การเปรียบเทียบทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย โดยการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ นางสาวชฎาภรณ์ ภานุทัศน์ รายงานวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตร ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การเปรียบเทียบทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ผู้วิจัย นางสาวชฎาภรณ์ ภานุทัศน์ สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.วรัญญา ศรีบัว ครูพี่เลี้ยง นางนันทาศริ อธิราช อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (ผศ.วรัญญา ศรีบัว) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ ( ผศ.วรัญญา ศรีบัว ) .................................................................................. กรรมการ (นางนันทาศิริ อธิราช) .................................................................................. กรรมการ (นางสาววราพร ทิศาใต้)
ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ ผู้วิจัย นางสาวชฎาภรณ์ ภานุทัศน์ อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.วรัญญา ศรีบัว ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ รายงานนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ที่มีต่อทักษะทักษะทางสมอง และ 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนชั้นปฐมวัยระหว่างก่อนเรียนและหลัง เรียนกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นปฐมวัยปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี จังหวัดอุดรธานี ได้จากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1. แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ และ 2. แบบสังเกตทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย และการเปรียบเทียบการวิเคราะห์ข้อมูลใช่ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ ค่าที่แบบไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง มีค่าเฉลี่ยก่อนการจัดกิจกรรม 18.97 และค่าเฉลี่ยหลังการจัดกิจกรรม 22.10 ด้านการ คิดยืดหยุ่น มีค่าเฉลี่ยก่อนการจัดกิจกรรม 15.67 และค่าเฉลี่ยหลังการจัดกิจกรรม 16.37 และด้านการริเริ่มลงมือทำ มีค่าเฉลี่ยก่อนการจัดกิจกรรม 20.43 และค่าเฉลี่ยหลังการจัดกิจกรรม 21.97 2. เมื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมองระหว่างก่อนการจัดกิจกรรมและหลังการจัดกิจกรรม พบว่าว่าเด็กปฐมวัยมีคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม
กิตติกรรมประกาศ วิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยดีเป็นเพราะได้รับความกรุณาในการให้คำแนะนำ และความอนุเคราะห์อย่างดียิ่งจากอาจารย์วรัญญา ศรีบัว อาจารย์ประจำสาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่ได้ให้คำแนะนำ ข้อคิด และตรวจปรับปรุงข้อบกพร่อง ต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์วรัญญา ศรีบัว คุณครูนันทาศิริ อธิราช และคุณครูวราพร ทิศาใต้ ที่ได้กรุณาตรวจพิจารณา และให้คำแนะนำ ปรับปรุงแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง และเก็บข้อมูล การวิจัยครั้งนี้อย่างดียิ่ง ขอกราบขอบพระคุณผู้บริหาร คณะครูและเด็กปฐมวัยชั้นปฐมวัยปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่ให้ความเอื้อเฟื้อสถานที่เพื่อใช้เก็บข้อมูล ตลอดจนให้ ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกในการศึกษาวิจัยจนสำเร็จลุล่วงผู้วิจัยขอขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์ สาขาการศึกษาปฐมวัยทุกท่าน ที่ได้กรุณาอบรมสั่งสอน ถ่ายทอด ความรู้ ให้ประสบการณ์ที่ดีและมีคุณค่าอย่างยิ่งกับผู้วิจัย ทำให้ผู้วิจัยประสบผลสำเร็จในการศึกษา ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา ที่เป็นกำลังใจให้ตลอดมา ตลอดทุกท่านที่ไม่ได้กล่าวนามไว้ ณ ที่นี้ ซึ่งมีส่วนช่วยเหลือในการทำวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น คุณค่าและประโยชน์ของวิจัยใน ชั้นเรียนฉบับนี้ ขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณของบิดามารดา ที่ได้อบรมเลี้ยงดูให้ความรักความ อบอุ่น และให้โอกาสทางการศึกษาแก่ผู้วิจัยทำให้ผู้วิจัยได้รับประสบการณ์อันทรงคุณค่ายิ่ง ชฎาภรณ์ ภานุทัศน์
สารบัญ บทที่ หน้า 1 บทนำ............................................................................................................................ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา..................................................................... 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................ 3 สมมติฐานของการวิจัย............................................................................................... 3 ขอบเขตของประชากร…….......................................................................................... 3 นิยามศัพท์เฉพาะ........................................................................................................ 4 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.................................................................................. 6 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสมอง……………………………..………………. 8 ความหมายของทักษะทางสมอง...........…………………………………………………………….. 7 ความสำคัญของทักษะทางสมอง……….……………………………………………………………… 7 องค์ประกอบของทักษะทางสมอง ………………………………………….……………………….. 9 บทบาทของครูปฐมวัยที่ส่งเสริมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย......................... 16 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสมอง ……................................................................ 20 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์…………………… 20 ความหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์……………………………….….……................... 21 ความสำคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์……………………………………..…................... 22 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับศิลปะสร้างสรรค์........................................................................ 23 จุดมุ่งหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์……………..……………………….………............. 25 ประเภทของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์....................................................................... 27 แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย.................................. 30 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับศิลปะสร้างสรรค์...................................................................... 32
สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 3 วิธีดำเนินการวิจัย......................................................................................................... 33 แบบแผนการจัดกิจกรรม............................................................................................ 34 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง......................................................................................... 35 เครื่องมือการหสร้างคุณภาพเครื่องมือ........................................................................ 35 การเก็บรวบรวมข้อมูล................................................................................................ 42 การวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................................... 42 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................... 42 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................................. 42 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................... 45 ลำดับขั้นในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................... 45 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ............................................................................................... 46 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ...................................................................... 49 วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................ 49 สมมติฐานของการวิจัย............................................................................................... 49 ขอบเขตของการวิจัย.................................................................................................. 49 การเลือกกลุ่มตัวอย่าง................................................................................................ 49 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย............................................................................................. 50 วิธีดำเนินการวิจัย....................................................................................................... 50 การวิเคราะห์ข้อมูลของการวิจัย................................................................................. 50 การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย.............................................................................. สรุปผลการวิจัย….…………………………………………………………………………………………. 51 51 อภิปรายผลการวิจัย .................................................................................................. 51 ข้อเสนอแนะทั่วไป .................................................................................................... 56 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัย......................................................................................... 57 บรรณานุกรม......................................................................................................................... 58 ภาคผนวก............................................................................................................................... 61
ภาคผนวก ก............................................................................................................... 62 ภาคผนวก ข............................................................................................................... 64 ภาคผนวก ค............................................................................................................... 73 ภาคผนวก ง............................................................................................................... ภาคผนวก จ…………………………………………………………………………………………………. 83 87 ประวัติย่อผู้วิจัย...................................................................................................................... 101
สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย………….................................................................................... 6 2 ตัวอย่างภาพอิดิเคเตอร์น้ำเปลี่ยนสีจากดอกอัญชัน....................................................... 93 3 ตัวอย่างภาพอิดิเคเตอร์น้ำเปลี่ยนสีจากน้ำทับทิม.......................................................... 95 4 ตัวอย่างภาพกิจกรรมอิดิเคเตอร์น้ำเปลี่ยนสีจากน้ำกล่ำปลีสีม่วง.................................. 96 5 ตัวอย่างภาพกิจกรรมลวดลายกระเป๋าผ้าโดยการทุบสีจากดอกไม้................................. 98 6 ตัวอย่างภาพกิจกรรมสีน้ำทำมือ.................................................................................... 101 7 ตัวอย่างภาพกิจกรรมน้ำเดินได้...................................................................................... 8 ตัวอย่างภาพกิจกรรมดอกเบญจมาศเปลี่ยนสี……………………………………………………….. 9 ตัวอย่างภาพกิจกรรมผักกาดเปลี่ยนสี………………………………………………………………….. 10 ตัวอย่างภาพกิจกรรมสีเต้นระบำ………………………………………………………………………… 11 ตัวอย่างภาพกิจกรรมวงจรสี………………………………………………………………………………. 12 ตัวอย่างภาพกิจกรรมสายฝนสีรุ้ง……………………………………………………………………….. 13 ตัวอย่างภาพกิจกรรมดอกไม้กระจายสี……………………………………………………………….. 14 ตัวอย่างภาพกิจกรรมการหาสีจากดอกไม้……………………………………………………………. 104 106 108 109 111 113 115 116
สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 3.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องสีจากธรรมชาติสำหรับเด็กปฐมวัย……................... 34 3.2 แบบแผนการทดลอง............................................................................................. 37 4.1 ผลการศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องสีจากธรรมชาติที่มีผลต่อทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ด้านทักษะการสังเกต ทักษะการ เปรียบเทียบ ทักษะการหามิติสัมพันธ์.................................................................... 43 4.2 การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังการทดลอง ด้านทักษะการสังเกต.............................................................................................. 43 4.3 การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังการทดลอง ด้านทักษะการจำแนกประเภท............................................................................... 44 4.4 การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังการทดลอง ด้านทักษะการหามิติสัมพันธ์.................................................................................. 44
