The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยการปฏิบัติท่านาฏยศัพท์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ ด้วยสื่อการสอนรูปแบบวิดีโอและลูกเต๋าของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านดงอุดม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 206บงกช ภูดินแดน, 2024-02-28 07:53:40

วิจัยการปฏิบัติท่านาฏยศัพท์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ ด้วยสื่อการสอนรูปแบบวิดีโอและลูกเต๋าของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านดงอุดม

วิจัยการปฏิบัติท่านาฏยศัพท์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ ด้วยสื่อการสอนรูปแบบวิดีโอและลูกเต๋าของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านดงอุดม

การปฏิบัติท่านาฏยศัพท์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ ด้วยสื่อการสอนรูปแบบวิดีโอและลูกเต๋า ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านดงอุดม นางสาวบงกช ภูดินแดน วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา นาฏศิลป์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การปฏิบัติท่านาฏยศัพท์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ ด้วยสื่อการสอนรูปแบบวิดีโอ . และลูกเต๋าของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านดงอุดม ผู้วิจัย นางสาวบงกช ภูดินแดน สาขาวิชา นาฏศิลป์ศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ปิ่นเกศ วัชรปาน ครูพี่เลี้ยง คุณครูวนิดา สมใจ อาจารย์ประจําหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตสาขาวิชานาฏศิลป์ศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ศึกษา .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา ( นางสาวปิ่นเกศ วัชรปาน ) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์ปิ่นเกศ วัชรปาน) ..................................... ............................................. กรรมการ (นางสุภาณี คลื่นแก้ว) .................................................................................. กรรมการ (นางวนิดา สมใจ) ครูพี่เลี้ยง


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การปฏิบัติท่านาฏยศัพท์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ ด้วยสื่อการสอนรูปแบบวิดีโอ . และลูกเต๋าของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านดงอุดม ผู้วิจัย นางสาวบงกช ภูดินแดน อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ปิ่นเกศ วัชรปาน ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพวิเคราะห์พรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมด้านความ รับผิดชอบและหาแนวทางแก้ไขปัญหาการไม่ส่งงานโดยใช้สื่อการสอนรูปแบบวิดีโอและลูกเต๋า . ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านดงอุดม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการเลือกแบบเจาะจงจํานวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ เครื่องมือแบบ สังเกตพฤติกรรมการส่งงานในห้องเรียน ผลการวิจัยปรากฏว่า การวิจัยศึกษาพฤติกรรมด้านความรับผิดชอบ ของการไม่ส่งงานวิชา นาฏศิลป์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เริ่มจากแบบสํารวจการส่งงานใน วิชานาฏศิลป์และได้นําผลการบันทึกการส่งงานของนักเรียนในระดับชั้น ป. 4 ทั้งหมดจํานวน 10 คน จาก การตรวจ งานแบบฝึกหัดท้ายบท นักเรียนส่วนใหญ่ทํางานส่งไม่เสร็จตามกําหนดเวลา ครูได้มอบหมายให้ กลับไปทํางานให้เสร็จเพื่อส่งงานในชั่วโมงเรียนต่อไป เมื่อนักเรียนได้รับการสอนแบบสื่อการสอนแบบวิดีโอ และลูกเต๋า เช่น การชื่นชมด้วยวาจา ให้ของรางวัล นักเรียนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมความรับผิดชอบ ต่อ งานที่ได้รับมอบหมายเพิ่มขึ้นติดตามเอาใจใส่ในการเรียนในห้องเรียนทําให้บรรยากาศการเรียน ภายใน ห้องเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้มีความตั้งใจเรียน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่มากขึ้นทํางานที่ ได้รับมอบหมาย และส่งงานตรงกําหนดเวลา รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยความเต็มใจ ก


กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้สําเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างสูงยิ่งจาก อาจารย์ ปิ่นเกศ ว้ชรปาน ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยโดยให้คําแนะอย่างดียินซึ่งเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้การวิจัยนี้สําเร็จลุล่วงด้วยดี ขอขอบพระคุณ นางสุภาณี คลื่นแก้ว รักษาการแทนผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านดงอุดม พร้อมทั้งคณะครูในโรงเรียนทุกท่าน และนักเรียนทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ได้ให้กําลังใจ และให้ความอนุเคราะห์เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อการวิจัย คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอน้อมรําลึกถึงคุณบิดา มารดา ผู้ให้ ชีวิต ให้การศึกษา ตลอดจนบูรพาจารย์และผู้มีพระคุณทุกท่าน ที่ได้ให้ความรู้และอบรมสั่ง สอนแก่ผู้วิจัยจนประสบความสําเร็จในการศึกษา นางสาวบงกช ภูดินแดน นักศึกษาปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ข


สารบัญ บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญ (ต่อ) ง บทที่ 1บทน า 1 ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของวิจัย 4 สมติฐานการวิจัย 4 นิยามศัพท์เฉพาะ 5 บทที่ 2 7 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 7 ความหมายของนาฏยศัพท์ 8 สื่อวิดีโอ 13 สื่อลูกเต๋า 18 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 24 บทที่ 3 30 วิธีดําเนินการวิจัย 30 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 31 การวิเคราะห์ข้อมูล 35 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 36 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คะแนนพัฒนาการ 41 ค


สารบัญ (ต่อ) บทที่ 4 44 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 44 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 44 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 46 บทที่ 5 50 สรุปอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 50 สรุปผลการวิจัย 51 อภิปรายผล 52 ข้อเสนอแนะ 54 บรรณาณุกรรม บรรณาณุกรรม (ต่อ) ภาคผนวก ประวัติผู้วิจัย ง


บทที่1 บทน า ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 กระทรวงศึกษาธิการได้มุ่งเน้นการส่งเสริมให้ ผู้เรียนมีคุณธรรมรักความเป็นไทยมีทักษะการคิดวิเคราะห์คิดสร้างสรรค์มีทักษะด้านเทคโนโลยีสามารถ ทํางานร่วมกับผู้อื่นและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลกได้อย่างสันติ(กระทรวงศึกษาธิการ, 2553 : 5) นาฎศิลป์ไทยถือเป็นวัฒนธรรมสําคัญสาขาหนึ่งที่การแสดงออกซึ่ง สัญลักษณ์แห่งชาติและเป็นเครื่องวัด ความเป็นมาของประวัติศาสตร์อันแสดงถึงความเป็นชาติที่มีความรุ่งเรืองมาแต่อดีตกาล เพราะมีลักษณะที่ โดดเด่นเป็นของตนเอง เริ่มจากการปรุงแต่งกิริยา ท่าทางธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์โดยการเลียนแบบแล้ว นํามาประดิษฐ์ดัดแปลงให้เป็นศิลปะที่ งดงามในรูปร่างของการเยื้องกรายร่าย รําให้เข้ากับทํานองการขับร้องและดนตรีซึ่งเหล่านี้ได้มีการพัฒนามาเป็นลําดับจนกระทั่งเป็นรูปแบบ นาฏศิลป์ไทย มาเป็นเอกลักษณ์ประจําชาตินาภูศิลป์ไทยมีลักษณะเฉพาะตัวและมีความเป็นไทยในตัวเองซึ่ง มีท่ารําที่อ่อนช้อย งดงาม แสดงออกของอารมณ์ตาม ลักษณะที่แท้จริงของคนไทยท่าทางแล้วผู้ชมเกิดความ เข้าใจในความหมายอย่างกว้างขวางมีดนตรี ประกอบ ซึ่งดนตรีนี้จะแทรกอารมณ์หรือรํากับเพลงที่มีแต่ ทํานองหรือมีทั้งเนื้อร้องและใส่ท่ารําตาม เนื้อร้องนั้นๆ คําร้องหรือเนื้อร้องที่ใช้จะต้องเป็นคําประพันธ์เครื่อง แต่งกายของนาฎศิลป์ไทยจะแต่ง กายแตกต่างไปจากชาติอื่นจะมีลักษณะเฉพาะตัวที่สวยงาม มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว (เรณูโกศิลานนท์, 2545 : 45) การสอนวิชานาฎศิลป์จะช่วยพัฒนาให้นักเรียนมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และมีจินตนาการที่ดีขึ้น เพื่อชื่นชมความงามมีสุนทรียภาพและความมีคุณค่าซึ่งมีผลต่อคุณภาพ ชีวิตของ มนุษย์กิจกรรมทางนาฏศิลป์ช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สติปัญญา อารมณ์สังคม ตลอดจนการน าไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง อันเป็นพื้นฐาน ใน การศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้(กระทรวงศึกษาธิการ,2551 : 7) ด้วยเหตุผลดังกล่าววิชา นาฏศิลป์จึงถูก กําหนดไว้ในหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560)มุ่ง พัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกําลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกายความรู้คุณธรรมมีจิตสํานึกในความเป็น พลเมืองไทยและเป็นพโลกยึดมั่นในการ ปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐานรวมทั้งเจตคติที่จําเป็น ต่อการศึกษาต่อเพื่อการประกอบอาชีพ และ การศึกษาตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญบน พื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนา ตนเองได้เต็มตามศักยภาพ นอกจากนั้นยังได้


ชี้ให้เห็นถึงความจะเป็นในการปรับเปลี่ยนจุดเน้นในการพัฒนาคุณภาพ คนในสังคมไทยให้มีคุณภาพ คนในสังคมไทยมีคุณธรรมและมีความรอบรู้เท่าทันให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และ ศีลธรรม สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อน าไปสู่สังคมที่มีฐานความรู้ได้อย่างมั่นคง มุ่งเตรียม เด็กและ เยาวชนให้มีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมทั้งมีสมรรถนะ ทักษะ และความรู้พื้นฐานที่จําเป็นใน การดํารงชีวิต อันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืนซึ่งจะเป็นความ สอดคล้องกับนโยบายของ กลุ่ม สาระการเรียนรู้ศิลปะ ประกอบด้วย 3สาระทัศนศิลป์สาระดนตรีสาระนาฎศิลป์ที่โรงเรียนจัดทําเป็น หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนมีสุขภาพจิตใจที่ดีงาม มีสุนทรียภาพมีรสนิยมรักความสวยงาม รักความเป็นระเบียบ มีการรับรู้อย่างพินิจวิเคราะห์และ เห็นคุณค่าความสําคัญของศิลปะสําหรับสาระที่ 3 สาระนาฎศิลป์ประกอบด้วย 2 มาตรฐานคือ มาตรฐาน ศ. 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฎศิลป์อย่าง สร้างสรรค์วิเคราะห์วิจารณ์คุณค่าทาง นาฏศิลป์เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกความ คิดอย่างอิสระชื่นชมและ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวันมาตรฐาน ศ. 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฎศิลป์กับประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรมเห็นคุณค่าความงามของ นาฎศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นภูมิปัญญาไทยและ สากล (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 71) การเรียนการสอนนาฎศิลป์ไทยตั้งแต่ในอดีตกาลเป็นการเรียนโดยเน้นการฝึกปฏิบัติครูสาธิต ผู้เรียน ปฏิบัติตาม นักเรียนคนใดที่มีพรสวรรค์มีความจําเป็นเลิศย่อมมีข้อได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ เพราะท่ารํามีจํานวน หลายท่าและในแต่ละเพลงก็มีท่ารําที่คล้ายคลึงกัน ต่อมาเมื่อการเรียนการสอน นาฎศิลป์เข้าสู่ระบบ สถานศึกษาจึงมีการจดบันทึกท่ารําเพื่อให้ผู้เรียนจดบันทึกเก็บไว้ทบทวนความ ทรงจําโดยเริ่มแรกเริ่มจากการ เขียนบรรยายท่าทางอธิบาย มือ เท้า ศีรษะ ต่อมามีการวาดการ์ตูน ง่ายๆ ที่รู้จักกันในนามตัวไม้ขีด วิธีการนี้ เมื่อผู้เรียนได้ทบทวนท่ารําในช่วงเวลาที่ไม่นานนักยังคงจดจํา ลําดับท่าของการแสดงได้แต่เมื่อเวลาผ่านไป เป็นสิบๆ ปีเมื่อผันเปลี่ยนจากนักเรียนมาเป็นครูผู้ถ่ายทอดศาสตร์ด้านการแสดงแก่คนรุ่นหลัง ต้องการนํา เพลงต่าง ๆ ที่ได้ผ่านการเรียนมาส่งต่อให้ผู้เรียนจําเป็นต้องเปิดบันทึกท่ารําที่ได้เขียนไว้แต่ไม่สามารถรื้อฟื้น ได้ด้วยลายมือที่อ่านยากทักษะการ เขียนที่วกวนบ้าง การบรรยายท่ารําไม่ละเอียด อาจเนื่องมาจากหลาย ปัจจัย แต่ด้วยผู้วิจัยเคยประสบ มาประเด็นสําคัญคือในสมัยที่เรียนไม่รู้คุณค่าของการจดบันทึก ผู้เรียนต่างจด เพื่อเอาคะแนนจึงมีการ คัดลอกของผู้อื่นต่อๆกันมาไร้การวิเคราะห์ท่าทางด้วยตัวเอง และประเด็นที่สําคัญคือ ความเบื่อหน่าย เพราะเพลงรําแต่ละเพลงมีหลายท่าและการเรียนในแต่ละเทอมต้องต่อท่ารําจํานวนมาก ดังนั้นเมื่อถึง เวลาจําเป็นต้องใช้ประโยชน์กลับไม่สามารถนํามาใช้ได้จึงต้องแกะท่ารําจากวีดีโอแต่บางเพลงก็ มีความต่างจากที่ร่ําเรียนมาการเรียนการสอนนาฎศิลป์ไทยเป็นการฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความ ชํานาญ ในการเคลื่อนไหวร่างกายและส่งเสริมในความกล้าแสดงออกของผู้เรียน รวมถึงทักษะการ สังเกต และ ความจําของผู้เรียนในการรับการถ่ายทอดกระบวนท่ารํา การเรียนการสอนนาฎศิลป์ยัง 2


ช่วยในการพัฒนาอารมณ์และช่วยพัฒนาทางด้านสังคมของนักเรียน นักเรียนจะได้คลายความเครียด และทํา ให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง การเรียนการสอนนาฎศิลป์เป็นสื่อหนึ่งที่ทําให้นักเรียนได้ทํา กิจกรรมร่วมกับ ผู้อื่น ทําให้เกิดการหล่อหลอมความสามัคคีให้เกิดขึ้นในตัวนักเรียน ทั้งนี้การเรียนการ สอนนาฎศิลป์จึงมี ความสําคัญอย่างมาก นักเรียนจึงควรทราบถึงความสําคัญของวิชานาฎศิลป์ไทยวิชา นาฎศิลป์ไทยเป็นวิชาที่ ให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติจารีตและประเพณีเป็นวิชาแขนงหนึ่งที่ เกี่ยวข้องกับศิลปะโดยตรง ในการ เรียนวิชานาฏศิลป์ต้องอาศัยบุคคลที่มีใจรักและรู้ซึ่งคุณค่าของงาน ศิลปะและวางบุคคลให้เกิดความรักใน ศิลปะประจําชาติช่วยกันอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม วิชานาฏศิลป์ ไทยยังได้สัมผัสถึงความเป็นไทย ที่นับวันจะ หาได้ยากมากขึ้นผ่านการเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์อัน ได้แก่ การร่ายรําการขับร้องแบบไทย การบรรเลง ดนตรีไทย การแต่งกายแบบไทย ในวิชานาฏศิลป์เป็นวิชาที่เน้นการปฏิบัติทําให้เกิดการแสดง จากความเป็นมาและความสําคัญของปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเหตุผลของผู้วิจัยในการที่จะศึกษาการ พัฒนาทักษะการปฏิบัติท่านาฏยศัพท์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ด้วยสื่อการสอนรูปแบบ วิดีโอและลูกเต๋า สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการพัฒนาทักษะทางนาฏศิลป์ในด้านนาฎยศัพท์และภาษาท่า ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฎศิลป์เพื่อมุ่งเน้นให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในทักษะการ ปฏิบัติและเจตคติที่ดีต่อนาฏศิลป์รวมทั้งเกิดความภาคภูมิใจในกิจกรรม นาฎศิลป์ที่นักเรียนร่วมกันปฏิบัติ กิจกรรมจากการเรียนรู้ด้วยตนเองสามารถนําความรู้ไปเชื่อมโยงให้ เข้ากับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ และ สามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวันได้อย่างถูกต้องและตามหลัก ของนาฏศิลป์ไทย เพื่อเป็นแนวทางในการ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง พุทธศักราช 2560) สามารถนําความรู้และ ประสบการณ์ที่ได้รับมาเป็นแนวทางในการปรับปรุง แก้ไขซึ่งเป็นการส่งเสริมและพัฒนาด้านจิตพิสัยไป พร้อมๆ กับการพัฒนาด้านพุทธิพิสัยทักษะพิสัยและ พัฒนาการเรียนการสอนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะในสาระนาฏศิลป์ให้มีประสิทธิภาพต่อไป 3


วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาสื่อวิดีโอและลูกเต๋า เรื่องท่านาฏยศัพท์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางเรียนเรื่อง ท่านาฏยศัพท์วิชานาฏศิลป์ระหว่างก่อน เรียนและหลังเรียน โดยใช้สื่อการสอนด้วยรูปแบบสื่อวิดีโอและลูกเต๋า สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีผลต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อ การสอนด้วยรูปแบบสื่อวิดีโอและลูกเต๋า เรื่องท่านาฏยศัพท์สําหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สมมติฐานของการวิจัย 1. สื่อวิดีโอและลูกเต๋า เรื่อง ท่านาฏยศัพท์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์80/80 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อวิดีโอและลูกเต๋ามีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่อง ท่านาฏยศัพท์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยสื่อการสอนในรูปแบบวิดีโอและลูกเต๋า มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเรียนบ้านดงอุดม สังกัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 ที่เรียน รายวิชานาฏศิลป์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ปี การศึกษา 2566 จํานวน 10 คน จากห้องเรียนจํานวน 1 ห้อง 2. ตัวแปร 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนด้วยรูปแบบสื่อวิดีโอและ ลูกเต๋า 4


2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ท่านาฏยศัพท์ 2.2.2 ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3. เนื้อหาการวิจัย เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เป็นเนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ วิชา นาฏศิลป์เรื่อง นาฏยศัพท์และประเภท ของนาฏยศัพท์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามหลักสูตรของโรงเรียนบ้านดงอุดม ตําบลหนองบัว อําเภอเมือง จังหวัดอุดธานีพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โดยมีเนื้อหา ดังนี้ 1. ความหมายของนาฏศัพท์ 2. ประเภทของนาฏศัพท์เช่น นามศัพท์กิริยาศัพท์นาฏยศัพท์เบ็ดเตล็ด 3. ท่ารําของนาฏยศัพท์ 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ปีการศึกษา 2566 จํานวน 10 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ สื่อวิดีโอ หมายถึง วิธีการดําเนินรายการแล้วแต่จุดประสงค์ของการท ารายการช่วยทําให้วิดีโอนั้นมีความ สนใจมากขึ้น ในลักษณะของสื่อที่เพิ่มเติมจากการเรียนการสอนปกติโดยการเน้น เชื่อมต่อข้อมูลการมี ปฏิสัมพันธ์ความยืดหยุ่นและความทันสมัย โดยผู้วิจัยมีเนื้อหาในสื่อวิดีโอดังนี้ 1. การแนะนําท่านาฏยศัพท์เช่น ความหมายของนาฏยศัพท์ประเภทของนาฏยศัพท์ 2. ท่านาฏยศัพท์เช่น การตั้งวง การจีบ การยกเท้า การก้าวเท้า ลูกเต๋า หมายถึง ลูกทรงลูกบาศก์มี6 หน้า แต่ละหน้าจะแสดงสัญลักษณ์แทนจํานวน ตัวเลขตั้งแต่ 1 – 6 สัญลักษณ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นแต้มด้วยจุดที่คว้านลงไปในเนื้อลูกเต๋า แต้มจุด ดังกล่าวเป็นสีแดงหรือสีดํา เป็นส่วนใหญ่ โดยผู้วิจัยมีเนื้อหาในสื่อลูกเต๋าดังนี้ 1. นํากระดาษการ์ดมาจํานวน 8 แผ่น แล้วปริ้นแบบบล็อกลูกเต๋าออกมาจากนั้นให้ตัดตามรอยเส้น ออกมา 2. พริ้นต์รูปภาพภาษาท่าและนาฏยศัพท์แล้วตัดออกมาทีละภาพ ทากาวติดลงบนแบบบล็อกลูกเต๋า 5


3. ประกอบแบบรูปให้เป็นรูปทรงลูกเต๋าทากาวติดให้เรียบร้อย 4. กระดาษการ์ดมาจํานวน 4 แผ่น แล้วปริ้นแบบบล็อกลูกเต๋าออกมาจากนั้นให้ ตัดตามรอยเส้นออกมา 5. ปริ้นภาพภาษาท่าและนาฏยศัพท์ออกมา แล้วตัดออกมาทีละภาพ ทากาวติด ลงบนแบบ บล็อกลูกเต๋า 6. ประกอบแบบรูปให้เป็นรูปทรงลูกเต๋าทากาวติดให้เรียบร้อย 7. นําสติ๊กเกอร์ใสมาปิดทับเพื่อความสวยงามอีกครั้ง ท่านาฏยศัพท์หมายถึง คําศัพท์ที่ใช้เรียกท่ารําของนาฏศิลป์ไทยซึ่งเป็นพื้นฐานในการร่ายรําประกอบเพลงต่าง ๆ มีชื่อท่ารําตามแบบแผน เป็นชื่อลักษณะท่ารําของไทย ประกอบด้วย 1) นาม ศัพท์ได้แก่ จีบหงาย กระดกเท้า ตั้ง วงล่าง กล่อมไหล่ 2 กิริยาศัพท์ได้แก่กดเกลียวข้าง หลบเข่า วง เหยียด เกร็งคอ 3) ศัพท์เบ็ดเตล็ด ได้แก่ จีบยาว ลักคอ เดินมือ เอียงทางวง ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ดีหรือทัศนคติที่ดีของบุคคล ซึ่งมักเกิดจากการได้รับการตอบสนองตามที่ตน ต้องการ ก็จะเกิดความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งนั้น ตรงกันข้ามหากความต้องการของตน ไม่ได้รับการตอบสนองความไม่พึง พอใจก็จะเกิดขึ้น ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ได้สื่อวิดีโอและลูกเต๋า เรื่อง ท่านาฏยศัพท์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 ที่มี ประสิทธิภาพ สามารถนําไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรียนรู้ศิลปะ ในระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 2. ครูสามารถนําสื่อวิดีโอและลูกเต๋า เรื่อง ท่านาฏยศัพท์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไปใช้เป็น สื่อสําหรับให้ นักเรียนใช้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ใช้ประกอบการสอนซ่อม เสริม และใช้ในการทบทวนบทเรียนให้กับ นักเรียนได้ 3. เป็นแนวทางสําหรับครูและผู้สนใจในการพัฒนาสื่อวิดีโอและลูกเต๋า กลุ่มสาระการ เรียนรู้ศิลปะ และ กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ ต่อไปตามความเหมาะสม 6


บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดําเนินการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแยกการนําเสนอเนื้อหาตามลําดับ ดังนี้ 1. นาฏยศัพท์ 2. สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) 3. สื่อลูกเต่า 4. ความพึงพอใจ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6. กรอบแนวคิดการวิจัย นาฏยศัพท์ การนําเสนอเกี่ยวกับนาฏยศัพท์ผู้วิจัยได้แบ่งการนําเสนอออกเป็น 2 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของนาฏยศัพท์2) ประเภทของนาฏยศัพท์ และ ท่านาฏยศัพท์เบื้องต้น มีรายละเอียด ดังนี้ บังอร อนุเมธางกูล. ( 2542 : 129 - 140 ) นาฏศิลป์ไทยมีลักษณะที่อ่อนช้อยงดงามถึงท่า รําซึ่งสามารถ สะท้อนให้เห็นถึงศิลปวัฒนธรรมไทยของชาติได้ปัจจุบันเยาวชนไทยส่วนมากคิดว่า นาฏศิลป์เป็นศิลปะการแสดง ที่เชื่องช้า โบราณ ไม่ทันสมัยเหมือนกับศิลปวัฒนธรรมชาติตะวันตกที่มัก แสดงท่าทาง การขับร้องที่รวดเร็ว และ สนุกสนาน ซึ่งเป็นความไม่เข้าใจต่อศิลปวัฒนธรรมของไทย โดยแท้จริงแล้วนาฏศิลป์ไทย ประกอบด้วยศิลปะ หลายประเภท มีทั้งที่อ่อนช้อย เชื่องช้าและรวดเร็ว สนุกสนาน ซึ่งในแต่ละภูมิภาคของไทย ได้มีการแสดงพื้นเมือง ที่มีความแตกต่างกันออกไป ขณะเดียวกันปัจจุบันได้มีการนําการแสดงชุดสั้น ๆ หลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้ชมได้รับ ความบันเทิงที่ไม่ก่อให้เกิดความรําคาญ ตุมิตร เทพวงษ์. ( 2541 : 191 – 223 ) ในการแสดงท่าทางการรําทางนาฏศิลป์ไทยนั้น จะ มี พื้นฐานมาจากท่าคนตามธรรมชาติและนํามาดัดแปลงปรับปรุงให้วิจิตร งดงาม อ่อนช้อย เรียกว่า เป็นภาษา ท่าทางนาฏศิลป์ซึ่งการศึกษาทางด้านนาฏศิลป์ไทย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงโขน ละคร หรือ ระบําเบ็ดเตล็ด ต่าง ๆ ก็ดีท่าทางที่ผู้แสดงแสดงออกมานั้นย่อมมีความหมายเฉพาะ ยิ่งหากได้ศึกษา อย่างดีแล้ว อาจทําให้ เข้าใจในเรื่องการแสดงมากยิ่งขึ้นทั้งในตัวผู้แสดงเองและผู้ที่ชมการแสดงนั้น ๆ สิ่งที่เข้ามามีส่วนประกอบ เป็นท่ารําและการแสดงทางนาฏศิลป์ไทยที่สําคัญก็คือ เรื่องของนาฏยศัพท์ และภาษาท่านาฏศิลป์ 7


ความหมายของนาฏยศัพท์ นาฏยศัพท์นั้นเป็นศัพท์ที่ใช้เฉพาะทางนาฏศิลป์ซึ่งส่วนมากผู้เกี่ยวข้องทางนาฏศิลป์เท่านั้น ที่จะรู้ถึง ความหมายของคําศัพท์เหล่านี้ดังนั้น ราชบัณฑิตยสถาน ( 2545 ) ตามความหมายมีไว้ว่า หมายถึง คําเสียงที่ใช้เรียกชื่อท่า เกี่ยวกับการฟูอนรํา เกี่ยวกับการแสดงละคร อรวรรณ ชมวัฒนา ( 2530 ) กล่าวว่า นาฎยศัพท์หมายถึง ศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะ ท่ารําที่ใช้ในการ ฝึกหัดเพื่อใช้ในการแสดงโขนและละคร อมรา กล่ําเจริญ ( 2535 ) ได้อธิบายความหมายของนาฏยศัพท์ว่า หมายถึง ศัพท์เฉพาะ ในทางนาฏศิลป์ เป็นลักษณะของท่ารําไทย นาฏยศัพท์ที่ใช้กันเกี่ยวกับท่ารําไทยนั้นมีมากแยกตาม ลักษณะการใช้ ดังนั้นคําว่า นาฏยศัพท์ หมายถึง ศัพท์ที่ใช้เกี่ยวกับลักษณะท่ารํา ที่ใช้ในการฝึกหัดเพื่อ แสดงโขน ละคร เป็นคําที่ใช้ในวงการนาฏศิลป์ไทย สามารถสื่อความหมายกันได้ทุกฝุายในการแสดง ต่างๆ “นาฏย” หมายถึง เกี่ยวกับการฟูอนรํา เกี่ยวกับการแสดงละคร “ศัพท์” หมายถึง เสียง คํา คํา ยากที่ต้องแปล เรื่อง เมื่อนําคําสองคํา มารวมกัน ทําให้ได้ความหมายขึ้นมา ในเรื่องของการแสดงนาฏศิลป์ไทยนั้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงโขน ละคร หรือระบํา เบ็ดเตล็ดต่างๆ การ เคลื่อนไหว ลีลา ท่าทางต่างๆที่แสดงออกมานั้น ล้วนแต่มีความหมายเฉพาะ ซึ่ง หากผู้แสดงได้ศึกษาในเรื่องของ นาฏยศัพท์ย่อมส่งผลให้มีความเข้าใจในการแสดงนั้นมากขึ้น และ ผลงานการแสดง ก็จะออกมาสมบูรณ์แบบ นั่นเอง ประเภทของนาฏยศัพท์นามศัพท์หมายถึง ศัพท์ที่เรียกชื่อท่ารํา หรือชื่อท่าที่บอกอาการกระทําของผู้นั้น เช่น 1) ตั้งวง คือ ส่วนโค้งของลําแขน โดยใช้ส่วนแขนและมือทําพร้อม ๆ กัน จะตั้งวงมือ ใดก่อนก็ได้แล้วแต่ จะกําหนด ถ้าตั้งวงขวาก็เหยียดขวาไปด้านข้างลําตัว แขนตึงเสมอไหล่ตั้งมือขึ้น แล้วค่อย ๆ งอแขนประมาณว่า จากปลายนิ้วส่วนของแขนที่งอ และหัวไหล่มีลักษณะเกือบครึ่งวงกลม ระวังอย่างอแขนมาก จนข้อศอกแหลม ออกมา ถ้าตั้งวงซ้ายก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน 1.1) วงบนตัวพระและตัวนางจะแตกต่างกัน ตรงที่ตัวพระวงบนจะอยู่ระดับแง่ศีรษะส่วนโค้งของดําแขน จะกว้าง ส่วนตัวนางวงบนจะอยู่ระดับหางคิ้วส่วนโค้งจะแบนกว่าตัวพระ 1.2) วงกลางคือส่วนของลําแขนจะอยู่ระดับอกระหว่างวงบนกับวงล่าง 1.3)วงล่างคือส่วนโค้งของลําแขนที่ทอดโค้งลงเบื้องล่างปลายนิ้วอยู่ระดับหน้าท้อง 1.4) วงหน้าคือส่วนโค้งของลําแขนที่ทอดโค้งอยู่ข้างหน้าโดยตัวพระปลายนิ้วมือ อยู่ระดับข้างแก้มข้างเดียวกันกับวงส่วนตัวนางปลายนิ้วอยู่ระดับปาก 8


1.5) วงพิเศษคือวงที่อยู่ระหว่างวงบนกับวงหน้ามักใช้กับท่าตัวพระเช่นท่าเรียง หมอนในการรําแม่บท 1.6) วงบัวบานหรือท่าบัวบานคือยกแขนระดับวงบนแต่หงายท้องแขนขึ้นแบน หงายฝุามือจะตั้งท่าบัว บานข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างก็ได้ท่าบัวบานเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"วง เทิด"ข้อควรระวังในการตั้งท่าบัวบานคือ การใช้ส่วนต่าง ๆ ของลําแขนระดับความสูงของวงให้แขน ส่วนบนลาดจากไหล่เล็กน้อยมิฉะนั้นจะดูเป็นแขนตั้ง ฉากหรือเป็นเหลี่ยมทําให้ท่ารําไม่สวยงาม 2) จีบมือ คือ การใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้มาจรดกันนิ้วหัวแม่มือจรดข้อแรกของปลาย นิ้วชี้โดยนับจากข้อ แรกลงมาจะใช้มือขวาหรือมือซ้ายก็ได้ส่วนอีก 3 นิ้วคือนิ้วกลางนิ้วนางและนิ้วก้อย กรีดออกไปให้ตึงทั้ง 3 นิ้ว ได้ ระยะกันจึงจะดูสวยงามเมื่อจีบแล้วให้หักข้อมือเข้าหาลําแขนให้มากที่สุด ลักษณะของการจีบมือในรําไทยมีดังนี้ 2.1) จีบหงาย คือ การหงายข้อมือขึ้นแล้วหักข้อมือเข้าหาลําแขนแล้วทําท่าจีบให้ปลายนิ้วที่จีบชี้ขึ้น ข้างบนจะใช้มือใดก็ได้ 2.2) จีบคว่ํา คือ การคว่ําลําแขนแล้วทําท่าจีบให้ปลายนิ้วที่จีบชี้ลงล่าง 2.3) จีบหลังหรือจีบส่งหลัง คือ การส่งลําแขนไปข้างหลังจะใช้มือแขนตึงพลิก ข้อมือให้หงายปลายนิ้วชี้ ขึ้นข้างบน 2.4) จีบปรกหน้า คือ การจีบเข้าหาลําตัวโดยมีลําแขนหงายขึ้นยกส่วนแขนและ มือที่จีบนั้นสงระดับ หน้าผากหันมือที่จีบเข้าหาใบหน้าและหักข้อมือ 2.5) จีบปรกข้าง คือ การจีบคล้ายปรกหน้าแต่ลําแขนจะอยู่ด้านล่าง ยกสูงระดับ วงบนหันมือที่จีบเข้าหา แง่ศีรษะ 2.6) จีบชายพก จะใช้มือใดจีบก็ได้เมื่อจีบแล้วนํามือที่จีบนั้นมาไว้ที่หัวเข็มขัด ลักษณะของการจีบให้ หงายข้อมือขึ้น 3) จีบนิ้วกลาง หรือจีบล่อแก้ว การจับนิ้วกลางคล้ายการจีบมือและปฏิบัติด้วยมือ ขวาหรือมือซ้ายก็ได้ เช่น ถ้าต้องการจีบนิ้วกลางด้วยมือขวาก็ให้แบมือขวายื่นออกมาข้างหน้าแล้วงอ นิ้วกลางเข้ามาใช้นิ้วหัวแม่มือกอ ทับลงบนเล็บของนิ้วกลางพอดีแล้วกรีดนิ้ว 3 นิ้ว คือนิ้วชี้นิ้วนาง นิ้วก้อยออกไปให้ดึงที่สุดเท่าที่จะทําได้นิ้วกลาง และนิ้วหัวแม่มือที่แตะชิดอยู่นั้นมีลักษณะเป็นวงกลม และต้องมีความรู้สึกเหมือนกับว่านิ้วกลางนั้นกําลังดีดออก จากนิ้วหัวแม่มือหักข้อมือจีบนิ้วกลางเข้าหา ท้องแขนการเรียกชื่อจีบนิ้วกลางเรียกกันหลายชื่อเช่นมือพระ นารายณ์จีบล่อแก้วหรือจีบแก้ว 4) สะบัดมือจีบกิริยาของการใช้ท่ารําสะบัดมือจะสะบัดมือใดก็ได้หรือจะสะบัดพร้อม กันทั้งสองมือก็ได้ สมมติว่าจะให้ทําทั้งสองมือพร้อมกันให้ตั้งจีบหงายระดับวงกลางทั้งสองมือต่อมา ปฏิบัติตามลําดับขั้นตอนดังนี้ 4.1) ปล่อยจีบทิ้งหงายมือไปให้ปลายนิ้วทั้งสี่เหยียดลงทั้งสองมือพร้อมกัน 9


