การพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นด้านไวยากรณ์ เร่อื ง Present Perfect Tense
ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านต๊าพระแล จงั หวดั พะเยา
โดยใช้บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
กชพร เนตรทอง
โรงเรยี นบา้ นตา๊ พระแล อ๊าเภอเมือง จงั หวดั พะเยา
สา๊ นักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1
กระทรวงศึกษาธกิ าร
สิงหาคม พ.ศ. 2564
The Development of Learning Achievement in Grammar on Present Perfect Tense
of Grade 9 Students at Bantumphralae School Via
Computer Assisted Instruction (CAI)
KODCHAPRON NETTONG
Bantumphralae School, Mueang District, Phayao Province
Phayao Primary Educational Service Are Office 1
Ministry of Education
August 2021
คา๊ น๊า
ภาษาอังกฤษถือว่าเป็นภาษาสากลของโลกมีความสาคัญอย่างมาในการติดต่อส่ือสาร
กับนานาประเทศ การพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษน้ัน จึงควรพัฒนาให้ครบทุกด้านทั้งด้าน
การฟงั การพดู การอ่าน และการเขียน ซึ่งทกุ ภาษาจะมีคาศัพท์และโครงสร้างของตนเอง หาก
ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคาศัพท์ก็จะสามารถเข้าใจความหมายของประโยคได้
ยิ่งไปกว่าน้ันหากผู้เรยี นสามารถเข้าใจถึงหลักภาษา การใช้ โครงสร้างต่าง ๆ อย่างถกู ต้อง ก็จะ
สง่ ผลให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจประโยคของภาษาน้ัน ๆ ได้อยา่ งท่องแท้ ท้ังนใี้ นกระบวนการสอน
โครงสร้างไวยากรณ์น้ันมีความท้าทายในเรื่องของพื้นฐานผู้เรียนและ รูปแบบกระบวนการ
ดงั น้ันผู้วิจยั จึงมคี วามสนใจในการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย
สอน (Computer Assisted Instruction: CAI) มาใช้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ทางด้านไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษ เรื่อง Present Perfect Tense ของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน
บ้านตาพระแล จังหวัดพะเยา
ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานการวิจัยเล่มนี้จะเป็นประโยชน์และสามารถนาผล
การศึกษาเป็นแนวทางในการสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจและวิธกี ารใหม่ๆในการเรียนการสอน
เรื่องไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ส่งเสริมทัศนคติที่ดีของผู้เรียนที่มีภาษาอังกฤษ หากพบ
ข้อผิดพลาดประการใด ผู้วิจัยของอภัยมา ณ โอกาสนดี้ ว้ ย
ผู้วิจัย
สงิ หาคม 2564
กิตติกรรมประกาศ
การศึกษาและวิจัยฉบับนี้สาเร็จลงได้ดว้ ยความกรุณาอย่างยิ่งจากคณะศึกษานิเทศก์จาก
สานักงานศึกษาธิการจังหวัดพะเยา และสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1
ที่ได้ให้คาแนะนา ปรึกษา ตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่ ตลอดจนเป็นกาลังใจ
จนทาให้การวิจัยเชิงทดลองสาเร็จสมบรู ณ์ได้ ผู้วิจยั ขอกราบขอบพระคณุ เป็นอย่างสงู ไว้ ณ ทีน่ ี้
ขอขอบพระคุณ ดร.จีรัชญ์พัฒน์ ใจเมือง ผู้อานวยการโรงเรียนบ้านตาพระแล
นางสาวแสงเดอื น สาคร ครูประจาวิชาภาษาอังกฤษ และนางสาวพทั ยา พิทักษ์โพธิท์ อง ครชู านาญ
การ โรงเรียนบ้านตาพระแลที่ให้เกียรติเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือทาวิจัยในคร้ังนี้ อีกทั้ง
ขอขอบพระคุณผู้บริหาร บุคลากร และนักเรียนโรงเรียนบ้านตาพระแลทุกท่าน ทีใ่ ห้ความร่วมมือใน
การดาเนินการวิจัยในครั้งนี้
คณุ ค่าและประโยชน์อันพึงมีจากการวิจัยในช้ันเรียนฉบับนี้ ผู้วิจยั ขอมอบและอุทิศแก่ผู้มี
พระคณุ ทุกท่าน
กชพร เนตรทอง
ชื่อเรอ่ื ง การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นเรือ่ ง Present Perfect ของนักเรยี น
ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านตาพระแล อาเภอเมอื ง
ผู้วิจยั จงั หวัดพะเยา โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ค๊าสา๊ คญั (Computer Assisted Instruction: CAI)
กชพร เนตรทอง
พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
บทคดั ย่อ
การวิจัยคร้ังนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ด้านไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษ เรื่อง Present Perfect Tense ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย
สอน (Computer Assisted Instruction: CAI) ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนบ้านตาพระแล 2) ศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อพัฒนา
ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรือ่ ง Present Perfect Tense ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตาพระแล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 3 ทุกคน ที่กาลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตาพระแล
จังหวัดพะเยา จานวน 8 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง
Present Perfect (Computer Assisted Instruction: CAI) แผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 2 แผน และ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยจานวน 20 ข้อ โดยแบ่งออกเป็นแบบทดสอบ
ก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน และค่า dependent sample t-test
ผลการวิจยั พบว่า
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านไวยากรณ์ เรื่อง Present Perfect Tense ด้วยบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนดา้ นไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ (Computer Assisted Instruction: CAI) ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านตาพระแล มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดับ .05
2. ผลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้านไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษ (Computer Assisted Instruction: CAI) เรื่อง Present Perfect Tense ภาพรวมอยู่ในระดับ
มาก (M=4.22)
Title THE DEVELOPMET OF LEARNING ACHIEVEMENT IN GRAMMAR ON
PRESENT PERFECT TENSE OF GRADE 9 STUDENTS AT
Researcher BANTUMPHRALAE SCHOOL VIA COMPUTER ASSISTED
Keywords INSTRUCTION (CAI)
Kodchapron Nettong
the Development of Learning Achievement, Computer Assisted
Instruction (CAI)
ABSTRACT
The purposes of this research were to: 1) compare the students’ English
grammar achievement on Present Perfect Tense using the computer assisted instruction
(CAI) for English grammar and 3) study the students satisfaction towards the computer
assisted instruction. The sample of the study were 8 students studying in
Bantumphralae School, Phayao province in the first semester of academic year 2021
The instruments used for this experiment were the computer assisted instruction (CAI)
for English grammar, two learning management plans, and achievement test; pretest
and posttest. Dependent t-test was used for data analysis.
The results of the study were as follows:
1. The achievement of students had statistically significantly higher than the
pretest at the level of .05.
3. The satisfaction of students were at high level (4.22).
สารบญั
บทที่ หนา้
1 บทนา๊ …………………………………………………………………………………………………………….. 1
ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา…………………………………….…………… 1
วตั ถุประสงค์ของการวิจยั …………………………………………………………………….….. 3
สมมตุ ิฐานของการวิจยั …………………………………………………………………………….. 3
ขอบเขตการวิจยั ……………………………………………..……………………………………….. 3
นิยามคาศัพท์เฉพาะ…………………………….………………………………………………….. 4
ประโยชน์ที่จะไดร้ ับจากงานวิจัย…………………………………………….……………….. 5
กรอบแนวคิดการวิจัย…………………………………………………………..………………….. 5
2 เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้อง…………………………………………………………..…….. 6
เอกสารเกี่ยวกบั การเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ..........…………… 7
เอกสารที่เกี่ยวข้องกบั บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(Computer Assisted Instruction: CAI)………………………………………………. 21
ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ด้านไวยากรณ์...…………………….…………………..…..... 27
เอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกับแผนการจดั การเรียนรู้……………………………….……..….. 28
เอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกับความพึงพอใจ........................................................ 30
งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………..….……………………. 33
3 วิธีการด๊าเนนิ การวิจัย…………………………………………………………….…………………… 35
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………….……………………..… 35
เครอ่ื งมือและวิธกี ารสร้างเครือ่ งมือ....…………………………………………………..… 35
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล…………………………………………………………………………..… 37
การวิเคราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………………………………..… 38
สารบัญ (ตอ่ )
บทที่ หน้า
4 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล……………………………….……………………………………………..… 40
สัญลกั ษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู ………………………………………………………. 40
การเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล……………………….…………………………………..… 40
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล………………………………….………………………………………..… 41
5 บทสรปุ ………………………………………………………………………………………………………..… 44
สรุปผลการวิจัย………………………………………………………………………………………… 44
อภิปรายผลการวิจัย…………………………………………………………………………………. 45
ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………… 46
บรรณนานกุ รม……………………………………………………………………………………………………..… 47
ภาคผนวก……………………………………………………………………………………………………………..… 53
ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญ…………………………………….……………………… 54
ภาคผนวก ข แผนการจัดการเรียนรู้………………………………………………………… 55
ภาคผนวก ค ตวั อย่างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคาศัพท์
ภาษาอังกฤษ……………..…………………….…………...............……………………… 57
ภาคผนวก ง ผลการตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมือในการวิจยั …………………. 75
ภาคผนวก จ ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ....................................................... 78
ภาคผนวก ฉ บันทึกข้อความขออนญุ าตจดั ทาวิจัย.................................. 80
ภาคผนวก ช บันทึกขอความขอความอนุเคราะห์ประเมินค่าดชั นีความ
สอดคลอ้ ง......................................................................................... 81
ประวัติผู้วิจยั …………………………………………………………………………………………………………… 84
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
1 กรอบแนวคิดการวิจยั ................................................................................. 5
2 โครงสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบการสอน.................................... 22
3 โครงสร้างของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบฝึกหัดและฝึกทักษะ......... 22
4 โครงสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบสถานการณ์จาลอง................... 23
5 โครงสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกมการสอน............................... 24
สารบัญตาราง
ตาราง หนา้
1 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง Present Perfect 41
Tense ก่อนและหลงั เรียนของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนบ้านตาพระแล โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 42
(Computer Assisted Instruction: CAI)............................................................... 75
78
2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้เรยี นที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 79
(Computer Assisted Instruction: CAI) เรือ่ ง Present Perfect..........................
3 ค่าความสอดคลอ้ งของเคร่อื งมือวิจัย..........................................................
4 ผลการทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรู้กอ่ นและหลงั เรียน........................
5 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ทางสถิติ..................................................................