1 บทที่1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การศึกษาปฐมวัย เป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวมบน พื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการรส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการ ตามวัยของเด็กแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพ ซึ่งนักการศึกษาและนักจิตวิทยา มีความคิดเห็นตรงกัน ว่าการพัฒนาเด็กในวัยนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการพัฒนาทางสมองของบุคคลโดยเฉพาะระบบ ประสาทและเซลล์สมองจะเจริญโตประมาณร้อย 70-80 ของผู้ใหญ่ และการศึกษาในช่วงวัยนี้เป็น การเตรียมความพร้อมให้เด็กได้เจริญเติบโต เต็มตามศักยภาพ โดยให้การอบรมเลี้ยงดูควบคู่กับการให้ การศึกษาที่เป็นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและ ความรักความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุก คนเพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนา เกิดคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ(ณัฐกรณ์ นวลสุวรรณ : 2556) ปัจจุบันที่มีความสลับซับซ้อนและเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ทักษะทางสมอง ที่เข้มแข็งจึงมีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จ ทั้งในด้านการเรียน และการทำงานเมื่อเด็กโตขึ้น ทักษะทางสมอง นั้นเป็นสุดยอดทางความคิดของ มนุษย์และมีความเกี่ยวข้องกับ ไอคิวน้อยมากหรือไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผล ต่อความสำเร็จในชีวิต ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยควรจะเข้าใจ พัฒนาการด้านEFเพื่อช่วยหาวิธีให้เด็กเล็กมีการพัฒนาทักษะทางสมองอย่างสมวัย จะช่วยลดปัญหา พฤติกรรม ปัญหาสังคมต่างๆ (นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล 2560: 1) การพัฒนาศักยภาพเด็กให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21ให้มีความรู้พื้นฐานที่ใช้ในชีวิตประจำวันมี ความสามารถในการจัดการกับปัญหาที่ชับซ้อน และสามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ รวมทั้งมีทักษะต่างๆ เช่นทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะด้านการสื่อสาร และทักษะทางสมอง ซึ่งทักษะ ทางสมองมีการพัฒนาการการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ช่วยให้เราควบคุมอารมณ์ ความคิดการ กระทำได้ เช่น การมีสมาธิจดจ่อกับงานที่ทำไม่วอกแวก ยั้งคิดก่อนทำไม่หุนหันพลันแล่น ดังที่ ทักษะ สมอง คือ กระบวนการทางความคิด เพื่อนำไปใช้ประ โยชน์ได้ สามารถยั้งคิด ไตร่ตรอง ควบคุม อารมณ์ได้ ยืดหยุ่นความคิดเป็นสามารถจัดลำดับความสำคัญในชีวิต รามทั้งรู้จักริเริ่มและลงมือทำสิ่ง ต่างๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอนซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งที่ ทุกคนต้องใช้และมีผลต่อความสำเร็จในชีวิต ทั้งการงาน การเรียน และการใช้ชีวิด ทักษะสมอง คือ การทำงานของสมองด้านการจัดการ โดยอาศัย กระบานการทางปัญญา ด่างๆ เช่น การยับยั้งความคิด การแก้ปัญหา การวางเป้าหมาย การวางแผน การปฏิบัติ การจดจำ ความยืดหยุ่นทางปัญญา ความสามารถของสมองและจิตใจที่จะควบคุม
2 ความคิด อารมณ์ การฝึกทักษะ ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ ที่จะเป็นรากฐานกระบวนการคิดตัดสินใจและการกระทำที่มีส่วนช่วย ให้เด็กในวันนี้เป็น คนที่ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต (ปาณิสรา ฤทธิ์เรืองเคช 2559: 1) ทักษะสมอง เป็นชุดกระบวนการทางความคิด ที่ช่วยให้เราวางแผน มุ่งใจจดจ่อ จำคำสั่ง และ จัดการกับงานหลาย ๆ อย่างให้ลุล่วงเรียบร้อยได้ สามารถจัดลำดับความสำคัญของงาน วางเป้าหมาย และทำไปเป็นขั้นตอนจนสำเร็จ รวมทั้งควบคุมแรงอยาก แรงกระตุ้นทั้งหลาย ไม่ให้ สนใจไปนอกลู่ นอกทาง และเป็นกระบวนการทำงานของสมองในระดับสูงที่ประมวลประสบการณ์ ในอดีต และ สถานการณ์ในปัจจุบันนั้นนำมาประเมิน วิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผน เริ่มลงมือทำ ตรวจสอบตนเอง และแก้ไขปัญหา ตลอดจนควบคุมอารมณ์ กิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะทางสมอง ด้านการ ยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ ควรเป็นกิจกรรมที่เน้นให้เด็กลงมือทำ ด้วยตนเอง รู้จักคิดวางแผนในการทำงาน และเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก เช่น กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ตัดสินใจ เลือกเล่นอย่าง หลากหลาย จึงเหมาะกับการให้เด็กวางแผนการเล่นได้ การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์นั้น เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมความสามารถด้านต่างๆสำหรับเด็กปฐมวัยได้ดีการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุข อีกทั้งยังได้ใช้สมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวา อย่างสมดุล ศิลปะสร้างสรรค์ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้แสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ และจินตนาการ โดยใช้ศิลปะการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ควรจัดให้เด็กทุกวัน โดยอาจจะจัดวันละ 3-5 กิจกรรม ให้เด็กได้เลือกอย่างน้อย 1-2 กิจกรรมตามความสนใจ ในการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ ปลอดภัยสำหรับเด็ก มีความหลากหลาย (สุภาวดี หาญเมธี 2559: 2) กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เป็นกิจกรรม 1 ใน 6 กิจกรรมที่เด็กปฐมวัยจะต้องปฏิบัติ ในแต่ละกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ สอดคล้องกับหลักพัฒนาการของเด็กเป็นอย่างดีอีกทั้งช่วย ให้กล้ามเนื้อมือกับตาสัมพันธ์กัน ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และช่วยส่งเสริมความคิด การรู้จัก ทำงาน การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สื่อ และวัสดุ จึงมีความจำเป็นสำหรับเด็กเป็นอย่างมาก กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จึงมีความสำคัญกับเด็กปฐมวัยเนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการ เด็กในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ที่เน้นให้เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระ ช่วยให้เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน รู้จักพึ่งพาตนเอง เกิดความซาบซึ้งในความงาม ช่วยระบาย อารมณ์ พัฒนากล้ามเนื้อ เกิดกระบวนการสร้างสรรค์ผ่านประสาทสัมผัส ซึ่งมีความสำคัญ อย่างยิ่ง ต่อ เด็กระดับปฐมวัย เพราะการได้ใช้ประสาทสัมผัสช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกที่เขาอยู่และเกิด ประโยชน์อีกมากมาย สำหรับเด็กปฐมวัย ศิลปะเด็ก คือ ผลงานการแสดงออกของเด็กในทำงาน อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด และจิตนาการ โดยการวาด เขียน ขูด ขีด แกะ ป้าย ระบาย ปะ ติด ก่อ ปั้น ต่อ พ่น พิมพ์เป็นต้น ใช้เทคนิค วิธีกำร วัสดุ ต่างๆ ของเด็กแต่ละคน สื่อสารสิ่งที่เข้าได้ทดลอง
3 กับผู้อื่นและยังมีโอกาสได้พัฒนากล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเนื้อใหญ่ ตลอดทั้งสร้างความเข้าใจในการเตรียม ความพร้อมด้านการอ่าน เขียน และ เก็บอุปกรณ์ต่างๆ (ปริษา บุญมาศ 2555: 2) จากสภาพปัญหาและความสำคัญดังกล่าวข้างต้นผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการเปรียบเทียบทักษะ ทางสมอง โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์เรียนรู้ สำหรับเด็กปฐมวัยที่เหมาะสมตลอดจนผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาปฐมวัยได้ใช่เป็นแนวทางใน การจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของการศึกษาปฐมวัยต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่มีต่อทักษะทักษะทางสมอง 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม สมมติฐานของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดสมมติฐานการวิจัย ดังนี้ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเปรียบเทียบทักษะทางสมองโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรม ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากร ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเด็กชาย-หญิง ที่มีอายุระหว่าง 3-4 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปี ที่3-4ปี โรงเรียนเทศบาล10 อนุบาลหนูดี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักการศึกษาเทศบาลนคร อุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 3 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 90 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเด็กปฐมวัยชาย-หญิง ที่มีอายุ ระหว่าง 3-4 ปี กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 1/3 โรงเรียนเทศบาล10อนุบาลหนูดี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 30 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็น หน่วยในการสุ่ม ทั้งนี้เด็กมีพัฒนาการและบริบทใกล้เคียงกัน 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.2 ตัวแปรตาม คือ ทักษะสมอง ดังนี้
4 2.2.1การยั้งคิดไตร่ตรอง 2.2.2การคิดยืดหยุ่น 2.2.3การริเริ่มลงมือทำ 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาในการจัดประสบการณ์เรียนรู้เป็นแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่เหมาะสม กับวัยของเด็ก ซึ่งประกอบด้วยแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จำนวน 24 แผน 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการจัดประสบการเรียนรู้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ในภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้ระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ จำนวน 24 แผน นิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให้การดำเนินการวิจัยในครั้งนี้มีความชัดเจน ผู้วิจัยจึงได้กำหนดความหมายของนิยาม ศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้ 1. เด็กปฐมวัย หมายถึง นักเรียนชาย - หญิง อายุระหว่าง 3-4 ปี ที่ กำลังศึกษาชั้น อนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล10 อนุบาลหนูดี จังหวัดอุดรธานี 2. ทักษะทางสมอง หมายถึง กระบวนการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ในการ ควบคุมพฤติกรรม ตลอดจนควบคุมอารมณ์ กำกับตนเอง ปรับเปลี่ยนความคิดได้เหมาะสมตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้น จัดความสำคัญ และมุ่งมั่นทำจนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษา ทักษะสมอง 3 ด้าน ดังนี้ 2.1 กลุ่มพื้นฐาน 2.1.1 การยั้งคิดไตร่ตรอง หมายถึง ความสามารถในการควบคุม พฤติกรรมความต้องการของตนเอง หยุดคิดก่อนทำ มีความจดจ่อรักษาระดับความสนใจในเรื่อง ที่กำลังทำ การจัดลำดับความสำคัญ และหยุดพฤติกรรมที่รบกวนผู้อื่นหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน 2.1.2 การคิดยืดหยุ่น หมายถึง ความสามารถในการ เปลี่ยนวิธีคิดได้ ไม่ยึดติดกับความคิดเดียว คิดนอกกรอบได้ ปรับตัวเข้ากับข้อเรียกร้องของ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเวลาเปลี่ยน ลำดับ ความสำคัญเปลี่ยน หรือเป้าหมายเปลี่ยน ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ 2.3 กลุ่มปฏิบัติ 2.3.1 การริเริ่มลงมือทำ หมายถึง ความสามารถในการริเริ่มและลงมือ ทำงานตามที่คิด มีทักษะในการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ตัดสินใจลงมือทำด้วยตนเองให้มีผลงาน ปรากฏขึ้นจริงทันทีทันใด
5 3. กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หมายถึง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทางศิลปะ ที่ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติคือ กิจกรรมการวาดภาพระบายสี การเล่นกับสีชนิดต่างๆ การฉีก ตัด ปะ และงานประดิษฐ์ ตามที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการแสดงออกทาง ความคิด ที่เด็กได้สำรวจและจัดทำกับวัตถุโดยตรง เด็กสามารถออกแบบ ตกแต่ง กับชิ้นงานได้อย่าง อิสระ โดยแบ่งเป็นประเภทกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดังนี้โดยอาศัยการสังเกต การคิด การสนทนา และการถามคำถาม ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 3.1 ขั้นนำ เป็นการนำเข้าสู่กิจกรรมด้วยการสนทนาการตั้งคำถาม และการร้องเพลง เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจในกิจกรรม 3.2 ขั้นดำเนินกิจกรรม เด็กและผู้วิจัยลงมือปฏิบัติกิจกรรมที่ผู้วิจัยได้จัดเตรียมไว้โดย ระหว่างการทำกิจกรรมคุณครูจะสนทนากับเด็กโดยใช้คำถามกระตุ้นให้เด็กสังเกต และร่วมสนทนา กับคุณครู 3.3 ขั้นสรุป เด็กและครูร่วมกันสรุปกิจกรรมผ่านการสนทนา และการบันทึกขีดเขียน วาดภาพระบายสีและนําเสนอผลงานของตนเอง และให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น โดยการเล่าเรื่อง นําผลงานจัดแสดง และเก็บผลงานเพื่อประเมินความก้าวหน้าในแฟ้มสะสมผลงาน หลังเสร็จสิ้นการทำกิจกรรม ประโยชน์ที่จะได้รับ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้รับประโยชน์จากการวิจัยดังนี้ 1. ได้แนวทางในการจัดกิจกรรมทางศิลปะสร้างสรรค์ที่ช่วยส่งเสริม และพัฒนาทักษะ ทางสมองของเด็กปฐมวัย 2. ได้รับความรู้เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่ส่งผลต่อทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัย กรอบแนวคิด ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการศึกษาค้นคว้า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ทักษะทางสมอง - การยั้งคิดไตร่ตรอง - การคิดยืดหยุ่น - การริเริ่มลงมือทำ
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทาง ในการดำเนินการวิจัย และได้นำเสนอตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสมอง 1.1 ความหมายของทักษะทางสมอง 1.2 ความสำคัญของทักษะทางสมอง 1.3 องค์ประกอบของทักษะทางสมอง 1.4 การพัฒนาทักษะทางสมองสำหรับเด็กปฐมวัย 1.5 บทบาทของครูปฐมวัยที่ส่งเสริมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย 1.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสมอง 2.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.1 ความหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.2 ความสำคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับศิลปะสร้างสรรค์ 2.4 จุดมุ่งหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.5 ประเภทของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.6 แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับศิลปะสร้างสรรค์
