The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผลงานในรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นเพชรบุรี สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by วัทนพร บุญเดช, 2022-02-21 22:07:20

ปริวรรตเอกสารโบราณ เรื่อง หงส์ยนต์

ผลงานในรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นเพชรบุรี สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี

Keywords: หงส์ยนต์,ปริวรรต

ปริวรรตเอกสารโบราณ
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง หงสย์ นต์

ฉบับวดั ปอ้ ม อ.เมอื ง จ.เพชรบรุ ี

นางสาวชนมน์ ิภา มที รพั ย์
นางสาวรัชนีพร ศรีวารินทร์
นางสาวสุทธดิ า ศรีสขุ
นางสาวอังคณา สขุ เอ่ียม
นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย รหัสชั้นเรียน ๕๖๔๑-๐๑/๕

ทีป่ รึกษา
อาจารย์แสนประเสรฐิ ปานเนียม

เอกสารฉบบั นเ้ี ปน็ สว่ นหนึ่งของวิชาวรรณกรรมท้องถนิ่ เพชรบุรี (๑๕๔๔๓๐๖)
สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเพชรบุรี



คำนำ

วรรณกรรมสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ (ฉบับเพชรบุรี) ฉบับนี้เป็นวรรณกรรมไทยทีแ่ ต่งขึ้นใน
สมัยโบราณ สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทรต์ อนต้น เนื่องจากคำบางคำที่พบเป็นคำ
โบราณท่ีเกดิ ขึน้ ในสมัยนน้ั มีเนือ้ หามุ่งเน้นให้ความสนกุ สนาน สอดแทรกคติธรรม และการดำเนนิ ชวี ิต
และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้วรรณกรรมสมุดข่อย เรื่องหงส์ยนต์ ยังสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมที่
เกดิ ข้ึนในสมยั นน้ั นบั วา่ เปน็ วรรณกรรมทม่ี คี ุณคา่ อกี หนึง่ เรอื่ งทีค่ วรค่าแกก่ ารเก็บรักษาไว้

คณะผู้จัดทำขอกราบขอบพระคุณอาจารย์แสนประเสริฐ ปานเนียม อาจารย์ประจำวิชา
วรรณกรรมท้องถิ่นเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ให้คำปรึกษาและชี้แนะแนวทางในการจัดทำปริวรรตสมุดข่อย
ฉบับนี้ จึงทำให้งานปริวรรตฉบับนี้ประสบผลสำเร็จไปได้ด้วยดี และการนมัสการขอบพระคุณ
เจ้าอาวาสวัดป้อม ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี ที่ให้ความเมตตานำสมุดข่อยฉบับนี้มาปริวรรตจน
เสรจ็ สมบรู ณ์

คณะผู้จัดทำ

สารบญั ข

เรื่อง หน้า
คำนำ. .ก
สารบัญ. .ข

บทนำ. .๑
ลักษณะคำประพันธ์. .๒
เน้ือเรอื่ งย่อ. .๕
คณุ ค่าของวรรณกรรม. .๗
.๗
คุณค่าด้านวรรณศลิ ป.์ .๒๓
คุณคา่ ด้านสังคม. .๓๐
หงสย์ นต์. .๙๔
ภาคผนวก.



บทนำ

วรรณกรรมสมดุ ข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ (ฉบับเพชรบุรี) ฉบับนี้เป็นวรรณกรรมไทยที่แต่งขึ้นใน
สมัยโบราณ สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เนื่องจากคำบางคำที่พบ
เป็นคำโบราณที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น มีเนื้อหามุ่งเน้นให้ความสนุกสนาน สอดแทรกคติธรรม
และการดำเนนิ ชีวิต และอนื่ ๆ อีกมากมาย นอกจากนีว้ รรณกรรมสมดุ ขอ่ ย เรื่องหงส์ยนต์ ยงั สะท้อน
ใหเ้ ห็นสภาพสงั คมท่เี กดิ ขึน้ ในสมยั นั้น นับวา่ เปน็ วรรณกรรมท่ีมีคุณค่าอีกหนงึ่ เร่ือง

ต้นฉบับของวรรณกรรมฉบับนี้เป็นสมุดไทยขาว มีขนาดความกว้าง ๑๑.๕ ซ.ม.
ความยาว ๓๕.๘ ซ.ม. เขยี นด้วยหมึกสีดำ ในหน่งึ หน้ากระดาษของหน้าตน้ เขียนทั้งหมด ๑๐ บรรทัด
สว่ นในหน้าปลาย เขียนทัง้ หมด ๑๒ บรรทัด รปู แบบการเขยี นมลี ักษณะเขียนจากด้านซา้ ยไปด้านขวา
ทุกหน้า วรรณกรรมสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ แต่งเป็นคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานี ๑๑
กาพย์ฉบับ ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ มีจำนวนหน้าทั้งสิ้น ๕๒ หน้า(แต่เป็นฉบับไม่สมบูรณ์
เนื่องจากมีหนา้ ต้นและหน้าปลายบางส่วนขาดหายไป และบางส่วนชำรุดเสียหาย) ปัจจุบันสมุดข่อย
เรื่อง หงส์ยนต์ เก็บรักษาอยู่ที่วัดป้อม ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี เมื่อพิจารณาจากลักษณะของ
ตวั อกั ษรและลกั ษณะการเขียนการสะกดคำแลว้ สันนิษฐานว่า ฉบับท่ีไดป้ รวิ รรตฉบบั นีน้ ่าจะเป็นฉบับ
คัดลอกโดยสังเกตได้จากถ้อยคำ การเว้นวรรคตอน และลักษณะคำประพันธ์บางบทมีสัมผัสไม่ตรง
ฉนั ทลกั ษณ์ บางบทมกี ารคัดตก แตย่ งั คงมีความไพเราะ

เนอื้ หาทีป่ รากฏในสมุดข่อย เร่อื งหงสย์ นต์ (ฉบบั เพชรบรุ )ี แสดงให้เห็นว่าผู้แต่งวรรณกรรม
เรื่อง หงส์ยนต์ ต้องการสั่งสอนประชาชนให้รู้จักการประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสม
ตามขนบธรรมเนียมประเพณี โดยนำเสนอเนื้อเรื่องผ่านบทร้อยกรองที่เรียงร้อยกันผูกเป็นเรื่องราวที่
ให้ความสนุกสนานแกอ่ า่ นเปน็ อยา่ งมาก



ลักษณะคำประพันธ์

วรรณกรรมสมุดข่อยเร่ือง หงส์ยนต์(ฉบับเพชรบุรี) เป็นวรรณกรรมประเภทกลอนสวด ซึ่งประกอบด้วย
คำประพนั ธ์กาพย์ ๓ ประเภท คอื กาพยย์ านี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ มีรายละเอยี ดดังน้ี

๑. กาพยย์ านี ๑๑
วราภรณ์ บำรุงกุล (๒๕๔๒ : ๙๙) กล่าวไวว้ ่า กาพยย์ านี หน่งึ บทมี ๒ บาท เรียกบาทเอกและ
บาทโท แต่ละบาทมี ๒ วรรค วรรคหน้ามี ๕ คำ วรรคหลังมี ๖ คำ หนึ่งบาทมี ๑๑ คำ(การเรียกช่ือ
กาพย์ยานี ๑๑ มาจากจำนวนคำในหนึ่งบาท) คำสุดท้ายวรรคที่ ๑ บาทที่ ๑ สัมผัสกับคำที่ ๓ ของ
วรรคท่ี ๒ บาทที่ ๑ และคำสดุ ท้ายวรรคท่ี ๒ บาทท่ี ๑ สัมผัสกบั คำสุดท้ายวรรคที่ ๑ บาทท่ี ๒

ตวั อย่าง ขนึ้ ไมไ่ ดเ้ ป็นหลายครา
ครน้ั แลว้ กลับคนื ไป สุดปัญญาจะขน้ึ ไป
รกั หงส์เปน็ นักหนา เทพอยู่บนเขาดลใจ
แตข่ นึ้ ไปหลายคน ขึ้นไม่ได้หวั ลงมา
ใหก้ ลวั ตวั ส่นั ไป
(หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุร)ี

๒. กาพย์ฉบงั ๑๖
วราภรณ์ บำรุงกุล (๒๕๔๒ : ๑๐๐) กลา่ วว่า กาพย์นมี้ ีชือ่ ว่า ฉบำ หรอื บางทเี ขียนเลข ๑๖ ไว้

ขา้ งหนา้ เพราะกาพยน์ ้ี มีคำ ๑๖ คำ ในหนึ่งบท แบง่ เปน็ ๓ วรรค วรรคแรกมี ๖ คำ วรรคทสี่ องมี ๔
คำ และวรรคท่สี ามมี ๖ คำ



ตวั อย่าง เห็นพระจมุ พล
รอ่ นอย่ใู นกลางเวหน บอกทา้ วเบญจา
ชักยนต์อยู่บนเวหา
(หงสย์ นต์ ฉบับเพชรบรุ )ี
พระองค์จงึ รอ้ งลงมา
ตัวข้าใช่ลูกปโุ รหิต

๓. กาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘

มะเนาะ ยูเด็น และวันเนาว์ ยูเด็น (๒๕๔๘: ๗๖) ได้กล่าวไว้ว่า ฉันทลักษณ์ของ
กาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ ๑ บท มี ๗ วรรค วรรคละ ๔ พยางค์ รวม ๑ บท มี ๒๘ พยางค์ มสี มั ผสั บังคับ

คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ สัมผัสกับคำ
สุดท้ายของวรรคท่ี ๕ คำสุดทา้ ยของวรรคที่ ๔ สมั ผัสกับคำท่ี ๒ ของวรรคท่ี ๕ คำสุดท้ายของวรรคที่
๕ สัมผัสกับคำสดุ ท้ายของวรรคที่ ๖ และคำสุดท้ายของวรรคที่ ๗ สง่ สมั ผัสระหว่างบทไปยังคำสุดท้าย

ของวรรคที่ ๓ หรือ ๕ ของบทถัดไป กาพย์สุรางคนางค์ ได้ชื่อว่าสุรางคนางค์ ๒๘ เพราะ จำนวน
พยางคใ์ น ๑ บท มี ๒๘ พยางค์



ตวั อย่าง

คอยพระภูธร เย็นลงรอนรอน
มืดค่ำลงแล้ว จนเขา้ สนธยา
มาถึงลูกยา นางแกว้ เมยี อา
ไว้ในกลางไพร
นวลนางเทวี
เจา้ กลัวสงิ หส์ ตั ว์ เทีย่ งคนื ราตรี
ครวญครำ่ รำ่ ไร
แตก่ นั แสงให้ ทใ่ี นชฏั ไพร
อย่รู ิมพฤกษา

(หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบรุ )ี



เน้อื เรือ่ งย่อ

เนื้อเรื่องส่วนต้นของวรรณกรรมสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ ฉบับที่ได้ศึกษานี้ได้ขาดหายไป
ผู้ศึกษาจึงไม่สามารถทราบเนือ้ หาดังกล่าวได้ แต่เนื่องจากเนือ้ หาส่วนที่ปรากฏได้เล่ายอ้ นกลับไปถงึ
เรือ่ งในอดีตบางส่วน ผ้ศู กึ ษาจงึ จะขอกล่าวถึงเน้อื เร่อื งหงส์ยนต์ในสว่ นท่ีขาดหายไปในตอนต้นเพื่อให้
ผู้อ่านได้เข้าในเนื้อเรื่องหงส์ยนต์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งได้รับฟังเรื่องดังกล่าวมาจากอาจารย์ที่ปรึกษา
วชิ าคติชน อาจารยแ์ สนประเสรฐิ ปานเนยี ม ดงั ตอ่ ไปน้ี

เมอื งไพรจิตมกี ษัตริย์ครองเมืองช่ือท้าวอาทติ ย์ มีมเหสีช่อื นางแก้วสัจจามีสนมมากมายแต่ไม่
มีโอรส ท้าวอาทิตย์กับนางแก้วสัจจาและนางสนมจึงไปบวงสรวงขอโอรสแต่ก็ไม่มีใครได้โอรส ต่อมา
นางแก้วสัจจาฝนั วา่ พระอินทร์เอาดวงแก้วมาสง่ ให้นาง นางชมดวงแกว้ อยไู่ ด้ไมน่ านก็หลุดลอยไปท่ีอื่น
แลว้ ได้ลอยกลับมาหานางอีกครั้ง พรอ้ มกับดอกไมแ้ ละดวงดาว พอรุ่งเชา้ นางแกว้ สจั จากเ็ ขา้ เฝา้ โหรก็
ทำนายว่าจะได้โอรสแต่ต้องพลัดพรากจากบา้ นเมืองและจะกลับพรอ้ มกับฉายาและโอรส ต่อมานาง
แก้วสัจจาประสูติโอรสชื่อว่าสุวรรณทกุมาร สุวรรณทกุมาอายุได้ ๑๖ ปีท้าวอาทิตย์จะให้ครองเมือง
แลว้ กม็ ีกษัตริย์ต่าง ๆ ส่งพระราชธดิ ามาให้สวุ รรณทกุมารเลือกแต่ไม่พอใจนายชา่ ง สร้างหงยนต์แล้ว
นำมาถวายท้าวอาทิตย์สุวรรณทกุมารเห็นจึงทูลขอหงส์ยนต์เพื่อไปศึกษาความรู้ตามธรรมเนียมของ
โอรสแล้วเดนิ ทางไปเรื่อย ๆ จนไปถงึ เมอื งอดุ ร

เนื้อเรือ่ งส่วนต้นที่ขาดหน้าไปก็สิ้นสุดเพียงเท่าน้ี ต่อไปจะกล่าวถงึ เนื้อเร่ืองที่ปรากฏในสมดุ
ขอ่ ยหงสย์ นต์ทน่ี ำมาปรวิ รรต ดังนี้

เมืองอุดรมีกษัตริยช์ ื่อท้าวเบญจา มีพระราชธิดาชื่อนางปทุมเกสร มีปุโรหิตชื่อวัณพราหมณ์
สุวรรณทกุมารสนพระทัยในความรู้ของวัณพราหมณ์จึงฝากตัวไปเรียนเมื่อเรียนจนจบความรู้แล้ว
วัณพราหมณเ์ อาเขา้ ไปถวายให้กับท้าวเบญจา เมอ่ื ไปถวายตัวแลว้ สุวรรณทกมุ ารกไ็ ดเ้ จอกับปทุมเกสร
ก็ได้แอบรักใครช่ อบคอกนั ก็จบหนา้ ตน้ เพยี งเทา่ น้ี

จนในที่สุดไดต้ ัง้ ครรภ์ ท้าวเบญจาจึงสงสัยจึงทำอุบาย จึงจับได้ว่าสุวรรณทกุมารลักลอบเข้า
หาประทมุ เกสรจึงสัง่ ให้เพชฌฆาตไปประหาร สุวรรณทกมุ ารกอ็ อกอุบายกับเพชฌฆาตวา่ หงส์ยนต์อยู่
บนต้นไม้ถา้ อยากได้ให้ไปเอา เพชฌฆาตก็ขึน้ ไปเอาแต่เอาไม่ได้ สุวรรณทกุมารก็เลยขน้ึ ไปเอาหงยนต์
เมื่อได้หงส์ยนต์มาแลว้ ก็มาบินวนรอบเมียงเข้าทา้ วเบญจา แล้วก็เอาหงส์ยนต์มารับปทุมเกสรแล้วมุ่ง
หน้ากลบั เมืองของตัวเอง ระหวา่ งน้นั นางปทมุ เกสรเจ็บทอ้ งคลอดก็เลยต้องเอาหงส์ยนต์มาจอดกลาง
ป่า พอคลอดแล้วต้องการผิงไฟ สุวรรณทกุมารก็เลยไปหาฝืนมาให้ผิง ไปหาฝืนได้มาจากเรือสำเภา
ขณะท่เี ดินทางกลับไปไฟไดไ้ หมห้ งส์ยนต์ หงส์ยนตแ์ ละสุวรรณทกุมารก็เลยตกลงไปในทะเล สุวรรณท
กุมารว่ายน้ำอยหู่ ลายวันมเี รือสำเภามาชว่ ยตกลงไปในทะเล นางปทมุ เกสรรอสุวรรณทกุมารอยู่ ๗ วัน
ท่ีใต้ต้นกฤษณา เม่อื ไม่เห็นมาเกดิ เปน็ ห่วงจึงออกไปตามหา ทง้ิ ลกู ไวใ้ ต้ต้นกฤษณา ระหว่างตามหาท้าว
พรหมทัตเสด็จประพาสป่ามาพบเข้าจึงเก็บเอาลูกของนางปทุมเกสรไปเสี้ยงจนโต นางประทุมเกสร
กลบั มาไมพ่ บลกู แตเ่ ห็นรอยเทา้ คน จึงเดินตามรอยเท้าไป ไปเจอตากบั ยาย กเ็ ลยไปอยู่กบั ตายายร้อย
พวงมาลยั มาถวายทา้ วพรหมทัต จนในที่สดุ แลว้ ทา้ วพรหมทตั ใหโ้ อรสกฤษณาเลือกคู่กไ็ ม่ยอมเลือกใคร
จนในที่สุดก็มาเลือกแม่ของตัวเอง พอมาเลือกแม่ของตัวเองคือนางปทุมเกสร กฤษณาก็จะเข้าหาแม่



