The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วินัยทางการเงิน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สํานักงาน ก.ค.ศ., 2023-10-11 00:30:05

วินัยทางการเงิน

วินัยทางการเงิน

รายงานผล โครงการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงิน และรณรงค์ การดำ เนินชีวิตตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ภารกิจกองทุนและสวัสดิการทางการศึกษา สำ นักงาน ก.ค.ศ. สำ นักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ


การเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงิน และรณรงค์การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงาน ก.ค.ศ. ในฐานะองค์กรกลางในการบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา มีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของข้าราชการครูและบุคลการทางการศึกษา โดยการพัฒนา เสริมสร้างสวัสดิการและแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ได้ดำเนินการโครงการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนการใช้เงิน การบริหารหนี้สิน การจัดทำบัญชีรายรับ -รายจ่าย การลงทุน และการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผู้เข้าร่วมประชุมเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด โดยได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง รวม 3 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมประชุม รวมจำนวน 280 คน ครั้งที่ 1เมื่อวันที่6 –7 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรมอัลวาเรซ บุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 18 - 19 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมสยามแกรนด์อุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 9 - 10 สิงหาคม 2566 ณ โรงแรมเชียงใหม่ฮอลิเดย์ การ์เดน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และได้ดำเนินการทดสอบ พบว่า ผู้เข้าร่วมการประชุมมีคะแนนหลังการอบรมคิดเป็นร้อยละ 80 ขึ้นไป จำนวน 280 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ของผู้เข้ารับการประชุม และผู้เข้าร่วมการประชุมได้มีการจัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่ายประจำเดือน จำนวน 30 คน ซึ่งเกินเป้าหมายของโครงการที่กำหนดร้อยละ 10 รวมทั้งได้มีความเห็นสรุปได้ว่า ผู้เข้าร่วมการประชุมมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การแก้ไขปัญหาหนี้สินและการจัดทำบัญชีรายรับ -รายจ่าย ทำให้เกิดความตระหนักรู้และเข้าใจเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต ยึดหลักทางสายกลาง มีความสมดุล มีความสุขอย่างแท้จริงและยั่งยืน นอกจากนี้ได้สำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมการประชุม รวม 3 ครั้ง โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจ จำนวน 280 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ผลสำรวจ พบว่า ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการมีวินัยทางการเงิน หัวข้อการบริหารหนี้สิน และหัวข้อการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีความน่าสนใจ มีประโยชน์ และสามารถนำไปบริหารการเงินของตนเอง การปฏิบัติหน้าที่และดำเนินชีวิตได้ มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 สำนักงาน ก.ค.ศ. ยังคงดำเนินโครงการนี้ต่อไป เพื่อยกระดับ คุณภาพชีวิตของข้าราชการครูและบุคลการทางการศึกษาที่กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ซึ่งจะส่งผลให้มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน อันจะทำให้คุณภาพการเรียน การสอนดีขึ้น ผู้เรียนเรียนดี มีความสุข ภารกิจกองทุนและสวัสดิการทางการศึกษา สำนักงาน ก.ค.ศ. โทร 02 280 7971-4


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ หน้า 1 คำนำ รัฐบาลมีนโยบายที่จะให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู จึงมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงาน ก.ค.ศ. ดำเนินการเกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและบรรเทาภาระหนี้สิน ข้าราชการครูและส่งเสริมให้ข้าราชการครูมีวินัยทางการเงิน มีความพอเพียง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยการให้ข้าราชการครูกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำไปชำระหนี้ที่มีอยู่เดิม และได้จัดสวัสดิการ ให้ผู้กู้ยืมได้เข้ารับการอบรมความรู้เกี่ยวกับการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและการดำเนินชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กอปรกับกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้กำหนด ตัวชี้วัดด้านที่ 2 การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตัวชี้วัดที่ 2.2 ร้อยละความสำเร็จของ โครงการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามแผนปฏิบัติการเงินทุนหมุนเวียน ดังนั้น สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้กำหนดโครงการเสริมสร้างการมีวินัย ทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้จัดประชุม เชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการมีวินัยทางการเงินและการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ที่เคยกู้ยืมเงินทุนหมุนเวียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด จำนวน 3 ครั้ง รวมผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 280 คน คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานผลโครงการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ เล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่สำนักงาน ก.ค.ศ. และผู้สนใจ รวมทั้งนำไปรายงานให้กระทรวงการคลัง ทราบถึงผลสัมฤทธิ์ของการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงต่อไป ภารกิจกองทุนและสวัสดิการทางการศึกษา สำนักงาน ก.ค.ศ. กันยายน 2566