7 1.1 ความหมายของทักษะสมอง ทักษะทางสมองมีนักการศึกษาหลายท่านได้ทำการศึกษาและกล่าวถึงความหมายของทักษะ สมองไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ สุภาวดี หาญเมธีและคณะ, (2561: 39 อ้างถึงใน ปนัดดา ธนเศรษฐกร, 2012) กล่าวถึง ทักษะทางสมอง คือ กระบวนการทำงานของสมองระดับสูงที่ประมวลประสบการณ์ ในอดีต และสถานการณ์ในปัจจุบัน มาประเมิน วิเคราะห์ตัดสินใจ วางแผน เริ่มลงมือทำ ตรวจสอบตนเอง และแก้ไขปัญหา ตลอดจนควบคุมอารมณ์ บริหารเวลา จัดความสำคัญ กำกับตนเองและมุ่งมั่นทำจน บรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ (Goal Directed Behavior) นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล (2560: 2555) กล่าวถึง การคิดเชิงบริหารเป็นการทำหน้าที่ระดับสูง ของสมองที่ช่วยให้เราควบคุมอารมณ์ ความคิด และการกระทำ จนเกิดพฤติกรรมที่มุ่งสู่เป้าหมาย (Goal directed behaviors) ศิรินันท์ ทองเงิน (2563: 10) กล่าวถึง ทักษะทางสมอง เป็นความสามารถในการความคุม ความคิดของตนเอง เช่น การวางแผน การจัดระบบ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนความคิดและ ความสนใจตามสถานการณ์ และการปฏิบัติตามคำสั่งที่ซับซ้อน เป็นต้น นันทา โพธิ์คำ (2563: 707) กล่าวถึง ทักษะสมองคือการทำงานของสมองส่วนหน้าที่เป็น การทำงานระดับสูงของสมองที่ช่วยในการควบคุมความคิด อารมณ์การตัดสินใจ ที่ส่งผลต่อการ กระทำ ทำให้สามารถทำสิ่ง ต่าง ๆ ได้สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ซึ่งสามารถฝึกฝนได้หรืออาจกล่าว ได้ว่า คือความสามารถของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์การกระทำเพื่อให้บรรลุ เป้าหมายซึ่งเป็นทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จ นิตยา พิมพ์ทอง (2564: 15) กล่าวถึง ทักษะทางสมอง คือ กระบวนการทางความคิดใน สมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึกการกระทำเพื่อช่วยให้เด็กคิดเป็นมีเหตุผลยับยั้งชั่งใจ ได้วางแผนทำงานเป็นเรียนรู้เป็นมุ่งใจจดใจจ่อทำอะไรไม่วอกแวกแก้ปัญหาจำคำสั่ง เป็นอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นเป็นรวมทั้งรู้จักริเริ่มลงมือทำสิ่ง ต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน สรุปได้ว่า ทักษะทางสมอง คือ กระบวนการทำงานของสมองระดับสูงที่ประมวล ประสบการณ์ช่วยในการควบคุมความคิด อารมณ์การตัดสินใจ ที่ส่งผลต่อการกระทำ ทำให้สามารถ ทำสิ่ง ต่าง ๆเพื่อช่วยให้เด็กคิดเป็นมีเหตุผลยับยั้งชั่งใจได้วางแผนทำงานเป็นเรียนรู้เป็นมุ่งใจจดใจจ่อ ปรับเปลี่ยนความคิดและความสนใจตามสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม 1.2 ความสำคัญของทักษะสมอง ทักษะสมอง นั้นมีความสำคัญต่อเด็กปฐมวัยเป็นอย่างมาก มีนักการศึกษาหลายท่านได้ กล่าวถึงความสำคัญของทักษะสมองไว้ ดังนี้
8 นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล (2560: 17) กล่าวถึง ลักษณะของเด็กที่มี ดีจะมีความจำดี มีสมาธิ ตั้งใจจดจ่อต่องานที่ทำได้อย่างต่อเนื่องจนทำงานสำเร็จ รู้จักอดทนรอคอยที่จะทำหรือพูดในเวลา ที่เหมาะสม ไม่รบกวนผู้อื่น รู้จักแก้ปัญหาด้วยวิธีที่หลากหลาย แก้ปัญหาโดยไม่ใช้กำลัง รู้จักขอ ความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น สามารถคาดการณ์ผลของการกระทำได้ รู้จักยับยั้งควบคุมตนเองไม่ ให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีความคิด ยืดหยุ่น ไม่ยึดติด สามารถเปลี่ยนความคิดได้เมื่อเงื่อนไขและสถานการณ์เปลี่ยนไป สามารถติดตามประเมินตนเองน ำ จุดบกพร่องมาปรับปรุงการทำงานของตนให้ดีขึ้นได้ สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เข้าอกเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น สุภาวดี หาญเมธีและคณะ (2561: 49) กล่าวถึง เมื่อเด็กได้รับโอกาสพัฒนาทักษะสมอง ทั้งตัวเด็กเองและสังคมได้รับ ประโยชน์จะช่วยสร้างพฤติกรรมเชิงบวกและเลือกตัดสินใจในทาง ที่สร้างสรรค์ต่อตัวเองและครอบครัว 1. นำสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อนในประสบการณ์มาใช้ในการทำงาน หรือกิจกรรมใหม่ 2. รู้จักยับยั้งควบคุมตนเองไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมแม้จะมีสิ่งยั่วยวน 3. สามารถปรับเปลี่ยนความคิดได้เมื่อเงื่อนไขหรือสถานการณ์เปลี่ยนไป ไม่ยึดติด ตายตัว จนถึงขั้นมีความคิดสร้างสรรค์คิดนอกกรอบได้ 4. มีความจำดีมีสมาธิจดจ่อ สามารถทำงานต่อเนื่องได้จนเสร็จ 5. รู้จักแสดงออกในครอบครัวในห้องเรียน กับเพื่อน หรือในสังคมอย่างเหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่การรู้จักเคารพผู้อื่น อยู่กับคนอื่นได้ดีไม่มีปัญหา 6. รู้จักประเมินตนเอง นำจุดบกพร่องมาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นได้ 7. รู้จักการวิเคราะห์ มีการวางแผนงานอย่างเป็นระบบ ลงมือทำงานได้และจัดการ กับกระบวนการทำงานจนเสร็จทันตามกำหนด 8. เป็นคนที่อดทนได้รอคอยเป็น มีความมุ่งมั่นพร้อมความรับผิดชอบที่จะไปสู่ความสำเร็จ กัญญรัตน์ ชูเกลี้ยง และคณะ (2561: 24-25) กล่าวถึง ความสำคัญของทักษะสมองเพื่อชีวิต ที่สำเร็จ ที่แข็งแกร่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อเด็กได้มีโอกาสพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จทั้งตัว เด็กและสังคมได้รับประโยชน์ จะช่วยสร้างพฤติกรรมเชิงบวกและเลือกตัดสินใจในทางที่สร้างสรรค์ต่อ ตนเองและครอบครัว โดยการมีความจำที่ดี มีสมาธิที่จดจ่อ สามารถทำงานต่อเนื่องได้จนเสร็จ ฝึกการ วิเคราะห์ การวางแผนงานอย่างเป็นระบบ ลงมือทำงาน และจัดการกับกระบวนการทำงานจนเสร็จ ตามเวลาที่กำหนด นำสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อนในประสบการณ์มาใช้ในการทำงานหรือกิจกรรมใหม่ สามารถปรับเปลี่ยนความคิด เมื่อเงื่อนไขหรือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ยึดติดจนถึงขั้นมีความคิด สร้างสรรค์และคิดนอกกรอบ รู้จักประเมินตนเองนำจุดบกพร่องมาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น โดยการรู้จักยับยั้งควบคุมตนเอง จัดการกับอารมณ์ได้ดี และมุ่งมั่นรับผิดชอบหน้าที่ไปสู่ความสำเร็จ
9 สรุปได้ว่า ทักษะสมอง นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเด็กปฐมวัย เมื่อเด็กได้มีโอกาสพัฒนา ทักษะสมองจะช่วยสร้างพฤติกรรมเชิงบวกและเลือกตัดสินใจในทางที่สร้างสรรค์ต่อตัวเอง และครอบครัว มีความทรงจำดี มีสมาธิจดจ่อทำงานต่อเนื่องได้ รู้จักยับยั้งควบคุมตนเองไม่ให้ทำในสิ่ง ที่ ไม่ถูกต้อง ปรับเปลี่ยนความคิดได้เมื่อเงื่อนไขหรือสถานการณ์เปลี่ยนไป ไม่ยึดติดตายตัวจนถึง ขั้นมีความคิดสร้างสรรค์และคิดนอกกรอบ วางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบจนเสร็จตามเวลา ที่กำหนด สามารถติดตามประเมินตนเองนำจุดบกพร่องมาปรับปรุงการทำงานของตนให้ดีขึ้นได้ สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เข้าอกเข้าใจและเห็นใจ ผู้อื่น เป็นคนที่อดทน รอคอยเป็น มีความมุ่งมั่นพร้อมความรับผิดชอบจนนำไปสู่ความสำเร็จ 1.3 องค์ประกอบของทักษะสมอง นักการศึกษาหลายท่านได้ศึกษาทักษะสมอง และได้กล่าวถึงองค์ประกอบของทักษะสมอง ไว้ดังนี้ นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล (2560: 16) กล่าวถึง แบบวัดพฤติกรรมที่เป็นความบกพร่องของการ คิดเชิงบริหารที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ ที่เรียกว่า BRIEF-P (Behavioral Rating Inventory of Executive Functions-preschool version)นั้นในเด็กเล็กวัย 2-6 ปีจะมีองค์ประกอบ 5 ด้าน ดังนี้คือ ตัวชี้วัดด้านการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม มี3 องค์ประกอบคือ 1. การหยุด การยับยั้ง (Inhibitory control) การยับยั้งพฤติกรรมตนเองไม่หุนหันพลันแล่น หยุดคิดก่อนทำ หยุดพฤติกรรมที่รบกวนผู้อื่นหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน รวมถึงการยับยั้งความคิดไม่ให้ คิดเรื่อยเปื่อยในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง ควบคุมความคิดให้มีสมาธิจดจ่อในเรื่องที่กำลังทำ 2. การเปลี่ยนความคิด (Shift) หมายถึง เปลี่ยนความคิดได้ไม่ยึดติดความคิดเดียว รู้จัก เปลี่ยนมุมมองคิด นอกกรอบได้ สามารถทำงานหลายอย่างสลับไปมาได้ การเปลี่ยนความคิดได้จะ พัฒนาช้ากว่าความจำขณะทำงานและการยับยั้งพฤติกรรม 3. การควบคุมอารมณ์ (Emotional control) หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ให้แสดงออกอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ ตัวชี้วัดด้าน metacognition ที่พึ่งเกิดในเด็กวัยนี้มี2 องค์ประกอบคือ 4. ความจำขณะทำงำน (Working memory) หมายถึงความสามารถในการจำข้อมูลไว้ในใจ และจัดการ ข้อมูลกับเหล่านั้น หรือการนำข้อมูลที่เก็บไว้ในใจมาใช้ในการคิดแก้ปัญหา จำเป็นต้อง อาศัยการมีความ ตั้งใจจดจ่อ (attention) เป็นพื้นฐานสำคัญ 5. การวางแผนจัดการ (Plan/Organize) หมายถึงการวางแผนจัดการงานให้เสร็จ ตั้งแต่การ ตั้งเป้าหมาย จัดลำดับความสำคัญของงาน เริ่มต้นลงมือทำ การไม่ติดกับปัญหาเล็กน้อยจนลืม ภาพรวมของงาน การคาดการณ์ผลของการกระทำ การติดตามสะท้อนผลจากการกระทำ
10 เพื่อปรับปรุงงานให้ดีขึ้น ส่วนในเด็กโตวัย 6-18 ปีทักษะการคิดเชิงบริหาร มีองค์ประกอบเพิ่มขึ้นอีก 3 ด้านคือ 6. การเริ่มต้นลงมือทำ การริเริ่ม (Initiate) คือเริ่มต้นทำงานด้วยตนเองโดยไม่ต้องรอให้ คนบอก 7. การติดตามเฝ้าดูสะท้อนผลจากการกระทำของตนเอง (Self-monitoring) คือสามารถ ติดตามและ ประเมินผลของการกระทำ การปรับปรุงงานให้ดีขึ้น 8. การจัดการวัสดุสิ่งของ (Organize of materials) คือการจัดการบริเวณที่เล่น บริเวณ ที่ทำงาน ของเล่น อุปกรณ์ของใช้ต่างๆ เป็นระเบียบ ค้นหาง่าย สุภาวดี หาญเมธีและคณะ (2561: 44-48) กล่าวถึง องค์ประกอบของทักษะ EF เป็น 3 ด้าน ดังนี้ กลุ่มทักษะพื้นฐาน 1. ความจำเพื่อใช้งาน (Working Memory) คือ ความสามารถของสมองที่ใช้ในการจำข้อมูล จัดระบบและหยิบใช้ข้อมูล ข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการได้รับประสบการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายจะถูก เก็บรักษา อยู่ในสมอง จะปลุกให้ข้อมูลเคลื่อนไหว แล้วเลือกข้อมูลชิ้นที่เหมาะสมนำออกมาใช้ช่วยให้ เราจำข้อมูลได้หลายต่อหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน Working Memory เป็นความจำที่เรียกมาใช้งาน ได้จึงมีบทบาทสำคัญมากในชีวิต ตั้งแต่การคิดเลขในใจ การจดจำสิ่งที่อ่านเพื่อนำมาประมวลให้เกิด ความเข้าใจ การจดจำกติกาข้อตกลงเพื่อนำมาปฏิบัติความสามารถนี้ช่วยให้เด็ก จดจำกติกา ในการเล่น การลำดับขั้นตอนในการเก็บของให้เข้าที่ ฯลฯ 2. การยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) คือ ความสามารถที่เราใช้ในการควบคุม กลั่นกรองความคิดและแรงอยากต่างๆ จนเราสามารถต้านหรือยับยั้งสิ่งยั่วยุความว้าวุ่น หรือนิสัย ความเคยชินต่างๆ แล้ว หยุดคิดก่อนที่จะทำ ทำให้เราสามารถคัดเลือก มีความจดจ่อ รักษาระดับ ความใส่ใจ จัดลำดับความสำคัญ และกำกับการกระทำ ความสามารถ ด้านนี้จะช่วยป้องกันเราจาก การเป็นสัตว์โลกที่มีแต่สัญชาตญาณและทำทุกอย่าง ตามที่อยากโดยไม่ได้ใช้ความคิดเป็น ความสามารถที่ช่วยให้เรามุ่งจดจ่อไปที่เรื่องที่ สำคัญกว่า ช่วยให้เราระวังวาจา พูดในสิ่งควรพูด และเมื่อโกรธเกรี้ยว เร่งร้อน หงุดหงิด ก็สามารถควบคุมตนเองได้ไม่ตะโกน ตบตีเตะต่อยคนอื่น และแม้มีความวุ่นวายใจก็ละวางได้จนทำงานต่างๆ ที่ควรต้องทำได้ลุล่วงความสามารถนี้จะ ช่วยให้ เด็กรู้จักอดทน รอได้รอเป็น ไม่แซงคิว ไม่หยิบฉวยของผู้อื่นมาเป็นของตน เพราะความอยากได้ 3. การยืดหยุ่นความคิด (Shifting / Cognitive Flexibility) คือ ความสามารถที่จะ“เปลี่ยน เกียร์” ให้อยู่ในจังหวะที่เหมาะสม ปรับตัวเข้ากับ ข้อเรียกร้องของสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเวลาเปลี่ยน ลำดับ ความสำคัญเปลี่ยน หรือเป้าหมายเปลี่ยน ช่วยให้เราปรับประยุกต์ กติกาเดิม หรือที่คุ้นเคยไปใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างได้เป็นความสามารถที่ช่วยให้เราเรียนรู้
11 การไม่ยึดติดตายตัว ช่วยให้เรามองเห็นจุดผิดแล้วแก้ไข และปรับเปลี่ยนวิธีทำงาน ด้วยข้อมูลใหม่ๆ ช่วยให้เราพิจารณาสิ่งต่างๆ จากมุมมองที่สด ให้คิดนอกกรอบ นอกกล่อง ความสามารถนี้จะช่วยให้ เด็กสนุกกับการปรับเปลี่ยนวิธีเล่นให้มีความ หลากหลาย แปลกใหม่ ช่วยปรับตัวปรับใจยอมรับได้ดี ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นไป ตามที่คาดหวัง เช่น การผสมสีที่ไม่ได้ตั้งใจ กลุ่มทักษะกำกับตนเอง 4. การจดจ่อใส่ใจ (Focus / Attention) คือ ความสามารถในการรักษาความตื่นตัวรักษา ความสนใจให้อยู่ในทิศทางที่ควร เพื่อให้ตนเองบรรลุสิ่งที่ต้องการจะทำให้สำเร็จด้วยความจดจ่อ มีสติ รู้ตัวต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม ตามสมควรของวัยและความยากง่ายต่อภารกิจ นั้นๆ การใส่ใจ จดจ่อเป็นอีกคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นในการเรียนรู้หรือทำงาน เด็กบางคนแม้จะมีระดับสติปัญญา ฉลาดรอบรู้แต่เมื่อขาดทักษะความสามารถ ในการจดจ่อเมื่อมีสิ่งใดไม่ว่าสิ่งเร้าภายนอก หรือจากสิ่ง เร้าภายในตนเองก็วอกแวก ไม่สามารถจดจ่อทำงานต่อไปได้เช่นนี้ก็ยากที่จะทำงานใดๆให้สำเร็จ ความสามารถ นี้จะช่วยให้เด็กๆ มีสมาธิจดจ่อกับการร้อยลูกปัด ต่อบล็อก ฟังนิทานจนจบเรื่อง และทำกิจกรรมต่างๆ อย่างใส่ใจ ไม่วอกแวก 5. การควบคุมอารมณ์ (Emotional Control) คือ ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ ของตนเองตระหนักรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร สามารถปรับสภาพอารมณ์ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และควบคุมการแสดงออกทั้งทางอารมณ์และพฤติกรรมได้เหมาะสม เด็กที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อาจกลายเป็นคนที่โกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวง่าย ขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญเกินเหตุ ระเบิดอารมณ์ง่ายเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่และอาจจะกลาย เป็นคนขี้กังวล อารมณ์แปรปรวน และซึมเศร้าได้ง่าย ความสามารถนี้จะช่วยให้เด็กๆ อดทนและให้อภัยต่อการกระทบกระทั่งกันเล็กๆ น้อยๆ ได้ในระหว่างเล่น ด้วยกัน เมื่อไม่พอใจจะหาวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่การโวยวาย อาละวาด 6. การติดตามประเมินตนเอง (Self-Monitoring) คือความสามารถในการตรวจสอบ ความรู้สึก ความคิด หรือการกระทำของตนเองทั้งในระหว่างการทำงาน หรือหลังจากทำงานแล้วเสร็จ เพื่อให้มั่นใจว่าจะนำไปสู่ผลดีต่อเป้าหมายที่วางไว้หากเกิดความบกพร่องผิดพลาดก็จะนำไปสู่การ แก้ไข ได้ทันการและเป็นการทำให้รู้จักตนเองทั้งในด้านความต้องการ จุดแข็งและจุดอ่อนได้ชัดเจนขึ้น รวมไปถึงการตรวจสอบความคิด ความรู้สึกหรือตัวตนของตนเอง กำกับติดตามปฏิกิริยาของตนเอง และดูผลจากพฤติกรรมของตน ที่กระทบต่อผู้อื่น ความสามารถนี้จะช่วยให้เด็กได้ทบทวนสิ่งที่ทำไป รู้สึก สำนึกผิดแล้วปรับปรุงตนเองใหม่ เช่น การพูดที่ทำให้เพื่อนเสียใจ หรือเมื่อทำผลงานเสร็จได้ ทบทวนเพื่อพัฒนางานให้ดีขึ้น กลุ่มทักษะปฏิบัติ 7. การริเริ่มและลงมือทำ (Initiating) คือความสามารถในการคิดค้นไตร่ตรองแล้ว