ของตวั เอง พวก หมา แมว แพะ ก็ร้องบอกวา่ ถ้าหยุดกินนมลูกมนั จะไปเอาแม่ ก็เลยคุยกันในที่สุดก็รู้
ว่าเป็นแม่ของตวั เองแตก่ ็อยู่แบบนนั้ เพอ่ื ไม่ให้พอ่ เลย้ี งตวั เองรูว้ า่ เปน็ แมข่ องตวั เอง

เรอ่ื งราวในสมดุ ข่อยที่ปรวิ รรตก็จบเพียงเทา่ น้ี แตท่ ั้งนเี้ พอ่ื ความสมบรู ณข์ องเรอ่ื งราวจงึ จะขอ
อธิบายเพิ่มเติมตามทไ่ี ด้รบั ฟังอาจารย์ที่ปรกึ ษาได้เลา่ ให้ฟังดงั น้ี

มีเรือสำเภาแล่นค้าขายเห็นหงส์ยนต์ถูกไฟไหม้อยู่กลางทะเลพ่อค้าจึงนำไปถวายท้าว
พรหมทัตพร้อมกับของบรรณาการอื่น ๆ นางปทุมเกสรพบหงยนต์ จำได้จึงจำได้ จึงให้พระโอรส
กฤษณาสรา้ งศาลาเป็นท่พี ักแก่คนเดนิ ทางพรอ้ มทง้ั ให้ ข้าวปลาอาหาร และวาดภาพเรื่องราวของนาง
กับกฤษณาตั้งแต่ตน้ จนจบไว้ที่ศาลาให้คนที่มาพักอาศัยไดอ้ า่ นกัน เรือสำเภาที่ไดช้ ่วยสุวรรณทกุมาร
ได้มาคา้ ขายที่เมืองพาราณสี สุวรรณทกุมารจงึ ได้ข้นึ จากเรอื มาตามหาชายาและพระโอรส ได้เดินทาง
มาพักที่ศาลาจงึ ได้อา่ นเรอื่ งราวทั้งหมดจึงร้องไห้ คนเฝ้าศาลาเห็นจงึ นำตวั ไปถวายพระโอรส สวุ รรณท
กุมารจึงได้พบกับชายาและโอรส สามกษัตริย์จึงได้ปรึกษากันวา่ จะกลับเมืองไพรจิตนครจึงเขียนเลา่
หนงั สอื ความจริงใหท้ า้ วพรหมทัตทราบ และสญั ญาว่าจะกลบั มาหาท้าวพรหมทตั อกี เม่ือกลบั ถึงเมือง
ไพรจิตท้าวอาทิตย์กับนางแก้วสัจจาจัดให้มีพิธีรับขวัญสุวรรณทกุมาร นางประทุมเกสร และโอรส
กฤษณา ให้สุวรรณทกุมารกับนางประทุมเกสรครองเมือง แล้วนางประทุมเกสรมีโอรสอีกองค์หนึ่ง
ชอื่ วา่ ปทมุ กมุ ารหลงั จากน้นั มีลูกคนที่สอง ตอ่ มาไม่นานท้าวอาทิตยแ์ ละนางแกว้ สัจจา สวรรคตทำพิธี
เสร็จแล้ว กฤษณาก็ทูลลาไปเฝ้าท้าวพรหมทัต ท้าวพรหมทัตจึงให้ครองเมอื งพาราณสีและใหอ้ ภิเษก
สมรสกับพระราชนัดดาของพระองค์ ต่อมาไม่นานท้าวพรหมทัตกับนางสุมณฑาก็สวรรคต ฝ่ายเมือง
อุดรเมื่อท้าวเบญจาสวรรคตก็ไม่มีผู้ใดครองเมือง สุวรรณทกุมารจึงให้ปทุมกุมารครองเมืองอุดร
สวุ รรณทกุมาร ปทุมเกสรครองเมืองของพ่อแมต่ วั เอง กฤษณาครองเมืองของพอ่ เลี้ยง ปทุมกุมารครอง
เมืองเบญจา

เร่ืองก็จบบรบิ รู ณแื ต่เพยี งเทา่ นี้



คณุ คา่ ด้านวรรณศลิ ป์

วรรณกรรมจากสมดุ ข่อย เร่ืองหงสย์ นต์ ฉบบั เพชรบุรี มีการใช้ภาษาทีส่ วยงามและสละสลวย
มีการใช้ศิลปะการเรยี บเรยี งถ้อยคำใหเ้ กิดสุนทรียรส ทำใหผ้ ูอ้ า่ น ผู้ฟงั เกดิ อารมณ์ความรู้สึกและเห็น
ภาพตามกวี ซ่ึงมรี ายละเอียดตา่ งๆ ดังนี้

กลวิธีการประพันธ์
กลวิธีการประพันธ์ คือ การเรียบเรียงและเลือกสรรถ้อยคำทำให้เกิดความไพเราะงดงาม

ซึ่งแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความสามารถของกวี วรรณกรรมเรือ่ งหงส์ยนต์ ฉบบั เพชรบุรี มีกลวิธีการประพันธ์
ปรากฏ ดังนี้

การสรรคำ
การสรรคำ คือ การเรยี บเรียงเลอื กสรรถอ้ ยคำใหเ้ กดิ ความไพเราะงดงาม

1. การใช้คำซำ้
การใช้คำซ้ำ คือ การนำคำที่มีตัวสะกดและความหมายเหมือนกันมาใช้ซ้ำๆ ในท่ี
ใกลๆ้ กนั เพ่ือย้ำความหมายของคำให้หนกั แนน่ มากข้นึ หรือเพ่อื ให้เกดิ ความไพเราะ ดังตวั อยา่ ง

แลดลู กู ยา ท้งั สองกษัตรา
เรง่ เหลียวชะแง้ นำ้ ตาลามไหล
แลดทู า้ วไท เร่งแลเร่งไกล
ปา่ นนจ้ี ะถงึ ไหน

(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบุร)ี

ลกู อินลูกจนั หมากดกู หมากดนั
ทเุ รียนมังคุด สารพนั ก่ายกอง
ลูกหว้าลูกพลอง ละมดุ เนอื งนอง

พระเกบ็ เอามา
(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบรุ ี)

ใจนอ้ งครำ่ ครวญ โอ้ดอกลำดวน
ใจน้องเป็นทกุ ข์ ครวญหาสายใจ
ทุกขถ์ ึงภูวไนย
ในอกหมกไหม้ ไมเ่ ห็นจมุ พล



รา้ งแลว้ มาหา่ ง เหน็ ดอกรกั ร้าง
หนใดได้พบ หา่ งนอ้ งกลางหน
พ้นจากผัวตน พบพระจมุ พล
ตนไม่สบาย
เศรา้ สรอ้ ยคอยเปล่า เหน็ โศกโศกเศร้า
หายไปไกลไกล เปลา่ ใจใจหาย
สายใจใจหาย ไกลแล้วนะฤๅสาย
หายไปไม่มา
หลงอยู่ในดง โอ้ดอกกาหลง
หนา้ นอ้ งหมองไหม้ ดงไม้กฤษณา
หาผัวผัวขา้ ไมเ่ ห็นภูวไนยนอ้ งไหค้ รวญหา
ขา้ ไมพ่ บเลย
นกหกจบั หางไหล
วายภุ ักษ์จับสุพรรณ (หงสย์ นต์ฉบับเพชรบรุ ี)

กะลงิ จับกาหลง หงสย์ นต์จับไม้กะทงั หนั
หมู่แกจบั พุงแก นกเขาขนั คาคบั แค
กาจับปรงเซ็งแซ่
นกกระเรียนมาเวียนร้อง นกคับแคจบั แคทราย
นกแก้วจับแกว้ กลาย นกยงู ทองบินผันผาย
แล้วผนั ผายบนิ ไปมา
ทง้ิ ทดู จบั ทง้ิ ถอ่ น แลว้ บินว่อนขนึ้ เวหา
กาจับต้นตมู กา หมนู่ กคลาจับโคคลาน
นกกาเหว่าจับกระวาน
นกเปล้าจบั ก่ิงเปล้า เขาขานจับคนั ทรง
นางนวลจับอยูน่ าน เสยี งกกึ ก้องในทอ้ งดง
ทีใ่ นดงหมิ วันต์
โพระดกจับโพร้อง
สาลิกาจบั กาหลง นกกระทาปกั แล้วขนั ขาน
นกนวลจนั ทร์จับจนั นอน
นกกวักจับนางกวัก นกกะลางแลสลอน
อัญชนั จับชิงชนั อยเู่ รยี งเรยี งเคยี งคูก่ ัน
มาจบั เชยพนมสวรรค์
นกยางจบั ยอดยาง มีในชน้ั อรญั วา
จับเคลา้ แล้วเขา้ นอน มาจบั โกวดิ ารา
จบั พฤกษาอยู่ไสว
หมนู่ กพญาเสวย
รำแพนจบั รำพัน (หงส์ยนต์ฉบับเพชรบรุ ี)

มีหมกู่ ุลาโห
ปกั ษีมีนานา



เหน็ ตน้ เตา่ รา้ ง ……(ขาดหาย)……..
เหมือนร้างห่างเจา้ ร้างไว้เอกา
โอพ้ ระราชา คเู่ คลา้ เมยี อา
ป่านน้เี ปน็ ไฉน

(หงสย์ นต์ฉบับเพชรบรุ )ี

2. การใชว้ ลีซ้ำ
การใชว้ ลซี ำ้ คือ การใชว้ ลเี ดียวกันซำ้ หลายๆ ครง้ั เพ่ือเน้นความใหเ้ ห็นกิริยาอาการ
และความรู้สกึ ดงั ตัวอยา่ ง

ชัยยะชยั ยะเสดจ็ จะได้ สวัสดมี ชี ัย
โพยภยั อย่าไดม้ าตอ้ งพาน ศิลปศาสตร์เชย่ี วชาญ
ไปเรียนศิลปไ์ ชย
ชัยยะชยั ยะพระกมุ าร ช่วยค้มุ รักษา
หม่มู ารใหอ้ ัปราชัย

ชยั ยะชยั ยะจงว่องไว
ให้ได้ดั่งความปรารถนา

ชัยยะชัยยะหม่เู ทวา

ลูกยาจะไปเรยี นศิลป์ไชย

ชยั ยะชัยยะพระนรินทร์ เจา้ จะไปเรียนศิลป์
ได้แลว้ ภูมนิ ทร์ จงกลับคืนมา ผกู มัน่ ขึ้นไป
ลกู ท้าวถวายพร
ชยั ยะชัยยะหมู่นาคา ให้พรเนอื งเนอื ง

นาคาจงชว่ ยอวยพร (หงส์ยนต์ฉบบั เพชรบุรี)
ชัยยะชยั ยะไกรศร

สิ้นทั้งรอ้ ยเอ็ดเมือง
ชยั ยะชัยยะพระบญุ เรือง

ขอใหบ้ ุญเรอื นจงมีชัย

ทุกขถ์ งึ มเหสี ทุกขถ์ ึงชนนี
ทกุ ขถ์ ึงราชบตุ ร ทุกขถ์ งึ บิดา
รกั สดุ เสนห่ า
ทุกขถ์ งึ อาตมา
คดิ นา่ ใจหาย

(หงส์ยนตฉ์ บบั เพชรบุรี)

๑๐

3. การใช้คำซอ้ น
การใช้คำซ้อน เป็นการนำคำที่มีความหมายเหมือนกัน คล้ายกัน หรือประเภท

เดียวกันมาเรียงซ้อนกัน เมื่อซ้อนคำแลว้ ทำให้เกิดความหมายใหม่ข้นึ แต่ยังคงเค้าความหมายเดิมอยู่
วรรณกรรมเร่ืองหงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี มคี ำซ้อนปรากฏดังน้ี

ก. ซ้อนเพื่อความหมาย คือ การนำคำที่มีความหมายเหมือนกันหรือไปในทำนอง
เดยี วกนั มาซ้อนกัน เพือ่ เน้นยำ้ ความหมายใหห้ นกั แนน่ ย่งิ ขน้ึ ดงั ตัวอยา่ ง

คำนึงถงึ นาง วา่ ยพลางครวญพลาง
เจา้ จะคอยท่า
พระร่ำร้องไห้ กบั ลกู สายใจ
ว่ามาหาไฟ
อยใู่ นกลางชล

(หงส์ยนต์ฉบบั เพชรบุร)ี

มาช่วยปอ้ งกัน ฝูงปลาท้งั นั้น
หอ้ มลอ้ มทรงธรรม์ แหง่ พระโฉมฉาย
กลัวพระโฉมฉาย ป้องกนั ปลารา้ ย

เจ้าจะตกใจ
(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบุร)ี

นวลนางเทวี เทีย่ งคนื ราตรี
ครวญครำ่ ร่ำไร
เจา้ กลัวสิงหส์ ตั ว์
แต่กันแสงไห้ ทใ่ี นชฏั ไพร
อยู่รมิ พฤกษา

(หงส์ยนตฉ์ บบั เพชรบรุ )ี

หมายกะเกณฑ์ทกุ หมวด แปดตำรวจเร่งตรวจตรา
กรมชา้ งกรมม้า กองอาชาผู้กลา้ หาญ

(หงส์ยนต์ฉบับเพชรบรุ ี)

ข. ซ้อนเพื่อเสียง คือ การนำคำที่มีเสียงคล้องจองและมีความหมายสัมพันธ์กันมา
ซ้อนกัน เพ่อื ให้มจี ังหวะและไพเราะมากขึ้น ดงั ตวั อยา่ ง

กรมวังตง้ั กระบวน เกณฑ์ถ่ถี ้วนงามเฉดิ ฉาย
ตำรวจทัง้ ส่ีนาย
แหห่ นา้ ชา้ งพระราชา
(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบรุ ี)

๑๑

ฟังพระโฉมฉาย จงึ นางทง้ั หลาย
กำนัลทั้งหลาย รำ่ ไรโศกา
กราบกราน บาทา ฟูมฟายนำ้ ตา
โศการ่ำไร

(หงสย์ นต์ฉบับเพชรบุร)ี

โพระดกจบั โพรอ้ ง เสยี งกึกก้องในท้องดง
สาลกิ าจับกาหลง ท่ใี นดงหมิ วนั ต์

(หงส์ยนต์ฉบับเพชรบุร)ี

4. การใช้คำหลาก
การใช้คำหลาก คือ การใช้คำที่มีความหมายเดียวกันในที่ใกล้เคียงกันหรือใช้ในคำ
ประพนั ธบ์ ทเดยี วกนั ดังตัวอย่าง

ออกจากเวยี งชยั พระชกั ยนตไ์ ป
ชักหงสย์ นต์ ไป ไปบนเวหา
พระชักหงส์ยนต์ ถึงป่าไพรสณฑ์

ร่อน ลงในไพร
(หงส์ยนตฉ์ บบั เพชรบรุ ี)

ฟงั พระโฉมฉาย จงึ นางทง้ั หลาย
รำ่ ไรโศกา
กำนัลทัง้ หลาย
กราบกราน บาทา ฟมู ฟายนำ้ ตา
โศการ่ำไร

(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบุรี)

การเล่นเสยี ง
การเล่นเสียงเป็นกลวิธีการประพันธ์ที่กวีเลือกถ้อยคำที่มีเสียงหรอื คำพิเศษกวา่ ปกติเพื่อให้
เกิดจังหวะและทำนองทไี่ พเราะนา่ ฟงั วรรณกรรมเรอื่ งหงสย์ นต์ ฉบับเพชรบุรี ปรากฏดังนี้

1. การเลน่ เสยี งสัมผัสพยญั ชนะ
การเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ คือ การใช้เสียงพยัญชนะที่มีเสียงเดียวกันในท่ี

ใกล้เคยี งกนั เพ่อื ทำใหบ้ ทกวีมคี วามไพเราะมากขน้ึ ไดแ้ ก่

๑๒

ก. คู่ คอื การใชพ้ ยญั ชนะตัวเดียวกนั หรอื เสียงคกู่ นั เรียงกัน 2 คำ ดงั ตวั อยา่ ง

กระวานกานพลู ตน้ เทพทารู
เรียบเรยี งเคยี งอยู่
ในดงพงพี จุกกระรูหินี
กบั เนระพูสี
มากมหี ลายพนั ธุ์

(หงส์ยนตฉ์ บบั เพชรบุร)ี

โฉมลำเพาพาล เจา้ สุวรรณทกุมาร
พระผู้หนมุ่ เหน้า ลกู รักราชา
จึงพระลกู ยา ขึ้นเฝา้ บดิ า

ทลู ขอหงส์ยนต์
(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบุรี)

เงาะงนุ่ โดยระดาด ปรงิ ปรางลางสาด
ระกำส้มลำไย ขวดิ ขวาดดาษดา
พระเกบ็ เอามา เฟืองไฟนานา
ใสใ่ นหงสท์ อง

(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบุรี)

ข. เทยี บคู่ คือ การใช้พยัญชนะตัวเดียวกันหรอื เสียงคูก่ นั เรียงกนั 3 คำ ดงั ตวั อยา่ ง

