ้นตามมาตรา ๕ แล้ว ให้ยื่นคำขอ จดทะเบียนต่อนายทะเบียนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เงินทุนสำรองเลี้ยงชีพลูกจ้างที่ได้จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ถ้าประสงค์จะ ให้เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ดำเนินการตามวรรคหนึ่ง กฎหมายลูกบทที่เกี่ยวข้อง กฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๒ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๖/ตอนที่ ๑๐๐/หน้า ๓๐๗) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ข้อ ๑ การยื่นคำขอจดทะเบียนกองทุนที่ได้จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๕ ให้คณะกรรมการกองทุนยื่น คำขอพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานตามที่กำหนดในข้อ ๔ ต่อนายทะเบียน ข้อ ๒ เงินทุนสำรองเลี้ยงชีพลูกจ้างที่ได้จัดตั้งขึ้นตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก่อนวันที่พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ใช้บังคับ ถ้าประสงค์จะให้เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ให้ยื่น คำขอจดทะเบียนกองทุนพร้อมทั้งยื่นคำขอนำเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวเข้ากองทุน กับเอกสารหลักฐานตามที่ กำหนดในข้อ ๔ ต่อนายทะเบียนภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ และจะต้องจ่ายสมทบเข้ากองทุน ทั้งหมดในครั้งเดียว ข้อ ๓ เงินทุนสำรองเลี้ยงชีพลูกจ้างที่นายจ้างได้จัดสรรหรือสำรองไว้หรือที่ลูกจ้างได้สะสมไว้ แยกต่างหากจากเงินอื่น ๆ เพื่อใช้จ่ายในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงาน ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัติกองทุน สำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ใช้บังคับ ถ้าประสงค์จะให้เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนกองทุน พร้อมทั้งยื่นคำขอนำเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพลูกจ้างดังกล่าวเข้ากองทุน โดยมีรายการและเอกสารหลักฐานตามที่กำหนดในข้อ ๔ และตามที่นายทะเบียนประกาศกำหนดต่อนายทะเบียน ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ให้นำเงินเข้ากองทุนทั้งหมดในครั้งเดียวหรือภายในสิบครั้ง ตามรอบ ระยะเวลาบัญชีโดยแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีต้องนำเงินเข้ากองทุนอย่างน้อยเท่ากับจำนวนเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลูกจ้างทั้งหมดหารด้วยจำนวนปี ข้อ ๓/๒4 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพใดที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ แต่ยังมิได้ยื่นคำขอนำเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพลูกจ้างเข้ากองทุนหรือได้ยื่นคำขอนำเงินทุน สำรองเลี้ยงชีพลูกจ้างเข้ากองทุนไว้แล้ว แต่ยังมิได้นำเงินทั้งหมดเข้ากองทุนหากประสงค์จะนำเงินดังกล่าว เข้ากองทุน ให้ยื่นคำขอโดยมีรายการและเอกสารหลักฐานตามที่นายทะเบียนประกาศกำหนดต่อนายทะเบียน ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ให้นำเงินเข้ากองทุนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อ ๓ 4 เพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐
๘ ข้อ ๔5 คำขอจดทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องมีรายการและเอกสารหลักฐานตามที่ นายทะเบียนกำหนด โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วยรายการและเอกสาร ดังต่อไปนี้ (๑) วัน เดือน ปี ที่ยื่นคำขอ (๒) จำนวนและข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับลูกจ้างและนายจ้างที่ตกลงกันจัดตั้งกองทุน และ รายละเอียดเกี่ยวกับเงินกองทุนเริ่มแรก (๓) ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับผู้สอบบัญชี (๔) ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับผู้จัดการกองทุนและสาระสำคัญของสัญญาหรือข้อตกลงระหว่าง กองทุนกับผู้จัดการกองทุน (๕) ข้อบังคับของกองทุน ข้อ ๕6 การยื่นคำขอจดทะเบียนกองทุนตามกฎกระทรวงนี้ ให้ยื่น ณ สำนักงานของนายทะเบียน มาตรา ๗ กองทุนที่ได้จดทะเบียนแล้วให้เป็นนิติบุคคล คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๑๒๐/๒๕๕๙ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทยซึ่งจดทะเบียนแล้ว เป็น นิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๗ คณะกรรมการ กองทุนหรือผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง หากโจทก์มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนตาม มาตรา ๒๓ จำเลยไม่มีอำนาจจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพื่อให้จ่ายเงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นได้ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่อำนาจ ฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๑๑๓/๒๕๕๘ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแก่โจทก์ ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ได้มี การจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนชื่อ "กองทุนสำรองเลี้ยงชีพธนชาติทวีค่า ซึ่งจดทะเบียนแล้ว" กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ดังกล่าวจึงเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลย ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ กำหนดให้ ผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่จ่ายเงินจากกองทุนให้โจทก์ จำเลยจึงไม่มีอำนาจจัดการกองทุน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยในส่วนนี้ ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๘๘/๒๕๕๐ จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลประเภทกองทุน สำรองเลี้ยงชีพซึ่งได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยมีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ 5 แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ 6 แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยง ชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐
๙ จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ จำเลยที่ ๒ และมีบริษัทหลักทรัพย์ บ. เป็นผู้บริหารกองทุน จำเลยที่ ๑ จ้างโจทก์เข้า ทำงานเป็นลูกจ้าง โจทก์จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนจำเลยที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๐ ถึงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ เป็นจำนวนเงิน ๓๓,๘๕๘.๘๔ บาท มีระเบียบของจำเลยที่ ๒ ว่าจำเลยที่ ๒ จะต้องจ่ายเงิน จำนวนดังกล่าวแก่โจทก์เมื่อออกจากงาน จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ เป็นผลให้โจทก์ สิ้นสุดสมาชิกภาพ ตามหลักเกณฑ์การจ่ายเงินตามระเบียบของจำเลยที่ ๒ โจทก์มีสิทธิได้รับเงินสะสมและ ผลประโยชน์ที่จ่ายเข้ากองทุนทั้งหมดคืนเป็นจำนวน ๓๓,๘๕๘.๘๔ บาท ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่โจทก์สิ้น สมาชิกภาพ ดังนี้ การเรียกเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งจดทะเบียนแล้ว ต้องฟ้องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งจดทะเบียนแล้วเป็นจำเลยให้จ่ายเงินสะสมและผลประโยชน์ให้ ไม่ว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือผู้จัดการกองทุน จะได้ส่งเงินและผลประโยชน์คืนให้แก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้างไปแล้วหรือไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสะสมให้แก่โจทก์ การที่จำเลยที่ ๒ ชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยจ่ายเป็นเช็ค ธนาคาร ก. สาขาสีลม และส่งมอบให้แก่จำเลยที่ ๑ เพื่อติดต่อให้โจทก์มารับไป แต่โจทก์มีภาระหนี้ค้างชำระแก่ จำเลยที่ ๑ จำนวน ๙๗๙,๘๒๐ บาท จำเลยที่ ๑ จึงใช้สิทธิยึดหน่วงเงินจำนวน ๓๓,๘๕๘.๘๔ บาท โดยครอบครอง เช็คที่จำเลยที่ ๒ จ่ายให้โจทก์ไว้ไม่ส่งมอบแก่โจทก์ จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ ๑ ไม่นำเช็คไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามที่ จำเลยที่ ๒ มอบหมาย จำเลยที่ ๒ จึงยังไม่หลุดพ้นจากหนี้ เพราะโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ เป็นหนี้เงินที่จำเลยที่ ๒ ต้องจ่ายให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ ๒ ไม่จ่ายภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันสิ้นสุดสมาชิกภาพตามข้อบังคับของ จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จึงตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ดังกล่าว มาตรา ๗/๑7 กองทุนประกอบด้วยทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ (๑) เงินสะสมและเงินสมทบ (๒) เงินทุนสำรองเลี้ยงชีพลูกจ้างตามมาตรา ๖ วรรคสอง (๓) เงินเพิ่มตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม (๔) ทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ (๕) ทรัพย์สินที่เกิดจากการลงทุนหรือดอกผลของทรัพย์สินในกองทุน (๖) ทรัพย์สินของลูกจ้างที่โอนย้ายมาทั้งจำนวนจากกองทุนเดิมหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการ ทั้งนี้ การโอนทรัพย์สินดังกล่าวเข้ากองทุนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่นายทะเบียน ประกาศกำหนด (๗) ทรัพย์สินอื่นตามที่นายทะเบียนประกาศกำหนด กฎหมายลูกบทที่เกี่ยวข้อง ประกาศนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ ๑/๒๕๕๔ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการโอน ทรัพย์สินของลูกจ้างจากกองทุนเดิมที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการเข้ากองทุน ใหม่ที่ลูกจ้างเป็นสมาชิก ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๑๐๓ ง/หน้า ๕๒/๙ กันยายน ๒๕๕๔) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๗/๑ (๖) ดังต่อไปนี้ 7 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
๑๐ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ ๑/๒๕๕๑ เรื่อง หลักเกณฑ์และ วิธีการโอนทรัพย์สินของลูกจ้างจากกองทุนเดิมหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการเข้ากองทุน ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับการโอนทรัพย์สินของลูกจ้างเข้ากองทุนใหม่ที่ลูกจ้างเป็นสมาชิก ในกรณีดังต่อไปนี้ (๑) การโอนทรัพย์สินที่มาจากกองทุนเดิมที่ลูกจ้างเป็นสมาชิก (๒) การโอนทรัพย์สินที่มาจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ข้อ ๓ ในกรณีที่ลูกจ้างประสงค์จะโอนทรัพย์สินจากกองทุนเดิมที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกหรือกองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการเข้ากองทุนใหม่ที่ลูกจ้างเป็นสมาชิก ให้ผู้จัดการกองทุนตรวจสอบเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้ ก่อนดำเนินการโอนทรัพย์สินดังกล่าว (๑) เอกสารการแสดงเจตนาของลูกจ้างในการขอโอนทรัพย์สินเข้ากองทุนใหม่ที่ลูกจ้างเป็น สมาชิก (๒) เอกสารหลักฐานอื่นใดที่เกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินจากกองทุนเดิมที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกหรือ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการไปยังกองทุนใหม่ที่ลูกจ้างเป็นสมาชิก ข้อ ๔ ในการรับโอนทรัพย์สินของลูกจ้างที่มาจากกองทุนเดิมที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกหรือกองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการเข้ากองทุนใหม่ที่ลูกจ้างเป็นสมาชิก ให้ผู้จัดการกองทุนแบ่งแยกเงินหรือผลประโยชน์ ส่วนที่ได้รับยกเว้นภาษีออกจากเงินหรือผลประโยชน์ส่วนที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ที่กำหนดในประมวลรัษฎากรและหลักเกณฑ์ที่ออกตามกฎหมายดังกล่าวและนำส่งเข้ากองทุนของนายจ้างรายใหม่ ตามแนวทางที่สมาคมบริษัทจัดการลงทุนกำหนด ข้อ ๕ เมื่อมีการโอนทรัพย์สินของลูกจ้างจากกองทุนเดิมที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกหรือกองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการเข้ากองทุนใหม่ที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกแล้ว ให้ผู้จัดการกองทุนคำนวณจำนวนหน่วยให้แก่ ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุน โดยปฏิบัติตามประกาศว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจัดการกองทุน มาตรา ๘ ในการขอจดทะเบียนกองทุน ถ้าได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖ และมีข้อบังคับถูกต้องตามมาตรา ๙ และข้อบังคับนั้นไม่ขัดต่อกฎหมายหรือวัตถุประสงค์ของกองทุน ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนได้ และให้ออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่กองทุนนั้น ให้นายทะเบียนประกาศการจดทะเบียนกองทุนในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๙8 ข้อบังคับของกองทุนอย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อ ซึ่งต้องมีคำว่า “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” นำหน้า และมีคำว่า “ซึ่งจดทะเบียนแล้ว” ต่อท้าย (๒) ที่ตั้งสำนักงาน (๓) วัตถุประสงค์ 8 มาตรา ๙ (๘) (๑๐) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
๑๑ (๔) วิธีรับสมาชิกและการสิ้นสมาชิกภาพ (๕) ข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนกรรมการ วิธีการเลือกตั้งและแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการประชุมของคณะกรรมการกองทุน (๖) ข้อกำหนดเกี่ยวกับเงินสะสมของลูกจ้างและเงินสมทบของนายจ้างที่จะต้องจ่ายเข้ากองทุน (๗) ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณผลประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับ (๘) ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการจ่ายเงินเมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิก ภาพหรือเมื่อกองทุนเลิกตามมาตรา ๒๕ ทั้งนี้ ข้อกำหนดนั้นจะต้องไม่ตัดสิทธิของลูกจ้าง โดยปราศจากเหตุผล อันสมควร (๙) ข้อกำหนดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของกองทุน (๑๐) ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมสมาชิกแยกตาม นโยบายการลงทุนหรือตามรายนายจ้างในกรณีที่เป็นการจัดตั้งกองทุนที่กำหนดให้มีนโยบายการลงทุนหลาย นโยบาย หรือกองทุนหลายนายจ้าง (๑๑) รายการอื่น ๆ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของกองทุนให้คณะกรรมการกองทุนนำไปจดทะเบียนภายในสิบห้า วันนับแต่วันที่มีมติให้แก้ไข และยังไม่มีผลใช้บังคับจนกว่านายทะเบียนจะได้รับจดทะเบียนแล้ว ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง ๑. คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการกำหนดและการแก้ไข ข้อบังคับของกองทุนในกรณีต่าง ๆ ว่าสามารถกระทำได้หรือไม่ ตามความเห็น ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีหนังสือด่วนมาก ที่กลต.ม. ๕๐๒๖/๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๕ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ในการปฏิบัติหน้าที่นายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำนักงานฯ ได้รับการ สอบถามจากคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปัญหาข้อกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งสำนักงานฯ ไม่อาจพิจารณาให้เป็นที่ยุติได้สำนักงานฯ จึงขอหารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ดังต่อไปนี้ ปัญหาที่หนึ่ง บริษัทจัดการขอแก้ไขข้อบังคับกองทุนโดยกำหนดวัตถุประสงค์ของกองทุน เพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างกรณีตาย หรือออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุน เพียงกรณีใดกรณีหนึ่งและ ขอแก้ไขข้อบังคับกำหนดให้ลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพแต่บางกรณีเช่น กรณีลูกจ้างตายจึงจะมีสิทธิได้รับเงินจาก กองทุนในส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ นอกจากนี้ข้อบังคับจะกำหนดเงื่อนไขในการได้รับเงิน สมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้เป็นไปได้ยาก เช่น กำหนดให้สมาชิกต้องทำงานมาไม่น้อยกว่าสามสิบปี หรือมากกว่านั้นจึงจะมีสิทธิได้รับเงิน การขอแก้ไขข้อบังคับในลักษณะดังกล่าวจะทำได้หรือไม่ เพียงใด ปัญหาที่สอง การขอจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนหรือการแก้ไขข้อบังคับของกองทุนในกรณี ดังต่อไปนี้ นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้ได้หรือไม่