12 ตัดสินใจว่าจะต้องทำสิ่งนั้นๆ และ นำสิ่งที่คิดมาสู่การลงมือปฏิบัติให้เกิดผล คนที่กล้าริเริ่มนั้น จำเป็นต้องมีความกล้าหาญ กล้าตัดสินใจไม่ผัดวันประกันพรุ่งต้องกล้าลองผิดลองถูก ทักษะนี้เป็น พื้นฐานของ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจะนำไปสู่การพัฒนาสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้น ความสามารถ จะช่วยให้เด็กๆ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ และลงมือเล่นหรือทำกิจกรรม 8. การวางแผนจัดระบบดำเนินการ (Planning & Organizing) คือ ความสามารถใน การปฏิบัติที่เริ่มตั้งแต่การวางแผนที่จะต้องนำส่วนประกอบสำคัญต่างๆ มาเชื่อมต่อกัน เช่น การตั้งเป้าหมาย การเห็นภาพรวมทั้งหมดของงาน การกำหนดกิจกรรม ฯลฯ เป็นการนำความ คาดหวังที่มีต่อเหตุการณ์ ในอนาคตมาทำให้เป็นรูปธรรม วางเป้าหมายแล้วก็จัดวางขั้นตอนไว้ ล่วงหน้า มีการจินตนาการหรือคาดการณ์ในสถานการณ์ต่างๆเอาไว้ล่วงหน้า แล้วจัดทำเป็นแนวทาง เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายต่อไป จากนั้นจึงเข้าไปสู่กระบวนการดำเนินการจัดการจนลุล่วง ได้แก่ การแตกเป้าหมายให้เป็นขั้นตอน มีการจัดกระบวนระบบกลไกและการดำเนินการตามแผน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดหมายปลายทาง รวมถึงการบริหารพื้นที่ วัสดุ และการบริหารจัดการเวลา อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นเพื่อให้งานสำเร็จ ด้วยความสามารถนี้จะทำให้เด็กรู้จักจัดการ กับกิจวัตรประจำวัน การวางแผนการเล่นที่ไม่ซับซ้อนได้ด้วยตนเอง 9. การมุ่งเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence) คือ ความพากเพียรเพื่อบรรลุเป้าหมาย และจดจำข้อมูลนี้ไว้ในใจตลอดเวลา ที่ทำงานตามแผนนั้นจนกว่าจะบรรลุซึ่งรวมถึงความใส่ใจในเรื่อง เวลา (Sense of Time) กับความสามารถในการสร้างแรงจูงใจให้ตนเองและติดตามความก้าวหน้า ของเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง นั่นคือเมื่อตั้งใจและลงมือทำสิ่งใดแล้วจะมุ่งมั่น อดทนเพื่อให้บรรลุ เป้าหมาย ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ ก็พร้อมฝ่าฟันจนสำเร็จ ความสามารถนี้จะทำให้เด็กๆ เมื่อทำสิ่งใด ก็จะมุ่งมั่นทำโดยไม่ย่อท้อ เช่น ความพยายามที่จะขึ้นบาร์โค้งให้ได้ความพยายามที่จะผูกเชือกรองเท้า จนสำเร็จ ความตั้งใจที่จะกินข้าวจนหมดจาน สถาบัน RLG RaklukeLearning Group, (ม.ป.ป อ้างถึงใน ขวัญฟ้า รังสิยานนท์และคณะ, 2562: 5) ได้จัดการความรู้ร่วมกับนักวิชาการที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องทักษะทาวสมองและให้คำนิยาม อย่างกระชับว่าทักษะทางสมอง คือความสามารถของสมอง ในการกำกับความคิด กำกับความรู้สึก และกำกับการกระทำ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย” และได้แยกแยะองค์ประกอบของ ออกเป็น 9 ด้าน (domain) โดยจัดเป็น 3 กลุ่มทักษะ ดังนี้ 1. กลุ่มทักษะพื้นฐาน ได้แก่ 1.1 ความจำเพื่อใช้งาน คือ ความสามารถในการจำข้อมูลในขณะประมวลผลข้อมูล 1.2 การยั้งคิดไตร่ตรอง คือ ความสามารถในการหยุดพฤติกรรมตนเองในเวลาที่เหมาะสม 1.3 การยืดหยุ่นความคิด คือ ความสามารถในการเปลี่ยนวิธีคิดเมื่อเงื่อนไขเปลี่ยน 2. กลุ่มทักษะกำกับตนเอง ได้แก่
13 2.1 การจดจ่อใส่ใจ คือ ความสามารถในการคิด สนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งในช่วงเวลาต่อเนื่อง 2.2 การควบคุมอารมณ์ คือ ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์และแสดงเป็นพฤติกรรม ที่เหมาะสม 2.3 การติดตามประเมินตนเอง คือ ความสามารถในการทบทวนความคิดความรู้สึก และผลงานของตนเอง 3. กลุ่มทักษะปฏิบัติได้แก่ 3.1 การริเริ่มและลงมือทำ คือ ความสามารถในการ ลงมือทำงานด้วยตนเอง 3.2 การวางแผนจัดระบบดำเนินการ คือ ความสามารถ ในการวางแผนจัดการบริหาร ดำเนินการ 3.3 การมุ่งเป้าหมาย คือ ความพากเพียร มุ่งมั่นทำงานจนบรรลุเป้าหมาย สรุปได้ว่า องค์ประกอบของทักษะสมอง สมารถแบ่งออกเป็น 3ด้านโดยจัดเป็น 3 กลุ่มทักษะ กลุ่มทักษะพื้นฐาน ได้แก่ 1. ความจำเพื่อใช้งาน (Working Memory) คือ ความสามารถของสมองที่ใช้ในการจำข้อมูล จัดระบบและหยิบใช้ข้อมูล แล้วเลือกข้อมูลชิ้นที่เหมาะสมนำออกมาใช้ช่วยให้เราจำข้อมูลได้หลาย ต่อหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน 2. การยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) คือ ความสามารถที่เราใช้ในการ ควบคุมกลั่นกรองความคิดและแรงอยากต่างๆ จนเราสามารถต้านหรือยับยั้งสิ่งยั่วยุ หรือนิสัยความ เคยชินต่างๆ หยุดคิดก่อนที่จะทำ มีความจดจ่อ รักษาระดับความใส่ใจ จัดลำดับความสำคัญ และกำกับการกระทำ 3. การยืดหยุ่นความคิด (Shifting / Cognitive Flexibility) คือ ความสามารถในการ ปรับตัวเข้ากับข้อเรียกร้องของสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเวลาเปลี่ยน ลำดับ ความสำคัญ เปลี่ยน หรือเป้าหมายเปลี่ยน กลุ่มทักษะกำกับตนเอง ได้แก่ 4. การจดจ่อใส่ใจ : (Focus / Attention) คือ ความสามารถในการรักษาความตื่นตัว รักษา ความสนใจให้อยู่ในทิศทางที่ควร เพื่อให้ตนเองบรรลุสิ่งที่ต้องการจะทำให้สำเร็จด้วยความจดจ่อ มีสติ รู้ตัวต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม 5. การควบคุมอารมณ์ : (Emotional Control) คือ ความสามารถในการจัดการกับ ของตนเองตระหนักรู้ว่าตนเองกำลัง อยู่ในภาวะอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร สามารถปรับสภาพอารมณ์ ให้เหมาะสมกับ สถานการณ์และควบคุมการแสดงออกทั้งทางอารมณ์และพฤติกรรมได้เหมาะสม
14 6. การติดตามประเมินตนเอง (Self-Monitoring) คือ ความสามารถในการตรวจสอบ ความรู้สึก ความคิด หรือการกระทำของตนเองทั้งในระหว่างการทำงาน หรือหลังจากทำงานแล้วเสร็จ เพื่อให้มั่นใจว่าจะนำไปสู่ผลดีต่อเป้าหมายที่วางไว้ กลุ่มทักษะปฏิบัติ ได้แก่ 7. การริเริ่มและลงมือทำ (Initiating) คือ ความสามารถในการคิดค้นไตร่ตรองแล้วตัดสินใจ ว่าจะต้องทำสิ่งนั้นๆ และ นำสิ่งที่คิดมาสู่การลงมือปฏิบัติให้เกิดผล 8. การวางแผนจัดระบบดำเนินการ (Planning & Organizing) คือความสามารถใน การปฏิบัติที่เริ่มตั้งแต่การวางแผนที่จะต้องนำส่วนประกอบสำคัญต่างๆ มาเชื่อมต่อกัน เช่น การตั้งเป้าหมาย การเห็นภาพรวมทั้งหมดของงาน การกำหนดกิจกรรม ฯลฯ 9. การมุ่งเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence) คือ ความพากเพียรเพื่อบรรลุเป้าหมาย และจดจำข้อมูลนี้ไว้ในใจตลอดเวลาที่ทำงานตามแผนนั้นจนกว่าจะบรรลุซึ่งรวมถึงความสามารถใน การสร้างแรงจูงใจให้ตนเองและติดตามความก้าวหน้าของเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง 1.4 การพัฒนาทักษะสมอง สำหรับเด็กปฐมวัย การพัฒนาทักษะสมอง สำหรับเด็กปฐมวัย สามารถทำได้หลายวิธี ดังที่มีนักการศึกษาได้กล่าวถึง หลักการพัฒนาทักษะไว้ดังนี้ สุภาวดี หาญเมธี (2559: 45-46) กล่าวถึง หลักการเบื้องต้นของการส่งเสริม ดังนี้ 1. สัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก พ่อแม่หรือครูที่ตอบสนองเด็ก ในเวลาที่เหมาะสม จะช่วยส่งเสริม ให้เด็กมีมากกว่าเด็กที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ หรือถูกละเลย การเลี้ยงดูด้วยความรัก ความเอาใจใส่ จน เกิดเป็นความไว้วางใจ ผูกพันจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาส่งเสริมในเด็กทุกคน 2. การเล่นคือการเรียนรู้ของเด็กและเป็นการเรียน รู้ที่ให้ความสุขสนุกสนาน ควรให้ โอกาสเด็กได้เล่นสนุกอย่างหลากหลาย มีงานวิจัยที่ชี้ว่า เด็กที่มีเวลาได้เล่นมากกว่า เมื่อวัดผล ทาง การศึกษา จะแสดงผลการศึกษาที่ดีกว่าเด็กที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปกับการเรียนวิชาการอย่างเดียว ฉะนั้น ไม่ควรเร่งเรียนเขียน อ่านมากเกินไปในช่วงปฐมวัย จนเด็กไม่มีความสุข และพึงระลึกไว้เสมอ ว่า ความเครียดเป็นตัวทำลายที่สำคัญ 3. ให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการคิดและสร้างสรรค์กิจกรรมต่าง ๆ ไม่ใช่ผู้ใหญ่กำหนดหมดเสียทุก อย่าง การตัดสิน ใจแทนเด็กไปเสียทุกอย่าง เด็กจะขาดโอกาสได้ฝึกฝนในด้านการคิด ริเริ่ม การ ไตร่ตรอง การวางแผนด้วยตนเอง 4. ให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง การลงมือทำด้วยตนเอง จะช่วยฝึก ในด้านการ คิดริเริ่มการตัดสินใจ การวางแผนจัดระบบ การบริหารเวลา และทรัพยากรต่างๆ การฝึกความอดทน มุ่งมั่นที่จะต้องบรรลุผลตามที่ตั้งใจไว้ หากไม่เป็นไปตามแผน เขาจะยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนความคิดและ
15 งานของเขาอย่างไร และเมื่อทำเสร็จแล้วเขาก็จะได้ประเมินความรู้สึก ความคิด ผลดีผลเสีย ด้วย ตนเอง เพื่อการพัฒนาปรับปรุงในครั้งต่อไป 5. ตั้งคำถามชวนคิดชวนคุยให้มาก เพื่อให้เด็กได้ลองคิดอย่างหลากหลาย ถ้า กิจกรรมไม่เป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างใดได้บ้าง ทําไมเรื่องนี้จึงเป็นอย่างนั้น ฯลฯ เด็กจะได้ฝึกในด้าน ของการยืดหยุ่นความคิด การคิดวิเคราะห์ การคาดการณ์ไปข้างหน้า การคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น 6. ให้เด็กได้มีอิสระในการคิดมากขึ้นตามวัย การคิดด้วยตนเองจะช่วยฝึกให้เด็กกล้า คิดริเริ่มได้ลองผิดลองถูก (ในสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายเสียหายร้ายแรง) เมื่อทำผิดก็ไม่ถูกตำหนิติว่า แต่ชวน ชี้ถึงปัญหาอุปสรรค และให้กำลังใจ นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล (2560: 18) กล่าวถึง วัยเรียนยืนยันว่าการฝึกความจำขณะทำงานจะ ส่งผลให้การคิดเชิงบริหารด้านอื่นๆ ของเด็กพัฒนาดีขึ้นด้วยทั้งในเด็กปกติและเด็กที่มีความบกพร่อง ของ ความจำขณะทำงาน โดยศึกษาในเด็กวัย 10 ปีที่มีคะแนนความจำขณะทำงานอยู่ในช่วง 15% ล่างของค่าเฉลี่ยเด็กวัยเดียวกัน จำนวน 42 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกใช้โปรแกรมฝึกความจำที่ไม่ เพิ่มความยาก เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ใช้โปรแกรมฝึกความจำที่ค่อยๆ เพิ่มความยากขึ้นเรื่อย ๆ ตาม ความสามารถของเด็ก พบว่าเด็กกลุ่มที่ใช้โปรแกรมฝึกความจำแบบค่อยๆเพิ่มความยากมีคะแนน ความจำขณะทำงานเพิ่มขึ้นตามลำดับ นอกจากนั้นทักษะทางคณิตศาสตร์ก็เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนเด็กกลุ่ม ที่ใช้โปรแกรมฝึกความจำแบบไม่เพิ่มความยากพบว่าไม่ช่วยให้ความจำดีขึ้น ดังนั้นแสดง ว่าการคิดเชิง บริหารด้านความจำขณะทำงานสามารถฝึกหัดให้ดีขึ้นได้โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพร่องของทักษะ ด้านนี้ นอกจากนั้นยังมีรายงานว่าการคิดเชิงบริหารด้านการยับยั้งพฤติกรรมสามารถฝึกให้ดีขึ้นได้โดย การให้แรงเสริมในระหว่างการฝึกเช่นให้รางวัลหรือชมเชยเมื่อเด็กทำสำเร็จ ซึ่งจะช่วยเสริมให้เด็กยั้ง พฤติกรรมได้ดีขึ้น ในเด็กปฐมวัยก็เช่นกัน มีงานวิจัยยืนยันว่ากิจกรรมหลายประเภท สามารถช่วย พัฒนากระบวนการคิดเชิงบริหารในเด็กปฐมวัยได้เช่น การฝึกความจำด้วยเกมส์คอมพิวเตอร์ การฝึก โยคะ การฝึกศิลปะการป้องกันตัว การเรียนการสอนแบบมอนเตสเซอร์รี่ ฯลฯเป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ กิจกรรม เหล่านี้มักจะต้องมีการตั้งใจจดจ่อ ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มความยากของการฝึกขึ้น เรื่อย ๆ ซึ่งท้าทายการคิดเชิงบริหารของเด็ก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ทงานเกี่ยวข้องกับเด็ก ปฐมวัยควรจะเข้าใจพัฒนาการด้านการคิดเชิงบริหารของเด็ก เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมในการสอนให้เด็ก มีพัฒนาการด้านการคิดเชิงบริหารอย่าง เหมาะสมตามวัย ช่วยลดปัญหาพฤติกรรมต่างๆที่จะตามมา ในภายหลังนอกจากนั้นยังเป็นโอกาสในการพัฒนา เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการคิดเชิงบริหารของเด็กให้ ดีกว่าวัย ช่วยให้เขาเหล่านั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของสังคมต่อไปในอนาคต ขวัญฟ้า รังสิยานนท์ และคณะ (2562: 13) กล่าวถึง รูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย เน้นการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ผู้ปกครองและครูที่เข้ามามีส่วนในการพัฒนาเด็ก ด้วยกัน โดยให้ความสำคัญกับการเป็นแบบอย่างที่ดีในการจัดการกับอารมณ์ ความคิด และการ
16 กระทำในชีวิตประจำวันและการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กภายใต้การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ เรียนรู้ในบรรยากาศเชิงบวกและจัดกิจกรรม บูรณาการ ผ่านการเล่นตามรอยพระยุคลบาทที่เน้น สถานการณ์ท้าทายที่ เด็กต้องแก้ปัญหาและวางแผนควบคุมอารมณ์ ทั้งที่บ้านและโรงเรียน ด้วยการ พัฒนาทักษะพื้นฐานที่สำคัญ คือ ฝึกให้เด็กหยุดได้ คือยั้งคิดไตร่ตรอง (หยุด ความคิด อารมณ์และ การกระทำ) จำได้ คือ ทบทวนความจำเพื่อใช้งานจากการ ลงมือกระทำด้วยตนเองและเรียนรู้ร่วมกับ บุคคลอื่นผ่านการใช้ประสาทสัมผัส หลายด้าน และปรับเปลี่ยนความคิดได้ คือมีความคิดยืดหยุ่น รวมทั้งฝึกทักษะการกำกับตนเองในเรื่องควบคุมอารมณ์ได้และทักษะการปฏิบัติเรื่องวางแผน จัดระบบดำเนินการได้ เพื่อเสริมสร้างทักษะสมองกับเด็กปฐมวัยอันจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตที่ดีของเด็กเยาวชนและผู้ใหญ่ในสังคมต่อไป นิตยา พิมพ์ทอง (2564: 25) กล่าวถึง หลักพื้นฐานในการพัฒนาทักษะทางสมองคือ เด็กกับผู้ เลี้ยงดูต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีและมีการสื่อสารที่ดีต่อกัน สอน ทักษะที่เด็กยังมีความบกพร่อง โดย คำนึงถึงระดับพัฒนาการของเด็ก สามารถส่งเสริมทักษะทางผ่านกิจกรรมการเล่นและการเรียนรู้ ควร ฝึกฝนโดยเริ่มจากสิ่งที่อยู่ภายนอกของเด็ก ซึ่งจะต้องอาศัย การชี้แนะ การเตือนความจำ รวมไปถึง การให้รางวัลในการกระตุ้นเพื่อเพิ่มพูนการเรียนรู้ สนับสนุน และดูแลอย่างต่อเนื่อง แล้วค่อย ๆ ลด บทบาทลงเพื่อให้เด็กสามารถท างานได้ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง สรุปได้ว่า การพัฒนาทักษะสมอง สำหรับเด็กปฐมวัย มีรูปแบบการส่งเสริม คือ เน้นการมี ส่วนร่วมของพ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนในการพัฒนาเด็กด้วยกัน โดยให้ความสำคัญกับการเป็นแบบอย่าง ที่ดีในการจัดการกับอารมณ์ ความคิด และการกระทำในชีวิตประจำวันและการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับ เด็กภายใต้การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในบรรยากาศเชิงบวก การมีสัมพันธภาพที่ดีกับ เด็ก ควรให้โอกาสเด็กได้เล่นสนุกอย่างหลากหลาย ให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการคิดและสร้างสรรค์ กิจกรรมต่าง ๆ ไม่ใช่ผู้ใหญ่กำหนดหมดเสียทุกอย่าง ให้เด็กได้ลงมือทำด้วย ตั้งคำถามชวนคิดชวนคุย ให้มาก เพื่อให้เด็กได้ลองคิดอย่างหลากหลาย ให้เด็กได้มีอิสระในการคิดมากขึ้นตามวัย การคิดด้วย ตนเองจะช่วยฝึกให้เด็กกล้าคิดริเริ่มได้ลองผิดลองถูก เมื่อทำผิดก็ไม่ถูกตำหนิติว่า แต่ควรชี้ถึงปัญหา อุปสรรค และให้กำลังใจ 1.5 บทบาทของครูปฐมวัยที่ส่งเสริมทักษะสมองของเด็กปฐมวัย สุภาวดี หาญเมธีและคณะ (2561: 161-165) กล่าวถึง คุณลักษณะและบทบาทของครู ปฐมวัยที่จะส่งเสริมทักษะสมองไว้ดังนี้ 1.มีความรู้เรื่องทักษะสมองครูต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับกระบวนการทำงาน ของสมอง รู้จักองค์ประกอบของทักษะสมองและสามารถวิเคราะห์ได้ว่าในกระบวนการเรียนรู้หรือ พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้นนั้นกำลังพัฒนาทักษะสมองด้านใด รวมทั้งควรมีความใส่ใจ ไตร่ตรอง และ มุ่งเป้าหมายสู่การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบสนองการพัฒนาทักษะทางสมอง ให้กับเด็กได้อย่าง