4.2) พลิกข้อมือที่หงายอยู่นั้นตั้งเป็นวงกลางให้อยู่ระดับไหล่ 4.3) จีบมือทั้งสองคว่ําลงพร้อม ๆ กัน 4.4) พลิกมือที่จีบคว่ํานั้นให้เป็นจีบหงายพร้อมกันทั้งสองมือต่อไปทําตั้งแต่ท่าที่ 1 ถึงท่าที่ 4 ไปเรื่อย ๆ เว้นช่วงระยะขั้นตอนแต่ละระดับให้กระชับขึ้นกิริยาเช่นนี้เรียกว่าสะบัดมือ 5) กรายมือ กิริยากรายมือเป็นการทําต่อเนื่องกันระหว่างการใช้จีบและวงกล่าวคือ ถ้าจะกรายมือขวาให้ ใช้มือขวาจีบหงายแขนตึงไปด้านข้างยกส่วนแขนสูงเสมอไหล่มือซ้ายตั้ง วงข้างเอียงข้างวงต่อจากนั้นให้ม้วนจีบมือ ขวาไปตั้งวงข้างมือซ้ายซึ่งตั้งวงข้างอยู่ดึงวงลงส่งมือไปจีบ หลังแล้วเอียงขวาเมื่อจะกรายมือซ้ายก็เคลื่อนมือว้ายมา จีบหงายแขนดึงเสมอไหล่ด้านข้างมือขวายังคง ตั้งวงข้างอยู่ยังคงเอียงขวาเหมือนเดิมแล้วค่อย 1 ม้วนมือซ้าย ตั้ง วงข้างดึงมือขวาลงส่งมือไปจีบหลัง ศีรษะเอียงมาทางด้านซ้ายทําเช่นนี้สลับกันไปตามความต้องการว่ากรายมือกี่ ครั้ง 6) ยกเท้า คือ ลักษณะของการใช้เท้ายกขึ้นโดยฝุาเท้าลงล่างการยกเท้าจะยกข้าง ไหนก่อนก็ได้การยกเท้า ไม่ต้องประเท้าก็ได้ส่วนมากจะนิยมการประเท้าก่อนการยกเท้าหรือก้าวเท้า แล้วตามด้วยยกเท้า การยกเท้ามี2 ประเภทคือ 6.1) ยกเท้าข้างหน้าคือการยกเท้าขึ้นมาข้างหน้าให้ระดับฝุาเท้าอยู่ตรงกับเข่าข้าง ที่ยืนจะต่ํากว่านั้นบ้าง เพียงเล็กน้อยสําหรับลําขาส่วนล่างยื่นไปช้างหน้าและเฉียงมาทางเท้าที่ยืนรับ 6.2) ยกเท้าด้านข้างลําตัว คือ ลักษณะอาการของการยกเท้าคล้ายยกหน้าแต่กัน เข้าออกไปข้าง ๆ มาก ๆ ใช้สําหรับตัวพระ ถ้าเป็นตัวนางจะใช้วิธีการที่เรียกว่าเดี่ยวเท้าแทน คือใช้ส้น เท้าจรดขาอีกข้างหนึ่ง ไม่ควรให้สูง และเข้าเหมือนตัวพระ สมมติว่าจะยกเท้าข้างลําตัวด้วยเท้าขวา เท้าทั้งสองเบนออกไปย่อตัวลง คือยุบประเท้าขวา ยกเท้าขวาขึ้นข้างดําตัวให้ขาท่อนบนทํามุมฉากกับ ลําตัวกันเข่าแบะออกปลายเท้าขวาชี้เฉียงไปข้าง ๆ ตัวให้ส่วน ตาตุ่มและสันเท้ายื่นมาข้างหน้า พอประมาณปลายนิ้วดึงและงอนขึ้นทั้งห้านิ้ว ย่อตัว และทรงตัวให้สวยงาม ส่วนตัวนางถ้าจําเป็นต้อง ยกเท้าไว้ข้างลําตัว จะเก็บสันเท้าที่ยกแตะไว้ใดเข่าด้านข้างของขาที่ยืน ปลายเท้างอน ขึ้นกันเข้าแบ ออกไปพอประมาณซึ่งเรียกว่า "เดี่ยวเท้า" 7) การกระดกเท้า การกระดกเท้าเป็นการใช้ท่ารําต่อเนื่องกับการกระทุ้งเท้าแต่ บางครั้งก้าวเท้าแล้ว กระดกตามทันทีโดยไม่ผ่านการกระทุ้งเท้าก็ได้เมื่อกระดกเท้าหรือยกเท้าขึ้นไป ข้างหลังแล้วให้น้ําหนักตัวลงบน เท้าที่ยืนอยู่และพยายามส่งเข่าของขาที่กระดกนั้นให้มาก บังคับตัวให้ตรงอย่าให้ลําตัวชะงักมาข้างหน้าถ้ากระดก เท้าและส่งเข้าถูกต้องจะรู้สึกตึงหน้าขาส่วนฝุาเท้าของเท้า ที่กระดกจะต้องหักข้อตรงหลังเท้าข้างเข้าหาหน้าแข้งไม่ บิดเขี้ยวไปทางหนึ่งทางใดนิ้วเท้าทั้งห้าตึง เท่ากัน 8) ก้าวเท้า เป็นกิริยาต่อเนื่องจากการยกเท้าเมื่อยกเท้าแล้วก็ต้องก้าวเท้าเมื่อยกเท้า ไปข้างหน้าโดย น้ําหนักตัวจะโน้มหนักไปข้างหน้าเท้าที่ก้าวเท้าหลังย่อเข้าให้ดูพองามจะแตกต่างกัน


ระหว่างตัวพระกับตัวนางคือตัวพระจะเหลี่ยมกว้างถ้าตัวนางจะเหลี่ยมแคบและการก้าวเท้าแบ่ง ออกเป็น 8.1) ก้าวหน้า คือ การวางฝุาเท้าลงบนพื้นด้านหน้ากะให้ส้นเท้าที่วางลงนั้นจะอยู่ ตรงกับหัวแม่เท้าของ เท้าหลัง 8.2) ก้าวข้าง คือ ลักษณะคล้ายก้าวหน้าแต่จะเฉียงออกด้านข้างมากและขาอีก ข้างหนึ่งจะหลบเข่าตาม เพื่อให้ดูเรียบร้อยเหมาะสมกับการเป็นตัวนาง 8.3) ก้าวไขว้คล้ายก้าวหน้าแต่เวลาก้าวไขว้ต้องเปิดส้นเท้าหลัง ซึ่งถ้าเป็นการ ก้าวเท้าหน้าไม่ต้องเปิดส้น เท้าหลัง 9) ยืด-ยุบ การยืดยุบจะทําพร้อมกันทั้งสองขาหรือขาเดียวก็ได้สมมติว่าให้เข่าข้าง เดียวหมายถึงขาข้าง หนึ่งยกหรือกระดกอยู่ขาที่ยืนอยู่จะเป็นขาที่ปฏิบัติเมื่อยึดเข่าจะตรงและเมื่อยุบ จะย่อเข่าที่ยืนตรงเข่าจะงอในการ ปฏิบัติยืด-ยุบ ทั้งสองขาพร้อมกันก็ปฏิบัติคล้ายกันแต่จะอยู่ใน ลักษณะการยืนทั้งสองขาเมื่อยืนเข้าตรงทั้งสองข้าง เรียกว่ายืดเมื่อย่อเข่าลง เรียกว่ายุบข้อสําคัญในการ ยืดไม่ควรยืดให้เข่าตึงมากเกินไปหรือการยุบก็ไม่ควรย่อเข่า มากเกินไป เพราะจะทําให้การทรงตัวไมดี การยืด-ยุบเป็นการใช้กิริยาที่สําคัญมากในการให้จังหวะการรําหรือเป็น การให้สัญญาณในการหมดท่า รําและจะเปลี่ยนท่ารําใหม่ 10) ประเท้า กิริยาของเท้าที่วางเหลี่ยมกันด้วยการเผยอจมูกเท้าข้างใดข้างหนึ่งเพียง นิดเดียวโดยที่สันยัง ติดพื้นอยู่เชิดปลายเท้าขึ้นทุกนิ้วใช้จมูกเท้ากระทบ การประเท้า จะประเท้าไหน ก่อนก็ได้สมมติว่า จะประเท้า ซ้าย ก่อนอื่นให้ย่อตัวลงเล็กน้อย น้ําหนักตัวลงที่ขาขวาลงน้ําหนักเท้า ซ้ายน้อยที่สุด เมื่อจะเริ่มประเท้ายืดขึ้นเท้า ซ้าย เตรียมประให้ปลายนิ้วเท้าตึงและงอนขึ้นทั้งห้านิ้วส่วน ของเท้าซ้ายที่วางอยู่บนพื้นขณะนี้คือสันเท้าและจมูก เท้าเมื่อยุบตัวพร้อมกันนั้นให้ใช้จมูกเท้าแตะพื้น เบา ๆ แล้วยกเท้าขึ้นกิริยาของการใช้จมูกเท้าแตะพื้นนี้เรียกว่า "ประ" 11) จรดเท้า คือ การแตะพื้นด้วยจมูกเท้าส่วนอื่นของเท้าไม่ถึงพื้นพร้อมกับยุบตัว ซึ่งเป็นกิริยาหนึ่งของ การใช้เท้าจะจรดด้วยเท้าใดก็ได้ถ้าจรดเท้าขวายืนให้น้ําหนักตัวลงบนเท้าซ้ายยก เท้าขวาขึ้นสูงจากพื้นเล็กน้อย แล้วใช้จมูกเท้าขวาแตะพื้นปลายนิ้วงอนขึ้นสันเท้าขวายกสูงขึ้น พอประมาณระวังอย่ายกส้นเท้าให้สูงเกินไปจะทํา ให้เหมือนกับเขย่งเท้าการจรดเท้าในท่ารําใช้เพื่อ ยั้งจังหวะ 12) ซอยเท้า คือ กิริยาที่ใช้จมูกเท้าวางกับพื้นยกส้นเท้าน้อย ๆ ทั้ง 2 เท้า พร้อมกัน เริ่มด้วยการวางเท้าทั้งสองเสมอกัน ยกส้นเท้าทั้งสองขึ้น ย่อเข่าลงเล็กน้อยแล้วย่ําด้วยปลาย เท้าทั้ง สองให้เร็ว ซอยเท้าให้ถี่วางนําหนักตัวลงบนเท้าทั้งสองให้เท่ากัน การซอยเท้าจะซอยอยู่กับที่ก็ได้หรือ ซอยเคลื่อนไหวไปก็ได้ ข้อสําคัญให้เท้าทั้งสองเรียงสมอกันตลอดเวลาการซอยเท้าเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การ "เก็บเท้า" 11


13) วางส้น เป็นการวางเท้าด้วยส้นเท้าจะวางส้นเท้าข้างใดข้างหนึ่งก่อนก็ได้ถ้าจะ วางส้นเท้าด้วยเท้าขวา การยืนให้น้ําหนักตัวลงบนเท้าซ้าย โยกเท้าขวาขึ้นจากพื้นเล็กน้อยแล้วจึงวาง ส้นเท้าลงบนพื้นข้างเท้าซ้ายเบา 1 ปลายเท้าเปิดงอนนิ้วทั้งห้าขึ้น ให้เห็นชัดเจนว่ากําลังใช้ส้นเท้าอยู่ ถ้าจะวางส้นเท้าซ้ายก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับเท้าขวา การวางส้นเท้าบางครั้งเรียกว่า "จรดด้วยส้นเท้า" 14) ถัดเท้า เป็นกิริยาของการใช้เท้าอีกแบบหนึ่งจะถัดเท้าอยู่กับที่หรือจะถัดเท้า เคลื่อนไหวการถัดเท้าจะ ใช้เท้าขวาถัดเสมอโดยเท้าซ้ายก้าวหน้าและถัดด้วยเท้าขวาลักษณ์เรียกว่า "ถัด" อยู่ที่การใช้ฝุาเท้าตั้งแต่จมูกเท้าลง มาถึงชั้นเท้าไถพื้นขึ้นไปแล้ววางเท้าลงก็จะนับเป็นจังหวะจะ ได้ดังนี้ จังหวะที่ 1 ยกเท้าซ้ายก้าว จังหวะที่ 2 เท้าขวาไถพื้นแล้วยก จังหวะที่ 3 วางเท้าขวาลง ถ้าเป็นการถัดเท้าอยู่กับที่เท้าซ้ายจะอยู่หลังเท้าขวาที่ใช้ถัดวางไขว้อยู่ หน้าเท้าซ้ายเสมอ 15) กระทุ้งเท้า คือ จะกระทุ้งเท้าใดก่อนก็ได้ก่อนการกระทุ้งเท้ามักจะก้าวเท้าหนึ่ง ไปข้างหน้าและต้องให้น้ําหนักตัวอยู่เท้าหน้าให้มากที่สุดที่จะมากได้สมมุติว่าเท้าที่กําลังจะก้าวคือเท้า ขวาเท้าซ้าย ซึ่งเป็นเท้าหลังพยายามให้น้ําหนักลงบนเท้าซ้ายน้อยที่สุด ต่อจากนี้จะถึง ตอนที่เรียกว่า กระทั้งคือยกเท้าซ้ายที่อยู่ ข้างหลังขึ้นสูงเล็กน้อยใช้จมูกเท้าเตะหรือกระทุ้งพื้นเบา ๆ แล้วยกทําขึ้นการ ยกเท้าหลังจากกระทั่งท้านี้เรียกว่า "กระทุ้งเท้า"การกระทั่งทําใช้จมูกเท้าเท่านั้น ไม่ใช้ปลายนิ้วเท้า กระทุ้งเป็นอันขาด 16) สะดุดเท้า เป็นกิริยาของการใช้เท้าเพื่อขึ้นจังหวะอีกแบบหนึ่งการสะดุดเท้าจะ สะดุดเท้าใดก็ได้ถ้าจะ สะดุดเท้าขวาใช้จมูกเท้าขวาจรดพื้นไว้น้ําหนักตัวลงบนเท้าซ้าย เอียงศีรษะไป ข้างซ้ายก่อนจะสะดุดเท้าเริ่มด้วย การถ่ายน้ําหนักตัวไปรวมที่ปลายเท้าขวาที่จรดที่พื้นอยู่โน้มตัวไป ข้างหน้าไถเท้าขวาที่จรดด้วยจมูกเท้าอยู่ไป ข้างหน้าและให้วางเท้ายกเท้าซ้ายวางถอน ตัวกลับแลจรด จมูกเท้าเท้าขวาลงเหมือนเดิมเปลี่ยนเอียงศีรษะมา ทางขวาถ้าสะดุดเท้าร้ายก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน กิริยาศัพท์คือ ศัพท์ที่ใช้เรียกในการปฏิบัติบอกอาการกิริยา ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ศัพท์เสริม หมายถึง ศัพท์ที่ใช้เรียกเพื่อปรับปรุงท่าทีให้ถูกต้องสวยงาม เช่นกันวงลดวง ส่งมือ ดึงมือ หักข้อ หลบศอก เปิดกาง กดคาง ทรงตัว เผ่นตัว ดึงไหล่กดไหล่ดึงเอว กดเกลียวข้าง ทับตัว หลบเข่า ถีบเข่า แข็งเข่า กันเข่า เปิดส้น ชักส้น 2) ศัพท์เสื่อม หมายถึง ศัพท์ที่ใช้เรียกชื่อท่ารําหรือท่วงทีของผู้รําที่ไม่ถูกต้องตาม มาตรฐาน เพื่อให้ผู้รํา รู้ตัว และแก้ไขท่าทีของตนให้ดีขึ้น เช่น วงล้า วงคว่ํา วงเหยียด วงหัก วงล้น วง


