The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คำอธิบาย พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คำอธิบาย พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530

คำอธิบาย พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530

๔๗ กฎหมายลูกบทที่เกี่ยวข้อง ประกาศนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ ๓/๒๕๕๑ เรื่อง หลักเกณฑ์ในการรับเงินจาก กองทุนเป็นงวด ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๖๒ ง/หน้า ๗๑/๒๗ มีนาคม ๒๕๕๑) กำหนดให้ผู้จัดการกองทุนจัดให้มีข้อตกลงกับกองทุนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ ในการรับเงินจากกองทุนเป็นงวดของสมาชิกที่สิ้นสมาชิกภาพเนื่องจากการเกษียณอายุ และเปิดเผยข้อตกลง ดังกล่าวให้สมาชิกทราบและปิดประกาศไว้ที่ทำการของกองทุนด้วย ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวต้องมีรายละเอียด อย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (๑) ระยะเวลาและจำนวนงวดในการรับเงินจากกองทุน (๒) วิธีการคำนวณจำนวนเงินที่สมาชิกจะได้รับในแต่ละงวด และ (๓) ให้สิทธิในการเปลี่ยนแปลงการรับเงินจากกองทุนเป็นงวดได้ตามความเหมาะสม มาตรา ๒๓/๓50 เมื่อลูกจ้างรายใดสิ้นสมาชิกภาพเพราะออกจากงานไม่ว่าด้วยเหตุใด ลูกจ้าง รายนั้นมีสิทธิคงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุน และคงการเป็นสมาชิกต่อไป โดยลูกจ้างและนายจ้างไม่ต้อง จ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุน ทั้งนี้ ตามระยะเวลาที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุนโดยระยะเวลาที่กำหนด ไว้ในข้อบังคับดังกล่าวต้องไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับแต่วันที่ออกจากงาน มาตรา ๒๓/๔51 ในกรณีที่นายจ้างถอนตัวจากกองทุนหลายนายจ้างและยังมิได้จัดให้มีกองทุน ใหม่ หรือลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะออกจากงานไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือกองทุนเลิก หากลูกจ้างได้แสดงเจตนา ให้ผู้จัดการกองทุนหรือผู้ชำระบัญชีโอนเงินทั้งหมดที่ตนมีสิทธิได้รับจากกองทุนหรือเงินที่เหลือจากการขอรับเงิน เป็นงวดตามมาตรา ๒๓/๒ หรือขอให้โอนเงินที่คงไว้ในกองทุนตามมาตรา ๒๓/๓ ไปยังกองทุนรวมเพื่อการ เลี้ยงชีพหรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีการออกจากงานหรือการชราภาพ ให้ผู้จัดการกองทุนหรือผู้ชำระบัญชีดำเนินการตามที่ลูกจ้างได้แสดงเจตนาไว้ ทั้งนี้ นายทะเบียนอาจประกาศ กำหนดวิธีการและเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้ กฎหมายลูกบทที่เกี่ยวข้อง ประกาศนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ สท. ๑/๒๕๕๘ เรื่อง วิธีการและเงื่อนไขในการ โอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๓๐๐ ง/หน้า ๑๘/๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) โดยกำหนด วิธีการและเงื่อนไขในการโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพไว้ ดังต่อไปนี้ 50เพิ่มโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ 51เพิ่มโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘


๔๘ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” หมายความว่า กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วย หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ “ผู้ชำระบัญชี” หมายความว่า ผู้ชำระบัญชีของกองทุน “เงินกองทุน” หมายความว่า เงินทั้งหมดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับจากกองทุน หรือเงินที่เหลือจากการ ขอรับเงินจากกองทุนเป็นงวด หรือเงินที่ลูกจ้างคงไว้ในกองทุน ข้อ ๒ ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ เมื่อลูกจ้างแสดงเจตนาให้โอนเงินกองทุนไปยัง กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพอันเนื่องจากเหตุหนึ่งเหตุใดดังต่อไปนี้ ให้ผู้จัดการกองทุนหรือผู้ชำระบัญชีดำเนินการ ตามข้อ ๓ (๑) นายจ้างถอนตัวจากกองทุนหลายนายจ้างและยังไม่ได้จัดให้มีกองทุนใหม่ (๒) ลูกจ้างออกจากงานไม่ว่าด้วยเหตุใด (๓) กองทุนเลิก ข้อ ๓ เมื่อผู้จัดการกองทุนหรือผู้ชำระบัญชีได้รับแจ้งให้โอนเงินกองทุนจากกองทุนไปยังกองทุน รวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ให้ผู้จัดการกองทุนหรือผู้ชำระบัญชี แล้วแต่กรณี