แกว้ ก่มุ กระท่มุ วัน กระถนิ อินจนั
พมุ เรียงเรียงราย
โยทะกากาหลง เหียงหันคันทรง
ทชี่ ายแดนดง
ในดงพงพี

(หงส์ยนต์ฉบบั เพชรบรุ ี)

คิดมาก็น่าสรวล ด้วยนิ่มนวลนางอรทยั
มองเห็นอยแู่ ววแวว ประสมแลว้ กผ็ ดิ ไป

ไม่พอใจรว่ มคิด (หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบรุ ี)
วา่ แล้วก็แล้วไป
...(ขาดหาย)..กะไรได้
ส้นิ สงสยั ไม่มีทุกข์

(หงสย์ นต์ฉบับเพชรบุรี)

๑๓

พระพกั ตร์นวลบ่เศร้า คลาคลงึ เคลา้ สโมสร
น้องข้าได้แนบนอน ดงั จันทรเคียงสุริยา

(หงสย์ นต์ฉบับเพชรบุร)ี

ค. เทียมรถ คือ การใช้พยัญชนะตัวเดียวกันหรือเสียงคล้ายกัน เรียงกัน 4 คำ

ดงั ตวั อยา่ ง สมเด็จท้าวไท หยุดในปา่ ไม้
ดังตัวอยา่ ง ชมพรรณพฤกษา
ดังตวั อยา่ ง เลยี บเรียงระรัง
สลา้ งกลางปา่ ยูงยางนานา
เห็นมาพึงชม

(หงส์ยนต์ฉบบั เพชรบุรี)

ง. เทียบรถ คือ การใช้พยัญชนะตัวเดียวกันหรือเสียงคล้ายกัน เรียงกัน 5 คำ

นกหกจบั หางไหล หงส์ยนต์จับไม้กะทงั หนั
วายุภกั ษจ์ บั สุพรรณ นกเขาขนั คาคับแค

(หงสย์ นต์ฉบับเพชรบรุ )ี

จ. ทบคู่ คือ การใช้พยัญชนะตัวเดียวกันหรือเสียงคู่กัน เรียงกันเป็นคู่ 2 คู่

กาเหย่ียวเฉีย่ วกิน เงอื กงัวบวั บนิ
นกกะมินโกญจา
นางนวลนกพรกิ
เอยี งอายหายมา จับจิกพฤกษา
โผผาหากัน

(หงส์ยนต์ฉบับเพชรบรุ ี)

เมน่ หมีสิงหราช ชมสตั วจ์ ตั ุบาท
หมหู มสี หี ์สงิ ห์
ฟานกวางวางมา เผน่ ผาดดาษดา
โคกระทงิ เลยี งผา
ในปา่ พนาลี

(หงส์ยนต์ฉบบั เพชรบุรี)

๑๔

จ. แทรกคู่ คือ การใชพ้ ยญั ชนะตัวเดยี วกนั หรอื เสียงคู่กนั เรียงกนั 2 คำ หรือ 3 คำ
โดยมีพยัญชนะอื่นคน่ั กลาง 1 คำ ดังตวั อย่าง

คำนึงถึงภบู าล ใหพ้ ลงุ่ พล่านดงั เพลิงลน
สไบเจา้ เคยทรง
ตกจากองค์ไมร่ ตู้ ัว
(หงสย์ นตฉ์ บับเพชรบุร)ี

2. การเลน่ เสยี งสมั ผสั สระ
การเล่นเสียงสัมผัสสระ คือ การใช้เสียงสัมผัสสระท่ีมีเสียงเดียวกันในท่ีใกล้เคียงกัน

เพื่อทำใหบ้ ทกวีมีความไพเราะย่ิงขนึ้ ไดแ้ ก่
ก. เคียง คอื การใชส้ ระเดียวกัน เรียงกัน 2 คำ ดงั ตวั อย่าง

ถงึ เทพไท จะกล่าวบทไป
เหน็ เจา้ พลีการ อายรุ กั ษา
แตง่ องคล์ งมา
รับเครือ่ งบชู า
สนทนาพาที

(หงส์ยนตฉ์ บบั เพชรบุร)ี

รปู ร่างสะคราญ นางหนง่ึ นงั่ รา้ น
เหน็ พระจอมจกั ร ขายพานขายผ้า
เชิญเจ้าเข้ามา ร้องทกั ราชา
นง่ั เลน่ สำราญ

(หงสย์ นต์ฉบับเพชรบรุ ี)

ขนมผิงตั้งเตา นางคนหน่งึ เล่า
ปรั่งเปร่งเครง่ ครดั น้อยจ้อยสงสาร
เชญิ พระภูบาล พ่งึ กำดัดพาน

มาร้านกอ่ นรา
(หงส์ยนตฉ์ บบั เพชรบรุ )ี

ข. เทยี บเคยี ง คือ การใช้สระเดยี วกัน เรยี งกนั 3 คำ ดงั ตัวอย่าง

สาวสาวชาวรา้ น

เห็นพระภบู าล พศิ วาสอาลยั

สาวสาวงามงาม เลน่ ตามเจา้ ไป

จะด่วนไปไหน หยุดนั่งก่อนรา

(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบุรี)

๑๕

จะนอนบ่ห่อนได้ รอ้ นดังไฟมาสุมขอน
คิดถงึ พระภธู ร ถอนใจใหญ่ไม่เจรจา

(หงส์ยนตฉ์ บับเพชรบรุ )ี

ค. ทบเคยี ง คอื การใช้สระเดียวกัน เรียงกนั เปน็ ค่ๆู ดงั ตัวอย่าง

เห็นพระภบู าล สาวสาวชาวรา้ น
สาวสาวงามงาม
จะด่วนไปไหน พศิ วาสอาลัย
เลน่ ตามเจา้ ไป
เอนนอนถอนใจใหญ่
เคลมิ้ ไปไมร่ ูต้ ัว หยุดนง่ั ก่อนรา
(หงสย์ นต์ฉบับเพชรบรุ )ี

นางอรทัยเจา้ เมามวั

มัวคิดถงึ คำนงึ ใน
(หงสย์ นต์ฉบับเพชรบุรี)

ง. แทรกเคยี ง คือ การใชส้ ระเดียวกัน 2 คำ โดยมสี ระอ่นื คน่ั กลาง 1 คำ ดงั ตัวอยา่ ง

จะนอนบ่ห่อนได้ ร้อนดงั ไฟมาสมุ ขอน
คดิ ถงึ พระภูธร ถอนใจใหญไ่ มเ่ จรจา

(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบรุ )ี

รำพงึ คะนงึ นัก ดว้ ยความรกั พระราชา
รำจวนคร่ำครวญหา
ไมร่ ู้ว่าอยแู่ ห่งไร
(หงส์ยนตฉ์ บบั เพชรบุรี)

ลีลาการประพันธ์
ลีลาการประพันธ์ คือ ชั้นเชิงในการแต่งคำประพนั ธ์ ซึ่งมุ่งให้เกิดอารมณ์ความรู้สกึ แก่ผ้อู ่าน

ผฟู้ งั วรรณกรรมเร่อื งหงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี มลี ลี าการประพันธ์ปรากฏ ดังน้ี

เสาวรสจนี
เสาวรสจนี คือ การแต่งคำประพันธ์ให้มีเนื้อความทำนองชมความงามของตัวละครสำคัญ
รวมถงึ ความงามของธรรมชาติ ดังตัวอยา่ ง

ดวงหนา้ คือวงเดือน ใครจะเหมอื นในโลกี
รูปทรงนางเทวี ยิ่งนารเี มอื งสวรรค์

๑๖

รูปรา่ งอยา่ งนิมิต ช้นั ดสุ ติ ไม่เทียมทนั
พระกรของเจ้าน้นั คอื ด่ังงวงไอยรา

พระโอษฐ์คือชาตแิ ต้ม เมอ่ื ย้มิ แย้มเจรจา
พระเนตรท้งั ซ้ายขวา ดง่ั ในตามฤคี

ขนตาเจ้างามงอน ดงั เกสรประทมุ ศรี
พระปรางค์นางเทวี งามมศี รดี ั่งปรางคท์ อง

เต้านมเจ้าครัดเคร่ง งามปลั่งเปล่งอยทู่ ง้ั สอง
นอ้ งเอย๋ ตูมตั้งดงั บัวทอง งามเรืองรองรจนา

เกศาเจา้ ดำขลับ คอื แมงทับปกี ภุมรา
คิ้วโก่งสุดหางตา หน้าเปน็ นวลยวนใจชาย

(หงสย์ นต์ฉบับเพชรบรุ )ี

พิโรธวาทัง
พิโรธวาทัง คือ การแต่งบทประพันธ์ให้มเี นื้อความทำนองแสดงความเคืองแคน้ ตัดพ้อต่อวา่
เสยี ดสเี หน็บแนม ประชดประชัน หรอื เยาะเยย้ ดังตวั อยา่ ง

เพชฌฆาตฟงั ท้าวว่า รอ้ งขึน้ มาด้วยเร็วไว
มิลงมาหรอื ไร กจู ะโค่นตน้ ไมล้ ง

พระฟงั เพชฌฆาตวา่ รอ้ งลงมาด้วยใจจง
สูโค่นตน้ ไมล้ ง ………(ขาดหาย)………
อกผะผา่ ว คอื อัคคี
เพชฌฆาตได้ฟังทา้ ว
จะคิดอ่านประการใด
ตวั เราสน้ิ ท้ังน้ี ..........(ขาดหาย)........
บัดน้ปี ล่อยนักโทษ
..........(ขาดหาย)........
ชาวเราใหโ้ ง่เหลอื จะคิดอ่านประการใด
พวกเราท้งั น้ไี ซร้ จะบรรลยั ดว้ ยอาชญา

.........(ขาดหาย)............ ตัวของเราน่ีแหละหนา
ชาวเราอาอย่าร้อนใจ
คนนงึ จงึ ว่าเรา
จะทลู ท้าวราชา (หงสย์ นตฉ์ บับเพชรบุร)ี

สลั ลาปังคพิไสย

สัลลาปงั คพิไสย คอื การแต่งบทประพนั ธใ์ หม้ เี นื้อความทำนองคร่ำครวญ คะนงึ หา หรอื รำพนั
ถึงบุคคลอนั เปน็ ทีร่ กั เม่ือยามพรากจากกัน หรือเม่อื ไม่สมปรารถนา ดังตวั อยา่ ง

ฟงั พระโฉมฉาย ๑๗
กำนลั ทง้ั หลาย
กราบกรานบาทา จึงนางทงั้ หลาย
รำ่ ไรโศกา
ดังอกจะคราก ฟมู ฟายนำ้ ตา
เคยอยู่เป็นสุข โศการ่ำไร
แตน่ ม้ี ไิ ด้
พระเจา้ ไปจาก
จะพึ่งบญุ ใคร ปร่ิมจะม้วยบรรลยั
พระคณุ พระเจา้ ไมม่ ที กุ ข์ภยั
สบื ไปเมอ่ื หนา้ เห็นทา้ วแล้วนา

เจา้ จะท้ิงนอ้ ง โอแ้ ตน่ ีไ้ ป
กำนัลซา้ ยขวา เหมอื นพระราชา
จะพง่ึ บญุ ใคร ปกเกลา้ เกศา
จะพง่ึ บุญใคร
สุดเสยี งเมยี แล้ว
เห็นแตต่ ้นไม้ โอพ้ ่อรม่ โพธิท์ อง
หาพระราชา ไปเสียอยา่ งไร
...(ขาดหาย)...นำ้ ตาไหล
ใจน้องครำ่ ครวญ เหมอื นพระราชา
ใจนอ้ งเป็นทกุ ข์
ในอกหมกไหม้ (หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบรุ )ี

รา้ งแลว้ มาหา่ ง โอพ้ อ่ ดวงแก้ว
หนใดได้พบ เจ้าฟายนำ้ ตา
พ้นจากผัวตน นางไห้ครวญหา
ในปา่ พงไพร

โอด้ อกลำดวน
ครวญหาสายใจ
ทกุ ข์ถึงภวู ไนย
ไม่เหน็ จมุ พล

เหน็ ดอกรกั ร้าง
ห่างนอ้ งกลางหน
พบพระจุมพล
ตนไม่สบาย

เศร้าสรอ้ ยคอยเปล่า ๑๘
หายไปไกลไกล
สายใจใจหาย เหน็ โศกโศกเศรา้
เปลา่ ใจใจหาย
เจา้ มิได้เสวย ไกลแล้วนะฤๅสาย
นำ้ นมแม่เอย๋ หายไปไม่มา
ปา่ นนลี้ กู ยา
(หงส์ยนต์ฉบบั เพชรบรุ )ี
เห็นต้นลำดวน โอ้พระลูกเอย๋
เหน็ ตน้ โศกเศร้า นมพระมารดา
รำ่ พลางทางไห้ เรง่ ไหลออกมา
จะเสวยนมใคร
เห็นต้นเต่ารา้ ง
เหมอื นร้างห่างเจา้ เดนิ พลางทางครวญ
โอพ้ ระราชา รัญจวนพระทยั
เปลี่ยวเปลา่ หัวใจ
น้ำตาไหลตก แข็งใจเดินมา
นกพรากจากคู่
จากอกเมียไป ……(ขาดหาย)…..
ร้างไว้เอกา
เหมอื นเมียมาจาก คู่เคล้าเมยี อา
พลดั พรากจากผัว ป่านน้เี ปน็ ไฉน
อยู่ในไพรเขยี ว
เหน็ แต่เนอ้ื นก
ใหร้ ักพงั งา คดิ ถงึ ภูวไนย
โอก้ รรมแล้วแล เหมอื นจากภวู ไนย
นางทอดตวั ตาย แตต่ นคนเดียว

เหน็ นกจากพราก
ไม่...(ขาดหาย)...เหลียว
แต่ตัวคนเดยี ว
คนเดยี ววงั เวง

(หงสย์ นตฉ์ บับเพชรบรุ )ี

เมอ่ื นนั้ นางฉายา
เพยี งจะขาดใจตาย
แคล้วแมม่ าหาย
ใตร้ ม่ พฤกษา

๑๙

ไมเ่ หน็ ลกู แกว้ พลัดจากผวั แลว้
บัดนีล้ ูกชาย ค่อยคลายวิญญา
ชะรอยเวรา
มาหายในป่า
เล่าได้ทำไว้

จากอกแม่แลว้ โอ้พระลูกแก้ว
แมร่ ้องไหห้ า ที่กลางพงไพร
เจา้ เพ่ือนเข็ญใจ
เพียงเลอื ดตาไหล
จากอกมารดา

มาไดเ้ จด็ วัน เจ้าออกจากครรภ์
จากลูกจากผัว เปน็ กรรมเวรา
แลว้ แก้วกลั ยา โอต้ ัวกอู า
โศกาสลบไป

(หงส์ยนต์ฉบบั เพชรบุรี)

ภาพพจน์
การใช้ภาพพจน์ เป็นการใช้ถ้อยคำที่ทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเกิดมโนภาพ เกิดจินตนาการ

ถ่ายทอดอารมณ์ ทำให้มีความรู้สึกร่วมตรงตามความปรารถนาของกวี ภาพพจน์ที่ปรากฏใน
วรรณกรรมเรอ่ื งหงส์ยนต์ ฉบับเพชรบรุ ี มีดังน้ี

อุปมา

อปุ มาเปน็ ภาพพจน์ทเ่ี ปรียบเทียบส่งิ หนงึ่ กบั ส่งิ หน่งึ ท่โี ดยธรรมชาติแลว้ มีสภาพที่แตกต่างกัน
มักใชค้ ำว่า เหมอื น ราวกับ เปรยี บ ดจุ ดัง ดั่ง เฉก เช่น เพียง ประหนง่ึ ปิ้ม เป็นตน้ ดังตวั อยา่ ง

จะนอนบห่ อ่ นได้ ร้อนดังไฟมาสมุ ขอน
คดิ ถึงพระภูธร ถอนใจใหญ่ไม่เจรจา

(หงส์ยนต์ฉบับเพชรบรุ ี)

คำนึงถงึ ภูบาล ใหพ้ ล่งุ พลา่ นดังเพลงิ ลน
สไบเจ้าเคยทรง ตกจากองค์ไม่รู้ตวั

(หงสย์ นตฉ์ บับเพชรบรุ ี)

รูปรา่ งอยา่ งนิมติ ชน้ั ดุสิตไมเ่ ทียมทัน
พระกรของเจา้ นั้น
คอื ด่ังงวงไอยรา
(หงสย์ นตฉ์ บับเพชรบุรี)

๒๐

เหมอื นคนเป็นฝี โอต้ ัวกวู ่า
ชายคนหนึ่งเล่า เจ็บปวดหนกั หนา
ยิงซำ้ จำฆ่า จงึ เอาปืนยา
ปิม้ มาบรรลยั

(หงสย์ นตฉ์ บับเพชรบุร)ี

ร่างอยา่ งเทพอัปสร ในแผน่ ยงั ดนิ ดอน
บ่หอ่ นจะเปรียบอรทยั (หงส์ยนต์ฉบับเพชรบรุ )ี

นางนาฏเพยี งจะขาดใจตาย กลิ้งเกลอื กเสอื กไป
อรทัยไมเ่ ปน็ สมประดี (หงส์ยนตฉ์ บบั เพชรบุรี)

อปุ ลักษณ์
อุปลักษณ์เป็นภาพพจนท์ ่ีนำเอาสิ่งท่ีแตกต่างกัน 2 สิ่ง โดยเปรียบเทียบวา่ สิ่งหนึ่งเป็นอกี สิ่ง
หน่ึงโดยตรง แตค่ วามหมายจะลกึ ซึ้งกวา่ อปุ มา มักมีคำว่า เปน็ เทา่ คอื ดังตวั อยา่ ง

เจา้ ประทุมเกสร แมแ่ พแ้ นน่ อน
เห็นแลว้ นางงาม
เดินพลางทางให้ อกรอ้ นคือไฟ
เจ้าตามรอยไป
เพชฌฆาตได้ฟงั ทา้ ว รำ่ ไรเดนิ มา
ตัวเราส้นิ ทง้ั นี้
(หงสย์ นต์ฉบับเพชรบุรี)
อกผะผา่ วคืออคั คี

จะคิดอา่ นประการใด
(หงส์ยนตฉ์ บับเพชรบรุ )ี

กล่าวมาให้ปรากฏ คอื หน่งึ มดกนิ น้ำตาล
อดได้ใครจ่ ะปาน .........(ขาดหาย).........

