42 ภาพที่ 4 ขั้นตอนการสร้างแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย 4.การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ระยะก่อนการจัดกิจกรรม 7 วัน ผู้วิจัยนำแบบสังเกตทักษะทางทางสมองของเด็ก ปฐมวัยไปใช้สังเกตทักษะทางสมองกับกลุ่มตัวอย่างเป็นรายบุคคล 2. ผู้วิจัยจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ในภาคเรียนที่ 2 /2556 โดยใช้แผน การจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จำนวน 24 แผน 3. หลังจากทำกิจกรรมครบทั้ง 24 กิจกรรมแล้ว ทำการสังเกตและเปรียบเทียบ ก่อนและหลังจัดกิจกรรมกับกลุ่มตัวอย่างเป็นรายบุคคลแล้วนำมาตรวจให้คะแนน 4. นำคะแนนทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย ทั้งก่อนและหลังการจัดกิจกรรม ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ 5.การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยนำแบบสังเกตทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมมาให้ คะแนนและตรวจสอบความถูกต้อง และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ทางสถิติ ดังนี้ 1. ค่าสถิติพื้นฐานของทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 6.สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิตที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ ผู้วิจัยทำการ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้ 1.1 คะแนนเฉลี่ย ( X ) (ยุวดี มีชัย, (2563: 40 อ้างถึงใน ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543: 248 – 249) จากสูตร X = ∑X N เมื่อ X แทน คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งกลุ่ม N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง
43 1.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) จากสูตร S = √N∑x 2 -(∑ x )2 N(N-1) เมื่อ S แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง ∑X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งกลุ่ม X 2 แทน ผลรวมของกำลังสองของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มตัวอย่าง 1.3 ร้อยละ โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทาง สังคมศาสตร์ 2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 2.1 หาความเที่ยงตรงของแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยการหาค่าดัชนีความ สอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (Index of Item - Objcctive Congruence: IOC) คำนวณ จากสูตร ยุวดี มีชัย, (2563: 38 อ้างถึงใน ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543: 248 – 249) สูตร IOC= ∑R N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ ∑R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 2.2 หาค่าความเชื่อมั่น (Reliabilty : r) ของแบบประเมินพฤติกรรมของทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัย โดยวิธีของ Kuder & Richardson (KR – 20) รัตติกาล ทองเลาะ, (2563:51 อ้างถึง ใน พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552: 174) r tt = k k-1 [1- ∑pq S 2 ] เมื่อ r tt แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบสังเกตทั้งฉบับ p แทน ค่าความยากของแบบสังเกตแต่ละข้อ q แทน สัดส่วนค่าความยากแต่ละข้อ (q = 1 - p) S 2 แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนนรวม
44 k แทน จำนวนข้อคำถามในแบบสังเกต 2.3 ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหารายข้อ ด้วยการคำนวณความสอดคล้องระหว่างแบบ สังเกตพฤติกรรมของทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยกับจุดประสงค์ทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย ใช้สูตร (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543: 248 – 249) สูตร IOC= ∑R N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสังเกตกับจุดประสงค์ ∑R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 2.4 หาค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของแบบสังเกตพฤติกรรมของทักษะทาง สมองของเด็กปฐมวัย โดยใช้สูตรของ Brennan พิชิต ฤทธิ์จรูญ, (2552 :140 อ้างอิงใน รัตติกาล ทอง เลาะ 2563: 51) สูตร B= B N1 − U N2 เมื่อ B แทน ดัชนีค่าอำนาจจำแนกแบบสังเกตแบบอิงเกณฑ์ U แทน จำนวนผู้เรียนที่ประเมินของกลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ L แทน จำนวนผู้เรียนที่ประเมินของกลุ่มที่ไม่เกณฑ์ผ่านเกณฑ์ N1 แทน จำนวนผู้เรียนที่ประเมินผ่านเกณฑ์ N2 แทน จำนวนผู้เรียนที่ประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ เกณฑ์ในการพิจารณาค่าอำนาจจำแนก ค่าอำนาจจำแนกมีค่าตั้งแต่ -1.00 ถึง +1.00 ข้อสอบ ที่ดีควรมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป ส่วนค่าอื่นๆ มีความหมาย ดังนี้ 0.40 < B < 1.00 แสดงว่า จำแนกได้ดี เป็นประเมินที่ดี 0.30 < B < 0.39 แสดงว่า จำแนกได้เป็นข้อประเมินที่ดีพอสมควรอาจต้องปรับปรุงบ้าง 0.20 < B <0.29 แสดงว่า จำแนกพอดี แต่ต้องปรับปรุง -1.00 < B < 0.19 แสดงว่า ไม่สามารถจำแนกได้ หรือต้องตัดทิ้ง
45 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ที่มีต่อทักษะทักษะทางสมองและเพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมซึ่งผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 1.สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3.ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1.สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดสัญลักษณ์และอักษรย่อที่ใช้ในการวิเคราะห์และ แปลผลข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนเด็กปฐมวัยในกลุ่มตัวอย่าง X แทน ค่าเฉลี่ย S.D แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน t แทน ค่าสถิติที่ใช้พิจารณาใน t-diatribution 2.ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำเสนอเป็นลำดับ ดังนี้ ตอนที่ 1. ผลการศึกษาการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่มีผลต่อทักษะพื้นฐานทางสมอง ของเด็กปฐมวัย ปีที่ 1/3 ดังแสดงในตอนที่ 1 ตอนที่ 2. เปรียบเทียบคะแนนทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยในแต่ละด้านที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ค่าสถิติพื้นฐานได้แก่ โดยรวม และ รายทักษะระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ค่าเฉลี่ยและความเบี่ยงเบน มาตรฐานของคะแนนทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย โดยรวมและรายทักษะ เป็นการเสนอระดับ ทักษะทางสมอง ดังแสดงในตอนที่ 2
46 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ผลการศึกษาการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่มีผลต่อทักษะพื้นฐานทางสมอง ของเด็กปฐมวัย ปีที่ 1/3 ตารางที่ 4.1 ผลการศึกษาการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่มีผลต่อทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยปีที่ 1/3 ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ด้านการคิดยืดหยุ่น ด้านการริเริ่มลงมือทำ ทักษะทางสมอง คะแนนรวม ก่อน การจัดกิจกรรม คะแนนรวม หลัง การทำกิจกรรม คะแนะรวม ร้อยละ 1.ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง 470 551 61.22 2.ด้านการคิดยืดหยุ่น 532 619 68.22 3.ด้านการริเริ่มลงมือทำ 613 659 73.22 คะแนนรวมของทักษะทาง สมองทั้ง3ด้าน 1615 1829 67.74 จากตารางที่ 4.1 คะแนนร้อยละหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่มีผลต่อทักษะทาง สมองของเด็กปฐมวัย ทักษะด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ทักษะด้านการคิดยืดหยุ่น และทักษะด้านการ ริเริ่มลงมือทำเด็กปฐมวัยมีความสามารถด้านทักษะทางสมองโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยรวม มีการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 67.74 ของเด็กปฐมวัย และเมื่อจำแนกตามรายด้านพบว่า เด็กปฐมวัยมีการเปลี่ยนแปลงทักษะสมองด้านการริเริ่มลงมือทำสูงขึ้นเป็นอันดับที่1 (ร้อยละ 73.22) ด้านการคิดยืดหยุ่น (ร้อยละ 68.29)เป็นอันดับที่2 และด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง (ร้อยละ 61.22) ตามลำดับ ตอนที่2 เปรียบเทียบคะแนนทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยในแต่ละด้านที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ค่าสถิติพื้นฐานได้แก่ โดยรวมและรายด้าน ทักษะระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ค่าเฉลี่ยและความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนนทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย โดยรวมและรายด้าน เป็นการเสนอระดับทักษะทาง สมอง
47 ตารางที่ 4.2 การเปรียบเทียบทักษะทางสมองก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ ด้านการยั้งไตร่ตรอง ทักษะทางสมอง ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง x̅ S.D. d̅ S.D.d t Sig.(2- tailed) ก่อนจัดกิจกรรม 18.97 4.33 3.13 3.56 4.82 * 0.0000 หลังจัดกิจกรรม 22.10 3.50 จากตารางที่ 4.2 พบว่า คะแนนหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ สูงกว่าก่อนการได้รับ การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ซึ่งมีคะแนนก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ18.97และหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ย 22.10 คะแนนส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานก่อน การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เท่ากับ 4.33 และหลัง 3.50 อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 ตารางที่ 4.3 การเปรียบเทียบทักษะทางสมองก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ ด้านการคิดยืดหยุ่น ทักษะทางสมอง ด้านการคิดยืดหยุ่น x̅ S.D. d̅ S.D.d t Sig.(2- tailed) ก่อนจัดกิจกรรม 15.67 2.28 2.70 2.12 6.98 * 0.0000 หลังจัดกิจกรรม 16.37 2.34 จากตารางที่ 4.3 จากตารางที่ 4.2 พบว่า คะแนนหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ สูง กว่าก่อนการได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ซึ่งมีคะแนนก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 15.67 และหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ย 18.37 คะแนนส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานก่อน การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เท่ากับ 2.28 และหลัง 2.34 อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