17 เหมาะสม ตลอดจนหมั่นตรวจสอบบทบาทของตัวเองว่าได้ให้โอกาสเด็กในการพัฒนาทักษะสมอง อย่างเต็มที่ หรือกลับเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทักษะของเด็กโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ประเด็นที่น่าสนใจ คือ เมื่อครูได้มาเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะสมองจะพบว่า “ยิ่งเรียนรู้ก็จะยิ่ง ลงลึก” เพราะเมื่อครูที่ เป็นคนสำคัญ (Key Person) ตระหนัก เข้าใจ เรียนรู้และ นำสู่การปฏิบัติผลที่เกิดขึ้นกับเด็กจะทำให้ ครูเบิกบานไปกับการเรียนรู้ของเด็ก ที่ทั้งสนุก น่าอัศจรรย์ใจ แค่เปลี่ยนจากคำถามปลายปิดที่เคยชิน “บ้านของลูกหมูตัวแรกทำด้วยอะไร” สู่คำถามปลายเปิดชวนคิด“ถ้าเด็กๆเป็นลูกหมูเด็ก ๆ จะทำ อย่างไรได้บ้าง” 2.ใจกว้าง และมีทัศนะเชิงบวก (Positive Mind) คือ ครูต้องมีความเชื่อมั่นในเด็กเชื่อ ว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ เปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ครูต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อว่าครูสามารถ ส่งเสริมทักษะสมอง ให้เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้เมื่อครูมีความเชื่อที่ถูกต้องแล้ว ครูจะ เป็นคนที่เปิดกว้าง ยอมรับความเป็นจริง ของเด็กเปิดรับความคิดเห็น และมีความหวังเสมอครูที่มี ทัศนะเชิงบวกจะมองเห็น ความก้าวหน้าของเด็กแม้จะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยและไม่ละเลยที่จะสะท้อน ให้เด็ก ได้เห็นความก้าวหน้าของตัวเองก่อให้เกิดแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ครูที่เปิด กว้างจะยอมรับได้ว่าเด็กเล็กยังไม่สามารถอธิบายอารมณ์ความรู้สึกของ ตัวเองได้ดีและมีความหวังว่า เราจะมีวิธีการที่ดีที่จะช่วยส่งเสริมให้เด็กเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง และสามารถสื่อสารความรู้สึกของ ตัวเองให้ดีขึ้นได้เมื่อเราแปล “ความหวัง” สู่การกำหนดเป้าหมาย จะช่วยให้ความหวังของเรา มีความ ชัดเจน เพื่อนำมาสู่การกำหนดแนวทางการปฏิบัติที่สามารถประเมินความสำเร็จได้ 3. มีความเชี่ยวชาญในทักษะที่หลากหลาย (Multi-skilled) 3.1 ทักษะการสังเกตที่ละเอียดลออ คือ ครูที่มีทักษะการสังเกตที่ละเอียดลออจะมองเห็น สิ่งที่เด็กสื่อสารด้วยภาษากายได้เป็นอย่างดีเช่น ท่าทาง สายตา น้ำเสียง ทำให้สามารถรับรู้และเท่า ทันอารมณ์ของเด็ก ครูที่ช่างสังเกตจะไวต่อการรับรู้บรรยากาศในการเรียนการสอน และพร้อมที่จะ ปรับเปลี่ยนได้อย่างทันท่วงทีสามารถสังเกตเห็นความกระตือรือร้นหรือความอ่อนล้าในการเรียนของ เด็ก มองเห็นวิธีเรียนรู้และความก้าวหน้าของเด็กเป็นรายบุคคล หรือเมื่อทำงานร่วมกัน เป็นกลุ่ม ครูที่ ช่างสังเกตจะสามารถหาจังหวะที่เหมาะสมที่จะเข้าไป ถอยออกมา หรือเพียงเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ เพื่อให้ เกิดผลตามวัตถุประสงค์ 3.2 ทักษะการสื่อสารเชิงบวก คือ ครูที่มีการสื่อสารทางบวกจะมีอิทธิพลต่อเด็ก อย่างมาก ทั้งในเรื่องทัศนคติการเรียนรู้การเห็นคุณค่าในตัวเอง มีกำลังใจที่จะคิด และลงมือทำ หาก ครูใช้คำพูดที่เป็นการสื่อสารทางบวก เช่น “หนูคงกำลังใช้ความพยายามอย่างมากเลย” เด็กจะมี กำลังใจที่จะเผชิญกับปัญหาและพยายามต่อไป “ครูเห็นว่าหนูแบ่งไม้ไอศกรีมของหนูให้เพื่อนใช้ด้วย หนูเป็นเด็กมีน้ำใจ” เด็กจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและคงทำพฤติกรรมที่ดีนั้นต่อไป 3.3 ทักษะการกระตุ้นให้เด็กคิด คือ ครูที่มีทักษะการกระตุ้นให้เด็กคิด มักจะใช้คำถาม
18 ปลายเปิดอยู่เสมอ เพื่อกระตุ้นให้คิดอย่างหลากหลาย และรับฟังความคิดเห็นของเด็ก จัดกิจกรรมที่ ให้เด็กได้สังเกต สำรวจ แล้วเกิดคำถามที่ต้องการคำตอบ บางกิจกรรมก็มีการสร้างเงื่เพื่อให้เด็กต้อง เผชิญกับปัญหา เช่น “กรรไกรมี3 อันเท่านั้น หนูมีกัน 5 คน ต้องแบ่งกันใช้นะคะ” การจัดวัสดุ อุปกรณ์ที่หลากหลาย ทำให้เด็กต้องตัดสินใจเลือก การให้เด็กได้ทำกิจกรรมที่มีลักษณะสร้างสรรค์ซึ่ง ไม่มีถูกหรือผิด เช่น งานศิลปะสร้างสรรค์ดนตรีและการเคลื่อนไหว การประดิษฐ์ผลงาน เป็นต้น 3.4 ทักษะการสร้างแรงจูงใจ คือ ครูต้องสร้างความกระตือรือร้นให้ตัวเองอยู่เสมอ เพราะความกระตือรือร้นของครูจะส่งผ่านไปเป็นแรงจูงใจให้เด็กๆ อยากเรียนรู้จะทำให้บทเรียนของ ครูสนุกเร้าใจครูที่มีทักษะการสร้างแรงจูงใจ มักจะตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย และถ้าเป็นเป้าหมายใหญ่ให้ แตกเป็นเป้าหมายย่อย เพราะเมื่อเด็ก ทำเป้าหมายย่อยสำเร็จก็เป็นแรงจูงใจภายในที่จะไปสู่เป้าหมาย ต่อไปได้โดยง่าย การให้เด็กได้ตั้งสมมติฐาน หรือคาดเดาผลด้วยตัวเอง เป็นแรงจูงใจให้ลงมือทำ หรือ เรียนรู้เพื่อให้รู้ว่าคำตอบจะตรงกับที่คาดเดาไว้หรือไม่ นอกจากนี้นิทาน ละคร ก็จะช่วยสร้างแรงจูงใจ ให้กับเด็กได้อย่างดีโดยเฉพาะในเรื่องของลักษณะนิสัย คุณธรรม จริยธรรม 3.5 ทักษะการประเมิน คือ ครูที่มีทักษะการประเมินจะต้องมีความรู้ด้าน พัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมีความสามารถในการจับประเด็นที่น่าสนใจหรือสอดคล้อง กับเป้าหมาย มีทักษะการสังเกต การจดบันทึกพฤติกรรมและปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของ เด็กมีความสามารถในการสื่อสารผลการประเมินให้กับผู้เกี่ยวข้องได้อย่างดีสามารถช่วยให้เด็กได้ เรียนรู้และมีทัศนคติที่ดีต่อการประเมินตนเอง และนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาผลงานและการกระทำ ของตน 3.6 ทักษะการคาดเดาผลล่วงหน้า คือ ครูที่มีทักษะการคาดเดาผลล่วงหน้าจะต้องเป็นคน ที่ช่างสังเกตคิดได้ฉับไวจินตนาการได้ชัดว่ากระบวนการเรียนการสอนหรือ กิจกรรมจะดำเนินไป อย่างไร ความคาดหวังและสิ่งที่จะเกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอน คืออะไร ถ้ามีสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดคิด น่าจะเกิดอะไรได้บ้าง เพื่อตั้งรับหรือต่อยอดต่อไปได้อย่างเหมาะสม 4. มีวินัยในตนเอง (Self- Discipline) คือ เรื่องของการพัฒนาทักษะสมองอาจเป็นเรื่องใหม่ สำหรับครูและครูก็จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมและบทบาทของตนในบางด้าน เช่น เปลี่ยนจากที่ครูริเริ่ม เป็นเด็กริเริ่ม เปลี่ยนจากผู้สอนเป็นผู้ร่วมเรียนรู้เปลี่ยนจากผู้พูดเป็นผู้ฟัง ฯลฯ เพื่อสร้างโอกาสให้เด็ก ได้พัฒนาทักษะสมอง ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เป็นที่ทราบกันดีว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมความเคยชิน เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้โดยง่าย ต้องอาศัยการตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่จะเกิดขึ้น มีเป้าหมายการ เปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน มีวิธีการปฏิบัติและมีวินัยที่กำกับให้ตนเองจดจ่อกับการ กระทำที่จะนำไปสู่ เป้าหมายเรียกว่าเกาะติดกับเป้าหมายและหมั่นประเมินตนเอง เพื่อให้เห็นความก้าวหน้า เกิด แรงจูงใจภายในที่จะช่วยให้การกำกับวินัยในตนเอง มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
19 5. ทำงานเป็นทีม (Team Work) คือ การทำงานเป็นทีมประกอบด้วยผู้ที่มีความเกี่ยวข้อง กับเด็ก ได้แก่ ครูพ่อแม่ ผู้ปกครอง เพื่อน ครูผู้บริหาร บุคลากรในโรงเรียน ตลอดจนเครือข่ายที่มี จุดมุ่งหมายเดียวกัน การทำงานเป็นทีมจะช่วยให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถ่ายเท ข้อมูลอัน จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเรื่องทักษะสมอง ในเด็กต่อไป อีกทั้งการทำงานเป็นทีมยังก่อให้เกิด พลังร่วมกันที่จะเกื้อหนุนให้การทำงาน มีความสนุกสนานและเกิดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในยุคเทคโนโลยี ข่าวสาร (IT) มีส่วนช่วยให้เกิดการถ่ายเทข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และกว้างขวางยิ่งขึ้น สามารถเข้าถึง ข้อมูลต่างๆ ได้โดยง่าย และยังสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้กับกลุ่มความสนใจเดียวกัน 6. เป็นที่รักและไว้ใจของเด็ก (To be loved & Trust) คือ เมื่อครูมีความผูกพันที่ดีเป็นที่รัก และไว้ใจของเด็กจะทำให้เด็กมีความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย พร้อมที่จะเรียนรู้และก้าวสู่สังคมที่กว้างขึ้น การแสดงออกถึงความรัก ไม่เพียงแต่การบอกรัก โอบกอด แต่ยังรวมถึงการพร้อมรับฟัง และรับรู้ ความรู้สึกของเด็กทั้งความรู้สึกทางบวกและทางลบ การให้โอกาสเด็กได้คิด เลือกและ ตัดสินใจ สนับสนุนให้เด็กได้รู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จ ให้กำลังใจเมื่อเด็กรู้สึกท้อ เสียใจ เศร้า ทำให้เด็กรู้สึกว่า ได้รับการยอมรับ ให้อภัย และให้โอกาสที่จะปรับปรุง เมื่อทำผิดพลาด รวมทั้งยินดีและชื่นชมเมื่อเด็ก มีพฤติกรรมที่เหมาะสม 7. วางแผนและจัดการงานเป็น (Planning & Organization) คือ มีการทำงานอย่างเป็น ระบบ ในลักษณะวิจัยและพัฒนา มีการกำหนดเป้าหมายวางแผน มีกระบวนการทำงาน และ ประเมินผล สามารถสะท้อนผลการเรียนรู้ของเด็กและของครูประเมินตนเองว่าแนวทางที่ปฏิบัตินั้น ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่อย่างไรเพื่อนำสู่การพัฒนาตนพัฒนางาน สรุปได้ว่า บทบาทของครูปฐมวัยที่ส่งเสริมทักษะสมองของเด็กปฐมวัย คือ มีความรู้เรื่อง ทักษะสมองครูต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของสมอง รู้จัก องค์ประกอบของทักษะสมองและสามารถวิเคราะห์ได้ว่าในกระบวนการเรียนรู้หรือพฤติกรรมของเด็ก ที่เกิดขึ้นนั้นกำลังพัฒนาทักษะสมองด้านใด รวมทั้งควรมีความใส่ใจ ไตร่ตรอง และมุ่งเป้าหมายสู่การ จัดกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบสนองการพัฒนาให้กับเด็กได้อย่างเหมาะสม ใจกว้าง และมีทัศนะเชิง บวก ครูต้องมีความเชื่อมั่นในเด็กเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ เปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้เกิดการ เปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้มีความเชี่ยวชาญในทักษะที่หลากหลาย มีวินัยในตนเอง เรื่องของการ พัฒนาทักษะสมองผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับเด็ก ได้แก่ ครูพ่อแม่ ผู้ปกครอง เพื่อน ครูผู้บริหาร บุคลากร ในโรงเรียน เป็นที่รักและไว้ใจของเด็ก เมื่อครูมีความผูกพันที่ดีเป็นที่รักและไว้ใจของเด็กจะทำให้เด็ก มีความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย และวางแผนมีการทำงานอย่างเป็นระบบ ในลักษณะวิจัยและพัฒนา คือ มีการกำหนดเป้าหมายวางแผน มีกระบวนการทำงาน และประเมินผล
20 1.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะสมอง งานวิจัยในต่างประเทศ ฟิงค์ ลิชชัน เอล (2021: 2) ได้ศึกษาค้นคว้าการวิจัยปฏิบัติการ ในชั้นเรียนเรื่องการสอนโดย ใช้ทฤษฎีพหุปัญญาของสมองมีจุดประสงค์ในการศึกษาคือใช้ทฤษฎี พหุปัญญาของ โฮวาท การ์ดเนอร์ ในชั้นเรียน ศึกษาเกี่ยวกบการเคลื่อนไหว การศึกษารายงานจาก ั การสอนและยุทธ์ศาสตร์การ ประเมินพบวานักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างหลากหลายข้อมูลที่เก็บไว้เป็นหลักฐานสําคัญรวมถึง แผนบทเรียนที่ออกแบบประเมินก่อนหน้านี้ นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจน คุ้นเคยด้วยวีดีโอและเรียนรู้ตาม แบบการเรียนรู้ข้อมูลยังรวมถึงการสัมภาษณ์จากผู้บริหารและ นักเรียนที่มีประสบการณ์การเต้นและ การปฏิบัติจริงจากการศึกษาสรุปว่านักเรียนจํานวนมาก17ประสบความสําเร็จจากการเต้นจาก หลักสูตรการสอนสามารถกระตุ้นสมองและส่งเสริมการเจริญเติมโตทางด้านสติปัญญา แกลอที (2014: 5) ได้ศึกษาโปรแกรมสมอง จิตใจ และการเรียนรู้ มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้กล่าวว่า กระบวนการตั้งใจจดจ่อจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการกระตุ้น หรือ ให้ สิ่งเร้าสมองจึงเกิดการ ทํางาน แต่อยางไรก็ดี หากเราเลือกที่จะสนใจ สิ่งเร้าที่มีมากก็อาจจะไม่ส่งผล ต่อ กระบวนการตั้งใจ จดจ่อได้ได้ กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสมอง จิตใจ และการเรียนรู้ มี ผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียน สูงขึ้น ทั้งสามรายวิชา คือ วิชาภาษาไทย วิชาคณิตศาสตร์ และวิชา วิทยาศาสตร์ โดยภาคเรียนที่ 1 เป็น 18.78 20.60 21.9 ภาคเรียนที่ 2 เป็น 23.69 22.59 23.25 ตามลําดับ มีคะแนนเพิ่มขึ้น เป็น 4.91 1.99 1.56 ตามลําดับ ทั้งนี้กลุ่มทดลองที่ได้รับการกระตุ้นการทํางานของ สมอง ผ่านกิจกรรม เสริมสร้างความตั้งใจจดจ่อสูงขึ้นนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 งานวิจัยภายในประเทศ ประภัสสร คงดิศ (2554: 62 - 65) ได้ทํางานวิจัยเรื่องการศึกษาความสามารถทางสมองขั้น พื้นฐานของเด็กประถมศึกษาปี ที่2 ของโรงเรียน ศรีเอี่ยมอนุสรณ์ สังกัด กรุงเทพมหานคร กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนศรีเอี่ยม อนุสรณ์ จํานวน 225 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบทอสอบความสามารถทางสมองตามแนวแบบทดสอบวัดความสามารถทาง สมองขนพนฐาน PMA Test ของ Turnstone 5 ฉบับ 5 ด้าน ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถทาง สมองขั้นพื้นฐาน ของนักเรียนทั้ง 5 ด้านอยู่ระหว่าง 53%ถึง 74% ความสามารที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด คือความสามารถด้านจํานวน และ ความสามารถที่มีคะแนนเฉลี่ยตํ่าสุดคือความสามรถด้านภาษา กชกร ชูโตและคณะ (2558, 5) ได้ศึกษาเรื่องการศึกษาผลของกิจกรรมการชมภาพยนตร์ การ์ตูนต่อการทํางานของสมองส่วนบริหารในเด็กปฐมวัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของ กิจกรรมการชมภาพยนตร์การ์ตูนต่อการทํางานของสมองส่วนบริหารในเด็กปฐมวัย (5-6 ปี ) และ เปรียบเทียบระดับของการทํางานของสมองส่วนบริหาร ระหวาง กลุ่มที่ได้รับกิจกรรมชมภาพยนตร์