โอนเงินดังกล่าวพร้อมจัดส่งเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้ไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับเอกสารหลักฐานครบถ้วน จากคณะกรรมการกองทุน (๑) เอกสารการแสดงเจตนาของลูกจ้างเพื่อโอนเงินกองทุนไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งต้องระบุชื่อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่จะโอนไป (๒) เอกสารหลักฐานที่แสดงได้ว่าลูกจ้างได้รับทราบคำเตือนเกี่ยวกับการโอนเงินจากกองทุน สำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ดังนี้ (ก) ในกรณีที่เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของลูกจ้างครบเงื่อนไขเกี่ยวกับกำหนดระยะเวลา ซึ่งเป็นผลให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว ลูกจ้างจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมจากการโอนเงิน ดังกล่าวไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพดังกล่าวอาจมีต้นทุน ที่แตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไป (ข) ในกรณีที่การโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพจะมีผล ให้การถือหน่วยลงทุนของลูกจ้างเกินข้อจำกัดการถือหน่วยลงทุนตามที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการกำกับ ตลาดทุนว่าด้วยหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อจำกัดการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมและหน้าที่ของบริษัทจัดการ บริษัทจัดการกองทุนรวมจะไม่นับคะแนนเสียงส่วนที่เกินกว่าหนึ่งในสามของจำนวนหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้ว ทั้งหมดของกองทุนรวมดังกล่าว (๓) เอกสารแสดงจำนวนเงินกองทุนที่โอนไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งได้ระบุรายละเอียด เกี่ยวกับจำนวนเงินสะสม เงินสมทบ ผลประโยชน์ของเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสมทบไว้ด้วย (๔) เอกสารหลักฐานอื่นตามที่สมาคมบริษัทจัดการลงทุนกำหนด


๔๙ มาตรา ๒๔52 สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนตามมาตรา ๒๓ มาตรา ๒๓/๒ และมาตรา ๒๓/๓ ไม่อาจโอนกันได้และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) ได้วินิจฉัยว่า การที่กองทุนยินยอม ให้บุคคลอื่นใดหักหนี้สินของลูกจ้างจากเงินของกองทุนย่อมมีผลเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องที่ลูกจ้างมีต่อกองทุน ไปให้บุคคลอื่น เป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๒๔ ตามความเห็น ดังนี้ การไฟฟ้านครหลวงได้มีหนังสือ ที่ ฝกน. ๙๓๒/๒๕๓๙ ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๓๙ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า การไฟฟ้านครหลวง พนักงาน และสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้านครหลวง ได้ตกลงกันจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง นายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้รับ จดทะเบียนเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยใช้ชื่อกองทุนว่า “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานการไฟฟ้านครหลวง ซึ่งจดทะเบียนแล้ว” ทะเบียนเลขที่ ๙๕/๒๕๓๘ โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ สมาคมพนักงาน รัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง ได้ร้องทุกข์ต่อการไฟฟ้านครหลวงว่า เพื่อแก้ไขปัญหาการหักหนี้สินของสมาชิก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีต่อการไฟฟ้านครหลวง และสหกรณ์ออมทรัพย์สมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้า นครหลวง จำกัด น่าจะกำหนดให้สมาชิกสามารถโอนสิทธิเรียกร้องให้กับการไฟฟ้านครหลวงหรือสหกรณ์ ออมทรัพย์สมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง จำกัด ได้ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๒๓ ที่กำหนดว่า เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการ กองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับ โดยมีความเห็นว่า ไม่ขัดต่อมาตรา ๒๔ ที่กำหนดว่า ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓ ไว้แต่อย่างใด ดังนั้น จึงน่าจะกำหนด “ให้มีการหัก หนี้สินที่สมาชิกมีต่อการไฟฟ้านครหลวงหรือสหกรณ์ออมทรัพย์สมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง จำกัด