48 ตารางที่ 4.4 การเปรียบเทียบทักษะทางสมองก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ ด้านการริเริ่มลงมือทำ ทักษะทางสมอง ด้านการริเริ่มลงมือทำ x̅ S.D. d̅ S.D.d t Sig.(2- tailed) ก่อนจัดกิจกรรม 20.43 3.86 1.53 1.17 7.20 * 0.0000 หลังจัดกิจกรรม 21.97 3.83 จากตารางที่ 4.4 พบว่า คะแนนหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ สูงกว่าก่อนการได้รับ การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ซึ่งมีคะแนนก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 20.43 และหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ย 21.97 คะแนนส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานก่อน การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เท่ากับ 3.86 และหลัง 3.83 อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ที่มีต่อทักษะทางสมองและเพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม 1.วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่มีต่อทักษะทางสมอง 2.เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.สมมติฐานของการวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเปรียบเทียบทักษะทางสมองโดยใช้กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรม 3.ขอบเขตของการวิจัย ประชาการ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุระหว่าง 3-4 ปี ศึกษาอยู่ ในชั้นอนุบาลปีที่ 1 จำนวน 3 ห้องเรียน จำนวน 90 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียน เทศบาล 10 อนุบาลหนูดี สังกัดเทศบาลนครอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 4.การเลือกกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุระหว่าง 3-4 ปี จำนวน 1 ห้อง ศึกษาอยู่ในชั้นปฐมวัยปีที่ 1/1 มีลักษณะคล้ายกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี สังกัดเทศบาลนครอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นการเลือกแบบเจาะจง
50 5.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1. แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จำนวน 24 แผน 2. แบบสังเกตทักษะทางสมอง 2.1 ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง จำนวน 10 ข้อ 2.2 ด้านการคิดยืดหยุ่น จำนวน 10 ข้อ 2.3 ด้านการริเริ่มลงมือทำ จำนวน 10 ข้อ 6.การดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ทำการทดลองเป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน คือวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ ครั้งๆ ละ 30 นาที รวม 24 ครั้ง มีลำดับ ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขอความร่วมมือกับผู้บริหารโรงเรียนในการทำวิจัย 2. ชี้แจงให้ครูประจำชั้นทราบรูปแบบงานวิจัย และขอความร่วมมือในการดำเนินการวิจัย 3. สร้างความคุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมาย 4. ผู้วิจัยทำแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ด้านการคิดยืดหยุ่น และ ด้านการริเริ่มลงมือทำ ของเด็กปฐมวัยโดยใช้แบบสังเกต(Pre-test) กับเด็กกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นนำมาตรวจให้คะแนน 5. ผู้วิจัยดำเนินการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยจัดกิจกรรมเป็นสัปดาห์ละ 3 วัน (จันทร์ พุธ ศุกร์) จนสิ้นสุดการจัดกิจกรรม 6. เมื่อดำเนินการจัดกิจกรรมไปจนครบ 8 สัปดาห์ ผู้วิจัยทำการสังเกตพฤติกรรมทักษะ ทางสมองแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ด้านการคิดยืดหยุ่น และ ด้านการริเริ่มลงมือทำ ของเด็กปฐมวัยโดยใช้แบบแบบสังเกต (Pre-test) กับกลุ่มเป้าหมายหลังการจัดกิจกรรม 7.การวิเคราะห์ข้อมูลของการวิจัย สถิติที่ใช้ในการประเมินโดยการใช้แบบสังเกต สมมุติฐานใช้สูตร t-test (dependent sample) สถิติพื้นฐาน 1. สถิตที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่ คะแนนเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และร้อยละ
51 2 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ ได้แก่ หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถาม กับจุดประสงค์(Index of Item - Objcctive Congruence: IOC ) ค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) และ ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) 3. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การเปรียบเทียบความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก ของเด็กปฐมวัยก่อนจัดกิจกกรมและหลังจัดกิจกรรม โดยใช้ t-test แบบ Dependent Samples 8.การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูล โดยดำเนินการ ดังนี้ 1. ใช้แบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย3ด้าน ได้แก่ ด้านการยั้งคิด ไตร่ตรอง ด้านการคิดยืดหยุ่นและ ด้านการริเริ่มลงมือทำ 2. ดำเนินการทดลองได้ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ทำการทดลอง เป็นเวลา 8 สัปดาห์สัปดาห์ละ 3 วัน จันทร์ พุธ ศุกร์ วันละ 30 นาที รวม 24 ครั้ง ไปจนครบ 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ผู้วิจัยสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย3ด้าน ได้แก่ ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ด้านการคิดยืดหยุ่น และ ด้านการริเริ่มลงมือทำ 4. นำข้อมูลที่ได้จากแบบสังเกตโดยไปทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ 9.สรุปผลการวิจัย 1. ผลการศึกษาทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยหลังการทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยรวม สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1 และเมื่อจำแนกรายด้าน พบว่า ด้านการยั้งคิดไตรตรอง ด้านการคิดยืดหยุ่น และด้านการริเริ่มลงมือทำ สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. ทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ โดยมี การเปลี่ยนแปลงทางทักษะทางสมองสูงขึ้นในด้านการริเริ่มลงมือทำสูงขึ้นเป็นอันดับแรกที่1 (ร้อยละ 73.22) ด้านการคิดยืดหยุ่น (ร้อยละ 68.29) เป็นอันดับที่2 และด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง (ร้อยละ 61.22) ตามลำดับ 10.อภิปรายผล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ที่มีต่อทักษะทักษะทางสมองและเพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม ผลปรากฎว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีทักษะทางสมอง 3ด้าน ได้แก่ ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ด้านการคิดยืดหยุ่น
52 และ ด้านการริเริ่มลงมือทำ หลังการจัดกิจกรรมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งสามารถอภิปรายได้ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่มีต่อทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย ที่นำมาใช้ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนอย่างหนึ่งซึ่งในการจัดประสบการณ์การที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ริเริ่มลงมือ ทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรรต่างๆด้วยตนเอง เป็นการเรียนการสอนที่ให้อิสระแก่เด็กเด็กเรียนรู้ ด้วยตนเอง ซึ่งครูคอยแนะนำละช่วยเหลือให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์ เป็นวิธีที่ให้เด็กสามารถ ปฏิบัติและฝึกฝนกระบวนการทางความคิด ค้นหาความรู้และแก้ไขปัญหาต่างๆเพื่อยืดหยุ่นความคิด ในการทำกิจกรรมที่หลากหลาย ด้วยการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เด็กได้ใช้ความพยามและใช้ ทักษะสมอง โดย การปฏิบัติจริงตามความคิดของตนเองซึ่งสอดคล้องกับได้ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎี ของ ประไพพิศ นามฮุง, (2563: 59 อ้างถึงใน มาเยสกี้, 2010: 20) กล่าวถึง กิจกรรมทางศิลปะเข้าไป มีส่วนช่วยทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางสมองในด้านต่างๆ ผ่านการวาดภาพระบายสี การปั้น และกิจกรรมทางศิลปะอื่นๆอีกมากมาย ตลอดจนผ่านการลงมือทำกิจกรรม เช่น การหยิบจับ อุปกรณ์ต่างๆ การกดแม่พิมพ์ ที่มีรูปร่างและลักษณะแตกต่างกัน การขีดเขียน การขยำ และการฉีก ซึ่งการกระทำเหล่านี้คือพื้นฐานสำคัญของการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ของ ชลธิชา ชิวปรีชา (2554: 2) ได้ศึกษาเรื่อง สร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่ทำกิจกรรมศิลปะด้วย ใบตอง พบว่า ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย หลังการจัดกิจกรรมศิลปะด้วยใบตองสูงกว่า ก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญที่ .01 และงานวิจัย ของวาทินี บรรจง (2556: 3) ที่ได้ศึกษาเรื่อง ผลการจัดประสบการณ์ศิลปะโดยบูรณาการ แนวคิดเชิงออกแบบที่ความคิดสร้างสรรค์ พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนน ความคิดสร้างสรรค์สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 2. ทักษะทางสมองที่ได้ทำมาเป็นตัวแปรตามเพื่อให้เด็กปฐมวัยในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดทักษะทางสมอง มี 3 ด้าน ได้ ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ด้านการคิดยืดหยุ่น และการริเริ่ม ลงมือทำ ซึ่งสามารถอภิปรายได้ ดังนี้ 2.1 ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง พบว่าก่อนจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 18.97 และหลังการจัดกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 22.10 จะเห็นได้ว่าด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมสูงขึ้น เนื่องมาจากในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เป็นลักษณะการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็ก ได้ลงมือทำกิจกรรมด้วยตนเองโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของตนเองโดยใช้ประสาท สัมผัสทั้ง5 ในการทำกิจกรรมอย่างสนุกสนาน และการทำงานร่วมกับคนอื่นเรียนรู้กับการทำงาน เป็นกลุ่มกับผุ้อื่นภายในห้องและรู้จักยั้งคิดไตร่ตรองในพฤติกรรมต่างๆที่ส่งผลให้ตัวเองและผู้อื่น ได้รับผลกระทบกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสามารถหยุดคิดก่อนทำได้อย่างมีสติและมีสมาธิ