(หงส์ยนต์ฉบบั เพชรบรุ ี)

ตัวเจา้ คอื ศาลา พช่ี ายมาขออาศยั
ท้าวน้องอย่าตัดใจ ให้อาศยั ดว้ ยสมพอง
องค์ตวั พีค่ อื หงส์ทอง
ตวั เจ้าคือสระศรี
บ่ายหน้ามาหานอ้ ง ตวั หงสท์ องอันพอใจ
(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบุรี)

๒๑

ดวงหน้าคอื วงเดอื น ใครจะเหมือนในโลกี
ตายด้วยม้วยเป็นผี พ่จี ะอยูเ่ ป็นคคู่ รอง

(หงส์ยนตฉ์ บบั เพชรบรุ )ี

ขอ้ สังเกต* บางวรรคมีคำวา่ เป็น คือ แตถ่ า้ ไมไ่ ด้เกดิ จากการเปรยี บเทียบสิ่ง 2 สิง่ ถือว่าไม่ใช่
อปุ ลกั ษณ์

อตพิ จน์

อติพจน์เปน็ ภาพพจนซ์ ึ่งมีข้อความท่ีกลา่ วเกนิ ความจรงิ กวใี ช้ถ้อยคำเพ่อื เนน้ ย้ำความรู้สึกให้
ชัดเจนขึ้น ดงั ตัวอยา่ ง

รปู รา่ งอยา่ งนมิ ิต ช้นั ดสุ ิตไมเ่ ทียมทนั
พระกรของเจา้ นัน้ คือด่ังงวงไอยรา

(หงส์ยนตฉ์ บับเพชรบรุ ี)

สญั ลกั ษณ์
สัญลักษณ์เป็นภาพพจน์ที่ใช้สิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เป็นตัวแทนหรือสิ่งแทนของอีกสิ่งหน่ึง
ดังตวั อยา่ ง

สองสมเชยชมชดิ รว่ มสนิทเสนห่ า
ยยี วนป่วนไปมา ด่ังคงคาอนั ลามไหล

เม่ือตอ้ งพายพุ ัด คล่นื ซดั ครืนเครงไป
ครืนครนั้ อยหู่ วนั่ ไหว กระทบฝ่งั อยูว่ ังเวง

พระพายชายพดั ตอ้ งเป็นทอ้ งอยูค่ รืน้ เครง
ครั้นแล้วกห็ ายเอง ทง้ั สองเจ้าไกลฤดี

(หงสย์ นต์ฉบบั เพชรบรุ ี)

กระบวนจนิ ตภาพ

กระบวนจินตภาพเป็นวิธีการสร้างภาพขึ้นในใจ กวีเลือกสรรถ้อยคำเป็นพิเศษ เพื่อถ่ายทอด
อารมณ์ ความรู้สึก แบง่ เปน็ 3 ดา้ น ได้แก่ ดา้ นภาพ ด้านเสยี ง และดา้ นการเคล่ือนไหว ในวรรณกรรม
เรือ่ งหงสย์ นต์ ฉบับเพชรบุรี ปรากฏกระบวนจนิ ตภาพ ดังนี้

ด้านภาพ ดังตัวอยา่ ง ไปสง่ั กใู หม้ าหา
หลบั ตากรนบนเตยี งนอน
ใครหนอช่างแสนรู้
มาแลว้ ทำมารยา

๒๒

หลับจรงิ หรอื ทำเล่น แลไปเหน็ อยรู่ อนรอน
ครน้ั แล้วทำยิ้มย่อง แลว้ ชกั ผ้าคลมุ หัวนอน

(หงส์ยนต์ฉบับเพชรบุร)ี

ดา้ นการเคลอื่ นไหว ดงั ตวั อย่าง พระชมฝูงนก
บา้ งรอ้ งขานขนั
ผกโผนโหนหก
พิราบขาบค่มุ อลี ุม้ อัญชนั
โผผาหากัน ในอรัญวา

กาเหยีย่ วเฉ่ียวกิน เงือกงัวบวั บนิ
นางนวลนกพรกิ นกกะมินโกญจา
เอยี งอายหายมา จบั จิกพฤกษา

โผผาหากัน
(หงสย์ นตฉ์ บบั เพชรบรุ )ี

นางนาฏเพยี งจะขาดใจตาย กล้ิงเกลอื กเสอื กไป
อรทยั ไมเ่ ปน็ สมประดี (หงสย์ นตฉ์ บับเพชรบรุ )ี

นอกจากนี้ วรรณกรรมเรื่องหงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี ยังใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย สละสลวย
ตรงไปตรงมา ทำให้ผู้อา่ นหรอื ผู้ฟงั เขา้ ถงึ อารมณ์ความร้สู ึกของกวไี ด้มากขน้ึ ดงั ตัวอย่าง

ปะนางคนโอ่ ถงึ ร้านตน้ โพธิ์
นมโตเหลอื ใจ
แกลง้ เปดิ ผ้าหม่
ชวนเข้าห้องใน อวดนมทา้ วไท
โปรดน้องกอ่ นลา

(หงส์ยนตฉ์ บบั เพชรบรุ )ี

ใครหนอช่างแสนรู้ ไปสั่งกใู ห้มาหา

มาแลว้ ทำมารยา หลบั ตากรนบนเตยี งนอน
หลบั จรงิ หรือทำเล่น แลไปเหน็ อยู่รอนรอน
แลว้ ชักผ้าคลุมหัวนอน
คร้ันแล้วทำยิม้ ย่อง
(หงสย์ นตฉ์ บับเพชรบุรี)

๒๓

คณุ คา่ ดา้ นสังคม
วรรณกรรมจากสมดุ ข่อย เรอ่ื ง หงส์ยนต์ (ฉบับเพชรบุรี) เปน็ วรรณกรรมที่สะทอ้ นคุณค่าทาง

ปัญญา อันเกิดจากความรู้ ความคิด คติธรรม โลกทัศน์ ความเชื่อที่สอดแทรกในเนื้อเรื่อง สามารถ
พิจารณาคุณค่าดา้ นสงั คม ไดด้ งั ต่อไปน้ี

๑. สะท้อนความเชือ่ ในสงั คม
วรรณกรรมจากสมดุ ขอ่ ย เร่ือง หงสย์ นต์ (ฉบับเพชรบุร)ี นบั เป็นวรรณกรรมท่ีสะทอ้ นความเช่ือ
ในสงั คมไวอ้ ยา่ งมากมาย ซึง่ ผูศ้ กึ ษาไดน้ ำมาอธบิ ายไว้ดงั นี้

๑.๑ สะทอ้ นความเชอ่ื เรอื่ งกรรม
วรรณกรรมจากสมดุ ข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี สะท้อนความเช่ือเรื่องเวรกรรมไว้ใน
ตอนที่นางประทุมเกสรออกไปตามสุวรรณทกุมารแต่ไม่พบ จึงเดินทางกลับมาหาลูกที่ทิ้งไว้ใต้ต้น

กฤษณาแตก่ ลับมาไม่พบ จงึ ครำ่ ครวญโสกาโทษว่าเป็นเวรกรรม ดังคำประพันธ์ตอ่ ไปนี้

มาได้เจ็ดวัน เจา้ ออกจากครรภ์
จากลกู จากผวั เปน็ กรรมเวรา
แลว้ แกว้ กลั ยา โอต้ วั กอู า

โศกาสลบไป
(หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบรุ ี)

๑.๒ สะทอ้ นความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์
วรรณกรรมสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี สะท้อนความเชื่อเรื่องการท่องคาถาปัด

เป่าบรรเทาความเจ็บปวดไวใ้ นตอนที่ นางประทุมเกสรเจ็บทอ้ งคลอด ด้วยความกลัวว่าประทุมเกสร
จะเป็นอันตราย สุวรรณทกุมารจึงท่องคาถาปดั เป่าให้นางประทุมเกสรคลายความเจ็บปวด คลอดลูก

ได้อย่างปลอดภยั ดงั คำประพันธต์ ่อไปน้ี

เมยี รักเจ็บหนกั ราชา ชว่ ยเมียด้วยรา
กลงิ้ เกลือกเสือกไป
อย่าให้เมียมว้ ยบรรลยั ตกใจใชก่ ด็ ี
นางนาฏเพียงจะขาดใจตาย จงึ อา่ นคาถา
เปา่ ลงทนั ใจ
อรทยั ไม่เป็นสมประดี
เมอ่ื น้นั จงึ พระภูมี

กลวั เทวจี ะมรณา

พระคิดในใจราชา
วา่ สะเดาะทันใจ

สามคาบเจ็ดคาบฉับไว
ทใ่ี นพระเกตเุ กศา

๒๔

เดชะคณุ พระศาสดา ปกเกล้าเกศา
ป้องกันอยา่ ใหอ้ นั ตราย ออกมาง่ายดาย

ยามปลอดคลอดลกู ชาย (หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบรุ ี)
เป็นชายกง็ ามโสภา

๑.๓ สะท้อนความเชอ่ื เรอื่ งสงิ่ ศักดิส์ ทิ ธ์ิ

วรรณกรรมสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี สะท้อนความเชื่อเรื่องการเคารพสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ในตอนที่ นางประทุมเกสรฝากลูกไว้ใต้ต้นกฤษณา นางจึงกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาที่

รักษาป่าเขา ให้ปกปักรักษาลูกกฤษณาอย่าให้เกิดอันตราย ซึ่งมนุษย์มีความเชื่อว่าเมื่ออยู่ในป่าสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจได้คือเทวดาที่สถิตอยู่ในป่า เมื่อเข้าป่าจึงกราบไหว้บูชาเพื่อเป็นการ
เคารพและขอใหเ้ ทวดาคุ้มครอง ดังคำประพนั ธ์ตอ่ ไปน้ี

นวลนางน้องแก้ว ครัน้ ว่าหลับแล้ว
จึงยอกรไหว้
ขอฝากผู้บังอร เจ้าบทจร
เทพไท้สงิ ขร
ลูกขา้ ด้วยรา

ท่ีต้นพระไทร ขอฝากเจ้าไว้
ขอฝากลกู ไว้ จงได้เมตตา
จงช่วยรกั ษา ใต้ตน้ กฤษณา
อยา่ ให้อันตราย

(หงสย์ นต์ ฉบบั เพชรบุรี)

๑.๔ สะทอ้ นความเชอื่ เรื่องการดฤู กษ์ยาม
วรรณกรรมสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี สะท้อนความเชื่อเรื่องการดูฤกษ์ยามใน

ตอนที่ ท้าวพรหมทตั จะเดินทางเสด็จประพาสปา่ จงึ ใหโ้ หราดฤู กษย์ ามก่อนการเดนิ ทางเสด็จประพาส

ป่า แสดงให้เห็นว่าคนไทยมีความเชือ่ เรื่องการดูฤกษ์ยาม คือการหาวัน และช่วงเวลาที่เหมาะสม ใน
การกระทำการงานตา่ งๆ เพ่อื ให้ส่ิงน้ันสำเรจ็ ลุล่วง ผ่านไปอยา่ งราบร่ืน ดงั คำประพันธต์ อ่ ไปน้ี

บัดนั้นท้าวพรหมทัต โองการตรัสแกโ่ หรา
พรุ่งนจี้ ะยาตรา ดูฤกษล์ าให้จงดี

จงึ ตามโหราผูเ้ ฒา่ ก้มกราบกล่าวทูลภมู ี
ยกไปในพรุง่ นี้ จะมลี าภอันพงึ ใจ

๒๕

เม่ือนัน้ พระราชา ฟงั โหรามาทลู ไข

สงั่ แก่เสนาใน พรุ่งนไ้ี ซรจ้ ะยาตรา

(หงสย์ นต์ ฉบบั เพชรบุรี)

๑.๕ สะทอ้ นความเชอื่ เรื่องการบวงสรวงเทวดา

วรรณกรรมสมดุ ขอ่ ย เร่ือง หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี สะทอ้ นความเชือ่ เรื่องการบวงสรวงเทวดา

ในตอนที่ สุวรรณทกุมารนำหงสย์ นต์ขึ้นไปไวบ้ นต้นไม้ จึงจัดของบวงสรวงเทวดาที่ปกปกั รักษาต้นไม้

ให้รักษาหงส์ยนต์ ขออย่าให้เกิดอันตราย แสดงให้เห็นว่าคนไทยมีความเชือ่ เรื่องการบวงสรวงเทวดา

และส่งิ ศักด์ิสทิ ธ์ิ เพอ่ื ให้ส่ิงศักดสิ์ ิทธ์ิคุ้มครองใหป้ ลอดภัยจากอนั ตรายทงั้ ปวง ดงั คำประพนั ธต์ อ่ ไปนี้

ต้นไม้น้ไี ซร้ พระคดิ ในใจ
จะเปน็ วมิ าน สูงใหญส่ าขา
คิดแล้วเจ้าฟ้า อารักษ์เทวา

บวงสรวงพระทัย

มีถว้ นทกุ ประการ โภชนาอาหาร
ในท้องหงสน์ ัน้ เอามาใส่ใจ
เอามาทนั ใจ สารพันมใี น

แต่งเครอื่ งพลีการ

เอาเครื่องออกมา จงึ พระราชา
เดชะเทวา บูชาด้วยพลัน
มาชว่ ยป้องกัน
อยา่ ให้มอี นั -
ตรายเลยหนา
(หงสย์ นต์ ฉบับเพชรบุรี)

๑.๖ สะทอ้ นความเชอื่ เรอ่ื งการทำขวัญ
วรรณกรรมสมุดขอ่ ย เรอ่ื ง หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี สะท้อนความเชอ่ื เรือ่ งการทำขวัญในตอน

ที่ ท้าวพรหมทัตรับกฤษณาเป็นลูกบุญธรรม เมื่อพาเข้ามาในวังได้มีการทำขวัญให้แก่กฤษณา ดังคำ
ประพนั ธ์ตอ่ ไปนี้

ปอ้ นข้าววันละสามชาม แลว้ อาบน้ำวนั ละหน
เมือ่ นน้ั พระจมุ พล ทำขวญั พระกุมาร
ทรามบังอรมทิ ันนาน
ขวัญแลว้ จงึ ใหพ้ ร ชื่อทรงฤทธ์กิ ฤษณา
ให้นามพระภบู าล
(หงสย์ นต์ ฉบบั เพชรบรุ ี)

๒๖

๒. สะทอ้ นวิถชี วี ิตความเปน็ อยใู่ นสงั คม
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี สะท้อนวถิ ีชีวิตความเป็นอยู่ในสงั คม

ทั้งความเป็นอยขู่ องสามญั ชน และความเป็นอยขู่ องชนช้ันสงู วรรณกรรมจากสมุดขอ่ ย เร่ือง หงส์ยนต์
ฉบับเพชรบุรี นับเป็นวรรณกรรมไทยที่สะท้อนวัฒนธรรมความเปน็ อยขู่ องผ้คู นในสมัยกอ่ น ดังนี้

๒.๑ สะทอ้ นวิถีชวี ิตความเปน็ อยูข่ องสามญั ชน

๒.๑.๑ สะทอ้ นวถิ ีชวี ิตความเปน็ อยู่ของสามญั ชนด้านการประกอบอาชีพค้าขายไว้

ในตอนท่ี สุวรรณทกมุ ารเดินทางไปในตลาด ดงั บทประพนั ธต์ ่อไปน้ี

เจา้ คอยลนิ ลาศ

มาถงึ ตลาด เหน็ นางท้ังปวง

น่งั รา้ นเดียรดาษ ในท้องตลาดหลวง

ขายของท้ังปวง ตา่ งตา่ งนานา

รปู ร่างสะคราญ นางหนงึ่ นัง่ ร้าน
เหน็ พระจอมจกั ร ขายพานขายผ้า
เชญิ เจ้าเขา้ มา รอ้ งทักราชา
นัง่ เลน่ สำราญ

ขนมผิงตั้งเตา นางคนหนึง่ เลา่
ปร่งั เปรง่ เครง่ ครัด น้อยจอ้ ยสงสาร
เชญิ พระภูบาล พ่ึงกำดัดพาน
มารา้ นกอ่ นรา

(หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุร)ี

๒.๑.๒ สะท้อนวถิ ีชีวิตความเปน็ อยขู่ องสามญั ชนด้านการร้อยมาลัยถวายในวงั โดย
รบั รางวลั เปน็ สิง่ ตอบแทน ดังคำประพนั ธ์ต่อไปนี้

ครนั้ ว่าเมอ่ื รงุ่ เช้า จึงยายเฒ่าเก็บดอกไม้
เคยรอ้ ยพวงมาลัย เข้าไปถวายทกุ วันวาน
รับดอกไม้มาด้วยพลัน
เม่อื นน้ั นางหน่อไท ตัวดีฉันจะรอ้ ยแทน
วา่ แม่แก่งกงนั

๒๗

แล้วจึงเอาไปถวาย ตวั แม่ยายเห็นไมแ่ คลน
รางวัลเป็นอนั แม่น นางร้อยแทนยายมาลา

(หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบรุ )ี

๒.๒ สะท้อนวถิ ชี วี ิตความเปน็ อยู่ของชนชน้ั สงู
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี สะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชน
ช้ันสงู ไว้ ดงั น้ี

๒.๒.๑ การแตง่ กายของกษตั รยิ ์

วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบุรี สะท้อนให้เห็นถึงการแต่งกาย
ของกษัตริย์ในสมัยนั้น ในตอนท่ี ท้าวพรหมทัตแต่งตัวก่อนเดนิ ทางเสด็จประพาสป่าไดม้ กี ารกล่าวถึง
การแต่งกายไว้ ดังคำประพนั ธต์ อ่ ไปน้ี

ทางสรงสุคนธา ทรงภูษางามบรรจง

เครอื่ งประดบั สำหรับองค์ ทรงสงั วาลตระการตา
ทับทรวงแลกณุ ฑล อันเลศิ ล้นงามพอตา
ประดับด้วยแก้วมณี
กรรเจียกทง้ั ซ้ายขวา อนั บรรจงงามมีศรี
เข้าทเ่ี สวยโภชนา
สอดใส่ธำมรงค์
เสรจ็ แลว้ พระภูมี (หงสย์ นต์ ฉบบั เพชรบุรี)

๒.๒.๒ การศกึ ษาวชิ าความรขู้ องกษัตรยิ ์

วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรือ่ ง หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบรุ ี สะทอ้ นให้เหน็ ถึงการศึกษาวิชา
ความรู้ของกษัตริย์ในสมัยนั้น ในตอนท่ี สุวรรณทกุมารไปศึกษาหาความรู้กับพราหมณ์เฒ่าชื่อวัณ

แสดงให้เห็นถึงการศึกษาเล่าเรียนของกษัตริย์สมัยก่อนที่ต้องไปศึกษาหาวิชาความรู้จากพราหมณ์
เรียนวิชาอาคม คัมภรี พ์ ระเวทหรือไตรเพท สรณาคมน์ ดังคำประพันธ์ต่อไปนี้

เรียนศิลปศาสตร์

ปัญญาสามารถ จำได้ขึ้นใจ

วิทยาอาคม อดุ มเลศิ ไกร

เรียนได้ข้นึ ใจ จำได้มนั่ คง

เรียนจบไตรเพท จึงพระภูเบศ
เรยี นไดเ้ ท่าไร มไิ ดล้ ืมหลง
ปัญญาพระองค์ จำได้มน่ั คง
เลศิ ล้ำโลกา

๒๘

พราหมณ์เฒ่าบอกให้ จะเรยี นส่ิงไร
เรยี นจบครบครัน สิ้นพงุ สน้ิ ทา่
เรียนพระคาถา สารพนั วชิ า
จบสรณาคมน์

เจ้ามีปญั ญา วรรณพราหมณ์จงึ วา่
จบชนิ วิทยา เลิศลำ้ อุดม
ปัญญาอุดม จบสรณาคมน์
จะใหแ้ ทนตวั

(หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบรุ )ี

๒.๒.๓ การจัดกระบวนเสด็จพยหุ ยาตรา

วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ สะท้อนให้เห็นถึงการจัดกระบวนเสด็จ
พยุหยาตราที่มีมาแต่โบราณ ไวใ้ นตอนท่ี ทา้ วพรหมทัตเสด็จประพาสปา่ โดยมีการจดั เตรียมกระบวน
เสด็จ ดังบทประพนั ธ์ตอ่ ไปนี้

จึงส่ังแกเ่ สนา เรว็ อย่าช้าพระทรามวยั

กะเกณฑ์พลไกร เราจะไปพนาลี
ให้พรอ้ มในสามวัน เร่งเกณฑก์ ันให้ทนั ที
รับส่ังท้าวแล้วออกมา
เสนาและมนตรี
แปดตำรวจเรง่ ตรวจตรา
หมายกะเกณฑ์ทกุ หมวด กองอาชาผกู้ ลา้ หาญ
กรมชา้ งกรมมา้
เครอื่ งสปั ระยุทธ์ทุกประการ
ศาสตราแลอาวุธ อันชำนาญในดงดอน
ให้เกณฑ์เอาหมพู่ ราน อกี หน้าไม้ธนศู ร

หลาวแหลนและเพนชยั เป็นกองหน้าพระราชา
ล้วนกำแหงหมู่อาสา
ถวายกบั กองมอญ
เกณฑท์ หารปืนแดง รกั ษาองค.์ ..(ขาดหาย)...
เกณฑถ์ ี่ถว้ นงามเฉดิ ฉาย
ตามเสดจ็ หมรู่ าชา แหห่ น้าช้างพระราชา
กรมวังตั้งกระบวน
สายยันสกนธ์ลว้ นดารา
ตำรวจทั้งสนี่ าย ล้วนดารางามสกุ ใส

ขนุ ชา้ งแต่งช้างต้น ยอ่ มตวั ตราอาชาใน
พหู่ อ้ ยทัง้ ซา้ ยขวา มาแต่งรถมทิ ันนาน

ขุนม้าก็แตง่ ม้า
ขนุ รถเร่งรถให้

๒๙

เสรจ็ แล้วมิทนั ชา้ จงึ เสนากราบทูลสาร
เกณฑ์หมพู่ ลทหาร เสร็จแลว้ พระราชา

(หงสย์ นต์ ฉบับเพชรบรุ ี)

๒.๒.๔ การจดั งานอภเิ ษก
วรรณกรรมจากสมดุ ข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ สะท้อนให้เห็นถึงการจัดงานอภิเษกทีม่ ีมาแต่
โบราณ ไวใ้ นตอนที่ ท้าวพรหมทตั จดั พธิ อี ภิเษกให้กฤษณากับนางประทมุ เกสร ดงั บทประพันธต์ อ่ ไปนี้

ครัน้ วา่ ไดฤ้ กษด์ ี ทั้งพราหมณช์ ีพฤฒาจารย์

พร้อมกันมิทันนาน อุปภเิ ษกเจา้ สองทรามวยั

ครัน้ แล้วมทิ ันช้า ชวนกนั มาอวยพรชยั

ให้เจ้าสองทรามวัย อยูเ่ ป็นสขุ ทุกวันวาน

(หงสย์ นต์ ฉบบั เพชรบุรี)

๒.๒.๕ การแสดงมหรสพสมโภช

วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง หงส์ยนต์ สะท้อนให้เห็นถงึ การแสดงมหรสพสมโภชทีม่ ี

มาแต่โบราณ ไว้ในตอนที่ ท้าวพรหมทัตจัดพิธีอภิเษกให้กฤษณากับนางประทุมเกสร ได้จัดให้มีการ

แสดงมหรสพสมโภช ดังบทประพนั ธ์ต่อไปนี้

.........(ขาดหาย)........ สงั่ เสนาและมนตรี
ใหค้ รองพระพารา
อภเิ ษกเจ้าสองศรี เคร่ืองเล่นน้นั ทกุ ภาษา
สมโภชทง้ั เจ็ดวนั ทง้ั โขนน่ังแลฆ้องกลอง

ใหแ้ ตง่ กนั เขา้ มา ท้ังระบำแลเทพชว่ ง
ใหถ้ ี่ถ้วนทกุ ประการ
ละครแลมอญรำ
เคร่ืองเลน่ สิน้ ทง้ั ปวง (หงส์ยนต์ ฉบับเพชรบรุ ี)

๓๐

หน้าตน้

สรุ างคนางค์ 28

(ตน้ ฉบับส่วนต้นขาดหายไป)

.............(ขาดหาย)............. .............(ขาดหาย).............
จะไปป่าใหญ่ จะคิดจนิ ดา
ชมไพรพฤกษา
คิดแล้วราชา เสดจ็ ขึ้นหงส์ยนต์

ออกจากเวียงชัย2 พระชกั 1ยนต์ไป
ชักหงส์ยนต์3ไป
พระชกั หงส์ยนต์ ไปบนเวหา
ถงึ ปา่ ไพรสณฑ์
ร่อน4ลงในไพร

ตามแถวแนวปา่ พระชมพฤกษา
ตะโก5นอ้ ยหน่า6
บรรดากินได้ งอกงามไสว
พะวา7ลำไย8
ทา้ ว9เกบ็ เอามา

1 ชกั หมายถงึ ดงึ สายเชือกเป็นตน้ ทีผ่ กู อย่กู ับสิ่งใดสง่ิ หนึ่งเพอ่ื ให้สงิ่ นน้ั เคลอ่ื นไหวไปตามตอ้ งการ

2 เวยี งชัย หมายถงึ เมอื ง
3 หงสย์ นต์ คณะผูจ้ ัดทำสนั นิษฐานว่าเปน็ พาหนะเคร่อื งจกั รที่ทำใหเ้ คลื่อนที่ได้เป็นรปู หงส์หรอื ลักษณะคลา้ ยหงส์ของ

สุวรรณทกุมาร
4 รอ่ น หมายถงึ อาการของส่ิงมลี ักษณะแบนเล่ือนลอยไปหรอื มาในอากาศ

5 ตะโก หมายถึง ชื่อของตน้ ไม้ชนดิ หน่งึ เปลือกสีดำคล้ำ ผลคล้ายมะพลบั ผลเลก็ เนอื้ ไม้ใชท้ ำยาได้
6 นอ้ ยหนา่ หมายถงึ ชือ่ ไม้พุ่มหรอื ไม้ตน้ ขนาดเลก็ ดอกสเี หลอื งแกมเขยี ว ผลสีเขยี วมรี สหวาน
7 พะวา หมายถึง ช่ือของตน้ ไมช้ นิดหนึง่ เปลือกมยี างเหลือง ผลคล้ายมงั คุดขนาดยอ่ ม

8 ลำไย หมายถงึ ช่ือไม้ต้น ผลกลม รสหวาน
9 ทา้ ว หมายถงึ ผู้เปน็ ใหญ,่ พระเจา้ แผ่นดิน ในทน่ี คี้ ือ สุวรรณทกุมาร

๓๑

เงาะงุ่น13โดยระดาด14 ปรงิ 10ปราง11ลางสาด12
ระกำ18ส้ม19ลำไย ขวิด15ขวาด16ดาษดา17
พระ22เก็บเอามา เฟอื ง20ไฟ21นานา
ใส่ในหงสท์ อง
ลกู อนิ ลกู จนั 25
ทเุ รียน26มงั คดุ 27 หมากดูก23หมากดนั 24
ลกู หวา้ 29ลูกพลอง30 สารพนั ก่ายกอง
ละมดุ 28เนืองนอง
เพลา31เย็นลง พระเกบ็ เอามา
พระชกั หงส์ทอง
มาถึงพารา32 ใส่ในหงสท์ อง
ชกั หงสล์ อยลอ่ ง
บนิ บนเวหา
รอ่ นลงทนั ใจ

10 ปรงิ ในท่ีน้ีคือ มะปรงิ หมายถงึ ช่อื ของตน้ ไมช้ นดิ หนงึ่ มผี ลรบั ประทานได้
11 ปราง ในท่ีนคี้ ือ มะปราง หมายถงึ ชื่อของตน้ ไมช้ นิดหนึ่ง มผี ลรบั ประทานได้

12 ลางสาด หมายถงึ ชอื่ ตน้ ไมช้ นดิ หน่ึง ผลกลมๆ ออกเปน็ พวง กินได้ เมด็ ในขม
13 งุน่ ในท่นี ้ีหมายถงึ อง่นุ หมายถงึ ชอื่ ไมเ้ ถาชนิดหนง่ึ ผลเปน็ พวง กนิ ได้หรอื ใช้หมกั ทำเหลา้

14 โดยระดาด คณะผู้จดั ทำสนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะหมายถงึ ดารดาษ ซง่ึ มคี วามหมายวา่ มากมาย เกลอ่ื นกลาด
15 ขวิด ในท่ีนค้ี อื มะขวิด หมายถึง ชอ่ื ของตน้ ไมช้ นิดหนงึ่ มีผลรับประทานได้
16 ขวาด หมายถงึ ต้นสารภี หรอื มะระขี้นก เปน็ ตน้ ไม้ชนิดเดียวกับ พะวา

17 ดาษดา หมายถงึ มากมาย เกลื่อนกลาด
18 ระกำ หมายถงึ ช่ือปาล์มชนดิ หนึง่ ขึ้นเป็นกอ ก้านใบมหี นามแข็ง ผลมีเปลอื กเป็นเกล็ดหนามออกเป็นกระปุก กนิ ได้

19 สม้ หมายถึง ชอื่ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ ้นขนาดเล็ก ใบ ดอก และผลมตี ่อมนำ้ มนั กล่ินฉุน ผลรสเปรี้ยวหรือหวาน รับประทานได้
20 เฟอื ง ในทีน่ คี้ อื มะเฟือง หมายถงึ ช่อื ของตน้ ไม้ชนิดหนึ่ง ผลเปน็ เฟอื งๆ รสเปรย้ี วบา้ งหวานบ้าง

21 ไฟ ในท่นี ค้ี อื มะไฟ หมายถงึ ชอ่ื ของตน้ ไม้ชนดิ หน่ึง ผลกลมออกเป็นพวง รสเปรี้ยวๆ หวานๆ
22 พระ ในทน่ี ้หี มายถึง สุวรรณทกุมาร

23 หมากดูก ในที่น้ีคอื มะดูก หมายถึง ชือ่ ของต้นไมช้ นดิ หน่งึ ดอกสีเหลืองมขี ีดหรือจดุ ประสีน้ำตาลแดง ผลสุกกนิ ได้ รสหวาน
24 หมากดัน ในท่นี ้คี อื มะดนั หมายถงึ ช่อื ของต้นไมช้ นดิ หน่งึ ผลสีเขียว รสเปรี้ยวจัด กงิ่ ออ่ นใชท้ ำยา
25 ลกู อนิ ลูกจัน คอื ผลของตน้ จันอิน หมายถึง ช่อื ของต้นไม้ชนิดหน่ึง ผลสุกสเี หลือง หอม กนิ ได้, ลูกกลมแป้นกลางบุม๋ ไม่มี

เมล็ด
26 ทุเรยี น หมายถึง ชอื่ ตน้ ไม้ชนิดหนึง่ ผลเป็นพๆู มหี นามแข็งเต็มทวั่ ลกู เนือ้ มีรสหวานมนั

27 มังคุด หมายถงึ ชอ่ื ต้นไมช้ นิดหนง่ึ มีผลกลม เม่ือแก่สีแดงคล้ำ เปลอื กมรี สฝาดใช้ทำยาได้
28 ละมุด หมายถึง ชอ่ื ไมต้ น้ ผลสกุ รสหวาน กินได้

29 หว้า ชือ่ ไมต้ ้นขนาดใหญ่ ผลสุกสมี ว่ งดำ กนิ ได้
30 พลอง หมายถึง ชอ่ื ตน้ ไมช้ นิดหนึง่ เป็นไมพ้ มุ่ ขนาดกลาง ดอกออกเปน็ ชอ่ สมี ว่ งนำ้ เงนิ ผลเป็นลูกทรงกลม

31 เพลา หมายถงึ กาล คราว หรอื ปจั จบุ นั ใชว้ า่ เวลา
32 พารา หมายถึง เมอื ง

๓๒

สมเด็จพระแก้ว พระมาถงึ แล้ว
แจกใหพ้ ระสนม33 จงึ เอาผลไม้
เช้าเสด็จจกั ไป ทกุ กรม34นางใน35
เย็นเย็นกลับมา
โฉมลำเพาพาล36
พระผหู้ นุ่มเหนา้ 37 เจ้าสุวรรณทกุมาร
จึงพระลูกยา ลกู รกั ราชา
ขึ้นเฝา้ บิดา
ได้ฟังลูกยา ทูลขอหงสย์ นต์
ความรกั กุมาร39
ให้แก่จมุ พล40 เม่อื นัน้ บิดา
เจ้าทลู ยุบล38
ได้หงส์ยนต์แลว้ จึงประทานหงส์ยนต์
จะไปเรียนศลิ ป์42 สมเดจ็ ลูกยา41
บิดาและมารดา
เม่อื น้ันพระแก้ว
หน่อ43กษัตรา เจ้าจงึ ทลู ลา
โงเ่ ง่าเปลา่ อยู่ อกี ทงั้ วิทยา
ขา้ 45เฝ้าชาวใน46 ลกู จกั ลาไป