ก่อนจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่สมาชิก ผู้รับประโยชน์ หรือผู้มีสิทธิตามแต่กรณี ทั้งนี้ โดยได้รับความยินยอม จากสมาชิกแล้ว” ไว้ในข้อบังคับกองทุนได้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ตามที่มาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓ สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนไม่อาจโอนกันได้ และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี” นั้น ก็โดยมี เจตนารมณ์ที่จะให้ลูกจ้างได้รับการสงเคราะห์เงินจากกองทุนอันเป็นการให้สวัสดิการแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน หรือถึงแก่ความตาย จึงห้ามมิให้มีการโอนสิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนและเงินจากกองทุนไม่อยู่ในความรับผิด แห่งการบังคับคดี แต่ทั้งนี้โดยมีข้อยกเว้นตามถ้อยคำตอนต้นของมาตรานี้ที่บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓” ซึ่งสิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนอาจโอนไปยังบุคคลอื่นและอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีได้ตามมาตรา ๒๓ จะมีอยู่สองกรณี คือ กรณีที่หนึ่ง เมื่อผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน แต่ผู้จัดการกองทุนไม่จ่ายเงินดังกล่าวหรือไม่ปฏิบัติตามวิธีการจ่ายเงิน ดังกล่าว เมื่อลูกจ้างนั้นเองหรือบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินจากกองทุนเป็นผู้ฟ้องเรียกร้องเงินจากกองทุนและเป็น ฝ่ายชนะคดีก็จะมีการบังคับคดีจากเงินของกองทุนตามปกติได้ หรือกรณีที่สอง เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพลงเพราะ 52แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐


๕๐ ถึงแก่ความตาย สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนย่อมตกแก่บุคคลอื่นทางพินัยกรรม หรือบุคคลซึ่งลูกจ้างระบุไว้ใน หนังสือที่มอบไว้แก่ผู้จัดการกองทุน หรือหากไม่มีบุคคลดังกล่าวเงินจากกองทุนย่อมตกแก่บุคคลต่าง ๆ ตามที่ระบุ ไว้ในมาตรา ๒๓ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ ซึ่งเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนไปยังบุคคลอื่นตาม บทบัญญัติของกฎหมาย ฉะนั้น หากมิใช่กรณีตามข้อยกเว้นสองกรณีข้างต้นแล้ว สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุน ย่อมไม่อาจโอนไปยังบุคคลอื่นหรืออยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี กองทุนจึงไม่อาจกำหนดข้อบังคับของ กองทุนให้หักหนี้สินของลูกจ้างที่มีต่อเจ้าหนี้อื่นจากเงินของกองทุนเสียก่อนได้ เพราะการยินยอมให้บุคคลอื่นใด หักหนี้สินของลูกจ้างจากเงินของกองทุนย่อมมีผลเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องที่ลูกจ้างมีต่อกองทุนไปให้บุคคลอื่น อันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๒๔ ดังกล่าว (บันทึก เรื่อง การหักหนี้สินของสมาชิกจากเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่องเสร็จที่ ๕๙๙/๒๕๓๙) - ความเห็นดังกล่าวนี้เมื่อมีการแก้ไขมาตรา ๒๔ โดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้ว ซึ่งได้ตัดความว่า “ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓” ออก ทำให้ในปัจจุบันจึงห้ามโอนสิทธิเรียกร้อง ที่ลูกจ้างมีต่อกองทุนไปให้บุคคลอื่นโดยเด็ดขาด และไม่มีข้อยกเว้นตามความเห็นฉบับนี้อีก คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๗๙/๒๕๖๐ ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๒๔ สิทธิเรียกร้องเงินจาก กองทุนตามมาตรา ๒๓ และมาตรา ๒๓/๓ ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี โดยมาตรา ๒๓/๓ บัญญัติให้ ลูกจ้างมีสิทธิคงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุนและคงการเป็นสมาชิกต่อไป ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่ ลูกจ้างเพื่อสร้างความต่อเนื่องของการออมเงินโดยผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ สมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คดีนี้เมื่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ส. ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงิน สะสมด้วยเหตุออกจากงานให้แก่โจทก์ไว้ก่อนศาลมีคำพิพากษา จึงเป็นกรณีที่โจทก์ได้ใช้สิทธิขอรับเงินสะสมจาก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง หาใช่เป็นกรณีที่ลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะออกจากงานแล้ว ใช้สิทธิคงเงินทั้งหมดที่จะได้รับไว้ในกองทุนและคงการเป็นสมาชิกต่อไปตามมาตรา ๒๓/๓ เงินดังกล่าวจึงไม่อยู่ ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามมาตรา ๒๔ ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๙๕๔/๒๕๕๐ โจทก์เคยเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อมาโจทก์ ลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุน โดยไม่ได้ลาออกจากงาน กองทุนได้จ่ายเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงิน สะสมให้โจทก์แล้ว และได้จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบจำนวน ๕๓๑,๗๐๒.๕๗ บาท ให้แก่จำเลย ไว้จึงเป็นกรณีที่โจทก์ลาออกจากกองทุนโดยไม่ได้ลาออกจากงานตามข้อบังคับกองทุนฯ ข้อ ๓๗ วรรคหนึ่ง (๗) เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบดังกล่าวจึงเป็นเงินที่จำเลยต้องเก็บรักษาไว้แทนผู้จัดการกองทุนเพื่อจ่าย ให้แก่โจทก์เมื่อพ้นจากตำแหน่งในการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินสมทบ ดังนั้น เมื่อโจทก์ลาออกจากงานด้วยความยินดีของทั้งสองฝ่าย โจทก์จึงมีสิทธิจะได้รับเงินสมทบ เงินดังกล่าวจึงยังมีสภาพ เป็นเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบจากกองทุน มิได้กลับมาเป็นของจำเลยแต่อย่างใด สิทธิเรียกร้องเงิน


๕๑ ดังกล่าวไม่อาจโอนกันได้ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ มาตรา ๒๔ และไม่อาจนำไปหักกลบลบหนี้ ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๔๖ ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๖๕/๒๕๔๕ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้จ่ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแก่ธนาคาร จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ได้นำเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เงินจำนวน ดังกล่าวทั้งหมดแม้จะอยู่ในบัญชีเงินฝากของโจทก์ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์แล้ว แต่ก็ยังจำแนกได้ว่าเงิน จำนวนใดเป็นเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ มิได้ปะปนกับเงินอื่นของโจทก์จนไม่อาจแยกออกได้หรือได้ใช้สอย แปรเปลี่ยนไปเป็นทรัพย์สินอื่นแล้ว ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๑ หักเงินจำนวน ๔๗,๖๔๗.๒๒ บาท ซึ่งเป็นส่วนของ เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบอันเป็นส่วนหนึ่งของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของโจทก์จากบัญชีเงินฝาก ของโจทก์เพื่อชำระหนี้จำเลยที่ ๑ จึงขัดต่อเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๒๔ และยังเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๖ จำเลยที่ ๑ จึงต้องคืนเงินที่หัก ไว้แก่โจทก์ ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๓๕/๒๕๔๒ จำเลยเป็นพนักงานของผู้ร้อง และหากจำเลยลาออกจากการเป็นพนักงานของผู้ร้องจำเลย ย่อมมีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงินสุทธิจำนวนหนึ่ง แต่ก่อนจำเลยลาออกจากการเป็นพนักงาน ของผู้ร้อง จำเลยได้โอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่ผู้ร้อง เมื่อตามพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๒๔ บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนไม่อาจโอนกันได้และไม่อยู่ ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีการที่จำเลยโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้ผู้ร้องจึงตกเป็นโมฆะตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๐ ผู้ร้องจะอ้างการที่เป็นโมฆะขึ้นอ้างต่อผู้ใดไม่ได้ แต่การอายัดทรัพย์เป็นการ บังคับคดีอย่างหนึ่ง โจทก์ย่อมไม่อาจอายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้เช่นกัน ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงิน จำนวนดังกล่าว เป็นการไม่ชอบ ผู้ร้องจึงไม่จำต้องปฏิบัติตามคำสั่งอายัดของศาลชั้นต้น มาตรา ๒๕ กองทุนย่อมเลิก เมื่อ (๑) นายจ้างเลิกกิจการ (๒) ที่ประชุมใหญ่มีมติให้เลิก (๓) มีกรณีที่ข้อบังคับของกองทุนกำหนดให้เลิก หรือ (๔) นายทะเบียนสั่งให้เลิกกองทุนตามมาตรา ๒๗ ในกรณีที่กองทุนจัดตั้งขึ้นโดยมีนายจ้างมากกว่าหนึ่งราย การที่นายจ้างบางรายเลิกกิจการหรือ ถอนตัวจากกองทุนไม่เป็นเหตุให้กองทุนต้องเลิก เว้นแต่ข้อบังคับของกองทุนกำหนดให้เลิก เมื่อมีกรณีตามวรรคสองเกิดขึ้น ให้คณะกรรมการกองทุนแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน เจ็ดวัน นับแต่วันที่นายจ้างบางรายเลิกกิจการหรือถอนตัว และจัดให้มีการชำระบัญชีกองทุนเฉพาะส่วน ทรัพย์สินของนายจ้างและลูกจ้างของนายจ้างนั้นตามวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน เมื่อได้ชำระบัญชี แล้วให้แจ้งให้นายทะเบียนทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันเสร็จการชำระบัญชี