๑๒ ข้อ ๑ กองทุนที่มีนายจ้างหลายรายหรือที่มีนายจ้างรายเดียวขอจดทะเบียนข้อบังคับของกองทุน ว่า (๑) ให้เงินเพิ่มตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ กับเงินที่มี ผู้อุทิศให้ให้ตกได้แก่สมาชิกในกองทุนเฉพาะรายนายจ้าง หรือสมาชิกบางราย และ (๒) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากกองทุน เฉพาะรายนายจ้าง และหนี้ตามคำพิพากษาที่มีต้นเหตุมาจากนายจ้างรายใด ให้เป็นภาระรับผิดชอบแก่สมาชิก เฉพาะราย หรือแก่เฉพาะนายจ้างรายนั้น ข้อ ๒ การขอจดทะเบียนข้อบังคับกองทุนโดยกำหนดให้เงินสิทธิประโยชน์ตามมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ที่ผู้มีสิทธิได้รับหลังจากลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพไม่มารับเงิน ภายในกำหนดเวลาซึ่งระบุไว้น้อยกว่าสิบปีนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ ให้เงินดังกล่าวตกได้แก่บุคคลตามที่กำหนดใน ข้อบังคับกองทุนซึ่งอาจเป็นนายจ้างหรือมูลนิธิต่าง ๆ ปัญหาที่สาม กรณีที่นายจ้างประสบปัญหาการดำเนินธุรกิจขาดทุนไม่อาจจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ได้ครบตามสิทธิที่ลูกจ้างมีอยู่ หรืออาจต้องเลื่อนการจ่ายค่าจ้างออกไป และนายจ้างมิได้หักเงินสะสมของลูกจ้าง และมิได้จ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุน เป็นเหตุให้นายจ้างส่งเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุน ล่าช้าไปด้วย คำว่า “ทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้าง” ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ หมายถึง การจ่ายค่าจ้างตามข้อตกลงในสัญญาจ้างหรือวันที่มีการจ่ายค่าจ้างจริง ปัญหาที่สี่ ในกรณีที่คณะกรรมการกองทุนแจ้งให้ผู้จัดการกองทุนทราบการสิ้นสมาชิกภาพ ในระยะเวลากระชั้นชิดหรือหลังครบกำหนดสามสิบวันนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ หรือกรณีสมาชิกสิ้นสมาชิกภาพ ระหว่างเดือนตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ก็จะต้องรอให้ถึง วันสิ้นงวดการจ่ายเงินเดือนก่อนจึงจะคำนวณหาเงินที่ต้องจ่ายให้แก่สมาชิกได้หากจะกำหนดวันสิ้นสมาชิกภาพ ของสมาชิกในข้อบังคับกองทุนให้เป็นวันอื่น จะกระทำได้หรือไม่ ปัญหาที่ห้า กรณีสามีซึ่งเป็นสมาชิกของกองทุนทำหนังสือระบุให้ภรรยาเป็นผู้รับประโยชน์ตาม มาตรา ๒๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ต่อมาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ภรรยาได้กระทำความผิดฐานฆ่าสามีตายโดยเจตนา สิทธิประโยชน์ตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าวเป็นมรดกหรือไม่ ประเด็นข้อหารือเพิ่มเติม กรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้รับจดทะเบียนข้อบังคับกองทุนซึ่งมีข้อความตามปัญหาข้อหารือดังกล่าว หากต่อมาสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาวินิจฉัยว่าข้อความบางประการในข้อบังคับที่รับจดทะเบียนไว้ขัดต่อกฎหมายหรือวัตถุประสงค์ของกองทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะนายทะเบียนจะต้องดำเนินการประการใด หรือไม่ อย่างไร เช่น ต้องเพิกถอนข้อบังคับกองทุนส่วนนั้น หรือโดยผลของการรับจดทะเบียนข้อบังคับกองทุน ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ไม่สามารถใช้บังคับได้อยู่แล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือแล้ว มีความเห็นในปัญหาที่หารือ ดังต่อไปนี้ ปัญหาที่หนึ่ง เห็นว่า พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ให้เหตุผลของการ ประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้สรุปได้ว่า เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยความสมัครใจของ นายจ้างและลูกจ้าง และประสงค์จะให้เป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน โดยมาตรา ๓ บัญญัติว่า “กองทุน สำรองเลี้ยงชีพซึ่งนายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้น ประกอบด้วยเงินที่ลูกจ้างจ่ายสะสม เงินที่นายจ้างจ่ายสมทบ
๑๓ ฯลฯ” มาตรา ๕ วรรคสอง บัญญัติว่า “กองทุนต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้าง ตาย หรือออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุน” นอกจากนี้มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง ยังได้บัญญัติว่า “เมื่อลูกจ้าง สิ้นสมาชิกภาพ ฯลฯ … ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด ในข้อบังคับของกองทุน โดยให้จ่ายรวมทั้งหมดครั้งเดียว” ในข้อความและเหตุผลของบทบัญญัติดังกล่าว แสดงเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ว่า เมื่อลูกจ้างจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนและนายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ตามมาตรา ๑๐ แล้ว เงินดังกล่าวทั้งหมดก็ตกเป็นของกองทุนซึ่งเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๗ ไม่อาจกลับคืนไปยัง นายจ้างหรือบุคคลอื่นใดได้นอกจากจะจ่ายเงินนั้นรวมทั้งหมดครั้งเดียวตามมาตรา ๒๓ ให้แก่ลูกจ้างซึ่งสิ้นสมาชิก ภาพ ฉะนั้น ข้อบังคับของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งมีรายการตามมาตรา ๙ ฉบับใด ที่มีข้อความระบุให้ลูกจ้าง ซึ่งสิ้นสมาชิกภาพแล้วไม่มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยกำหนดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใด ๆ ไว้เช่น ยังไม่ ถึงแก่ความตายก็ดียังไม่ออกจากงานก็ดีหรือยังทำงานไม่ครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ก็ดีย่อมเป็นข้อบังคับที่จำกัด สิทธิของลูกจ้างขัดต่อเจตนารมณ์และขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังที่อ้างถึงข้างต้น ดังนั้น การขอแก้ไข ข้อบังคับทั้งสามกรณีในปัญหาข้อนี้นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้ไม่ได้ ปัญหาที่สอง ที่ว่า การขอจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนหรือการขอแก้ไขข้อบังคับของกองทุนในกรณี ดังต่อไปนี้นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้ได้หรือไม่ ข้อ ๑ กรณีกองทุนที่มีนายจ้างหลายรายหรือที่มีนายจ้างรายเดียวขอจดทะเบียนข้อบังคับของ กองทุนโดยการกำหนดว่า (๑) เงินเพิ่มตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม กับเงินที่มีผู้อุทิศให้ให้ตกได้แก่สมาชิกในกองทุน เฉพาะรายนายจ้างหรือสมาชิกบางราย หรือ (๒) ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกองทุนเฉพาะรายนายจ้างและหนี้ตาม คำพิพากษาที่มีต้นเหตุจากนายจ้างรายใดให้เป็นภาระรับผิดชอบแต่เฉพาะสมาชิกเฉพาะรายหรือเฉพาะนายจ้าง รายนั้น มีความเห็นใน (๑) ว่า เงินเพิ่มตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม และเงินที่มีผู้อุทิศให้เมื่อเอาไปรวมกับเงินประเภท อื่นแล้ว จะเป็นเงินของกองทุนก้อนเดียวกันจะแยกบางประเภทออกมาไม่ได้กองทุนเป็นนิติบุคคลมีผู้จัดการ กองทุนเป็นผู้ดำเนินการประกอบธุรกิจการจัดการลงทุนตามมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ ด้วยเหตุนี้มาตรา ๒๓ จึงบัญญัติให้ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพตามข้อบังคับในมาตรา ๙ (๘) เท่านั้น จะกำหนดให้เงินเพิ่มหรือเงินที่มีผู้อุทิศให้ตาม (๑) ตกได้แก่สมาชิกในกองทุนเฉพาะรายนายจ้าง หรือสมาชิกบางรายไม่ได้และมีความเห็นใน (๒) ว่า ค่าใช้จ่ายตามมาตรา ๙ (๙) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ ของกองทุนโดยรวม ไม่ว่าค่าใช้จ่ายหรือหนี้ตามคำพิพากษาจะมีต้นเหตุมาจากนายจ้างรายใด กองทุนก็ต้อง รับภาระรับผิดชอบ การกำหนดในข้อบังคับให้ผิดไปจากหลักการนี้เป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์ของกองทุนและ กฎหมาย นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้ไม่ได้ ข้อ ๒ การขอจดทะเบียนข้อบังคับของกองทุนว่า เมื่อสมาชิกสิ้นสมาชิกภาพตามมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ หากลูกจ้างหรือบุคคลที่สมาชิกของกองทุนทำหนังสือ กำหนดให้เป็นผู้รับเงินจากกองทุน ไม่มารับเงินจากกองทุนภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้น้อยกว่าสิบปีนับแต่วันที่ สมาชิกสิ้นสมาชิกภาพ ให้เงินที่ต้องจ่ายจากกองทุนตกได้แก่บุคคลตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับของกองทุน นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนข้อบังคับที่กำหนดไว้ดังกล่าวได้หรือไม่ นั้น เห็นว่า สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุน ตามมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นสิทธิเรียกร้องเฉพาะตัว มาตรา ๒๔ จึงบัญญัติว่าสิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนไม่อาจโอนกันได้และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีลูกจ้างที่เป็น สมาชิกหรือบุคคลที่สมาชิกกำหนดไว้โดยพินัยกรรมหรือทำหนังสือกำหนดชื่อมอบไว้แก่ผู้จัดการกองทุนเท่านั้นที่จะ
๑๔ มีสิทธิเรียกร้องขอรับเงินได้เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพ ผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้าง หรือแก่บุคคลที่ลูกจ้างกำหนดให้เป็นผู้รับเงิน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน ในระหว่างเวลาที่ผู้จัดการกองทุนยังไม่ได้จ่ายเงินจากกองทุน เงินในกองทุนยังเป็นสิทธิของบุคคลตามมาตรา ๒๓ อยู่ ดังนั้น การขอจดทะเบียนในข้อบังคับว่า ถ้าลูกจ้างหรือบุคคลที่สมาชิกของกองทุนทำหนังสือกำหนดให้เป็น ผู้รับเงินจากกองทุน ไม่มารับเงินจากกองทุนภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในข้อบังคับนับแต่วันที่ลูกจ้างสิ้นสมาชิก ภาพ ซึ่งเป็นระยะเวลานานเท่าใดก็ตาม ก็ให้เงินที่ต้องจ่ายจากกองทุนตกได้แก่บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิก หรือบุคคลตามมาตรา ๒๓ จึงเป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์ของกองทุน และขัดต่อกฎหมายซึ่งได้กำหนดบุคคลผู้จะ พึงได้รับเงิน โดยไม่มีการกำหนดเวลาในการที่จะเรียกเอาเงินดังกล่าวจากผู้จัดการกองทุน นายทะเบียนจึงไม่อาจ รับจดทะเบียนให้ได้ ปัญหาที่สาม เห็นว่า อัตราที่กำหนดในข้อบังคับ ต้องใช้ค่าจ้างที่มีจำนวนเงินคงที่แน่นอนเป็นฐาน ในการคำนวณให้ได้อัตราเงินสะสม และเงินสมทบก่อน จึงจะนำอัตราที่คำนวณไว้มากำหนดในข้อบังคับได้ถ้าหาก นายจ้างจ่ายค้าจ้างแต่ละเดือนไม่ครบจำนวนเงินตามสัญญาจ้าง หรือเลื่อนการจ่ายค่าจ้างออกไป ค่าจ้างจะมี จำนวนเงินที่ไม่คงที่และไม่แน่นอน นายจ้างซึ่งมีหน้าที่หักเงินสะสมจากค่าจ้างและส่งเงินสมทบเข้ากองทุนตาม อัตราที่กำหนดในข้อบังคับ ก็ปฏิบัติตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ไม่ได้และกรณีที่ไม่อาจแปลบทบัญญัติว่าเป็นวันที่มี การจ่ายค่าจ้างจริง ก็เพราะจะทำให้ลูกจ้างเสียประโยชน์ที่ควรได้และนายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มตามบทบัญญัติ ในมาตรา ๑๐ วรรคสาม ดังนั้น คำว่า “ทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้าง” ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง จึงมีความหมายว่า วันที่ถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างตามข้อตกลงในสัญญาจ้างแรงงานมิใช่วันที่มีการจ่ายค่าจ้างจริง ปัญหาที่สี่ เห็นว่า มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติที่เร่งรัดให้ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงิน จากกองทุนรวมทั้งหมดครั้งเดียวให้แก่ลูกจ้าง การจะกำหนดวันเริ่มต้นนับเวลาเป็นให้นับแต่วันอื่นเช่นที่ให้ตัวอย่าง มาก็จะทำให้ล่าช้าออกไปอีก จึงขัดต่อวัตถุประสงค์ของกองทุนและขัดต่อกฎหมาย และเห็นว่าผู้จัดการกองทุน จ่ายเงินภายในเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง ไม่ได้ก็แต่เพียงบางกรณีและหากผู้จัดการกองทุนเห็นว่า บทบัญญัติในมาตรานี้มีปัญหาในการปฏิบัติสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ควรแนะนำให้ผู้จัดการกองุทนดำเนินการให้มีการขอแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย โดยการกำหนดเวลาให้คณะกรรมการ กองทุนรีบแจ้งวันสิ้นสมาชิกภาพของลูกจ้างให้ผู้จัดการกองทุนทราบ และแก้ไขให้เริ่มต้นนับเวลาในการจ่ายเงิน เป็นว่า “นับแต่วันที่ผู้จัดการกองทุนได้รับแจ้งการสิ้นสมาชิกภาพจากคณะกรรมการกองทุน” ก็จะทำให้ปัญหาการ นับเวลาตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่งหมดไป ปัญหาที่ห้า เห็นว่า เงินที่ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายแก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา ๒๓ นั้น มีบุคคลที่พึงได้รับเงินโดยเฉพาะอยู่แล้ว เงินดังกล่าวจึงไม่เป็นมรดก สำหรับปัญหาที่ขอหารือเพิ่มเติมที่ว่า หากข้อบังคับของกองทุนที่นายทะเบียนได้รับจดทะเบียน ไว้แล้ว ขัดต่อกฎหมายหรือวัตถุประสงค์ของกองทุน จะต้องเพิกถอนหรือดำเนินการประการใดนั้น เห็นว่า การรับ จดทะเบียนเป็นคำสั่งทางปกครอง ถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจถูกเพิกถอนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนได้ตาม บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่จะต้องขอจดทะเบียนข้อบังคับ กองทุนใหม่ ดังนั้น จึงควรแจ้งให้กองทุนขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเสียใหม่ โดยการยกเลิกข้อบังคับที่ขัดต่อ กฎหมายหรือวัตถุประสงค์ของกองทุนตามมาตรา ๙ แล้วขอจดทะเบียนข้อบังคับใหม่ที่ถูกต้องตามมาตรา ๙ ก็จะทำให้ปัญหาที่เกิดจากข้อบังคับของกองทุนหมดสิ้นไปได้
๑๕ (บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง หารือปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่องเสร็จที่ ๖๙๒/๒๕๔๖) ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ในเรื่องนี้หน่วยงานได้มีการขอทบทวนความเห็น และมี ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๓ คณะที่ ๙ และคณะที่ ๑๒) ในเรื่องเสร็จที่ ๓๗๐/๒๕๔๘ ได้วินิจฉัยแตกต่างจากความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) เดิม ตามความเห็นในลำดับต่อไป ๒. คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๓ คณะที่ ๙ และคณะที่ ๑๒) ได้อธิบายถึงเจตนารมณ์ความเป็นมาของพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ และวินิจฉัย เกี่ยวกับข้อบังคับของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพว่า ข้อบังคับอาจกำหนดให้มีการจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ ของเงินสมทบให้แก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน โดยกำหนดเงื่อนไขการจ่ายได้ ตามความเห็น ดังนี้ กระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือที่ กค ๑๐๐๖/๑๘๗๒๒ ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๗ ถึงสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา ขอทบทวนความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ที่สืบเนื่องมาจากสำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตาม พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้มีหนังสือ9 ขอหารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ กรณีการจดทะเบียนข้อบังคับของกองทุนตามมาตรา ๘ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพฯ ว่า จะมีการขอแก้ไขข้อบังคับของกองทุน โดยกำหนดวัตถุประสงค์ของกองทุนที่ให้เป็นหลักประกันแก่ ลูกจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างตายหรือออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุนตามที่กำหนดนิยามไว้ในมาตรา ๓ แห่ง พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ แต่เพียงกรณีใดกรณีหนึ่ง หรือแต่บางกรณี เช่น (๑) กรณีลูกจ้างตาย จึงจะมีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนในส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ และ (๒) จะกำหนดเงื่อนไขใน การได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้เป็นไปได้ยาก เช่น ต้องทำงานมาไม่น้อยกว่าสามสิบปีหรือ มากกว่านั้นเป็นกรณีหนึ่ง และจะขอจดทะเบียนข้อบังคับของกองทุนว่า (๑) เงินเพิ่มตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ กับเงินที่มีผู้อุทิศให้ ให้ตกได้แก่สมาชิกในกองทุนเฉพาะรายนายจ้าง หรือสมาชิกบางราย และ (๒) จะจดทะเบียนข้อบังคับของกองทุนว่า ถ้าผู้มีสิทธิได้รับเงินตามมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ไม่มารับเงินภายในกำหนดเวลาซึ่งระบุไว้น้อยกว่าสิบปีนับแต่วันสิ้น สมาชิกภาพ ให้เงินที่ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายจากกองทุนตามมาตรา ๒๓ ตกได้แก่บุคคลตามที่กำหนดไว้ใน ข้อบังคับของกองทุนซึ่งอาจเป็นนายจ้างหรือมูลนิธิต่างๆ เป็นอีกกรณีหนึ่ง จะกำหนดในข้อบังคับได้หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ให้ความเห็นว่า เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนโดยความสมัครใจของนายจ้างและลูกจ้าง และประสงค์ จะให้เป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน ตลอดจนส่งเสริมการระดมเงินออมภาคเอกชน เพื่อนำไปใช้ในการ พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการวางหลักเกณฑ์การดำเนินการและจัดการกองทุน เพื่อให้กองทุนสำรองเลี้ยง ชีพมั่นคงและเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง จึงได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ ว่า กองทุนเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างในกรณีที่ ลูกจ้างตาย หรือลาออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุน และได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๓ ว่า เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิก 9 หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ด่วนมาก ที่ กลต.ม. ๕๐๒๖/๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๕