เป็นธรรมเนยี มมา
ใหร้ ู้ศลิ ป์ไชย44
ไมร่ สู้ ่งิ ไร
เขาจะนินทา

33 สนม หมายถึง ข้าราชการในราชสำนกั

34 กรม หมายถงึ ลำดบั , หมู่, กอง
35 นางใน หมายถึง สตรที ร่ี บั ราชการในราชสำนัก เชน่ สนม, กำนลั

36 เพาพาล หมายถึง หนมุ่ สาวผงู้ าม
37 หนุ่มเหน้า หมายถึง กำลังสาว, กำลงั หนมุ่
38 ยบุ ล หมายถึง ข้อความ, เรื่องราว

39 กมุ าร ในทนี่ ี้หมายถงึ สวุ รรณทกมุ าร
40 จมุ พล หมายถึง จอมพล, นายทพั , ผเู้ ปน็ ใหญ่กว่าพล

41 ลกู ยา มาจาก ลูกยาเธอ หมายถงึ คำนำหนา้ นามพระราชโอรส ในท่นี ห้ี มายถงึ สวุ รรณทกุมาร
42 ศิลป์ หมายถงึ ฝมี อื

43 หนอ่ หมายถงึ ลูก, ลกู ชาย, เชื้อสาย
44 ไชย หมายถึง ดกี ว่า, เจรญิ กวา่

45 ขา้ หมายถงึ ประชาชน, ราษฎร
46 คณะผ้จู ดั ทำสนั นษิ ฐานว่า ชาวใน หมายถึง บุคคลทีม่ ตี ำแหน่งอยภู่ ายในวัง

๓๓

ไม่รใู้ นอรรถ47 เป็นหน่อกษัตรยิ ์
เสยี แรงเปน็ ใหญ่ สิง่ ไรเลยหนา
ไมร่ วู้ ชิ า อยู่ในพารา
ศลิ ปศาสตร4์ 8สกั อนั
เรยี นศลิ ปศาสตร์
ไดแ้ ลว้ กลบั มา ขอลาพระบาท
ทัง้ สองนกั ธรรม์ วิชาแข็งขัน
พระอยา่ โศกศลั ย์
จะเดินทางบน อนุญาตลกู ยา
ได้จบครบแล้ว
บดิ ามารดา ไปดว้ ยหงส์ยนต์
อากาศเวหา
ไดฟ้ งั ลูกยา ลกู แก้ว49กลบั มา
มเิ สยี ทวี า่ อยา่ เศร้าหมองศรี
จะเรียนฤทธี
ทา้ วทงั้ สองรา
ว่าแกท่ า้ วไท50 เจ้ากลา่ ววาจา
ไปเรียนศลิ ป์ไชย กษัตราธบิ ดี
บดิ ามารดา ต่างองคก์ ษัตรา

กลา่ ววา่ จะขัด ท้งั สองทรามวัย
แต่โบราณมา พระลกู พงั งา51
ถา้ มีลกู ชาย ได้แล้วกลับมา
บัญชา52ลูกชาย

ครัน้ จะทานทัด53
พระทยั โฉมฉาย54
กษตั ราทง้ั หลาย
ใหเ้ รยี นฤทธี

47 อรรถ หมายถงึ เนอ้ื ความ

48 ศลิ ปะศาสตร์ หมายถงึ ตำราวา่ ดว้ ยวชิ าความรู้ต่างๆ
49 ลกู แกว้ ในทีน่ ห้ี มายถึง สุวรรณทกุมาร

50 ทา้ วไท หมายถงึ ผ้เู ปน็ ใหญ่
51 พงั งา หมายถงึ สวย, งาม, นางงาม

52 บัญชา หมายถึง สั่งการตามอำนาจหนา้ ที่
53 คณะผู้จัดทำสันนิษฐานว่าขอ้ ความที่ขาดหายไปน่าจะเป็นคำว่า ทาน เมอื่ นำมารวมกบั คำทมี่ ีอยู่จะไดว้ ่า ทานทดั มาจากคำ

ว่า ทดั ทาน มีความหมายวา่ กลา่ วหรอื แสดงออกเป็นทำนองหา้ มหรอื ท้วงเพอื่ ให้งดไว้
54 โฉมฉาย หมายถงึ รูปร่างงามเปลง่ ปลั่ง, รูปรา่ งงามสงา่ ผ่าเผย

๓๔

ลกู รกั สุดสวาท ทา้ วจึงอนญุ าต
จะเรียนศลิ ป์ไชย ใหไ้ ปจงดี
ได้แลว้ ...(ขาดหาย)... ตามใจภูมี55
เจ้ากลับคนื มา
พระเสาวนีย์57
ให้แตง่ 58เสบียง59 เม่ือนนั้ เทวี56
...(ขาดหาย)...นน้ั ซา้ ยขวา จึงสง่ ลงมา
ให้พระลกู ...(ขาดหาย)...
ขนมนมเนย อย่าช้าจงไว
บรรดาของแห้ง
จะไปทางไกล ให้แตง่ ของเสวย
สำหรบั ทางไกล
ขา้ วตู62ขา้ วตาก63 แตง่ ให้...(ขาดหาย)...ไท60
กงเกวยี น64ชะมด65 ไวไ้ ดช้ า้ นาน
เสร็จแล้วมินาน
แต่งท้ังเมย่ี ง61หมาก
เห็นนางสาวศรี67 ของคาวของหวาน
จะจากนางใน มรี สตระการ66
สมเดจ็ พระทอง68 บรรทุกหงส์ทอง

เมื่อนนั้ ภมู ี
พระสนมท้ังผอง
หฤทัยเศร้าหมอง
สัง่ นางทั้งหลาย

55 ภมู ี หมายถึง พระเจ้าแผ่นดนิ
56 เทวี หมายถึง เทวดาผหู้ ญงิ , นางพญา, นางกษัตรยิ ์

57 เสาวนีย์ หมายถึง คำสง่ั ของพระราชินี
58 แต่ง หมายถงึ จดั แจง
59 เสบยี ง หมายถึง อาหารทจี่ ะเอาไปกนิ ระหว่างเดนิ ทางไกล

60 คณะผ้จู ัดทำสันนิษฐานว่าข้อความท่ขี าดหายไปน่าจะเปน็ คำวา่ ทา้ ว เมื่อนำมารวมกบั คำทีม่ อี ยจู่ ะไดว้ ่า ท้าวไท ซึง่ มี

ความหมายวา่ ผูเ้ ปน็ ใหญ่

61 เมยี่ ง หมายถงึ ของกินเลน่ ทใ่ี ช้ใบไมบ้ างชนดิ เชน่ ใบชาหมัก ใบชะพลู ใบทองหลาง หอ่ เครอื่ ง มถี ัว่ ลสิ ง มะพร้าว กงุ้ แห้ง

หวั หอม ขิง เปน็ ต้น

62 ขา้ วตู หมายถงึ ข้าวตากคว่ั แล้วตำเปน็ ผงเคลา้ กบั นำ้ ตาลและมะพรา้ ว
63 ขา้ วตาก หมายถงึ ขา้ วสุกทต่ี ากแห้ง

64 กงเกวียน หมายถงึ ชอื่ ขนมชนิดหนง่ึ มรี ูปรา่ งคลา้ ยล้อเกวียน
65 ชะมด หมายถงึ ชือ่ ขนมชนิดหนึง่ ทำดว้ ยขา้ วเม่า มะพรา้ วขดู และน้ำตาล กวนใหเ้ ขา้ กัน ปนั้ เป็นก้อนกลมแบน ชบุ ดว้ ยแปง้ ข้าว

เจ้าแลว้ ทอดนำ้ มัน
66 ตระการ หมายถงึ หลากหลาย, มีตา่ งๆ

67 สาวศรี หมายถึง สาววยั รุ่น
68 สมเด็จพระทอง ในทนี่ หี้ มายถงึ สวุ รรณทกมุ าร

๓๕

อยูเ่ ถดิ สาวสรร ดูรา69กำนัล70
อยู่ปกครองกนั จะลานอ้ งโฉมฉาย
นางน้องทง้ั หลาย อย่าใหอ้ นั ตราย
ฝากไวก้ ับบิดา
ฟังพระโฉมฉาย71
กำนลั ทั้งหลาย จึงนางท้งั หลาย
กราบกราน72บาทา ร่ำไรโศกา
ฟมู ฟายนำ้ ตา
ดังอกจะคราก74 โศการำ่ ไร
เคยอยเู่ ปน็ สุข
แต่นี้มไิ ด้ พระเจ้า73ไปจาก
ปรมิ่ 75จะม้วยบรรลัย
ไมม่ ที กุ ขภ์ ัย
เห็นท้าวแล้วนา76

จะพง่ึ บญุ ใคร โอแ้ ต่นไี้ ป
พระคณุ พระเจา้ เหมอื นพระราชา77
สบื ไปเมอื่ หน้า ปกเกลา้ เกศา
จะพงึ่ บญุ ใคร

เจา้ จะท้งิ นอ้ ง โอ้พอ่ ร่มโพธ์ิทอง
กำนัลซา้ ยขวา ไปเสียอย่างไร
...(ขาดหาย)...นำ้ ตาไหล
จะพึง่ บุญใคร
เหมือนพระราชา

พระทัยไหวหวนั่ พระฟังกำนลั
พระปลอบนงเยาว์ ดว้ ยความเสน่หา
แข็งใจเดินมา อยา่ เศรา้ โศกา

จากนางสาวศรี

69 ดรู า หมายถึง คำกลา่ วเรียกผูท้ จี่ ะสนทนาดว้ ย เปน็ คำทผี่ ใู้ หญ่พูดกบั ผู้น้อย ในทนี่ ี้สุวรรณทกมุ ารพดู กับนางกำนัล
70 กำนัล หมายถึง หญงิ ชาววัง มหี นา้ ท่รี บั ใช้พระมหก่ ษตั ริย์

71 พระโฉมฉาย ในทีน่ ้ีหมายถงึ สวุ รรณทกุมาร
72 กราน ใชค้ ูก่ บั คำอื่น มคี วามหมายวา่ ทอดตวั หรือลม้ ตวั ลงราบ ในที่น้ีใชค้ ูก่ บั กราบ หมายถึง กม้ กราบราบลงกับพ้นื

73 พระเจา้ ในทนี่ ี้หมายถงึ สวุ รรณทกุมาร
74 คราก หมายถงึ ยืดขยายออกแลว้ ไมค่ ืนตวั ในท่นี คี้ ณะผจู้ ัดทำสันนิษฐานว่าอาจจะมคี วามหมายคล้าย อกจะแตก

75 คณะผจู้ ัดทำสันนษิ ฐานว่าคำทีป่ รากฏในสมุดขอ่ ย (ปีม) นา่ จะหมายถึงคำวา่ ปร่ิม ซ่ึงมคี วามหมายวา่ เสมอขอบ, เสมอพ้นื

ในทนี่ ้ี ปร่ิมมว้ ยจะบรรลัย อาจจะหมายถึง ใกล้จะตาย

76 นา หมายถึง คำบทบรู ณ์ มักใชป้ ระกอบทา้ ยคำบทรอ้ ยกรองให้มคี วามกระชบั หรือสละสลวยข้นึ
77 พระราชา ในท่นี ห้ี มายถึง สุวรรณทกมุ าร

๓๖

ทา้ วทงั้ สองรา78 เสดจ็ ไปทูลลา
บงั เกดิ ...(ขาดหาย)...
กราบบาทบิดา ผา่ นฟา้ ชนนี
ค่อยอยู่จงดี ลกู นี้ขอลา

อาทิตย์ธิราช เม่อื นั้นพระบาท
บิดามารดร นางนาฏ79...(ขาดหาย)...
กอดจบู พังงา อวยพรลกู ยา
อวยพรมหาชัย
กาพย์ฉบงั 16
สวัสดีมชี ยั
ชยั ยะชยั ยะเสด็จจะได้
โพยภยั 80อย่าไดม้ าต้องพาน81 ศิลปศาสตร์เชี่ยวชาญ

ชัยยะชัยยะพระกุมาร ไปเรียนศลิ ป์ไชย
หมู่มารใหอ้ ัปราชยั 82
ชว่ ยค้มุ รักษา
ชยั ยะชัยยะจงว่องไว
ให้ไดด้ ่ังความปรารถนา เจ้าจะไปเรยี นศิลป์

ชยั ยะชัยยะหมู่เทวา ผกู มั่นขึ้นไป
ลูกยาจะไปเรียนศลิ ป์ไชย
ลกู ทา้ วถวายพร
ชยั ยะชัยยะพระนรินทร์83
ได้แล้วภูมินทร์84จงกลบั คืนมา ใหพ้ รเนอื งเนอื ง

ชัยยะชัยยะหมู่นาคา

นาคาจงชว่ ยอวยพร
ชยั ยะชัยยะไกรศร85

สนิ้ ทัง้ ร้อยเอ็ดเมือง

ชยั ยะชยั ยะพระบุญเรือง
ขอใหบ้ ุญเรือนจงมีชยั

78 รา หมายถงึ เราท้งั คู,่ เขาทง้ั ค,ู่ ในคำว่า สองรา
79 นาฏ หมายถึง นางละคร, นางฟอ้ นรำ ใช้ประกอบกับอนื่ หมายความวา่ หญงิ สาวสวย เช่น นางนาฏ, นุชนาฏ

80 โพยภยั หมายถงึ อันตราย
81 พาน หมายถงึ พบ

82 อปั ราชยั หมายถงึ ความไมแ่ พ้, ความชนะ, บางทีใช้หมายความวา่ แพ้ เหมอื นดังบทประพันธ์ขอ้ งตน้
83 นรนิ ทร์ หมายถงึ พระราชา, พระมหากษัตรยิ ์

84 ภมู ินทร์ หมายถงึ พระมหากษัตริย์
85 ไกรศร แผลงมาจาก เกสรี หมายถึง สงิ โต

๓๗

สรุ างคนางค์28 เมือ่ นั้นพระภูธร86
ท้งั สองทา้ วไท
กม้ เกลา้ รับพร น้ำตาลาม87ไหล
กราบกบั บาทา จากพระมารดา
ลูกมิใครไ่ ป
ครัน้ เจ้าลาแล้ว
สมเด็จพระแก้ว จึงเสดจ็ ลินลา88
ทกั ษิณสามรอบ นบนอบ89อำลา
ครัน้ แลว้ เจ้าฟ้า เข้าในหงสย์ นต์

เห็นงามเรอื งรอง พระชกั หงส์ทอง
ทักษณิ 90สามรอบ รอ่ นขน้ึ เวหน
แลว้ พระจมุ พล นบนอบเสมา91มณฑล92
ชักหงสย์ นต์ไป
แลดลู กู ยา
เร่งเหลียวชะแง้ ท้ังสองกษัตรา
แลดทู ้าวไท น้ำตาลามไหล
เร่งแลเร่งไกล
จงึ ชวนเมียแก้ว ปา่ นนี้จะถงึ ไหน
คดิ ถงึ ลูกชาย
โอ้พระลกู ยา สุดแล้วแลตา
เข้าหอ้ งปรางค์ปรา93
ชกั ยนต์บม่ ินาน ไม่วายโศกา
พ้นแดนพารา ป่านน้ีจะถึงไหน
เหนอ่ื ยนกั ท้าวไท
เจ้าสวุ รรณทกุมาร
ออกจากกรงุ ไกร
เข้าปา่ พนาลยั
ชกั หงส์ลงมา

86 พระภธู ร หมายถึง พระราชา ในทีน่ ค้ี อื สวุ รรณทกมุ าร

87 ลาม หมายถงึ แผข่ ยายตอ่ เนื่องออกไป ท้ังน้ีดงั บทประพันธ์ท่ีปรากฏคณะผู้จัดทำสนั นิษฐานว่า น้ำตาลามไหล อาจจะ

หมายถึงน้ำตาทไ่ี หลอย่างต่อเนื่อง

88 ลนิ ลา หมายถึง ไปอยา่ งนวยนาด, เพยี้ นมาจาก ลลี า
89 นบนอบ หมายถึง น้อมกายลงไหว้

90 ทกั ษณิ หมายถึง ขา้ งขวา
91 เสมา หมายถงึ เรยี กส่ิงท่มี ีลกั ษณะคล้ายใบสีมาทีเ่ รยี งกันอยู่บนกำแพงอย่างกำแพงเมอื ง วา่ ใบเสมา

92 มณฑล หมายถึง บริเวณ
93 ปรางคป์ รา ตดั มาจาก ปรางคป์ ราสาท

๓๘

สมเดจ็ ท้าวไท หยดุ ในป่าไม้
เลยี บ94เรียงระรงั 95 ชมพรรณพฤกษา
สล้างกลางปา่ ยงู 96ยาง97นานา
เหน็ มาพึงชม
ชมพู่100หกู วาง101
ชมตน้ สะคร้อ102 รกฟา้ 98ขานาง99
มะดูก105สุกรม106 ในกลางพนม
สมอ103มะยม104
มะกล่ำ110มะเกลอื 111 น่าชมเรยี งรัน107
สมุลแวง 114
ชมุ แสง116แสลงพนั 117 เพกา108ตาเสอื 109
มะเดอ่ื 112มะดนั 113
กำแพงเจด็ ชน้ั 115
มใี นชั้นไพร