๕๒ ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีหนังสือ ด่วน ที่ กค ๐๓๐๕/๑๐๐๗ ลงวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอหารือว่า กรณีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเลิก โดยมีมติที่ประชุมใหญ่ให้เลิก กองทุนหรือกรณีนายจ้างเลิกกิจการซึ่งเป็นผลให้กองทุนต้องเลิก โดยในข้อบังคับกองทุนไม่ได้กำหนดเงื่อนไขการ จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ในกรณีกองทุนเลิกไว้บริษัทผู้จัดการกองทุนมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องจัดสรร เงินสมทบ และผลประโยชน์ให้กับสมาชิกเต็มจำนวน หรือบริษัทฯ จะจ่ายโดยอิงตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน ข้อบังคับกองทุนในกรณีที่สมาชิกกองทุนลาออก ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดการจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ตาม จำนวนปีที่ทำงานนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๗) เห็นว่า เมื่อพิจารณาบทบัญญัติ มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ แล้ว จะเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนาที่จะ แยกหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างในกรณีลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นไว้แตกต่าง จากเหตุที่กองทุนเลิก เนื่องจากในกรณีที่กองทุนเลิก คณะกรรมการกองทุนจะต้องจัดให้มีการชำระบัญชีกองทุน ตามที่มาตรา ๒๕ วรรคสาม ได้บัญญัติไว้ ซึ่งในระหว่างการชำระบัญชีมาตรา ๒๙ วรรคสอง ก็บัญญัติให้มีการ จ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างบางส่วนก่อนก็ได้ และเมื่อชำระบัญชีแล้วให้จ่ายเงินทั้งหมดที่ค้างชำระแก่ลูกจ้างให้เสร็จ ภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันเสร็จการชำระบัญชี ส่วนรายละเอียดของหลักเกณฑ์และวิธีการในการ จ่ายเงินเมื่อกองทุนเลิกนั้นจะต้องเป็นไปตามข้อบังคับของกองทุนตามที่มาตรา ๙ (๘) บัญญัติให้ข้อบังคับของ กองทุนอย่างน้อยต้องมีรายการข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการจ่ายเงินเมื่อลูกจ้าง สิ้นสมาชิกภาพหรือเมื่อกองทุนเลิกตามมาตรา ๒๕ ดังนั้น ในกรณีที่ข้อบังคับไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาการจ่ายเงินในกรณีอื่นมาใช้ จึงไม่อาจกระทำได้เพราะเป็นกรณีที่มีความแตกต่างกันดังที่ กล่าวแล้ว การจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างในกรณีนี้จึงต้องพิจารณาตามเจตนารมณ์ในการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นสำคัญ ซึ่งเหตุผลหลักก็เพื่อประสงค์จะให้เป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน จึงถือว่าการที่นายจ้าง จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนก็เพื่อจะให้เป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้างทั้งหมด และในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ก็ได้บัญญัติให้ผู้จัดการกองทุนจัดทำรายงานแสดงยอดเงินสะสม เงินสมทบ พร้อมทั้ง ผลประโยชน์ที่ลูกจ้างแต่ละคนจะได้รับและแจ้งให้ลูกจ้างดังกล่าวทราบอย่างน้อยปีละสองครั้ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการ แจ้งยอดเงินทั้งหมดที่ลูกจ้างควรจะได้รับถ้าเลิกกองทุนในขณะนั้นอันเป็นสิ่งที่แสดงถึงเจตนารมณ์ดังกล่าวได้เป็น อย่างดี ดังนั้น เมื่อข้อบังคับของกองทุนไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการจ่ายเงิน สมทบและผลประโยชน์ให้แก่ลูกจ้างไว้ จึงเป็นข้อบังคับที่มีข้อกำหนดไม่ครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ (๘) บริษัทผู้จัดการกองทุนจึงต้องจัดสรรเงินสมทบและผลประโยชน์ให้แก่ลูกจ้างเต็มจำนวนอันเป็นการให้ประโยชน์แก่ ลูกจ้างสูงสุดเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยคำนึงถึงยอดเงินสะสม เงินสมทบ พร้อมทั้งประโยชน์ที่ลูกจ้างแต่ละคนจะได้รับและแจ้งให้ลูกจ้างทราบตามมาตรา ๑๖ (บันทึก เรื่อง ขอหารือข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่องเสร็จที่ ๘๔๖/ ๒๕๔๑)