21 การ์ตูน (กลุ่มทดลอง) กับกลุ่มที่ไม่ได้รับกิจกรรม (กลุ่มควบคุม) และเปรียบเทียบระดับการทํางานของ สมองส่วนบริหารในกลุ่มที่ได้รับกิจกรรมการชมภาพยนตร์การ์ตูนระหว่างก่อนและหลังได้รับกิจกรรม การศึกษาในครั้งนี้ เป็นการศึกษาโดยการใช้วิธี16การศึกษาแบบกึ่งทดลอง โดยทําการศึกษาภายใน โรงเรียนกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นอนุบาลจํานวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 15 คน เท่ากน โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นทั้งสิ้นจํานวน 10 ครั้งแต่ละครั้งประกอบด้วย เกมส์ และ การชมภาพยนตร์การ์ตูนที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกบการทํางานของสมองส่วนบริหาร แล้วให้เด็กในกลุ่ม ทดลองทําการอภิปรายเนื้อหาของการ์ตูนที่ได้ชม และวัดระดับการทํางานของสมองส่วนบริหารด้วย แบบประเมินพฤติกรรมที่เกี่ยวกบการทํางานของสมองส่วนบริหาร ที่ผู้วิจัยได้ดัดแปลงมากจาก แบบ แบบประเมินเช็คลิสต์ของ North Shore Pediatric Therapy โดยมีค่าความเชื่อมันอยู ที่ 0.63 และ แบบวัดระดับการทํางานของสมองส่วนบริหารที่เป็น ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์โดยเป็นแบบวัดเป็น นมาตรฐานที่ใช้ในคลินิกทางจิตประสาทวิทยา (Task of executive control : TEC) โดยการวัด ระดับการทํางานของสมองส่วนบริหารจะวัดทั้งก่อนที่จะเข้าร่วมกิจกรรม และหลังจากที่ได้เข้าร่วม กิจกรรมจนครบ 10 ครั้งทั้งในกลุ่มที่ได้รับกิจกรรมและไม่ได้รับกิจกรรม นุชนาฎ รักษี และคณะ (2560: 2) ได้ศึกษา การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมทักษะสมองการรู้คิด เชิงบริหาร ผ่านกิจกรรมบูรณาการประสาทสัมผัสในเด็กปฐมวัย จํานวน 20กิจกรรม (MU-EF.SI) แก่ เด็กปฐมวัย ในช่วงอายุ 3 – 6 ปี จากการศึกษานําร่องในการใช้โปรแกรมMU-EF.SI ส่งเสริมเด็ก เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ (32 ชั่วโมง) และมีการประเมินทักษะการคิดเชิงบริหาร ด้วยแบบประเมิน ทักษะการคิดเชิงบริหารฉบับของมหาวิทยาลัยมหิดล (MU-EF) ทั้งก่อนและหลังการส่งเสริมแล้วนําผล การประเมินมาทดสอบ Paired t – test เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนและ หลังการใช้โปรแกรมส่งเสริม เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงทักษะการคิดเชิงบริหารของเด็ก พบวาระ ดับพัฒนาการด้านการคิดเชิงบริหาร (Executive Function) ของภาพรวมในระดับดีมากเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 46.7 เป็นร้อยละ 70.2 และพบว่าพัฒนาการคิดเชิงบริหารด้านความจําขณะทํางานเพิ่มขึ้น จาก ร้อยละ 57.4 เป็นร้อยละ 76.6 ส่วนพัฒนาการคิดเชิงบริหารด้านการวางแผนจัดการเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 52.3 เป็นร้อยละ 68.1 2.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.1 ความหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากการศึกษาการใช้คำเรียกกิจกรรม ศิลปะ พบว่า มีการใช้คำที่หลากหลายแตกต่างกันไป เช่น ศิลปะ ศิลปะศึกษา และศิลปะสร้างสรรค์ใน การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้คำว่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ถึงแม้จะมีผู้ใช้คำศัพท์แตกต่างกันไป แต่ให้ ความหมายของคำต่าง ๆ ไว้ใกล้เคียงกัน ดังนี้
22 รวิพร ผาด่าน (2557: 25) กล่าวถึง ศิลปะนั้นเป็นสิ่งที่เด็กได้แสดงออกถึง ความคิด จินตนาการ ความเพ้อฝัน โดยถ่ายทอดความรู้สึกต่าง ๆ ที่อยู่ภายในของเด็กออกมาเป็นผลงาน รูปภาพ หรือสิ่งของ เพื่อสื่อสารให้คนอื่นเข้าถึงความคิด ความรู้สึกของตนเอง นอกจากนั้นศิลปะยัง สามารถเป็นกิจกรรม ที่ช่วยตอบสนองความรู้ของเด็กทุกเพศทุกวัย เลิศ อานนัทนะ (2555: 44) กล่าวถึง ศิลปศึกษา หมายถึง การน ากิจกรรมทาง ศิลปะมา ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษา เพื่อพัฒนาเด็กในด้านต่างๆ แต่ไม่ได้มีจุดหมาย เพื่อเตรียม ตัวเด็กให้เติบโตขึ้นเป็นศิลปินหรือจิตรกรในอนาคตแต่ประการใด วรุณ ตั้งเจริญ (2555: 60) กล่าวถึง ศิลปะเด็ก คือ ศิลปะที่เด็กแสดงออกตามสภาพ ความ สนใจ การรับรู้และความพร้อมของเด็กแต่ละคน โดยที่การแสดงออกนั้นจะแสดงออก ด้วย วิธีการ อย่างใดอย่างหนึ่ง ผ่านวัสดุที่เหมาะสมและปรากฏเป็นผลงานศิลปะที่รับรู้ได้ด้วยประสาทตา ชลธิชา ชิวปรัชา (2554: 8) กล่าวถึง ศิลปะนั้นเป็นสิ่งที่เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสใน การรับรู้ จนเกิดความเข้าใจในธรรมชาติที่อยู่แวดล้อมรวมถึงการคิดฝันจินตนาการต่างๆ มีการ แสดงออกโดย การถ่ายทอดผลงานเป็นสื่อกลางเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ ทั้งนี้ยังเป็นการสื่อสารความคิด ความรู้สึกต่างๆ ที่เด็กได้เห็น ได้รับรู้ โดยการใช้จินตนาการ การสังเกต สมศรีเมฆไพบูลย์วัฒนา (2553: 8 – 9) กล่าวถึง กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หมายถึง การถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์จินตนาการ ธรรมชาติประสบการณ์อารมณ์ ความรู้สึก เพื่อสื่อสาร และแสดงออกผ่านสื่อวัสดุให้ผู้อื่นเข้าใจเกิดเป็นผลงานออกมา ซึ่งการจัดกิจกรรมจะไม่มีการบังคับ ให้ เด็กทำ แต่เป็นกิจกรรมเสรีที่เด็กทุกคนสามารถจะทำได้เมื่อตนเองเกิดความต้องการ พอใจ และสนใจ โดยใช้ศิลปะหรือวิธีการต่างๆ เป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรม เช่น การวาดภาพระบายสี พิมพ์ภาพ ปั้น ฉีก ตัดปะ การประดิษฐ์ ฯลฯ โดยเด็กจะใช้ประสาทสัมผัสในการรับรู้และการ เคลื่อนไหวร่างกาย ในการควบคุมลำตัว แขน นิ้วมือให้ประสานสัมพันธ์กันกับการใช้เครื่องมือต่างๆ และกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ร้อยดอกไม้เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญกิจกรรมหนึ่งในการสร้างงาน ศิลปะสร้างสรรค์ สรุปได้ว่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หมายถึง กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะต่างๆ ที่เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออก ถึงความรู้สึกนึกคิดสร้างสรรค์ตามจินตนาการ อย่างอิสระ ด้วยวิธีการ ต่างๆ ผ่านวัสดุอุปกรณ์ที่หลากหลายและเหมาะสมกับวัย ปรากฏเป็นผลงานศิลปะที่รับรู้ ได้ด้วย ประสาทตา 2.2 ความสำคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีความสำคัญ อย่างมากต่อเด็กปฐมวัย ดังนี้ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวไว้ ดังนี้
23 สายใจ อินทรัมพรรย์ และคนอื่น ๆ (2559: 268) ได้กล่าวถึงความสำคัญของศิลปะ ว่าทำให้ เด็กเกิดการเรียนรู้จากการท ากิจกรรมด้านศิลปะ ได้แก่ 1. การเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ ให้เด็กรู้จักแบ่งแยกเวลา เล่นกับเวลาทำงานได้อย่าง เหมาะสม รู้จักการรอโอกาสเมื่อต้องใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น 2. การเป็นผู้ที่กล้าพูด กล้าแสดงออกในสิ่งที่ตนคิด 3. การเป็นผู้รู้จักสังเกตสิ่งรอบตัวแล้วน าไปใช้ในกิจกรรมศิลปะ 4. การเป็นผู้รู้จักความเป็นระเบียบสวยงามและรักความสะอาด 5. การเป็นผู้รู้จักรักของใช้เป็นของส่วนตัวและส่วนรวม การมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การเป็นคนรู้จักประหยัด ใช้อุปกรณ์และวัสดุในขนาดและจำนวนที่จำเป็นต่อรูปแบบของงาน การเป็น ผู้มีความรับผิดชอบ รวิพร ผาด่าน (2557: 28) ได้กล่าวถึงความสำคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ว่า เป็นกิจกรรมที่พัฒนาความสามารถของเด็กในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดประโยชน์กับตัวเด็กทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการคิด จินตนาการที่จะสร้างผลงานของตนเอง ถ่ายทอดความรู้สึก ผ่อนคลายความเครียดทางอารมณ์ ลด ความกดดันความคับข้องใจ และลดความก้าวร้าว เคลื่อนไหวร่างกายส่วนต่างๆ มีทักษะ ในการทำงาน ร่วมกับเพื่อนโดยการแบ่งปันสิ่งของให้กับเพื่อน และมอบหมายหน้าที่ต่างๆ ในด้านการ ดูแลความ สะอาดอุปกรณ์ นอกจากนั้นกิจกรรมศิลปะจะช่วยฝึกในด้านการคิด แล้วยังเป็นกิจกรรม ที่เด็กได้ลงมือ ปฏิบัติจริงด้วย พรเพ็ญ บัวทอง (2555: 18) ได้กล่าวถึงความสำคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ว่าเป็นโอกาสของการเรียนรู้ที่เด็กได้ฝึกฝนให้เด็กได้แสดงออกทางด้านความคิด จินตนาการ และ ความรู้สึกอย่างอิสระเสรี ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ สร้างนิสัยการทำงานร่วมกันเกิดเป็นพฤติกรรม ทางสังคมที่ดี สรุปได้ว่า ความสำคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีค่าต่อการพัฒนาเด็กทั้งด้าน ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ทำให้เด็กมีความสุขที่ได้ท างานตามอิสระตามความคิด จิตนา ของตัวเอง กล้าพูด กล้าแสดงออก ฝึกการรอคอย การสังเกต การสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว ทั้งยัง เป็นเครื่องมือในการสื่อความเข้าใจของเด็ก 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับศิลปะสร้างสรรค์ ทวีเกียรติ์ ไชยยงยศ (2538: 55) ได้ให้ความหมายและกำหนดทฤษฎีของศิลปะในการ นำไปใช้ในการประเมินคุณค่าของผลงาน ดังนี้
24 1. ทฤษฎีนิยมการเลียนแบบ (Imitationalism Theory) เป็นการแสดงความคิดเห็น ใน การสร้างสรรค์งานศิลปะเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณค่าของการแสดงออกที่เหมือนจริงตามตาเห็น หรือเหมือนจริงตามความรู้สึกหรือมีทั้งสองคุณค่าร่วมกัน 2. ทฤษฎีนิยมรูปทรง (Formalism Theory) เป็นการแสดงความคิดในการสร้างสรรค์งาน ศิลปะ โดยเน้นการนำมูลฐานของศิลปะ (สี รูปร่าง พื้นผิว บริเวณว่าง) มาใช้โดยตรง ผลงานที่ปรากฏ อาจจะมีลักษณะลดทอน เป็นเหลียมสันอย่างรูปทรงเรขาคณิต 3. ทฤษฎีการแสดงอารมณ์ (Emotionalism Theory) เป็นการแสดงความคิดในการ สร้างสรรค์งานศิลปะ โดยเน้นการแสดงออกซึ่งความรู้สึกหรืออารมณ์เป็นสำคัญ งานศิลปะทฤษฎีนี้ อาจจะมีลักษณะเหมือนจริงก็ได้แต่เมื่อวิเคราะห์แล้ว ปรากฏว่าค่าทางอารมณ์มีมากกว่า หรืออาจ มีลักษณะเป็นนามธรรม หรือแบบแสดงพลังอารมณ์ (Expressionism) 4. ทฤษฎีนิยมจินตนาการ (Imaginationalism Theory) เป็นการแสดงความคิดในการ สร้างสรรค์งานศิลปะโดยเน้นความคิดหรือจินตนาการ หรือที่เรียกว่าแบบอุดมคติ (idealism)ทฤษฎี ทางสุนทรียศาสตร์ Efland (2002) เทียบเคียงกับทฤษฎีทางสุนทรียศาสตร์ หลักได้4 แนวดังนี้ 1. ทฤษฎีมิเมติค (mimetic theories) เป็นแนวทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับความเป็นสากล หรือธรรมชาติ การพิจารณาคุณค่าของงานศิลปะในแนวนี้ คือ การพิจารณาระดับความใกล้เคียง หรือความเหมือนกับต้นแบบในความสากลจากธรรมชาติ หรือจากชีวิต ดังนั้นวิถีทางการสร้างงาน ศิลปะของศิลปินที่ทำงานตามแนวมิเมติคนี้ คือลอกเลียนแบบให้เหมือนจริงให้ได้มากที่สุด 2. ทฤษฎีแพรกเมติก (pragmatic theories) เป็นแนวทางที่มีผู้ชมเป็นแกนกลาง เน้นการ เป็นกระบวนการ หรือการเป็นสื่อกลาง ดังนั้น งานศิลปะในแนวนี้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ทำให้เกิดผล อย่างใดอย่างหนึ่งในตัวผู้ชม การพิจารณาคุณค่าของงานศิลปะในแนวแพรกเมติก คือ การพิจารณา ตามระดับที่งานศิลปะจะสามารถสร้างความพึงพอใจ หรือความรู้สึกหนึ่งๆในตัวผู้ชมหรือประสิทธิภาพ ของงานศิลปะในการให้สาระความรู้แก่ผู้ชม ซึ่งสามารถใช้เป็นหลัก หรือแนวทางในการประเมินคุณค่า ของงานศิลปะในโอกาสต่อไปในภายหน้า 3. ทฤษฎีเอกเพรสซีพ (expressive theories) เป็นแนวทฤษฎีที่ยึดตัวศิลปินผู้สร้างงาน ศิลปะเป็นศูนย์กลาง ความหมายของงศิลปะตามแนวนี้ คือ การแสดงออกตามอารมณ์ หรือ ความรู้สึก ของศิลปิน ดังนั้นการประเมินคุณค่าของงานศิลปะในแนวนี้ คือการพิจารณาจากระดับที่ทำงานศิลปะ สามารถแสดงออกซึ่งอารมณ์ของศิลปิน 4. ทฤษฎีออบเจคทีฟ (objective theories) เป็นแนวที่ยึดงานศิลปะเป็นศูนย์กลางกล่าว คือเป็นแนวทฤษฎีที่มีความเชื่อว่า งานศิลปะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวของมันเองโดยไม่จำเป็นต้องงอาศัย
25 แหล่งอ้างอิงจากภายนอก คุณค่าดังกล่าวอาศัยเพียงหลักและกฎเกณฑ์ทางศิลปะที่ปรากฎอยู่ในตัว งานศิลปะเอง สรุปได้ว่า ผลงานศิลปะเป็นจินตนาการที่จะสร้างผลงานที่ผู้สร้างแสดงถึงความรู้สึก ต่างๆ ผ่านออกมาเป็นผลงานที่มีความสวยงามในรูปแบบของตนเอง มีทักษะในการทำงานปรากฏให้เห็นใน ด้านต่างๆเป็นการรับรู้คุณค่าของความงามที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกและจิตใจของแต่ละคนเป็นตัว กำหนดการรับรู้ความงามได้จากสภาวะความสัมพันธ์ของ วัตถุและจิตใจ 2.4 จุดมุ่งหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เลิศ อานนัทนะ (2555: 44-46) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ ไว้ดังนี้ 1. ด้านการส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา 1.1 เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ 1.2 เพื่อเสริมสร้างความฉับไวในการเรียนรู้ 1.3 เพื่อฝึกทักษะการสังเกต 1.4 เพื่อฝึกกระบวนการทางด้านสติปัญญา เช่น การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การ วางแผน รวมทั้งการประเมินค่าในผลงานที่ตนได้แสดงออกจนสำเร็จ 1.5 เพื่อพัฒนาภาษา สื่อสารความคิดของตนเองให้ผู้อื่นเข้าใจได้ 2. ด้านการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย 2.1 เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อเล็กและประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ 2.2 เพื่อฝึกให้เด็กมีโอกาสได้ใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการเคลื่อนไหว เพื่อความ แข็งแรงและมีทักษะในการทำงานคล่องแคล่วดีขึ้น 2.3 เพื่อฝึกทักษะในการแสดงออกทางศิลปะผ่านรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย 3. ด้านการส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์จิตใจ สังคม 3.1 ผ่อนคลายความเครียด มีสุขภาพจิตดี ชื่นชมในสิ่งที่สวยงาม 3.2 เพื่อส่งเสริมความเชื่อมั่นในตนเอง 3.3 เพื่อส่งเสริมให้เกิดความสนใจและเข้าใจธรรมชาติรอบตัว 3.4 เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดความรู้สึกที่ดีงามต่อผู้คน สามารถมองโลกด้วยสายตาที่สวยงาม สดใส 3.5 เพื่อส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในด้านความอดทน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 3.6 เพื่อช่วยบำบัดอาการทางจิตของเด็ก เช่น เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง เศร้าซึม 3.7 เพื่อฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม 3.8 เพื่อฝึกความรับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 3.9 เพื่อส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออก
26 3.10 เพื่อฝึกให้เด็กมีวินัยในตัวเอง รู้จักทำงานที่มีระเบียบ 3.11 เพื่อเรียนรู้และฝึกหัดทางด้านสังคม เช่น การปรึกษาหารือ การรอคอย รู้จักลดความ ต้องการของตนเองลงและการประณีประนอม สัตยา สายเชื้อ (2551: 39-40) กล่าวถึง จุดมุ่งหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ไว้ดังนี้ เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระ เพื่อเสริมสร้างความฉับไวด้านการรับรู้ครูไม่ควรบีบบังคับ ให้เด็กทำในสิ่งที่ครูต้องการ ครูควรยั่วยุให้เด็กได้หัดเขียนหรือแสดงออกอย่างอิสระ ตามความพอใจ ถึงแม้ว่าจะเพียงระยะสั้น ๆ ก็ตาม 2. ส่งเสริมปลูกฝังทักษะประสาทสัมผัสและทัศนะด้านการเห็น และปลูกฝัง ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ รักสวยรักงาม มองเห็นความงามตามธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ ต้นหญ้า ดอกหญ้า ผีเสื้อ แมลง ท้องฟ้า พื้นน้ำลำธาร 3. ให้เด็กรู้จักสังเกตและพิจารณาสิ่งต่างๆ ในด้านศิลปะ ถ้าไม่สามารถนำเด็กออกไปข้างนอก สถานได้ ครูควรหาภาพนิ่ง สไลด์ และวีดีทัศน์ นำมาให้เด็กดู เพื่อที่เด็กจะได้สังเกตและ พูดคุยกัน นอกจากนี้ ครูอาจให้สังเกตต้นไม้ บ้าน รถยนต์ รถไฟ ดอกบัว ใบบัว ใบตอง กล้วย ใบกล้วย และผลไม้อื่นๆ 4. ฝึกให้เด็กได้มีโอกาสใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้แข็งแรง และมีความพร้อม เช่นการปั้นดิน ปั้นแป้ง ขยำกระดาษ การสังเกตของเด็กจะทำให้เด็กอยากสร้างกิจกรรมเพื่อฝึก กล้ามเนื้อมือและตาให้สัมพันธ์กัน 5. ให้เด็กรู้จักใช้เครื่องมือเครื่องใช้ประกอบการเรียนการสอน เช่น พู่กัน จานสี แก้วน้ำเปียก กาว และกระดาษ รู้จักใช้เก็บรักษาความสะอาด 6. ให้เด็กรู้จักชนิดและจำนวนของสีทั้งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติและสีที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สีจาก พืช ดอกไม้ และดิน วัสดุมีสี และสีวิทยาศาสตร์ เช่น สีเทียน สีน้ำฯลฯ 7. ฝึกทักษะในการแสดงออกทางศิลปะ ซึ่งอาจจะไม่ใช่กิจกรรมทางการวาด อย่าง เดียวอาจ จะเป็น ตัด ฉีก ปะ เขียนภาพด้วยนิ้วมือ หรือพับกระดาษ พิมพ์สี ทดลองสี พ่นสี เป่าสี เทสีหยดสี หลาย ๆ กิจกรรม 8. ฝึกให้เด็กรู้จักทำงานที่มีระเบียบและเก็บกวาดล้าง รักษาความสะอาด เพื่อความ มีวินัย ในตนเอง สิริพรรณ ตันติรัตน์ไพศาล (2555: 31–32) กล่าวถึง การจัดประสบการณ์ศิลปะในระดับ ปฐมวัย เป็นการอบรมเบื้องต้น มิได้มุ่งให้เด็กวาดรูปเก่ง แต่เพื่อปลูกฝังให้เด็กมีนิสัยอันดีงาม และมี ความพร้อมในการเรียนดังมีความมุ่งหมาย ดังนี้