53 กับสิ่งที่ตนเองกำลังทำไม่วอกแวก ด้วยกระบวนการในกิจกรรมต่างๆ จนการแนะนำกิจกรรม สร้างข้อตกลง และ เด็กจะทราบว่ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ต่างๆมีขั้นตอนในการทำกิจกรรมอย่างไร บ้างงาน จึง จะออกมาสำเร็จตามเป้าหมายเช่น ในสัปดาห์ที่ 7 ครูพาเด็กทำกิจกรรมมัดย้อมทิดชู่ เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องสีต่างๆมีการตั้งคำถามให้เด็กได้ใช้ความคิดแบบหลากหลาย และแสดงความคิดเห็นร่วมกันและเมื่อเริ่มกิจกรรมครูแนะนำอุปกรณ์ต่างๆให้เด็กบอกว่ามีอะไรบ้าง และทำการแบ่งกลุ่มโดยใช้หลอดสีเพื่อเข้าประจำกลุ่ม ของตนเองให้เด็กสร้างลวดลายก่อนที่จะหยดสี ลงบนทิดชู่เพื่อทำเกิดลวดลายจากสีต่างๆเด็กได้ลงมือทำอย่างมีความสุขและสามารถแบ่งปันอุปกรณ์ ต่างๆภายในกลุ่มได้และไม่ก่อกวนเพื่อนในกลุ่มให้เกิดความวุ่นวายและสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้ อย่างดีด้วยตนเองและเด็กสามารถทำงานศิลปะที่ได้รับมอบหมายได้และสามารถบอกได้ว่าสีที่ตนเอง หยดลงไปเป็นสีอะไรและเมื่อทำงานเสร็จสามารถนำเสนอผลงานของตนเองได้และเพื่อนให้ความ ร่วมมือในแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานของเพื่อนได้ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีของเพียเจท์ กล่าวถึงว่า ขั้นที่ 2 ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (อายุ2 – 7 ปี) เรียนรู้ที่จะพูดและเข้าใจว่าคำศัพท์รูปภาพ และท่าทางนั้นเป็นสัญลักษณ์สำหรับบางสิ่งบางอย่าง เมื่อเราวาดรูปครอบครัวเราจะไม่เป็นกังวล ว่าจะต้องวาดให้ถูกสัดส่วน แต่เราจะวาดจากสัญลักษณ์ที่เรามองเห็นเท่านั้น เราชอบ ที่จะเล่น เหตุการณ์สมมุติเพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้และทดลองสิ่งใหม่ ๆ อีกมากมายซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ของ สุนิสา ก่ำแก้ว(2564: 5) ได้ศึกษาเรื่อง ศิลปะสร้างสรรค์จากวัสดุธรรมชาติและแบบทดสอบวัด ทักษะสมอง ของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ค่าความยากง่าย ค่าอํานาจจําแนก และค่าความเชื่อมั่น ผลการวิจัยพบว่า 1.เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากวัสดุธรรมชาติ มีทักษะสมอง ของเด็กปฐมวัย ด้านความจําเพื่อนํามา ใช้งาน ก่อนและหลังการทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลัง การทดลอง เท่ากับ 5.21 และ 7.92 ตามลําดับ 2. เด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากวัสดุธรรมชาติ มีทักษะสมอง ของเด็กปฐมวัย ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ก่อนและหลังการทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลัง การทดลอง เท่ากับ 4.83 และ 7.63 ตามลําดับ 2.2 ด้านการคิดยืดหยุ่น พบว่าก่อนจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 15.67 และหลังการจัดกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.37 จะเห็นได้ว่าด้านการคิดยืดหยุ่น ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมสูงขึ้น เนื่องมาจากในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เช่น ในสัปดาห์ที่ 8 เป็นลักษณะการจัดกิจกรรม ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เป็นผู้ลงมือกระทำด้วยตนเอง และนำเด็กออกไปทำกิจกรรมด้านนอก ก่อนออกสร้างข้อตกลงร่วมกันและแบ่งกลุ่มโดยการใช้หลอดสีและแบ่งตะกร้าสีให้แต่ละกลุ่ม นำไปเก็บใบไม้ ครูยกตัวอย่างใบไม้ที่ต้องนำมาทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ต้นไม้ของหนู ตั้งคำถาม ว่าใบไม้แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร ใบไม้มีสีอะไรบ้าง เด็กๆสามารถแยกใบไม้เล็กและใบไม้ใหญ่
54 ได้เมื่อเก็บใบไม้มาได้ ครูพาเด็กนั่งเป็นกลุ่มตามหลอดสีที่ลานข้างอาคารโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่ นอกห้องเรียนเด็กๆสามารถทำงานศิลปะสร้างสรรค์ต้นไม้ของหนูได้อย่างสนุกสนานและเริ่มลงมือทำ ด้วยความตั้งใจแม้สถานที่ในการทำกิจกรรมไม่ได้อยู่ภายในห้องเด็กทุกคนสามรถปรับเปลี่ยน พฤติกรรมให้เข้ากับสภาพแวดดล้อมต่างๆได้เป็นอย่างดีไม่วอกแวกและมีสมาธิจิตใจจดจ่อ กับการทำงานที่อยู่ตรงหน้าของตนเองอย่างตั้งใจไม่ก่อกวนผู้อื่นให้เกิดความไม่เหมาะสม และสามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้อย่างดีเช่น การไม่ลุกเดินออกจากกลุ่ม การไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น สามารถทำงานของตนเองได้แม้อยู่ต่างสถานที่และสามารถแบ่งปันสิ่งของในการทำงานให้เพื่อน ภายในกลุ่มได้โดยไม่เกิดการทะเลาะกันให้เด็กแต่ละคนออกมานำเสนอผลงานของตัวเอง และเด็กทุกคนมีส่วนร่วม ในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานของเพื่อนและเมื่อเสร็จนำไปจัด นำเสนอผลงาน ที่หน้าห้องของตนเอง นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิดของ อารี พันธ์มณี, (2557: 31 อ้างถึงใน โรเจอร์, 1959) ที่กล่าวถึง ความคิดสร้างสรรค์สามารถส่งเสริมได้จากการจัด สภาพแวดล้อมที่ถูกต้องและเหมาะสมด้วยการ ยอมรับและเชื่อมั่นในคุณค่าและความสามารถของแต่ ละบุคคล ซึ่งจะทำให้เด็กกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าที่จะลองและสร้างความสำเร็จ ให้แก่ ตนเอง โดยการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเรียนรู้ของเด็ก จะทำให้เด็กรู้สึกถึงความมั่นคง ปลอดภัย มีอิสระทางความคิด การกระทำ เป็นตัวของตัวเองและไม่กดดันจนเกินไป ส่งผลต่อการสัง กัปในตนเอง และกล้าที่จะ เปิดรับประสบการณ์ใหม่ รวมทั้งประเมินตนเองได้ตามความเป็นจริง อัน จะส่งผลต่อการเปิดเผย ความคิดสังสรรค์ที่มีและนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิดทฤษฎีของ อารี พันธ์มณี, (2557: 21 อ้างถึงใน กิลฟอร์ด, 1996) กล่าวถึง ทฤษฎีโครงสร้าง ทางสติปัญญา ด้านลักษณะความคิดแบบ อเนกนัยหรือการคิดแบบกระจาย ความคิดยืดหยุ่น หรือ ความยืดหยุ่นในการคิด คือ การจัด หมวดหรือประเภทของความคิด และส่งเสริมความคิดคล่องแคล่ว ให้มีความแตกต่างกันออกไป แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ 1. ความคิดยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นทันทีเป็น ความคิดอย่างอิสระเพื่อให้คิดได้หลากหลายประเภท เช่น บุคคลที่มีความยืดหยุ่นจะสามารถ คิดถึง ประโยชน์ของต้นไม้ได้หลากหลายประเภท ในทางกลับกันคนที่ไม่มีความคิดยืนหยุ่นจะสามารถคิดได้ เพียง 1-2 ประเภทเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ อัมรัตน์ ตั้งพิทักษ์ไพบูลย์ (2562: 3) ได้ศึกษา เรื่อง ประสิทธิผลของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้เทคนิคการวาดรูประบายสีเพื่อส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ในเด็กปฐมวัย การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในเด็กปฐมวัยด้วย กิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้เทคนิคการวาดรูประบายสีจากองค์ประกอบหลักของความคิด สร้างสรรค์4 ด้าน ได้แก่ ความคิดริเริ่ม ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น และ ระยะเวลา ในการ จัดกิจกรรม 4 สัปดาห์สัปดาห์ละ 5 วัน ครั้งละ 45 นาทีรวมทั้งสิ้น 20 ครั้งและจัดกลุ่ม กิจกรรม ตามลำดับความง่าย-ยากทางความคิดสร้างสรรค์และการสร้างสรรค์ผลงานร่วมกับแบบสังเกต พฤติกรรม ซึ่งชุดกิจกรรมและแบบสังเกตพฤติกรรมได้รับการตรวจสอบคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ5
55 ท่าน โดยพบว่ามีค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index od Item-Objective Congruence : IOC) ใน ภาพรวมของ ชุดกิจกรรมเท่ากับ 0.85 และรายกิจกรรมมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.60 - 0.66 จากการวิจัย พบว่า กลุ่มเด็กที่ได้รับ การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้เทคนิคการวาดรูประบายสีมีความคิด สร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.3 ด้านการริเริ่มลงมือทำ พบว่าก่อนจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 20.43 และหลังการจัดกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 21.97 จะเห็นได้ว่าด้านการิเริ่มลงมือทำ ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมสูงขึ้น เนื่องมาจาก ในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์นั้นเช่น ในสัปดาห์ที่ 6 เป็นลักษณะการจัดกิจกรรม ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เป็นลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ในการใช้ความสามารถในการเริ่มลงมือทำ กับกิจกรรมการทำกรอบรูปจากหลอดหลากสีกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ความคิดก่อนทำกิจกรรมเด็กๆ สามารถเข้ากลุ่มได้ด้วยการเลือกจับไอติมสี และเข้าไปนั่งตามกลุ่มที่ตนเองจับได้เด็กๆสามารถลงมือ ออกแบบกรอบรูปโดยมีครูคอยให้คำแนะนำต่างๆในการใช้วัสดุอุปกรณ์และเด็กๆสามารถแบ่งปัน อุปกรณ์ในการทำกิจกรรมให้กับเพื่อนๆภายในกลุ่มได้ และปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างทำกิจกรรรมได้ เป็นอย่างดีระหว่างทำกิจกรรมเด็กๆทุกคนมีความตั้งใจในการทำกิจกรรมไม่ก่อกวนก่อให้เกิด พฤติกรรมไม่เหมาะสมไม่ลุกออกจากกลุ่มและไม่ส่งเสียงดังและกิจกรรมข้างต้นกระตุ้นให้เด็กได้ลงมือ ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง และได้ใช้จินตนาการของตนเองในการทำงานและมีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น บอกได้ถึงขั้นตอนการทำและเมือทำงานเสร็จตามเป้าหมายนำเสนอผลงานของตัวเองและเด็กทุกคนมี ส่วนร่วม ในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานของเพื่อนและเมื่อเสร็จนำไปจัดนำเสนอผลงาน ที่หน้าห้องของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พัชราวรรณ โฝงสูงเนิน, (2562: 102 อ้างถึงใน นิสิตา อยู่อำไพ, 2549) ศึกษาเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านครูกับความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก อนุบาลในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรุงเทพมหานคร กลุ่ม ตัวอย่าง คือ ครูประจำชั้นและเด็กอนุบาลชั้นปีที่ 2 จำนวน 50 ห้องเรียน จากทั้งหมด 36 โรงเรียน จากการสุ่ม โดยง่ายจากประชากรทั้งหมด 76 ห้องเรียน พบว่า วิธีการจัดการเรียนรู้มีความสัมพันธ์ทางบวก กับความคิดสร้างสรรค์ของเด็กอนุบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นอกจากนี้ยังสอดคล้อง กับงานวิจัยของ อารี พันธ์มณี, (2557: 30 อ้างถึงใน สดใส ชะนะกุล, 2538: 68–70) ได้ศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์และการรับรู้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ระหว่างเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมวาดภาพนอกชั้นเรียน และเด็ก ปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมวาดภาพในชั้นเรียนแบบ ปกติกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้น อนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2537 โรงเรียนสาธิต อนุบาล ลอออุทิศ จำนวน 30 คน กลุ่ม ทดลองที่ได้รับการจัดกิจกรรมวาดภาพนอกชั้นเรียน กลุ่ม ควบคุม ได้รับการจัดกิจกรรมในชั้นเรียน แบบปกติ ใช้เวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ ผลการศึกษา