บทที่ 1
บทนา๊
ความเป็นมาและความสา๊ คัญของปัญหา
สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2560) ไดร้ ะบุในแผนการศึกษา
แห่งชาติ พ.ศ.2560 ถึง พ.ศ. 2579 ว่า ประเทศไทยได้ให้ความสาคัญด้านการศึกษาในฐานะกลไก
หลกั ในการพัฒนาประเทศมาโดยตลอด โดยที่การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคน ที่รัฐ
ต้องจัดให้เพื่อพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัยให้มีความเจริญงอกงามทุกด้านเพื่อเป็นต้นทุนทางปัญญาที่
สาคัญในการพัฒนาทักษะ นักเรียนลักษณะและสมรรถนะในการประกอบสัมมาชีพ และการ
ดารงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างเป็นสุข อันจะนาไปสู่เสถียรภาพและความม่ันคงของสังคม
และประเทศชาติที่ต้องพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าและทัดเทียมนานาประเทศในเวทีโลกท่ามกลาง
กระแสการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกศตวรรษที่ 21 ซึ่งปัจจัยที่เป็นความท้าทายและทาให้
เกิดการปรับเปล่ียนการศึกษาก็คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบการศึกษา และสภาวการณ์การ
เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วของกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ส่งผลให้ประเทศไทยและ ประเทศทั่วโลกต้อง
เผชิญกบั ความเปล่ียนแปลง และดารงอยู่ภายใต้การเปล่ียนแปลงที่เป็นพลวัต อย่างหลีกเล่ียงไม่ได้
การศึกษาซึ่งเป็นกลไกหลักของประเทศในการพัฒนาศักยภาพและ ขีดความสามารถของทุนมนุษย์
เพื่อรองรับการเปล่ียนแปลงและความท้าทายดังกล่าว จึงต้อง ปรับเปล่ียนให้ทันการณ์และนาพา
ประเทศสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และปัจจัยที่พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดมากที่สุดน้ันก็คือ
ด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศของโลกที่มีการพัฒนาไปอย่างไม่ยุดย้ัง ปัจจุบันเราสามารถ
ติดต่อส่ือสารกันได้ง่าย ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งการติดต่อส่ือสารน้ันจาเป็นต้องมี
ภาษาเป็นส่อื กลาง เพือ่ ให้เกิดความความเข้าใจในทิศทางเดียวกัน แต่ละประเทศกม็ ักจะมีภาษาถิ่น
หรือภาษาประจาชาติของตนเองในการส่อื สารระหว่างกัน หากแต่ต้องส่ือสารกันระหว่างประเทศจึง
ต้องมีภาษาสากล โดยภาษาที่จัดเป็นภาษาสากล (International Language) คือ ภาษาอังกฤษ
กระทรวงศึกษาธิการจึงมีการปรับเปล่ียนการศึกษาไทยให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของโลก โดย
ได้นาการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแนวใหม่ตามกรอบมาตรฐานความสามารถทาง
ภาษาอังกฤษที่เป็นสากลระดับช้ันมัธยมศึกษา จากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปหรือ Common
European Framework of Reference for Languages (CEFR) มาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะ
ภาษาอังกฤษ ซึ่งเปน็ มาตรฐานสาหรับประเทศที่นักเรียนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (English
2
as a second language: ESL) ทางกระทรวงศึกษาธิการมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้มีจัดการเรียนการ
สอนที่บูรณาการภาษาอังกฤษกับเข้าสู่วิชาต่าง ๆ กระตุ้นการคิดวิเคราะห์ การฟัง พูด อ่าน และ
เขียนในภาษาอังกฤษ และมีการจัดการสอบวัดระดับความรู้ด้านภาษาอังกฤษมากขึ้น เพื่อสร้าง
แรงจูงใจ และเตรียมพร้อมเด็กไทยในเวทีการแข่งขันท้ังในประเทศและต่างประเทศ
ซึง่ ในการพัฒนาดา้ นภาษาสง่ิ ที่สาคัญและจาเปน็ อย่างมากนอกเหนือจากคาศัพท์แลว้ น้ัน
กค็ ือไวยากรณ์ ดงั เช่นที่ วิไล คากระบือ (2551) ไดก้ ลา่ วว่า ไวยากรณ์เป็นทกั ษะข้ันพื้นฐานที่สาคัญ
ของการเรียนภาษาทุกภาษาเพื่อนาไปใช้ในการฟังพูดอ่านและเขียนได้อย่างถูกต้องในปัจจุบันนี้
ข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษเช่น TOEFL และ IELTS แต่ละทักษะนั้นผู้สอนจะต้องมีพื้นฐานทางด้าน
ไวยากรณ์ที่ดีมิฉะน้ันจะทาให้ผลสอบออกมาไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ผู้สอนยังมีบทบาทสาคัญใน
การถ่ายทอดความรู้เปน็ อย่างมากเพราะครตู ้องเข้าใจหลักไวยากรณ์ภาษาองั กฤษเป็นอย่างดี เข้าใจ
ปัญหาของนักเรียนไทยในการเรียนไวยากรณ์แล้วมีความสามารถในการถ่ายทอดให้เข้าใจหลัก
ไวยากรณ์ได้อย่างรวดเร็วง่ายไม่เบื่อและสามารถนาไปใช้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยา ผนวกกับใน
สถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ผู้สอนต้องมีการปรับวิธีการสอนให้มีความหลากหลาย ทันสมัย
รวดเร็ว แต่เข้าใจง่าย ผ่านรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งสานักงานคระ
กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการได้นาเสนอรูปแบบการจัดการเรียนการสอนใน
ยุคโควิด-19 ไว้ 5 รูปแบบ ได้แก่ On-site, On-Air, Online, On-hand และ On-demand โดย
สถานศึกษาและครูผุ้สอนสามารถเลือกรูปแบบได้ตามความเหมาะสม และบริบทของสถานศึกษา
ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีการสอนและเครื่องมือที่จะช่วยพัฒนาด้านไวยากรณ์ของ
นักเรียน ซึ่งพบว่า จากสาระตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 มาตรา 22
ดังกล่าว จะเห็นว่าส่ือการเรียนการสอน นับว่าเป็นปัจจัยสาคัญอย่างยิ่งที่จะสง่ เสริมและสนับสนุน
ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ได้หรือผู้เรียนเป็นสาคัญ ส่ือการเรียนการสอนประเภท
“คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” เอง นับว่าเป็นส่ือประเภทหนึ่งที่ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ท้ังนี้
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีคุณสมบัติในการนาเสนอแบบหลายส่ือ (Multimedia) ด้วย
คอมพิวเตอร์ และการเรียนที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เปน็ เครือ่ งมือเป็นเพิ่มความน่าสนใจให้แก่ผเู้ รียน
และจากการวิจยั ของ รภิพร, สรพล และสมโภชน์ (2561) เรื่อง การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์
ช่วยสอนเพื่อพัฒนาความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6
พบว่า คะแนนเฉล่ียก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสาคัญ โดยค่าเฉล่ียหลังเรียน
เท่ากับ 38.00 และค่าเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 16.33 นักเรียนมีระดับความพึงพอใจต่อบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.85 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากบั
4.21 และ 9.85 ตามลาดับ ดังน้ันบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction:
3
CAI) จึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้เรื่องของไวยากรณ์ได้ และประโยชน์ที่เด่นชัดของ
ส่ือคอมพิวเตอร์ส่วนสอน (CAI) ก็คือสามารถเพิ่มความรวดเร็วในกระบวนการเรียนรู้ และส่งเสริม
ความสนุกสนานในการเรียนรู้ไดเ้ ป็นอย่างดี
ดังน้ันผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดยใชบ้ ทเรียนคอมพิวเตอร์
ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI) มาใช้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ทางด้านไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษ เรื่อง Present Perfect Tense ของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านตา
พระแล จังหวดั พะเยา
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Present
Perfect Tense ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted
Instruction: CAI) ของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตาพระแล
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อพัฒนา
ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Present Perfect Tense ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตาพระแล
สมมตุ ิฐานของการวิจัย
1. เมื่อใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ประกอบการสอน
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิด์ ้านไวยากรณ์หลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน
2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้านไวยากรณ์ เรื่อง
Present Perfect Tense อยู่ในระดับมาก
ขอบเขตการวิจยั
1. ขอบเขตของเน้อื หา
เนือ้ หาที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) มาตรฐานและตัวชี้วัดที่ ต.1.1 ม.3/4 ที่สอดคล้องกับ
หัวข้อไวยากรณ์ตามหนังสือเรียน Sprint 3 เรื่อง Present Perfect Tense ซึ่งสามารถแยกได้เป็นหัวข้อ
ย่อย ดังนี้
4
1. Past Participle
2. การใช้ Present Perfect Tense
3. โครงสร้างของ Present Perfect Tense
4. คาบอกเวลาใน Present Perfect Tense
2. ขอบเขตประชากรหรอื กล่มุ ตวั อยา่ ง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ได้แก่ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตาพระแล อาเภอเมือง จังหวดั พะเยา จานวน 8 คน
3. ขอบเขตดา้ นตัวแปร
ตัวแปรต้น คือ การสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเรื่อง Present Perfect Tense โดยใช้
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
ตัวแปรตาม คือ 1) ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนรู้ดา้ นไวยากรณ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
2) ผลความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
เรือ่ ง Present Perfect Tense อยู่ในระดบั มาก
4. ขอบเขตด้านระยะเวลา
ต้ังแต่เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2564 ถึงเดอื นสงิ หาคม พ.ศ.2564
นยิ ามคา๊ ศัพทเ์ ฉพาะ
ในการวิจยั ครงั้ นีม้ ีนิยามศพั ท์เฉพาะทีเ่ กี่ยวข้องกับงานวิจัยดังต่อไปนี้
ผลสัมฤทธิ์ หมายถึง ความสามารถทางด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Present
Perfect Tense ที่ได้ผ่านการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted
Instruction: CAI)
ไวยากรณ์ หมายถึง ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Present Perfect Tense ที่ได้จาก
การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2560) มาตรฐานและตัวชี้วัดที่ ต.1.1 ม.3/4 ที่สอดคล้องกับหัวข้อไวยากรณ์ตามหนังสือ
เรียน Sprint 3
บทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI) หมายถึง
เครื่องมือที่ช่วยในการจัดการเรียนการสอน เป็นแบบมัลติมีเดียมีท้ังคา ภาพ เสียง และ
ภาพเคล่อื นไหว เกม
5
นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตา
พระแล จงั หวดั พะเยา จานวน 8 คน
โรงเรยี น หมายถึง โรงเรียนบ้านตาพระแล อาเภอเมือง จงั หวัดพะเยา
ประโยชน์ทีจ่ ะไดร้ บั จากงานวิจยั
1. ให้ผู้เรยี นได้พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ทางด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
2. เป็นแนวทางสาหรับครูผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้
ทางด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษของนักเรยี น
กรอบแนวคิดการวิจัย
ตวั แปรต้น ตัวแปรตาม
การสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยใช้ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรู้ด้าน
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรือ่ ง Present Prefect
Tense หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียน
Assisted Instruction: CAI)
ผลความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีตอ่
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง Present
Perfect Tense อยู่ในระดับมาก
ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้อง
ในการวิจยั เรื่อง ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้องกบั การวิจัยโดย
แบ่งเป็นหัวข้อดงั นี้
1. เอกสารเกี่ยวข้องกับการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
1.1 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐานพุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ
1.2 ความหมายของไวยากรณ์
1.3 หลักการและข้ันตอนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกบั บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction:
CAI)
2.1 ความหมายของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
2.2 รปู แบบของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
2.3 ข้ันตอนในการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
3. ผลสมั ฤทธิ์ในการเรียนรู้ดา้ นไวยากรณ์
3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
3.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ (Achievement Test)
4. เอกสารทีเ่ กี่ยวข้องกับแผนการจัดการเรียนรู้
4.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้
4.2 ประโยชน์ของแผนการจดั การเรียนรู้
5. เอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกับความพึงพอใจ
5.1 ความหมายของความพึงพอใจ
5.2 ทฤษฎีทีเ่ กีย่ วข้องกบั ความพึงพอใจ
5.3 การสร้างแบบวัดความพึงพอใจ
6. งานวิจัยที่เกีย่ วข้อง
6.1 งานวิจัยในประเทศ
6.2 การวิจยั ต่างประเทศ
7
เอกสารเกย่ี วขอ้ งกบั การสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ
ท๊าไมต้องเรียนภาษาตา่ งประเทศ
ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสาคัญและจาเป็นอย่างยิ่งใน
ชีวิตประจาวัน เนื่องจากเป็นเครอ่ื งมือสาคัญในการติดต่อสอ่ื สาร การศึกษา การแสวงหาความรู้
การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และ
ตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลก นามาซึ่งมิตรไมตรีและ
ความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มคี วามเข้าใจตนเองและผู้อืน่ ดขี ึ้น เรียนรู้และ
เข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ
การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ และใช้ภาษาตา่ งประเทศเพื่อการ
สอ่ื สารได้ รวมท้ังเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ไดง้ ่ายและกว้างขนึ้ และมีวิสัยทัศน์ในการดาเนินชีวิต
ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งกาหนดให้เรียนตลอดหลักสูตร
การศึกษาข้ันพื้นฐาน คือ ภาษาอังกฤษ สว่ นภาษาต่างประเทศอื่น เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน
ญ่ีปุ่น อาหรับ บาลี และภาษากลุ่มประเทศเพื่อนบ้านหรือภาษาอื่น ๆ ให้อยู่ในดุลยพินิจของ
สถานศึกษาที่จะจัดทารายวิชาและจดั การเรียนรู้ตามความเหมาะสม
เรยี นร้อู ะไรในภาษาต่างประเทศ
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคตทิ ี่ดีต่อภาษาต่างประเทศ
สามารถใช้ภาษาต่างประเทศส่ือสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และ
ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมท้ังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลาย
ของประชาคมโลกและสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่าง
สร้างสรรค์ ประกอบดว้ ยสาระสาคัญ ดังนี้
ภาษาเพ่ือการสื่อสารการใช้ภาษาต่างประเทศในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน
แลกเปล่ยี นข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเหน็ ตีความ นาเสนอข้อมูลความคิดรวบ
ยอดและความคิดเห็นในเรือ่ งต่าง ๆ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม
ภาษาและวัฒนธรรมการใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของ
ภาษาความสัมพันธ์ ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับวัฒนธรรมไทยและนาไปใช้อยา่ งเหมาะสม
8
ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นการใช้ภาษาต่างประเทศ
ในการเชื่อมโยงความรู้กับกลมุ่ สาระการเรียนรู้อื่น เป็นพืน้ ฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และ
เปิดโลกทัศน์ของตน
ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลกการใช้ภาษาต่างประเทศใน
สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชมุ ชน และสังคมโลก เป็นเครื่องมือพ้ืนฐาน
ในการศึกษาต่อประกอบอาชีพและแลกเปล่ียนเรียนรู้กับสังคมโลก
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่1ภาษาเพอ่ื การสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากส่ือประเภทต่าง ๆ และแสดงความ
คิดเห็นอย่างมีเหตผุ ล
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารแสดงความรู้สึก
และความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสารความคิดรวบยอดและความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดย
การพูดและการเขียน
สาระที่2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาและนาไปใช้
ไดอ้ ย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของ
ภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทยและนามาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
สาระที่3 ภาษากับความสัมพนั ธก์ ับกลุ่มสาระการเรียนรู้อืน่
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชือ่ มโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นและเป็น
พนื้ ฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้และเปิดโลกทัศน์ของตน
สาระที่4 ภาษากบั ความสมั พันธก์ บั ชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ท้ังในสถานศึกษาชุมชนและสงั คม
มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเคร่ืองมือพื้นฐานในการศึกษาต่อการประกอบอาชีพ
และการแลกเปล่ียนเรียนรู้กบั สังคมโลก
9
คณุ ภาพผเู้ รยี น
จบช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3
ปฏิบัติตามคาขอร้อง คาแนะนา คาชี้แจง และคาอธิบายที่ฟังและอ่าน อ่านออกเสียง
ข้อความ ข่าว โฆษณา นิทาน และบทร้อยกรองส้ัน ๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน ระบุ/เขียนส่ือที่
ไม่ใช่ความเรียงรปู แบบตา่ ง ๆ สมั พนั ธ์กับประโยคและข้อความทีฟ่ งั หรืออ่านเลอื ก/ระบหุ วั ข้อเรื่อง
ใจความสาคัญ รายละเอียดสนับสนุน และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อ
ประเภทต่าง ๆ พร้อมทั้งให้เหตุผลและยกตัวอย่างประกอบ
สนทนาและเขียนโต้ตอบข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว สถานการณ์
ข่าว เรื่องที่อยู่ในความสนใจของสังคมและส่ือสารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ใช้คาขอร้อง คา
ชีแ้ จง และคาอธิบาย ให้คาแนะนาอย่างเหมาะสม พูดและเขียนแสดงความต้องการ เสนอและให้
ความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือ พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูล
บรรยาย อธิบาย เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่านอย่างเหมาะสม
พูดและเขียนบรรยายความรู้สึกและความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ กิจกรรม
ประสบการณ์ และข่าว/เหตกุ ารณ์ พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบอย่างเหมาะสม
พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกบั ตนเอง ประสบการณ์ ข่าว/เหตกุ ารณ์/เรือ่ ง/ประเด็นต่าง
ๆ ที่อยู่ในความสนใจของสังคม พูดและเขียนสรุปใจความสาคัญ/แก่นสาระ หัวข้อเรื่องที่ได้จาก
การวิเคราะห์เรื่อง/ข่าว/เหตุการณ์/สถานการณ์ที่อยู่ในความสนใจ พูดและเขียนแสดงความ
คิดเหน็ เกี่ยวกบั กิจกรรมประสบการณ์ และเหตุการณ์พร้อมให้เหตุผลประกอบ
เลือกใช้ภาษา น้าเสียง และกิริยาท่าทางเหมาะกับบุคคลและโอกาส ตามมารยาท
สังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาอธิบายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ขนบธรรมเนีย มและ
ประเพณีของเจ้าของภาษาเข้าร่วม/จัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ
เปรียบเทียบ และอธิบายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างการออกเสียง
ประโยคชนิดต่าง ๆ และการลาดบั คาตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย
เปรียบเทียบและอธิบายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างชวี ิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรม
ของเจ้าของภาษากับของไทย และนาไปใช้อย่างเหมาะสม
ค้นคว้า รวบรวมและสรุปข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นจาก
แหลง่ การเรียนรู้และนาเสนอดว้ ยการพูดและการเขียน
ใช้ภาษาส่ือสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จาลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน
สถานศึกษาชุมชน และสงั คม
10
ใช้ภาษาต่างประเทศในการสบื ค้น/ค้นคว้า รวบรวมและสรุปความรู้/ข้อมูลต่าง ๆ จาก
ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ เผยแพร่/ประชาสัมพันธ์
ข้อมลู ข่าวสารของโรงเรียนชมุ ชน และท้องถิ่น เป็นภาษาต่างประเทศ
มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ (เน้นการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน)สื่อสารตามหัวเรื่อง
เกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน ส่ิงแวดล้อม อาหาร เครื่องด่ืม เวลาว่างและนันทนาการ
สุขภาพและสวัสดิการ การซื้อ-ขาย ลมฟ้าอากาศ การศึกษาและอาชีพ การเดินทางท่องเที่ยว
การบริการ สถานท่ี ภาษา และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายในวงคาศัพท์ประมาณ 2,100-
2,250 คา (คาศพั ท์ทีเ่ ป็นนามธรรมมากข้นึ )
ใช้ประโยคผสมและประโยคซับซ้อน (Complex Sentences) ส่ือความหมายตามบริบท
ต่าง ๆ ในการสนทนาทั้งที่เปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ
ตัวชีว้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
สาระที่ 1 ภาษาเพ่อื การสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟงั และอ่านจากสือ่ ประเภทต่าง ๆ และแสดงความ
คิดเห็นอย่างมีเหตุผล
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ม.3 1. ปฏิบัตติ ามคาขอร้อง คาขอร้อง คาแนะนา คาชแี้ จง และ
คาแนะนา คาชีแ้ จง และ คาอธิบาย ในการประดิษฐ์ การบอกทิศทาง
คาอธิบายทีฟ่ ังและอ่าน ป้ายประกาศต่างๆ การใช้อุปกรณ์
- Passive Voice ที่ใช้ในโครงสร้างประโยค
ง่ายๆ เช่น is/are + past partciple-
คาสันธาน (conjunction) เช่น and/ but/ or/
before/ after/ because etc.