แอ้คอดื่ม คางไก่ ฟาดคอ คอหัก เกร็งคอ หอบไหล่ ทรุดตัว ขย่มตัว เหลี่ยมล้า รําแอ้รําลน รําเลื้อย รําล้ําจังหวะ รําหน่วงจังหวะ นาฏยศัพท์เบ็ดเตล็ด หมายถึง ศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้เรียกในภาษานาฏศิลป์นอกเหนือไปจาก นามศัพท์และ กิริยาศัพท์ได้แก่ 1) จีบยาว คือ การจีบที่แขนเหยียดตึง 2) จีบสั้น คือ การจีบที่มือจีบแขนจะงอเข้ามา 3) ลักคอ คือ การลักคอนี้จะลักคอข้างไหนก่อนก็ได้หรือจะลักคอสลับกันไปซ้าย 4) เดินมือ คําว่าเดินมือนี้ใช้ได้ทั่วไปในเวลารําเช่นท่าเทพนมจะต้องยกมือทั้ง สองขึ้นมาประนมที่หน้าอกเวลาที่ยกมือทั้งสองขึ้นมาก็จะเรียกว่าเดินมือคํานี้โดยมากใช้กับครูใน ขณะที่บอกกับลูก ศิษย์เช่นสอดมือช้าไปครูจะเร่งว่าเดินมือเร็ว ๆ หน่อยหรือทาชักแปูงผัดหน้าชาไปครู จะบอกว่าเดินมือเร็วอีกนิด เป็นต้น 5) กรีดนิ้ว ส่วนใหญ่จะใช้กับการจีบมือในเมื่อได้จีบมือเรียบร้อยแล้วส่วนนิ้วที่ เหลืออยู่อีก 3 นี้ จะต้องกรีดออกไปโดยการดึงนิ้วให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้และพยายามบังคับให้นิ้ว ทั้งสามอยู่ในระดับที่ ห่างกันพอสมควรซึ่งลักษณะคล้ายกับพัดที่คลี่ออกส่วนฝุามือต้องไม่ห่อเข้ามาจน กลางอุ้งมือเป็นแอ่งการ ดึงนิ้วนี้ควรดึงนิ้วกลางให้มากกว่านิ้วอื่น ๆ แต่ต้องไม่ลืมหักข้อมือเข้าหาลํา แขน 6) ยืนเข่า คือ ลักษณะของการคุกเข่าลงข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งตั้งขึ้นโดยให้ฝุาเท้าวางลงกับพื้นเป็นต้น สื่อวิดีโอ การนําเสนอเกี่ยวกับสื่อวิดีโอ ผู้วิจัยได้แบ่งการนําเสนอออกเป็น 5 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของสื่อวิดีโอ 2) ประเภทของสื่อวิดีโอ 3) กระบวนการผลิตสื่อวิดีโอ 4) การจัดทําสื่อ วิดีโอ และ 5) รูปแบบรายการสื่อวิดีโอเพื่อการศึกษา มีรายละเอียด ดังนี้ ความหมายของสื่อวีดีโอ ปิยะดนัย วิเคียน (2560) กล่าวว่า ในปัจจุบันสื่อวิดีโอเป็นองค์ประกอบหนึ่งของหน่วยงาน และเป็นส่วนหนึ่งใน ชีวิตประจําวันของทุกคน ภาพทุกภาพ เรื่องทุกเรื่องจากสื่อวิดีโอจะมีอิทธิพลต่อ ความรู้สึกนึกคิดของบุคคล รวม ไปถึงความเชื่อ ทัศนคติเนื่องจากเป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและ เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย วีดิโอเป็นสื่อที่ให้ภาพ และเสียงได้สมจริง สามารถใช้กล้องบันทึกได้ง่ายเสมือน ภาพถ่าย แต่ที่เหนือกว่าภาพถ่ายคือ การนําเสนอภาพที่ บันทึกจากกล้องวีดิโอนั้นมีการเคลื่อนไหวได้อย่างสมจริงเป็นธรรมชาติวีดิโอในปัจจุบัน เป็นสื่ออีกชนิดหนึ่งซึ่งถูก นํามาใช้ในวงการศึกษา เนื่องจาก


วีดิโอเป็นอุปกรณ์ที่สามารถบันทึกภาพและเสียงไว้ได้พร้อมกัน สามารถแก้ไขและบันทึกลงใหม่ได้อีก ทั้งเรายัง สามารถนํากลับมาใช้ใหม่ได้ทันทีสามารถดูภาพช้าและ ภาพเร็วได้ตามความต้องการ ประทิน คล้ายนาค. ( 2541 : 36 ) กล่าวคําว่า "วีดิโอ" ตามความหมายทางเทคนิคจะ หมายถึง การ ส่งผ่านสัญญาณอิเล็กทรอนิคส์ของภาพและเสียงจากกล้อง หรือเครื่องบันทึกวีดิโอ ที่เราเรียกว่า เครื่อง VTR ไปยัง จอโทรทัศน์หรือมอนิเตอร์โดยไม่จําเป็นต้องแพร่ภาพออกทางอากาศ กล่าวอย่างง่ายที่สุดวีดิโอก็คือ การใช้กล้อง อิเล็กทรอนิคส์ในการถ่ายภาพเคลื่อนไหว พร้อมกับเสียง แล้วส่งเป็นสัญญาณฟูาออกไปที่จอโทรทัศน์นั่นเอง แต่ ปัจจุบันสื่อวิดีโอ มีความหมายกว้างมากจะ รวมไปถึงเครื่องมือและอุปกรณ์โทรทัศน์ที่ใช้กันตามบ้าน ตามสถาบัน และหน่วยงานต่างๆ ทั้งยังรวม ไปถึงอุปกรณ์ตามสถานีวิทยุโทรทัศน์อีกด้วยกิดานันท์มลิทอง (2536) ได้กล่าวว่า สื่อวิดีโอ (Video Tape) ซึ่งตามปกติเรามักเรียกทับศัพท์ว่า“วีดิโอเทป” เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่สําคัญที่สามารถใช้ใน การ บันทึกภาพ และเสียงไว้ได้พร้อมกันในแถบเทปในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟูา และยังสามารถลบแล้ว บันทึก ใหม่ได้ รสริน พิมลบรรยงก์. (2536) ได้อธิบายว่า สื่อวิดีโอ คือ เทปที่ใช้บันทึกภาพ และเสียงไว้ใน รูปแบบของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟูา และสามารถลบแล้วบันทึกใหม่ หรือบันทึกซ้ําได้ วชิระ อินทร์อุดม. (2539) ให้ความหมายสื่อวิดีโอว่า เป็นวัสดุที่สามารถใช้บันทึกภาพและ เสียงได้โดย อาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีการทางแสงเสียง และแม่เหล็กไฟฟูา ซึ่ง สามารถบันทึกและเปิดให้ชม ได้ทันทีโดยอาศัยเครื่องเล่น/บันทึกสื่อวิดีโอ ซึ่งสามารถบันทึกและลบ สัญญาณภาพและเสียงได้ ประทิน คล้ายนาค. (2545) ให้ความหมายของสื่อวิดีโอในทางเทคนิคว่า เป็นการใช้กล้อง อิเล็กทรอนิกส์ ถ่ายภาพเคลื่อนไหว พร้อมกบเสียงแล้วสงเป็นสัญญาณไฟฟูาไปออกที่จอโทรทัศน์จาก ความหมายที่กล่าวมา ข้างต้นสรุปได้ว่า สื่อวิดีโอ หมายถึง แถบ วัสดุอุปกรณ์ซึ่งเป็นแถบเคลือบ แม่เหล็กสามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้ หลายมิติ เช่น ภาพ และเสียง ในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟูา สามารถติดต่อเพิ่มเติม ลบออกได้โดยมีสื่อแพร่ ภาพ แพร่เสียง เช่น เครื่องรับโทรทัศน์หรือ คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องแสดงภาพและเสียง ประเภทรายการสื่อวิดีโอ รายการวิดีโอนั้น ได้แบ่งไว้2 ประเภท คือ 1) รายการความรู้ทั่วไป (General Education program) หมายถึง มีวัตถุประสงค์มุ่งให้ความรู้ในเรื่อง ต่างๆ เพื่อให้ผู้ฟังได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์ทั้งในทางตรงหรือทางอ้อมได้เกิด แง่คิด คติสอนใจ อันเป็นประโยชน์ อย่างในการดําเนินชีวิตประจําวัน รายการประเภทนี้ไม่ได้มุ่งเพื่อการสอน ในหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่งโดยเฉพาะ เท่านั้น แต่สามารถทําหน้าที่เสริมหรือประกอบการสอนเช่น รายการสาระบันเทิง ร้ายการส่งเสริมการศึกษา 14


2) รายการเพื่อการสอน (Instructional program) เป็นรายการที่มีวัตถุประสงค์ผลิตขึ้นมาเพื่อการสอน ลักษณะรายการส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มที่คล้ายบทเรียน (Lesson) โดยมีวิธีการนําเสนอที่น่าสนใจ การจัดนําเสนอ เนื้อหาอาจแบ่งเป็นตอนหรือไม่เป็นตอนก็ได้แต่เนื้อหา จะต้องมีความสอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาระดับใด หนึ่งระดับใด หรือสถานศึกษาหนึ่งสถานศึกษา ใดส่วนเนื้อหาที่นําเสนอมีจุดประสงค์ให้เกิดการเรียนรู้และมีการ วัดผลการเรียน การจัดประเภท รายการลักษณะนี้อาจเทียบได้กับการจัดประเภทรายการเพื่อการศึกษาในระบบ โรงเรียน ( Formal Education)เป็นต้น รายการเพื่อการเรียนการสอนยังสามารถแบ่งประเภทออกไปตาม ลักษณะหน้าที่ รายการดังต่อไปนี้ 2.1) รายการทําหน้าที่สอนทั้งหมด ( Total Teaching หรือ Direct Classroom Teaching) คือ รายการ ซึ่งทําหน้าที่ในการสอนโดยมีความสมบูรณ์ในตัวเอง ดังนั้น รายการจึงทํา หน้าที่เสมือนครูผู้สอนหรืออุปกรณ์การ สอนไปในตัว 2.2) รายการทําหน้าที่สอนเนื้อหาหลัก (Principle or Main Resources) คือรายการ ทําหน้าที่สําคัญใน หัวข้อการสอน โดยในชั้นเรียนจะมีครูผู้ทําหน้าที่แนะนํารายการ คอยชี้ให้เห็น ความสัมพันธ์ของรายการกับหัวข้อ ที่เรียน สามารถให้นักเรียนทําแบบฝึกหัดและอธิบายขยายความรู้และเพิ่มความเข้าใจของนักเรียนด้วย 2.3) รายการทําหน้าที่เสริมการสอน (Supplementary or Enrichment) คือ รายการที่ทําหน้าที่เสริม เนื้อหาที่ของครูผู้สอนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพิ่มเติมเนื้อหาได้ชัดเจนสมบูรณ์เช่น ใช้การแสดงตัวอย่างเชิงละคร (Dramatization) หรือการสาธิตการทดลองทางวิทยาศาสตร์ฯลฯ กระบวนการผลิตสื่อวิดีโอ พิสุทธา อารีราษฎร์และณัฐพงษ์พระลับรักษา (2551: 3-4) กล่าวถึงกระบวนการผลิตสื่อ สื่อวิดีโอไว้ว่า การผลิตสื่อวิดีโอให้มีคุณภาพนั้น มีขั้นตอนการทํางานอย่างเป็นระบบดังนี้ 1) ขั้นเตรียมการผลิต (Per-Production) เป็นการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ก่อนการ ผลิตรายการ ได้แก่ บุคลากร เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์งานศิลปกรรม โดยมีการประชุมปรึกษาหารือใน ทีมงานที่เกี่ยวข้องให้ เข้าใจขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ก่อนการลงมือปฏิบัติงาน ตามตารางเวลาที่กําหนดไว้ 1.1) ด้านบุคลากร ในการผลิตรายการสื่อวิดีโอเป็นการทํางานที่เป็นทีมผู้ร่วมงานมาจาก หลากหลาย อาชีพที่มีพื้นฐานที่ต่างกัน ซึ่งการทํางานร่วมกันจะประสบความสําเร็จหรือไม่นั้นขั้นอยู่กับ ทีมงานที่ดีมีความ เข้าใจกัน พูดภาษาเดียวกัน รู้จักหน้าที่และให้ความสําคัญซึ่งกันและกัน 1.2) ด้านสถานที่ในการผลิตรายการ แบ่งออกเป็น 2 แห่ง คือภายในห้องผลิตและ ภายนอกห้องผลิต รายการ สาหรับการผลิตรายการในห้องผลิตรายการ ( Studio ) ผู้ผลิตจะต้อง เตรียมการจองห้องผลิตและตัดต่อ รายการล่วงหน้า กําหนดวันเวลาที่ชัดเจน กําหนดฉากและวัสดุ 15


อุปกรณ์ประกอบฉากให้เรียบร้อย ส่วนการเตรียมสถานที่นอกห้องผลิตรายการ ผู้ผลิตจะต้องดูแลใน เรื่องของการ ควบคุมแสงสว่าง ควบคุมเสียงรบกวนโดยจะต้องมีการสํารวจสถานที่จริงก่อนการถ่ายทํา เพื่อทราบข้อมูลเบื้องต้น และเตรียมแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้เพื่อจะได้ประหยัดเวลาในการถ่ายทํา 1.3) ด้านอุปกรณ์ในการผลิตรายการ โดยผู้กํากับฝุายเทคนิคจะเป็นผู้สั่งการเรื่องการ เตรียมอุปกรณ์ใน การผลิต เช่น กล้องสื่อวิดีโอ ระบบเสียง ระบบแสง เครื่องเครื่องบันทึกภาพ นอกจากนั้น ยังจําเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์สํารองบางอย่างให้พร้อมด้วย ทั้งนี้เพื่อช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่าง ทันท่วงที 1.4) ด้านผู้ดําเนินรายการ และผู้ร่วมรายการ การเตรียมผู้ร่วมรายการที่จะปรากฎตัวบน จอโทรทัศน์เป็น สิ่งที่จําเป็น โดยเริ่มจากการคัดเลือก ติดต่อ ชักซ้อมบทเป็นการล่วงหน้าโดยให้ผู้ดําเนินรายการและผู้ร่วมรายการ ได้ศึกษาและทําความเข้าใจในบทของตนเองที่จะต้องแสดงเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาในการถ่ายทํา 2) ขั้นการผลิตรายการ (Production) เป็นขั้นตอนที่จะบันทึกสื่อวิดีโอตามแผนการทํางาน ซึ่งก่อนที่จะ ดําเนินการต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ฝุายต่างๆ ให้ทราบ วัน เวลา ในการบันทึกรายการตรวจวัสดุ อุปกรณ์ให้เรียบร้อย พร้องใช้งาน มีการชักซ้อมผู้แสดง ควรมีการซักซ้อมกล้องก่อนการถ่ายทําจริง ในขณะบันทึกสื่อวิดีโอจะต้องคอย ตรวจสอบด้านเทคนิค ถ้ามีพบข้อบกพร่องต้องดําเนินการแก้ไขและ บันทึกใหม่ทันทีเมื่อทําการบันทึกรายการ เสร็จแล้วควรตรวจสอบ ความถูกต้องอีกครั้งเพื่อหา จุดบกพร่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 3) ขั้นหลังการผลิต (Post- Production) เป็นขั้นตอนหลังจากการที่ได้ทําการบันทึก รายการสื่อวิดีโอ แล้วจะต้องนําภาพแต่ละช็อต (Shot) แต่ละซีน (Scenc) มาจัดลําดับให้ต่อเนื่องตาม บทสื่อวิดีโอที่กําหนดไว้โดย มีขั้นตอนดังนี้ 3.1) การลําดับภาพหรือการตัดต่อ (Editing) เป็นการนําภาพมาตัดต่อให้เป็นเรื่องราว ตามบทสื่อวิดีโอ โดยใช้เครื่องตัดต่อหรือเครื่องคอมพิวเตอร์โดยการตัดต่อนี้มี2 ลักษณะคือ 3.1.1) Linear Editing เป็นการตัดต่อระหว่างเครื่องเล่น/บันทึกสื่อวิดีโอ 2 เครื่อง โดยให้เครื่องหนึ่งเป็น เครื่องต้นฉบับ (Master) และอีกเครื่องหนึ่งเป็นเครื่องบันทึก (Record) ใน ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วเนื่องจากการตัด ต่อลักษณะนี้ต้องใช้ผู้ที่มีความชํานาญเฉพาะด้านและใช้เวลานานมาก 3.1.2) Non-Linear Editine เป็นการตัดต่อโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะซึ่ง เป็นการตัดต่อที่ รวดเร็วและมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด 16


3.2) การบันทึกเสียง (Sounc Recording จะกระทําหลังจากได้ดําเนินการตัดต่อภาพ ตามบทสื่อวิดีโอ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทําการบันทึกเสียงตนตรีเสียงบรรยาย และเสียงประกอบลง ไป 3.3) การฉายเพื่อตรวจสอบ (Preview) หลังจากการตัดต่อภาพและบันทึกเสียงเรียบร้อยแล้วจะต้องนา มาฉายเพื่อตรวจสอบก่อนว่ามีอะไรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ 3.4) การประเมินผล (Evaluation) เป็นการประเมินรายการหลังการผลิต ซึ่งมี2ลักษณะคือ 3.4.1) ประเมินผลกระบวนการผลิตโดยจะเป็นการประเมินต้านความถูกต้องของเนื้อหาคุณภาพและ เทคนิคการนําเสนอ ความสมบูรณ์ของเทคนิคการผลิต โดยผู้เชี่ยวชาญต้านเนื้อหา ผู้เขียนบท ผู้กํากับรายการ ทีมงานการผลิต 3.4.2) การประเมินผลการผลิตซึ่งจะเป็นการประเมินโดยกลุ่มเปูาหมายเป็นหลัก โดยจะประเมินในด้าน ของความน่าสนใจ ความเข้าใจในเนื้อหา และสาระที่นําเสนอ รูปแบบรายการสื่อวิดีโอเพื่อการศึกษา อนิรุทธ์สติมั่น,วรวุฒิมั่นสุขผลและเสาวลักษณ์เริงขากลั่น ( 2554 : 25 -26 ) กล่าวถึง รูปแบบรายการ สื่อวิดีโอเพื่อการศึกษาไว้ว่า วิธีดําเนินการนําเสนอรายการสื่อวิดีโอมีหลายรูปแบบ แล้วแต่จุดประสงค์ของการทํา รายการ การเลือกรูปแบบรายการสื่อวิดีโอเพื่อการศึกษาจะช่วยเสริม รายการให้น่าสนใจมากขึ้น รูปแบบใดการสื่อ วิดีโอมีการนําเสนอหลากหลาย ซึ่งการเสนอเนื้อหาสาระ และสิ่งที่อยู่ในรายการสื่อวิดีโอจําแนกรูปแบบได้หลายวิธี ตามประเภทของรายการสื่อวิดีโอ ดังนี้ 1) รูปแบบพูดคนเดียว (Monologue) เป็นรายการที่มีผู้ปรากฏตัวพูดคุยกับผู้ชมและ คนดูเพียงคนเดียว 2) รูปแบบสนทนา (Dialogue) เป็นรายการที่มีคนพูดคุยกันสองคน มีผู้ถามและคู่สนทนาแสดงความ คิดเห็น 3) รูปแบบอภิปราย (Discussion) มีคนปูอนประเด็นคาถามให้ผู้อภิปรายแสดง คน ปูอนประเด็นคาถาม ให้ผู้อภิปรายแสดงความคิดของตนเองต่อประเด็นต่างๆ 4) รูปแบบสัมภาษณ์(nterview) เป็นรายการที่มีผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์วิทยากรมาสนทนากัน โดยผู้ดําเนินการสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เล่าให้ฟัง 5) รูปแบบเกมหรือการตอบปัญหา (Quiz Programmed) เป็นรายการที่จัดให้การ แข่งขันระหว่างคน หรือกลุ่มร่วมเล่นเกมหรือตอบปัญหา 6) รูปแบบสารคดี(Documentary Programmed) เป็นรายการที่นําเสนอเนื้อหา ด้วยภาพไม่มีการ บรรยายประกอบ 17