56 พบว่า ความคิดสร้างสรรค์และการรับรู้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม วาดภาพ นอกชั้นเรียนสูงกว่าเด็ก ปฐมวัยที่ได้รับการ จัดกิจกรรมวาดภาพในชั้นเรียนแบบปกติมี นัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้ปฐมวัย มีบทบาท สำคัญในออกแบบกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ โดยการค้นพบด้วยตัวของเด็กเอง การกระตุ้นให้เด็กสงสัยอยากรู้ อยากเรียนรู้ และอยากค้นคว้าหา ความรู้ความรู้ด้วยตนเองสามารถยับยั้งการกระทำต่างๆที่ส่งผลให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนในระหว่าง ทำกิจกรรมเรียนรู้ผ่านการลงมือทำและการทำงานร่วมกับผู้อื่นและทำงานนอกสถานที่มีการคิด ยืดหยุ่นไม่ยืดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเมื่อเปลี่ยนบทบาทหน้าที่สามารถปฏิบัติได้ทันทีไม่ว่าจะการใช้ คำถามกระตุ้นให้เรียนรู้เกิดการคิด หรือแม้แต่การให้กำลังใจ เป็นแรงกระตุ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้เด็ก ชอบการเรียนรู้ หรือการใช้คำชมชมเชยกับเด็กเมื่อเด็กประสบความสำเร็จเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เด็ก ชอบเรียนรู้ซึ่งบทบาทของครูในลักษณะของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น การจัดเตรียมกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็ก การจัดเตรียมสื่อ อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็ก ให้เด็กได้ลงมือกระทำกิจกรรมด้วยตนเองโดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้คำแนะนำ ให้ความ ช่วยเหลือ เมื่อเด็กร้องขอซึ่งลักษณะดังกล่าวทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมากขั้น ซึ่งเป็นการ ฝึกฝนและพัฒนาทักษะทางสมองในด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น และการริเริ่มลงมือทำ ในเด็กนั่นเอง 11.ข้อเสนอแนะ 1.ข้อเสนอแนะทั่วไป 1.1 ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการเปรียบเทียบทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยโดยใช้ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์นั้นควรมีการส่งเสริมให้มีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ศิลปะสร้างสรรค์ใน ระดับปฐมวัย ในด้านการสนับสนุนและส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นของเด็กโดยให้เด็กได้ออกไป ศึกษานอนสถานที่ ตามแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ทั้งในโรงเรียนและบริเวณใกล้เคียงเพื่อให้เด็กได้ใช้ประสาท สัมผัสในการเรียนรู้ รู้จักสำรวจ และทั้งในธรรมชาติรอบตัวสิ่งแวดล้อมต่างๆเด็กเพื่อให้เด็กเกิดการ เรียนรู้และค้นพบด้วยตัวเองเป็นการส่งเสริมกระบวนการคิด ส่งเสริมจินตนาการ และความคิด สร้างสรรค์ทางศิลปะ และส่งเสริมในด้านต่างๆของทักษะทางสมองเช่น ด้านการยั้งคิดไตรตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ ให้กับเด็กปฐมวัย เปิดโอกาสให้เด็กได้ออกไปสัมผัสกับการจัด กิจกรรมด้านนอก และสิ่งแวดล้อมตัวเด็กเอง เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ต่างๆมาส่งเสริมในด้าน ศิลปะที่แตกต่างจากสิ่งที่เด็กเคยทำและความแปลกใหม่สำหรับกิจกรรมออกนอกสถานที่จะช่วยทำให้ เด็กรู้สึกตื่นเต้นและอยากเรียนรู้มากขึ้น
57 1.2 ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการเปรียบเทียบทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยโดยใช้ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์นั้น เนื่องจากเด็กปฐมวัยยังเล็ก จึงควรมีครูและผู้ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด คอยให้คำแนะนำ เมื่อเด็กต้องการซึ่งควรจัดจำนวนครูในการจัดกิจกรรมให้มีอัตราส่วนเพียงพอต่อ จำนวนของเด็ก โดยเฉพาะการเรียนรู้นอกห้องเรียนหรือการไปศึกษานอกสถานที่ ควรจัดครูให้ เพียงพอกับจำนวนของเด็กเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น 1.3 หลังจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ในแต่ละวัน ควรจัดวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้และในการเรียนรู้ ของวันนั้นๆ ไว้ในมุมห้องเพื่อให้เด็กได้สังเกตการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องเป็นอุปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตราย และต้องวางเงื่อนไขว่า เด็กๆสามารถลงมือทำด้วยตนเองและมีครูคอยให้คำเนะนำ เพื่อความปลอดภัย และการออกไปทำกิจกกรมนอกห้องเรียนการผจญภัย สิ่งเหล่านี่สามารถทำให้เด็กเกิดพัฒนาทักษะ ทางสมอง ในด้านการยั้งคิดไต่ตรอง การคิดยืดหยุ่น การริเริ่มลงมือทำ ยิ่งขึ้น 2.ข้อเสนอแนะในการทำวิจัย 2.1 ครูอนุบาล หรือนักวิจัยการศึกษา ควรมีการวิจัยเพื่อเปรียบเทียบระหว่างผลการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบอื่นๆ เพื่อนำผลที่ได้มาเป็นแนวทางใน การพัฒนาการเรียนรู้ในทักษะทางสมองสำหรับเด็กปฐมวัย 2.2 ครูอนุบาล หรือนักการศึกษาควรมีการศึกษาผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ที่มีตัวแอื่นๆ เช่น ทักษะสมองด้าน การจำจ่อใส่ใจ ด้านการจำเพื่อใช้งาน ด้านการมุ่งเป้าหมายและ ด้านการควบคุมอารมณ์เป็นต้น 2.3 ครูอนุบาล หรือนักการศึกษาควรมีการศึกษาเปรียบเทียบทักษะทางสมองด้านอื่นๆ เช่น ทักษะสมองด้าน การจำจ่อใส่ใจ ด้านการจำเพื่อใช้งาน ด้านการมุ่งเป้าหมายและด้านการควบคุม อารมณ์ เป็นต้น
58 บรรณานุกรม กมลรัตน์ คะนองเดช, สุนิศา ธรรมบัญชา, อาทิตยา วงศ์มณี, เสาวลักษณ์ สมวงษ์และนวพร แซ่เลื่อง. (2563). ผลการจัดประสบการณ์โดยใช้สื่อและของเล่นที่มีต่อทักษะทางสมองของเด็ก ปฐมวัยในโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู เขตพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้. ยะลา : คณะครุ ศาสตร์มหาวิทยาลัยราฃภัฏยะลา. กัญญารัตน์ ชูเกลี้ยง, สาวธนพรรณ เพชรเศษ และนางเกษร ขวัญมา. (2562). การพัฒนาทักษะ สมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ (EF) สำหรับเด็กปฐมวัย โดยผ่านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง การประกอบอาหารประเภทขนมไทยพื้นเมือง 4 ภาค. คณะครุศาสตร์. สุพรรณบุรี: มหาวิทยาลัยสวนดุสิต. กฎชกร คำเห็น, เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม, นนทชนนปภพ ปาลินทร และภรณี แก้วลี. (2565). การศึกษาผลการจัดประสบการณ์การเล่านิทานในรูปแบบการสอนแบบ SQ3R ที่มีต่อ ความสามารถของสมองในการบริหารจัดการชีวิตและ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็ก ปฐมวัยชั้นปีที่ 3. วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์, 7(1), 63-74 กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2551). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : เบรน เบสบุ๊ค. นิตยา พิมพ์ทอง. (2564). การส่งเสริมทักษะทางสมอง EF (Executive Function) ของชั้น อนุบาล ปีที่ 2/2 โดยการจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ บุรีรัมย์. บุรีรัมย์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์. นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล. (2560). การพัฒนาและหาค่าเกณฑ์มาตราฐานเครื่องมือประเมินการคิด เชิงบริหารในเด็กปฐมวัย. นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหิดล ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์. (2561). สร้างเด็กภูมิดีด้วย EF. กรุงเทพ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชซิ่ง จำกัด (มหาชน). ศิรินันท์ ทองเงิน. (2563). การใช้เกมเพื่อส่งเสริมการทำหน้าที่ของสมองเชิงบริหาร (Executive Functions-EF) ของเด็กปฐมวัย. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (สาขาหลักสูตรและการสอน). อุดรธานี : มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2554). กรอบมาตรฐานและคู่มือการจัดการ สุภาวดี หาญเมธี. (2558). EF ภูมิคุ้มกันชีวิตและป้องกันยาเสพติด คู่มือสำหรับครูอนุบาล. กรุงเทพฯ : บริษัท รักลูกกรุ๊ป จำกัด. _______. (2559). ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ Executive Functions = EF. กรุงเทพฯ : สถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป)
59 _______, ธิดา พิทักษ์สินสุข และภาวนา อร่ามฤทธิ์. (2561). คู่มือพัฒนาทักษะสมอง EF Executive Functions สำหรับครูปฐมวัย. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ สถาบัน RLG (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) บริษัท รักลูกกรุ๊ป จำกัด. พรเพ็ญ บัวทอง. (2555). ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติที่มีต่อ พฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขา การศึกษาปฐมวัย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. มารุต พัฒผล. (2556). การพัฒนาหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์. ยุพาภรณ์ จันทสังข์. (2555). ผลการจัดประสบการณ์ปฏิบัติการทดลองโดยใช้วัสดุท้องถิ่นที่มีต่อ พฤติกรรมการทำงานเป็นกลุ่มของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการปฐมวัยศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โยธิน ศรีโสภา. (2550). การพัฒนาระบบการประเมินผลด้วยวิธีดุลยภาพสำหรับคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขากาบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ระพินทร์ โพธิ์ศรี. (2545). ชุดกิจกรรมสำหรับครูเพื่อพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ กลุ่มศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนพานิช. ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน์. (2547). ระเบียบวิธีวิจัย. กรุงเทพฯ: พิมพ์ดีการพิมพ์. ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ.(2538 ). เทคนิคการวิจัยการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ วรางคณา กันประชา. (2548). ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะ ด้วยนิ้วมือ. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วรารัตน์ธุมาลา. (2553). ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วิบูลย์ลักษณ์สารวิจิตร. (2548). ศิลปะสหรับครูประถม. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ. ศรีแพร จันทราภิรมย์. (2550). ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะ สร้างสรรค์โดยใช้เปลือกข้าวโพด. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขา การศึกษาปฐมวัย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สัญลักษณ์สุวรรณรัศมี. (ม.ป.ป.). คู่มือการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ศิลปะเด็กชั้นอนุบาลปีที่1.