๕๓ มาตรา ๒๖53 เมื่อกองทุนเลิกตามมาตรา ๒๕ (๑) (๒) หรือ (๓) ให้คณะกรรมการกองทุนแจ้งให้ นายทะเบียนทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่กองทุนเลิกและให้คณะกรรมการกองทุนจัดให้มีการชำระบัญชี ภายในสามสิบวัน และให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่กองทุนเลิก เว้นแต่กรณีจำเป็น นายทะเบียนจะอนุมัติให้ขยายเวลาออกไปได้ตามที่เห็นสมควร มาตรา ๒๗54 นายทะเบียน โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้เลิกกองทุนได้ในกรณี ดังต่อไปนี้ (๑) มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินงานของกองทุนขัดต่อวัตถุประสงค์ หรือขัดต่อกฎหมาย (๒) มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่ากิจการของกองทุนไม่อาจดำเนินต่อไปได้ ไม่ว่าเพราะเหตุใด เมื่อนายทะเบียนสั่งให้เลิกกองทุนตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้มีการชำระบัญชีและให้นายทะเบียน แต่งตั้งผู้ชำระบัญชี มาตรา ๒๘ เมื่อกองทุนเลิกตามมาตรา ๒๕ ให้นายทะเบียนประกาศการเลิกกองทุนใน ราชกิจจานุเบกษาและปิดประกาศไว้ที่สำนักงานของกองทุนหรือที่ทำการของนายทะเบียน มาตรา ๒๙ การชำระบัญชีกองทุนให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัดมาใช้บังคับโดยอนุโลม ในระหว่างการชำระบัญชี ถ้าผู้ชำระบัญชีเห็นสมควรจะจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างบางส่วนก่อนก็ได้ และเมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว ให้จ่ายเงินทั้งหมดที่ค้างชำระแก่ลูกจ้างให้เสร็จภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วัน เสร็จการชำระบัญชี ถ้ามีเงินเหลืออยู่ให้จัดการตามที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน ค่าใช้จ่ายและค่าตอบแทนในการชำระบัญชี ให้จ่ายจากทรัพย์สินของกองทุน ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีหนังสือ ด่วน ที่ กค ๐๓๐๕/๑๐๐๗ ลงวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอหารือว่า การนำบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้ บังคับโดยอนุโลมหมายความว่าจะต้องนำขั้นตอนทุกประการมาใช้หรือไม่นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการ ร่างกฎหมาย คณะที่ ๗) เห็นว่า การที่มาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ บัญญัติให้นำ บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วน ฯลฯ มาใช้บังคับโดยอนุโลม นั้น มิได้หมายความว่าจะต้องนำมาใช้ทั้งหมดเสมอไป การนำมาใช้โดยอนุโลมจึงย่อมมีหลักเกณฑ์ที่ว่า จะต้อง 53แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ 54แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒


๕๔ นำมาใช้โดยอาศัยหลักการอย่างเดียวกัน และย่อมเป็นไปตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะหรือสภาพ ของกิจการ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ และต้องมิใช่เรื่องที่ พระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป ส่วนในประเด็นที่ว่า การชำระบัญชีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องแต่งตั้งผู้สอบบัญชีเพื่อรับรองงบดุลเช่นเดียวกับของบริษัทจำกัดหรือไม่ หรือให้เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการกองทุนฯ แต่ละกองทุนเป็นผู้พิจารณา นั้น จะต้องพิจารณาว่า หลักการที่ จะต้องมีการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีเพื่อรับรองงบดุลนั้น เป็นหลักการที่สำคัญที่จะต้องใช้กับการเลิกกองทุนเช่นเดียวกับ กรณีการเลิกบริษัทจำกัดหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้พิจารณาได้จากบทบัญญัติมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ที่บัญญัติให้มีการสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีทุกปีเพื่อเสนองบดุลพร้อมด้วยรายงานการสอบ บัญชีดังกล่าวต่อที่ประชุมใหญ่ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีของกองทุน จากบทบัญญัติ ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีเพื่อรับรองงบดุลถือเป็นเรื่องปกติตามลักษณะของการบริหารกองทุน