- ตัวเชื่อม (connective words) เช่น First,…
Second,…Third,… Fourth,… Next,… Then,…
Finally,… etc.
2. อ่านออกเสียงข้อความ ข่าว ข้อความ ข่าว โฆษณา และบทร้อยกรอง
โฆษณา และบทร้อยกรองส้ันๆ การใช้พจนานกุ รม
ถกู ต้องตามหลักการอ่าน หลกั การอ่านออกเสียง เช่น
11
ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
- การออกเสียงพยัญชนะต้นคาและ
พยญั ชนะท้ายคา สระเสยี งส้ัน สระเสยี ง
ยาว สระประสม
- การออกเสียงเน้นหนกั -เบา ในคาและ
กลุ่มคา
- การออกเสียงตามระดบั เสยี งสูง-ต่า ใน
ประโยค
- การออกเสียงเชือ่ มโยงในข้อความ
- การแบ่งวรรคตอนในการอ่าน
- การอ่านบทร้อยกรองตามจังหวะ
3. ระบุและเขียนส่อื ที่ไมใ่ ช่ความ ประโยค ข้อความ และความหมายเกีย่ วกับ
เรียง รปู แบบต่างๆ ให้สมั พนั ธก์ ับ ตนเอง ครอบครวั โรงเรียน ส่งิ แวดลอ้ ม
ประโยค และข้อความที่ฟงั หรือ อาหาร เครือ่ งดม่ื เวลาว่างและนนั ทนาการ
อ่าน สขุ ภาพและสวัสดกิ าร การซอื้ -ขาย ลมฟ้า
อากาศ การศึกษาและอาชีพ การเดนิ ทาง
ท่องเทีย่ ว การบริการ สถานที่ ภาษา และ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปน็ วงคาศพั ท์
สะสมประมาณ 1,400-1,550 คา (คาศพั ท์
ที่เปน็ รูปธรรมและนามธรรม) การตีความ/
ถ่ายโอนข้อมูลให้สัมพนั ธ์กับสอ่ื ที่ไมใ่ ช่ความ
เรียง เช่น สญั ลกั ษณ์ เครอ่ื งหมาย กราฟ
แผนภูมิ ตาราง ภาพสัตว์ ส่งิ ของ บคุ คล
สถานท่ตี ่างๆ โดยใช้ Comparison of
adjectives/ adverbs/ Contrast : but,
although/ Quantity words เช่น many/
much/ a lot of/ lots of/ some/ any /a few/
few/ a little/ little etc.
12
ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
4. เลอื ก/ระบหุ วั ข้อเรื่อง ใจความ การจับใจความสาคญั เช่น หวั ข้อเรื่อง
สาคญั รายละเอียดสนับสนุน ใจความสาคญั รายละเอียดสนับสนนุ จาก
และแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับ ส่อื ส่งิ พิมพ์และสือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น
เรือ่ งที่ฟังและอ่านจากสือ่ หนังสือพิมพ์ วารสาร วิทยุ โทรทศั น์ เวบ็
ประเภทต่างๆ พร้อมท้ังให้ ไซด์บนอินเทอร์เนต็ คาถามเกี่ยวกบั ใจความ
เหตุผลและยกตวั อย่างประกอบ สาคญั ของเรื่อง เช่น ใคร ทาอะไร ทีไ่ หน
เมื่อไร อย่างไร ทาไม ใช่หรือไม่
- Yes/No Question
- Wh-Question
- Or-Question etc.
ประโยคที่ใช้ในการแสดงความคิดเหน็ การ
ให้เหตผุ ลและการยกตวั อย่าง เช่น I think…/
I feel…/ I believe…/ I agree/disagree…/ I
don’t believe…/ I have no idea…
- if clauses
- so…that/such…that
- คาสนั ธาน (conjunctions) and/ but/ or/
because/ so/ before/ after etc.
- Infinitive pronouns :some/ any/
someone/ anyone/ everyone/ one/ ones
etc.
- Tenses : present simple/ present
continuous/ present perfect/ past simple/
future tense etc.
- Simple sentence/ Compound sentence/
Complex sentence
13
สาระที่ 1 ภาษาเพ่อื การสือ่ สาร
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปล่ยี นข้อมลู ขา่ วสารแสดง
ความรสู้ กึ และความคิดเห็นอย่างมีประสทิ ธิภาพ
ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
ม.3 1. สนทนาและเขียนโต้ตอบ ภาษาที่ใช้ในการส่อื สารระหว่างบคุ คล เช่น การ
ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เรื่อง ทกั ทาย กล่าวลา ขอบคุณ ขอโทษ ชมเชย การ
ต่างๆใกลต้ ัว สถานการณ์ พูดแทรกอย่างสภุ าพ การชักชวน การ
ข่าว เรือ่ งทอี่ ยู่ในความสนใจ แลกเปล่ยี นข้อมูลเกีย่ วกบั ตนเอง เรื่องใกลต้ ัว
ของสงั คมและสอ่ื สารอย่าง สถานการณต์ ่างๆ ในชีวิตประจาวนั การสนทนา/
ต่อเนือ่ งและเหมาะสม เขียนข้อมลู เกี่ยวกับตนเองและบุคคลใกล้ตวั
สถานการณ์ ข่าว เรือ่ งทีอ่ ยู่ในความสนใจใน
ชีวิตประจาวัน
2. ใช้คาขอร้อง ให้คาแนะนา คาขอร้อง คาแนะนา คาชี้แจง คาอธิบาย ทีม่ ี
คาชีแ้ จง และคาอธิบายอย่าง ขั้นตอนซบั ซ้อน
เหมาะสม
ม.3 3. พดู และเขียนแสดงความ ภาษาทีใ่ ช้ในการแสดงความตอ้ งการ เสนอและให้
ต้องการ เสนอและให้ความ ความชว่ ยเหลอื ตอบรบั และปฏเิ สธการให้ความ
ช่วยเหลอื ตอบรับและปฏเิ สธ ช่วยเหลอื ในสถานการณต์ ่างๆ เช่น
การให้ความช่วยเหลอื Please…/…, please./ I’d like…/ I need…/
ในสถานการณ์ต่างๆ อย่าง May/Can/Could…?/ Yes,../Please do./ Certainly./
เหมาะสม Yes, of course./ Sure./ Go right ahead./ Need
some help?/ What can I do to help?/ Would you
like any help?/ I’m afraid…/ I’m sorry, but…/
Sorry, but… etc.
4. พูดและเขียนเพื่อขอและให้ คาศพั ท์ สานวน ประโยค และข้อความทีใ่ ช้ใน
ข้อมลู อธิบาย เปรยี บเทียบ การขอและให้ข้อมูล อธิบาย เปรยี บเทียบ และ
และแสดงความคิดเหน็ แสดงความคิดเห็นเกีย่ วกบั เรื่องที่ฟังหรืออา่ น
เกี่ยวกับเรือ่ งทีฟ่ ังหรืออ่าน
อย่างเหมาะสม
14
ชั้น ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
5. พูดและเขียนบรรยาย ภาษาทีใ่ ช้ในการแสดงความรสู้ กึ ความคิดเห็น
ความรสู้ กึ และความคิดเหน็ และ
ของตนเองเกี่ยวกับ ให้เหตผุ ลประกอบ เช่น ชอบ ไมช่ อบ ดใี จ เสยี ใจ
เรือ่ งต่างๆ กิจกรรม มีความสขุ เศร้า หวิ รสชาติ สวย น่าเกลยี ด
ประสบการณ์ และข่าว/ เสยี งดัง ดี ไมด่ ี จากข่าว เหตุการณ์
เหตกุ ารณ์ พร้อมท้ังให้ สถานการณ์ ในชีวิตประจาวนั เช่น
เหตผุ ลประกอบอย่าง Nice./ Very nice./ Well done!/ Congratulations
เหมาะสม on... / I like…because…/ I love… because… /
I feel… because…I think…/ I believe…/
I agree/disagree…/ I’m afraid …/ I don’t like…
I don’t believe…/ I have no idea…/ Oh no!
etc.