๑๖ ภาพ ฯลฯ ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับ ของกองทุน ซึ่งหมายถึงมาตรา ๙ (๘) ดังนั้น เมื่อลูกจ้างจ่ายเงินสะสมและนายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนตาม มาตรา ๑๐ แล้ว เงินดังกล่าวทั้งหมดก็เป็นเงินก้อนเดียวของกองทุนซึ่งเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๗ จะแยกเป็น บางประเภทออกมาไม่ได้ และเงินนั้นไม่อาจกลับคืนไปยังนายจ้างหรือบุคคลอื่นใดอีก นอกจากจะนำไปลงทุน โดยมีผู้จัดการกองทุนตามมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ นำเงินของกองทุนมาจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามมาตรา ๒๓ ฉะนั้น ข้อบังคับของกองทุนตามมาตรา ๙ (๘) แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ฉบับใดที่มีข้อความ ระบุให้ลูกจ้างซึ่งสิ้นสมาชิกภาพแล้วไม่มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนโดยการกำหนดเงื่อนไข เงื่อนเวลาไว้เพื่อไม่ต้อง จ่ายเงินจากกองทุน จึงเป็นข้อบังคับที่จำกัดสิทธิของลูกจ้างขัดต่อเจตนารมณ์และบทบัญญัติของกฎหมาย การขอ แก้ไขหรือขอจดทะเบียนในกรณีที่ขอหารือมา จึงกระทำหรือกำหนดลงไปไม่ได้ ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ขอหารือเพิ่มเติม10 ว่า การกำหนดในข้อบังคับ (๑) ให้ลูกจ้างต้องทำงานกับนายจ้างไม่น้อยกว่าสามปี หรือ (๒) หากลูกจ้างรายใดถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกเนื่องจากกระทำผิดต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง หรือทุจริต ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ จะกำหนดได้หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เงินสะสมของลูกจ้างและเงินสมทบของนายจ้างที่จ่ายไปแล้วเป็นเงินของ กองทุน จึงไม่มีเงินสมทบของนายจ้างอยู่ในกองทุนอีก การจดทะเบียนข้อบังคับของกองทุนให้เอาเงินสมทบของ นายจ้างที่จ่ายไปแล้วกลับมาเป็นเงื่อนไขไม่ว่าในเรื่องใดเพื่อตัดสิทธิลูกจ้างไม่ให้ได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ ของเงินสมทบ จึงเป็นกรณีที่เป็นไปไม่ได้ และขัดต่อกฎหมายโดยชัดแจ้ง กระทรวงการคลังจึงขอทบทวนปัญหาข้อกฎหมายกรณีดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๓ คณะที่ ๙ และคณะที่ ๑๒) ได้พิจารณาทบทวนปัญหาดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มีวิวัฒนาการดั้งเดิม มาจากการที่นายจ้างภาคเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจจัดให้มีสวัสดิการแก่พนักงานหรือลูกจ้างเมื่อออกจากงาน ในลักษณะเงินบำเหน็จ โดยคำนวณจ่ายให้ตามอายุงานของพนักงานหรือลูกจ้าง และมีหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขว่า ผู้มีสิทธิรับบำเหน็จต้องมีอายุงานไม่น้อยกว่าที่กำหนด และผู้ที่ออกจากงานโดยมีความผิดไม่มีสิทธิรับบำเหน็จ เช่นเดียวกันกับการจ่ายเงินบำเหน็จของข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของทางราชการ การจ่ายบำเหน็จของ นายจ้างภาคเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจนี้ นายจ้างอาจจ่ายจากเงินของกิจการเองเช่นเดียวกับรายจ่ายในการดำเนินงาน อื่นๆ หรือจ่ายจากเงินที่นายจ้างจัดสรรหรือกันสำรองไว้เป็นเงินสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลักษณะ สำคัญของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแต่เดิมจึงเป็นกองทุนที่นายจ้างสมัครใจตั้งขึ้นแต่ฝ่ายเดียวเพื่อจูงใจให้ลูกจ้าง ทำงานอยู่กับนายจ้างด้วยความภักดี โดยที่เงินที่นายจ้างจ่ายหรือกันสำรองเข้ากองทุนยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ ด้านภาษี กล่าวคือ จะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีไม่ได้จนกว่านายจ้างจะจ่ายเงินให้แก่ ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างออกจากงานเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เพื่อเป็นการส่งเสริมการระดมเงินออมภาคเอกชน เพื่อนำไปใช้ในการ พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ และเพื่อส่งเสริมการจัด สวัสดิการให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน กระทรวงการคลังจึงได้มีมาตรการส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ด่วนมาก ที่ กลต.ม. ๓๓๘๖/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๖
๑๗ ที่ลูกจ้างและนายจ้างมีส่วนร่วมกันจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุน และลูกจ้างจะได้รับเงินสะสมและ เงินสมทบ รวมทั้งผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว เมื่อลูกจ้างออกจากงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ บังคับ ของกองทุน และกระทรวงการคลังให้ประโยชน์ในทางภาษีแก่นายจ้างที่จ่ายเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยการ แก้ไขมาตรา ๖๕ ตรี (๒) แห่งประมวลรัษฎากร ให้นำเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี เงินได้นิติบุคคลได้ตามมาตรา ๑๙ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล รัษฎากร (ฉบับที่ ๒๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ ในการนี้ได้มีการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ออกตามความ ในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการรับจ่ายและ การจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไว้ โดยในข้อ ๖ แห่งกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวกำหนดว่า “การจ่ายเงินจาก กองทุนในส่วนที่เป็นเงินสมทบและผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินสมทบให้กระทำได้เฉพาะกรณีจ่ายให้แก่ลูกจ้าง หรือบุคคลอื่นตามที่ระบุไว้ในระเบียบว่าด้วยกองทุนของบริษัท...” และระเบียบว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ของแต่ละบริษัทก็มีข้อกำหนดในการจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน ซึ่งมีเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาทำงานหรือมีเงื่อนไขไม่จ่ายให้ในกรณีลูกจ้างมีอายุงานไม่ถึงที่กำหนดหรือออกจากงาน เพราะมีความผิดเช่นเดียวกันกับที่เคยปฏิบัติมาแต่ก่อน และในข้อ ๗ แห่งกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวก็มีบทบัญญัติ รองรับการรับเงินคืนจากกองทุนกรณีที่ไม่ต้องจ่ายให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงานไว้ว่า “ในกรณีที่บริษัทไม่ได้จ่ายเงิน จากกองทุนให้แก่ลูกจ้างเมื่อพ้นจากงานไม่ว่าเหตุใด หรือลูกจ้างออกจากกองทุนโดยมิได้ออกจากงาน เงินที่ บริษัทจ่ายสมทบเข้ากองทุน และผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินที่บริษัทจ่ายสมทบในส่วนนั้นที่ได้ถือเป็นรายจ่าย ไว้แล้ว ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนให้ถือเป็นรายได้ของบริษัทในรอบระยะเวลาบัญชีที่ไม่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้าง. รายได้ของบริษัทตามวรรคหนึ่งให้จ่ายออกจากกองทุนได้” ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้มีการออกพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยรัฐได้ส่งเสริมให้มีการระดมเงินออมภาคเอกชน เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้วาง หลักเกณฑ์การดำเนินการและจัดการกองทุน เพื่อให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมั่นคงและเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง โดยกำหนดให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นนิติบุคคล นอกจากนี้ มาตรา ๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติกองทุน สำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ กำหนดไว้ว่า “เงินทุนสำรองเลี้ยงชีพลูกจ้างที่ได้จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัติ นี้ใช้บังคับถ้าประสงค์จะให้เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ดำเนินการ (ยื่นขอจดทะเบียน) ตามวรรคหนึ่ง” และมาตรา ๒๓ กำหนดไว้ว่า “เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการกองทุนต้อง จ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน...” ต่อมาได้มีการ ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๘๓ (พ.ศ. ๒๕๓๓) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และบัญญัติให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จะได้รับประโยชน์ทางภาษี ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ดังนั้น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จึงได้มาจดทะเบียนเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยมีข้อบังคับของกองทุนในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินให้แก่สมาชิก ซึ่งเป็นลูกจ้างเมื่อออกจากงานที่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาทำงานหรือเงื่อนไขไม่จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของ เงินสมทบให้เมื่อลูกจ้างมีอายุงานไม่ถึงที่กำหนดหรือออกจากงานเพราะมีความผิดเช่นเดียวกันกับที่เคยปฏิบัติ
๑๘ มาแต่ก่อน และในข้อ ๖ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๘๓ (พ.ศ. ๒๕๓๓) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็มีบทบัญญัติรองรับการรับเงินคืนจากกองทุนกรณีที่ไม่ต้องจ่ายให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน ไว้เหมือนกันว่า “ในกรณีที่บริษัทได้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนและถือเป็นรายจ่ายไปแล้ว ถ้าบริษัทได้เงิน กลับคืนมาจากกองทุนด้วยประการใดๆ เงินที่ได้กลับคืนมานั้นให้ถือเป็นรายได้ของบริษัทในรอบระยะเวลา บัญชีที่ได้กลับคืนมา” ดังนั้น จึงเป็นเครื่องยืนยันเจตนารมณ์ได้ว่า หลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนี้ อาจมีข้อกำหนดให้จ่ายเงิน สมทบและ ผลประโยชน์ส่วนของนายจ้างให้แก่ลูกจ้างที่ออกจากงาน โดยคำนึงถึงอายุงานของลูกจ้างหรือไม่จ่ายให้ในกรณี ลูกจ้างมีอายุงานไม่ถึงที่กำหนดหรือออกจากงานโดยมีความผิดได้ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์เดียวกันกับที่ทางราชการ ใช้ปฏิบัติในการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญแก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำต่อเนื่องกันมาจนปัจจุบันนี้ จึงเห็นได้ว่า ในการดำเนินการและการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นกระบวนการพิเศษที่มีลักษณะเป็นการต่างตอบแทน กันระหว่างรัฐ ลูกจ้าง และนายจ้าง กล่าวคือ รัฐจะได้รับประโยชน์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอันเป็นผล มาจากการระดมเงินออมภาคเอกชนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฝ่ายลูกจ้างก็จะได้รับประโยชน์ตอบแทนทางด้าน ภาษีและจากความแน่นอนในการได้รับเงินเมื่อออกจากงานจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการตอบแทนการทำงาน ต่างๆ ให้แก่นายจ้างด้วยความจงรักภักดี ส่วนนายจ้างก็จะได้รับประโยชน์ตอบแทนทางด้านภาษีและจากผลงาน ของลูกจ้าง นอกจากนั้นเมื่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นนิติบุคคลต่างหากจากนายจ้างและลูกจ้าง การจัดการ กองทุนและเงินของกองทุนจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของ กองทุน และไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายส่วนใดกำหนดให้กองทุนต้องจ่ายเงินสมทบพร้อมเงินผลประโยชน์ทั้งหมด ให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงานทุกกรณี หรือห้ามนายจ้างและลูกจ้างตกลงหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขการจ่ายเงินสมทบ พร้อมเงินผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน โดยคำนวณตามอายุงานหรือไม่จ่ายให้ในกรณีที่ ลูกจ้างมีอายุงานไม่ถึงที่กำหนดหรือลูกจ้างออกจากงานเพราะมีความผิด นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาว่า พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นกฎหมายส่งเสริมให้มีการจัดสวัสดิการให้ลูกจ้างเมื่อออก จากงานโดยความสมัครใจของนายจ้างและลูกจ้าง ตลอดจนส่งเสริมการระดมเงินออมภาคเอกชน และวาง หลักเกณฑ์การดำเนินการและการจัดการกองทุน เพื่อให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมั่นคงและเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง ไม่ใช่กฎหมายบังคับให้นายจ้างจ่ายเงินสวัสดิการแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงานทุกกรณี ดังนั้น คณะกรรมการ กฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๓ คณะที่ ๙ และคณะที่ ๑๒) จึงเห็นว่า ข้อบังคับของ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพอาจกำหนดให้มีการจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่ลูกจ้างเมื่อออก จากงาน โดยกำหนดเงื่อนไขจ่ายให้ตามอายุงานของลูกจ้างหรือไม่จ่ายให้ในกรณีที่ลูกจ้างมีอายุงานไม่ถึง ที่กำหนดหรือลูกจ้างออกจากงานเพราะมีความผิดได้ โดยไม่ขัดเจตนารมณ์และบทบัญญัติของกฎหมาย (บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง ขอทบทวนปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับพระราชบัญญัติกองทุน สำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่องเสร็จที่ ๓๗๐/๒๕๔๘)
๑๙ ๓. คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับการแก้ไขข้อบังคับของกองทุน สำรองเลี้ยงชีพว่า คณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถดำเนินการแก้ไขข้อบังคับกองทุนฯ ได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ และข้อบังคับกองทุนฯ กำหนดไว้ โดยไม่ ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ แต่อย่างใด ตามความเห็น ดังนี้ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้มีหนังสือ ที่ บวท ๘๐๕/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หารือว่า คณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงาน บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งจดทะเบียนแล้ว สามารถดำเนินการแก้ไขข้อบังคับกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พนักงานบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งจดทะเบียนแล้ว โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของ คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้หรือไม่ โดย คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) พิจารณาแล้ว เห็นว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานบริษัท วิทยุ การบินแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งจดทะเบียนแล้ว เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด ไว้ในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดตั้ง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่ลูกจ้างอันเป็นสวัสดิการหรือหลักประกันแก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างตาย ออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุน และเป็นการส่งเสริมการออมเงินให้กับลูกจ้าง และเป็นกองทุนที่เกิดขึ้นจากการตกลงกัน ด้วยความสมัครใจระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยลูกจ้างจ่ายเงินสะสมและนายจ้างจ่ายเงินสมทบตามหลักเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของกองทุนนั้น โดยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ และมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ได้กำหนดว่า เมื่อลูกจ้างและนายจ้างตกลงจัดตั้งกองทุนขึ้นแล้วจะต้องยื่นคำขอ จดทะเบียนต่อนายทะเบียนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ได้กำหนดให้กองทุนฯ ที่ได้จดทะเบียนแล้วให้เป็นนิติบุคคล นอกจากนี้ มาตรา ๘ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ได้กำหนดขั้นตอนของการขอจดทะเบียนกองทุนและ กำหนดให้กองทุนมีข้อบังคับไว้เป็นการเฉพาะ โดยข้อบังคับกองทุนนั้นจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือวัตถุประสงค์ ของกองทุน และเมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนแล้วจะต้องออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่กองทุนนั้น เมื่อกองทุนฯ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้แล้วย่อมจะมีผลทำให้กองทุนฯ ที่จัดตั้งขึ้นเป็น นิติบุคคลแยกต่างหากจาก บวท. และในการจัดการกองทุนฯ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด ไว้ในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ และข้อบังคับกองทุนเป็นสำคัญ ส่วนการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ กองทุนฯ ข้อ ๕.๙ (๔)11 แห่งข้อบังคับกองทุนฯ กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุน และ 11ข้อ ๕.๙ คณะกรรมการกองทุน มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ ฯลฯ ฯลฯ (๔) แก้ไขข้อบังคับกองทุน โดยมีหนังสือแจ้งให้บริษัทจัดการทราบโดยไม่ชักช้านับจากวันที่คณะกรรมการ กองทุนมีมติ ข้อบังคับกองทุนที่มีการแก้ไขนั้น ให้คณะกรรมการกองทุนเปิดเผยให้สมาชิกกองทุนทราบ โดยปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการของนายจ้าง หรือที่ทำการของกองทุน และจะต้องจัดให้มีข้อบังคับกองทุนเพื่อให้สมาชิกขอตรวจดูได้ ฯลฯ ฯลฯ
๒๐ เมื่อคณะกรรมการกองทุนได้มีมติให้แก้ไขข้อบังคับกองทุนฯ แล้ว มาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติกองทุน สำรองเลี้ยงชีพฯ ได้กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนนำข้อบังคับกองทุนที่มีการแก้ไขหรือเพิ่มเติมนั้นไปจดทะเบียน ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีมติแก้ไข จะเห็นได้ว่า คณะกรรมการกองทุนอันประกอบด้วยผู้แทนซึ่งลูกจ้างเลือกตั้ง และผู้แทนซึ่งนายจ้างแต่งตั้งตามมาตรา ๑๑ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ นอกจาก มีหน้าที่ในการควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของกองทุน แต่งตั้งผู้จัดการกองทุน และเป็นผู้แทนของกองทุนในกิจการที่ เกี่ยวกับบุคคลภายนอกแล้ว ยังมีอำนาจในการแก้ไขข้อบังคับกองทุนฯ ด้วย กรณีการแก้ไขข้อบังคับกองทุนฯ จะถือว่าเป็นการแก้ไขเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันจะต้องนำเข้า พิจารณาหารือในคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามความเห็นของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ วิทยุการบินแห่งประเทศไทยหรือไม่นั้น เห็นว่า ตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ ได้บัญญัติบทนิยามคำว่า “สภาพการจ้าง” หมายความว่า หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน กำหนดวันและเวลาทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ การเลิกจ้าง หรือ ประโยชน์อื่นของนายจ้าง หรือลูกจ้าง อันเกี่ยวกับการจ้าง หรือการทำงาน และคำว่า “ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง” หมายความว่า ข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับสหภาพแรงงานตามพระราชบัญญัตินี้ ฉะนั้น สภาพการจ้างจึงต้องมี ลักษณะเป็นหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั่วไปเกี่ยวกับการทำงานของลูกจ้าง และเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง นายจ้างกับลูกจ้าง หรือนายจ้างกับสหภาพแรงงาน แต่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานบริษัท วิทยุการบิน แห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งจดทะเบียนแล้วเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกองทุนฯ กับสมาชิก และแม้ว่าการจัดตั้ง กองทุนฯ จะมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับลูกจ้างก็ไม่ทำให้การจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและ การบริหารกิจการของกองทุนอยู่ในความหมายของสภาพการจ้างตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ และเมื่อกองทุนฯ เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจาก บวท. แล้ว การแก้ไขข้อบังคับกองทุนฯ จึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ และข้อบังคับกองทุนฯ นอกจากนี้อำนาจหน้าที่ของ คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ตามมาตรา ๒๓ (๕)12 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ ได้กำหนดไว้ เพียงว่า ปรึกษาหารือเพื่อพิจารณาปรับปรุงสภาพการจ้างเท่านั้น ไม่ได้เป็นการบังคับให้ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งจดทะเบียนแล้ว จึงสามารถดำเนินการแก้ไขข้อบังคับกองทุนฯ ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ และข้อบังคับกองทุนฯ กำหนดไว้ โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของ คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ (บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง ขอหารือการแก้ไขข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เรื่องเสร็จ ที่ ๘๑๗/๒๕๕๒) 12มาตรา ๒๓ ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ ฯลฯ ฯลฯ (๕) ปรึกษาหารือเพื่อพิจารณาปรับปรุงสภาพการจ้าง