อยู่แล้ว ในเมื่อมีการเลิกกองทุนและมีการชำระบัญชี การตรวจสอบความถูกต้องในการชำระบัญชีโดยผู้สอบบัญชี จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญซึ่งจะต้องมีการรับรองการชำระบัญชีเป็นหลักฐานโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ ด้านนี้โดยตรง ดังนั้น ในประเด็นนี้จึงเห็นว่า จะต้องนำบทบัญญัติที่ให้มีการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีเพื่อรับรองงบดุล มาใช้บังคับแก่การชำระบัญชีของกองทุนด้วย (บันทึก เรื่อง ขอหารือข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่องเสร็จที่ ๘๔๖/ ๒๕๔๑) หมวด ๔ พนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา ๓๐ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการจัดการกองทุน ให้นายทะเบียนและพนักงาน เจ้าหน้าที่มีอำนาจ ดังต่อไปนี้ (๑) เข้าไปในสำนักงานของกองทุนหรือของผู้จัดการกองทุนเพื่อตรวจสอบกิจการสินทรัพย์และ หนี้สินของกองทุนในเวลาทำงานปกติ (๒) สั่งให้กรรมการ ผู้จัดการกองทุน หรือเจ้าหน้าที่ของกองทุนซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการ จัดการกองทุนส่งหรือแสดงบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นของกองทุน (๓) เรียกบุคคลดังกล่าวใน (๒) มาเพื่อสอบถามหรือแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดการกองทุน มาตรา ๓๑55 ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวแก่บุคคล ซึ่งเกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปตามแบบที่นายทะเบียนประกาศกำหนด 55แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒


๕๕ กฎหมายลูกบทที่เกี่ยวข้อง ประกาศนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ ๑/๒๕๔๓ เรื่อง แบบบัตรประจำตัวพนักงาน เจ้าหน้าที่ มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๗/ตอนพิเศษ ๕๙ ง/หน้า ๓๗)


๕๖ หมวด ๕ บทกำหนดโทษ มาตรา ๓๒ กองทุนใดไม่ใช้ชื่อซึ่งมีอักษรไทยว่า “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” นำหน้า และ “ซึ่งจดทะเบียนแล้ว” ต่อท้าย หรือใช้ชื่อเป็นอักษรต่างประเทศ แต่ไม่ใช้คำซึ่งมีความหมายดังกล่าวในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความหรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจของกองทุน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ห้าพันบาท มาตรา ๓๓ ผู้ใดใช้ชื่อซึ่งมีอักษรไทยประกอบว่า “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” นำหน้า และ “ซึ่งจดทะเบียนแล้ว” ต่อท้าย หรือใช้ชื่อเป็นอักษรต่างประเทศซึ่งมีความหมายดังกล่าว ในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความหรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวาง โทษปรับไม่เกินห้าพันบาท และปรับอีกไม่เกินวันละห้าร้อยบาท จนกว่าจะได้เลิกใช้ มาตรา ๓๔56 คณะกรรมการกองทุนใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ วรรคสอง มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๕ วรรคสาม หรือมาตรา ๒๖ หรือแต่งตั้งบุคคลซึ่งไม่มีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๓ เป็นผู้จัดการกองทุน ต้องระวาง โทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท มาตรา ๓๕57 ผู้จัดการกองทุนใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา ๑๒ ทวิ หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๖ มาตรา ๑๗ มาตรา ๒๓ มาตรา ๒๓/๑ มาตรา ๒๓/๒ หรือมาตรา ๒๓/๔ ต้อง ระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท มาตรา ๓๖58 (ยกเลิก) มาตรา ๓๗ นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท 56แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ 57แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘ 58ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒


๕๗ มาตรา ๓๘59 (ยกเลิก) มาตรา ๓๙60 (ยกเลิก) มาตรา ๔๐ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ขัดขวางหรือไม่ให้ ความสะดวกแก่นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๓๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ห้าพันบาท มาตรา ๔๑61 ในกรณีที่คณะกรรมการกองทุนกระทำความผิดตามมาตรา ๓๔ ถ้าการกระทำ ความผิดของคณะกรรมการกองทุนนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด หรือในกรณีที่ กรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุ ให้คณะกรรมการกองทุนนั้นกระทำความผิด กรรมการผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย เหตุผลในการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้แทนนิติบุคคลตามมาตรานี้ เนื่องมาจากการที่ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๕๔ เฉพาะในส่วน ที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับ โทษทางอาญาร่วมกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำหรือเจตนาประการใด อันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น ขัดหรือแย้งต่อมาตรา ๓๙ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บทบัญญัติมาตราดังกล่าวจึงเป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามมาตรา ๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในลักษณะ ดังกล่าวทำนองเดียวกันอีกหลายกฎหมาย คือ มาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๒๘/๔ แห่งพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙ และมาตรา ๗๒/๕ แห่งพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘ ว่า ขัดหรือแย้งต่อมาตรา ๓๙ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงเป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามมาตรา ๖ ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ดังนั้น เพื่อแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและกฎหมายอื่น 59ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ 60ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ 61แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของ ผู้แทนนิติบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๐


๕๘ ที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔๒ ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบ ได้ตามมาตรา ๓๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา คณะกรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง ให้มีจำนวนสามคนซึ่งคนหนึ่งต้องเป็นพนักงาน สอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อคณะกรรมการได้ทำการเปรียบเทียบคดีใด และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบ ภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว ให้คดีนั้นเป็นอันเลิกกัน กฎหมายลูกบทที่เกี่ยวข้อง ประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติกองทุน สำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราช กำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ (ราชกิจจา นุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๘๒ ง/หน้า ๒๕) ให้แต่งตั้งบุคคลต่อไปนี้เป็นคณะกรรมการมีอำนาจเปรียบเทียบ ความผิดตามที่ระบุในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้แก่ (๑) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่สามารถมาปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการได้ (๒) ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง หรือที่ปรึกษา (เศรษฐกร ทรงคุณวุฒิ) รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือผู้อำนวยการสำนักในสังกัดสำนักงานเศรษฐกิจการ คลัง ที่ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังมอบหมาย ในกรณีที่ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ไม่สามารถมาปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการได้ (๓) ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมายหรือ ผู้อำนวยการฝ่ายที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมายในกรณีที่ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่สามารถมาปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการได้ มาตรา ๔๓ ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้ามิได้ฟ้องต่อศาลหรือมิได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ทำการเปรียบเทียบตามมาตรา ๔๒ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบการกระทำ ความผิด หรือภายในห้าปีนับแต่วันที่กระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ป. ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี


Click to View FlipBook Version