60 สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพฯ: สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2551). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สําหรับปฐมวัย.กรุงเทพฯ: เบรนเบสบุ๊คส์. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์. (2539). การศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21: แนวคิดปฏิรูปการศึกษาไทย. กรุงเทพฯ: ส.เอเชียเพลส์ (1998). จิตรวรรณ ประจุดทะเนย์. (2557). การพัฒนาชุดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริม ความสามารถด้านมิติ สัมพันธ์สําหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปี ที่ 2. (ปริญญานิพนธ์ ครุศาสตร์ มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, บุรีรัมย์. จิราภรณ์ ส่องแสง. (2550).การใช้กิจกรรมศิลปะบูรณาการที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหา ของเด็กปฐมวัย: (ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ สิริพรรณ ตันติรัตน์ไพศาล. (2545). ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. Efland. R. (2002). Working memory capacity as executive attention. Current Directions in Psychologicl Science, 11(1), 19 - 23. Fink, lichchun ale. (2001). Using Short Open-Enden Question to Promot Thinking and Understanding (Electronic version). The Mathematics Educator, 15-31. Galottti, M. and Weikart, D.P. (2014). Education Young Children. Ypsilanti: HighScope. Stapp, L. (Ed). (2007). Executive function in education : From theory to practice. NewYork, NY: The Guildford.. Preda Ulita, A. (2016). Improving children's executive Functioning by learning to play a Musical instrument. Bulletin of the Transilvania University of BrasovSeries Vlll, 9(58),No2, 89 -90
บรรณานุกรม กมลรัตน์ คะนองเดช, สุนิศา ธรรมบัญชา, อาทิตยา วงศ์มณี, เสาวลักษณ์ สมวงษ์และนวพร แซ่เลื่อง. (2563). ผลการจัดประสบการณ์โดยใช้สื่อและของเล่นที่มีต่อทักษะทางสมองของเด็ก ปฐมวัยในโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู เขตพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้. ยะลา : คณะครุ ศาสตร์มหาวิทยาลัยราฃภัฏยะลา. กัญญารัตน์ ชูเกลี้ยง, สาวธนพรรณ เพชรเศษ และนางเกษร ขวัญมา. (2562). การพัฒนาทักษะ สมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ (EF) สำหรับเด็กปฐมวัย โดยผ่านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง การประกอบอาหารประเภทขนมไทยพื้นเมือง 4 ภาค. คณะครุศาสตร์. สุพรรณบุรี: มหาวิทยาลัยสวนดุสิต. กฎชกร คำเห็น, เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม, นนทชนนปภพ ปาลินทร และภรณี แก้วลี. (2565). การศึกษาผลการจัดประสบการณ์การเล่านิทานในรูปแบบการสอนแบบ SQ3R ที่มีต่อ ความสามารถของสมองในการบริหารจัดการชีวิตและ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็ก ปฐมวัยชั้นปีที่ 3. วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์, 7(1), 63-74 กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2551). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : เบรน เบสบุ๊ค. นิตยา พิมพ์ทอง. (2564). การส่งเสริมทักษะทางสมอง EF (Executive Function) ของชั้น อนุบาล ปีที่ 2/2 โดยการจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ บุรีรัมย์. บุรีรัมย์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์. นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล. (2560). การพัฒนาและหาค่าเกณฑ์มาตราฐานเครื่องมือประเมินการคิด เชิงบริหารในเด็กปฐมวัย. นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหิดล ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์. (2561). สร้างเด็กภูมิดีด้วย EF. กรุงเทพ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชซิ่ง จำกัด (มหาชน). ศิรินันท์ ทองเงิน. (2563). การใช้เกมเพื่อส่งเสริมการทำหน้าที่ของสมองเชิงบริหาร (Executive Functions-EF) ของเด็กปฐมวัย. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (สาขาหลักสูตรและการสอน). อุดรธานี : มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2554). กรอบมาตรฐานและคู่มือการจัดการ สุภาวดี หาญเมธี. (2558). EF ภูมิคุ้มกันชีวิตและป้องกันยาเสพติด คู่มือสำหรับครูอนุบาล. กรุงเทพฯ : บริษัท รักลูกกรุ๊ป จำกัด. _______. (2559). ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ Executive Functions = EF. กรุงเทพฯ : สถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป)
46 _______, ธิดา พิทักษ์สินสุข และภาวนา อร่ามฤทธิ์. (2561). คู่มือพัฒนาทักษะสมอง EF Executive Functions สำหรับครูปฐมวัย. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ สถาบัน RLG (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) บริษัท รักลูกกรุ๊ป จำกัด. พรเพ็ญ บัวทอง. (2555). ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติที่มีต่อ พฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขา การศึกษาปฐมวัย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. มารุต พัฒผล. (2556). การพัฒนาหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์. ยุพาภรณ์ จันทสังข์. (2555). ผลการจัดประสบการณ์ปฏิบัติการทดลองโดยใช้วัสดุท้องถิ่นที่มีต่อ พฤติกรรมการทำงานเป็นกลุ่มของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการปฐมวัยศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โยธิน ศรีโสภา. (2550). การพัฒนาระบบการประเมินผลด้วยวิธีดุลยภาพสำหรับคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขากาบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ระพินทร์ โพธิ์ศรี. (2545). ชุดกิจกรรมสำหรับครูเพื่อพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ กลุ่มศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนพานิช. ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน์. (2547). ระเบียบวิธีวิจัย. กรุงเทพฯ: พิมพ์ดีการพิมพ์. ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ.(2538 ). เทคนิคการวิจัยการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ วรางคณา กันประชา. (2548). ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะ ด้วยนิ้วมือ. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วรารัตน์ธุมาลา. (2553). ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วิบูลย์ลักษณ์สารวิจิตร. (2548). ศิลปะสหรับครูประถม. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ.
ศรีแพร จันทราภิรมย์. (2550). ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะ สร้างสรรค์โดยใช้เปลือกข้าวโพด. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขา การศึกษาปฐมวัย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สัญลักษณ์สุวรรณรัศมี. (ม.ป.ป.). คู่มือการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ศิลปะเด็กชั้นอนุบาลปีที่1. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพฯ: สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2551). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สําหรับปฐมวัย.กรุงเทพฯ: เบรนเบสบุ๊คส์. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์. (2539). การศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21: แนวคิดปฏิรูปการศึกษาไทย. กรุงเทพฯ: ส.เอเชียเพลส์ (1998). จิตรวรรณ ประจุดทะเนย์. (2557). การพัฒนาชุดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริม ความสามารถด้านมิติ สัมพันธ์สําหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปี ที่ 2. (ปริญญานิพนธ์ ครุศาสตร์ มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, บุรีรัมย์. จิราภรณ์ ส่องแสง. (2550).การใช้กิจกรรมศิลปะบูรณาการที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหา ของเด็กปฐมวัย: (ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ สิริพรรณ ตันติรัตน์ไพศาล. (2545). ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. Efland. R. (2002). Working memory capacity as executive attention. Current Directions in Psychologicl Science, 11(1), 19 - 23. Fink, lichchun ale. (2001). Using Short Open-Enden Question to Promot Thinking and Understanding (Electronic version). The Mathematics Educator, 6(2), 15-31. Galottti, M. and Weikart, D.P. (2014). Education Young Children. Ypsilanti: HighScope. Stapp, L. (Ed). (2007). Executive function in education : From theory to practice. NewYork, NY: The Guildford.. Preda Ulita, A. (2016). Improving children's executive Functioning by learning to play a Musical instrument. Bulletin of the Transilvania University of Brasov Series Vlll, 9(58),No2, 89 -90
61 ภาคผนวก
62 ภาคผนวก ก - รายนามผู้เชี่ยวชาญ
63 รายชื่อผู้เชียวชาญตรวจสอบเครื่องมือ คุณครูนันทาศิริ อธิราช ครูวิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ ครูประจำชั้น/หัวหน้าสายชั้นอนุบาล1 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี คุณครูวราพร ทิศาใต้ ครูวิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ ครูประจำชั้น/หัวหน้าสายชั้นอนุบาล3 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี ผ.ศ.วรัญญา ศรีบัว อาจารย์ประจำสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
64 ภาคผนวก ข - ค่าดัชนีความเที่ยงตรงของเนื้อหา หรือดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ - ตารางวิเคราะห์ค่าดัชนีความเที่ยงตรงของเครื่องมือ หรือดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบประเมินทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย - ค่าอำนาจจำแนก (B) และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางสมองของเด็ก