๒๑ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๗๓๗/๒๕๖๑ สัญญาจ้างแรงงานเป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา การบอกเลิกสัญญานั้นนายจ้างหรือ ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งยินยอมตกลงหรืออนุมัติแต่อย่างใด แม้ตามสัญญาจ้างแรงงานจะระบุว่า ถ้าลูกจ้างประสงค์จะบอกเลิกสัญญาต้องแจ้งเป็นหนังสือให้นายจ้างทราบ ล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน ก็ตาม และนายจ้างจะอ้างว่าลูกจ้างยื่นหนังสือลาออกไม่ครบ ๓๐ วัน นายจ้างจึงไม่อนุมัติให้ลาออกนั้นก็เป็นเพียงขั้นตอนและระเบียบปฏิบัติภายในของนายจ้างเท่านั้น ไม่มีผล เปลี่ยนแปลงการแสดงเจตนาเลิกสัญญาได้ สัญญาจ้างแรงงานจึงเป็นอันสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๘ ตามหนังสือขอลาออกของลูกจ้าง และลูกจ้างไม่มีหน้าที่ที่จะต้องทำงานให้แก่นายจ้างอีกต่อไป การที่จำเลยอ้างว่า ลูกจ้างขาดงานตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไปติดต่อกันเกิน ๓ วัน นายจ้างจึงเลิกจ้างลูกจ้างนั้น ก็หามีผลตามกฎหมาย ไม่ เพราะสัญญาจ้างแรงงานได้สิ้นสุดลงไปก่อนหน้านั้นแล้วจึงไม่อาจมีการบอกเลิกสัญญาได้อีก ตามข้อบังคับ กองทุนเฉพาะส่วนของนายจ้างและข้อบังคับของกองทุนจำเลยมีข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ ของเงินสมทบให้แก่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเฉพาะในกรณีที่ลูกจ้างถูกไล่ออกหรือถูกนายจ้าง เลิกจ้างเท่านั้น ไม่รวมถึงกรณีที่ลูกจ้างลาออกด้วย ดังนั้น เมื่อสัญญาจ้างแรงงานระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างสิ้นสุด ลงเพราะลูกจ้างลาออกมิใช่เป็นเพราะถูกไล่ออกหรือถูกเลิกจ้าง ย่อมไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่ลูกจ้าง ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๐๐๙/๒๕๖๑ แม้การที่โจทก์แสดงความประสงค์ลาออกจากงานต่อจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๗ โดยให้มีผลวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งการเลิกสัญญาจ้าง แรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลานั้นลูกจ้างมีสิทธิแสดงเจตนาได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่ง ยินยอมตกลงหรืออนุมัติก็ตาม แต่ในระหว่างระยะเวลาที่สัญญาจ้างแรงงานยังมีผลบังคับอยู่นั้น นายจ้างและ ลูกจ้างยังคงมีนิติสัมพันธ์ต่อกันจนกว่าสัญญาจ้างแรงงานจะสิ้นผล คดีนี้ในระหว่างระยะเวลาที่สัญญาจ้างแรงงาน ยังมีผลบังคับอยู่นั้น จำเลยที่ ๑ ตรวจพบการกระทำความผิดของโจทก์และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ข้อเท็จจริง ในที่สุดจำเลยที่ ๑ มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชยหรือผลประโยชน์อื่นใดเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงดังที่ศาลแรงงานกลางฟังยุติมา ว่าโจทก์ได้รับเงินจากผู้เอาประกันภัยแล้วไม่นำเงินเข้าฝากบัญชีของจำเลยที่ ๑ และไม่ได้นำเงินมามอบให้แก่จำเลย ที่ ๑ ตามระเบียบคู่มือการปฏิบัติงานของฝ่ายการเงินของจำเลยที่ ๑ ทำให้เงินของจำเลยที่ ๑ ขาดหายไป เป็นการ ประพฤติผิดอย่างร้ายแรงขัดต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ การที่โจทก์ลาออกโดยให้มีผลเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ แสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์คาดหมายได้ว่าจำเลยที่ ๑ อาจตรวจพบการกระทำความผิดของโจทก์ และหากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้สอบสวนเสร็จจำเลยที่ ๑ อาจมีคำสั่งลงโทษโจทก์ด้วยการไล่ออก หรือเลิกจ้างได้ แต่โจทก์ยังคงชิงลาออกเสียก่อนตามที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้ ทั้งเมื่อจำเลยที่ ๑ มีหนังสือลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย หลังจากนั้นโจทก์จึงได้นำคดีมาฟ้องอ้างว่าตนได้ลาออกจากการ ทำงานกับจำเลยที่ ๑ ทั้งนี้เท่ากับอ้างเพื่อให้ศาลแรงงานกลางเห็นว่าการเลิกจ้างของจำเลยที่ ๑ ไม่ชอบเพื่อมา เรียกร้องสิทธิในเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ พฤติการณ์ทั้งหลายของโจทก์ส่อให้เห็น ถึงความไม่สุจริตในการลาออกเพื่อที่จะแสวงหาประโยชน์จากการลาออกเนื่องจากหากโจทก์ถูกเลิกจ้างหรือไล่ออก
๒๒ เพราะเหตุทุจริตย่อมทำให้โจทก์เสียสิทธิที่จะได้รับเงินสมทบจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือสิทธิประโยชน์อื่นที่ อาจจะได้รับตามกฎหมาย จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายและขัดต่อวัตถุประสงค์ ของกฎหมาย แม้จำเลยที่ ๑ จะมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์หลังจากโจทก์ลาออก แต่โจทก์อาศัยเหตุลาออกดังกล่าวมา เป็นมูลฟ้องร้องคดีนี้เพื่อให้ตนได้รับสิทธิประโยชน์ตามฟ้องอันเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเช่นนี้ ย่อมเป็นการไม่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. มาตรา ๕ โจทก์จึงไม่อาจอ้างเหตุจากการลาออกโดยไม่สุจริตเพื่อให้ตน ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากการลาออกและให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๘๐๖/๒๕๕๗ ข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเลยซึ่งจดทะเบียนแล้วที่กำหนดว่าจะไม่จ่ายเงินสมทบและ ผลประโยชน์กรณีลูกจ้างลาออกจากงานเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งทางธุรกิจนั้น มีลักษณะเป็นไปเพื่อคุ้มครอง ดูแลผลประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยร่วมซึ่งเป็นนายจ้างแต่ฝ่ายเดียว และเป็นการห้ามลูกจ้างไปทำงานกับ บริษัทคู่แข่งทางธุรกิจหลังจากนิติสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างไม่มีต่อกัน ทั้งเป็นการตัดสิทธิลูกจ้างไม่ให้ได้รับ เงินสมทบและผลประโยชน์โดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำการที่ไม่ชอบไม่ถูกต้องไม่ควรในขณะที่เป็นลูกจ้าง จึงเป็น ข้อกำหนดที่ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันและ สวัสดิการแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงานตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๕ และ หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว และเป็นการตัดสิทธิของลูกจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรไม่ชอบด้วย พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๙ (๘) ถือว่าข้อบังคับดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เป็นการ ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็น โมฆะ ใช้บังคับไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐ ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๐๗/๒๕๓๓ จำเลยได้ก่อตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขึ้นและต่อมาได้ระบุเรื่องการหักเงินสะสมและการเข้า ร่วมโครงการเงินสะสมไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ระหว่างจำเลยกับพนักงานของจำเลยแล้ว เมื่อจำเลยได้คำนวณดอกเบี้ยเงินสะสม และเงินสมทบตามวิธีการใน เอกสารท้ายฟ้องมาเป็นเวลา ๑๘ ปี แล้ว วิธีการคำนวณดังกล่าวย่อมเป็นส่วนหนึ่งของกฎข้อบังคับกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ และเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จำเลยไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณซึ่งไม่เป็น คุณและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ก่อนได้ มาตรา ๑๐13 ทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้าง ให้ลูกจ้างจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนโดยให้นายจ้างหัก จากค่าจ้าง และให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน ซึ่งการจ่ายเงินสะสม และเงินสมทบต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละสองแต่ไม่เกินร้อยละสิบห้าของค่าจ้าง ลูกจ้างและนายจ้างอาจตกลงกันให้จ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนในอัตราที่สูงกว่า อัตราที่กำหนดในวรรคหนึ่งโดยอนุมัติรัฐมนตรีก็ได้ ให้นายจ้างส่งเงินตามวรรคหนึ่งเข้ากองทุนภายในสามวันทำการนับแต่วันที่มีการจ่ายค่าจ้าง ในกรณีที่นายจ้างส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบเข้ากองทุนล่าช้ากว่าสามวันทำการ ให้นายจ้างจ่ายเงินเพิ่มให้แก่ กองทุนในระหว่างเวลาที่ส่งล่าช้าในอัตราร้อยละห้าต่อเดือน ของจำนวนเงินสะสมหรือเงินสมทบที่ส่งล่าช้านั้น 13วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘
๒๓ สิทธิประโยชน์ทางภาษี14 การที่ลูกจ้างจ่ายเงินสะสมและนายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลูกจ้างและ นายจ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามประมวลรัษฎากร ดังนี้ (๑) สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนายจ้าง เงินสมทบที่นายจ้างได้จ่ายเข้ากองทุน นายจ้างสามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ตามจำนวนที่จ่าย จริงในแต่ละรอบบัญชี (๒) สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับลูกจ้าง พนักงานจะได้รับประโยชน์ทางภาษีตลอดเวลาในการเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ดังนี้ 14ข้อมูลจาก Krungsri Asset Management - เกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
๒๔ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๘๖/๒๕๕๙ ประกาศเรื่องโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดประจำปี ๒๕๕๐ ที่ให้พนักงานออกจากงาน ก่อนอายุ ครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์โดยความสมัครใจร่วมกัน คือข้อกำหนดส่วนหนึ่งในหลักเกณฑ์การเกษียณอายุงาน โดยเพิ่มเติมจากเดิมที่กำหนดให้เกษียณเมื่ออายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ การที่โจทก์ใช้สิทธิตามประกาศฉบับนี้แม้จะ เป็นเวลาที่ยังไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเดิม แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการเกษียณอายุโดยการออกจากงานเมื่อสิ้น กำหนดเวลาการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานที่กำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ขณะออกจากงานโจทก์มีอายุ ไม่ต่ำกว่า ๕๕ ปีบริบูรณ์ ทั้งโจทก์เข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปี จึงต้องด้วย หลักเกณฑ์ที่มีผลให้เงินได้ที่โจทก์ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๙๓/๒๕๕๘ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๒ บัญญัติถึงเงินได้ประเภทต่าง ๆ ที่มีเหตุอันสมควรได้รับ ยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีโดยเงินได้ในประเภทตามมาตรา ๔๒ (๑๗) คือเงินได้ตามที่กำหนด ยกเว้นโดยกฎกระทรวง ให้อำนาจฝ่ายบริหารกำหนดได้ตามนโยบายภาษีและเพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้มีเงินได้ และตามข้อ ๒ (๓๖) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๕๐๙) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการ ยกเว้นรัษฎากรกำหนดว่า เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ลูกจ้างได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๒ (๑๗) แสดงให้เห็นว่ารัฐประสงค์จะใช้มาตรการยกเว้นภาษีจากเงินได้ประเภทนี้เพื่อ
๒๕ สนับสนุนระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและตามประกาศอธิบดี กรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๕๒) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สำหรับกรณีลูกจ้าง ออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ข้อ ๑ (๑) กำหนดว่า (๑) กรณีเกษียณอายุ ลูกจ้างผู้นั้นต้องมี อายุไม่ต่ำกว่า ๕๕ ปีบริบูรณ์ ซึ่งออกจากงานเพราะครบกำหนดหรือสิ้นกำหนดเวลาทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน ที่เป็นลายลักษณ์อักษร และเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มาแล้วไม่น้อยกว่า ๕ ปี ก็แสดงให้เห็นถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการยกเว้นภาษีเงินได้ประเภทนี้ ที่ประสงค์ให้มี การเข้าเป็นสมาชิกกองทุนเป็นระยะยาวอันจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการกองทุนได้ดี จึงให้ประโยชน์ใน การยกเว้นภาษีแก่ผู้เป็นสมาชิกไม่น้อยกว่า ๕ ปี และต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๕๕ ปีบริบูรณ์ และไม่ให้ประโยชน์ในการ ยกเว้นภาษีในกรณีสมาชิกลาออกจากงานหรือออกเพราะเหตุที่กระทำความผิด หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศเรื่อง โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดประจำปี ๒๕๕๐ ที่ให้พนักงานออกจากงานก่อนอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ โดยความสมัครใจร่วมกันนี้ก็คือข้อกำหนดส่วนหนึ่ง ในหลักเกณฑ์การเกษียณอายุงาน อันเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การเกษียณ อายุงานเพิ่มเติมจากที่กำหนดให้ เกษียณเมื่ออายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ เป็นให้เกษียณอายุเมื่ออายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ หรือเกษียณอายุงานก่อนอายุ ครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ ได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งประกาศนี้ การที่โจทก์ใช้สิทธิตามประกาศนี้ในการออกจาก งาน โดยการเกษียณอายุซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไขประกาศอธิบดีกรมสรรพากรที่มุ่งส่งเสริมการออมระยะยาวเพื่อ ประโยชน์ในยามชราภาพของลูกจ้างก็ย่อมถือได้ว่าเป็นการเกษียณอายุโดยการออกจากงานเมื่อสิ้นกำหนดเวลา การทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานที่กำหนดไว้ให้เป็นไปภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งประกาศเรื่อง โครงการ เกษียณอายุก่อนกำหนดประจำปี ๒๕๕๐ ที่เป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากนี้ขณะออกจากงานโจทก์ก็มีอายุ ๕๕ ปี เศษ อันเป็นกรณีที่มีอายุไม่ต่ำกว่า ๕๕ ปีบริบูรณ์ ทั้งโจทก์ก็เข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเวลาเกินกว่า ๕ ปีแล้ว จึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่มีผลให้เงินได้ที่โจทก์ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๒ (๑๗) ประกอบด้วยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๕๐๙) ออกตาม ความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ข้อ ๒ (๓๖) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษี เงินได้ (ฉบับที่ ๕๒) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการสำหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๓/๒๕๔๗ โจทก์ได้รับเงินเพราะเหตุออกจากงาน ๒ ประเภท คือ เงินชดเชยการเลิกจ้างซึ่งเป็นเงินชดเชย ตามกฎหมายแรงงาน และเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นเงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหาก ไม่ใช่นายจ้างของโจทก์เป็นผู้จ่าย เงินทั้งสองประเภทดังกล่าว จึงไม่ใช่ผู้จ่ายรายเดียวกันตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๔๕) ข้อ ๒ (ข) เมื่อโจทก์ ได้รับเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปีภาษี ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นคนละปีภาษีกับที่โจทก์ได้รับเงินชดเชยการเลิก จ้าง โจทก์จึงชอบที่จะนำเงินได้ที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้รับในปีภาษี ๒๕๔๒ มาเลือกเสียภาษีแยก ต่างหากจากเงินได้อื่น ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๘ (๕) ได้