สาระที่ 1 ภาษาเพอ่ื การสือ่ สาร
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลขา่ วสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ
โดยการพูดและการเขียน
ชั้น ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
ม.3 1. พดู และเขียนบรรยายเกีย่ วกบั การบรรยายเกี่ยวกับตนเอง ประสบการณ์
ตนเอง ประสบการณ์ ข่าว/ ข่าว/เหตกุ ารณ์/ประเด็นที่อยู่ในความสนใจ
เหตกุ ารณ์ / เรื่อง/ ประเดน็ ต่างๆ ของสงั คม เช่น การเดนิ ทาง การรบั ประทาน
ที่อยู่ในความสนใจของสงั คม อาหาร การเลน่ กีฬา/ดนตรี การฟังเพลง การ
อ่านหนังสือ การท่องเทีย่ ว การศึกษา สภาพ
สงั คม เศรษฐกิจ
15
ชั้น ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ม.3 2. พดู และเขียนสรปุ ใจความ การจบั ใจความสาคญั /แก่นสาระ หวั ข้อเรือ่ ง
สาคญั / การวิเคราะห์เรอ่ื ง/ข่าว/เหตกุ ารณ์/
แก่นสาระ หวั ข้อเรื่องที่ไดจ้ าก สถานการณท์ ีอ่ ยู่ในความสนใจ เช่น
การวิเคราะห์เร่อื ง/ข่าว/ ประสบการณ์ เหตกุ ารณ์ สถานการณต์ ่าง ๆ
เหตุการณ์/ ภาพยนตร์ กีฬา ดนตรี เพลง
สถานการณท์ ี่อยู่ในความสนใจ
ของสงั คม
3. พดู และเขียนแสดงความ การแสดงความคิดเห็น และการให้เหตุผล
คิดเหน็ เกี่ยวกบั กิจกรรม ประกอบเกี่ยวกบั กิจกรรม ประสบการณ์ และ
ประสบการณ์ และเหตุการณ์ เหตกุ ารณ์
พร้อมท้ังให้เหตผุ ลประกอบ
สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหวา่ งภาษากบั วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และ
นาไปใช้ได้ อย่างเหมาะสมกบั กาลเทศะ
ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
ม.3 1. เลอื กใช้ภาษา น้าเสียง และ การเลอื กใช้ภาษา น้าเสียง และกิริยาท่าทาง
กิริยาท่าทาง เหมาะกบั บคุ คลและ ในการสนทนา ตามมารยาทสงั คมและ
โอกาส ตามมารยาทสงั คม และ วฒั นธรรมของเจ้าของภาษา เช่น การ
วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ขอบคณุ ขอโทษ การชมเชย การใช้สีหน้า
ท่าทางประกอบ การพูด ขณะแนะนาตนเอง
การสัมผัสมือ การโบกมอื การแสดงความ
รู้สึกชอบ/ไม่ชอบ การกลา่ วอวยพร การแสดง
อาการตอบรับหรือปฏิเสธ
2. อธิบายเกี่ยวกับชีวิตความ ชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและ
เปน็ อยู่ ประเพณขี องเจ้าของภาษา
ขนบธรรมเนียมและประเพณีของ
เจ้าของภาษา
16
ชั้น ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
3. เข้าร่วม/จัดกจิ กรรมทาง กิจกรรมทางภาษาและวฒั นธรรม เช่น การ
ภาษาและวัฒนธรรมตามความ เลน่ เกม การร้องเพลง การเลา่ นทิ าน บทบาท
สนใจ สมมุติ วนั ขอบคณุ พระเจ้า วันครสิ ต์มาส วัน
ขนึ้ ปีใหม่ วันวาเลนไทน์
สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวฒั นธรรมของ
เจ้าของภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนามาใช้อยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม
ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ม.3 1. เปรยี บเทียบและอธิบายความเหมือนและ การเปรยี บเทียบและการอธิบาย
ความแตกต่างระหว่างการออกเสียง ความเหมอื น/ความแตกต่างระหว่าง
ประโยคชนิดต่าง ๆ และการลาดบั คาตาม การออกเสียงประโยคชนิดต่าง ๆ
โครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศ ของเจ้าของภาษากับของไทย การใช้
และภาษาไทย เคร่อื งหมายวรรคตอนและการลาดบั
คาตามโครงสร้างประโยคของ
ภาษาต่างประเทศและภาษาไทย
2. เปรยี บเทียบและอธิบายความเหมอื นและ การเปรยี บเทียบและการอธิบาย
ความแตกต่างระหว่างชวี ิตความเป็นอยแู่ ละ ความเหมอื นและความแตกต่าง
วฒั นธรรมของเจ้าของภาษากับของไทย ระหว่างชวี ิตความเป็นอยแู่ ละ
และนาไปใช้อยา่ งเหมาะสม วัฒนธรรมของเจ้าของภาษากบั ของ
ไทย การนาวัฒนธรรมของเจ้าของ
ภาษาไปใช้
17
สาระที่ 3 ภาษากบั ความสมั พันธ์กบั กล่มุ สาระการเรยี นร้อู ืน่
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาตา่ งประเทศในการเชือ่ มโยงความรกู้ บั กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และ
เป็นพืน้ ฐานในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตน
ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
ม.3 1. ค้นคว้า รวบรวม และสรปุ ข้อมูล/ การค้นคว้า การรวบรวม การสรุป และ
ข้อเทจ็ จรงิ ทีเ่ กี่ยวข้องกบั กลุ่มสาระ การนาเสนอข้อมูล/ขอ้ เท็จจรงิ ทีเ่ กีย่ วข้อง
การเรียนรู้อื่นจากแหลง่ เรียนรู้ และ กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
นาเสนอดว้ ยการพูดและการเขียน
สาระที่ 4 ภาษากบั ความสมั พันธก์ ับชมุ ชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาตา่ งประเทศในสถานการณต์ ่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชมุ ชน และ
สงั คม
ชั้น ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ม.3 1. ใช้ภาษาส่อื สารในสถานการณ์ การใช้ภาษาส่อื สารในสถานการณจ์ ริง/
จริง/สถานการณจ์ าลองทีเ่ กิดขนึ้ สถานการณจ์ าลองที่เกิดขนึ้ ในห้องเรียน
ในห้องเรียน สถานศึกษา ชมุ ชน สถานศึกษา ชมุ ชน และสงั คม
และสังคม
สาระที่ 4 ภาษากับความสมั พันธ์กบั ชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาตา่ งประเทศเป็นเครื่องมือพ้นื ฐานในการศึกษาตอ่ การประกอบ
อาชีพ และการแลกเปล่ยี นเรียนรู้กบั สังคมโลก
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ม.3 1. ใช้ภาษาตา่ งประเทศในการ การใช้ภาษาตา่ งประเทศในการสบื ค้น/การ
สบื ค้น/ค้นคว้า รวบรวม และสรปุ ค้นคว้าความรู้/ข้อมูลต่างๆ จากสือ่ และแหลง่
ความรู้/ข้อมลู ต่างๆ จากสื่อและ การเรียนรู้ต่างๆ ในการศึกษาต่อและ
แหลง่ การเรียนรู้ต่างๆใน ประกอบอาชีพ
การศึกษาต่อและประกอบอาชีพ
18
ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
2. เผยแพร่ /ประชาสมั พันธ์ การใช้ภาษาตา่ งประเทศในการเผยแพร่/
ข้อมูล ข่าวสารของโรงเรียน ประชาสมั พนั ธ์ข้อมูลขา่ วสารของโรงเรียน
ชุมชน และท้องถิน่ เปน็ ชมุ ชน และท้องถิ่น เช่น การทาหนงั สือเลม่ เลก็
ภาษาต่างประเทศ แนะนาโรงเรียน ชุมชน และท้องถิน่ การทา
แผ่นปลวิ ป้ายคาขวญั คาเชิญชวนแนะนา
โรงเรียนและสถานที่สาคญั ในชมุ ชนและ
ท้องถิน่ การนาเสนอข้อมลู ขา่ วสารในโรงเรียน
ชมุ ชน และท้องถิ่น เป็นภาษาองั กฤษ
ความหมายของไวยากรณ์
จินตนา สุจจานันท์ (2533 อ้างถึงใน พัตรสุดา ขาวผ่อง, 2561) ได้ให้ความหมายว่า
ไวยากรณ์หมายถึงการใช้กฎเกณฑ์ทางภาษาอย่างถูกต้อง
มาร์แชล (Marshall, 1997) กล่าวว่า ไวยากรณ์หมายถึงสิ่งที่ทาได้และส่ิงที่ทาไม่ได้ใน
ภาษาการสะกดคาและการใช้เครื่องหมายวรรคตอนที่ถูกต้องการจัดโครงสร้างคาในลาดับที่
ถูกต้องและการใช้ภาษาที่ถูกต้อง
ดกิ ก้ินส์ (Dickins, 1991) ได้กล่าวว่า ไวยากรณ์เปน็ เรือ่ งของการอธิบายเกี่ยวกับภาษา
ที่ให้ความสาคญั ในการเชื่อมคาตอ่ กันเป็นประโยค
จากความหมายของไวยากรณ์ ดังกล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ไวยากรณ์ หมายถึง
กฎเกณฑ์ทางภาษาทีใ่ ห้ความสาคญั ในการจัดโครงสร้างคา และหลกั การใช้ที่ถกู ต้อง
หลกั การสอนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ
สันทนา สุธาดารัตน์ (2531) กล่าวว่า การเรียนและการสอนภาษาองั กฤษท้ังการฟังพูด
อ่าน หรือเขียน ล้วนอาศัยไวยากรณ์ซึ่งการเรียนไวยากรณ์ต้องมีการฝึกฝนในการสอน
ไวยากรณ์ หลักในการสอนไวยากรณ์และขน้ั ตอนการสอนไวยากรณ์ ดังนี้
1. สาหรับนักเรียนในระดับต้น ควรจะสอนโครงสร้างใหม่เพียงโครงสร้างเดียวในแต่ละ
ครง้ั ของการสอน และควรจะมีความสมั พนั ธ์กบั สง่ิ ที่ได้สอนไปแลว้
2. ทบทวนโครงสร้างเตม็ ทีน่ ักเรยี นเรียนมาแล้วก่อนที่จะสอนเรือ่ งใหม่เสมอ เพื่อจะได้
แน่ใจว่าเด็กเข้าใจเรื่องที่เรียนมาแล้วจริง ๆ ในการสอนเรื่องใหม่ที่ต่อเนื่องกันจะทาได้ง่ายและ
รวดเร็ว
19
3. หลักไวยากรณ์ที่จะสอนต้องอยู่ในบทสนทนาหรือเรื่องที่จะต้องอ่านในการเรียนวนั
น้ันและจะต้องฝึกท้ังการถามและการตอบ4 ให้ตัวอย่างมากๆ และใกล้เคียงกับความจริง
นอกจากนั้นจะต้องตรงกับเรื่องทีส่ อนสอดแทรกวัฒนธรรมตามความเหมาะสม
4. จัดหาอุปกรณ์การสอนหลาย ๆ อย่างที่จะทาให้การเรียนการสอนคล่องตัวขึ้นและ
ประหยดั เวลาในการอธิบาย
6. จัดกิจกรรมหลายๆอย่างที่ต่อเนื่องกันในการสอนแต่ละแต่ละครั้ง เพราะจะทาให้ไม่
น่าเบือ่
7. คานึงถึงข้อแตกต่างระหว่างภาษาต่างประเทศกับภาษาเดิมของเด็กตัวอย่างเช่น
สาหรบั นกั เรียนไทยควรเน้นการเติม s พี่คากิริยาที่เป็นปัจจุบนั เมือ่ ประธานเป็นเอกพจน์และเติม
s ที่คานามเมือ่ ประธานเปน็ พหูพจน์
8. การฝึกจะต้องเป็นทั้งแบบปากเปล่าและแบบให้เขียนการฝึกป่าควรทาในห้องเรียน
สว่ นที่เป็นเขียนควรให้เปน็ การบ้าน
9. ครูต้องเตรียมคาถามที่จะใช้ถามในการสรุปกดมาให้พร้อมถ้านักเรียนฝึกจนเข้าใจ
และครูใช้คานามที่เป็นเหตุเป็นผลนักเรียนก็จะสามารถเข้าใจความเป็นมาของกรดได้ดีและ
สามารถนาไปใช้ในสถานการณจ์ ริง
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษน้ันโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมีความสาคัญเป็น
อย่างมากดงั ที่ เอลลิส (Ellis, 1997) ได้กล่าวไว้ว่า จากผลการศึกษามากมาย ทาให้ทราบว่าผู้ที่
เรียนโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษจะมีพัฒนาการทางภาษาที่ดีกว่าผู้ที่ไม่เรียนทั้งทางดา้ น
อัตราการพัฒนาของการเรียน รวมไปถึงการประสบความสาเร็จในการเรียนด้วย สอดคล้อง
กับฮิลลส์ และ เชลค์ (Hilles & Celce-Murcia, 1988) ที่กล่าวว่า การเรียนการสอนในเรื่องของ
โครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมีส่วนสนับสนุนพัฒนาการทางด้านภาษาศาสตร์ของผู้เรียน
โดยตรงการเรียนการสอนไวยากรณ์ทางภาษาองั กฤษโดยการใช้บริบทคอมพิวเตอร์ช่วยสอนใน
ครง้ั นีไ้ ด้นากระบวนการในการสอนไวยากรณ์แบบ 4 ขั้นตอน
1. ข้ันนาเสนอโครงสร้างไวยากรณ์ (Presentation) จากการศึกษาการนาเสนอโครงสร้าง
ไวยากรณ์มี 2 วิธีคือแบบนิรนยั (deductive Approach) และแบบอุปนยั (inductive Approach)
1.1 การสอนแบบนิรนัย (deductive Approach) คือผู้สอนจะเริ่มสอนโดยการ
สอนกฎไวยากรณ์ก่อน ตามด้วยแสดงประโยคตัวอย่างในการใช้ไวยากรณ์แล้วจึงให้ผู้เรียนฝึก
การใช้ไวยากรณ์
1.2 การสอนแบบอุปนัย (inductive Approach) คือผู้สอนจะเริ่มสอนโดยให้
ประโยคตัวอย่างที่แสดงการใช้ไวยากรณ์ที่จะสอนอ่าน จากน้ันผู้สอนให้ผู้เรียนฝึกการใช้
20
ไวยากรณ์ และสุดท้ายผู้สอนจะให้ผู้เรียนสรปุ กฎการใช้โครงสร้างไวยากรณ์นั้นดว้ ยตนเอง การ
ที่ผู้เรียนจะเลือกวิธีการนาเสนอโครงสร้างไวยากรณ์โดยวิธีไหนก็ตาม ควรจะต้องพิจารณาถึง
ความชอบของผู้เรยี นความถนัดของผู้เรยี นและชนิดของโครงสร้างไวยากรณ์ที่จะสอนเป็นหลัก
2. ข้ันฝึกโครงสร้างใหม่ (Focused practice) จุดมุ่งหมายของข้ันตอนนี้น้ันคือต้องการให้
ผู้เรียนได้ฝึกโครงสร้างไวยากรณ์ใหม่จนเกิดความชานาญก่อนไปฝึกข้ัน (communicative drill)
ต่อไปการฝึกขนั้ นีจ้ ึงเป็นแบบ (mechanical drill) และ (Meaningful drill)
3. ขั้นฝึกการสอ่ื สาร (Communicative practice) เมื่อผู้เรียนได้รบั การฝึกแบบโครงสร้าง
ไวยากรณ์ที่เรียนใหม่จนชานาญแล้ว ผู้เรียนควรมีการฝึกการใช้โครงสร้างไวยากรณ์ใหม่ใน
กิจกรรมที่เป็น (Communicative activity) ซึ่งคือ กิจกรรมที่ผู้เรียนจะได้ฝึกถ่ายโอนความรู้ด้าน
พยากรณ์ใหม่ๆมาใช้จริงในสถานการณก์ ารส่อื สาร
4. ขั้นสะท้อนความคิด (Teacher Feedback) ถึงแม้ว่าการจดั การข้อผิดพลาดของผู้เรียน
จะเปน็ ขั้นตอนสุดทา้ ยแต่จริง ๆ แล้วผู้สอนควรแก้ไขข้อผิดพลาดของนักเรียนตลอดจนกิจกรรม
การเรียนการสอนและกลวิธีการแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้สอนควรปรับเปล่ียนไปตามขั้นตอนของ