65 ค่าดัชนีความเที่ยงตรงของเนื้อหา หรือดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ค่าดัชนีความเที่ยงตรงของเนื้อหา หรือดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ที่มีผลต่อทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย สัปดาห์ ที่ ชื่อกิจกรรม คะแนนวามคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ∑ IOC หมาเหตุ คนที่ 1 คนที่2 คนที่ 3 1 1.วาดภาพระบายสีเทียน +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 2.วาดภาพด้วยถ่าน +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 3.วาดภาพต่อเติมด้วยสีเทียน 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 2 4.วาดภาพด้วยนิ้วมือ 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 5.การสร้างภาพจากเมล็ดพืช +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 6.การสร้างภาพจากหลอด +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้ 3 7.การสร้างภาพจากไหมพรม 1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้ 8.การสร้างภาพจหนังสือพิมพ์ 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 9.ร้อยหลอดหลากสี +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 4 10.ร้อยลูกปัด +1 1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 11.กิจกรรมร้อยดอกไม้กระดาษ +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 12. การปั้นดินน้ำมันตามรูป ดาว +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้ 5 13. การปั้นดินน้ำมันตามรูป ดอกไม้ +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 14. การปั้นดินน้ำมันตามพระ อาทิตย์ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 15.พิมพ์ภาพจากก้านกล้วย +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้ 6 16.พิมพ์ภาพจากผักกาด 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 17.พิมพ์ภาพจากใบไม้ +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 18.พิมพ์ภาพจากไหมพรม +1 +1 0 3 0.67 ใช้ได้
66 ค่าดัชนีความเที่ยงตรงของเนื้อหา หรือดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์(ต่อ) ค่าดัชนีความเที่ยงตรงของเนื้อหา หรือดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดกิจกรรมจัด ศิลปะสร้างสรรค์ที่มีผลต่อทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย สัปดาห์ ที่ ชื่อกิจกรรม คะแนนวามคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ∑ IOC หมาเหตุ คนที่ 1 คนที่2 คนที่ 3 7 19.ดอกไม้จากแก้วกระดาษ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 20.กรอบรูปจากหลอด +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 21.ทิดชู่มัดย้อม 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 8 22. ย้อมสีกระดาษ 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 23.ต้นไม้ของหนู +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 24.ใบไม้แปรงร่าง +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้
67 ตารางวิเคราะห์ค่าดัชนีความเที่ยงตรงของเครื่องมือ หรือดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบประเมินทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย การวิเคราะห์ค่าประเมินความสอดคล้องและความเหมาะสมของ แบบประเมินทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง พฤติกรรมด้านทักษะทางสมอง คะแนนวามคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ∑ IOC หมายเหตุ คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1.การยั้งคิดไตร่ตรอง 1.1 อดทน รอคอยได้ +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 1.2 ตั้งใจทำกิจกรรม +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 1.3 จดจ่อกับกิจกรรมที่กำลังทำด้วยความ กระตือรือร้น +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 1.4 ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จในเวลา ที่กำหนด +1 +1 +1 +1 +1 นำไปใช้ได้ 1.5 ไม่พูดแทรกขณะที่ผู้อื่นกำลังพูด +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 1.6 รู้จักหยุดเมื่อเห็นว่าสิ่งที่กำลังทำนั้น อาจก่อให้เกิดอันตราย +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 1.7 เมื่อต้องการสิ่งของที่ผู้อื่นกำลังใช้อยู่ รู้จักขออนุญาติหรือรอให้ผู้อื่นใช้เสร็จก่อน +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 1.8 สนใจกับงานที่กำลังทำอย่างต่อเนื่อง +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 1.9 ไม่รบกวนผู้อื่นขณะที่กำลังทำ กิจกรรม +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 1.10 แสดงกิริยาได้ถูกกาลเทศะ 0 +1 +1 2 0.67 นำไปใช้ได้
68 การวิเคราะห์ค่าประเมินความสอดคล้องและความเหมาะสมของ แบบประเมินทักษะทางสมอง ของเด็กการคิดยืดหยุ่น พฤติกรรมด้านทักษะทางสมอง คะแนนวามคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ∑ IOC หมายเหตุ คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 2.การคิดยืดหยุ่น 2.1 ปรับตัวจากการทำงานอย่างหนึ่ง ไป ทำงานอีกอย่างหนึ่งได้ +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 2.2 ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ง่าย +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 2.3 เปลี่ยนกิจกรรมตามช่วงเวลาได้โดยไม่มี ปัญหา +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 2.4 เปลี่ยนบทบาทหน้าที่จากเดิม เป็น บทบาทหน้าที่ใหม่ได้ +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 2.5 ยอมรับหากมีการเปลี่ยนแผนกระทันหัน +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 2.6 ทำกิจกรรมต่อได้ แม้สิ่งแวดล้อมจะ เปลี่ยนไป +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 2.7 เมื่อถูกแย่งสิ่งของที่ตนกำลังใช้ สามารถ เปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นได้โดยไม่หงุดหงิด +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 2.8 แบ่งปันอุปกรณ์ทำงานให้กับเพื่อนๆได้ +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 2.9 หาทางออกใหม่ๆ หรือวิธีการแก้ปัญหา เฉพาะหน้าได้ +1 0 +1 2 0.67 นำไปใช้ได้ 2.10 ปรับตัวเข้ากับบุคคลใหม่ๆ ได้ง่าย +1 +1 0 2 0.67 นำไปใช้ได้
69 การวิเคราะห์ค่าประเมินความสอดคล้องและความเหมาะสมของ แบบประเมินทักษะทางสมอง ของเด็กด้านการริเริ่มลงมือทำ พฤติกรรมด้านทักษะทางสมอง คะแนนวามคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ∑ IOC หมายเหตุ คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 3. การริเริ่มลงมือทำ 3.1 การเริ่มลงมือทำด้วยตนเอง +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 3.2 ตั้งใจทำกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 3.3 ประดิษฐ์ชิ้นงานได้แตกต่างจาก รูปแบบชิ้นงานเดิม +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 3.4 เด็กสามารถแสดงความคิดเห็นที่ แตกต่างในผลงานศิลปะสร้างสรรค์ของ ตนและเพื่อนได้ +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 3.5 เด็กสามารถออกแบบชิ้นของตัวเอง ได้และบอกเล่าเรื่องราวจากชิ้นงานนั้น +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 3.6 เด็กสามารถฟังเพื่อนจนจบและ แสดงความคิดเห็นผลงานเพื่อนได้ +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 3.7 เด็กสามารถนำเสนอผลงานของ ตนเองได้ +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 3.8 การเก็บอุปกรณ์หลังทำกิจกรรม +1 +1 +1 3 1.00 นำไปใช้ได้ 3.9 เด็กสามารถฟังเพื่อนจนจบและ แสดงความคิดเห็นผลงานเพื่อนได้ +1 +1 0 2 0.67 นำไปใช้ได้ 3.10 ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้ สำเร็จลุล่วง +1 +1 0 2 0.67 นำไปใช้ได้
70 ค่าอำนาจจำแนก (B) และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ค่าอำนาจจำแนก (B) และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางสมองของเด็กด้าน การยั้งคิดไตร่ตรองที่ได้จากนักเรียนที่ จำนวน 30 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ข้อที่ ค่าอำนาจจำแนก สรุป 1. อดทน รอคอยได้ 0.46 ใช้ได้ 2. ตั้งใจทำกิจกรรม 0.49 ใช้ได้ 3. จดจ่อกับกิจกรรมที่กำลังทำด้วยความ กระตือรือร้น 0.77 ใช้ได้ 4. ไม่พูดแทรกขณะที่ผู้อื่นกำลังพูด 0.46 ใช้ได้ 5. รู้จักหยุดเมื่อเห็นว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นอาจก่อให้เกิด อันตราย 0.82 ใช้ได้ 6. เมื่อต้องการสิ่งของที่ผู้อื่นกำลังใช้อยู่ รู้จักขอ อนุญาติหรือรอให้ผู้อื่นใช้เสร็จก่อน 0.47 ใช้ได้ 7. สนใจกับงานที่กำลังทำอย่างต่อเนื่อง 0.82 ใช้ได้ 8. ไม่รบกวนผู้อื่นขณะที่กำลังทำกิจกรรม 0.46 ใช้ได้ 9. แสดงกิริยาได้ถูกกาลเทศะ 0.82 ใช้ได้ 10. ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จในเวลาที่กำหนด 0.49 ใช้ได้ ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางสมองของเด็กด้านการยั้งคิดไตร่ตรองที่ได้มีค่าเท่ากับ 0.88
71 วิเคราะห์ค่าอำนาจจำแนก (B) และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางสมองของเด็กด้าน การคิดยืดหยุ่นที่ได้จากนักเรียนที่ จำนวน 30 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ข้อที่ ค่าอำนาจจำแนก สรุป 1. ปรับตัวจากการทำงานอย่างหนึ่ง ไปทำงานอีก อย่างหนึ่งได้ 0.49 ใช้ได้ 2. ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ง่าย 0.38 ใช้ได้ 3. เปลี่ยนกิจกรรมตามช่วงเวลาได้โดยไม่มีปัญหา 0.74 ใช้ได้ 4. เปลี่ยนบทบาทหน้าที่จากเดิม เป็นบทบาทหน้าที่ ใหม่ได้ 0.49 ใช้ได้ 5. ยอมรับหากมีการเปลี่ยนแผนกระทันหัน 0.81 ใช้ได้ 6. ทำกิจกรรมต่อได้ แม้สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไป 0.58 ใช้ได้ 7. เมื่อถูกแย่งสิ่งของที่ตนกำลังใช้ สามารถเปลี่ยนไป ใช้อย่างอื่นได้โดยไม่หงุดหงิด 0.81 ใช้ได้ 8. แบ่งปันอุปกรณ์ทำงานให้กับเพื่อนๆได้ 0.49 ใช้ได้ 9.หาทางออกใหม่ๆ หรือวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้ 0.81 ใช้ได้ 10. ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล 0.19 ตัดทิ้ง 11. ปรับตัวเข้ากับบุคคลใหม่ๆ ได้ง่าย 0.58 ใช้ได้ ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางสมองของเด็กด้านการคิดยืดหยุ่นที่ได้มีค่าเท่ากับ 0.87