7) สารคดีเต็มรูป เป็นการดําเนินเรื่องด้วยภาพรายการกึ่งสารคดีถึงพูดเดียว เป็นผู้ดําเนินรายการทํา หน้าที่เดินเรื่องพูดคุยกับผู้ชมและให้เสียงบรรยายตลอดรายการ 8) รูปแบบละคร (Dramatically style) เป็นการเสนอเรื่องราวต่างๆ ด้วยการจําลอง สถานการณ์เป็น รอง มีผู้แสดง การจัดหา การแต่งตัว และแต่งหน้าให้สมจริง ใช้เทคนิคการละครเพื่อ เสนอเรื่องราวให้ให้เหมือน จริงมากที่สุดในด้านการศึกษา 9) รูปแบบสารละคร (Docu - Drama) เป็นรายการที่ผสมผสานรูปแบบสารคดีเข้า กับรูปแบบละครหรือ การนําละครมาประกอบรายการที่เสนอเพื่อเป็นการศึกษาความรู้และแนวคิด 10) รูปแบบสาธิตและการทดลอง (Demonstration) เป็นรายการที่เสนอวิธีการทํา การสาธิตและการ ทดลองเพื่อให้ผู้ชมได้แนวทางไปใช้จริง 11) รูปแบบเพลงและดนตรี (Song and Music) มี 3 ลักษณะคือ มีดนตรีนํา นักร้อง แสดงสดให้นักเรียน มาร้องควบคู่ไปกับเสียงดนตรีที่บันทึกและให้ผู้เรียนมาร้องและนักดนตรีมาแสดง แต่ใช้เสียงที่บันทึกมาแล้ว 12) รูปแบบการถ่ายทอดสด (Live Programmed) เป็นรายการที่ถ่ายทอดสด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง 13) รูปแบบนิตยสาร (Magazine Programmed) เป็นรายการที่เสนอหลักหลาย ประเด็นหลายรสใน รายการเดียว สื่อลูกเต๋า การนําเสนอเกี่ยวกับสื่อลูกเต๋า ผู้วิจัยได้แบ่งการนําเสนอออกเป็น 4 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของลูกเต๋า 2) วิธีการสร้างลูกเต๋า 3) วิธีการเล่นของลูกเต๋า 4) ประโยชน์ของการเล่นลูก เต่า มีรายละเอียด ดังนี้ ลูกเต๋า หลายคนอาจจะพอเดาได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับความเป็นจีนอยู่แน่นอน ซึ่งก็เดาถูก เพราะลูกเต๋า มีต้นกําเนิดที่อาจทําให้เชื่อได้ว่ามาจากประเทศจีน เพราะมาจากภาษาจีนแต้จิ๋วที่ว่า เตา แจ้ซึ่งคําว่า เตา ถอด เสียงออกมาเป็น เต๋า ส่วนคําว่าแจ้ถูกแปลงมาเป็นคําว่า ลูก ดังนั้น คําว่า เตา แจ้จึงกลายมาเป็นคําภาษาไทยว่า ลูกเต๋า นั่นเอง ที่กล่าวไปก็คือที่มาเกี่ยวกับชื่อ แต่จริง ๆ แล้วมีข้อมูลกล่าวเกี่ยวกับต้นกําเนิดของลูกเต๋าไว้ว่า มีต้นกําเนิด มาจากประเทศอินเดียและเปอร์เซียโบราณ ซึ่งปรากฏจากหลักฐานที่ค้นพบจากการขุด ซากบริเวณพื้นที่ในแถบ มองโลก ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังแถบภูมิภาคในประเทศจีน ลูกเต๋าที่ปรากฏ พบนั้นมีลักษณะเป็นรูปทรง สี่เหลี่ยมผืนผ้าทํามาจากกระดูกข้อเท้าของแกะ หากมองไปที่การใช้งานของลูกเต๋าโดยต้นกําเนิด ซึ่งมักถูกนําไปใช้ในการเล่นเกมและการ พนันเสียส่วน ใหญ่ เช่น เกมเศรษฐีเกมบันไดงูไพ่นกกระจอก ไฮโล แต่ในอีกด้านหนึ่ง ลูกเต๋าก็มี 18


บทบาทและความสําคัญในด้านการคํานวณทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับความน่าจําเป็นเช่นเดียวกัน แต่ก็นั่นแหละ กําเนิดของวิชาความน่าจําเป็นก็มีที่มาจากการพนันอยู่ดี ลักษณะที่สําคัญของลูกเต๋าก็คือ รูปทรงที่เป็นลูกบาศก์ลูกเต๋าในปัจจุบันมีหลายแบบ หลาย รูปทรง แต่ที่ คุ้นตาคือลูกเต๋าทรงลูกบาศก์มี6 หน้า แต่ละหน้าแสดงสัญลักษณ์แทนจํานวนตัวเลข ตั้งแต่1 ถึง 6 สัญลักษณ์ ดังกล่าวมีลักษณะเป็นแต้มด้วยจุดที่คว้านลงไปในเนื้อลูกเต๋า แต้มจุด ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นสีแดงหรือสีดําเป็นส่วน ใหญ่ลูกเต๋าแบบนี้นิยมทั้งในซีกโลกตะวันตกและในซีก โลกตะวันออก ต่างกันที่ลูกเต๋าที่ใช้ในซีกโลกตะวันออกมัก ทําเป็นลูกเต๋าแบบจีน ลูกเต๋าที่คนส่วนใหญ่ จะรู้จักและนิยมไปใช้ คือลูกเต๋าแบบจีน มีจุดเด่น จุดที่แสดงแต้ม 1 กับแต้ม 4 จะเป็นสีแดงชาดต่าง กับจุดแสดงแต้มอื่น ๆ ซึ่งเป็นสีดํา ลูกเต๋าต้นกําเนิดสู่วิชาความน่าจะเป็นในปัจจุบัน มีเรื่องบันทึกที่มาของวิชาความน่าจําเป็นไว้ ว่า ได้มีนัก พนันชาวฝรั่งเศสชื่อ เชอวาลิเยร์เดอ เมเร (Chevalier de mere) ได้ประสบปัญหาในการ พนันที่เกี่ยวกับการ ทอดลูกเต๋า จึงไปปรึกษาปาสคาล (Blaise Pascal) นักคณิตศาสตร์ในสมัยนั้น ด้วย ปัญหา 2 ข้อคือ ปัญหาที่ 1 การทอดลูกเต๋า 1 ลูกและ 2 ลูก และ ปัญหาที่ 2 การแบ่งรางวัลในเกมที่ต้องหยุดเล่นก่อนกําหนด ซึ่งปาสคาลก็ สามารถอธิบายและแก้ปัญหาในทุกข้อได้โดยอาศัยหลักความ น่าจะเป็นที่ใช้หลักการคิดจากลูกเต๋านั่นเอง ขั้นตอนการผลิตสื่อลูกเต่า 1) นํากระดาษการ์ดมาจํานวน ๘ แผ่น แล้วปริ้นแบบบล็อกลูกเต๋าออกมาจากนั้นให้ตัดตามรอยเส้น ออกมา 2) ปริ้นรูปภาพภาษาท่าและนาฏยศัพท์แล้วตัดออกมาทีละภาพ ทากาวติดลงบน แบบบล็อกลูกเต๋า 3) ประกอบแบบรูปให้เป็นรูปทรงลูกเต๋าทากาวติดให้เรียบร้อย 4) ดาษการ์ดมาจํานวน 4 แผ่น แล้วปริ้นแบบบล็อกลูกเต๋าออกมาจากนั้นให้ตัดตามรอยเส้นออกมา 5) ปริ้นภาพภาษาท่าและนาฏยศัพท์ออกมาแล้วตัดออกมาทีละภาพ ทากาวติดลงบนแบบบล็อกลูกเต๋า 6) ประกอบแบบรูปให้เป็นรูปทรงลูกเต๋าทากาวติดให้เรียบร้อย 7) นําสติ๊กเกอร์ใสมาปิดทับเพื่อความสวยงามอีกครั้ง วิธีการเล่นลูกเต๋า 1) เริ่มต้นจากการนําลูกเต๋ามาให้เด็กได้เรียนรู้จดจําและปฏิบัติโดยการพลิกไปมาที ละด้าน(เล่นเป็นกลุ่มได้) 19


2) ต่อจากนั้นเมื่อเด็กคล่องขึ้นก็ให้โยนลูกเต๋าขึ้นตกลงท่าใดให้ปฏิบัติท่านั้นๆ เด็กจะ เกิดการทําท่าและปฏิบัติได้ ถูกต้อง ประโยชน์ของการเล่นลูกเต๋า 1) ครูสามารถนําสื่อ ลูกเต๋าหรรษา ช่วยสอนฝึกทักษะการจํา การจํา และพัฒนาการ เรียนการสอนวิชานาฏศิลป์ ในระดับชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 และระดับชั้นอื่นที่เกี่ยวข้องได้ 2) นักเรียนมีความพร้อมที่จะเรียน มีความสนใจสื่อการเรียนได้เนื่องจากสื่อดังกล่าว มีการปฏิบัติและฝึกทักษะ การใช้งาน ความพึงพอใจ การนําเสนอเกี่ยวกับความพึงพอใจ ผู้วิจัยได้แบ่งการนําเสนอออกเป็น 4 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของความพึงพอใจ 2) ความสําคัญของความพึงพอใจ 3) แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ และ 4) ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ มีรายละเอียด ดังนี้ ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจ (Satisfaction) ได้มีผู้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้หลายความหมาย ดังนี้ วอลแมน (Wolman, 1973: 384 ) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก (Feeling) มีความสุข เมื่อคนเราได้รับผลสําเร็จตามความมุ่งหมาย (Goas) ความต้องการ (Wants) หรือแรงจูงใจ (Motivation) วอลเลอร์สเตน (Wallerstein. 1971: 256) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อ ได้รับ ผลสําเร็จตามความมุ่งหมาย และอธิบายว่า ความพึงพอใจเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาไม่ สามารถมองเห็นได้ ชัดเจน แต่สามารถคาดคะเนได้ว่ามีหรือไม่มีจากการสังเกตพฤติกรรมของคน เท่านั้น การที่จะทําให้คนเกิดความ พึงพอใจจะต้องศึกษาปัจจัยและองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของ ความจากความหมายของความพึงพอใจที่บุคคล ต่าง ๆ ดิเรก. (2528) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติทางบวกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง เป็น ความรู้สึกหรือทัศนคติที่ดีต่องานที่ทําของบุคคลที่มีต่องานในทางบวก ความสุขของบุคคลอัน เกิดจากการ ปฏิบัติงานและได้รับผลเป็นที่พึงพอใจ ทําให้บุคคลเกิดความกระตือรือร้น มีความสุข ความมุ่งมั่นที่จะทํางาน มี ขวัญและมีกําลังใจ มีความผูกพันกับหน่วยงาน มีความภาคภูมิใจใน ความสําเร็จของงานที่ทํา และสิ่งเหล่านี้จะ ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทํางานส่งผล ต่อถึงความก้าวหน้าและความสําเร็จขององค์การอีก ด้วย กิตติมา. (2529) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกชอบหรือพอใจที่มีต่อ องค์ประกอบและ สิ่งจูงใจในด้านต่างๆเมื่อได้รับการตอบสนอง 20


ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ได้รับตามที่คาดหวังหรือมากกว่าที่คาดหวัง ลุเทพ เมฆ (2531: 8) ความพึงพอใจในบรรยากาศการเรียน หมายถึง ความรู้สึกพอใจใน สภาพการจัด องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับกางเรียนการสอน ซึ่งมีความสําคัญในการช่วยให้นักเรียนเกิด การเรียนรู้อย่างมีชีวิตขี วา มีความเจริญงอกงาม มีความกระตือรีอวัน เพื่อจะเรียนให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ฉัตรชัย. (2535) กล่าวว่า ความพึงพอใจหมายถึงความรู้สึกหรือทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่ง หนึ่งหรือ ปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ความรู้สึกพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อความต้องการของบุคคลได้รับการ ตอบสนองหรือบรรลุ จุดมุ่งหมายในระดับหนึ่ง ความรู้สึกดังกล่าวจะลดลงหรือไม่เกิดขึ้น หากความ ต้องการหรือจุดมุ่งหมายนั้นไม่ได้รับ การตอบสนอง เทพพนม และสวิง. (2540) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นภาวะของความพึงใจหรือภาวะที่มีอารมณ์ใน ทางบวกที่เกิดขึ้น เนื่องจากการประเมินประสบการณ์ของคนๆหนึ่ง สิ่งที่ขาดหายไประหว่าง การเสนอให้กับสิ่งที่ ได้รับจะเป็นรากฐานของการพอใจและไม่พอใจได้ สง่า. (2540) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับผลสําเร็จตาม ความมุ่งหมาย หรือเป็นความรู้สึกขั้นสุดท้ายที่ได้รับผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์ วิรุฬ. (2542) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์ที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละ บุคคลว่าจะมีความคาดหมายกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างไร ถ้าคาดหวังหรือมีความตั้งใจมาก และได้รับการตอบสนอง ด้วยดีจะมีความพึงพอใจมากแต่ในทางตรงกันข้ามอาจผิดหวังหรือไม่พึงพอใจ เป็นอย่างยิ่ง เมื่อไม่ได้รับการ ตอบสนองตามที่คาดหวังไว้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตั้งใจไว้ว่าจะมีมากหรือ น้อยสอดคล้องกับ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน. (2542) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า พึง พอใจ หมายถึง รัก ชอบใจ และพึงใจ หมายถึง พอใจ ชอบใจบุคคล จึงจะทําให้บุคคลเกิดความพึง พอใจ ดังนั้นการสิ่งเร้าจึงเป็น แรงจูงใจของบุคคลนั้นให้เกิดความพึงพอใจในงานนั้น นภารัตน์. (2544) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกทางบวกความรู้สึกทางลบและ ความสุขที่มี ความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน โดยความพึงพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อความรู้สึกทางบวกมากกว่า ทางลบ กาญจนา. (2546) กล่าวว่า ความพึงพอใจของมนุษย์เป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมที่ เป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้การที่เราจะทราบว่าบุคคลมีความพึงพอใจหรือไม่ สามารถสังเกต โดยการแสดงออกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนและต้องมีสิ่งเร้าที่ตรงต่อความต้องการของ จากความหมายของความพึงพอใจที่บุคคลต่าง ๆ ได้กล่าวไว้ข้างต้นพอสรุปได้ว่า ความพึง พอใจเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกและทัศนคติของบุคคลที่ได้รับการตอบสนองตรงความ 21