บทเรียนตัวอย่างเช่นในขั้นตอนที่ 2 (feedback drill)l น้ันผู้สอนควรแก้ไขขอ้ ผิดพลาดโดยตรงแก่
ผู้เรยี นทันทีทนั ใด แตเ่ มื่อถึงขนั้ ที่ 3 (communicative drill) ผู้สอนไมค่ วรขดั จังหวะการฝึกแต่ควร
แก้ไขขอ้ ผิดพลาดให้ผู้เรียนโดยการสังเกตและจดบันทึกไว้ก่อน จากนั้นจึงแก้ไขข้อผิดพลาดของ
ผู้เรยี นหลังจากการฝึกในข้ันนีส้ ้นิ สุดลงและส่งิ ทีส่ าคัญอีกอยา่ งหนึง่ ในการแก้ไขข้อผิดพลาดของ
ผู้เรยี นคือผู้สอนไมค่ วรให้เฉพาะคาตอบที่ถูกหรือบ่งชจี้ ุดที่ผิดเท่านั้นแตค่ วรให้เหตผุ ลกากับด้วย
ว่าทาไมถงึ ผิด
จากข้างต้นสรุปได้ว่า หลักการสอนไวยากรณ์ หมายถึง การสอนภาษาโดยคานึงถึง
หน้าที่และโครงสร้างทางภาษาตามหลักของภาษา เพื่อให้นักเรียนได้ทราบถึงวิธีการใช้และ
ทบทวนโครงสร้างเดิมที่นักเรียนเรียนมาแล้วก่อนที่จะสอนเรือ่ งใหม่เพื่อจะได้แน่ใจว่าเด็กเข้าใจ
เรื่องที่เรียนมาแล้วจริง ๆ หรือไม่และต้องเตรียมเนื้อหาการสอนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย
เพื่อให้ง่ายต่อการต่อเนื่องเนื้อหาและสอนให้นักเรียนเข้าใจอย่างรวดเร็ว และข้ันตอนการสอน
ประกอบดว้ ย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ข้ันนาเสนอโครงสร้างไวยากรณ์ (Presentation) ข้ันฝึกโครงสร้าง
ใหม่ (Focused practice) ขั้นฝึกการส่ือสาร (Communicative practice) และขั้นสะท้อนความคิด
(Teacher Feedback)
21
เอกสารที่เก่ียวข้องกับสื่อคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
ความหมายของสือ่ คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction หรือ CAI) คือ สอ่ื ที่เสนอบทเรียน
โดยผ่านทางเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ ช่วยทาให้ผู้เรยี นเรียนรู้เน้อื หาวิชาตา่ ง ๆ ได้ มีผู้ให้ความหมาย
ของ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ไว้มากมายในหลายลักษณะทีค่ ลา้ ยคลึงกนั คือ
ขนิษฐา (2532) กล่าวว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง การนาคอมพิวเตอร์มาใช้เปน็
เครื่องมือในการเรียนการสอนโดยทีเ่ นือ้ หาวิชา แบบฝึกหดั และแบบทดสอบจะถูกพัฒนาขนึ้ ใน
รูปแบบของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งมักเรียกว่า Courseware โดยที่ผู้เรียนจะเรียนจาก
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยบทเรียนคอมพิวเตอร์จะเสนอเนื้อหาวิชาที่อาจจะอยู่ในรูป
ของตัวหนังสือและกราฟิก สามารถถามคาถาม รับคาตอบจากผู้เรียน ตรวจคาตอบ และ
แสดงผลการเรียนอยู่ในรูปของข้อมูลป้อนกลับให้แก่ผเู้ รียน
ผดงุ (2527) กล่าวว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง การนาเอาเครอ่ื งคอมพิวเตอร์มา
ใช้เป็นเครื่องมือช่วยครูในการเรียนการสอน โปรแกรมสาหรับการเรียนการสอน มักจะบรรจุ
เนื้อหาเกี่ยวกับส่ิงที่ครูสอน แทนที่ครูจะสอนเนื้อหาวิชาด้วยตนเอง ครูก็บรรจุเนื้อหาที่สอน
เหล่าน้ันไว้ในโปรแกรม ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นผู้
ถ่ายทอดวิชาแทนครู
พรีนีส (Prenis, 1977) กล่าวว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นคอมพิวเตอร์ที่ทาให้ผู้เรียน
เรียนรู้รายวิชาไปทีละข้ันตอน คอมพิวเตอร์จะทาหน้าที่ถามคาถามเพื่อให้ผู้เรียนมีการ
ตอบสนอง ในระหว่างที่มกี ารเรียนการสอนอยู่ คอมพิวเตอร์สามารถป้อนกลับไปสรู่ ายละเอียด
ทีผ่ ่านมาหรือให้การทบทวนเนือ้ หา ฝึกฝนซ้าแก่ผู้เรียน
สปลิทเกอร์เบอร์ (Splittgerber, 1979) กล่าวว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคือ กระบวนการ
สอนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้คอมพิวเตอร์เป็นส่ือในการนาเสนอบทเรียน ที่อยู่ในแบบ
โต้ตอบ (Interaction Mode) เพื่อก่อให้เกิดการเรียนแบบเปน็ รายบคุ คล ได้แก่ การฝึกทักษะการ
สอนแบบตัวตอ่ ตัว เช่น สถานการณจ์ าลอง เกม และการแก้ปญั หา
กล่าวโดยสรุปคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นส่ือการเรียนการสอนที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้
ได้ด้วยตนเองจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งบรรจุเนื้อหาวิชาตามขั้นตอนของการสอนให้
เหมาะสมกบั ความแตกต่างระหว่างบุคคล และคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะทาหน้าที่เปรียบเสมือน
ครูในการนาเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเรียนให้กับผู้เรียน ในลักษณะของการให้ความรู้
เพิม่ เตมิ หรือทบทวน บทเรียน ตลอดจนการวัดและประเมินผล และให้ข้อมูลป้อนกลับโดยอาศัย
โปรแกรมที่บรรจไุ ว้ในเครอ่ื งคอมพิวเตอร์
22
รูปแบบของคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน
รูปแบบของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีหลายแบบจาแนกตามวิธกี ารและขั้นตอน
การสร้าง ท้ังนีข้ นึ้ อยู่กับแนวคิดของนักการศึกษาแตล่ ะท่านดงั นี้
1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบการเสนอเนื้อหาให้แก่ผู้เรียน (Tutorial) เป็น
บทเรียนที่นิยมใช้กนั มาก มีการแสดงกรอบสอนและกรอบคาถามให้ผู้เรียนไดต้ อบ การตอบทุก
ครงั้ จะถกู ประเมินและกรอบสอนกรอบใหม่ทีเ่ หมาะสมกับผู้เรียน ถกู แสดงออกมาโดยมีพื้นฐาน
อยู่บน การตอบสนองของผู้เรียน รูปแบบโดยท่ัวไปมีการแสดงข้อสนเทศ มีการถามคาถาม
ตรวจคาตอบและมีการให้ข้อมลู ป้อนกลบั ถ้าผู้เรยี นตอบถกู จะสอนกรอบต่อไป ถ้าตอบผิดกจ็ ะมี
การช่วยเหลือหรือสอนซ่อมเสริมเสียก่อนแล้วจึงกลับไปถามคาถามเดิม (Alessi และ Trollip,
1985: 66) ซึ่งมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงในอนาคตจะมีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบ
Tutorial เพื่อสอนเสริม สอนกึ่งทบทวน เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้ล่วงหน้าก่อนการเรียนใน
ช้ันเรียนปกติ ผู้เรียนอาจเรียนด้วยความสมัครใจหรืออาจเป็น Assignment จากผู้สอนในเวลา
หรือนอกเวลาเรียนปกติตามแลว้ แต่กรณี (สุกรี, 2531)
บทนา การเสนอเน้ือหาความรู้ คาถามและคาตอบ
จบบทเรียน ใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั ตัดสินคาตอบ
ภาพที่ 2 โครงสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบการสอน
2. บทเรียนแบบฝึกหัดและฝึกทักษะ (Drill และ Practice) เป็นบทเรียนที่เน้นให้
ผู้เรยี นได้ทาแบบฝึกหัดจนสามารถเข้าใจเนอื้ หา หลังจากที่ได้เรยี นเนอื้ หาน้ันแลว้ หรือมีการฝึก
ซ้า เพื่อให้เกิดทักษะ หรือมีการเสนอคาถามทีเ่ ป็นปัญหาซ้าจนกว่าผู้เรียนจะตอบถูกแก้ปญั หา
เหลา่ นน้ั ได้จนบรรลุถึงเกณฑ์ทีต่ ั้งไว้ ลกั ษณะของเนอื้ หาจะ เน้นดา้ นความรู้เปน็ สว่ นมาก (Alessi
และ Trollip 1985)
บทนา การเลือกคาตอบหรือปญั หา คาถามและคาตอบ
จบบทเรียน ใหข้ ้อมูลย้อนกลับ ตัดสินคาตอบ
ภาพที่ 3 โครงสร้างของบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนแบบฝึกหดั และฝึกทกั ษะ
23
3. แบบสร้างสถานการณ์จาลอง (Simulation) บทเรียนคอมพิวเตอร์รปู แบบนเี้ ป็น การ
จาลองสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกบั สถานการณ์จริง เพื่อให้ผู้เรียนได้ตอบสนองต่อสถานการณ์
แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์จะแสดงผลที่ไดจ้ ากการตัดสินใจน้ัน (Alessi และ Trollip, 1985) การใช้
คอมพิวเตอร์แบบสร้างสถานการณ์จาลองทาให้เข้าใจบทเรียนไดง้ ่าย เช่น เรื่องการเคล่อื นที่วิถี
โค้งของอนุภาคในสนามไฟฟ้า สามารถสร้างสถานการณ์จาลองเปน็ รูปภาพที่ทาให้ผู้เรียนได้เห็น
จริง และเข้าใจง่าย นอกจากนีย้ งั เกิดประโยชน์ด้านอื่น ๆ อีก เช่น สถานการณจ์ าลองในบทเรียน
ช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องวัสดุอปุ กรณ์ปฏิบตั ิงานได้มาก สถานการณ์จาลองช่วยลดอันตรายที่
อาจเกิดขึ้นกับผู้เรียน เช่น การทดลองเกี่ยวกับการแยกตัวของสารเคมีหรือรังสี สถานการณ์
จาลองอาจย่นระยะเวลาของปรากฏการณ์ให้สน้ั เข้า เช่น จาก 1 วนั มาเป็น 1 นาทีได้ เป็นต้น
(อรพนั ธ์, 2530)
บทนา เสนอสถานการณ์ การกระทาที่ต้องการ
จบบทเรียน การปรบั ระบบ การกระทาของผู้เรียน
ภาพที่ 4 โครงสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบสถานการณจ์ าลอง
4. แบบเกมการสอน (Instructional Games) เป็นบทเรียนและเครื่องมือการสอนที่มี
ประสิทธิภาพ ใช้เกมประกอบบทเรียนซึ่งให้ความสนุกสนาน แต่จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการ
เรียนรู้ (Alessi และ Trollip, 1985) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกมการสอนมีหลายชนิด
เช่น เกมผจญภยั เกมบทบาทสมมติ เกมคาศพั ท์ เป็นต้น ซึ่งพัฒนาจากแนวความคิดและทฤษฎี
ทางด้านการเสริมแรง (Reinforcement Theory) บนพืน้ ฐานการค้นพบที่ว่า ความตอ้ งการในการ
เรียนรู้ซึ่งเกิดจากแรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) เช่น ความสนุกสนานจะทาให้เกิดผลดี
ต่อการเรียนรู้และความคงทนในการจาดีกว่าการเรียนรู้จากแรงจูงใจภายนอก (Extrinsic
Motivation) บทเรียนแบบเกมการสอนที่ดีควรต้องท้าทาย (Challenge) กระตุ้นจินตนาการเพ้อ
ฝนั (Curiosity) (สุกรี, 2535)
24
บทนา เสนอสถานการณ์ การกระทาทีต่ ้องการ
จบบทเรียน การปรบั ระบบ การกระทาของผู้เรียน
การกระทาการแข่งขนั
ภาพที่ 5 โครงสร้างของบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนแบบเกมการสอน
5. บทเรียนแบบทดสอบ (Testing) ใช้ทดสอบผู้เรียนโดยตรงหลังจากได้เรียนเนื้อหา
หรือฝึกปฏิบัตแิ ล้ว ผู้เรยี นก็จะทาแบบทดสอบโดยผ่านคอมพิวเตอร์ เมื่อคอมพิวเตอร์รบั คาตอบ
แล้วก็จะทาการบันทึกผล ประมวลผล ตรวจให้คะแนน และเสนอผลให้ผู้เรียนทราบทันทีที่ทา
ข้อสอบ (อรพันธ์, 2530) ข้อสอบต่าง ๆ อาจถูกเก็บในรูปของคลังข้อสอบ (Item Bank) เพื่อ
สะดวกต่อ การสุ่มมาใช้สาหรับทดสอบ การตั้งคาถามอาจจะผสมผสานบทเรียนคอมพิวเตอร์
ช่วยสอนแบบสร้างสถานการณ์จาลอง (Simulation) เข้ามาร่วมดว้ ยก็ได้
นอกจากรูปแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนท้ัง 5 รูปแบบ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ยืน (2529); บุปผชาติ (2529); ทักษิณา (2530); และครรชิต (2532) ยังได้เพิม่ เติมรูปแบบของ
บทเรียนอีก 3 แบบ ดังนี้
1) แบบแก้ปญั หา (Problem Solving) คอมพิวเตอร์ไดร้ บั ความนิยมมากในการนาไปใช้
เพื่อช่วยแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน โดยไม่มีขีดจากัดว่าต้องเป็นเนื้อหาด้านใดด้าน
หนึ่งโดยเฉพาะลักษณะบทเรียนจะคลา้ ยกับแบบสร้างสถานการณ์จาลอง (Simulation) แตแ่ บบ
แก้ปญั หาจะเน้นกระบวนการคิดในระดับที่สูงกว่าในดา้ นการใช้เหตผุ ล
2) แบบค้นคว้า (Discovery) เป็นการให้โอกาสผู้เรียนได้มีประสบการณ์ด้านต่าง ๆ
จากการเขียนโปรแกรมที่มคี วามซบั ซ้อน ประกอบกบั การทีค่ อมพิวเตอร์สามารถเก็บข้อมลู ไว้ได้
มาก ผู้เรียนจึงสามารถค้นคว้าหาความรู้โดยอาศัยวิธีการอปุ นยั (Inductive Method) คือ การ
ต้ังคาถามให้ผู้เรียนลองทาดว้ ยการลองผิดลองถูก วิธีอุปนยั เป็นการเรียนรู้ทีม่ ีลักษณะใกล้เคียง
กับการเรียนรู้จากห้องทดลอง หรือการเรียนรู้จากประสบการณ์ภายนอกห้องเรียน
3) แบบสนทนา (Dialogue) เป็นวิธีการที่พยายามให้เปน็ การพูดคุยกับระหว่างผู้สอน
กับผู้เรียนโดยเลียนแบบการสอนในห้องเรียน แทนที่จะใช้เสียงก็เป็นตัวอักษรบนจอภาพแทน
และมีการตั้งปัญหาถามซึ่งลักษณะการใช้คาถามก็เปน็ การแกป้ ญั หาอย่างหนึง่
25
นอกจากนี้ยังมีผู้แบ่งบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแตกต่างกันออกไปอีก เช่น การ
สาธิต (Demonstration) การไต่ถาม (Inquiry) แบบรวม (Combination) คือ การนาบทเรียน
รปู แบบหลายรปู แบบหรือหลายอย่างผสมกัน
จากรูปแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนดงั กลา่ วมาแลว้ ทุกประเภท สามารถพัฒนาไปใช้ได้