๒๖ มาตรา ๑๐/๑15 ในกรณีที่รัฐมนตรีเห็นว่าท้องที่หนึ่งท้องที่ใดเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สาธารณภัย หรือเหตุการณ์ใดที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดประเภทธุรกิจ ระยะเวลา หรือเงื่อนไขใด เพื่อให้ลูกจ้างหรือนายจ้างหยุดหรือเลื่อนการส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบเข้ากองทุน ได้คราวละไม่เกินหนึ่งปี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ตัวอย่างของการดำเนินการตามมาตรา ๑๐/๑ ได้แก่ การออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดประเภทธุรกิจ ระยะเวลา และเงื่อนไขให้ลูกจ้างหรือนายจ้างหยุดหรือเลื่อนการส่งเงินสะสม หรือเงิน สมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในท้องที่ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สาธารณภัย หรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๓ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความ เดือดร้อนแก่ลูกจ้างและนายจ้างซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) อันส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดให้ลูกจ้างและนายจ้างซึ่งได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สามารถหยุดหรือเลื่อนการส่งเงินสะสมหรือเงิน สมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้เป็นการชั่วคราว มาตรา ๑๑ ให้กองทุนมีคณะกรรมการกองทุน ประกอบด้วยผู้แทนซึ่งลูกจ้างเลือกตั้งและผู้แทน ซึ่งนายจ้างแต่งตั้ง มีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของกองทุน และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้จัดการกองทุนและ เป็นผู้แทนของกองทุนในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้คณะกรรมการกองทุนจะ มอบหมายเป็น หนังสือให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้ การแต่งตั้งผู้จัดการกองทุนหรือการเปลี่ยนกรรมการ ให้คณะกรรมการกองทุนนำไปจดทะเบียน ภายในสิบสี่วันนับแต่วันแต่งตั้งผู้จัดการกองทุนหรือเปลี่ยนกรรมการ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๑๒๐/๒๕๕๙ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทยซึ่งจดทะเบียนแล้ว เป็น นิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๗ คณะกรรมการ กองทุนหรือผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง หากโจทก์มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนตาม มาตรา ๒๓ จำเลยไม่มีอำนาจจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพื่อให้จ่ายเงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นได้ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่อำนาจ ฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ 15เพิ่มโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘
๒๗ ภายหลังการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การดำเนินการของกองทุนจะมีบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้16 หมวด ๒ การจัดการกองทุน มาตรา ๑๒17 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่กำกับและควบคุมโดยทั่วไปเพื่อให้เป็นไปตาม บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีอาจมอบหมายให้หน่วยงานใดในสังกัด ปฏิบัติหน้าที่แทน และจะมอบหมายให้แต่งตั้งพนักงานของหน่วยงานนั้นเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้ 16ข้อมูลจาก Krungsri Asset Management - เกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 17แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒
๒๘ มาตรา ๑๒ ทวิ18 ให้นายทะเบียนมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการจัดการกองทุนและมีอำนาจ สั่งให้ผู้จัดการกองทุนชี้แจงข้อเท็จจริงและทำรายงานเกี่ยวกับการจัดการกองทุนได้ ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่าผู้จัดการกองทุนใดจัดการกองทุนในลักษณะที่อาจเป็นเหตุให้ เสียหายแก่กองทุน นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้ผู้จัดการกองทุนแก้ไขหรือระงับการกระทำนั้นหรือสั่งถอดถอน ผู้จัดการกองทุนได้ มาตรา ๑๒ ตรี19 ให้นายทะเบียนจัดทำรายงานเกี่ยวกับการกำกับดูแลการจัดการกองทุน เสนอต่อรัฐมนตรีอย่างน้อยปีละสองครั้ง เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลและควบคุมให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ รัฐมนตรีอาจสั่งให้นายทะเบียนรายงานผลการดำเนินงานหรือชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องหนึ่งเรื่องใดเพิ่มเติม ก็ได้ มาตรา ๑๓20 การจัดการกองทุนจะต้องดำเนินการโดยบุคคลซึ่งมิใช่นายจ้างและได้รับ ใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายลูกบทที่เกี่ยวข้อง กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๒ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๖/ตอนที่ ๑๐๐/ หน้า ๓๑๐) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ดังนี้ ข้อ ๑ ในกฎกระทรวงนี้ “เงินของกองทุน” หมายความว่า เงินที่ลูกจ้างจ่ายสะสม เงินที่นายจ้างจ่ายสมทบ เงินที่มีผู้อุทิศให้ และดอกผลนิตินัยของทรัพย์สินของกองทุน “ธนาคาร” หมายความว่า ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร และธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการในราชอาณาจักร “บริษัทเงินทุน” หมายความว่า บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ตามกฎหมายว่าด้วย การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ 18เพิ่มโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ 19เพิ่มโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ 20แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒
๒๙ “หน่วยลงทุน” 21 หมายความว่า ส่วนของทรัพย์สินของโครงการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการจัดการกองทุนรวมตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่แบ่ง ออกเป็นหน่วย แต่ละหน่วยมีมูลค่าเท่ากัน “รัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น” 22 หมายความว่า รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งโดยพระราชบัญญัติ หรือประกาศของคณะปฏิวัติ “ตราสารแสดงสิทธิในหนี้” 23 หมายความว่า พันธบัตร ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หุ้นกู้ รวมทั้ง ตราสารอื่น ๆ ที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน “บริษัทประกันชีวิต” 24 หมายความว่า บริษัทประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยประกันชีวิต “บริษัทหลักทรัพย์” 25 หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ ข้อ ๒26 ผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องเป็นบริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ธนาคารหรือ บริษัทประกันชีวิต ข้อ ๓27 การจัดการเงินของกองทุนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (๑) ผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะนำเงินของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปซื้อหุ้น หุ้นกู้ หุ้นกู้แปลง สภาพเป็นหุ้นสามัญ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของผู้จัดการกองทุนนั้นมิได้ (๒) กองทุนต้องลงทุนหรือมีไว้ซึ่งสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ดังต่อไปนี้ (ก) เงินสด เงินฝากธนาคาร หรือบัตรเงินฝากที่ธนาคารเป็นผู้ออก (ข) พันธบัตรของรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ค) ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่รัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นเป็นผู้ออก (ง) ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (จ) ตั๋วแลกเงินหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารเป็นผู้รับรอง รับอาวัล หรือสลักหลังโดยไม่มี กองทุนนั้นเองเป็นผู้สลักหลังในลำดับก่อนมาแล้ว 21ข้อ ๑ นิยามคำว่า “หน่วยลงทุน” แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความใน พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ 22ข้อ ๑ นิยามคำว่า “รัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น” เพิ่มโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ 23ข้อ ๑ นิยามคำว่า “ตราสารแสดงสิทธิในหนี้” เพิ่มโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ออกตามความ ในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ 24ข้อ ๑ นิยามคำว่า “บริษัทประกันชีวิต”เพิ่มโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความใน พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ 25ข้อ ๑ นิยามคำว่า “บริษัทหลักทรัพย์” เพิ่มโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความใน พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ 26ข้อ ๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ 27ข้อ ๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐
๓๐ (ฉ) ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ธนาคารเป็นผู้ออก (ช) ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณนอกจาก ตราสารตาม (ค) บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์เป็นผู้ออก (ซ) ตราสารแสดงสิทธิในหน่วยลงทุน หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุน (ฌ) หุ้น หุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (ญ) ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับ โดยสถาบันจัดอันดับความ น่าเชื่อถือซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในระดับตามที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา (ฎ) บัตรเงินฝากที่บริษัทเงินทุนเป็นผู้ออก (ฏ) ตั๋วแลกเงินหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เป็นผู้รับรอง รับอาวัล หรือสลักหลังโดยไม่มีกองทุนนั้นเองเป็นผู้สลักหลังในลำดับก่อนมาแล้ว (ฐ) ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมหรือบรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้ออก (ฑ) สินทรัพย์อื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา (๓) การลงทุนหรือมีไว้ซึ่งสินทรัพย์ตาม (๒) (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) (ฉ) หรือ (ญ) ไม่ว่าอย่างใด อย่างหนึ่งหรือหลายอย่างของกองทุน เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่าร้อยละหกสิบของเงินของกองทุน แต่การ ลงทุนในสินทรัพย์ตาม (ญ) ต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินของกองทุน การลงทุนในสินทรัพย์ตาม (๒) (ข) หรือ (ค) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังอาจกำหนดให้ต้องลงทุนไม่น้อยกว่าอัตราที่ประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาก็ได้ (๔) กองทุนอาจลงทุนในสินทรัพย์ตาม (๒) (ฌ) ที่ออกโดยบริษัทใดก็ได้แต่ถ้าจะลงทุนอย่างใด อย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันในบริษัทนั้น ต้องไม่เกินร้อยละห้าของเงินของกองทุน และเมื่อรวมกันแล้วทุกบริษัท ต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของเงินของกองทุน (๕) การกำหนดสินทรัพย์ตาม (๒) (ฑ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาจกำหนดให้กองทุน ถือปฏิบัติตาม (๓) วรรคหนึ่ง หรือ (๔) ด้วยก็ได้ (๖) กองทุนอาจให้ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุนกู้ยืมเงินในส่วนที่เป็นเงินสะสมและผลประโยชน์ ไปใช้ในการจัดหาที่อยู่อาศัยของตนเองหรือใช้ในการศึกษาอบรมของตนเองและครอบครัว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด ข้อ ๔28 การตีราคาหลักทรัพย์เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามข้อ ๓ ให้ถือราคาทุนรวมทั้งค่า นายหน้าที่จ่ายไปเพื่อให้ได้หลักทรัพย์นั้นมา ข้อ ๕29 การซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียน นอกจากหลักทรัพย์จดทะเบียนตามข้อ ๓ (๒) (ข) และ (ค) ให้กระทำในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 28ข้อ ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ 29ข้อ ๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐
๓๑ ข้อ ๖ ในกรณีที่ข้อบังคับของกองทุนมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น การจัดการทรัพย์สินของกองทุน นอกจากที่กำหนดไว้ในข้อ ๓ ดังต่อไปนี้ ผู้จัดการกองทุนจะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ กองทุน (๑) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก จำนอง ปลดจำนอง ให้แก่ผู้จำนอง หรือโอนสิทธิจำนองอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ (๒) ก่อตั้งหรือระงับทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่น (๓) จำหน่ายหรือทำข้อผูกพันที่จะให้จำหน่ายไปซึ่งสิทธิเรียกร้อง ที่มุ่งจะก่อตั้งหรือโอนไปซึ่ง ทรัพยสิทธิในที่ดิน หรือที่จะให้ที่ดินปลอดจากทรัพยสิทธิดังกล่าว (๔) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี หรือให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ (๕) ขายหรือแลกเปลี่ยนสังหาริมทรัพย์ที่มีทะเบียนแสดงกรรมสิทธิ์หรือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ ข้อ ๗ เมื่อปรากฏว่าการจัดการกองทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราส่วนที่ กำหนดไว้ในข้อ ๓ ในขณะใด ให้ผู้จัดการกองทุนจัดการแก้ไขให้เป็นไปตามอัตราส่วนดังกล่าวภายในสามสิบวันนับ แต่วันที่ไม่เป็นไปตามนั้น ข้อ ๘ ให้กำหนดค่าใช้จ่ายในการจัดการกองทุนไว้ ดังต่อไปนี้ (๑) ค่าตอบแทนผู้จัดการกองทุน ปีละไม่เกินร้อยละสิบของผลประโยชน์ที่กองทุนได้รับจากการ ลงทุนตามข้อ ๓ (๒) ค่าธรรมเนียม และค่าอากรแสตมป์ (๓) ค่าใช้จ่ายในการจัดการทรัพย์สินตามข้อ ๖ ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของกองทุน มาตรา ๑๔30 ในการจัดการกองทุน ให้ผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่และอยู่ในบังคับบทบัญญัติ เกี่ยวกับการจัดการกองทุนส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ด้วย ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๓) ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุน สำรองเลี้ยงชีพ ว่า จะต้องจัดการกองทุนตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ประกอบกับกฎกระทรวง ที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็น ดังนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ กฟผ. E๔๘๐๐/๔๒๗๗๑ ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๓ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ เห็นชอบแผนระดมทุนจากเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมีแนวทางการระดมทุนและโครงสร้างผู้ถือหุ้นด้วยการกระจายหุ้นในส่วนที่เสนอขายแก่พนักงาน กฟผ. และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. (ถ้ามี) ร้อยละ ๑๕ ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และมีระยะเวลาห้าม ขายหุ้น ๓ ปี โดยกำหนดให้พนักงาน กฟผ. สามารถนำหุ้นที่ถืออยู่ออกมาขายได้เมื่อครบรอบปีที่ ๑ ปีที่ ๒ และ 30แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒
๓๒ ปีที่ ๓ ในจำนวนไม่เกิน ๑ ใน ๓ ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ได้รับจัดสรรต่อปีตามลำดับ คณะกรรมการกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. จึงได้เสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะ นายทะเบียน เพื่อให้พิจารณาอนุญาตให้กองทุนให้สมาชิกกู้ยืมเงินในส่วนที่เป็นเงินสะสมและผลประโยชน์ของ เงินสะสมของสมาชิกกองทุนแต่ละราย เพื่อนำไปใช้ในการซื้อหุ้นบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ตามสัดส่วนหุ้นที่ได้รับจัดสรรจาก กฟผ. โดยไม่เสียดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้พิจารณา และมีหนังสือแจ้งต่อ คณะกรรมการกองทุนฯ ว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. ซึ่งจดทะเบียนแล้ว เป็นกองทุนที่เข้าข่ายจะต้อง ปฏิบัติตามบทเฉพาะกาลแห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งในประเด็น ที่เกี่ยวกับการให้สมาชิกกู้ยืมเงินจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตาม ความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ในฐานะนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจึงไม่มีอำนาจในการอนุญาตให้สมาชิกกองทุนกู้ยืมเงินจาก กองทุน ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เห็นว่า การให้สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. สามารถกู้เงินจากกองทุนเพื่อซื้อหุ้นบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นการสนับสนุนให้สมาชิก กองทุนซึ่งเป็นพนักงาน กฟผ. ได้มีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล โดย กฟผ. เห็นว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. ต้องปฏิบัติตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๑๕ วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งการจัดการกองทุนเกี่ยวกับการให้สมาชิก กองทุนกู้เงินต้องเป็นไปตามข้อ ๓ (๖) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ที่กำหนดว่า “ข้อ ๓ การจัดการเงินของกองทุนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังต่อไปนี้ ฯลฯ ฯลฯ (๖) กองทุนฯอาจให้ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุนกู้ยืมเงินในส่วนที่เป็นเงินสะสมและผลประโยชน์ ไปใช้ในการจัดหาที่อยู่อาศัยของตนเอง หรือใช้ในการศึกษาอบรมของตนเองและครอบครัว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด” อย่างไรก็ตาม มาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้กำหนดว่า “เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนตามวรรคหนึ่ง นายทะเบียนอาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้จัดการกองทุนต้องปฏิบัติเพิ่มเติมได้” กฟผ. จึงเห็นว่า แม้กองทุนจะต้องอยู่ภายใต้บทเฉพาะกาลซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ ข้อ ๓ (๖) แต่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นนายทะเบียนก็มีอำนาจที่จะกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้จัดการกองทุนต้องปฏิบัติเพิ่มได้ในทุกกรณีที่เป็นการกำหนดเพื่อประโยชน์ ในการควบคุม ดูแลการจัดการกองทุน กรณีนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จึงสามารถที่จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้กองทุนให้พนักงาน กฟผ. กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นบริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ได้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๓) พิจารณาข้อหารือดังกล่าวแล้ว เห็นว่า นับแต่พระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติ
๓๓ ให้การจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ผู้จัดการกองทุนต้องมีหน้าที่และอยู่ในบังคับของบทบัญญัติเกี่ยวกับการ จัดการกองทุนส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ ในการจัดการกองทุนดังกล่าวเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๔ วรรคสาม31 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ แต่เพื่อให้การจัดการกองทุน ของผู้จัดการกองทุนที่ได้รับแต่งตั้งให้จัดการกองทุนที่จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับเป็นไปโดยต่อเนื่อง มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง32 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้กำหนดบทเฉพาะกาล ให้ผู้จัดการกองทุนที่มีลักษณะดังกล่าวยังคงจัดการกองทุนได้ต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ มีผลใช้บังคับ และนอกจากนี้เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมให้มีมาตรฐาน การปฏิบัติหน้าที่ใกล้เคียงกับผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา ๑๕ วรรคสอง33 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในฐานะนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้จัดการ กองทุนดังกล่าวปฏิบัติเพิ่มเติมได้ ส่วนในเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น ให้นำข้อ ๓ 34 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพใช้บังคับกับผู้จัดการกองทุนดังกล่าว ได้ต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ตามนัยม าตรา ๑๘35 แห่ง 31มาตรา ๑๓๔ ฯลฯ ฯลฯ ให้ผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคลดำเนินการจัดการกองทุนส่วนบุคคลตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่ คณะกรรมการ ก.ล.ต.ประกาศกำหนด 32มาตรา ๑๕ ให้ผู้จัดการกองทุนที่ได้รับแต่งตั้งให้จัดการกองทุนที่ลูกจ้างและนายจ้างตกลงกันจัดตั้งขึ้นก่อน วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ จัดการกองทุนดังกล่าวได้ต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และให้นำ บทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้จัดการกองทุนและการจัดการกองทุน รวมทั้งบทกำหนดโทษในเรื่องดังกล่าวที่ใช้บังคับ อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มาใช้บังคับกับผู้จัดการกองทุนในระหว่างเวลาดังกล่าว ฯลฯ ฯลฯ 33มาตรา ๑๕ ฯลฯ ฯลฯ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนตามวรรคหนึ่ง นายทะเบียนอาจ ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้จัดการกองทุนต้องปฏิบัติเพิ่มเติมได้ 34ข้อ ๓ การจัดการกองทุนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (๑) ผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะนำเงินของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปซื้อหุ้น หุ้นกู้ แปลงสภาพ เป็นหุ้น สามัญ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของผู้จัดการกองทุนนั้นมิได้ (๒) กองทุนต้องลงทุนหรือมีไว้ซึ่งสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ดังต่อไปนี้ ฯลฯ ฯลฯ (๖) กองทุนอาจให้ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุนกู้ยืมเงินในส่วนที่เป็นเงินสะสมและผลประโยชน์ไปใช้ในการ จัดการที่อยู่อาศัยของตนเองหรือใช้ในการศึกษาอบรมของตนเองและครอบครัว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด 35มาตรา ๑๘ บรรดากฎกระทรวงที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดการกองทุนประกาศ กระทรวงการคลัง ประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คำสั่ง และหนังสือเวียนเกี่ยวกับการจัดการกองทุนให้ยังคงใช้บังคับกับ ผู้จัดการกองทุนตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัตินี้ได้ต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
๓๔ พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหารือว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ในฐานะนายทะเบียนหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะรัฐมนตรีผู้รักษาการตาม พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ จะสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้กองทุน สำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. อนุมัติให้สมาชิกกองทุนกู้ยืมเงินในส่วนที่เป็นเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงิน สะสมจากกองทุนไปใช้ในการซื้อหุ้นของบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มห าชน) ได้หรือไม่ นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๓) พิจารณาแล้ว เห็นว่า หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการตามข้อหารือดังกล่าว เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. จะต้องจัดการกองทุนตามนัยมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับข้อ ๓ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวไม่เปิดช่องให้ผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. อนุมัติให้สมาชิกกองทุนกู้ยืมในส่วนที่เป็นเงินสะสมและผลประโยชน์ในเงินสะสมจากกองทุนไปใช้ซื้อหุ้นของ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะนายทะเบียนพิจารณาแล้ว เห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับ การจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะ นายทะเบียนอาจเสนอให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๓๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการให้ผู้จัดการกองทุนนำเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมของสมาชิกกองทุนให้สมาชิกกู้ยืมเพื่อ ซื้อหุ้นดังกล่าวได้ (บันทึก เรื่อง การให้สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กู้ยืมเงินสะสม และผลประโยชน์ของเงินสะสมจากกองทุน เรื่องเสร็จที่ ๕๘๗/๒๕๔๓) มาตรา ๑๕ ให้นายจ้างแยกบัญชีและเอกสารเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินอื่นของตนออกจาก บัญชีและเอกสารเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินอื่นของกองทุนโดยเด็ดขาด มาตรา ๑๖36 ในการลงทุนหรือหาผลประโยชน์ของกองทุน ให้ผู้จัดการกองทุนนำเงินสะสมและ เงินสมทบไปลงทุนหรือหาผลประโยชน์ตามนโยบายการลงทุนที่ลูกจ้างได้แสดงเจตนาไว้ ในกรณีที่ลูกจ้าง ไม่แสดงเจตนาเลือกนโยบายการลงทุน ให้ลงทุนหรือหาผลประโยชน์ตามนโยบายเดิมที่ลูกจ้างเคยลงทุนไว้ หากไม่มีนโยบายเดิม ให้ลงทุนหรือหาผลประโยชน์ตามนโยบายที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของกองทุน หากข้อบังคับ ของกองทุนไม่ได้กำหนดไว้ ให้ลงทุนหรือหาผลประโยชน์ตามนโยบายที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด 36แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘
๓๕ มาตรา ๑๗37 ให้ผู้จัดการกองทุนจัดทำบัญชีเพื่อแบ่งแยกทรัพย์สินของกองทุนทุกกองทุน โดยให้บันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายของกองทุนตามประเภทของกองทุน ดังต่อไปนี้ (๑) กรณีกองทุนหลายนายจ้าง ให้บันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายของกองทุนตามส่วนได้เสียของ ลูกจ้างแยกตามรายนายจ้าง ทั้งนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายของกองทุนดังต่อไปนี้ ให้นำมาคำนวณเพื่อบันทึกเป็น รายได้หรือค่าใช้จ่ายในบัญชีของลูกจ้างที่มีนายจ้างรายเดียวกัน (ก) เงินเพิ่มที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุน (ข) เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบที่ลูกจ้างซึ่งสิ้นสมาชิกภาพไม่มีสิทธิได้รับและ ข้อบังคับของกองทุนกำหนดให้เป็นของกองทุน (ค) ค่าเสียหายหรือดอกเบี้ยที่กองทุนต้องชำระตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล (ง) เงินที่ตกเป็นของกองทุนตามมาตรา ๒๓ วรรคสี่ (จ) รายได้หรือค่าใช้จ่ายอื่นตามที่นายทะเบียนประกาศกำหนด รายได้ของกองทุนตามวรรคหนึ่ง (ก) (ข) (ง) และ (จ) อาจกำหนดในข้อบังคับของกองทุน ให้บันทึกตามส่วนได้เสียของลูกจ้างหรือบันทึกเฉลี่ยตามจำนวนลูกจ้างของนายจ้างรายใดรายหนึ่งหรือหลายราย ก็ได้ (๒) กรณีกองทุนที่มีหลายนโยบายการลงทุน ให้จัดทำบัญชีแยกทรัพย์สินของแต่ละนโยบาย การลงทุนออกจากกัน ทั้งนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหากเป็นผลมาจากการจัดการลงทุน ตามนโยบาย การลงทุนใด ให้บันทึกเป็นรายได้และค่าใช้จ่ายในบัญชีของนโยบายการลงทุนนั้น ส่วนรายได้และค่าใช้จ่ายอื่น ให้กระจายรายได้และค่าใช้จ่ายนั้นตามสัดส่วนของมูลค่าทรัพย์สินของแต่ละนโยบายการลงทุนและบันทึกเป็น รายได้และค่าใช้จ่ายในบัญชีของนโยบายการลงทุนนั้น กฎหมายลูกบทที่เกี่ยวข้อง ได้มีประกาศนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ ๒/๒๕๕๑ เรื่อง การกำหนดประเภทรายได้ หรือค่าใช้จ่ายของกองทุนหลายนายจ้างเพิ่มเติม และประกาศนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ ๔/๒๕๕๑ เรื่อง การกำหนดประเภทรายได้หรือค่าใช้จ่ายของกองทุนหลายนายจ้างเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) ซึ่งออกโดย อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ (๑) (จ) แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้กำหนดรายได้หรือ ค่าใช้จ่ายอื่น ดังนี้ (๑) ทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้กับกองทุนหลายนายจ้างซึ่งมีการระบุว่าให้ตกเป็นของลูกจ้างที่มี นายจ้างรายเดียวกัน เป็นรายได้ของกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนต้องนำมาคำนวณเพื่อบันทึกเป็นรายได้ในบัญชีของ ลูกจ้างทุกรายที่มีนายจ้างรายเดียวกันนั้น (๒) ให้รายได้หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องหรือที่สามารถระบุได้ว่าเป็นรายได้หรือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในบัญชีของลูกจ้างที่มีนายจ้างรายเดียวกันรายใด เช่น ค่าธรรมเนียมในการจัดทำทะเบียนสมาชิก กองทุนที่คิดเหมาจ่ายตามรายนายจ้าง ค่าบำเหน็จกรรมการที่มีการจ่ายตามข้อบังคับของกองทุนตามรายนายจ้าง 37แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ และ มาตรา ๑๗ (๑) วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘
๓๖ เป็นต้น เป็นรายได้หรือค่าใช้จ่ายของกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนต้องนำมาคำนวณเพื่อบันทึกเป็นรายได้หรือค่าใช้จ่าย ในบัญชีของลูกจ้างทุกรายที่มีนายจ้างรายเดียวกันนั้น มาตรา ๑๘38 (ยกเลิก) มาตรา ๑๙39 (ยกเลิก) มาตรา ๒๐40 ผู้จัดการกองทุนพ้นจากการเป็นผู้จัดการกองทุนก่อนครบกำหนดสัญญา เมื่อ (๑) นายทะเบียนสั่งถอดถอนตามมาตรา ๑๒ ทวิ วรรคสอง (๒) ขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้จัดการกองทุน (๓) กองทุนหรือผู้จัดการกองทุนบอกเลิกสัญญา หรือ (๔) กองทุนเลิกตามมาตรา ๒๕ มาตรา ๒๑41 ในกรณีที่ผู้จัดการกองทุนพ้นจากการเป็นผู้จัดการกองทุนตามมาตรา ๒๐ (๑) (๒) หรือ (๓) ให้คณะกรรมการกองทุนแต่งตั้งผู้จัดการกองทุนใหม่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้จัดการกองทุนเดิม พ้นตำแหน่ง และให้แจ้งการแต่งตั้งผู้จัดการกองทุนใหม่แก่นายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่แต่งตั้ง มาตรา ๒๒ ลูกจ้างและนายจ้างจะขอตรวจดูบัญชีและเอกสารของกองทุน ณ สำนักงานกองทุน ได้ในเวลาเปิดทำการ หมวด ๓ การจ่ายเงินจากกองทุนและการเลิกกองทุน มาตรา ๒๓42 ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓/๒ มาตรา ๒๓/๓ และมาตรา ๒๓/๔ เมื่อลูกจ้างสิ้น สมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุนและตามที่กำหนดในมาตรา ๒๓/๑ โดยให้จ่ายรวมทั้งหมดคราว เดียวภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ 38ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ 39ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ 40แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ 41แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ 42แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
๓๗ ในกรณีสิ้นสมาชิกภาพเพราะถึงแก่ความตาย ถ้าลูกจ้างมิได้กำหนดบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินจาก กองทุนไว้โดยพินัยกรรมหรือทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่ผู้จัดการกองทุนหรือได้กำหนดไว้แต่บุคคลผู้นั้นตายก่อน ให้จ่ายเงินจากกองทุนตามวรรคหนึ่งให้แก่บุคคลตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (๑) บุตรให้ได้รับสองส่วน แต่ถ้าผู้ตายมีบุตรตั้งแต่สามคนขึ้นไปให้ได้รับสามส่วน (๒) สามีหรือภริยาให้ได้รับหนึ่งส่วน (๓) บิดามารดา หรือบิดาหรือมารดาที่มีชีวิตอยู่ให้ได้รับหนึ่งส่วน ถ้าผู้ตายไม่มีบุคคลดังกล่าวใน (๑) (๒) หรือ (๓) หรือมีแต่ได้ตายก่อน ให้แบ่งเงินที่บุคคลนั้น มีสิทธิจะได้รับให้แก่บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ตามส่วนที่กำหนดในวรรคสอง ถ้าผู้ตายไม่มีบุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนตามวรรคสองหรือไม่มีทายาทตามกฎหมายแล้ว ให้เงินดังกล่าวตกเป็นของกองทุน ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง ๑. คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๗) ได้วินิจฉัยว่า เมื่อสมาชิก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพลาออก การที่กองทุนจะจ่ายเงินสดเพียงบางส่วนให้แก่สมาชิก และหลักฐานแสดง การรับสิทธิในบัตรเงินฝาก หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือหุ้นกู้ตามส่วนที่สมาชิกแต่ละคนได้รับอีกส่วนหนึ่ง ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา ๒๓ ตามความเห็น ดังนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีหนังสือ ด่วน ที่ กค ๐๓๐๕/๑๐๐๗ ลงวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอหารือว่า เมื่อสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพลาออก กองทุนสามารถจ่ายเงิน สดบางส่วน และหลักฐานแสดงการรับสิทธิในบัตรเงินฝาก หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือหุ้นกู้ตามส่วนที่สมาชิกแต่ละ คนได้รับอีกส่วนหนึ่งได้หรือไม่ และจะขัดต่อพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ หรือไม่นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๗) เห็นว่า ในประเด็นนี้เป็นเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการ ในการจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ซึ่งมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ บัญญัติให้ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน และมาตรา ๙ (๘) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ก็บัญญัติให้ข้อบังคับของกองทุนอย่างน้อยต้องมีข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการ จ่ายเงินเมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพไว้เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติทั้งสองมีข้อความ ที่สอดรับกัน ดังนั้น ในการจ่ายเงินให้แก่สมาชิกกองทุนที่ลาออกจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของ กองทุน ซึ่งกรณีการจ่ายเงินจะเป็นไปตามข้อบังคับของกองทุนหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องไปพิจารณาในส่วนของ ข้อบังคับของแต่ละกองทุนเป็นราย ๆ ไป ทั้งนี้ ข้อบังคับนั้นจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามมาตรา ๒๓ แห่ง พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ที่ได้บัญญัติไว้ด้วยว่า ให้จ่ายรวมทั้งหมดครั้งเดียวภายในเวลาไม่เกิน สามสิบวันนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ ดังนั้น นอกจากจะจ่ายตามข้อบังคับแล้ว จึงต้องพิจารณาด้วยว่าการจ่ายเงิน สดบางส่วนและหลักฐานแสดงการรับสิทธิในบัตรเงินฝากฯ อีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นการจ่ายที่ขัดต่อบทบัญญัติดังกล่าว หรือไม่ กรณีนี้เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๒๓ ที่บัญญัติให้การจ่ายเงินนั้นจะต้องจ่ายรวมทั้งหมดครั้งเดียว ภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพแล้ว การจ่ายเงินให้แก่สมาชิกกองทุนที่ลาออกโดยจ่ายเงินสด