ต้องการของตนเอง จึงทําให้เกิดความรู้สึกที่ดีแสดงออกมาทางพฤติกรรมที่ทําให้ปฏิบัติงานหรือ กระทําสิ่งต่าง ๆ ได้ประสบความสําเร็จพึงพอใจนั้น ความส าคัญของความพึงพอใจ ความพึงพอใจในการเรียนเป็นองค์ประกอบสําคัญที่ทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังที่ สมบูรณ์ พรรณาภพและชัยโรจน์ ชัยอินคํา (2518. 416) กล่าวไว้ว่า การที่บุคคลจะเรียนรู้หรือมีการ พัฒนา และความเจริญงอกงามนั้น บุคคลจะต้องอยู่ในสภาวะพึงพอใจ สุขใจ เป็นเบื้องต้น นั่นคือ บุคคลจะต้อง ได้รับการจูงใจทั้งในลักษณะนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัย ของ บราวน์และโฮลท์ซแมน ประพัฒน์จําปาไทย. (2524 : 75-84) สรุปไว้ว่า นักเรียนที่มีสติปัญญาเท่ากัน ถ้ามีแรงจูงใจ ในการเรียน ต่างกันจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเยนต่างกัน ซึ่งตรงกับความคิดเห็นของ ที่ว่าการเรียนรู้จะ เกิดขึ้นได้อย่างมี ประสิทธิภาพที่สุด เมื่อผู้เรียนได้รับการจูงใจ กล่าวโดยสรุป แรงจูงใจเป็นหัวใจสําคัญชองการเรียนรู้เพราะมีอิทธิต่อการเรียนรู้และการ สอนสูงมาก ดังนั้นในการจัดการสอน นักเรียน ผู้บริหาร และผู้สอน จะต้องพยายามสร้างสิ่งจูงใจให้เกิด แรงจูงใจขึ้น เพื่อให้ ผู้เขียนเกิดความพืงพอใจ มีความสนใจ ต่อการเรียนการสอน ดังที่ สมพงศ์เกษมสิน (2523 : 108) กล่าวไว้ว่า การจูงใจหมายถึงความพยายามชักจูงให้ผู้อื่น แสดงออกหรือ ปฏิบัติตามสิ่งจูงใจ สําหรับสิ่งจูงใจเป็นเครื่องล่อหรือกระตุ้นเพื่อให้เกิดการจูงใจนั้น สอดคล้องกับกุ๊ต Good. (1959 : 281) ให้ความหมายแรงจูงใจว่า แรงจูงใจหมายถึงวัตถุหรือสภาวะ ใด ๆ ที่สามารถเร้าให้เกิดการจูงใจได้ นักจิตวิทยาแบ่งการจูงใจเกี่ยวกับการศึกษาออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1) แรงจูงใจภายใน (ntinsic Molivation) ได้แก่การจูงใจที่เกิดจากความรู้สึกภายในตัว ของผู้เรียนเอง ซึ่งมีผลต่อการกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการ หรือตาม จุดมุ่งหมายที่กําหนดไว้แรงจูงใจภายในมีความสําคัญมากกว่าแรงจูงใจภายนอกเพราะว่า แรงจูงใจภายใน เกิด จากความรู้สึกของบุคคล เมื่อบุคคลรู้สึกเช่นใด ก็จะแสดงพฤติกรรมตอบสนอง ความรู้สึกของตนเอง ส่วนแรงจูงใจ ภายนอกนั้น บุคคลอาจเกิดจากความรู้สึกเฉยๆ ก็ได้เช่น ความ อยากรู้อยากเห็นความสนใจ ความรัก ฯลฯ เป็น ต้น 2) แรงจูงใจภายนอก (Extinsic Motivation) หมายถึงแรงจูงใจที่เกิดจากภายนอก ซึ่งมีผลต่อการ กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการหรือตามจุดมุ่งหมายที่ กําหนดไว้ได้แก่การ จูงใจที่เกิดจากสิ่งแวดส้อมภายนอกมาใช้จูงหรือกระตุ้นให้เกิดการจูงใจภายในขึ้น เป็นต้น ว่าวิธีสอน บุคลิกภาพ ของผู้สอน และเทคนิคที่ครูใช้ในการสอนจะเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้เรียนเกิด ความรู้สึกอยากเรียน การกระทําที่เกิดจาก แรงจูงใจภายนอกไม่ได้เป็นการกระทํา เพื่อความสําเร็จใน 22


สิ่งนั้นอย่างแท้จริงแต่เป็นการกระทํา เพื่อสิ่งจูงใจอย่างอื่น เช่น การเรียนที่หวังคะแนน นอกเหนือไปจากการได้รับ ความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ Shelly อ้างโดย ประกายดาว. (2536) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ ว่าความพึง พอใจเป็น ความรู้สึกสองแบบของมนุษย์คือ ความรู้สึกทางบวกและความรู้สึกทางลบ ความรู้สึก ทางบวกเป็นความรู้สึกที่ เกิดขึ้นแล้วจะทําให้เกิดความสุข ความสุขนี้เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจาก ความรู้สึกทางบวกอื่นๆ กล่าวคือ เป็น ความรู้สึกที่มีระบบย้อนกลับความสุขสามารถทําให้เกิด ความรู้สึกทางบวกเพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ความสุขเป็นความรู้สึกที่สลับซับซ้อนและความสุขนี้จะมีผลต่อบุคคลมากกว่าความรู้สึกในทางบวกอื่นๆ ขณะที่ วิชัย (2531) กล่าวว่า แนวคิดความพึง พอใจ มีส่วนเกี่ยวข้องกับความต้องการของมนุษย์ กล่าวคือ ความพึงพอใจ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความ ต้องการของมนุษย์ได้รับการตอบสนอง ซึ่งมนุษย์ไม่ว่าอยู่ในที่ใดย่อมมีความต้องการขั้น พื้นฐานไม่ต่างกัน พิทักษ์. (2538) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นปฏิกิริยาด้านความรู้สึกต่อสิ่งเร้าหรือสิ่ง กระตุ้นที่แสดงผล ออกมาในลักษณะของผลลัพธ์สุดท้ายของกระบวนการประเมิน โดยบ่งบอกทิศทาง ของผลการประเมินว่าเป็นไป ในลักษณะทิศทางบวกหรือทิศทางลบหรือไม่มีปฏิกิริยาคือเฉยๆ ต่อสิ่ง เร้าหรือสิ่งที่มากระตุ้น สุเทพ. (2541) ได้สรุปว่า สิ่งจูงใจที่ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ มีด้วยกัน 4 ประการ คือ 1) สิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุ (material inducement) ได้แก่ เงิน สิ่งของ หรือสภาวะ ทางกายที่ให้แก่ผู้ ประกอบกิจกรรมต่างๆ 2) สภาพทางกายที่พึงปรารถนา ( desirable physical condition ) คือ สิ่งแวดล้อมในการประกอบ กิจกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญอย่างหนึ่งอันก่อให้เกิดความสุขทางกาย 3) ผลประโยชน์ทางอุดมคติ(ideal benefaction) หมายถึง สิ่งต่างๆที่สนอง ความต้องการของบุคคล 4) ผลประโยชน์ทางสังคม (association attractiveness) หมายถึง ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับผู้ร่วม กิจกรรม อันจะทําให้เกิดความผูกพัน ความพึงพอใจและสภาพการร่วมกัน อันเป็น ความพึงพอใจของบุคคลใน ด้านสังคมหรือความมั่นคงในสังคม ซึ่งจะทําให้รู้สึกมีหลักประกันและมีความมั่นคงในการประกอบกิจกรรม ขณะที่ ปรียากร (2535) ได้มีการสรุปว่า ปัจจัยหรือองค์ประกอบที่ใช้เป็นเครื่องมือบ่งชี้ถึง ปัญหาที่ เกี่ยวกับความพึงพอใจในการทํางานนั้นมี3 ประการ คือ 23


1) ปัจจัยด้านบุคคล (personal factors) หมายถึง คุณลักษณะส่วนตัวของ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับงาน ได้แก่ ประสบการณ์ในการทํางาน เพศ จํานวนสมาชิกในความรับผิดชอบ อายุ เวลาในการทํางาน การศึกษา เงินเดือน ความสนใจ เป็นต้น 2) ปัจจัยด้านงาน (factor in the Job) ได้แก่ลักษณะของงาน ทักษะในการ ทํางาน ฐานะทางวิชาชีพ ขนาดของหน่วยงาน ความห่างไกลของบ้านและที่ทํางาน สภาพทาง ภูมิศาสตร์เป็นต้น 3) ปัจจัยด้านการจัดการ (factors controllable by management) ได้แก่ความมั่นคงในงานรายรับ ผลประโยชน์โอกาสก้าวหน้า อํานาจตามตําแหน่งหน้าที่สภาพการทํางาน เพื่อนร่วมงาน ความรับผิด การสื่อสาร กับผู้บังคับบัญชา ความศรัทธาในตัวผู้บริหาร การนิเทศงาน เป็นต้น งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รุจิราภรณ์เหลาหนวด ( 2549 : 4 - 39 ) ได้ทําการวิจัยเรื่อง การเรียนโดยใช้วีซีดีฝึกท่ารํา พื้นฐานทาง นาฏศิลป์ไทยสําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยดังนี้1) เพื่อสร้างและหา ประสิทธิภาพของวีซีดีเรื่อง การเรียนรู้โดยใช้วิซีดีฝึกท่ารําพื้นฐานทางนาฎศิลป์ไทย สําหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 2 ) เพื่อศึกษาผลการใช้วีซีดีเรื่อง การเรียนรู้โดยใช้วิซีดีฝึกท่า รําพื้นฐานทางนาฏศิลป์ไทย สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสตรีศรีบํารุง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548 จํานวน 31 คน เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัย แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องการฝึกท่ารําพื้นฐานทางนาฏศิลป์ไทย วีซีดีเรื่อง การเรียนรู้โดยใช้วิซีดีฝึกท่ารําพื้นฐานทาง นาฏศิลป์ไทย และ แบบวัดความสามารถในการรําพื้นฐานทางนาฎศิลป์ ไทย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย S.D. และค่า T-test ผลการวิจัย 1) วิเคราะห์ผลการทดลอง และหา ประสิทธิภาพของวีซีดีเรื่อง การเรียนรู้โดยใช้วีซีดีฝึกท่ารําพื้นฐานทางนาฏศิลป์ไทย โดยใช้เกณฑ์ มาตรฐาน 90 / 90 พบว่า ประสิทธิภาพของวีซีดีที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีค่า 91. 75 / 91.15 ซึ่งเป็นไปตาม เกณฑ์ที่ตั้ง ไว้2) การเรียนรู้ที่เรียนด้วยวีซีดีเรื่อง การเรียนรู้โดยใช้วิซีดีฝึกท่ารําพื้นฐานทางนาฎศิลป์ไทยส่งผลให้นักเรียม เกิดการเรียนรู้และมีความสามารถในการรําพื้นฐานทางนาฏศิลป์ไทย หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 วัลลิกาวัฒนวันยู ( 2549 : 3-55 ) ได้ทําการวิจัยเรื่อง การสร้างบทเรียนวิดีทัศน์เรื่อง ภาษา ท่ากลุ่มสาระ นาฏศิลป์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยดังนี้1) เพื่อ สร้างบทเรียนวีดีทัศน์เรื่องภาษาท่า ของกลุ่มสาระนาฏศิลป์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัด กรุงเทพมหานคร ที่มีประสิทธิภาพไม่ต่ํากว่าเกณฑ์80/80 2) เพื่อศึกษาคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียน ด้วยบทเรียนวีดีทัศน์เรื่องภาษาท่า กลุ่ม 24


สาระนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดกรุงเทพมหานคร และ 3) เพื่อศึกษาความพึง พอใจของ นักเรียนที่มีต่อบทเรียนวิดีทัศน์เรื่องภาษาท่า กลุ่มสาระนาฎศิลป์สําหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัด กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดดาวคะนอง สํานักงานเขตธนบุรีกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548 จํานวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) บทเรียนวีดีทัศน์ เรื่องภาษาท่า สําหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่องภาษาท่า แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จํานวน 15 ข้อ 3) แบบประเมินคุณภาพวีดีทัศน์เรื่องภาษาท่า สําหรับ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนและด้านเทคนิค และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของ นักเรียนมีมีต่อ บทเรียนวีดีทัศน์เรื่องภาษาท่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และค่าสถิติ [T-test] ผลการวิจัย 1) ประสิทธิภาพของบทเรียนวีดีทัศน์เรื่องภาษาท่า สําหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเท่ากับ 80.56 /86.85 เป็นไปตาม เกณฑ์ที่กําหนด 2) คะแนนหลังเรียนด้วยบทเรียนวี ดีทัศน์เรื่องภาษาท่า ของกลุ่มตัวอย่างสูงกว่า คะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ บทเรียนวีดีทัศน์เรื่องภาษาท่า อยู่ในระดับพอใจมาก มัลลิการ์วงศ์ศิรินวรัตน์ ( 2550 : 5-74 ) ได้ทําการวิจัยเรื่อง การพัฒนาสื่อวีดีทัศน์วิชา นาฏศิลป์เรื่อง ภาษาท่านาฏศิลป์สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี โดยมีจุดมุ่งหมายใน การวิจัยดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาสื่อบทเรียนวีดีทัศน์ วิชานาฏศิลป์ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง ภาษาท่านาฏศิลป์ ทั้งด้านความรู้และการปฏิบัติให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อน เรียนและหลังเรียนด้านความรู้ของนักเรียนที่ เรียนจากบทเรียนวีดีทัศน์วิชานาฏศิลป์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง ภาษาท่า และ 3) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนจากบทเรียนวีดีทัศน์วิชานาฏศิลป์ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง ภาษาท่านาฏศิลป์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ 1) กลุ่มตัวอย่างเพื่อใช้ทดสอบ ประสิทธิภาพของ แบบทดสอบ โดยการใช้กลุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน สวน กุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี จํานวน 30 คน 2) กลุ่มตัวอย่างเพื่อใช้หาประสิทธิภาพของสื่อวีดีทัศน์ โดย การใช้ กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จํานวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียน 31 คน โรงเรียนสวน กุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จํานวน 31 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบ สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างเพื่อใช้สอบถามผู้เชี่ยวชาญ 2) สื่อวีดีทัศน์ วิชา นาฎศิลป์เรื่องภาษาท่านาฏศิลป์ของ นักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 เวลาประมาณ 30 นาที 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากสื่อวีดีทัศน์วิชานาฏศิลป์เรื่องภาษาท่านาฏศิลป์4) แบบวัดและประเมินผลการปฏิบัติท่ารํา ทางการเรียนจากสื่อวีดีทัศน์วิชานาฏศิลป์เรื่องภาษาท่า นาฏศิลป์และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อวีดีทัศน์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ 25


ข้อมูล ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที่ (T-test) ผลการวิจัย 1) ประสิทธิภาพของ สื่อวีดีทัศน์วิชานาฎศิลป์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่องภาษาท่านาฎศิลป์ทั้งด้าน ความรู้สูงกว่าเกณฑ์โดยมีค่า 79.78 และการปฏิบัติสูงกว่าเกณฑ์โดยมีค่า 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภาษาท่านาฎศิลป์ของนักเรียนที่ เรียนด้วยสื่อวีดีทัศน์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) นักเรียนมีความพึง พอใจต่อสื่อวีดีทัศน์เรื่องภาษาท่านาฏศิลป์อยู่ใน ระดับมาก อุนนัดดา แสงงาม ( 2554 : 3 – 33 ) ได้ทําการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะการเรียนวิชา นาฏศิลป์โดยใช้ สื่อวีดีทัศน์ภาพนิ่งและกิจกรรมกลุ่ม โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยดังนี้ 1) เพื่อพัฒนา ทักษะการเรียนวิชา นาฏศิลป์โดยใช้สื่อวีดีทัศน์ภาพนิ่ง และกิจกรรมกลุ่มของนักศึกษาชาวจีน 2) เพื่อ ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อสื่อวี ดีทัศน์ภาพนิ่ง และกิจกรรมกลุ่ม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักศึกษาชาวจีนในมหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงรายวิชาเอกภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร จํานวน 24 คน นักศึกษาชาวจีนวิชาเอกภาษาอังกฤษศึกษา จํานวน 29 คน รวมทั้งสิ้น จํานวน 53 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย คือ 1) วีดีทัศน์ภาพนึ่ง และกิจกรรมกลุ่ม 2) แบบสอบถาม 3) การสนทนากลุ่ม 4) การ สัมภาษณ์ และ 5) การสังเกต สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย S.D. และค่า Pre – Test ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาทักษะการเรียนวิชานาฏศิลป์โดยการใช้สื่อวีดี ทัศน์ภาพนิ่ง และ กิจกรรมกลุ่ม ของนักศึกษาชาวจีนในมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนา ทักษะการเรียนวิชานาฎศิลป์โดยใช้สื่อวีดีทัศน์ภาพนึ่ง และกิจกรรมกลุ่มและเพื่อศึกษาความพึงพอใจ ที่มี ต่อสื่อวีดีทัศน์ภาพนิ่ง และกิจกรรมกลุ่ม ของนักศึกษาชาวจีนการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยได้ดําเนินการศึกษา ด้วยวิธีการทดสอบความสามารถในการฟูอนรําขั้นพื้นฐานทั่วไปของนักศึกษาก่อน เรียน จากนั้นเริ่มต้นการสอน ตามแผนการสอนที่กําหนดไว้พร้อมทั้งนําสื่อวีดีทัศน์ภาพนิ่ง และ กิจกรรมกลุ่ม มาประกอบการเรียนการสอน และมีการทดสอบทั้งการขับร้อง ฟูอนรํา เป็นระยะๆ ตลอดภาคเรียนเป็นเวลา 15 สัปดาห์ ธัญญาดา คําลือ และ อัญชลี ทองเอม ( 2558 : 5 - 8 ) ได้ทําการวิจัย เรื่อง เปรียบเทียบ การพัฒนาการ เรียนรู้และความคงทน วิชานาฏศิลป์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สื่อวีดีทัศน์กับผู้สอนจริง โดยมี จุดมุ่งหมายในการวิจัยดังนี้1) เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาการเรียนรู้ทักษะ การปฏิบัติท่ารํา เรื่องภาษาท่า วิชา นาฏศิลป์โดยใช้สื่อวีดีทัศน์กับผู้สอนจริง ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 2) เพื่อเปรียบเทียบความคงทนหลัง การเรียนรู้เรื่องภาษาท่า วิชานาฏศิลป์โดยใช้ สื่อวีดีทัศน์กับผู้สอนจริง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 3) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจ ของนักเรียน ต่อการเรียนรู้เรื่องภาษาท่า วิชานาฏศิลป์ โดยใช้สื่อวีดีทัศน์กับผู้สอนจริง ของนักเรียน ชั้นประถม กลุ่มตัวอย่างที่ ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จํานวน 2 ห้อง ได้แก่ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4/3 จํานวน 30 คน และนักเรียนชั้นประถมศึกษา 26