กบั ทกุ สาขาวิชา การที่จะเลอื กรูปแบบใดรูปแบบหนึง่ หรือมากกว่า 1 รปู แบบมาผสมผสานกันก็
ได้เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพ บางทีอาจจะใช้รูปแบบการสอนที่เนื้อหาเพียง
อย่างเดียว หรือใช้รูปแบบการสอนผสมกับรปู แบบทดสอบหรือแบบสถานการณ์จาลองร่วมกัน
ซึ่งการจะเลือกใช้รูปแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะเนื้อหารายวิชา และวัตถุประสงค์ของบทเรียน
เป็นสาคญั (บญุ สืบ, 2537)
ขน้ั ตอนในการออกแบบบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน
วสันต์ (2530) ได้กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการเรียนการสอนแบบ
รายบุคคลประเภทหนึ่งที่เป็นการนาเอาหลักการของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แบบ
โปรแกรม (Programmed Instruction) ของสกินเนอร์ (Skinner) และเครื่องช่วยสอนของเพรสซี่
(Pressey) มาผสมผสานกนั โดยที่มีจดุ มุ่งหมายทีจ่ ะตอบสนองในเรือ่ งของความแตกต่างระหว่าง
บคุ คลของผู้เรยี น เพือ่ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเปน็ รายบุคคล โดยใช้คอมพิวเตอร์
เป็นส่ือแทนส่ิงพิมพ์ ทาให้บทเรียนมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพราะคอมพิวเตอร์สามารถแก้ไข
ข้อบกพร่องของบทเรียนแบบโปรแกรมได้ เช่น ความเร็วในการเสนอเนื้อหา การซ่อนคาตอบ
การเสริมแรง เป็นต้น ซึ่งมลี กั ษณะการเรียนที่เปน็ ข้ันเป็นตอน
1) ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน จะเริม่ ต้นต้ังแต่การทกั ทายกบั ผู้เรียน บอกวิธีการเรียน
และ บอกจุดประสงค์ของการเรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบว่าเมื่อเรียนจบบทเรียนนี้แล้วเขาจะ
สามารถ ทาอะไรได้บ้าง คอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถนาเสนอวิธีการในรูปแบบที่น่าสนใจได้
ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภาพเคล่ือนไหว เสียง หรือผสมผสานหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อเร้า
ความสนใจของผู้เรียนให้มุ่งความสนใจเข้าสู่บทเรียน บางโปรแกรมมีแบบทดสอบวัดความ
พร้อมของผู้เรียนก่อนหรือมีรายการ (Menu) เพื่อให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามความสนใจและ
ผู้เรยี นสามารถจดั การเรียนก่อนหลังได้ดว้ ยตนเอง
2) ข้ันเสนอเนือ้ หา เมื่อผู้เรียนเลอื กเรยี นในเรือ่ งใดแล้วคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็
จะเสนอเนอื้ หานนั้ ออกเปน็ กรอบ (Frame) ในรปู แบบทีเ่ ป็นตัวอกั ษร ภาพ เสยี ง ภาพกราฟิกและ
ภาพเคล่ือนไหว เพื่อที่จะเร้าความสนใจในการเรียนและสร้างความเข้าใจในความคิดรวบยอด
ต่าง ๆ แต่ละกรอบ หรือเสนอเนื้อหาเรียงลาดับไปทีละอย่างทีละประเด็นโดยเริม่ จากง่ายไปหา
ยาก ผู้เรียนจะควบคุมความเร็วในการเรียนด้วยตนเอง เพื่อที่จะเรียนรู้ได้มากที่สุดตาม
26
ความสามารถ และชีแ้ นะหรือการจัดเนอื้ หาสาหรับชว่ ยเหลอื ผู้เรียน เพือ่ ที่จะช่วยผู้เรยี นให้เกิด
การเรียนรู้ดีข้นึ
3) ข้ันคาถามและคาตอบ หลงั จากเสนอเนอื้ หาของบทเรียนไปแลว้ เพื่อทีจ่ ะวัด
ผู้เรยี นว่ามีความรู้ความเข้าใจเนอื้ หาที่เรียนผ่านมาแลว้ เพียงใด และจะมีการทบทวนโดยการให้
ทา แบบฝึกหัดช่วยเพิ่มพูนความรคู้ วามชานาญ เช่น ให้ทาแบบฝึกหัดชนิดคาถามแบบเลอื กตอบ
แบบถกู ผิด แบบจบั คู่และแบบเติมคา เป็นต้น ซึง่ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถนาเสนอ
แบบฝึกหัดให้แก่ผู้เรียนได้น่าสนใจกว่าแบบทดสอบธรรมดา ผู้เรียนตอบคาถามผ่านทาง
แป้นพิมพ์หรือเมาส์ (Mouse) นอกจากนี้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถจับเวลาในการตอบ
คาถามของผู้เรยี นถ้าผู้เรียนไมส่ ามารถตอบคาถามได้ในเวลาที่กาหนดไว้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็
ให้ความชว่ ยเหลอื
4) ข้ันการตรวจคาตอบ เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้รับคาตอบจาก
ผู้เรียนแล้วคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะตรวจสอบและแจ้งผลให้ผู้เรียนได้ทราบ การแจ้งอาจแจ้ง
เป็นข้อความ กราฟิก หรือเสียง ถ้าผู้เรียนตอบถูกก็จะได้รับการเสริมแรง เช่น ให้คาชมเชย
เสยี งเพลง หรือให้ภาพกราฟิกสวย ๆ และถ้าผู้เรียนตอบผิดคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็จะบอกใบ้ให้
หรือให้การซ่อมเสริมเน้ือหา แล้วให้ตอบคาถามนน้ั ใหม่ เมื่อตอบถกู ต้องจึงก้าวไปสู่หัวเรือ่ งใหม่
ต่อไป ซึ่งจะหมุนเวียนเปน็ วงจรอยจู่ นกว่าจะหมดบทเรียนนั้น ๆ
5) ขั้นการปิดบทเรียน เมือ่ ผู้เรียนเรียนจนจบบทเรียนครบทกุ หน่วยของบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะทาการประเมินความรู้ของผู้เรียนโดยการทาแบบทดสอบ ซึ่งจุดเด่น
ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คือ สามารถสุ่มข้อสอบออกมาจากคลงั ข้อสอบทีไ่ ด้สร้างเก็บไว้และ
เสนอให้ผู้เรียนแต่ละคนโดยที่ไม่เหมือนกัน จึงทาให้ผู้เรียนไม่สามารถจดจาคาตอบจากการที่
ทาในครงั้ แรก น้ันได้ หรือแบบรู้คาตอบนั้นมาก่อนแลว้ นามาใช้ประโยชน์ เมื่อทาแบบทดสอบนั้น
เสร็จแล้วผู้เรียนจะได้รับทราบคะแนนการทาแบบทดสอบของตนเอง ว่าผ่านตามเกณฑ์ที่
กาหนดไว้หรือไม่ รวมท้ังคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะบอกเวลาที่ ใช้ไปในการเรียนในหน่วยนั้น ๆ ได้
ดว้ ย เป็นต้น
ดังน้ันการนาคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาใช้ในการเรียนการสอนรายบุคคล จึงเป็นวิธี
เรียนที่มีข้อดีหลายประการดังได้กล่าวมาแล้ว การนาคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาใช้จึง เกิดขึ้น
อย่างแพร่หลายในปจั จุบัน
27
ผลสัมฤทธิใ์ นการเรยี นรู้ด้านไวยากรณ์
ความหมายของผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Learning Achievement) มีนักการศึกษาท้ังในแ ละ
ต่างประเทศได้ให้นยิ ามไวหลายท่านดังนี้
กู๊ด (Good, 1973) ให้นิยามผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไวหมายถึง การเข้าถงึ ความรู้หรือ
พัฒนาทักษะทางการเรียน ซึ่งปกติพิจารณาจากคะแนนสอบที่กาหนดให้หรือคะแนนที่ได้จาก
งานที่ผู้สอนมอบให้หรือท้ังสองอย่าง สอดคล้องกับ บุญชม ศรีสะอาด (2540) ที่ให้ความหมาย
ไววาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงผลทีเ่ กิดขึ้นจากการค้นคว้าการอบรม การส่ังสอน หรือ
ประสบการณต่าง ๆ รวมท้ังความรู้สกึ ค่านยิ ม จริยธรรมต่าง ๆ ที่ผลมาจากการฝึกสอน
ไพศาล หวังพานิช (2543) กล่าวว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือนักเรียนลักษณะของ
บุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอนเป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณเรียนรู้ที่
เกิดจากการฝึกฝน อบรม หรือการสอน
สรุปได้วา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลการทดสอบซึ่งวัดจากคะแนนสอบ
โดยเกิดจากกระบวนการเรียนการสอนหรอื ผ่านการฝึกอบรมต่าง ๆ
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ (Achievement Test)
ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
นกั การศึกษาหลายท่านไดใ้ ห้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิไ์ วดังนี้
กรันลันด์ (Grounlund, 1993) ได้ให้ความหมายไว้ว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
หมายถึงกระบวนการเชิงระบบ เพื่อการวัดพฤติกรรมหรือผลการเรียนรู้ที่คาดว่าจะเกิดขนึ้ จาก
กิจกรรม การเรียนรู้โดยมีหน้าที่หลักสาหรับการปรับปรงุ และพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
เยาวดี วิบูลยศรี (2540) ได้ให้ความหมายไววาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หมายถึง
แบบทดสอบวัดความรู้เชิงวิชาการ มักใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เน้นวัดความสามารถ
ทางการเรียนรู้ ในอดตี หรือในสภาพปัจจบุ นั ของแต่ละบคุ คล
สมบูรณ ตันยะ (2545) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง
แบบทดสอบที่ใช้สาหรบั วัดพฤติกรรมทางสมองของนักเรียนว่ามีความรู้ความสามารถ ในเรือ่ งที่
เรียนรู้มาแลว หรือได้รบั การฝึกฝนอบรมมาแลว้ มากน้อยเพียงใด
สรุปได้ว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หมายถึงแบบทดสอบ ที่ใช้วัดพฤติกรรมหรือผล
การเรียนรู้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หลังจากการเรียนการสอน หรือจากการฝึกอบรมว่ามีมากน้อย
เพียงใด
28
ชนดิ ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารทาได้โดยอาศัยเครื่องมือได้แก เครื่องมือ
ประเภทแบบทดสอบตา่ ง ๆ (Test) และประเภทไมเปน็ แบบทดสอบสอบ (Non-test) แตเ่ ครอ่ื งมือ
ที่นิยมใช้ กันมากคือแบบทดสอบ ซึ่งสมบูรณ ตันยะ (2545) ได้แบ่งชนิดแบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนตามหน้าที่หรือการนาไปใช้วัดเปน็ 2 ชนิดคือ
1. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบสอบที่สร้างขึ้น โดย
ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาหรือโดยผู้สอนผู้สอนวิชานั้น ๆ และผ่านการทดลองใช้วิเคราะห์
นักเรียนภาพ และปรับปรุงแก้ไขหลายครั้งจนกระท่ังมีนักเรียนภาพดีพอจึงสร้างเกณฑ์ปกติ
(Normal) เพือ่ ใช้เป็นหลกั ในการเปรยี บเทียบ การที่จะเรียกว่าเป็นแบบสอบมาตรฐานได้น้ันต้อง
มีลักษณะสาคัญ 3 ประการ คือ มีมาตรฐานในการสร้างแบบทดสอบ มีมาตรฐานใน
วิธีดาเนินการสอบ และมีมาตรฐานในการ แปลความหมายคะแนน
2. แบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างเอง (Teacher-made Test) เป็นแบบทดสอบสอบที่ผู้สอน
สอน เป็นผู้สร้างขึ้น เพื่อใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เป็นผลมาจากการจัด
กิจกรรมการเรียน การสอนของผู้สอนซึง่ อาจจะเป็นแบบทดสอบทีใ่ ช้ในการประเมินผลย่อยหรือ
ประเมินผลรวมก็ได้ แบบทดสอบเหลา่ นี้ผู้สอนผู้ออกขอ้ สอบอาจมีการนาไปทดลองใช้วิเคราะห์
เรียนภาพ และปรับปรงุ แกไข หรือไมกไ็ ดแ้ ล้วแตผ่ ู้สอนแตล่ ะคน
ดังนั้นสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แบ่งได้ 2 ชนิด คือ แบบทดสอบมาตรฐาน
ซึ่งมุ่งวัด ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนทวั่ ๆ ไป สร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ มีการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้เกิด
ความเป็นมาตรฐาน และแบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างเอง อาจนาไปทดลองใช้วิเคราะห์นักเรียน
ภาพหรือไมก่ ไ็ ด้ ซึ่งมงุ่ วัดผลสัมฤทธิ์ ของนกั เรยี นเฉพาะกลมุ่
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผนการจดั การเรยี นรู้
ความหมายของแผนการจัดการเรยี นรู้
กรมวิชาการ (2546) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่าแผนการจัดการ
เรียนรู้ หมายถึง แผนซึ่งผู้สอนเตรียมการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน โดยวางแผนการจัดการ
เรียนรู้ แผนการใช้ส่ือการเรียนรู้หรือแหล่งเรียนรู้ แผนการวัดผลประเมินผลโดยการวิเคราะห์
จากคาอธิบายรายวิชาหรือหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งยึดผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั และสาระการเรียนรู้
ที่กาหนด อันสอดคล้อง กับมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น สอดคล้องกับ เอกรินทร์ ส่ีมหาศาล
(2545) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ (Lesson Plan) เป็นวัสดุหลักสูตรที่ควรพัฒนามาจาก
หน่วยการเรียนรู้ (UNIT PLAN) ที่กาหนด ไว้ เพื่อให้การจัดการสอบบรรลุเป้าประสงค์ตาม
29
มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร หน่วยการเรียนรู้จึงเปรียบเสมือนโครงร่าง หรือพิมพ์เขียวที่