๓๘ บางส่วน และหลักฐานแสดงการรับสิทธิในบัตรเงินฝากฯ อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งหลักฐานแสดงการรับสิทธิในบัตรเงินฝาก ดังกล่าวยังไม่ถึงกำหนดไถ่ถอนหรือไม่สามารถรับการชำระเงินในส่วนนั้นได้ทันที จึงไม่ถือเป็นการจ่ายครั้งเดียว และหากไถ่ถอนก่อนครบกำหนดจะทำให้สมาชิกกองทุนฯ ได้รับเงินไม่เต็มจำนวน ซึ่งไม่เป็นการจ่ายรวมทั้งหมด อีกเช่นเดียวกัน จึงเป็นการจ่ายเงินที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๒๓ ดังกล่าว ดังนั้น เมื่อการจ่ายเงินให้แก่สมาชิกกองทุนที่ลาออกโดยจ่ายเป็นเงินสดบางส่วนและหลักฐานแสดงการรับสิทธิในบัตร เงินฝากฯ อีกส่วนหนึ่งมีลักษณะไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา ๒๓ แล้ว การจ่ายเงินให้แก่สมาชิกกองทุน ที่ลาออกในลักษณะดังกล่าว จึงถือว่าเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ (บันทึก เรื่อง ขอหารือข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่องเสร็จที่ ๘๔๖/ ๒๕๔๑) ๒. คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับการกำหนดข้อบังคับของกองทุน สำรองเลี้ยงชีพว่าขัดต่อมาตรา ๒๓ หรือไม่ ตามความเห็น ดังนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีหนังสือ ที่ กฟผ. ๙๓๓๐๐๐/๑๓๓๒๐ ลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๓ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า เนื่องด้วยข้อ ๓๗ แห่งข้อบังคับกองทุน สำรองเลี้ยงชีพพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กำหนดให้สมาชิกกองทุนที่สิ้นสมาชิกภาพมีสิทธิได้รับ เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบตามสิทธิ โดยกำหนดข้อยกเว้นไว้ ๖ กรณี ที่สมาชิกซึ่งสิ้นสมาชิกภาพ จะไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบและบริษัทจัดการกองทุนจะจ่ายเงินสมทบคืนให้แก่ กฟผ. โดยถือเป็นรายได้ของ กฟผ. แต่ในกรณีสมาชิกซึ่งสิ้นสมาชิกภาพโดยลาออกจากกองทุน แต่ไม่ได้ลาออกจากงานนั้น ในวรรคสองของข้อ ๓๗ แห่งข้อบังคับกองทุนฯ กำหนดให้ กฟผ. เก็บเงินสมทบไว้เพื่อจ่ายให้บุคคลนั้นเมื่อพ้นจากตำแหน่งใน กฟผ. และมีสิทธิได้รับเงินสมทบ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีความเห็นว่า ข้อ ๓๗ แห่งข้อบังคับกองทุนฯ ดังกล่าวขัดต่อมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เพราะการจ่ายเงินให้สมาชิกที่สิ้นสมาชิกภาพแล้วเป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนมิใช่ กฟผ. และ การจ่ายเงินสมทบต้องจ่ายทั้งหมดครั้งเดียวภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่สมาชิกสิ้นสมาชิกภาพ ดังนั้น กฟผ. จึงขอหารือ ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง ข้อ ๓๗ แห่งข้อบังคับกองทุนฯ ขัดต่อมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ หรือไม่ ประเด็นที่สอง หากข้อบังคับกองทุนฯ ที่ให้ กฟผ. เก็บเงินสมทบไว้เพื่อจ่ายให้พนักงาน ในภายหลังเมื่อออกจากงานเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ กองทุนฯ จะดำเนินการแก้ไขข้อ ๓๗ แห่งข้อบังคับกองทุนฯ โดยกำหนดให้เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบของ สมาชิกที่ลาออกจากกองทุนฯ โดยไม่ได้ลาออกจากงาน ให้เงินดังกล่าวตกเป็นรายได้ของ กฟผ. จะกระทำได้หรือไม่ จะถือเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เป็นการตัดสิทธิพนักงานโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรตามมาตรา ๙ (๘) แห่ง พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ และเป็นการลดสภาพการจ้างของพนักงานตามพระราชบัญญัติ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ หรือไม่ ทั้งนี้ กฟผ. มีเจตนาจะจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่พนักงาน เมื่อพ้นสภาพการเป็นผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้พนักงานมีเงินออมเมื่อออกจาก กฟผ. โดย กฟผ. จะออกระเบียบกำหนด
๓๙ หลักเกณฑ์การจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่พนักงาน แต่เงินดังกล่าวจะถือเป็นเงินได้อื่น ๆ ของพนักงานที่อยู่ในข่ายที่อาจ ถูกยึดหรืออายัดตามหมายบังคับคดีได้ เพราะไม่ถือเป็นเงินสมทบอีกต่อไป คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือของ กฟผ. แล้ว มีความเห็นในแต่ละ ประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง เมื่อได้ฟังคำชี้แจงของผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว เห็นว่า กฟผ. มีความประสงค์จะขอหารือเฉพาะในส่วนของข้อ ๓๗ วรรคสอง แห่งข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ที่กำหนดให้บริษัทจัดการจ่ายเงินสมทบและ ผลประโยชน์ของเงินสมทบให้ กฟผ. เพื่อให้เก็บรักษาไว้เพื่อจ่ายให้แก่สมาชิกที่ลาออกจากกองทุนโดยไม่ได้ลาออก จากงานเมื่อพ้นจากตำแหน่งใน กฟผ. ว่าขัดต่อมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ หรือไม่ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) มีความเห็นว่า การลาออกจากกองทุนโดยไม่ได้ลาออกจากงาน เป็นการสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิกตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งบัญญัติให้ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับ ของกองทุนและตามที่กำหนดในมาตรา ๒๓/๑ โดยให้จ่ายรวมทั้งหมดคราวเดียวภายในเวลาไม่เกินสามสิบวัน นับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ จากบทบัญญัติดังกล่าว กฟผ. จึงสามารถออกข้อบังคับกองทุนกำหนดหลักเกณฑ์และ วิธีการเพื่อจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบได้ แต่ข้อบังคับกองทุนนั้นจะต้องไม่ขัดกับหลักการของ กฎหมายแม่บท ดังนั้น การที่ข้อ ๓๗ วรรคสอง แห่งข้อบังคับกองทุนฯ กำหนดให้บริษัทจัดการจ่ายเงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบที่ไม่ได้จ่ายให้แก่สมาชิกคืนให้แก่ กฟผ. แทนที่จะจ่ายให้แก่สมาชิก และการให้ กฟผ. เก็บรักษาเงินดังกล่าวไว้จ่ายให้สมาชิกที่ลาออกจากกองทุนโดยไม่ได้ลาออกจากงานเมื่อบุคคลนั้นพ้นจาก ตำแหน่งใน กฟผ. แทนการจ่ายรวมทั้งหมดคราวเดียวภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ ข้อ ๓๗ วรรคสอง ดังกล่าว จึงขัดต่อมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ประเด็นที่สอง เห็นว่า มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า การแก้ไขข้อ ๓๗ แห่งข้อบังคับกองทุน สำรองเลี้ยงชีพพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งจดทะเบียนแล้วโดยกำหนดให้เงินสมทบและ ผลประโยชน์ของเงินสมทบของสมาชิกที่ลาออกจากกองทุนโดยไม่ได้ลาออกจากงาน ถือเป็นรายได้ของ กฟผ. จะกระทำได้หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) มีความเห็นว่า มาตรา ๙ (๘) และมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการจ่ายเงินเมื่อลูกจ้าง สิ้นสมาชิกภาพเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่า กองทุนแต่ละ กองทุนได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่ ลูกจ้างเมื่อสิ้นสมาชิกภาพไว้แตกต่างกันตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันในการจัดตั้งกองทุน เช่น การกำหนดให้ การกระทำความผิดของลูกจ้างเป็นเหตุยกเว้นที่นายจ้างจะไม่จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่ ลูกจ้าง การกำหนดให้เรื่องอายุงานเป็นเงื่อนไขสำหรับการพิจารณาการจ่ายเงิน หรือแม้แต่การกำหนดให้ผู้ที่ ลาออกจากกองทุนโดยไม่ได้ลาออกจากงานไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินสมทบหรือผลประโยชน์ของเงินสมทบเลย คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) จึงเห็นว่า การออกหรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น ต้องคำนึงถึงหลักการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย อันได้แก่ หลักการตามมาตรา ๕ ที่บัญญัติให้การจัดตั้งกองทุนต้องเกิดจากการตกลงกันระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง
๔๐ เพื่อเป็นหลักประกันในสามกรณี คือ ลูกจ้างตาย ลูกจ้างออกจากงาน หรือลูกจ้างลาออกจากกองทุน และหลักการ ตามมาตรา ๙ (๘) ที่บัญญัติให้การออกข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการจ่ายเงิน เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพตามข้อบังคับกองทุนจะต้องไม่ตัดสิทธิของลูกจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร นอกจากนี้ ข้อบังคับนั้นจะต้องไม่มีผลย้อนหลังไปตัดสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างนั้นมีอยู่แล้ว กรณีตามข้อหารือนี้ กฟผ. ได้ออกข้อบังคับกองทุนโดยกำหนดไว้ในข้อ ๓๗ แห่งข้อบังคับกองทุน สำรองเลี้ยงชีพพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ให้ผู้ที่ลาออกจากกองทุนโดยไม่ได้ลาออกจากงาน มีสิทธิได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ โดย กฟผ. จะจ่ายให้เมื่อผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งใน กฟผ. และมีสิทธิจะได้รับเงินสมทบ จึงถือได้ว่า ข้อกำหนดดังกล่าวเป็นการให้สิทธิแก่พนักงานของ กฟผ. ที่จะได้รับ เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบในกรณีที่พนักงานลาออกจากกองทุนโดยไม่ได้ลาออกจากงานด้วย ดังนั้น การที่ กฟผ. จะแก้ไขข้อบังคับกองทุนโดยกำหนดให้เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบของสมาชิก ที่ลาออกจากกองทุนโดยไม่ได้ลาออกจากงาน ตกเป็นรายได้ของ กฟผ. จึงเป็นการแก้ไขข้อบังคับที่ตัดสิทธิที่เคยมี อยู่เดิมของพนักงาน ทำให้พนักงานไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว กฟผ. จึงไม่สามารถดำเนินการแก้ไขข้อบังคับกองทุน เช่นนั้นได้ และเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า การแก้ไขข้อบังคับกองทุนดังกล่าวเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพฯ ฉะนั้น กรณีจะเป็นการลดสภาพการจ้างของพนักงานตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ หรือไม่ จึงไม่จำต้องพิจารณา (บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง ข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเกี่ยวกับเงินสมทบและผลประโยชน์ ของเงินสมทบ เรื่องเสร็จที่ ๓๗๑/๒๕๕๓) ๓. คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับกรณีสมาชิกกองทุนแจ้งความ ประสงค์ขอรับเงินบางส่วนที่คงไว้และขอคงเงินส่วนที่เหลือไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่อไปจะทำได้หรือไม่ ตามมาตรา ๒๓ มาตรา ๒๓/๒ และมาตรา ๒๓/๓ ตามความเห็น ดังนี้ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือ ที่ กสท กม. (กม.๔)/๕๙ ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้จัดตั้ง “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ซึ่งจดทะเบียนแล้ว” (กสล.บทป.) ขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ นายสมบูรณ์ ทรัพย์สาร ได้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท) เนื่องจากเกษียณอายุ และได้แสดงเจตนาขอคงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิได้รับ ไว้ใน กสล.บทป. เป็นเวลาสองปี ตามแบบขอคงเงินที่บริษัทจัดการกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ กองทุน ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ นายสมบูรณ์ฯ ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการ กสล.บทป. มีวาระการ ดำรงตำแหน่งสองปี (ตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕) ในวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๓ นายสมบูรณ์ฯแจ้งความประสงค์ขอรับเงินกองทุนที่ขอคงเงินไว้ในกองทุนจำนวนสองล้านบาทโดยให้ส่งเงินเข้าบัญชี ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และขอคงเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดไว้ในกองทุนต่อไป ในวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๓ กสล.บทป. ได้แจ้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อทราบและดำเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง และเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้โอนเงินเข้าบัญชี ตามที่นายสมบูรณ์ฯ ระบุไว้จำนวน
๔๑ สองล้านบาทแล้ว จากการกระทำของนายสมบูรณ์ฯ ดังกล่าว มีกรรมการ กสล.บทป. ผู้หนึ่งเห็นว่าในกรณีที่ นายสมบูรณ์ฯ ได้ขอคงเงินทั้งหมดไว้ใน กสล.บทป. และต่อมาขอถอนเงินบางส่วนออกจากกองทุน และคงเงินที่เหลือ บางส่วนไว้ในกองทุนต่อไป ถือว่าไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๓/๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ และข้อบังคับ กสล.บทป. ข้อ ๗๖ ดังนั้น การถอนเงินบางส่วนออกจากกองทุนจึงทำให้สิ้นสุดสมาชิกภาพในการคงเงินและสมาชิก ในการขอรับเงินเป็นงวด เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ นายสมบูรณ์ ทรัพย์สาร ได้แสดงเจตนาขอรับเงินกองทุนเป็นงวด ตามแบบคำขอรับเงินเป็นงวดของสมาชิก กสล.บทป. ต่อมา กสล.บทป. ได้มีหนังสือที่ กสล.บทป. ๘๗/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขอหารือ ในประเด็นการขอคงเงินบางส่วนไว้ในกองทุนตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น จะถือว่านายสมบูรณ์ฯ ขาดคุณสมบัติ การขอคงเงินไว้ในกองทุนหรือไม่ และกรณีดังกล่าวจะมีผลทำให้สมาชิกขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิก กสล.บทป. หรือไม่ และหากนายสมบูรณ์ฯ ขอเปลี่ยนแปลงการขอคงเงินไว้ในกองทุนเป็นการขอรับเงินเป็นงวด สามารถ กระทำได้ หรือไม่ ประการใด ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. มีหนังสือที่ กลต.ข.๕๙๕/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตอบข้อหารือว่า นายสมบูรณ์ฯ ออกจากงานด้วยเหตุเกษียณอายุ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุนฯ จึงมีสิทธิเลือกที่จะขอคงเงินไว้ในกองทุน รับเงินเป็นงวด รวมทั้งขอเปลี่ยนแปลงจากการขอคงเงินไว้ในกองทุน เป็นขอรับเงินจากกองทุนเป็นงวด ตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่กำหนดในข้อบังคับกองทุนฯ โดยมีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ นายสมบูรณ์ฯ แสดงเจตนาเป็นต้นไป ทั้งนี้ ระหว่างที่นายสมบูรณ์ฯ แสดงเจตนาขอใช้สิทธิคงเงินไว้กับกองทุน ต้องเป็นการคงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับตามที่กำหนดในมาตรา ๒๓/๓ ไม่อาจขอรับเงินบางส่วนจากกองทุนได้ สำหรับข้อหารือที่ว่านายสมบูรณ์ฯ ขาดการเป็นสมาชิกกองทุนหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาข้อกำหนดเกี่ยวกับการสิ้น สมาชิกภาพว่ามีการกำหนดในข้อบังคับกองทุนฯ ไว้อย่างไร กรรมการ กสล.บทป. ได้นำเสนอให้พิจารณาการกระทำของ นายสมบูรณ์ฯ ที่ได้ถอนเงินบางส่วน ออกจากกองทุนไปแล้ว มีผลทำให้ขาดสมาชิกภาพ หากยังคงให้ปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสล.บทป. ต่อไป อาจทำ ให้กองทุนเสียหาย ซึ่งคณะกรรมการกองทุนจะต้องรับผิดชอบตามข้อบังคับ กสล.บทป. ข้อ ๑๙ วรรคสุดท้าย ที่กำหนดว่า “คณะกรรมการกองทุนไม่ต้องรับผิดชอบต่อการที่สินทรัพย์ของกองทุนลดน้อยลง เว้นแต่การที่ สินทรัพย์ของกองทุนลดน้อยลงนั้นเกิดจากการกระทำโดยเจตนา” โดยที่ข้อบังคับ กสล.บทป. ไม่ได้กำหนด หลักเกณฑ์ให้สมาชิกที่ขอคงเงินสามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขจากการขอคงเงินทั้งหมดเป็นขอรับเงินบางส่วนที่ขอคงไว้ ออกจากกองทุน แล้วคงเงินส่วนที่เหลือไว้ในกองทุนต่อไป และมิได้กำหนดให้สมาชิกที่ขอคงเงินเปลี่ยนการขอคงเงิน เป็นการขอรับเงินเป็นงวดแทนการขอคงเงินไว้ในกองทุน ประกอบกับข้อบังคับ กสล.บทป. มิได้กำหนดเรื่องของ การขาดคุณสมบัติของสมาชิกที่ขอคงเงินและที่ขอรับเงินเป็นงวดไว้ บมจ. กสท จึงขอหารือในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๑. กรณีที่นายสมบูรณ์ฯ กรรมการ กสล.บทป. แจ้งความประสงค์ขอรับเงินบางส่วนที่คงไว้และ ขอคงเงินส่วนที่เหลือไว้ในกองทุนต่อไป ซึ่งบริษัทจัดการได้จ่ายเงินให้ตามความประสงค์ของนายสมบูรณ์ฯ ตามที่ กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น จะถือว่านายสมบูรณ์ฯ สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นสมาชิก กสล.บทป. แล้ว หรือไม่ ๒. ในระหว่างที่นายสมบูรณ์ฯ ปฏิบัติหน้าที่กรรมการกองทุนได้มีการจ่ายค่าเบี้ยประชุมและ เงินอื่น ๆ ให้แก่นายสมบูรณ์ฯ กสล.บทป. จะต้องเรียกเงินค่าเบี้ยประชุมและเงินอื่นๆ ดังกล่าวคืน หรือไม่ ตั้งแต่ เมื่อใด
๔๒ ๓. หากนายสมบูรณ์ฯ ไม่ยินยอมคืนค่าเบี้ยประชุมและเงินอื่น ๆ ตามข้อ ๒.คณะกรรมการ กสล. บทป. ต้องรับผิดชอบเงินดังกล่าว หรือไม่ อย่างไร ๔. การที่บริษัทจัดการได้จ่ายเงินกองทุนบางส่วนให้ตามความประสงค์ของนายสมบูรณ์ฯ นั้น บริษัทจัดการจะต้องมีความรับผิดอย่างไร หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวแล้ว เห็นว่า เมื่อนายสมบูรณ์ ทรัพย์สาร เกษียณอายุทำงาน นายสมบูรณ์ฯ ย่อมสิ้นสมาชิกภาพตามข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ข้อ ๑๑.๒43 นายสมบูรณ์ฯ จึงมีสิทธิเลือกที่จะรับเงินจากกองทุนทั้งหมดคราวเดียวตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง หรือเลือกที่จะแสดงเจตนาขอรับเงินจากกองทุนเป็นงวดตามมาตรา ๒๓/๒ หรือเลือกที่จะคงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุนตามมาตรา ๒๓/๓ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งนายสมบูรณ์ฯ ได้แสดงเจตนาไว้ในแบบขอคงเงินไว้ในกองทุนฯ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ ซึ่งเป็นวันก่อนสิ้นสุดสมาชิกภาพ เพราะการเกษียณอายุ โดยเลือกที่จะคงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุนตามมาตรา ๒๓/๓ และเป็นไปตาม ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในข้อ ๗๔44 แห่งข้อบังคับกองทุนดังกล่าว การขอให้คงเงินที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุนของ นายสมบูรณ์ฯ ในชั้นนี้จึงชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายและข้อบังคับกองทุนฯ ส่วนกรณีที่นายสมบูรณ์ฯ ได้แสดง เจตนาขอรับเงินบางส่วนและขอคงเงินที่เหลือไว้ในกองทุนต่อไปเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๓ นั้น มิใช่เป็นการแสดง เจตนาอย่างใดอย่างหนึ่งตามบทบัญญัติมาตรา ๒๓ มาตรา ๒๓/๒ หรือมาตรา ๒๓/๓ และไม่มีกำหนดไว้ในข้อบังคับ ของกองทุน อย่างไรก็ตามการรับเงินไปบางส่วนและคงเงินที่เหลือไว้ในกองทุนย่อมทำให้นายสมบูรณ์ฯ ไม่เป็น ลูกจ้างที่คงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิได้รับไว้ในกองทุนอีกต่อไป นายสมบูรณ์ฯ จึงมิใช่ลูกจ้างรายที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ ตามมาตรา ๒๓/๓ นับแต่วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นมา สำหรับกรณีที่นายสมบูรณ์ฯ ได้แสดงเจตนาขอรับเงิน เป็นงวดเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ นั้นพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มิได้มีบทบัญญัติ ถึงการเปลี่ยนแปลงจากการคงเงินทั้งหมดไว้ในกองทุนไปเป็นการขอรับเงินจากกองทุนเป็นงวดไว้โดยตรง อย่างไร ก็ตามเมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๒๓/๒ ประกอบกับข้อบังคับกองทุนฯ ข้อ ๗๙45 แล้ว บทบัญญัติดังกล่าว 43ข้อ ๑๑ ให้สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลง ในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ฯลฯ ฯลฯ ๑๑.๒ เกษียณอายุ ฯลฯ ฯลฯ 44ข้อ ๗๔ “สมาชิกที่ขอคงเงิน” ตามความในหมวดนี้หมายความถึง สมาชิกที่สิ้นสุดสมาชิกภาพเพราะเหตุออก จากงานไม่ว่าด้วยเหตุใดและได้แสดงเจตนาขอคงเงินไว้ในกองทุน ในการแสดงเจตนาขอคงเงินไว้ในกองทุน ให้สมาชิกที่ขอคงเงินแสดงเจตนาก่อนวันสิ้นสุดสมาชิกภาพหรือหลังวัน สิ้นสุดสมาชิกภาพไม่เกิน ๑๕ วัน ต่อคณะกรรมการกองทุนตามแบบที่บริษัทจัดการกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ กองทุน 45ข้อ ๗๙ “สมาชิกที่ขอรับเงินเป็นงวด” ตามความในหมวดนี้ หมายความถึง สมาชิกที่สิ้นสุดสมาชิกภาพเพราะ การเกษียณอายุและได้แสดงเจตนาขอรับเงินจากกองทุนเป็นงวด ในการแสดงเจตนาขอรับเงินจากกองทุนเป็นงวด ให้สมาชิกที่ขอรับเงินเป็นงวดแสดงเจตนาก่อนวันสิ้นสุด สมาชิกภาพ หรือหลังวันสิ้นสุดสมาชิกภาพไม่เกิน ๑๕ วันต่อคณะกรรมการกองทุนตามแบบที่บริษัทจัดการกำหนดโดยความ เห็นชอบของคณะกรรมการกองทุน