ปีที่ 4/4 จํานวน 30 คน รวมทั้งสิ้น 60 คน จากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ใช้วิธีจับฉลาก 2 ห้อง เพื่อเป็น กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม โดยให้กลุ่มทดลองได้รับการสอนด้วยสื่อวีดีทัศน์และกลุ่มควบคุมได้รับ การสอนจากผู้สอนจริง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องภาษาท่า วิชา นาฏศิลป์ สําหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนการเคหะท่าทราย แบ่งออกเป็น 2 แผน ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยสื่อวีดีทัศน์ และ แผนการจัดการเรียนรู้โดยผู้สอนจริง 2) สื่อวีดีทัศน์เรื่องภาษาท่า วิชานาฏศิลป์สําหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งประกอบด้วยตัวหนังสือ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง และสอดแทรกกิจกรรมไว้โดยใช้สื่อ วีดีทัศน์มีเนื้อหาอธิบายการปฏิบัติท่ารํา ภาษาท่า ทั้งหมด 5 ท่า ประกอบด้วย ท่าตัวเรา ท่าเธอ ท่ารักท่าปฏิเสธ และท่ายิ้ม 3) แบบประเมิน ความสามารถในการปฏิบัติภาษาท่าหลังการใช้สื่อวีดีทัศน์และผู้สอนจริง เรื่องภาษา ท่า วิชานาฏศิลป์ สําหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ท่ารําทั้งหมด 5 ท่าประกอบด้วย ท่าตัวเรา ท่าเธอ ท่ารัก ท่า ปฏิเสธและท่ายิ้ม มีเกณฑ์ที่ใช้ประเมินท่าละ 10 คะแนนแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ความถูกต้องของท่า รํา ความสวยงามของท่ารําและการแสดงอารมณ์ทางใบหน้า 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของ นักเรียนต่อการ เรียนรู้เรื่องภาษาท่า วิชานาฏศิลป์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากการ เรียนรู้โดยใช้สื่อวีดีทัศน์และ ผู้สอนจริง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ ย ( ) ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D ) และ t-test for Independent โดยมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบความสามารถใน การปฏิบัติท่ารํา เรื่องภาษาท่า วิชา นาฏศิลป์โดยใช้สื่อวีดีทัศน์กับผู้สอนจริง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ผลการเปรียบเทียบความคงทนในการปฏิบัติท่ารํา วิชานาฏศิลป์เรื่องภาษาท่า หลังการ เรียนรู้โดยใช้ สื่อ วีดีทัศน์กับผู้สอนจริง การใช้สื่อวีดีทัศน์มีความคงทนกว่าผู้สอนจริง และ 3) ผลการเปรียบเทียบ ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้เรื่องภาษาท่า วิชานาฎศิลป์โดยใช้สี่อวีดีทัศน์ภาพรวมของ ความพึง พอใจอยู่ระดับมากที่สุด ( - 4.40 ) และโดยใช้ผู้สอนจริง ภาพรวมของความพึงพอใจอยู่ระดับมาก ( = 4.06 ) วันจักรีโชติรัตน์, มนตรีเด่นดวง และปรีดา เบ็ญคาร. ( 2561 : 1122 – 1128 ) ได้ทํา การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชานาภูศิลป์ เรื่อง การออกแบบท่ารํา – เต้น ด้วย การจัดกิจกรรมการเรียน รูปแบบซิปปา ร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ สําหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปี 6 โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยดังนี้1) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านความรู้เรื่องการ ออกแบบท่ารํา-เต้น วิชานาฏศิลป์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิป ปา ร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ความสามารถ การออกแบบท่ารํา เรื่อง การออกแบบท่ารํา-เต้น วิชานาฏศิลป์ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรูปแบบชิปปา ร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ระหว่างก่อนเรียนและหลัง เรียน และ 3) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจต่อการเรียนนาฎศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัด กิจกรรมการ 27


เรียนรูปแบบชิปปา ร่วมกับสื่อวีดีทัศน์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ได้แก่ นักเรียนชั้น ประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนจ้องฮั้ว โรงเรียนสังกัดสํานักงานการศึกษาเอกชนปัตตานีอําเภอเมือง จังหวัดปัตตานีสายสามัญทั่วไป ที่ลงทะเบียนเรียนภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จํานวน 1 ห้องเรียน จํานวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่ม ตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D ) และ t-test for Independent โดยมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการวิเคราะห์ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง การออกแบบท่ารํา – เต้น วิชานาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ ได้รับการจัดกิจกรรม การเรียนรูปแบบซิปปา ร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียน เรื่อง การออกแบบท่ารํา - เต้น วิชานาฏศิลป์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการ เรียนรูปแบบชิปปา ร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ภาพรวมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้าน ความรู้และความจํา ความเข้าใจ การนําไปใช้การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ . 05 2) ผลการ วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์การสอบ ภาคปฏิบัติเรื่อง การออกแบบท่ารํา-เต้น วิซานาฎศิลป์ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียน รูปแบบชิปปา ร่วมกับการใช้สื่อวีดีทัศน์ระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์การสอบภาคปฏิบัติ เรื่อง การออกแบบท่ารํา - เต้น วิชานาฎศิลป์ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบชิป ปาร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ภาพรวมหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ความพร้อมเพรียงและ จังหวะ ความคิด สร้างสรรค์ความสวยงามของท่ารํา - เต้น หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 ส่วนความร่วมมือและความตั้งใจ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการเรียนนาฎศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา ร่วมกับสื่อวีดีทัศน์พบว่า ความพึงพอใจต่อการเรียน นาฎศิลป์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา ร่วมกับสื่อ วีดีทัศน์ภาพรวมนักเรียนมีความพึง พอใจอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้าน ประโยชน์ที่ผู้เรียนได้รับมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมา ด้านการวัดและประเมินผล ด้านการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน และด้านบรรยากาศในการเรียนการ สอน ตามลําดับ จุฑาทิพย์ อรุณรัตน์ ( 2562 : 13 - 68 ) ได้ทําการวิจัยเรื่อง การผลิตสื่อวิดิทัศน์ออนไลน์โดยการเรียนรู้ แบบหรรษา รายวิชาดนตรี-นาฎศิลป์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยดังนี้1) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์โดยกเรียนรู้แบบหรรษา รายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์สําหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อเปรียบเทียบ ทักษะปฏิบัติก่อนและหลังเรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์เพื่อ การเรียนรู้แบบหรรษารายวิชาดนตรี - นาฏศิลป์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 3) เพื่อศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ 28


สื่อวีดีทัศน์ออนไลน์เพื่อการเรียนรู้แบบหรรษารายวิชาดนตรี-นาฎศิลป์สําหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียน วัดบางพูน ซึ่งได้มาโดยใช้ วิธีการสุ่มตัวอย่างง่ายด้วยวิธีจับสลาก เลือกห้องเรียนจากนัก เรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 จํานวน 3 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ สื่อวีดีทัศน์ออนไลน์เพื่อการ เรียนรู้แบบหรรษารายวิชาดนตรี- นาฎศิลป์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แบบประเมิน คุณภาพ แบบประเมินทักษะปฏิบัติและแบบ ประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ( % )ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน ( S.D ) และ Dependent samples t- test ผลการวิจัย พบว่า 1) สื่อวีดีทัศน์ออนไลน์เพื่อการ เรียนรู้แบบหรรษารายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 คุณภาพสื่ออยู่ในระดับ คุณภาพดีมาก 2) ผลทักษะปฏิบัติ เรื่อง ภาษาท่าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนจากวีดีทัศน์ พบว่า มีผลทักษะปฏิบัติก่อนเรียน คะแนนเฉลี่ย 13.43 จากคะแนนเต็ม 36 คะแนน และมีผลทักษะปฏิบัติ หลังเรียนคะแนนเฉลี่ย 31.58 จากคะแนนเต็ม 36 คะแนน ซึ่งเมื่อทดสอบนัยสําคัญทางสถิติพบว่าผลทักษะ ปฏิบัติหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 05 โดยผู้เรียนมีผลทักษะปฏิบัติสูงขึ้นตาม สมมติฐานที่ตั้งไว้3) ความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่เรียนด้วยสื่อวีดีทัศน์ออนไลน์โดยการเรียนรู้แบบหรรษา รายวิชาดนตรี-นาฎศิลป์มีค่าเฉลี่ยโดยรวม 3.59 อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด กรอบแนวคิดการวิจัย กรอบแนวคิดการวิจัยในครั้งนี้ปรากฏดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย 29


บทที่3 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ประเด็นการศึกษาของผู้วิจัยส่วนใหญ่มีขอบเขตอยู่ที่ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางเรียนเรื่อง ท่า นาฏยศัพท์วิชานาฏศิลป์ด้วยสื่อการสอนรูปแบบวิดีโอและลูกเต๋า สําหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยได้กําหนดหัวข้อการดําเนินการวิจัยตามลําดับ ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเรียนบ้านดงอุดม สังกัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 ที่เรียน รายวิชานาฏศิลป์กลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ ปีการศึกษา 2566 จํานวน 10 คน จากห้องเรียนจํานวน 1 ห้อง 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเรียนบ้านดงอุดม สังกัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 ที่เรียน รายวิชานาฏศิลป์กลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ ปีการศึกษา 2566 ปีการศึกษา 2566 จํานวน 10 คนจากห้องเรียนจํานวน 1 ห้อง ตัวอย่าง ที่ใช้ใน การวิจัยได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม ( Cluster Random Sampling) 30


เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มีทั้งหมด 4 ชนิด ประกอบด้วย 1. สื่อวิดีโอ เรื่อง ท่านาฏยศัพท์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2. สื่อลูกเต๋า เรื่อง ท่านาฏยศัพท์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3. แบบทดสอบ เรื่อง ท่านาฏยศัพท์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบปรนัย ชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก 30 ข้อ 4. แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อวิดีโอ และลูกเต่า เรื่อง ท่านาฏยศัพท์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณ ค่า (Rating Scale) วิธีการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1. สื่อวิดีโอ เรื่อง ท่านาฏยศัพท์ผู้วิจัยดําเนินการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 1.1 ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาข้อมูล ทฤษฎีหลักการ ขั้นตอนการพัฒนาและเอกสารที่ เกี่ยวข้องผู้วิจัยได้ ทําการรวบรวมและศึกษาข้อมูลเพื่อเตรียมการออกแบบและพัฒนาวิดีโอเพื่อ เสริมสร้างความเข้าใจ เรื่อง นาฏยศัพท์ในรายวิชาดนตรี-นาฎศิลป์ซึ่งอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ผู้ศึกษาได้ดําเนินการ รวบรวม ข้อมูล โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้ 1) ส่วนของเนื้อหา โดยศึกษาและรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับ เรื่อง นาฏยศัพท์ผู้วิจัยได้ค้นคว้าหา ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหา เรื่อง ความหมายของนาฏยศัพท์ ประเภทภาษาของนาฏยศัพท์การแสดงบทบาท สมมติโดยใช้ท่านาฏยศัพท์ 2) ส่วนของการพัฒนาวีดิโอเพื่อการเรียนรู้โดยศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ การพัฒนา วีดิโอ จากหนังสือ อินเทอร์เน็ต ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาวีดิโอ และผู้เชี่ยวชาญด้าน เทคโนโลยีการศึกษา 3) ส่วนของการประเมินทักษะปฏิบัติของนักเรียน โดยศึกษาและรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับการ ประเมินทักษะท่านาฏยศัพท์และการสร้างแบบวัดทักษะปฏิบัติในการเรียนการสอน เรื่อง ทักษะปฏิบัติท่า นาฏยศัพท์ 1.2 ขั้นตอนที่ 2 ในการพัฒนาสื่อวีดิโอการเรียนการสอนรายวิชาดนตรี- นาฏศิลป์สําหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจะมุ่งเน้นเพื่อทําการศึกษาทักษะ ปฏิบัติ ของผู้เรียนที่ได้จากการ เรียนรู้จากวีดิโอ ซึ่งมีเปูาหมาย คือ ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ และ ทักษะ ปฏิบัติท่านาฏยศัพท์ผู้วิจัยจึง นําข้อมูลที่ได้ศึกษามากําหนดแนวทางในการสร้างวีดิโอเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 31


1) ขั้นตอนการวางแผน (Planning) ผู้วิจัยกําหนดประเภทของวิดีโอ เป็น วีดิโอการสอน มีรูปแบบเป็น รายการสาธิต ระยะเวลา 15 นาทีประกอบด้วย เนื้อหา เรื่อง ความหมาย ของนาฏยศัพท์การใช้นาฏศัพท์5 ท่า 2) ขั้นเตรียมการ (Preparation) กําหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถทางด้าน นาฏศิลป์เป็น ผู้บรรยายเนื้อหา และครูผู้สอนเป็นผู้ควบคุมเนื้อหาในการถ่ายทําและตัดต่อทั้งหมด เนื่องจากเป็นความรู้ เฉพาะทางจึงต้องอาศัยความชํานาญเป็นอย่างมากในการถ่ายทํา 3) ขั้นดําเนินการผลิต (Production) ผู้วิจัยได้ให้นักเรียนที่มีความสามารถ ทางด้านนาฎศิลป์ซ้อม บทบรรยายพร้อมการสาธิตก่อนการถ่ายทําจริง เพื่อดูความเหมาะสมในการใช้ ภาษา ความเร็วใน การ บรรยาย มุมมองในการถ่ายทําความต่อเนื่องในการดาเนินเรื่อง ความชัดเจน ของเสียง แล้วจึง ดําเนินการ ถ่ายทําวิดีโอจริง ในรูปแบบดิจิตอลไฟล์ลงบนเมมโมรี่การ์ด 4) ขั้นตัดต่อ (Post Production) ผู้วิจัยนําวีดิโอในรูปแบบดิจิตอลไฟล์ที่ได้บันทึกมาตัดต่อ ให้เป็น วีดิโอโดยการเรียนการสอน รายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์เรื่อง นาฏยศัพท์ให้เป็น วิดีโอที่สมบูรณ์ขึ้น โดยใช้ โปรแกรม Adobe Premirer Pro CS6 ในการตัดต่อทั้งภาพและเสียง 5) ขั้นประเมินผลรายการ (Evaluation Production) วีดิโอโดยการเรียนรู้การ เรียนการสอน รายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์เรื่อง นาฏยศัพท์ที่ดําเนินการตัดต่ออย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้วิจัย ได้ประเมินคุณภาพ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จํานวน 3 ท่าน ผู้เชี่ยวชาญ ด้านเทคโนโลยีการศึกษา จํานวน 3 ท่าน 1.3 ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้วีดิโอการเรียนการสอน รายวิชาดนตรี-นาฎศิลป์เรื่อง นาฏยศัพท์ในการวิจัย ครั้งนี้ผู้วิจัยได้นําวีดิโอการเรียนการสอน รายวิชาดนตรี-นาฎศิลป์เรื่อง นาฏยศัพท์มาทดลองเพื่อ เปรียบเทียบทักษะปฏิบัติและหาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งมีรูปแบบการ สอนและรายละเอียด ดังนี้ 1) ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาเรื่อง เรื่อง ความหมายของนาฏยศัพท์การใช้นาฏยศัพท์แล้วให้กลุ่ม ตัวอย่างทําการทดสอบทักษะปฏิบัติที่ได้จากการเรียนในภาคทฤษฎีเพื่อประเมิน ความรู้ของ กลุ่มตัวอย่าง ก่อนการใช้สื่อวีดิโอ 2) ผู้สอนมอบหมายให้กลุ่มตัวอย่างเรียนรู้จากสื่อวีดิโอการเรียนการสอน รายวิชาดนตรี-นาภูศิลป์ เรื่อง นาฏยศัพท์ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น โดยมีผู้สอนเป็นผู้คอยชี้แนะในระหว่าง การเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่าง 3) หลังจากเรียนจากสื่อวีดิโอเรียบร้อยแล้ว ให้กลุ่มตัวอย่างซักถาม และ พูดคุยข้อคําถาม ระหว่าง เพื่อนและผู้สอน เพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดในเรื่อง นาฏยศัพท์ 4) ให้กลุ่มตัวอย่างนําเสนอความรู้ที่ได้จากการเรียนทั้งในภาคทฤษฎีและการ เรียนจากสื่อ วีดิโอการ เรียนการสอน รายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์เรื่อง นาฏยศัพท์โดยการใช้ทักษะที่ได้ 32