กล่าวถึงประสบการณ์การเรียนรู้ตามหัวข้อการจัดการเรียนรู้และกระบวนการวัดผลที่
สอดคลอ้ งสัมพนั ธ์กนั สว่ นแผนการเรียนรู้จะแสดงการจัดการเรียนรู้ตามบทเรียน (lesson) และ
ประสบการณ์การเรียนรู้เป็นรายวัน หรือรายสัปดาห์ดังนั้นแผนการจัดการเรียนรู้ จึงเป็น
เครื่องมือหรือแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่นักเรียนตามกาหนดไว้ในสาระ
การเรียนรู้ของแต่ละกลมุ่
อาภรณ์ ใจเทีย่ ง (2546) ได้กล่าวว่า แผนการจดั การเรียนรู้ หรือแผนการเรียนรู้ เป็น
คาใหม่ที่นามาใช้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เหตุที่ใช้คา “แผนการ
จัดการเรียนรู้” แทนคา “แผนการสอน” เพราะต้องการให้ผู้สอนมุ่งจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนโดยเน้นนักเรียนเป็นสาคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของการจัดการศึกษาที่บ่งไว้ใน
มาตรา 22 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พทุ ธศักราช 2544 ที่กล่าวไว้ว่า “การจัดการ
ศึกษาต้องยึดหลักว่านักเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่า
นกั เรยี นสาคญั ทีส่ ดุ ”
จากข้างต้นสรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนที่ผู้สอนผู้สอนเตรียมไว้เพื่อ
เปน็ แนวทางในการสอน และจดั แผนตามบทเรียนและประสบการณ์การเรียนรู้เป็นรายวัน ซึ่งยึดผล
การเรียนรู้ที่คาดหวังและสาระการเรียนรู้ทีก่ าหนดอันสอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ัน
ประโยชนข์ องแผนการจดั การเรยี นรู้
สาลี รักสุทธี (2544) และ ณัฐวุฒิ กิจรุ่งเรือง (2545) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกันว่า ทาให้การดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นไป
อย่างมีข้ันตอน ไม่สับสนวนไปมา เกิดความต่อเนื่องของการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร และ
นักเรียนยังได้ปฏิบัติอย่างชัดเจน มีขั้นตอน รู้ผลสะท้อนกลับอย่างฉับพลัน ทาให้เกิดการ
ปรับปรงุ วิธกี ารจดั การเรียนรู้จากข้อจากดั ที่พบ
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2540) กล่าวว่าลกั ษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีมลี ักษณะดงั นี้
1. สอดคลอ้ งกับหลักสูตร และแนวการสอนของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
2. นาไปใช้สอนจริงไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ
3. เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชาเหมาะสมกบั นักเรยี นและเวลาทีก่ าหนด
4. มีความกระจ่างชัดเจน ทาให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจไดต้ รงกัน
5. มีรายละเอียดมากพอทีท่ าให้ผู้อ่านสามารถนาไปใช้สอนได้
6. ทุกหวั ข้อในแผนการจดั การเรียนรู้มคี วามสอดคล้องสมั พันธ์กัน
30
สรุปได้ว่า แผนการสอนทาให้การการสอนมีประสิทธิภาพเป็นไปอย่างมีข้ันตอน เกิด
ความต่อเนื่องในการเรียนรู้ และทาให้เกิดผู้สอนสามารถปรับปรุงวิธีการจดั การเรียนรู้หรือการ
สอนไดอ้ ย่างทนั ที หากเกิดผลสะท้อนทีไ่ ม่ดี
เอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั ความพงึ พอใจ
ความหมายของความพงึ พอใจ
วรรณวิมล จงจรวยสกุล (2551) ได้กล่าวถึงความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึกที่ดี
มีความชอบพอใจ มีความเต็มใจ มีความสบายใจ ได้รบั การยกย่อง ในการจัดการเรียนการสอน
ผู้เรียนมีความพอใจในการเรียน ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมีการสร้าง
แรงจงู ใจ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจและมีความสนใจและรู้สึกรักทีจ่ ะเรียน
สมหมาย เปียถนอม (2551) สรุปไว้ว่าความพึงพอใจเป็นทศั นคติอย่างหนึ่งที่มีลักษณะ
เป็นนามธรรมไม่สามารถมองเห็นรูปร่างได้ เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่เป็นสุขเมื่อได้รับการ
ตอบสนองความต้องการของตนเองในส่ิงที่ขาดหายไป และเป็นส่ิงที่กาหนดพฤติกรรมในการ
แสดงออกของบุคคลทม่ี ีต่อการเลอื กทีจ่ ะปฏิบตั ใิ นกิจกรรมนั้น ๆ ความพึงพอใจทาให้บุคคลเกิด
ความสบายใจหรือตอบสนองความต้องการทาให้เกิดความสุขรวมทั้งสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่
เกี่ยวข้องเป็นปัจจัยที่ทาให้เกิดความพึงพอใจหรือไมพ่ ึงพอใจ
กิตติธชั อิม่ วัฒนกุล (2553) กล่าวว่า ความพึงพอใจหมายถึง ความรสู้ กึ ชอบ หรือพอใจ
ในองค์ประกอบและสง่ิ จงู ใจด้านต่า งๆ ที่สามารถตอบสนองความตอ้ งการได้โดยแสดงออกจาก
พฤติกรรม เช่น สายตา การพดู ลักษณะท่าทาง เปน็ ต้น
จากข้างต้นสรุปความหมายของความพึงพอใจ ได้ว่า ความพึงพอใจเป็นทัศนคติที่อยู่ใน
รูปของนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่สามารถแสดงออกมาทางสายตา การพูด ลักษณะท่าทาง
เกิดจากความพอใจ ชอบใจ สบายใจ จากการกระตุ้นหรือการตอบสนองความต้องการของ
ตนเอง
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกบั ความพงึ พอใจ
ทฤษฎีสัมพนั ธ์เชือ่ มโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s Conn ectionism Theory) การเรียนรู้
จะเกิดขึ้นได้ด้วยการที่มนุษย์หรือสัตว์ได้เลือกเอาปฏิกิริยาตอบสนองเชื่อมต่อกับส่ิงเร้าอย่าง
เหมาะสมหรือการเรียนรู้จะเกิดขนึ้ ดว้ ยการเชือ่ มโยงหรือพันธะระหว่างส่ิงเร้ากับการตอบสนอง
31
เมื่อสถานการณ์หรือ ส่ิงที่เป็ นปั ญหาเ กิด ขึ้น ร่า งก าย พ ยา ยาม ที่จะแ ก้ปั ญหา น้ั น โด ย แ ส ด ง
พฤติกรรมตอบสนองออกมาหลากหลายรูปแบบซึ่งร่างกายจะเลือกพฤติกรรมตอบสนองที่
พอใจที่สดุ ไปเชื่อมโยงกับสง่ิ เร้าหรือปัญหานั้นทาให้เกิดการเรียนรู้ข้นึ มา ได้แก่
2.1 กฎแห่งความพร้อม (law of readiness) การเรียนรู้จะเกิดขนึ้ ได้ถ้านกั เรียนมีความ
พร้อมท้ังกายและจิตใจ
2.2 กฎแห่งการฝกึ หดั (law of Exercise) การฝึกหัดหรอื กระทาบ่อย ๆ ดว้ ยความเข้าใจ
จะทาให้เกิดความคงทนในการเรียนรู้ถา้ ไมไ่ ด้กระทาซ้าบ่อย ๆ ในที่สุดอาจลมื ได้
2.3 กฎแห่งการใช้ (law of use and disuse) การเรียนรู้เกิดขนึ้ จากการเชื่อมโยงระหว่าง
ส่งิ เร้ากบั การตอบสนองถ้านามาใช้บ่อย ๆ กจ็ ะเกิดความม่นั คงในการเรียนรู้
2.4 กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (law of effect) เมื่อบุคคลไดร้ ับผลท่พี ึงพอใจย่อมอยากที่จะ
เรียนต่อไปดงั น้ันการได้รับผลทพ่ี ึงพอใจจึงเป็นปจั จัยสาคัญในการเรียน
การสรา้ งแบบวัดความพอใจ
ระพินทร์ โพธิศ์ รี (2549) กล่าวถึงการสร้างแบบวัดความพึงพอใจการแปลความหมาย
การวัดความพอใจมีดงั นี้
ขั้นที่ 1 การกาหนดเนือ้ หาความพึงพอใจคือให้เขียนนิยามซึ่งสามารถกระทาโดย
1. การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องและกาหนดนิยาม
2. สัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 5 คน
ขั้นที่ 2 เลอื กประเดน็ ที่วัดความพอใจและกาหนดวิธกี ารวัด
1. ประเด็นทีว่ ัดความพอใจให้เลอื กมาจากกรอบเนอื้ หาที่กาหนดไว้ในขั้นที่ 1
2. วิธีวดั ความพอใจโดยทั่วไปนิยมใช้วิธีจัดอนั ดบั คุณภาพ 5 ระดับและประเด็น
วัดความพอใจเปน็ ทางบวกคือพอใจอย่างยิง่ พอใจมาก พอใจสมควรพอใจน้อยหรือค่อนข้างไม่
พอใจ
ขน้ั ที่ 3 จัดทาความพอใจฉบบั ร่าง
ขั้นที่ 4 ทดลองกลุ่มย่อยประมาณ 3-5 คนเพ่อื ตรวจสอบความมัน่ คงเฉพาะหน้า
ข้ันที่ 5 ให้ผู้เชย่ี วชาญ 3-5 ท่านตรวจสอบความเทีย่ งตรงเฉพาะหน้าและความเที่ยงตรง
เชิงเน้อื หา
32
ขั้นที่ 6 ทดลองภาคสนามเพื่อการวิเคราะห์ปรบั ปรงุ คณุ ภาพแบบวดั ความพอใจโดยการ
หาค่าอานาจจาแนกและค่าความเชื่อมน่ั ด้วยวิธีการครอนบาค (Cronbach)
ข้ันที่ 7 นาไปใช้จริงการแปลความหมายการวัดความพอใจกรณีความพอใจดว้ ยการจัด
อันดับ 5 อันดับสามารถแปลความหมายได้ดังนี้ 1 ถึง 1.5 หมายถึงพอใจน้อยที่สุด 1.51 ถึง
2.25 หมายถึงพอใจน้อย 2.26 ถึง 2.50 หมายถึงค่อนข้างพอใจ 2.51 3.50 หมายถึงพอใจ
พอสมควร 3.51 ถึง 3.75 หมายถึงพอใจค่อนข้างมาก 3.76 ถึง 4.50 หมายถึงพอใจมาก 4.51
ถึง 5.00 หมายถึงพอใจเป็นอยา่ งยิ่งหรือมากที่สดุ
การปรบั ปรุงแบบวัดความพึงพอใจ
1. พยายามให้มขี ้อคาถามวดั ความพอใจให้มากพอสมควรอยรู่ ะหว่าง 10 ถึง 20 ข้อ
2. ควรตดั ข้อคาถามที่ค่าอานาจจาแนกน้อยกว่า 0 ออกไป
3. ปรับปรงุ ขอ้ คาถามที่ค่าอานาจจาแนกน้อยกว่า 0.20 แตไ่ มเ่ ท่ากับ 0 หรือตดิ ลบ
4. ควรปรับแบบความพอใจให้มีคาถามเผื่อไว้เพื่อตัดข้อคาถามที่ไม่ดีออกไปเพื่อให้
แบบวัดความพอใจมีคณุ ภาพถึงระดบั ที่ต้องการ
สมนึก ภัททิยธนี (2553) กล่าวถึงการสร้างแบบวัดความพึงพอใจมีดงั นี้
1. คาชีแ้ จงระบถุ ึงจุดประสงค์และวิธกี ารตอบคาถามพร้อมตวั อย่าง
2. ข้อคาถามสว่ นตัวผู้ตอบแบบสอบถามเช่น ข้อคาถามสว่ นตวั ผู้ตอบแบบสอบถามเช่น
ชื่อ-นามสกลุ เพศ ระดบั การศึกษา อาชีพ
3. ข้อคาถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและความคิดเห็นเป็นส่วนที่สาคัญที่สุดที่จะช่วยให้
รายละเอียดเกี่ยวกับเรือ่ งที่ต้องการศึกษา เพื่อให้แบบสอบถามมีคณุ ภาพสูง
จากการศึกษาการสร้างแบบวัดความพอใจข้างต้น สรุปได้ว่า การกาหนดเนือ้ หาเป็นส่ิง
ที่สาคัญที่นาพาให้ได้รายละเอียดถึงส่ิงที่จะศึกษา โดยในการสร้างต้องมีการหาค่าความเที่ยง
ค่าอานาจจาแนก และค่าความเชื่อมัน่ ครอนบาค (Cronbach) ด้วย เพื่อทาให้ประสิทธิภาพของ
เคร่อื งมือมีคุณภาพสูง
33
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยในประเทศ
นิศากร แสงสว่าง (2558) ไดศ้ ึกษาผลการใช้ส่อื คอมพิวเตอร์ช่วยสอนภาษาอังกฤษที่เน้น
นิทานคุณธรรม เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษ และความตระหนักรู้ด้าน
คุณธรรม สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสกลวิทยา อาเภอสามพราน จังหวัด
นครปฐม ผลการวิจัยพบว่า 1) ส่ือคอมพิวเตอร์ช่วยสอนภาษาอังกฤษที่เน้นนิทานคุณธรรมมีค่า
ประสทิ ธิภาพเท่ากับ78.45/80.86 ซึง่ ถอื ว่ามีประสทิ ธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์75/75 2) ความสามารถ
ในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้ส่ือคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความตระหนักรู้ด้านคุณธรรมของนักเรียนหลังเรียนสูง
กว่าก่อนเรียนโดยใช้ส่ือคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) นักเรียนมี
ความเห็นที่ดีต่อสอ่ื คอมพิวเตอร์ช่วยสอนภาษาอังกฤษทีเ่ น้นนิทานคณุ ธรรม
อภิรดี จีนคร้าม และคณะ (2559) ได้ศึกษาการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยเรียน
ภาษาองั กฤษเพื่อพัฒนาทกั ษะดานการฟัง-พูดในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของ
นักเรียนระดับประถมศึกษาโรงเรียนชุมชนบ้านแม่ปุ ตาบลแม่ปุ อาเภอแม่พริก จังหวัดลาปาง ผล
วิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทีเ่ รียนดว้ ยบทเรียนคอมพิวเตอร์
ช่วยเรียนภาษา มีคะแนนเฉล่ยี ของการสัมภาษณ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ร้อยละ 24.62 2)
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยเรียนภาษา มีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และ3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยเรียนภาษาในระดบั มาก
รภิพร, สรพล และสมโภชน์ (2561) ที่ได้ศึกษาการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อ
พัฒนาความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัย
พบว่า คะแนนเฉล่ียก่อนและหลังเรียนแตกต่างกัน < p .05 โดย M หลังเรียนเท่ากับ 38.00 และ M
ก่อนเรียนเท่ากับ 16.33 นกั เรียนมีระดับความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอยู่ในระดับ
ดมี าก โดยมี M เท่ากับ 4.85 และ SD เท่ากบั 4.21 และ 9.85 ตามลาดับ