๔๓ แสดงว่า ลูกจ้างที่สิ้นสมาชิกภาพเพราะการเกษียณอายุ หากจะขอรับเงินเป็นงวดจากกองทุนก็จะต้องแสดงเจตนา ก่อนวันสิ้นสุดสมาชิกภาพ ซึ่งกรณีของนายสมบูรณ์ฯ หมายถึงวันที่เกษียณอายุ (วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒) หรือหลังวันสิ้นสุดสมาชิกภาพไม่เกิน ๑๕ วัน (วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๒) ดังนั้น กรณีที่นายสมบูรณ์ฯ ได้แสดงเจตนา ขอรับเงินเป็นงวดเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ย่อมมิใช่การแสดงเจตนาที่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๒๓/๒ และข้อบังคับกองทุนฯ ข้อ ๗๙ การแสดงเจตนาขอรับเงินเป็นงวดหลังจากได้ขอรับเงินจากกองทุนไปส่วนหนึ่งแล้ว และมิได้แสดงเจตนาภายในระยะเวลาที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน ก็มีผลทำให้นายสมบูรณ์ฯ ไม่เป็นลูกจ้าง รายที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา ๒๓/๒ อีกต่อไปเช่นเดียวกัน สำหรับปัญหาตามประเด็นที่หนึ่งที่ว่า นายสมบูรณ์ฯ สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ แล้วหรือไม่ รวมทั้งปัญหาในประเด็น ที่สองถึงประเด็นที่สี่ล้วนมีสาเหตุเกิดจากการกระทำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและข้อบังคับของ กองทุน ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขและเป็นข้อพิพาทที่จะต้องได้รับการชี้ขาดจากคณะกรรมการกองทุนตาม ความในข้อ ๘๙46 แห่งข้อบังคับกองทุนฯ คณะกรรมการกองทุนควรแก้ไขข้อบังคับดังกล่าวให้ปัญหาดังกล่าวยุติ นอกจากนี้ คณะกรรมการกองทุนหรือกองทุนหรือบริษัทจัดการก็อาจจะขอรับคำแนะนำหรือคำวินิจฉัยจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ต่อไปได้ (บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การพ้นสมาชิกภาพของกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เรื่อง เสร็จที่ ๒๐๑/๒๕๕๕) ๔. คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้วินิจฉัยว่า กองทุนจะโอนเงินของลูกจ้างซึ่งเป็น สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนอื่นโดยไม่จ่ายให้แก่ลูกจ้างโดยตรงไม่ได้ โดยมีความเห็น ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ กลต.ม. ๒๕๓/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า สืบเนื่องจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ในฐานะนายทะเบียนกองทุน สำรองเลี้ยงชีพและกรมสรรพากรได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ซึ่งแผนดังกล่าวได้เสนอให้มีการปรับปรุง กฎหมายภาษีเพื่อส่งเสริมการออมเพื่อการเลี้ยงชีพเมื่อสูงอายุ สร้างความเชื่อมโยงของระบบการออมเพื่อการ เลี้ยงชีพให้เคลื่อนย้ายระหว่างกันได้ เช่น การเปิดโอกาสให้สมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และสมาชิก ของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) โอนเงินไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นต้น โดยใน หลักการสำนักงาน ก.ล.ต. และกรมสรรพากรต่างเห็นพ้องว่าจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายภาษีเพื่อรองรับให้ PVD สามารถโอนเงินไปยัง RMF ได้ อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรและสำนักงาน ก.ล.ต. มีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่ ยังคงเห็นแตกต่างกันและไม่อาจพิจารณาเป็นที่ยุติได้ว่า มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓/๒ และมาตรา ๒๓/๓ เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพ เพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการ หลักเกณฑ์และวิธีการรับเงินเป็นงวด ให้เป็นไปตามประกาศที่คณะกรรมการกำหนด 46ข้อ ๘๙ ในกรณีที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างนายจ้างกับบริษัทจัดการ หรือนายจ้างและหรือบริษัทจัดการกับ สมาชิก หรือบุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินกองทุนตามข้อ ๔๑ หรือผู้รับประโยชน์ของสมาชิกในเรื่องเกี่ยวกับกองทุนหรือการบริหาร กองทุน หรือสิทธิหรือผลประโยชน์อันสืบเนื่องมาจากกองทุน ให้คณะกรรมการกองทุนเป็นผู้ชี้ขาด
๔๔ ที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุนและตามที่กำหนดในมาตรา ๒๓/๑ โดยให้จ่ายรวมทั้งหมดในคราวเดียวกันภายใน เวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ” และมาตรา ๒๓/๓ บัญญัติว่า “เมื่อลูกจ้างรายใดสิ้นสมาชิกภาพ เพราะออกจากงานไม่ว่าด้วยเหตุใด ลูกจ้างรายนั้นมีสิทธิคงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุนและคงการเป็น สมาชิกต่อไป โดยลูกจ้างและนายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุน ทั้งนี้ ตามระยะเวลาที่กำหนด ในข้อบังคับของกองทุนโดยระยะเวลาที่กำหนดไว้ในข้อบังคับดังกล่าวต้องไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับแต่วันที่ออก จากงาน” เมื่อพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าวในประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว กรมสรรพากรและสำนักงาน ก.ล.ต. มีความเห็นต่างกัน ดังนี้ (ก) กรมสรรพากร มีความเห็นว่า กรณีสมาชิกที่สิ้นสมาชิกภาพประสงค์จะให้บริษัทจัดการโอนเงิน จาก PVD ไปยัง RMF จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีบทบัญญัติของกฎหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับ บทบัญญัติในมาตรา ๖๗/๑ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่มีข้อกำหนดให้ ผู้มีสิทธิได้รับเงินจาก กบข. สามารถขอโอนเงินไปยัง PVD หรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกัน ในกรณีการออกจากงานหรือการชราภาพไว้ชัดเจน ในขณะที่มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพฯ เพียงแต่กำหนดให้บริษัทจัดการต้องจ่ายเงินให้แก่สมาชิกที่สิ้นสมาชิกภาพเท่านั้น ดังนั้น บริษัทจัดการ จึงไม่สามารถโอนเงินที่สมาชิกมีสิทธิได้รับจาก PVD ไปยังกองทุนอื่น และในระหว่างที่ยังมิได้แก้ไขพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เพื่อกำหนดบทบัญญัติรองรับการโอนเงินไปยังกองทุนอื่น หากเมื่อสมาชิกของ PVD มีเหตุต้องนำเงินออกจากกองทุนเพราะออกจากงานหรือนายจ้างเลิกกิจการหรือเลิกกองทุนแล้ว สมาชิกจะ ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตามข้อ ๒ (๓๖) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๗๗ (พ.ศ. ๒๕๓๓) ที่ออกตามความใน ประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ข) สำนักงาน ก.ล.ต. มีความเห็นว่า บทบัญญัติตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นบทเร่งรัดหน้าที่ในการจ่ายเงินของบริษัทจัดการให้จ่ายเงินแก่ลูกจ้างที่สิ้น สมาชิกภาพ ซึ่งวัตถุประสงค์ในการจ่ายเงินให้แก่สมาชิกของ PVD ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันกับมาตรา ๖๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่กำหนดให้ กบข. ต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิ ได้รับเงินจาก กบข. ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากส่วนราชการเจ้าสังกัดและได้ปรากฏหลักฐานถูกต้อง ครบถ้วน หรือในมาตรา ๖๗/๑ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่กำหนดให้ กบข. ต้องโอนเงินไปยังกองทุนอื่นภายในเจ็ดวันทำการนับแต่ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินจาก กบข. ได้แสดงความประสงค์ และปรากฏหลักฐานครบถ้วนถูกต้อง สำหรับความแตกต่างระหว่างกฎหมายทั้งสองฉบับคงมีเพียงวิธีการ ในรายละเอียดของการจ่ายเงินที่ กบข. กำหนดไว้ชัดเจนว่า นอกจากผู้มีสิทธิได้รับเงินจาก กบข. จะขอให้ กบข. จ่ายเงินให้แก่ตนเองแล้ว ก็อาจแสดงเจตนาขอให้ กบข. โอนเงินไปยัง PVD หรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น หลักประกันในกรณีการออกจากงานหรือการชราภาพได้ด้วย ในขณะที่ PVD กำหนดให้การจ่ายเงินให้เป็นตามที่ กำหนดในข้อบังคับและตามมาตรา ๒๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติหน้าที่ของบริษัทจัดการนอกจากจะอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ แล้ว บริษัทจัดการยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุน ประกาศกำหนดโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๓๓ แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบกับมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ดังนั้น หากสำนักงาน ก.ล.ต. อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติดังกล่าวออกประกาศหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินให้แก่สมาชิกที่สิ้นสมาชิกภาพของ
๔๕ PVD โดยบริษัทจัดการต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งข้อกำหนดของประกาศดังกล่าว จะกำหนดให้บริษัทจัดการที่รับจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโอนเงินของสมาชิกที่สมาชิกภาพสิ้นสุดลงเพราะเหตุ ออกจากงานหรือนายจ้างเลิกกองทุนไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอื่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือกองทุนอื่นที่มี วัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันในการออกจากงานหรือเพื่อการชราภาพ เมื่อสมาชิกแสดงความประสงค์ผ่าน คณะกรรมการกองทุน โดยถือว่าเป็นข้อกำหนดที่รองรับให้มีการโอนเงินของสมาชิกที่สิ้นสมาชิกภาพมีสิทธิได้รับ จาก PVD ไปยังกองทุนอื่นแล้ว สำนักงาน ก.ล.ต. จึงหารือในปัญหาข้อกฎหมายว่า หากสมาชิกที่สิ้นสมาชิกภาพประสงค์จะให้ บริษัทจัดการโอนเงินของสมาชิกที่อยู่ใน PVD ไปยังกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันเพื่อการออก จากงานหรือเพื่อการชราภาพ เช่น RMF เป็นต้น ข้อบังคับของ PVD จะกำหนดให้บริษัทจัดการดำเนินการตาม ความประสงค์ของสมาชิกได้หรือไม่ อย่างไร คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๙) ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ บัญญัติให้ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุนฯ ในเบื้องต้นจึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่าจะ สามารถโอนเงินของลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนอื่นโดยไม่จ่ายให้แก่ลูกจ้างโดยตรง ได้หรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาเจตนารมณ์และบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ เป็นสำคัญ มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ บัญญัติให้มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขึ้นโดยความ สมัครใจของนายจ้างและลูกจ้างเพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างตาย ออกจากงาน หรือลาออกจาก กองทุน กล่าวคือ เมื่อลูกจ้างตาย ออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุน แล้วแต่กรณี ให้ลูกจ้างได้รับเงินจากกองทุน เพื่อเป็นทุนค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพในระหว่างที่ลาออกจากงานหรือลาออกจากกองทุน และในกรณีการจ่ายเงินจาก กองทุนเมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิกนั้น มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ บัญญัติให้ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างทั้งหมดคราวเดียวกัน ภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ เว้นแต่กรณีลูกจ้างซึ่งสิ้นสมาชิกภาพเพราะการเกษียณอายุ แสดงเจตนาขอรับเงินจากกองทุนเป็นงวดตามมาตรา ๒๓/๒ และกรณีลูกจ้างซึ่งสิ้นสมาชิกภาพเพราะออกจากงาน ประสงค์ให้คงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุนตามมาตรา ๒๓/๓ แต่ไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติมาตราใด บัญญัติให้โอนเงินของลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนอื่น และโดยที่การโอนเงินของลูกจ้าง ซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนอื่นนั้น ถือเป็นหลักการในสาระสำคัญของพระราชบัญญัติกองทุน สำรองเลี้ยงชีพฯ หากประสงค์จะให้มีการโอนเงินของลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุน อื่นได้ ก็ต้องบัญญัติไว้ให้ชัดเจนทำนองเดียวกับมาตรา ๖๗/๑47 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่บัญญัติให้ผู้เป็นสมาชิกขอโอนเงินไปยังกองทุนอื่นได้ ดังนั้น แม้ว่าคณะกรรมการกำกับตลาดทุนจะมี 47มาตรา ๖๗/๑ ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินสะสม เงินสมทบ เงินประเดิม เงินชดเชย และผลประโยชน์ตอบแทนเงินดังกล่าว ตามมาตรา ๔๕ ผู้ใดที่ยังไม่ขอรับเงินคืนหรือขอทยอยรับเงินคืน ให้กองทุนบริหารเงินที่ยังไม่รับคืนต่อไปได้ แต่ถ้าผู้นั้นขอโอนเงินไปยัง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีการออกจากงานหรือการชราภาพ ให้กองทุน โอนเงินไปยังกองทุนดังกล่าวภายในเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่ผู้นั้นแสดงความประสงค์และได้ปรากฏหลักฐานถูกต้องครบถ้วน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
๔๖ อำนาจตามมาตรา ๑๓๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในการ ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเพื่อให้บริษัทจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดำเนินการได้ก็ตาม แต่ในประกาศนี้ไม่อาจกำหนดให้ในข้อบังคับของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกำหนดให้บริษัทจัดการโอนเงินของลูกจ้าง ซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนอื่นตามความประสงค์ของสมาชิกได้ เพราะจะเป็นการขัดกับ พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ตามเหตุผลที่ได้ให้ไว้ข้างต้น (บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การโอนเงินของลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไป ยังกองทุนอื่น เรื่องเสร็จที่ ๕๒๔/๒๕๕๔) คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๖๑/๒๕๕๒ ว. ลูกจ้าง ซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนจำเลยได้กำหนดตัวบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินกองทุนจำเลยไว้ ตามหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์ และผู้จะพึงได้รับผลประโยชน์ยังมีชีวิตอยู่ การจ่ายเงินกองทุนจำเลยจึงต้อง เป็นไปตามข้อกำหนดของสมาชิก โดยไม่มีข้อจำกัดว่าผู้ที่ลูกจ้างกำหนดเป็นผู้จะพึงได้รับเงินจากกองทุนจะต้องเป็น บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นแม้ ร. กับ จ. จะมิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของ ว. ก็ย่อมเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินจาก กองทุนตามที่ ว. กำหนดไว้ในหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์โดยหาได้ต้องห้ามหรือจะต้องให้แบ่งจ่ายเงินกองทุน ดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ มาตรา ๒๓ ไม่ มาตรา ๒๓/๑48 ในกรณีที่เป็นกองทุนหลายนายจ้าง การคำนวณเงินผลประโยชน์เมื่อลูกจ้าง สิ้นสมาชิกภาพ ให้ผู้จัดการกองทุนคำนวณเงินผลประโยชน์ของลูกจ้างดังกล่าวจากบัญชีส่วนได้เสียของบรรดา ลูกจ้างที่มีนายจ้างรายเดียวกัน ในกรณีที่เป็นกองทุนที่มีหลายนโยบายการลงทุน การคำนวณเงินผลประโยชน์ของลูกจ้างที่สิ้น สมาชิกภาพ ให้ผู้จัดการกองทุนคำนวณจากทรัพย์สินในบัญชีของนโยบายการลงทุนที่ลูกจ้างรายนั้นมีส่วนได้เสีย มาตรา ๒๓/๒49 เมื่อลูกจ้างรายใดสิ้นสมาชิกภาพตามข้อบังคับของกองทุนด้วยเหตุเกษียณอายุ หรือออกจากงานเมื่อมีอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบห้าปีบริบูรณ์ หากลูกจ้างรายนั้นแสดงเจตนาขอรับเงินจากกองทุน เป็นงวด ให้ผู้จัดการกองทุนจ่ายเงินจากกองทุนตามเจตนาของลูกจ้าง โดยลูกจ้างรายนั้นยังคงเป็นสมาชิกของ กองทุนต่อไปได้ตามระยะเวลาที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน แต่ลูกจ้างรายนั้นและนายจ้างไม่ต้องจ่ายเงิน สะสมหรือเงินสมทบสำหรับลูกจ้างรายนั้นอีก ทั้งนี้ การรับเงินจากกองทุนเป็นงวดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ที่นายทะเบียนประกาศกำหนด 48เพิ่มโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ 49แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