94 เลียบ หมายถึง ช่อื ต้นไมป้ ระเภทไทรพัน คล้ายตน้ กร่าง ใบและผลอ่อนกนิ ได้
95 รัง หมายถึง ช่อื ตน้ ไมช้ นิดหนง่ึ เน้อื ไม้แขง็

96 ยูง หมายถึง ชื่อต้นไม้ขนาดใหญ่ชนดิ หนง่ึ
97 ยาง หมายถงึ ช่อื ต้นไมใ้ หญ่

98 รกฟ้า หมายถงึ ช่ือตน้ ไมใ้ หญ่ ขนึ้ ตามป่าเต็งรัง เปลอื กให้นำ้ ฝาดสแี ดงใช้ย้อมสี ใชท้ ำยาได้
99 ขานาง หมายถงึ ชอ่ื ต้นไมข้ นาดใหญ่ ดอกเล็ก สีเหลอื งออ่ น กลน่ิ เหม็น
100 ชมพู่ หมายถงึ ชื่อต้นไมช้ นิดหนึง่ ผลกนิ ได้
101 หูกวาง หมายถงึ ชอ่ื ไม้ต้นชนิดหนงึ่ ใบใหญ่ แตกกงิ่ เป็นชัน้ ๆ

102 สะครอ้ ในที่น้ีคือ ต้นตะครอ้ หมายถงึ ชือ่ ตน้ ไม้ชนิดหนึง่ ผลรสเปรีย้ วอมหวาน

103 สมอ หมายถึง ช่ือตน้ ไม้ชนดิ หนง่ึ ใชท้ ำยาได้
104 มะยม หมายถึง ช่อื ต้นไม้ชนดิ หนง่ึ ผลกลมเป็นเฟืองๆ รสเปร้ียว

105 มะดกู หมายถงึ ชอ่ื ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ดอกสีเหลอื ง ผลสุกกินได้ รสหวาน
106 สกุ รม หมายถึง ชื่อตน้ ไม้ขนาดใหญ่ ใบรี ผลเมือ่ สกุ สแี ดงใช้ทำยา

107 เรียงรัน หมายถงึ เรยี งเปน็ ระเบยี บ
108 เพกา หมายถึง ชอื่ ต้นไมช้ นิดหนง่ึ ฝกั แบนยาวมากใหญม่ าก ฝกั ออ่ นรบั ประทานได้ เมลด็ ใช้ทำยาได้
109 ตาเสือ หมายถึง ช่อื ไม้ต้นชนดิ หนงึ่ เนือ้ ไมส้ แี ดงแข็งและหนัก

110 มะกล่ำ หมายถงึ ชือ่ ตน้ ไมช้ นดิ หนงึ่ เปน็ ไม้ตน้ ขนาดใหญ่ ฝักแกบ่ อดเปน็ วง เมลด็ แขง็ สีแดง ใช้ทำยา
111 มะเกลือ หมายถงึ ช่ือไม้ตน้ ขนาดใหญ่ แกน่ ดำ ผลดบิ ใช้ยอ้ มผ้าใหเ้ ป็นสีดำและใชท้ ำยาได้

112 มะเด่อื หมายถึง ช่ือต้นไมช้ นิดหนงึ่ ใบเกล้ียง ผลกนิ ได้
113 มะดัน หมายถึง ชอื่ ไมต้ ้น ผลสเี ขยี ว รสเปร้ียวจัด กิ่งออ่ นใช้ ทำยาได้

114 สมลุ แวง้ หมายถงึ ชื่อต้นไมช้ นิดหน่ึง เปลือกมีกลิ่นหอมรอ้ น ใช้ทำยา
115 กำแพงเจด็ ช้นั หมายถงึ ช่อื ไม้พุ่มชนิดหนึ่ง ขึน้ ตามป่าดบิ ดอกสีขาว เนอื้ ไมเ้ ป็นช้นั ๆใช้ทำยาได้

116 ชุมแสง หมายถงึ ช่ือตน้ ไมช้ นดิ หนึ่ง ใชท้ ำยาได้
117 แสลงพนั หมายถึง ชือ่ ไมเ้ ถาเนอ้ื แขง็ มีผลเปน็ ฝักแบน ใช้ทำยาได้

๓๙

การะพรกิ 120จิก121แจง122 จันทน์ขาว118จนั ทน์แดง119
ประดู่126ปร1ู 27ปรง128 ไมแ้ ดง123โพ124ไทร125
ปรงิ ปรางมะซาง131 ประยงค์129มะไฟ130
ที่ในกลางดง
แกว้ 133กมุ่ 134กระทุม่ 135วัน
พุมเรยี ง138เรียงราย กระถนิ 132อนิ จนั
โยทะกา139กาหลง140 เหียง136หันคันทรง137
ท่ชี ายแดนดง
ในดงพงพี

118 จนั ทน์ขาว หมายถึง ชอื่ ไม้ต้นขนาดกลาง เนื้อไมห้ อม

119 จันทนแ์ ดง หมายถึง ช่ือไม้พุม่ ชนิดหน่ึง ขึ้นตามเขาหินปนู เนอ้ื ไม้ทสี่ ารลงมสี แี ดง
120 การะพรกิ เป็นภาษาถ่ินเกา่ ในทีน่ คี้ อื ต้นกลั ปพฤกษ์ หมายถงึ ช่ือตน้ ไมช้ นดิ หน่ึง มมี ากทางภาคอีสานและภาคเหนอื ดอก

สชี มพอู อ่ น ออกเป็นช่อในระหวา่ งทิ้งใบหรอื ผลใิ บใหม่
121 จกิ หมายถึง ชอ่ื ต้นไมข้ นาดกลาง ดอกสีขาว เกสรเพศผสู้ แี ดงมักออกเป็นชอ่ ยาวหอ้ ยเป็นระยา้

122 แจง หมายถงึ ชือ่ ต้นไม้ขนาดเลก็ ลำตน้ เกลีย้ ง ผลกลมรี สุกสีเหลือง
123 ไม้แดง หมายถึง ชอื่ ต้นไม้ชนดิ หนงึ่ เนอื้ ไมแ้ ข็ง สีแดง
124 โพ หมายถึง ชอ่ื ต้นไมช้ นิดหน่ึง ใบรูปหวั ใจ ปลายยาวคลา้ ยหาง ผลกนิ ได้ ใบอ่อนและยาใชท้ ำยา

125 ไทร หมายถงึ ชอ่ื ต้นไม้ มีหลายชนดิ เชน่ ไทรย้อย หรือไทรย้อยใบแหลม
126 ประดู่ หมายถึง ชอ่ื ต้นไมข้ นาดใหญ่ มดี อกสเี หลือง กลนิ่ หอม

127 ปรู หมายถึง ชอื่ ตน้ ไมช้ นิดหนงึ่ มดี อกสขี าว กล่นิ หอม เนื้อไม้ใชท้ ำด้ามปนื เปลอื กรากใชท้ ำยาได้
128 ปรง หมายถึง ชอื่ พรรณไมใ้ นกล่มุ พืชเมลด็ เปลือยหลายชนิด เปน็ ไมต้ น้ ลำต้นรปู ทรงกระบอก

129 ประยงค์ หมายถึง ชือ่ ไม้พมุ่ หรือไม้ต้นขนาดเล็ก ดอกกลมเล็กๆ สีเหลอื ง
130 มะไฟ หมายถึง ชอ่ื ตน้ ไม้ชนดิ หนง่ึ ผลกลมออกเป็นพวง มีรสเปรีย้ วๆ หวานๆ

131 มะซาง หมายถงึ ชื่อต้นไม้ชนดิ หนึง่ ผลเม่อื สกุ รสหวานกนิ ได้
132 กระถนิ หมายถึง ชือ่ ไมพ้ ่มุ หรอื ไมต้ ้น ไมม่ ีหนาม ชอ่ ดอกกลม สนี วล ใบอ่อนและฝักอ่อน ใชเ้ ปน็ อาหาร
133 แกว้ หมายถงึ ชอ่ื ไมพ้ ุม่ หรอื ไมต้ ้นขนาดกลาง ก่งิ ก้าน สขี าว ใบสเี ขยี วสดเป็นมัน ดอกสขี าวมกี ลิน่ หอม

134 กุ่ม หมายถึง ชือ่ ไมต้ ้น ออกดอกเปน็ ชอ่ กลบี ดอกสขี าว แลว้ กลายเป็นสีเหลือง ผลกลมหรอื รปู ไข่
135 กระท่มุ หมายถงึ ช่ือไมต้ ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ ดอกเปน็ ชอ่ กลมสีเหลืองออ่ น หอม เน้ือไม้เหลอื งหรอื ขาว ใชท้ ำเสา

หรอื กระดาน
136 เหยี ง หมายถึง ชือ่ ไมต้ ้นขนาดใหญช่ นิดหนึ่ง เนือ้ ไมใ้ ช้ในการกอ่ สร้าง

137 คนั ทรง หมายถึง ช่ือไมพ้ ุ่มชนดิ หน่ึง ดอกสีเหลอื ง ยอดอ่อนกินได้ ใช้ทำยา
138 พุมเรียง หมายถึง ชอ่ื ไม้ตน้ ชนิดหน่ึง มใี บยาว ผลสุกสีมว่ งดำกนิ ได้ รสหวานปนฝาด, ชำมะเรยี ง ก็เรียก

139 โยทะกา หมายถงึ ชอ่ื พรรณไม้ ดอกสขี าวนวล มีลายสชี มพู ออกเปน็ ชอ่ ส้ันๆ
140 กาหลง หมายถึง ชอื่ ไมพ้ ุม่ ชนดิ หนงึ่ ปลายใบหยักเว้าลกึ ดอกใหญ่สขี าว

๔๐

กระวาน142กานพลู143 ตน้ เทพทารู141
เรยี บเรียงเคียงอยู่ จกุ กระรูหนิ 1ี 44
ในดงพงพี กับเนระพสู ี145
มากมีหลายพนั ธุ์
เบนยะพนั 149สลดั ได150
กฤษณา153ตาต่มุ 154 แค146คาง147หางไหล148
ท่ีในหมิ วนั ต์157 ประคำไก่151กะทงั หนั 152
กระทมุ่ 155สมุ 156พนั
มะกักมะกอก160 สารพนั มากมาย
ระทดรดรวย
ตะโกโพใบ หกู วาง158หางรอก159
ขอนดอก161แคซา้ ย
แทงทวย162นมควาย163
มากมายหลายพันธ์ุ

141 เทพทารู หมายถงึ ชือ่ ไม้ต้นขนาดใหญช่ นดิ หนึ่ง ใบ เปลอื ก และรากมกี ลนิ่ หอมคลา้ ยการบรู ใชป้ รุงอาหารและทำยาได้
142 กระวาน หมายถึง ชอ่ื ไมล้ ม้ ลกุ ชนดิ หน่ึง ผลค่อนข้างกลม สนี วล มสี ามพู มกี ลน่ิ หอมฉนุ ใชป้ รุงอาหารและทำยา

143 กานพลู หมายถงึ ชอื่ ไม้ตน้ ขนาดกลาง ดอกตูมมรี สเผ็ดรอ้ น ตากแห้งแลว้ ใช้เป็นเครื่องเทศและทำยา
144 จุกกระรูหินี ในทีน่ ้ีคือ จุกโรหินี หมายถึง ชอื่ ไมอ้ งิ อาศยั เกาะเลอื้ ยบนต้นไม้ มนี ำ้ ยางขาว รากใช้ทำยาได้

145 เนระพสู ี หมายถงึ ช่อื เฟนิ ชนิดหน่งึ ต้นเป็นกอ ใช้ทำยาได้
146 แค หมายถงึ ช่ือไม้ต้นชนิดหน่งึ ดอกมีทั้งสขี าวและสแี ดง ยอดอ่อน ดอกและฝกั กินได้ เปลือกใชท้ ำยา
147 คาง หมายถึง ช่อื ไมต้ น้ ชนิดหน่งึ ใบคลา้ ยใบกระถิน เนื้อไม้สนี ้ำตาลแก่ แข็ง

148 หางไหล หมายถึง ช่ือไมเ้ ถาชนดิ หนึ่ง ใช้ทำยาได้
149 เบนยะพัน ในท่ีนี้คอื เบญจพรรณ หมายถงึ พรรณไม้ 5 ชนดิ

150 สลดั ได หมายถึง ชือ่ ไมพ้ ุม่ ต้นเป็นเหล่ยี ม มหี นาม ไม่มีใบ ใชท้ ำยาได้
151 ประคำไก่ หมายถึง ชือ่ ไม้ตน้ ชนดิ หนงึ่ ลำต้นและกง่ิ ก้านสีขาวนวล ใบหนาเปน็ มัน ผลกลมรสี ขี าวอมเทา ใช้ทำยาได้

152 กะทงั หัน หมายถึง ชื่อไมต้ ้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ดอกสีขาวผลเล็ก
153 กฤษณา หมายถงึ สว่ นของเน้ือไม้ ซึง่ มีสีดำ เกดิ เมือ่ ต้นไม้มีบาดแผล กล่ินหอม ใชท้ ำยาได้

154 ตาต่มุ หมายถงึ ชอ่ื ไม้ตน้ ชนิดหน่ึง ยางมพี ิษ กนิ ทำใหท้ อ้ งเดิน เข้าตาทำใหต้ าบอด, ตาตุ่มทะเล กเ็ รียก
155 กระทุม่ หมายถงึ ชอ่ื ตน้ ไมข้ นาดกลาง ดอกเปน็ ช่อกลมสีเหลืองออ่ น
156 สมุ หมายถงึ ตน้ ไม้ใหญท่ ีข่ นึ้ เป็นกลุ่มใหญ่

157 หิมวนั ต์ คอื หมิ วัต หมายถงึ ชือ่ ปา่ หนาวแถบเหนอื ของอินเดยี
158 หูกวาง หมายถงึ ชอ่ื ต้นไม้ชนิดหนง่ึ ใบใหญ่ แตกกงิ่ เปน็ ชน้ั ๆ

159 หางรอก หรือทเี่ รียกวา่ หามรอก หมายถงึ ชอ่ื ต้นไมช้ นดิ หนง่ึ ใบปอ้ ม ขนน่มุ ดอกสีเขยี วออ่ น ผลเป็นพวง ทกุ สว่ นใช้ทำยา
160 มะกอก หมายถงึ ชอ่ื ตน้ ไม้ขนาดใหญ่ ใบอ่อนมีรสเปรีย้ ว ใชเ้ ป็นผกั ดบิ ผลขนาดลกู หมากดิบ เมอื่ สกุ มีรสเปรีย้ วเจอื ฝาด

รากละเมลด็ ใช้ทำยา
161 ขอนดอก หมายถึง ท่อนไมข้ องต้นตะแบก พกิ ลุ และบนุ นาค ที่ผุราขึน้ เป็นจดุ ขาวๆ มีกลน่ิ หอม ใช้เป็นเครอื่ งยาไทย

162 แทงทวย หมายถงึ ช่อื ต้นไม้ชนิดหน่ึง ผลมีคน สีแดง ใชท้ ำยาได้
163 นมควาย หมายถึง ช่ือไมเ้ ถา ดอกสีเหลือง

ผกโผนโหนหก ๔๑
พิราบ164ขาบ165คมุ่ 166
โผผาหากัน พระชมฝงู นก
บา้ งรอ้ งขานขนั
กา172เหยีย่ ว173เฉี่ยวกิน อลี ุม้ 167อญั ชนั 168
นางนวล176นกพรกิ 177 ในอรญั วา169
เอยี งอายหายมา
เงือก170งั่ว171บวั บนิ
พิลึกกกึ ก้อง นกกะมิน174โกญจา175
แขกเตา้ 180สาลกิ า181 จบั จกิ พฤกษา178
นางนกนวลจันทร์ โผผาหากัน

โพระดก179รำ่ ร้อง
ในทอ้ งหมิ วันต์
ไกป่ ่า182ขันขาน
ผายผนั บนิ มา

164 พริ าบ หมายถึง ชอ่ื นกขนาดกลาง รูปร่างคลา้ ยนกเขาแต่ขนาดใหญ่กวา่ สว่ นใหญต่ ัวสีเทาอมฟ้า อาศยั อยู่เปน็ ฝูง
165 ขาบ หรอื ตะขาบ หมายถงึ ชอ่ื นกขนาดเลก็ หลายชนดิ ปากใหญ่ แบนขา้ ง หวั ใหญ่
166 คมุ่ หมายถงึ ชือ่ นกขนาดเลก็ ลำตัวอ้วน ป้อมปีกเล็กสัน้ แขง็ แรง ขาสัน้ ไมม่ ขี นคลมุ

167 อีลมุ้ หมายถงึ ชอื่ นกขนาดกลางชนิดหนงึ่ ขาคอ่ นข้างยาว นว้ิ ยาว อาศัยและหากินตามท่งุ นาและแหลง่ น้ำทุกภาค
168 อญั ชนั หมายถึง ช่ือนกชนิดหนงึ่ เป็นนกขนาดเลก็

169 อรัญวา หมายถงึ ปา่
170 เงอื ก หมายถึง ชื่อนกชนดิ หนึง่ เปน็ นกขนาดใหญ่ มีงอยปากหนาท่ีใหญแ่ ละมโี หนกทางดา้ นบน