สุนันทา กสิวิวัฒน์ และคณะ (2557) ศึกษาการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
คาศัพท์ภาษาอังกฤษสาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 ผลวิจัยพบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์
34
ช่วยสอนคาศัพท์ภาษาอังกฤษ สาหรบั นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสทิ ธิภาพ 81.33/85.80
ซึง่ เปน็ ไปตามเกณฑ์ที่กาหนด 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคาศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังจากได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย
สอนสงู กว่าเกณฑ์เป้าหมายที่กาหนดไว้ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความ
พึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคาศัพท์
ภาษาองั กฤษ อยู่ในระดบั มากทีส่ ุด
การวิจยั ตา่ งประเทศ
Otto Frank (2015) ได้ศึกษาคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) กับการสอนและการเรียนรู้ภาษา
ผลวิจยั พบว่า ครสู อนภาษามากมายมีการผสมผสานระหว่างบทเรียนกับสอ่ื เพื่อดงึ ดูความสนใจของ
นักเรียน ซึ่งการพัฒนาครูและส่ือการสอนเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาการเรียนการสอนให้ดีขึ้น
พบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเปน็ วิธีการทีด่ ีทีจ่ ะนาการพัฒนาทั้งบุคคลากรและใช้ทรัพยากร
ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สงู สดุ
GUI Gang and GU Wei (2016) ศึกษาการบู รณาการการเรียนแบบร่วมมือและ
ส่ือคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการสอนภาษา ผลวิจัยพบว่าการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์ในทศวรรษที่ผ่านมาเปิดทางให้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเข้ามาปฏิวัติแบบวิธีสอน
ภาษาอังกฤษแบบดังเดิมไป ซึ่งมีการยกผลสัมฤทธิ์ทางกาเรียนให้แก่ผู้เรียนได้หลายด้าน แต่เนื่อง
ด้วยข้อจากัดทางด้านทรัพยากรต่าง ๆ โรงเรียนหลาย ๆ โรงเรียนในจีน ที่อยู่ในถิ่นธุรกันดารยังไม่
สามารถพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้ส่ือคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ จึงต้องมีการพัฒนาส่ือ
ผสมผสานแบบใหม่ข้ึนมา
จากการศึกษางานวิจัยท้ังในประเทศและต่างประเทศสรุปไดว้ ่า ส่ือคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
เป็นส่ือที่เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 นี้อย่างมาก เป็นการพัฒนาบุคลากรครูและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่
อย่างคุ้มค่า อีกทั้งยังเป็นการบูรณาการการเรียนการสอนเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว
เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไปในทางที่ดีขนึ้ พร้อมท้ังพัฒนาผู้เรียนให้มีความ
กระตือรือร้นก้าวทนั โลก
บทที่ 3
วิธีการด๊าเนินการวิจัย
การศึกษาคร้ังนี้เป็นวิจัยเชิงทดลองโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษ เรื่อง Present Perfect Tense สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อศึกษา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนด้านไวยากรณ์ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคาศัพท์
ภาษาอังกฤษ เรื่อง Present Perfect Tense ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปี
การศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตาพระแล จังหวัดพะเยา ดังมีรายละเอียดเกี่ยวกับการดาเนินการ
วิจยั ที่จะนาเสนอตามลาดบั ดังต่อไปนี้
1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
2. เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจัย
3. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
4. การวิเคราะห์ขอ้ มลู
ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง
การก๊าหนดประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากรทีใ่ ช้ในการศึกษาคร้ังนี้ไดแ้ ก่ นักเรยี นระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตาพระแล อาเภอเมือง จงั หวดั พะเยา จานวน 8 คน
เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั ครงั้ น้ี
1. แผนการเรยี นรู้
ในการศึกษาครงั้ นี้ ผู้วิจยั ได้จดั ทาแผนการเรียนรู้เกีย่ วกับไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ
เรือ่ ง Present Perfect Tense โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
จานวน 2 แผน คือ Past Participle และ Have you ever…? ใช้เวลาในการทดลอง 6 ชวั่ โมง
สปั ดาห์ละ 3 ช่วั โมง รวมทั้งหมด 2 สัปดาห์ โดยดาเนนิ การดังนี้
36
1.1 ศึกษาหลักสูตรข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 หนังสือและคู่มือการจัดการ
เรียนรู้กลุ่มสาระภาษาตา่ งประเทศ และแบบเรียนจากหนงั สือ Sprint 3 ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3
1.2 ศึกษาค้นคว้าเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทฤษฎี หลักการ แนวคิดที่
เกี่ยวกบั การจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1.3 วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเน้อื หาเกีย่ วกับไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ
1.4 สร้างแผนการสอนให้สัมพันธ์กับจุดประสงค์ รวมท้ังร่างบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
1.5 นาแผนการสอนที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความ
เที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง แล้วนามาปรับปรุงให้ถูกต้องตาม
คาแนะนา
1.6 นาแผนการสอนที่ปรบั ปรุงแก้ไขแลว้ เสนอต่อและผู้เชีย่ วชาญอีกครั้ง
1.7 นาแผนการสอนที่ผ่านการตรวจจากผู้เชย่ี วชาญไปใช้ในการวิจัยต่อไป
2. คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
2.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการจากเอกสาร และงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้องกบั การ
สร้างคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
2.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในกลุ่ม
สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ
2.3 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านตาพระแลกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ
2.4 ศึกษาแนวการสร้างคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
2.5 วิเคราะห์เนื้อหา ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปี และออกแบบ
ส่อื คอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยใช้โปรแกรม PowerPoint
2.6 จดั ทาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
2.7 นาร่างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction:
CAI) ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน คือ เพื่อหาความเที่ยงตรงเชิงประจักษ์
(Face Validity) นาข้อเสนอแนะจากผู้เช่ยี วชาญมาปรบั ปรุงแก้ไข
37
2.8 นาข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อปรับปรุงแก้ไขบทเรียนคอมพิวเตอร์
ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI) แล้วนาไปจดั ทาเป็นเครือ่ งมือตอ่ ไป
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
3.1 สร้างแบบทดสอบแบบปรนยั จานวน 20 ข้อ
3.2 เสนอแบบทดสอบตอ่ ผู้เช่ยี วชาญจานวน 3 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรง
เชิงเน้อื หาและความเทีย่ งตรงเชิงโครงสร้างของข้อสอบ และนามาปรับปรุงให้เหมาะสม
3.3 นาแบบทดสอบทีป่ รบั ปรุงแก้ไขแลว้ เสนอต่อผู้เช่ยี วชาญอีกคร้ัง
3.4 นาแบบทดสอบที่ผ่านการตรวจผู้เชย่ี วชาญไปใช้ในการวิจยั ต่อไป
4. แบบสอบถามความพงึ พอใจ
4.1 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ จานวน 12 ข้อ
4.2 เสนอแบบสอบถามความพึงพอใจต่อผู้เชย่ี วชาญจานวน 3 ท่าน ตรวจสอบ
ความเที่ยงตรงของแบบสอบถามความพึงพอใจ และนามาปรบั ปรงุ ให้เหมาะสม
4.3 นาแบบสอบถามความพึงพอใจที่ปรบั ปรงุ แก้ไขแลว้ เสนอต่อผู้เชย่ี วชาญอีก
ครง้ั
4.4 นาแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผ่านการตรวจผู้เช่ยี วชาญไปใช้ในการวิจัย
ต่อไป
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ผู้วิจยั ดาเนนิ การรวบรวมข้อมูลจากการทดลองมีลาดับขนั้ ดังนี้
1. ข้ันทดสอบก่อนเรียน ให้นักเรียนทุกคนทาแบบทดสอบก่อนเรียน แล้วตรวจให้
คะแนน จากนั้นนาผลไปวิเคราะห์
2. ข้ันเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
ให้นักเรียนเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI) ใช้
เวลาในการเรียนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง โดยทาแบบฝึกหัดระหว่างเรียนไป
ดว้ ย
3. ขั้นทดสอบหลังเรียน ให้นักเรียนทาแบบทดสอบคาศัพท์หลังเรียน ซึ่งเป็น
แบบทดสอบฉบับเดยี วกับแบบทดสอบก่อนเรียน แล้วตรวจให้คะแนน แล้วนาผลไปวิเคราะห์
38
4. ขั้นทาแบบสอบถามความพึงพอใจ เมื่อนกั เรียนเรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ดา้ นไวยากรณ์ เรื่อง Present Perfect Tense เรียบรอ้ ยแล้วให้นักเรยี นทาแบบสอบถามวัดระดับ
ความพึงพอใจทีม่ ีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
5. ขั้นวิเคราะห์คะแนนก่อนและหลังเรียนเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านไวยากรณ์
เรื่อง Present Perfect Tense ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้บทคอมพิวเตอร์
ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI) สาหรับนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
การวิเคราะห์ขอ้ มูล
สถิติใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู
1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ได้แก่
1.1 ค่าเฉลีย่ (Mean) (สมนึก ภัททิยธนี. 2551)
x x
n
เมื่อ x แทน ค่าเฉลีย่
x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม
n แทน จานวนคนทง้ั หมด
1.2 ค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้สูตร
(สมนึก ภัททิยธนี. 2551)
S.D. (x x)2
n 1
เมือ่ S.D. แทน สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน
x แทน คะแนนของแตล่ ะคน
n แทน จานวนคนทง้ั หมด
แทน ผลรวม
39
สถิติทีใ่ ช้ในการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ
1. การทดสอบหาความเที่ยงตรง (Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สตู ร (สมนึก ภทั ทิยธนี. 2551)
IOC R
n
เมือ่ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับ
เนือ้ หา
R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
ท้ังหมด
n แทน จานวนผู้เช่ยี วชาญทั้งหมด
2. วิเคราะห์ค่าเฉล่ียของคะแนนความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์
ช่วยสอนด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Present Perfect Tense ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษา
ปีที่ 3 โดยใช้เกณฑ์การประเมินค่า 5 ระดับ ตามวิธีของ Likert (1932) โดยเกณฑ์ในการแปล
ความหมายเพื่อจัดระดบั คะแนนเฉลีย่ ค่าความพึงพอใจกาหนดเปน็ ช่วงคะแนนดังนี้
คะแนนเฉลีย่ 4.51 – 5.00 หมายถึง พึงพอใจมากทีส่ ดุ
คะแนนเฉลีย่ 3.51 – 4.50 หมายถึง พึงพอใจมาก
คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง
คะแนนเฉลีย่ 1.51 – 2.50 หมายถึง พึงพอใจน้อย
คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด
สถิติทีใ่ ช้ในการทดสอบสมมติฐาน
1. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ dependent Sample t-test (α =
0.05)