72 วิเคราะห์ค่าอำนาจจำแนก (B) และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางสมองของเด็ก ด้านการริเริ่มลงมือทำที่ได้จากนักเรียนที่ จำนวน 30 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ข้อที่ ค่าอำนาจจำแนก สรุป 1. การเริ่มลงมือทำด้วยตนเอง 0.60 ใช้ได้ 2. ออกแบบผลงานศิลปะได้ 0.18 ตัดทิ้ง 3. ประดิษฐ์ชิ้นงานได้แตกต่างจากรูปแบบชิ้น งานเดิม 0.68 ใช้ได้ 4. เด็กสามารถแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างใน ผลงานศิลปะสร้างสรรค์ของตนและเพื่อนได้ 0.60 ใช้ได้ 5. เด็กสามารถออกแบบชิ้นของตัวเองได้และบอก เล่าเรื่องราวจากชิ้นงานนั้น 0.82 ตัดทิ้ง 6. เด็กสามารถนำเสนอผลงานของตนเองได้ 0.45 ใช้ได้ 7. สร้างสรรค์ผลงานที่แปลกใหม่ 0.19 ตัดทิ้ง 8. การเก็บอุปกรณ์หลังทำกิจกรรม 0.60 ใช้ได้ 9. เด็กสามารถจดจํารายละเอียดของต่างๆในผลงาน ของตนได้ 0.82 ใช้ได้ 10. เด็กสามารถฟังเพื่อนจนจบและแสดงความ คิดเห็นผลงานเพื่อนได้ 0.82 ใช้ได้ 11. แสดงกิริยาได้ถูกกาลเทศะ 0.60 ใช้ได้ 12. ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จในเวลาที่กำหนด 0.68 ใช้ได้ ค่าความเชื่อมั่นแบบประเมินทักษะทางสมองของเด็กด้านการริเริ่มลงมือ มีค่าเท่ากับ 0.89
73 ภาคผนวก ค - คู่มือการใช้แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ - แผนการจัดกิจกรรมการศิลปะสร้างสรรค์
74 คู่มือการใช้แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หลักการและเหตุผล กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เป็นกิจกรรม 1 ใน 6 กิจกรรมที่เด็กปฐมวัยจะต้องปฏิบัติในแต่ละ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ สอดคล้องกับหลักพัฒนาการของเด็กเป็นอย่างดีอีกทั้งช่วยให้กล้ามเนื้อมือกับตา สัมพันธ์กัน ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และช่วยส่งเสริมความคิด การ รู้จักทำงาน การจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์สื่อ และวัสดุ จึงมีความจำเป็นสำหรับเด็กเป็นอย่างมาก กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จึงมี ความสำคัญกับเด็กปฐมวัยเนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการเด็กในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการ แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ที่เน้นให้เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระ ช่วยให้เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน รู้จักพึ่งพาตนเอง เกิดความซาบซึ้งในความงาม ช่วยระบาย อารมณ์ พัฒนากล้ามเนื้อ เกิดกระบวนการ สร้างสรรค์ ผ่านประสาทสัมผัส ซึ่งมีความสำคัญ อย่างยิ่งต่อ เด็กระดับปฐมวัย เพราะการได้ใช้ประสาท สัมผัสช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ เกี่ยวกับโลกที่เขาอยู่และเกิด ประโยชน์อีกมากมาย สำหรับเด็กปฐมวัย ศิลปะ เด็ก คือ ผลงานการแสดงออกของเด็กในทำงานอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และจิตนาการ โดยการวาด เขียน ขูด ขีด แกะ ป้าย ระบาย ปะ ติด ก่อ ปั้น ต่อ พ่น พิมพ์ เป็นต้น ใช้เทคนิค วิธีกำร วัสดุ ต่างๆ ของเด็กแต่ ละคน สื่อสารสิ่งที่เข้าได้ทดลองกับผู้อื่นและยังมีโอกาสได้พัฒนากล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเนื้อใหญ่ ตลอดทั้ง สร้างความเข้าใจในการเตรียมความพร้อมด้านการอ่าน เขียน และ เก็บอุปกรณ์ต่างๆ (ปริษา บุญมาศ ,2555) วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่มีต่อทักษะทักษะทางสมอง 2.เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เนื้อหาการวิจัย การเรียนรู้เรื่องสีจากธรรมชาติ หมายถึง เรื่องราวเกี่ยวกับสีจากพืช ผักและผลไม้ที่อยู่ใน สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กและธรรมชาติรอบตัว นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การ ศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้สาระการเรียรรู้เรื่องสิ่งต่างๆรอบตัวเด็ก และธรรมชาติรอบตัว ซึ่งครอบครุมเนื้อหา เกี่ยวกับสีจากธรรมชาติ สีที่มนุษย์สร้างขึ้น รวมทั้งประโยชน์และโทษของสี ทั้งที่เป็นอาหารและสิ่งของ เครื่องใช้ สีจากธรรมชาติที่ใช้ในชีวิตประจำวันของเด็กปฐมวัยที่มีอยู่ในชุมชนรอบๆตัวเด็ก และเป็นสิ่งที่เด็ก คุ้นเคย
75 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ระหว่าง เดือนธันวาคม – มกราคม เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ได้แก่ วันจันทร์ วันพุธ และ วันศุกร์ วันละ 40 นาที รวมทั้งสิ้น 24 ครั้ง ในช่วงเวลา กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ บทบาทครูในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 1. ครูควรจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนที่เอื้อต่อการกระตุ้นเด็กให้ตื่นตัวที่จะอยากทำกิจกรรมที่ จะนำพาไปสู่การลงมือทำและเสริมสร้างจินตนาการในกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2. สร้างข้อตกงในการทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ดังนี้ 2.1 ให้เด็กแต่ละคนวางแผนในการทำงานด้วยตัวเองตามจินตนาการ 2.2 ระหว่างการดำเนินกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ครูคอยให้คำแนะนำและครูคอยสังเกพฤติกรรม ของทักษะทางสมอง ด้านยั้งคิดไต่ตรอง ด้านคิดยืดหยุ่น และด้านริเริ่มลงมือทำ ขณะทำกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ 2.3 ในขั้นสรุปผลการทำกิจกรรมครูจะเปิดโอกาสให้เด็กแต่ละคนนำเสนอผลงานของตนเองตาม จินตนาการและให้เพื่อนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อผลงานเพื่อน บทบาทเด็กในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 1. ปฏิบัติตามข้อตกลงในกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ร่วมกัน 2. ตั้งใจทำกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายได้อย่างอิสระ 3. เด็กแต่ละคนกันสรุปผลการทำกิจกรรมโดยการนำเสนอผลงานของตนเองตาม ขั้นตอนการจัดกิจกรรมกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทางศิลปะที่ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ คือ กิจกรรม การวาดภาพระบายสี การเล่นกับสีชนิดต่าง ๆ การฉีก ตัด ปะ และงานประดิษฐ์ ตามที่กล่าวมานี้ล้วนแต่ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการแสดงออกทางความคิด ที่เด็กได้สำรวจและจัดทำกับวัตถุโดยตรง เด็กสามารถ ออกแบบ ตกแต่ง กับชิ้นงานได้อย่างอิสระ โดยแบ่งเป็นประเภทกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดังนี้ โดยอาศัยการ สังเกต การคิด การสนทนา และการถามคำถาม ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 3.1 ขั้นนำ เป็นการนำเข้าสู่กิจกรรมด้วยการสนทนาการตั้งคำถาม และการร้องเพลง
76 เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจในกิจกรรม 3.2 ขั้นดำเนินกิจกรรม เด็กและผู้วิจัยลงมือปฏิบัติกิจกรรมที่ผู้วิจัยได้จัดเตรียมไว้โดย ระหว่างการทำกิจกรรมคุณครูจะสนทนากับเด็กโดยใช้คำถามกระตุ้นให้เด็กสังเกต และร่วมสนทนากับ คุณครู 3.3 ขั้นสรุป เด็กและครูร่วมกันสรุปกิจกรรมผ่านการสนทนา และการบันทึกขีดเขียน วาดภาพระบายสีและนําเสนอผลงานของตนเอง และให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น โดย การเล่าเรื่อง นําผลงานจัดแสดง และเก็บผลงานเพื่อประเมินความก้าวหน้าในแฟ้มสะสมผลงานหลังเสร็จ สิ้นการทำกิจกรรม สื่อการเรียนการสอน 1. รูปภาพ เพลง คำคล้องจอง ปริศนาคำทาย สถานที่บริเวรโรงเรียน หรือ บริเวณใกล้เคียงและ สื่อต่างๆรอบตัวที่ใช้ในการจัดกิจกรรมแต่ละวัน 2. สื่อจากวัสดุต่างๆที่หาได้ง่ายจากสิ่งต่างรอบตัว ส่วนต่างๆของต้นไม้ พืชผักใบไม้สีต่างๆและ วัสดุเหลือใช้ ที่นำมากิจกรรม 3. วัสดุ/อุปกรณ์ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น หลอดน้ำ แก้ว ขวด กระดาษทิชชู่ น้ำเปล่า สีเทียน สีไม้ วัสดุจากธรรมชาติ จานกระดาษ การประเมิน 1. สังเกตพฤติกรรมระหว่างเด็กทำกิจกรรม 2. สังเกตการร่วมกิจกรรมการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นของเด็ก 3. สังเกตการเก็บอุปกรณ์หลังเสร็จกิจกรรมให้เรียบร้อย
77 แผนการจัดกิจกรรมด้วยกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมที่ 21 ทิดชู่มัดย้อม ชั้นอนุบาลที่ 1 ระยะเวลา 30 นาที จุดประสงค์การเรียนรู้ เด็กสามารถ 1. ออกแบบผลงานการทำทิดชู่มัดย้อมได้ 2. ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จด้วยตนเองได้ 3. นำเสนอผลงานของตนเองตามจินตนาการได้ ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม 1.ขั้นนำ 1.1 ครูนำเข้าสู่กิจกรรมโดยใช้คำคล้องจอง “สีรุ้ง” - ครั้งแรกครูอ่านให้เด็กฟังก่อน - ครั้งที่สองครูอ่านและให้เด็กๆอ่านตาม -ครั้งสุดท้ายครูและเด็กอ่านพร้อมกัน 1.2 สร้างข้อตกลงในการทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ - ไม่หยอกล้อกันในขณะทำกิจกรรม (การยั้งคิดไตร่ตรอง) - ไม่ส่งเสียงดังรับกวนผู้อื่น - ไม่ลุกออกจากกลุ่มของตนเอง - แบ่งปันอุปกรณ์ภายในกลุ่ม 2.ขั้นสอน 2.1 ครูแนะนำกิจกรรม และวัสดุอุปกรณ์ พร้อมทั้งสาธิตวิธีการทำวิธีใช้วัสดุ 2.2 ครูแบ่งกลุ่มให้เด็ก กลุ่มละ 5-8 คน โดยใช้ ธงสี 2.3 ครูให้เด็กขยำทิดชู่ พับ ม้วน รูปแบบต่างๆตามความต้องการ (การยืดหยุ่นความคิด) 2.4 เด็กแต่ละกลุ่มลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำและครู ช่วยเหลือในการรัดยางที่ตัวทิดชู่และ กระตุ้นให้เด็กสร้างสรรค์ผลงานด้วยความสามารถตนเองตาม จินตนาการของตน (การริเริ่มลงมือทำ) 3.ขั้นสรุป 3.1 ครูให้เด็กได้นำเสนอผลงานของตัวเองจัดแสดงผลงานที่หน้าห้องหรือจุดที่ใช้แสดงผลงานเด็ก และให้เพื่อนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงาน
78 3.2 ครูและเด็กช่วยกันเก็บอุปกรณ์และทำความสะอาดหลังจากทำกิจกรรมเสร็จ สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 1. คำคล้องจอง “สีรุ้ง” 2. จานรอง 3. ทิดชู่ 4. หลอดบีบ 5. สีน้ำ การวัดและการประเมินผล สังเกตจาก 1.ผลงานการการทำทิดชู่มัดย้อม 2.การทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จด้วยตนเอง 3.การนำเสนอผลงาน ภาคผนวก คำคล้องจอง “สีรุ้ง” รุ้งเลื่อมลายงดงาม สีม่วงครามอีกนามน้ำเงิน เขียวเหลืองแดงงามดูน่าชม ช่างสุขสมสีม่วงสวยเอย
79 แผนการจัดกิจกรรมด้วยกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมที่ 22 ย้อมสีกระดาษ ชั้นอนุบาลที่ 1 ระยะเวลา 30 นาที จุดประสงค์การเรียนรู้ เด็กสามารถ 1. ออกแบบผลงานการย้อมสีกระดาษได้ 2. ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จด้วยตนเองได้ 3. นำเสนอผลงานของตนเองตามจินตนาการได้ ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม 1.ขั้นนำ 1.1 ครูนำเข้าสู่กิจกรรมโดยใช้คำคล้องจอง “สีรุ้ง” - ครั้งแรกครูอ่านให้เด็กฟังก่อน - ครั้งที่สองครูอ่านและให้เด็กๆอ่านตาม -ครั้งสุดท้ายครูและเด็กอ่านพร้อมกัน 1.2 สร้างข้อตกลงในการทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ - ไม่หยอกล้อกันในขณะทำกิจกรรม (การยั้งคิดไตร่ตรอง) - ไม่ส่งเสียงดังรับกวนผู้อื่น - ไม่ลุกออกจากกลุ่มของตนเอง - แบ่งปันอุปกรณ์ภายในกลุ่ม 2.ขั้นสอน 2.1 ครูแนะนำกิจกรรม และวัสดุอุปกรณ์ พร้อมทั้งสาธิตวิธีการทำวิธีใช้วัสดุ 2.2 ครูแบ่งกลุ่มให้เด็ก กลุ่มละ 5-8 คน โดยใช้ ไม้ไอติม 2.3 ครูให้เลือกสี ต่างๆตามความต้องการและผสมลงบนแผ่นพลาสติก 2.4 เด็กแต่ละกลุ่มลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ กระตุ้น ให้เด็กสร้างสรรค์ผลงานด้วยความสามารถตนเองตามจินตนาการของตน (การริเริ่มลงมือทำ) 2.5 เมื่อย้อมสีกระดาษเสร็จแล้วครูให้เด็กวาดรูปภาพระบายสีใส่ตามจินตนาการของตนเอง (การยืดหยุ่นความคิด)
80 3.ขั้นสรุป 3.1 ครูให้เด็กได้นำเสนอผลงานของตัวเองจัดแสดงผลงานที่หน้าห้องหรือจุดที่ใช้แสดงผลงานเด็ก และให้เพื่อนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงาน 3.2 ครูและเด็กช่วยกันเก็บอุปกรณ์และทำความสะอาดหลังจากทำกิจกรรมเสร็จ สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 1. คำคล้องจอง “สีรุ้ง” 2. แผ่นพลาสติก 3. กระดาษ 4. หลอดบีบ 5. สีน้ำ การวัดและการประเมินผล สังเกตจาก 1.ผลงานการการย้อมสีกระดาษ 2.การทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จด้วยตนเอง 3.การนำเสนอผลงาน ภาคผนวก คำคล้องจอง “สีรุ้ง” รุ้งเลื่อมลายงดงาม สีม่วงครามอีกนามน้ำเงิน เขียวเหลืองแดงงามดูน่าชม ช่างสุขสมสีม่วงสวยเอย
81 แผนการจัดกิจกรรมด้วยกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมที่ 23 ย้อมสีเมล็ดข้าวสายรุ้ง ชั้นอนุบาลที่ 1 ระยะเวลา 30 นาที จุดประสงค์การเรียนรู้ เด็กสามารถ 1. ออกแบบผลงานจากเมล็ดข้าวสายรุ้งได้ 2. ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จด้วยตนเองได้ 3. นำเสนอผลงานของตนเองตามจินตนาการได้ ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม 1.ขั้นนำ 1.1 ครูนำเข้าสู่กิจกรรมโดยใช้คำคล้องจอง “สีรุ้ง” - ครั้งแรกครูอ่านให้เด็กฟังก่อน - ครั้งที่สองครูอ่านและให้เด็กๆอ่านตาม -ครั้งสุดท้ายครูและเด็กอ่านพร้อมกัน 1.2 สร้างข้อตกลงในการทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ - ไม่หยอกล้อกันในขณะทำกิจกรรม (การยั้งคิดไตร่ตรอง) - ไม่ส่งเสียงดังรับกวนผู้อื่น - ไม่ลุกออกจากกลุ่มของตนเอง - แบ่งปันอุปกรณ์ภายในกลุ่ม 2.ขั้นสอน 2.1 ครูนำเมล็ดข้าวมาให้เด็กๆดูและตั้งคำถาม - เมล็ดข้าวมีสีอะไร - เมล็ดข้าวมาจากไหน - เมล็ดข้าวมีประโยชน์อย่างไร 2.1 ครูแนะนำกิจกรรม และวัสดุอุปกรณ์ พร้อมทั้งสาธิตวิธีการทำวิธีใช้วัสดุ 2.2 ครูแบ่งกลุ่มให้เด็ก กลุ่มละ 5-8 คน โดยใช้ ไม้ไอติม 2.3 ครูให้เลือกสี ต่างๆตามความต้องการและผสมลงบนถ้วยที่มีเมล็ดข้าว 2.4 เด็กแต่ละกลุ่มลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ กระตุ้น ให้เด็กสร้างสรรค์ผลงานด้วยความสามารถตนเองตามจินตนาการของตน (การริเริ่มลงมือทำ)
82 2.5 เมื่อย้อมสีเมล็ดข้าวเสร็จแล้วครูให้เด็กเรียงสีเมล็ดข้าวตามสีของสายรุ้งให้สวยงาม (การยืดหยุ่นความคิด) 3.ขั้นสรุป 3.1 ครูให้เด็กได้นำเสนอผลงานของตัวเองจัดแสดงผลงานที่หน้าห้องหรือจุดที่ใช้แสดงผลงานเด็ก และให้เพื่อนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงาน 3.2 ครูและเด็กช่วยกันเก็บอุปกรณ์และทำความสะอาดหลังจากทำกิจกรรมเสร็จ สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 1. คำคล้องจอง “สีรุ้ง” 2. ถ้วยย้อม 3. กระดาษ 4. กาว 5. สีผสมอาหาร 6.เมล็ดข้าว การวัดและการประเมินผล สังเกตจาก 1.ผลงานการทำเมล็ดข้าวสายรุ้ง 2.การทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จด้วยตนเอง 3.การนำเสนอผลงาน ภาคผนวก คำคล้องจอง “สีรุ้ง” รุ้งเลื่อมลายงดงาม สีม่วงครามอีกนามน้ำเงิน เขียวเหลืองแดงงามดูน่าชม ช่างสุขสมสีม่วงสวยเอย
83 ภาคผนวก ง - คู่มือการใช้แบบสังเกตทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย - แบบสังเกตทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย
84 คู่มือการใช้แบบแบบสังเกตทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย คำชี้แจง 1. แบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย จำนวน 3 ด้าน คือ ด้านยั้งคิดไตร่ตรอง ด้านการคิดยืดหยุ่น และด้านการริเริ่มลงมือทำ ของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ โดยเป็นแบบสังเกตราย รายบุคคล 2. แบบประเมินประกอบด้วยพฤติกรรมของทักษะทางสมอง3ด้าน ด้านละ10ข้อ จำนวน 1 ชุด มีรวมทั้งสิ้น 30 ข้อ และเป็นการประเมินโดยการสังเกตระหว่างที่เด็กทำกิจกรรม ด้านที่ 1 การยั้งคิดไตร่ตรอง จำนวน 10 ข้อ ด้านที่ 2 การคิดยืดหยุ่น จำนวน 10 ข้อ ด้านที่ 3 การิเริ่มลงมือทำ จำนวน 10 ข้อ 3. ระยะเวลาในการทำแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมองกำหนดให้เป็นก่อนจัด กิจกรรมและหลังการจัดกิจกรรมเสร็จและมีเกณฑ์การประเมินดังนี้คือ คะแนน 1 แทนค่า เมื่อเด็กปฐมวัยไม่แสดงออกเลย คะแนน 2 แทนค่า เมื่อเด็กปฐมวัยแสดงออกได้ด้วยตนเองเป็นบางครั้งและบางครั้ง ต้องให้ผู้อื่นต้องให้ผู้อื่นบอก คะแนน 3 แทนค่า เมื่อเด็กปฐมวัยแสดงออกได้ด้วยตนเองทุกครั้ง หมายเหตุการให้คะแนนในแบบสังเกตพฤติกรรมของทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัยในแต่ละข้อจะเป็น แบบสังเกตพฤติกกรรมของทักษะทางสมองในด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง การคิดยืดหยุ่น และการริเริ่มลงมือ ทำ ทำแบบสังเกตครั้งแรกก่อนการจัดกิจกรรมและหลังการจัดกิจกรรมว่ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ผลต่อ ทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย อุปกรณ์ที่ใช้ในการสังเกต 1. แบบสังเกต 2. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ศิลปะสร้างสรรค์
85 แบบสังเกตทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบบาล 1/3 โรงเรียนเทศบาล10อนุบาลหนูดี อำเภอเมืองจังหวัดอุดรธานี ชื่อผู้สังเกต.......................นางสาวชฎาภรณ์......ภานุทัศน์............................................................... ชื่อผู้ถูกสังเกต............................................................................................................. ............................. อายุ.........ปี........เดือน สังเกตครั้งที่.......ที่โรงเรียนเทศบาล10อนุบาลหนูดี อำเภอเมืองจังหวัดอุดรธานี วัน/เดือน/ปีที่สังเกต………………………………………………………………………………………………………………… คำชี้แจง ให้ผู้สังเกตทำเครื่องหมาย / ในช่องตามพฤติกรรมที่ปรากฏ พฤติกรรมด้านทักษะทางสมองEF ระดับ คะแนน หมาย เหตุ 3 2 1 1. การยั้งคิดไตร่ตรอง 1.1 อดทน รอคอยได้ 1.2 ตั้งใจทำกิจกรรม 1.3 จดจ่อกับกิจกรรมที่กำลังทำด้วยความกระตือรือร้น 1.4 ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จในเวลาที่กำหนด 1.5 ไม่พูดแทรกขณะที่ผู้อื่นกำลังพูด 1.6 รู้จักหยุดเมื่อเห็นว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นอาจก่อให้เกิดอันตราย 1.7 เมื่อต้องการสิ่งของที่ผู้อื่นกำลังใช้อยู่ รู้จักขออนุญาติหรือรอให้ผู้อื่น ใช้เสร็จก่อน 1.8 สนใจกับงานที่กำลังทำอย่างต่อเนื่อง 1.9 ไม่รบกวนผู้อื่นขณะที่กำลังทำกิจกรรม 1.10 แสดงกิริยาได้ถูกกาลเทศะ 2. การคิดยืดหยุ่น 2.1 ปรับตัวจากการทำงานอย่างหนึ่ง ไปทำงานอีกอย่างหนึ่งได้ 2.2 ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ง่าย 2.3 ปรับตัวเข้ากับบุคคลใหม่ๆ ได้ง่าย 2.4 เปลี่ยนกิจกรรมตามช่วงเวลาได้โดยไม่มีปัญหา 2.5 หาทางออกใหม่ๆ หรือวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
86 พฤติกรรมด้านทักษะทางสมองEF ระดับ คะแนน หมาย เหตุ 3 2 1 2.การคิดยืดหยุ่น 2.6 เปลี่ยนบทบาทหน้าที่จากเดิม เป็นบทบาทหน้าที่ใหม่ได้ 2.7 ยอมรับหากมีการเปลี่ยนแผนกระทันหัน 2.8 ทำกิจกรรมต่อได้ แม้สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไป 2.9 เมื่อถูกแย่งสิ่งของที่ตนกำลังใช้ สามารถเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นได้โดย ไม่หงุดหงิด 2.10 แบ่งปันอุปกรณ์ทำงานให้กับเพื่อนๆได้ 3. การริเริ่มลงมือทำ 3.1 การเริ่มลงมือทำด้วยตนเอง 3.2 ตั้งใจทำกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย 3.3 ประดิษฐ์ชิ้นงานได้แตกต่างจากรูปแบบชิ้นงานเดิม 3.4 เด็กสามารถแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างในผลงานศิลปะสร้างสรรค์ ของตนและเพื่อนได้ 3.5 เด็กสามารถออกแบบชิ้นของตัวเองได้และบอกเล่าเรื่องราวจาก ชิ้นงานนั้น 3.6 เด็กสามารถฟังเพื่อนจนจบและแสดงความคิดเห็นผลงานเพื่อนได้ 3.7 เด็กสามารถนำเสนอผลงานของตนเองได้ 3.8 ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จลุล่วง 3.9 การเก็บอุปกรณ์หลังทำกิจกรรม 3.10 เด็กสามารถจดจํารายละเอียดของต่างๆในผลงานของตนได้ หมายเหตุ เกณฑ์การประเมิน คะแนน 1 แทนค่า เมื่อเด็กปฐมวัยไม่แสดงออกเลย คะแนน 2 แทนค่า เมื่อเด็กปฐมวัยแสดงออกได้ด้วยตนเองเป็นบางครั้งและบางครั้ง ต้องให้ ผู้อื่นบอก คะแนน 3 แทนค่า เมื่อเด็กปฐมวัยแสดงออกได้ด้วยตนเองทุกครั้ง
87 ภาคผนวก จ - ภาพตัวอย่างการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์