27 1. เพื่อฝึกและเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ให้เด็กรู้จักใช้ประสาทสัมผัสให้สัมพันธ์ กันได้ อย่างเหมาะสม 2. เพื่อส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การรู้จักสังเกต การมีไหวพริบสามารถ แสดงออก ตามความถนัด ความสามารถของแต่ละคน และชื่นชมต่อสิ่งที่สวยงามต่าง ๆ 3. เพื่อการพัฒนาทางกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และบุคลิกภาพ 4. ปลูกฝังค่านิยม เจตคติ และคุณสมบัติที่ดีของศิลปะและวัฒนธรรมไทย 5. เพื่อให้เด็กเริ่มต้นรู้จักการใช้เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ในการทำงานศิลปะ รู้จัก การเก็บ รักษา และการทำความสะอาดอย่างถูกต้อง 6. เพื่อฝึกให้รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม เป็นคนมีระเบียบประณีต 7. เพื่อให้เด็กมีโอกาสแสดงออกอย่างอิสระ สนุกสนานเพลิดเพลิน และใช้เวลาว่าง ให้เกิด ประโยชน์ 8. เพื่อนำไปใช้ให้สัมพันธ์กับการจัดประสบการณ์ด้านอื่น ๆ สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อประโยชน์ทางการ ส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์ตามจินตนาการ ทักษะทางสมอง แสดงออกทางศิลปะและปลูกฝังทักษะประสาท สัมผัส พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ทักษะด้านการเห็น รู้จักวางแผนจัดการในการทำงาน มุ่งไปสู่เป้าหมาย รู้จัก รอคอย มีความมั่นใจในตัวเองโดยมุ่งพัฒนาเด็กให้ครบทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญา 2.5 ประเภทของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัยมี วัสดุอุปกรณ์ในการท ากิจกรรมหลากหลาย ชนิด ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กได้ฝึกการนับ จำนวนได้อย่างดี และมีผู้กล่าวถึงประเภท ของกิจกรรมศิลปะไว้ต่างกันดังนี้ รวิพร ผาด่าน (2557: 31) กล่าวถึง ประเภทของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ได้แก่ กิจกรรม วาดเส้น กิจกรรมประดิษฐ์ตกแต่ง กิจกรรมประติมากรรม กิจกรรมภาพพิมพ์ กิจกรรมระบายสี โดยเฉพาะกิจกรรมศิลปะประดิษฐ์สำหรับเด็กปฐมวัยนั้นเน้นให้เด็กได้สัมผัสกับสื่อ วัสดุที่หลากหลาย เหมาะสมกับวัยและความต้องการของเด็กมีหลากหลายกิจกรรม และการร้อยดอกไม้เป็นกิจกรรมหนึ่ง ที่ช่วยพัฒนาด้านกล้ามเนื้อเล็ก การใช้มือ และนิ้วมือ ให้ประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา ซึ่งจะช่วย การแสดงออกทางการคิดและสร้างสรรค์งานได้เป็นอย่างดี เสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสี รูปทรง โดยการ นำสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมาเป็นอุปกรณ์ในการประดิษฐ์ เช่น ดอกไม้ ใบไม้ เป็นต้น พรเพ็ญ บัวทอง (2555: 22) กล่าวถึง การจัดกิจกรรมศิลปะให้กับเด็กปฐมวัย มี หลากหลาย กิจกรรม และสิ่งสำคัญเป็นกิจกรรมที่เน้นให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ ให้โอกาสเด็กได้แสดงออก ตามความ
28 สนใจตามความคิดและจินตนาการ กิจกรรมยังส่งเสริมพัฒนาการเด็กในทุกด้าน เด็กได้มี โอกาสได้ทำ กิจกรรมร่วมกับเพื่อน ได้ช่วยเหลือแบ่งปันสิ่งของกัน อันจะน าไปสู่พฤติกรรมทางสังคมที่ดี และการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ต่อไป สัตยา สายเชื้อ (2551: 66-163) กล่าวถึง กิจกรรมทางศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัยเป็น 7 ประเภทดังนี้ 1. กิจกรรมวาดเส้นและระบายสี 1.1 กิจกรรมวาดเส้นตามแบบมือ 1.2 การเขียนภาพด้วยสีเทียน 1.3 การเขียนภาพด้วยสีน้ำและสีเทียน 1.4 การสร้างสรรค์ด้วยสีตามแบบที่ก าหนดให้ 1.5 เทคนิคการขูดสีเทียน 1.6 การพับสี 1.7 การเป่าสี 1.8 เทคนิคสีซึม 2. กิจกรรมศิลปะด้วยสีธรรมชาติ 2.1 การเขียนภาพด้วยนิ้วมือ 2.2 การวาดเส้นด้วยกาวลาเท็กซ์ 2.3 การเขียนภาพด้วยใบตำลึง 2.4 การเขียนภาพด้วยขมิ้น 2.5 การเขียนภาพด้วยดอกอัญชัน 2.6 การเขียนภาพด้วยปูนแดง ดินลูกรัง 2.7 การเขียนภาพด้วยดินโคลน 2.8 การสร้างภาพด้วยดอกไม้ ใบหญ้า 2.9 การสร้างภาพด้วยน้ำมะนาวหรือสารส้ม 2.10 การเขียนภาพด้วยด่างทับทิม 2.11 เทคนิคการเขียนสีผสมทราย 3. กิจกรรมภาพพิมพ์ 3.1 ภาพพิมพ์จากวัสดุ 3.2 การพิมพ์ภาพด้วยเส้นด้าย 3.3 การพิมพ์ภาพด้วยกระดาษขยุ้ม 3.4 การพิมพ์ภาพด้วยดินน้ำมัน 3.5 การพิมพ์ภาพด้วยใบไม้ 3.6 การพิมพ์ภาพด้วยมันเทศและมะละกอ
29 3.7 การพิมพ์ภาพด้วยก้านกล้วย 4. กิจกรรมประติมากรรม 4.1 การปั้นดินเหนียวหรือดินน้ำมัน 4.2 การปั้นก้อนแป้ง 4.3 การปั้นกระดาษเปื่อยผสมแป้งเปียก 4.4 การปั้นหน้ากาก 4.5 การปั้นกระดาษ (ขยำกระดาษ) 4.6 โมบาย 5. กิจกรรมกระดาษ 5.1 การขยำกระดาษ 5.2 การสร้างสรรค์ภาพด้วยกระดาษทิชชู (หรือเศษกระดาษย่น) 5.3 กิจกรรมการฉีก ตัด ปะด้วยกระดาษ 5.4 กิจกรรมสร้างภาพด้วยวิธีโมเสก 5.5 การสร้างภาพด้วยกระดาษ (บิดกระดาษ) 5.6 ศิลปะด้วยกระดาษม้วน 5.7 หน้ากากด้วยกระดาษ 5.8 การพับกระดาษ 6. กิจกรรมประดิษฐ์ตกแต่ง 6.1 กิจกรรมประดิษฐ์ตกแต่ง 6.2 กิจกรรมการประดิษฐ์ตกแต่งภาพสัตว์ (ในน้ำ) 6.3 กิจกรรมประดิษฐ์ตกแต่งจากขวดพลาสติก 6.4 กิจกรรมประดิษฐ์เครื่องดนตรีด้วยเศษวัสดุ 6.5 กิจกรรมการประดิษฐ์เศษวัสดุ 6.6 กิจกรรมตกแต่งลายบนภาชนะดินเผา 7. กิจกรรมการจัดนิทรรศการเด็ก 7.1 กิจกรรมนิทรรศการทุกสัปดาห์ 7.2 กิจกรรมนิทรรศการวันสำคัญ 7.3 กิจกรรมนิทรรศการเสริมความรู้ สรุปได้ว่า การแบ่งประเภทกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สามารถแบ่งเป็น 7 ประเภท ได้แก่ กิจกรรมวาดภาพและระบายสี กิจกรรมการเล่นกับสีน้ำ กิจกรรมการพิมพ์ภาพ กิจกรรมการปั้น กิจกรรมการฉีก ตัด ปะกระดาษ กิจกรรมการพับกระดาษ และกิจกรรมงานประดิษฐ์เศษวัสดุ
30 ซึ่ง งานวิจัยฉบับนี้ได้จัดกิจกรรมให้เด็กครบทั้ง 7 ประเภท เพราะเป็นกิจกรรมที่เด็กระดับอนุบาล สามารถทำได้และเข้าใจได้ง่าย 2.6 แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย แนวทางในการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย เป็นการส่งเสริมความเป็นอิสระ ทางด้านความคิด จินตนาการตามความต้องการและความสามารถของเด็ก มุ่งให้เด็กเป็นผู้ริเริ่ม สร้างสรรค์งาน ช่วยให้เด็กมีอิสรภาพและกระตือรือร้นต่อการรับรู้สิ่งต่างๆได้ โดยครูต้องมีความ เชื่อมั่นในตัวเด็กกระตุ้นให้กำลังใจและสนับสนุนให้เด็กได้แสดงออกตามทักษะ ความสามารถตามวัย ที่พึงกระทำได้ เพื่อให้เด็กได้รับผล สำเร็จในการทำกิจกรรมตามความสามารถ ซึ่ง จะช่วยให้เด็กเกิด ความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง ซึ่งมีผู้ให้แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ดังนี้ ธนวดี ศุกระกาญจน์, (2554: 29-30 อ้างถึงใน ฮิลเดอร์แบรนด์, 2015: 228-229) กล่าวถึง แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ให้กับเด็กปฐมวัย ไว้ดังนี้ 1. ให้ความสำคัญในกระบวนการทำงานของเด็กมากกว่าคำนึงถึงผลงานของเด็ก 2. ให้ความสนับสนุนการแสดงออกทางด้านการสร้างสรรค์ โดยหลีกเลี่ยงการให้เด็ก วาดลอกเลียนแบบหรือวาดภาพระบายสีจากสมุดทำให้เด็กไม่ได้ใช้ความคิดอิสระ ซึ่งทั้งสองแบบนี้ มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ 3. แสดงความชื่นชมต่อผลงานความก้าวหน้าของเด็ก 4. วางแผนและเตรียมกิจกรรมต่างๆ สำหรับเด็กให้พร้อม 5. จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ให้เด็กสามารถหยิบได้ง่ายและสะดวกในการใช้ 6. หลีกเลี่ยงคำถามที่ว่า “กำลังทำอะไรอยู่” หรือเดาว่าสิ่งที่เด็กทำคืออะไร 7. ฝึกฝนและแนะนำให้เด็กได้ลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง รู้จักการแสดงออก และมี ทัศนคติที่ดี ต่องานศิลปะ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมตามวุฒิภาวะของเด็กด้วย 8. ให้คิดว่ากิจกรรมทางด้านศิลปะมีความสำคัญเหมือนกับการจัดประสบการณ์ใน การเขียน และการอ่าน 9. ให้ความรู้ในด้านศิลปะแก่เด็ก เช่น เรื่องสี ขนาด และรูปร่าง เป็นต้น 10. อธิบายให้ผู้ปกครองเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายและแนวทางในการส่งเสริมการ สร้างสรรค์ ทางด้านศิลปะแก่เด็ก สุดารัตน์เพชรรูจี (2555: 60) ได้เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ สำหรับ เด็กปฐมวัยไว้ดังนี้ 1. จัดกิจกรรมที่สนุกสนานและสอดแทรกความรู้ทางศิลปะบ้างเล็กน้อย เช่น ระบายสีด้วย
31 แปรงหรือพู่กันขนาดใหญ่ การวาดภาพด้วยนิ้วมือและมือ เขียนรูปด้วยสีเทียนแท่งใหญ่ ๆ ปั้นดิน เหนียวหรือดินน้ำมัน (ให้เล่นกับดิน) ทำโครงสร้างต่าง ๆ ด้วยกล่องกระดาษ แท่งไม้ ฉีกกระดาษ ปะ ติดเป็นภาพ พิมพ์ภาพด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น ไม้จิ้มฟัน ไม้ขีด แขนงไม้ เป็นต้น 2. กระตุ้นให้แสดงออกโดยใช้เรื่องราวจากประสบการณ์ของเด็กเอง และมีตัวเอง เข้าไป เกี่ยวข้องเสมอ เช่น ให้หัวข้อว่า ฉันกับครู ฉันกับเพื่อน ฉันกับพ่อแม่ ฉันไปตลาด สัตว์ที่ฉันชอบ บ้าน ของฉัน เป็นต้น 3. ขณะที่ทำงาน ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เคลื่อนไหวได้เต็มที่ เพราะเด็กวัยนี้ไม่ชอบ นั่งโต๊ะ ทำงาน ชอบทำงานบนพื้นหรือยืนที่โต๊ะ 4. ให้ทำงานเป็นกลุ่มบ้าง เพื่อฝึกให้มีพัฒนาการทางสังคม แต่ครูต้องคอยช่วยเหลือ อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทำงานด้วยกันได้ 5. ตระหนักอยู่เสมอว่าต้องเปิดโอกาสให้เด็กแสดงออกมากที่สุด ผลงานจะเป็นเช่น ไรไม่ สำคัญ บางครั้งรูปจะดูเหมือนกับมีสีเละเทะ เส้นลายไม่แน่นอน นั่นคือสิ่งที่เด็กภาคภูมิใจ 6. อย่าสอนวิธีการเขียนภาพเป็นขั้นตอน หรือเขียนให้ดูและให้เด็กทำตาม หน้าที่ ของครู คือผู้กระตุ้นด้วยคำพูดแล้วให้เด็กทำเอง เพื่อเป็นการเสริมความคิดสร้างสรรค์ เลิศ อานนัทนะ (2555: 45) กล่าวถึง การแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เป็นวิธีจัด ประสบการณ์ ศิลปะวิธีหนึ่งซึ่งมีคุณค่าแก่เด็ก ดังนี้ 1. เปิดโอกาสให้เด็กเลือกแนวความคิด หรือเนื้อเรื่องของตนเองในการแสดงออก 2. เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระตามวิธีการของตน 3. ให้สิทธิในการสร้างงานด้วยตนเอง ธนวดี ศุกระกาญจน์, (2554: 26 อ้างถึงใน ปีเตอร์สัน, 1958: 101) กล่าวถึง เด็กทุกคนมีขีด ความสามรถของการสร้างสรรค์ในด้านศิลปะแตกต่างกัน แต่เด็กแต่ละคนก็สามารถ ปรับปรุงและ พัฒนาขึ้นได้ภายในขอบเขต และความสามารถของตนเช่นเดียวกัน นอกจากนี้เด็กเล็กๆ มีการสร้างสรรค์และต้องการแสดงออกทั้งทางด้านความคิดและความรู้สึกต่าง ๆ ศิลปะเป็นแนวทาง หนึ่งในการแสดงออกของเด็ก ซึ่งเด็กต้องการโอกาสได้แสดงออกทั้งยังสามารถถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึก และความเข้าใจรวมทั้งบุคลิกภาพและความเป็นอิสระของเด็กออกมาได้ สิ่งเหล่านี้ถ่ายทอด มาจากประสบการณ์ และจินตนาการของเด็กแต่ละคน สรุปได้ว่า แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ต้องคำนึงถึงตัวเด็กเป็นสำคัญ เพราะ เด็กแต่ละคนมีความสามารถในด้านศิลปะที่แตกต่างกัน แต่เด็กก็สามารถพัฒนาได้ภายใน ขอบความสามารถของตนเอง ศิลปะเป็นแนวทางหนึ่งในการแสดงออกของความคิดสร้างสรรค์ ตามจินตนาการ และสื่อความหมายให้ผู้อื่นรู้ว่าเขาคิดอะไร อย่างไร
32 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับศิลปะสร้างสรรค์ งานวิจัยในต่างประเทศ ประพิมพ์พักตร์ พละพงศ์, (2556: 36 อ้างอิงใน Stapp, 1964: 52 – 58) ศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความคิดสร้างสรรค์และสติปัญญาของนักเรียนที่เรียนศิลปะและไม่เรียนศิลปะ พบว่า ความคิดสร้างสรรค์และสติปัญญาไม่มีความสัมพันธ์กันแต่นักเรียนที่เรียนศิลปะได้คะแนน ความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าพวกที่ไม่เรียนศิลปะ เคลลี่ (1986: 32 – 33) ศึกษาเปรียบเทียบผลการฝึกตามแบบแผนเสริมสร้างประสบการณ์ ทางศิลปะเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะเป็นเวลา 10 สัปดาห์ในชั้นประถมศึกษาปีที่1 ผลปรากฏว่าความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กที่เข้าร่วมตามแผนกับเด็กที่ไม่ได้เข้าร่วมตามแผน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจากงานเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางสังคม และการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ สรุปว่าการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ให้กับเด็กปฐมวัย สามารถส่งเสริมพฤติกรรมทางสังคม ของเด็กปฐมวัยได้เป็นอย่างดีเนื่องจากพฤติกรรมทางสังคมเป็น พื้นฐานสำคัญในการดำรงชีวิตประจำวันและการทำกิจกรรมต่างๆของเด็กยังส่งเสริมพฤติกรรมทาง สังคมที่เป็นที่ยอมรับไม่เต็มที่ ต้องอาศัยการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมทางสังคมที่ดีและ เป็นที่ยอมรับ เช่น การจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติท้องถิ่น การตัด ฉีก ปะ การ ร้อย สาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เด็กได้ทำร่วมกับเพื่อนล้วนเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมพฤติกรรมทางสังคม ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับเข้าสู่สังคมต่อไป งานวิจัยภายในประเทศ นักวิชาการในประเทศได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ไว้ดังนี้ พรพรรณ รำไพรุจิพงศ์ (2550: 58-60) ได้ทำการศึกษาทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัย ที่ทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์การวาดภาพประกอบการพิมพ์ภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา และ เปรียบเทียบทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์การ วาดภาพ ประกอบการพิมพ์ภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัยชาย–หญิง อายุระหว่าง 4–5 ปีชั้น อนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดมัชฌิมภูมิ) สังกัดสำนัก การศึกษาเทศบาลนครตรัง จังหวัดตรัง จำนวน 20 คน ระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ โดยจัด สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที รวมทั้งสิ้น 40 ครั้ง ผลการวิจัยพบว่า ทักษะการเขียน ของเด็กปฐมวัยหลังการทำกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์การวาดภาพประกอบการพิมพ์ภาพสูงกว่าก่อน ทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์การวาด ภาพประกอบการพิมพ์ภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และพบว่า เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่มี ทักษะการเขียน ทั้งโดยรวมและรายด้านเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อย ละ 95.00 ของนักเรียนทั้งหมด