พัฒนาขึ้นในการทดสอบทักษะปฏิบัติที่ได้หลังจากการเรียนจากสื่อวีดิโอเพื่อการเรียนรู้อีกครั้ง เพื่อ ประเมิน ความรู้ของกลุ่มตัวอย่างหลังการใช้สื่อวีดิโอ 1.4 ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผลการพัฒนาสื่อวีดิโอการเรียนการสอน รายวิชา ดนตรี- นาฎศิลป์เรื่อง นาฏย ศัพท์ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ประเมินผลการพัฒนาสื่อวิดีโอ ใน 3 ด้าน คุณภาพของสื่อวีดิโอ ประเมินโดย ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จํานวน 3 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญ ด้าน เทคโนโลยีการศึกษา จํานวน 3 ท่าน โดยใช้ แบบประเมินคุณภาพด้านเนื้อหา และแบบประเมิน คุณภาพด้านเทคโนโลยีการศึกษา และใช้เกณฑ์แบบ 4 ระดับ จํานวน 10 ข้อ 2. สื่อลูกเต๋า เรื่อง ท่านาฏยศัพท์ผู้วิจัยดําเนินการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 2.1 ศึกษา เกี่ยวกับสื่อลูกเต๋า หลักการ แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการออกแบบลูกเต๋า 2.2 สร้างและพัฒนาสื่อลูกเต๋า เรื่อง นาฏยศัพท์ตามแนวคิดการสร้างสื่อลูกเต๋า โดย อาศัยรูปแบบ และแนวคิดของ Paras and Bizzocchi 2005 2.3 สร้างสื่อลูกเต๋า เรื่องท่านาฏยศัพท์ซึ่งผู้วิจัยได้ออกแบบการสร้างสอดคล้องกับ เนื้อหา มาตรฐานและตัวชี้วัด ดังนี้ 1) นํากระดาษการ์ดมาจํานวน 8 แผ่น แล้วปริ้นแบบบล็อกลูกเต๋าออกมาจากนั้นให้ตัดตามรอยเส้นออกมา 2) ปริ้นรูปภาพภาษาท่าและนาฏยศัพท์แล้วตัดออกมาทีละภาพ ทากาวติดลง บนแบบบล็อกลูกเต๋า 3) ประกอบแบบรูปให้เป็นรูปทรงลูกเต๋าทากาวติดให้เรียบร้อย 4) ดาษการ์ดมาจํานวน 4 แผ่น แล้วปริ้นแบบบล็อกลูกเต๋าออกมาจากนั้นให้ตัดตามรอยเส้นออกมา 5) ปริ้นภาพภาษาท่าและนาฏยศัพท์ออกมาแล้วตัดออกมาทีละภาพทากาวติดลงบนแบบบล็อกลูกเต๋า 6) ประกอบแบบรูปให้เป็นรูปทรงลูกเต๋าทากาวติดให้เรียบร้อย 7) นําสติ๊กเกอร์ใสมาปิดทับเพื่อความสวยงามอีกครั้ง 2.4 กําหนดเปูาหมาย การปฏิสัมพันธ์การทบทวนในการจัดทําสื่อลูกเต๋า พัฒนาทุก ขั้นตอน โดยมี รายละเอียดดังนี้ 1. กําหนดบทบาทครูนักเรียน ในการเรียน และร่วมทํากิจกรรมตามการเล่นสื่อลูกเต๋า 2. กําหนดคู่มือ ชี้แจง การใช้งานสื่อลูกเต๋า และวิธีการเล่นสื่อลูกเต๋า 2.5 การประเมินผลการพัฒนาสื่อลูกเต๋าการเรียนการสอน รายวิชาดนตรี- นาฎศิลป์เรื่อง นาฏย ศัพท์ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ประเมินผลการพัฒนาสื่อลูกเต๋า ใน 3 ด้าน 33


คุณภาพของสื่อลูกเต๋า ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จํานวน 3 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสร้างสื่อ ลูกเต๋า อีกจํานวน 3 ท่าน 3. แบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ เรื่อง ท่า นาฏยศัพท์ผู้วิจัย ดําเนินการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ แบบทดสอบความรู้ด้านเนื้อหา รายวิชานาฎศิลป์เรื่อง นาฏยศัพท์ซึ่งผู้วิจัยได้เลือกใช้เป็น แบบทดสอบปรนัยชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ สําหรับใช้เป็นแบบทดสอบ ก่อนเรียนและหลัง เรียน โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาตรฐาน 3. ศึกษาขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบ 4. สร้างแบบทดสอบความรู้ด้านเนื้อหา รายวิชานาฎศิลป์เรื่อง นาฏยศัพท์มาตรฐาน ซึ่งผู้วิจัยได้ เลือกใช้เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ เพื่อ เลือกข้อที่สอดคล้องกับ เนื้อหา มาตรฐานและตัวชี้วัด ไว้ใช้จริงจํานวน 15 ข้อ 5. การประเมินผลการพัฒนาแบบทดสอบแบบปรนัย การเรียนการสอน รายวิชา ดนตรี- นาฎศิลป์ เรื่อง นาฏยศัพท์ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ประเมินผลการพัฒนาแบบทดสอบแบบ ปรนัย ใน 3 ด้าน คุณภาพ ของแบบทดสอบแบบปรนัย ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จํานวน 3 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญด้านการ สร้างแบบทดสอบแบบปรนัย อีกจํานวน 3 ท่าน 4. แบบสอบถามความพึงพอใจ ในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อ วิดีโอและลูกเต่า เรื่อง ท่านาฏยศัพท์ผู้วิจัยดําเนินการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้แบบสํารวจความพึง พอใจของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนจากการสอนการ สอนด้วยสื่อวีดีโอ เรื่องนาฏยศัพท์ มีขั้นตอนการดําเนินการ ดังต่อไปนี้ระดับคะแนน 4 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดับความพีง พอใจมาก ระดับคะแนน 2 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย ระดับคะแนน 1 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ น้อยที่สุด แบบประเมินลูกเต๋า รายวิชาดนตรี-นาฎศิลป์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีขั้นตอน ดําเนินงาน ดังนี้ระดับคะแนน 4 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมาก ระดับคะแนน 2 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย ระดับคะแนน 1 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด 34


แบบประเมินแบบทดสอบ รายวิชาดนตรี-นาฎศิลป์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีขั้นตอน ดําเนินงานดังนี้ ระดับคะแนน 4 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมาก ระดับคะแนน 2 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย ระดับคะแนน 1 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด การประเมินผลการการสร้างแบบสอบความพึงพอใจของการเรียนการสอน รายวิชาดนตรี- นาฎศิลป์ เรื่อง นาฏยศัพท์ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ประเมินผลการพัฒนาการสร้างแบบถามความพึงพอใจ ใน 3 ด้าน คุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจ ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จํานวน 3 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสร้างแบบถามความพึงพอใจ อีกจํานวน 3 ท่าน การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยดําเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 1. เตรียมรายชื่อกลุ่มตัวอย่าง โดยการจัดทําบัญชีรายชื่อนักเรียน จัดเตรียมสถานที่ใน การทดลอง และเครื่องมือในการทดลอง รวมทั้งทําการชี้แจงการดําเนินการทดลองให้นักเรียน 2. ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทดสอบก่อนเรียนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นและสร้างขึ้น 3. ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทดลองใช้สื่อวิดีโอ และสื่อลูกเต๋า เรื่อง นาฏยศัพท์สําหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยระหว่างนั้นจะทําการเก็บคะแนนระหว่างเรียน 4. ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทดสอบหลังเรียนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นและสร้างขึ้นโดยเป็น แบบทดสอบรูปแบบเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน 5. ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีผลต่อการจัดการเรียนรู้ โดย ใช้สื่อการสอนด้วยรูปแบบสื่อวิดีโอและลูกเต๋า การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้มีรายละเอียด ดังนี้ 1. นําคะแนนระหว่างเรียน และคะแนนหลังเรียน มาวิเคราะห์เพื่อหาประสิทธิภาพของ สื่อวิดีโอและสื่อ ลูกเต๋า เรื่องนาฏยศัพท์สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้มาตรฐาน E1 / E2 ตามเกณฑ์80 / 80 2. นคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียน มาวิเคราะห์เพื่อเปรียบทักษะปฏิบัติท่า นาฏยศัพท์ทางการเรียน วิชานาฏศิลป์โดยใช้t – test แบบ Dependent Samples t – test 35


3. นําผลการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจ มาวิเคราะห์เพื่อหาความพึงพอใจของ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนด้วยรูปแบบสื่อวิดีโอและ ลูกเต๋า โดยการใช้ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบเครื่องมือ 1.1 หาค่าความตรงรายข้อของแบบทดสอบและแบบสอบถามโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ เรียกว่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC : Index of Item Objective Congruence) เป็นความสอดคล้อง ระหว่างข้อคําถามกับจุดประสงค์ โดยอาศัยความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก มีสูตรในการคํานวณ ดังนี้( นฤมล แสงพรหม. 2563 : 153) IOC R N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคําถามกับจุดประสงค์ แทน ผลรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทุกคน N แทน จํานวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 1.2 วิเคราะห์หาค่าความยาก (P) และค่าอํานาจจําแนก (r) ของแบบทดสอบ แบบปรนัยเป็นรายข้อ มีสูตร ในการคํานวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 154-156) P P P r P P H L H L 2n n เมื่อ P แทน ค่าความยาก r แทน ดัชนีอํานาจจําแนก PH แทน จํานวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มสูง PL แทน จํานวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มต่ํา n แทน จํานวนนักเรียนที่ตอบทั้งหมดของกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ํา 36


1.3 การหาค่าอํานาจจําแนกรายข้อของแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ด้วยวิธีการหาค่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item Total Correlation) โดยคะแนนรวมนั้น ได้หักคะแนนของข้อนั้น ๆ ออกแล้ว มีสูตรในการคํานวณ ดังนี้(ทรงศักดิ์ภูสีอ่อน. 2556 : 71) rXi (Y-Xi ) = เมื่อ rXi (Y-Xi ) แทน ค่าอํานาจจําแนกของข้อคําถามข้อที่ i Xi แทน ชุดของ คะแนนจากคําถามข้อที่ i Y แทน ชุดของคะแนนรวมจากข้อคําถามทุกข้อ N แทน จํานวนผู้ตอบแบบสอบถามที่นํามาวิเคราะห์ 1.4 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบแบบปรนัยทั้งฉบับโดยใช้สูตร KR-20 โดยวิธีการของคูเดอร์-ริชาร์ด สัน (Kuder-Richardson Method) มีสูตรในการคํานวณ ดังนี้ (ทรงศักดิ์ภูสีอ่อน. 2556 : 88 - 89) r k pq tt = k -1 - 1 S 2 เมื่อ rtt แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ p แทน ค่าความยากของข้อสอบแต่ละข้อ q แทน สัดส่วนค่าความยากแต่ละข้อ (q = 1 - p) S2 แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนนรวม k แทน จํานวนข้อสอบในแบบทดสอบ N(Y - X ) (Y - X ) 37


1.6 การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยวิธีการใช้สูตร สัมประสิทธิ์แอลฟ -Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) มีสูตรในการ คํานวณ ดังนี้(ทรงศักดิ์ภูสี อ่อน. 2556 : 90) α = k 1 - S 2 i k-1 2 เมื่อ α แทน ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ S 2 2t แทน ผลรวมของความแปรปรวนรายข้อแทน ความแปรปรวน ของคะแนนรวม k แทน จํานวนข้อ 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในกํารวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 ร้อยละ มีสูตรในการคํานวณ ดังนี้(นฤมล แสงพรหม. 2563 : 211) p f N x 100 เมื่อ p แทน ร้อยละ f แทน ความถี่หรือจํานวนข้อมูลที่ต้องการหาร้อยละ n แทน จํานวนข้อมูลทั้งหมด 2.2 ค่าเฉลี่ย ( X ) มีสูตรในการคํานวณ ดังนี้(นฤมล แสงพรหม. 2563 : 213) 38


X = X n เมื่อ X แทน ค ่าเฉล ี่ยของกล ุ่มต ัวอย่าง X แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน n แทน จํานวนกล ุ่มต ัวอย่าง 39


2.3 ส ่วนเบ ี่ยงเบนมาตรฐาน (S) ม ีส ูตรในการคํานวณ ด ังน ี้ ( นฤมล แสงพรหม.2563 : 225) S = 3. สถ ิต ิที่ใช้ ในการว ิเคราะห์หาประสิทธิภาพ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หา ประสิทธิภาพของสื่อวิดีโอและสื่อ ลูกเต๋า ตามเกณฑ์ 80/80 วิเคราะห์โดยใช ้ส ูตร E1/E2 ด ังน ี้( ช ัยยงค ์ พรหมวงศ ์. 2556 : 10) X E = N A F E = N B × 100 × 100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประส ิทธิภาพของผลล ัพธ์ X แทน คะแนนรวมของแบบฝ ึกหัดปฏ ิบัต ิกิจกรรมหรืองานท ี่ทําระหว่างเรียน F แทน คะแนนรวมของผลล ัพธ ์ของการประเมินหล ังเรียน A แทน คะแนนเต ็มของแบบฝ ึกปฏิบ ัต ิท ุกช ิ้นรวมก ัน B แทน คะแนนเต ็มของการประเมินส ุดท ้าย (การสอบหล ังเรียน) N แทน จํานวนผ ู้เรียน เมื่อ S X แท น แท น ส ่วนเบ ี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลแต ่ละค ่าของกล ุ่มต ัวอย่าง X แทน ค ่าเฉล ี่ยของกล ุ่มต ัวอย่าง N แทน จํานวนกล ุ่มต ัวอย่าง n(n -1) 40


D nD 2 - (D)2 4. สถ ิต ิที่ใช้ในการว ิเคราะห ์คะแนนพ ัฒนาการ สถ ิต ิท ี่ใช ้ในการว ิเคราะห ์คะแนนพ ัฒนาการ ม ีส ูตรในการคํานวณ ด ังน ี้( ศ ิร ิช ัย กาญจนวาสี. 2552 : 266-267) DS = Y - X x 100 F – X เมื่อ DS แทน คะแนนร้อยละของพัฒนาการของนักเรียน F แทน คะแนนเต ็มของการว ัดท ั้งคร ั้งแรกและคร ั้งหล ัง X แทน คะแนนการวัดครั้งแรก Y แทน คะแนนการว ัดคร ั้งหล ัง 5. สถิต ิที่ใช้ในการการทดสอบสมมต ิฐาน เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pre-test) กับหลังเรียน (Post-test) ของกลุ่มตัวอย่าง โดย ใช้ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) มีส ูตรในการคํานวณ ด ังน ี้(นฤมล แสงพรหม. 2563 : 244) t = , df = n - 1 เมื่ อ T แทน ค ่าสถิต ิท ี่จะใช ้เปร ียบเท ียบกับค ่าวิกฤตเพื่อทราบ ความมีน ัยสําค ัญ D แทน ผลต่างระหว่างคู่คะแนน N แทน จํานวนกล ุ่มต ัวอย่างหรือจํานวนค ู่คะแนน 41


เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post-test) ของกล ุ่มต ัวอย ่างก ับเกณฑ ์ท ี่กําหนด โดยใช ้ttest แบบกล ุ่มเด ียวเปร ียบเท ียบก ับเกณฑ ์(One Samples t-test) มีส ูตรในการคํานวณ ด ังน ี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 237-238) t = X - μ , df = n - 1 n เมื่อ t แทน ค ่าสถิต ิท ี่จะใช ้เปร ียบเท ียบกับค ่าวิกฤต เพื่อทราบ ความมีน ัยสําค ัญ X แทน ค ่าเฉล ี่ยของกล ุ่มต ัวอย่าง μ แทน ค ่าเฉล ี่ยของประชากรหรือค ่าคงท ี่ท ี่คาดหวัง S แทน ส ่วนเบ ี่ยงเบนมาตรฐานของก 42


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดําเนินการวิเคราะห์ข้อมูลและเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลําดับ ดังต่อไปนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลําดับขั้นในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ̅ แทน ค่าเฉลี่ย n แทน จํานวนนักเรียน S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ df แทน ค่าองศาอิสระ (Degree of Freedom) t แทน ค่าสถิติทดสอบที่ใช้เปรียบเทียบค่าวิกฤต เพื่อทราบความมีนัยสําคัญ ล าดับขั้นในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดําเนินการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลําดับ ดังต่อไปนี้ 1. ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของสื่อวิดีโอและลูกเต๋า เรื่องนาฏยศัพท์ สําหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2. ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางเรียนเรื่อง ท่านาฏยศัพท์ วิชา นาฏศิลป์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สื่อการสอนด้วยรูปแบบสื่อวิดีโอและลูกเต๋า สําหรับ 44


นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีผลต่อการจัดการ เรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนด้วยรูปแบบสื่อวิดีโอและลูกเต๋า ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของสื่อวิดีโอและลูกเต๋า เรื่องนาฏยศัพท์ สําหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยได้วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของสื่อวิดีโอและลูกเต๋า เรื่องนาฏยศัพท์ สําหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษา 4 โดยนําคะแนนระหว่างเรียน และคะแนนหลังเรียนมาวิเคราะห์ ปรากฏผลดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ประสิทธิภาพของสื่อวิดีโอและลูกเต๋า เรื่องนาฏยศัพท์ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 คะแนน คะแนนเต็ม S.D. ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย -ระหว่างเรียน (E1) 30 24.50 4.06 81.67 -หลังเรียน (E2) 30 28.58 1.33 95.10 จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนมีค่าเท่ากับ 24.50 คิดเป็นร้อยละ 81.67 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 28.53 คิดเป็นร้อยละ 95.10 ซึ่งแสดงว่าสื่อวิดีโอ และลูกเต๋า เรื่องนาฏยศัพท์ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.67/95.10 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กําหนดไว้ 2. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ท่านาฏยศัพท์ วิชา นาฏศิลป์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สื่อการสอนด้วยรูปแบบสื่อวิดีโอและลูกเต๋า สําหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 45


Click to View FlipBook Version