171 งัว่ หมายถึง ชอ่ื นกชนิดหนึ่ง ปากยาวสีเหลอื ง ปลายแหลมมาก คอโค้งยาว
172 กา หมายถงึ ชือ่ นกขนาดกลางชนดิ หนง่ึ ปากใหญ่หนาแบนขา้ ง ตาและตัวสดี ำ เสียงรอ้ ง “กาๆ”

173 เหยี่ยว หมายถงึ ชื่อนกหลายชนดิ ปากเป็นปากขอและคม ปกี แขง็ แรง ขาและนิว้ แขง็ แรงมาก เล็บยาวแหลม บนิ ร่อนได้

นานๆ
174 กะมนิ ในทนี่ ี้คอื ขมิ้น หมายถงึ ช่อื นกขนาดกลางชนดิ หน่งึ ตัวขนาดไล่เล่ียกับนกเอ้ียง มีหลายสี

175 โกญจา
176 นางนวล หมายถึง ชอ่ื นกขนาดกลาง มปี ลายปากเปน็ ปากขอเล็กนอ้ ย ตัวใหญ่ แข็งแรง ส่วนใหญส่ ีขาวเทา ปกี กวา้ ง

177 พรกิ หมายถึง ช่ือนกขนาดเล็กชนิดหน่งึ ปากสีเหลือง หางตาสขี าว ตวั สนี ำ้ ตาลเปน็ มนั วาว
178 พฤกษา หมายถงึ ต้นไม้

179 โพระดก หมายถึง ชือ่ นกชนิดหนง่ึ ปากหนาส้นั แข็งแรง ปลายแหลมใหญ่
180 แขกเตา้ หมายถงึ ช่อื นกปากขอขนาดกลาง ตาสดี ำขอบเหลอื ง หัวสเี ทา หนา้ ผากสีเทาอมเขียว

181 สาลกิ า หมายถึง ช่อื นกขนาดเลก็ ปากสแี ดง มแี ถบสีดำคาดตาตัวสเี ขียว
182 ไก่ปา่ หมายถึง ชอ่ื ไก่ชนิดหน่งึ ตัวผ้สู ีเขม้ สดใสและหลากสีกวา่ ตวั เมยี อาศัยในป่าโปร่ง

๔๒

เม่น184หม1ี 85สิงหราช ชมสัตวจ์ ัตุบาท183
หม1ู 87หมีสีห์188สิงห1์ 89 เผน่ ผาดดาษดา186
ฟาน193กวาง194วางมา โค190กระทิง191เลียงผา192
ในป่าพนาลี
มุง่ มองเมียงเสอื ง
ทักทอ นรสิงห์196 เสอื โครง่ 195เสอื เหลือง
แรด199ชา้ งเสอื สีห์ ทรายทองอยนู่ ี่
มหงิ ส์197ทรพี198
ฉุด202ดินกนิ โป่ง203 มีในพฤกษา
กระต่าย204กระจง205
ฝูงสตั วใ์ นป่า พระชมช้าง200โขลง201
พาโขลงเดินมา
เข้าดงพฤกษา
...(ขาดหาย)…มากมาย

183 จัตุบาท มาจากคำวา่ จตั ุ + บาท ซงึ่ จตั ุ มีความหมายวา่ สี่ ส่วนคำวา่ บาท มคี วามหมายวา่ ตีน, เท้า เม่อื รวมกันคำวา่

จตั บุ าท หมายถึง สเ่ี ทา้

184 เมน่ หมายถึง ช่อื สตั วเ์ ล้ียงลกู ด้วยนม มีฟันแทะขนาดใหญ่ ลำตวั มขี นแหลมแข็ง
185 หมี หมายถงึ ชือ่ สตั ว์เลี้ยงลกู ดว้ ยนม ตาและใบหูกลมเล็ก ริมฝปี ากยนื่ แยกหา่ งออกจากเหงือก

186 ดาษดา หมายถงึ มากมาย, เกล่ือนกลาด
187 หมู หมายถงึ ชอื่ สตั ว์เลีย้ งลกู ดว้ ยนม เป็นสตั ว์กบี คู่ ตัวอว้ น จมกู และปากยน่ื ยาว

188 สีห์ หมายถงึ ราชสหี ์
189 สงิ ห์ หมายถงึ สัตว์ในนยิ าย ถือว่ามคี วามดรุ า้ ย และมีกำลงั มาก, ราชสีห์ กเ็ รียก

190 โค หมายถงึ ววั
191 กระทิง หมายถงึ ชื่อวัวปา่ ขนาดใหญ่ ขนสดี ำ หรอื ดำแกมนำ้ ตาล
192 ช่อื สตั วเ์ ลยี้ งลูกด้วยนม รปู รา่ งคล้ายแพะ ขนสดี ำ

193 ฟาน หมายถึง ช่อื กวางขนาดเลก็ ขนสนี ำ้ ตาลอมเหลอื งจนถงึ น้ำตาลเข้ม ในประเทศไทยมี 2 ชนดิ คือ อีเก้งหรือฟาน
194 กวาง หมายถงึ ชอ่ื สตั ว์เลีย้ งลกู ดว้ ยนม มีหลายชนดิ รปู รา่ งลำตวั เพรยี ว คอยาว ขายาว หางสั้น

195 เสอื โครง่ หมายถึง สัตวเ์ ล้ยี งลกู ดว้ ยนม ขนาดใหญ่ เป็นสตั วก์ นิ เนื้อ
196 นรสงิ ห์ หมายถงึ คนท่เี ก่งกล้าดจุ ราชสีห,์ อวตารปางหนึง่ ของพระนารายณ์ มหี น้าเปน็ สิงหต์ วั เปน็ มนษุ ย์

197 มหิงส์ หมายถงึ ควาย
198 ทรพี หมายถงึ ลูกอกตัญญูทีท่ ำร้ายพ่อแมข่ องตน (คณะผูจ้ ดั ทำสนั นษิ ฐานวา่ คำวา่ ทรพี อาจจะหมายถงึ ช่ือของควายที่ชอ่ื

ทรพี ในเรือ่ งรามเกียรต์ิ ทีผ่ ู้เขียนอาจจะสอดแทรกไว้เพื่อแสดงศกั ยภาพของตัวผเู้ ขียน)
199 แรด หมายถึง ชอ่ื สัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม เปน็ สตั ว์กีบคี่ขนาดใหญแ่ ตล่ ะขา มี 3 นิ้ว ขาส้ัน ตาเล็กสายตาไมด่ ี หูตงึ

200 ช้าง หมายถึง ช่อื สัตวเ์ ล้ยี งลกู ดว้ ยนม เป็นสตั ว์บกทีใ่ หญ่ทีส่ ดุ ผวิ หนังหนา สีดำหรอื ดำอมเทา
201 โขลง หมายถงึ ฝงู (ลักษณนามทใี่ ช้เฉพาะชา้ ง)
202 ฉุด หมายถงึ ออกแรงดงึ สงิ่ ใดสงิ่ หนง่ึ อยา่ งแรงให้เข้ามาหาตวั

203 โปง่ หมายถึง พนื้ ดินทม่ี เี กลอื สนิ เธาวผ์ ดุ เกรอะกรังอยู่, ป่าหรอื ดนิ ทม่ี ีโป่ง
204 กระตา่ ย หมายถึง ชอ่ื สัตว์เลี้ยงลูกดว้ ยนม หแู ละขนยาว
205 กระจง หมายถงึ ชอ่ื สตั วเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยนม รูปร่างคลา้ ยกวาง แต่ไม่มเี ขา

๔๓

ชกั หงสบ์ นิ บน ชมแล้วจมุ พล206
แลเหน็ เมืองน้อย สูงสุดใจหมาย
พระผ้โู ฉมฉาย เมืองใหญ่โดยหมาย
เหน็ เมืองอุดร
นามกรพระบาท
เสนาสามน208 ท้าวเสวยราชย์
เฝา้ ท้าวภูธร เบญจาภธู ร207
ไพร่พลสลอน209
ยังมีประโรหิด212 ทุกวนั อตั รา210
อยใู่ นเมอื งนั้น
เป็นครูพระยา เมอื งใหญ่ไพจดิ ร211
เป็นครพู ระยา
ในกลางเวหา รู้ทนั คาถา
เข้าแดนพารา213 สั่งสอนทุกอัน
ชักยนตผ์ ายผัน214
พระชักยนตม์ า
สมเดจ็ พระแก้ว อากาศผาดผัน
เห็นต้นพระไทร เบญจาทรงธรรม์
ชักหงสล์ งมา คอยรอ่ นลงมา

จึงผกู หงสย์ นต์ ใกล้ถงึ เมืองแลว้
พระองค์เหนอ่ื ยนกั ลงจากเวหา
บนคาคบ215ไม้ สูงใหญ่สคา
พระเข้าอาศัย

เมื่อนน้ั จมุ พล
ไว้บนตาไม้
หยุดพักอาศัย
คอ่ ยคลายวิญญา

206 จมุ พล หมายถงึ จอมพล, นายทัพ, ผ้เู ปน็ ใหญก่ ว่าพล
207 ภธู ร หมายถงึ พระราชา

208 สามล หมายถึง สคี ลำ้ , สดี ำ
209 สลอน หมายถึง เห็นเด่นสะพรง่ั เช่น น่ังหน้าสลอน ยกมือสลอน

210 อัตรา หมายถงึ เป็นประจำตามกำหนด สมำ่ เสมอ เปน็ นจิ
211 ไพจิตร หมายถงึ งาม

212 ประโรหิด ในทน่ี ีค้ อื ปุโรหติ หมายถึง พราหมณท์ ป่ี รกึ ษาของพระมหากษตั รยิ ์
213 พารา หมายถึง เมือง

214 ผายผนั หมายถึง กลับไป เดินไป ผนั ผายกเ็ รียก
215 คาคบ หมายถึง งา่ มต้นไมท้ ีก่ ง่ิ ใหญก่ ับลำต้นแยกกัน

๔๔

ตน้ ไม้นไ้ี ซร้ พระคิดในใจ
จะเปน็ วิมาน สูงใหญส่ าขา
คิดแลว้ เจ้าฟา้ อารักษ์เทวา
บวงสรวง216พระทัย
มีถ้วนทุกประการ
ในทอ้ งหงส์นั้น โภชนาอาหาร
เอามาทนั ใจ เอามาใสใ่ จ
สารพนั มใี น
เอาเครือ่ งออกมา แตง่ เคร่อื งพลีการ
เดชะเทวา
อย่าให้มอี นั - จึงพระราชา
บชู าดว้ ยพลัน
ถึงเทพไท มาชว่ ยป้องกัน
เห็นเจา้ พลีการ ตรายเลยหนา
แต่งองคล์ งมา
จะกล่าวบทไป
จะทรงสิง่ ไร อายุรกั ษา
จะชว่ ยแก้ไข รับเครอ่ื งบชู า
ตัวของเรานี้ สนทนาพาที

อันอยรู่ กั ษา จึงวา่ หนอ่ ไท
ธรุ ะกังวล จงแจง้ คดี
จะชว่ ยแกไ้ ข บอกไปทันที
มใิ ช่อน่ื ไกล
คร้นั รู้อาการ
จงึ บอกคดี คือไท้เทวา
ตวั ขา้ นห้ี นา ท่ีตน้ พระไทร
ขัดสนสิง่ ไร
บอกไปเถิดนา

เจ้าสวุ รรณทกมุ าร
ว่าไท้เทวา
มีแตห่ ลังมา
มาเรยี นศิลปไ์ ชย

216 บวงสรวง หมายถงึ บชู าเทวดาหรือสงิ่ ศักดิส์ ทิ ธิ์ด้วยเครอื่ งสงั เวย

๔๕

ยังมฤี ทธา ในเมืองนีน้ า
วิทยาอาคม บ้างหรือไฉน
มบี ้างหรอื ไร อดุ มเลิศไกร
ในพระพารา
สำแดงแจง้ เหตุ
ในพระบุรี จึงทา้ วเทเวศ
เปน็ ครูพญา แก่พระพารา
ยังมีฤทธา
กลั ยเพทย์217ทัง้ นน้ั เลิศลำ้ แดนไตร
อาคมเช่ยี วชาญ
นามกรน้นั ไซร้ รจู้ บครบครัน
ทง้ั พูดท้ังศรัย218
มพี ระธิดา อาจารยท์ า้ วไท
ชอื่ ประทุมเกสร ชื่อว่าอนั ตราย
จะบอกเนอ้ื ความ
ท่านทา้ วเบญจา
คร้นั พระรเู้ หตุ กลั ยาทรงนาม
ว่าแก่เทวา อรชรโฉมงาม
ฝากแต่ยนต์ไว้ ใหแ้ จง้ พระทยั

แม้นว่าผูค้ น บัดนั้นภูเบศ
ชว่ ยกำบังไว้ จึงกล่าวปราศรัย
จงชว่ ยบงั ตา จะขอลาไป
บนตน้ พฤกษา
รับคำเทวา
หงส์ยนตน์ หี้ นา ขอฝากหงส์ยนต์
เจ้าอยา่ ร้อนใจ จะไปจะมา
เหมือนได้กรุณา
217 กลั ยเพทย์ หมายถงึ วชิ าท่วี า่ ด้วยเรอ่ื งเวทมนต์คาถา ใหเ้ ผอญิ เมินไป
218 ศรัย คอื ปราศรัย หมายถึง การพูดดว้ ยไมตรีจิต
จงึ พระเทพเทวา
วา่ อย่ารอ้ นใจ
จะรกั ษาไว้
ไม่ใหอ้ ันตราย

๔๖

จะลาผันผาย219 เมอ่ื นน้ั ทรามวัย
ขึ้นลงง่ายดาย จงช่วยรับทรง
...(ขาดหาย)... อย่าใหอ้ ันตราย
เมอ่ื นน้ั จะลงไป
ชว่ ยสง่ เจ้าฟ้า
ลงมางา่ ยดาย เมอ่ื น้นั เทวา
จึงพระภูวไนย ลงจากตน้ ไทร
ค่อยสบายใจ
เจ้าค่อยบทจร เจา้ คอยลนิ ลา
ถอื ผอบ220ทอง
เจ้าจงึ ลินลา จึงพระภูธร
เข้าในพารา
มาถงึ ตลาด ลอยชายเดนิ มา
นัง่ รา้ นเดยี รดาษ221 ตามถนนหลวง
ขายของทัง้ ปวง
เจ้าคอยลินลาศ
รูปรา่ งสะคราญ222 เหน็ นางท้งั ปวง
เหน็ พระจอมจกั ร ในทอ้ งตลาดหลวง
เชญิ เจ้าเข้ามา ต่างตา่ งนานา

ขนมผงิ 223ตง้ั เตา นางหนง่ึ น่ังรา้ น
ปรั่งเปร่งเครง่ ครัด ขายพานขายผ้า
เชิญพระภบู าล รอ้ งทกั ราชา
นง่ั เล่นสำราญ

นางคนหนง่ึ เล่า
น้อยจ้อยสงสาร
พึ่งกำดดั 224พาน
มารา้ นกอ่ นรา

219 ผันผาย หมายถึง กลับไป
220 ผอบ อา่ นว่า ผะ-อบ หมายถึง ภาชนะสำหรับใสข่ อง

221 เดยี รดาษ หมายถึง เกล่ือนกลาด
222 สะคราญ หมายถงึ งาม, สวย

223 ขนมผิง หมายถงึ ชือ่ ขนมอย่างหนง่ึ ทำดว้ ยแปง้ ไข่ นำ้ ตาลทราย มรี ูปแบนๆ
224 กำดดั หมายถึง กำลงั รุ่น

๔๗

แลเห็นทรงธรรม์ นางคนหน่ึงนั้น
ทำเล่นเป็นชู้ แกลง้ ชายเดนิ มา
เชญิ เจา้ เข้ามา ทำเลน่ หตู า
พดู เล่นเปน็ ไร
เห็นพระภูบาล
สาวสาวงามงาม สาวสาวชาวรา้ น
จะด่วนไปไหน พศิ วาสอาลยั
เลน่ ตามเจ้าไป
พดู รักขน้ึ ได้ หยดุ นัง่ กอ่ นรา
เจ้าลืมผ้าหม่
รอ้ งเรยี กเจ้าฟ้า นางหนึ่งสาวใหญ่
ว่ิงตามราชา
ปะนางคนโอ่ เปิดนมวิ่งมา
แกล้งเปิดผ้าห่ม ว่าอย่าเพิ่งไป
ชวนเข้าห้องใน
ถึงร้านต้นโพธิ์
ถึงศาลาลัย นมโตเหลอื ใจ
พระเข้าอาศัย อวดนมทา้ วไท
สมเดจ็ เจ้าฟ้า โปรดน้องกอ่ นลา

ออกจากทีเ่ ฝ้า พระลินลาไป
วรรณพราหมณ์ฤทธา หน้าวงั ราชา
เห็นพระภบู าล ท่ใี นศาลา
นั่งเล่นสำราญ

เม่ือนั้นพราหมณ์เฒ่า
สมเดจ็ ภูบาล
ออกมาบน่ าน
อยู่ในศาลา


Click to View FlipBook Version