33 ศรีแพร จันทราภิรมย์ (2550: 61-63) ได้ทำการศึกษาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ที่ ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้เปลือกข้าวโพด โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนา และเปรียบเทียบ ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ โดยใช้เปลือกข้าวโพด กลุ่ม ตัวอย่างเป็นเด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2549 โรงเรียน สาธิตอนุบาลราชมงคล คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีจำนวน 15 คน ระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วัน ละ 35 นาที รวม 24 ครั้ง ณภัทสรณ์ นรกิจ (2555: 65-66) ได้ทำการศึกษาความสามารถในการใช้มือของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยเมล็ดพืช โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบ ความสามารถในการใช้มือของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วย เมล็ดพืช กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัยชาย–หญิง อายุ 5–6 ปี ที่กำลังศึกษาชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาค เรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2554 โรงเรียนสังฆประชานุสรณ์ สำนักงานเขตหนองจอก สังกัด กรุงเทพมหานคร โดยการคัดเลือก เด็กจากคะแนน 15 อันดับสุดท้ายของห้อง และได้ทำการทดลอง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที รวม 24 ครั้ง ผลการวิจัย พบว่า ความสามารถในการใช้มือของเด็กปฐมวัย ภายหลังจากได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วย เมล็ดพืชสูงขึ้นกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ด้วยเมล็ดพืชอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01 จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย สรุปได้ว่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยอย่างยิ่ง และสามารถนำ สิ่งของ หรือวัสดุต่าง ๆ ในท้องถิ่นใกล้ตัวเด็ก มาจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่เด็ก เพื่อพัฒนา ทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยและการบอกเหตุผลสำหรับเด็กปฐมวัยได้ เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ทำ ให้เด็กได้ หยิบ จับ สัมผัส ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ได้รับประสบการณ์ตรง ทำให้เกิดทักษะ ในด้านยั้ง คิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ ได้เป็นอย่างดี
34 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ของเด็กปฐมวัยที่มีต่อทักษะทักษะทางสมอง และเพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยที่ ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยดังนี้ 1. แบบแผนการจัดกิจกรรม 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3. เครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1.แบบแผนการแผนการจัดกิจกรรม การวิจัยครั้งนี้ใช้แบบแผนการทดลองกลุ่มเดียวสังเกตก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ (One-Group Pretest-Posttest Design) (พิชิต ฤทธิจรูญ. 2551: 138) ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 3.1 แบบแผนการทดลอง ก่อนจัดกิจกรรม ทดลอง หลังจัดกิจกรรม T1 X T2 T1 แทน คะแนนก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ X แทน การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ T2 แทน คะแนนหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์
35 2.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยที่มีอายุ 3 - 4 ปี ที่กำลังศึกษาใน ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดีจำนวน 90 คน 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยที่มีอายุ 3 – 4 ปี ที่กำลังศึกษาใน ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม ทั้งนี้เด็ก มีพัฒนาการและบริบทใกล้เคียงกัน 3.เครื่องมือ การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 1. แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ การสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ดำเนินการ ดังนี้ 1.1 ศึกษาเอกสารคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 1.2 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ของ รวิพร ผาด่าน (2557) เลิศ อานนัทนะ (2555) วรุณ ตั้งเจริญ (2555) ชลธิชา ชิวปรัชา (2555) และสมศรี เมฆไพบูลย์วัฒนา (2556) เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการสร้างแผนการจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ 1.3 ดำเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จำนวน 24 แผน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แต่ละประเภท ดัง ตารางที่ 3.2 ตารางที่ 3.2 แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ สัปดาห์ที่ วัน กิจกรรม ทักษะทางสมองEF 1 จันทร์ 1.วาดภาพระบายสีต้นไม้ การยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ พุธ 2.วาดภาพด้วยถ่าน พฤหัสบดี 3.วาดภาพต่อเติมด้วยสีเทียน ศุกร์ 4.วาดภาพด้วยนิ้ว
36 ตารางแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์(ต่อ) สัปดาห์ที่ วัน กิจกรรม ทักษะทางสมองEF 2 จันทร์ 5.การสร้างภาพจากเมล็ดพืช การยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ พุธ 6.การสร้างภาพจากหลอด พฤหัสบดี 7.การสร้างภาพจากไหมพรม ศุกร์ 8.การสร้างภาพจาหนังสือพิมพ์ 3 จันทร์ 9.ร้อยหลอดหลากสี การยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ พุธ 10.ร้อยลูกปัด ศุกร์ 11.กิจกรรมร้อยดอกไม้กระดาษ 4 จันทร์ 12.การปั้นดินน้ำมันตามรูปดาว การยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ พุธ 13.การปั้นดินน้ำมันตามรูป ดอกไม้ ศุกร์ 14.การปั้นดินน้ำมันตามพระอาทิตย์ 5 จันทร์ 15.พิมพ์ภาพจากก้านกล้วย การยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ พุธ 16.พิมพ์ภาพจากผักกาด พฤหัสบดี 17.พิมพ์ภาพจากใบไม้ ศุกร์ 18.พิมพ์ภาพจากไหมพรม 6 จันทร์ 19.ดอกไม้จากแก้วกระดาษ การยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ พุธ 20.กรอบรูปจากหลอด 7 จันทร์ 21.ทิดชู่มัดย้อม การยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ พุธ 22.ย้อมสีกระดาษ 8 จันทร์ 23.ต้นไม้ของหนู การยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ พุธ 24.ใบไม้แปรงร่าง
37 1.4 นำแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน 1. ผศ.วรัญญา ศรีบัว อาจารย์สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2. นางนันทาศิริ อธิราช ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี สำนักการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี 3. นางสาวราพร ทิศาใต้ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี สำนักการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกับสาระ จุดประสงค์ความเหมาะสมของวิธีการ และคำถามที่ใช้ 1.5 ปรับปรุงและแก้ไขแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามคำแนะนำของ ผู้เชี่ยวชาญ 1.6 นำแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่ปรับปรุงไปทดลอง (Try out) กับเด็กปฐมวัยจำนวน 30 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 1.7 นำแผนที่ได้จากการทดลอง (Try out) มาปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับเวลา สื่อ และพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามลำดับ ดังแสดงในภาพที่ 2 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ศึกษาเอกสารคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดำเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จำนวน 24 แผน
38 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ (ต่อ) ภาพที่ 3 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.การสร้างแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยดำเนินการตามลำดับ ดังนี้ 1. ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทาง สมอง ของเด็กปฐมวัย เพื่อเป็นแนวทางการสร้างแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็ก ปฐมวัยของศิรินันท์ ทองเงิน (2563) นิตยา พิมพ์ทอง (2564)สุภาวดี หาญเมธี (2559) ประภัสสร คงดิศ (2554) และ นุชนาฎ รักษี (2560) โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน มีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 กลุ่มพื้นฐาน นำแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกับสาระ จุดประสงค์ ความเหมาะสมของวิธีการ และคำถามที่ใช้ ปรับปรุงและแก้ไขแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามคำแนะนำของ ผู้เชี่ยวชาญ นำแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่ปรับปรุงไปทดลอง (Try out) กับ เด็กปฐมวัยที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง นำแผนที่ได้จากการทดลอง (Try out) มาปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับเวลา สื่อ และพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง
39 1.1.1 การยั้งคิดไตร่ตรอง 1.1.2 การคิดยืดหยุ่น 1.2 กลุ่มปฏิบัติ 1.2.1 การริเริ่มลงมือทำ 2. สร้างแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย กำหนดระดับคุณภาพ ของทักษะทางสมอง เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 3 ระดับ ตามวิธีของ Likert Scaling มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 การยั้งคิดไตร่ตรอง หมายถึง ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม ความ ต้องการของตนเองหยุดคิดก่อนทำ มีความจดจ่อรักษาระดับความสนใจในเรื่องที่กำลังทำ การ จัดลำดับความสำคัญ และหยุดพฤติกรรมที่รบกวนผู้อื่นหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ให้ 3 แทน เมื่อเด็กปฐมวัยแสดงออกได้ด้วยตนเองทุกครั้ง ให้ 2 แทน เมื่อเด็กปฐมวัยแสดงออกได้ด้วยตนเองเป็นบางครั้งและ บางครั้ง ต้องให้ผู้อื่นบอก ให้ 1 แทน เมื่อเด็กปฐมวัยไม่แสดงออกเลย 2.2 การคิดยืดหยุ่น หมายถึง ความสามารถในการเปลี่ยนวิธีคิดได้ ไม่ยึดติดกับ ความคิดเดียว คิดนอกกรอบได้ ปรับตัวเข้ากับข้อเรียกร้องของสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็น เวลาเปลี่ยน ลำดับ ความสำคัญเปลี่ยน หรือเป้าหมายเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ให้ 3 แทน เมื่อเด็กปฐมวัยแสดงออกได้ด้วยตนเองทุกครั้ง ให้ 2 แทน เมื่อเด็กปฐมวัยแสดงออกได้ด้วยตนเองเป็นบางครั้งและ บางครั้ง ต้องให้ผู้อื่นบอก ให้ 1 แทน เมื่อเด็กปฐมวัยไม่แสดงออกเลย 2.3 การริเริ่มลงมือทำ หมายถึง ความสามารถในการริเริ่มและลงมือทำงานตามที่คิด มีทักษะในการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ตัดสินใจลงมือทำด้วยตนเองให้มีผลงานปรากฏขึ้นจริง ทันทีทันใด ให้ 3 แทน เมื่อเด็กปฐมวัยแสดงออกได้ด้วยตนเองทุกครั้ง ให้ 2 แทน เมื่อเด็กปฐมวัยแสดงออกได้ด้วยตนเองเป็นบางครั้งและ บางครั้ง ต้องให้ผู้อื่นบอก ให้ 1 แทน เมื่อเด็กปฐมวัยไม่แสดงออกเลย
40 3. สร้างคู่มือในการดำเนินการสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยให้ สอดคล้องกับแบบประเมินที่สร้างขึ้น 4. นำแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยและคู่มือดำเนินการสังเกตที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน 1. ผศ.วรัญญา ศรีบัว อาจารย์สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2. นางนันทาศิริ อธิราช ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี สำนักการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี 3. นางสาวราพร ทิศาใต้ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี สำนักการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย เพื่อตรวจสอบคุณภาพ และหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง แบบสังเกตกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 5. นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อ คำถามของแบบสังเกตทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยกับจุดประสงค์ ซึ่งได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง 6. นำแบบสังเกตทักษะพฤติกรรมทางสมองของเด็กปฐมวัยไปทดลอง (Try out) กับ เด็กปฐมวัยที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปฐมวัยปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี มีลักษณะคล้ายกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน แบบสังเกต มี ค่าอำนาจจำแนก (B) อยู่ระหว่าง 0.45 - 0.82 ซึ่งผู้วิจัยเลือกแบบสังเกตที่มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ 0.02 ขึ้นไป รวม 30 ข้อ ด้านละ10 ข้อ แบบสังเกตมีคุณภาพรายข้อและค่าความเชื่อมั่น ดังตารางที่ 3.3 ตารางที่ 3.3 แสดงคุณภาพของแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยโดยใช้ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ แบบสังเกตพฤติกรรม ทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย จำนวนข้อ ค่าอำนาจจำแนก(B) ค่าความเชื่อมั่น ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง 10 0.46-0.82 0.88 ด้านการคิดยืดหยุ่น 10 0.38-0.81 0.87 ด้านการริเริ่มลงมือทำ 10 0.45-0.82 0.89 รวม 30 0.45-0.82 0.89
41 7. นำแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วจัดพิมพ์ เป็นฉบับสมบูรณ์ แล้วนำไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง จากขั้นตอนการสร้างแบบสังเกตทักษะทาง สมองของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยได้สรุป เป็นขั้นตอนดังแสดงในภาพที่ 3 ขั้นตอนการสร้างแบบสังเกตทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย ขั้นตอนการสร้างแบบสังเกตทักษะทางสมองEFของเด็กปฐมวัย (ต่อ) สร้างแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย กำหนดระดับคุณภาพของ ทักษะทางสมอง เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 3 ระดับ ตามวิธีของ Likert Scaling มี 3 ระดับ ตามวิธีของ Likert Scaling นำแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยและคู่มือดำเนินการสังเกตที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย เพื่อตรวจสอบคุณภาพ และหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างแบบสังเกตกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ นำแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยไปทดลอง (Try out) กับเด็ก ปฐมวัยที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนก (B) และค่าความเชื่อมั่น นำแบบสังเกพฤติกรรมตทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วจัดพิมพ์ เป็นฉบับสมบูรณ์ แล้วนำไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทาง สมอง ของเด็กปฐมวัย