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ หน้า 2 สารบัญ หน้า ส่วนที่ 1 รายละเอียดโครงการ 1 หลักการและเหตุผล 1 วัตถุประสงค์ 1 เป้าหมาย 1 กลุ่มเป้าหมายโครงการ 2 ตัวชี้วัด 2 ความเสี่ยงโครงการ 2 การบริหารความเสี่ยง 3 กิจกรรม/หัวข้อการบรรยาย/วิทยากร 3 ระยะเวลาการดำเนินการ 4 งบประมาณ 4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 5 ส่วนที่ 2 ผลการดำเนินงานโครงการ 6 สรุปการบรรยายและอภิปรายการจัดประชุมครั้งที่ 1 6 สรุปการบรรยายและอภิปรายการจัดประชุมครั้งที่ 2 21 สรุปการบรรยายและอภิปรายการจัดประชุมครั้งที่ 3 34 ส่วนที่ 3 สรุปผลการทดสอบความรู้และแบบสอบถามความคิดเห็น 57 วิธีการดำเนินการ 57 การวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการประชุมครั้งที่ 1 58 การวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการประชุมครั้งที่ 2 66 การวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการประชุมครั้งที่ 3 74 ส่วนที่ 4 สรุปผลโครงการ 82 ผลสัมฤทธิ์ 82 ผลความพึงพอใจ 83 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมที่ได้จัดทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย 85 ข ผลคะแนนทดสอบ Pretest และ Posttest 88 แบบทดสอบ /แบบสอบถามความคิดเห็น ค รายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมที่ได้รับเกียรติบัตร 121


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ หน้า 3 สารบัญ (ต่อ) หน้า ภาคผนวก ง บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนฯ 134 หนังสือขออนุมัติโครงการ/หนังสือเชิญผู้เข้าร่วมประชุม จ เอกสารประกอบการประชุม 356 ฉ ภาพบรรยากาศและภาพประกอบกิจกรรม 426


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 1 ส่วนที่ 1 รายละเอียดโครงการ 1. หลักการและเหตุผล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 257 วางหลักว่า การปฏิรูปประเทศ ต้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายเพื่อประเทศชาติ มีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุ กับการพัฒนาด้านจิตใจ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพ ทรัพยากรมนุษย์มีเป้าหมายให้คนไทยมีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดี และมีความภูมิใจในความเป็นไทย และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิต กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศนโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2565 และ 2566 กำหนดให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากร ทางการศึกษา ทั้งระบบ ควบคู่กับการให้ความรู้ด้านการวางแผนและการสร้างวินัยด้านการเงิน และการออม ซึ่งสอดคล้องกับสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือและแก้ปัญหาหนี้สินข้าราชการครูด้วยการให้จัดตั้ง เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ตามพระราชบัญญัติระเบียบงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2540 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยผ่อนคลายภาระหนี้สินให้แก่ ข้าราชการครูด้วยการให้กู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปใช้หนี้ที่มีอยู่เดิม ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาหนี้สินและการพัฒนาอย่างยั่งยืน จึงกำหนดโครงการ เสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้กับผู้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนฯ เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนฯ มีวินัยทางการเงิน และการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. วัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการมีวินัยทางการเงิน ได้แก่ ความรู้ทางการเงิน ทัศนคติ ทางการเงิน พฤติกรรมทางการเงิน และการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สิน ข้าราชการครู ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 -2565 3. เป้าหมาย 3.1 เป้าหมายเชิงผลผลิต (Output) ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการมีวินัยทางการเงิน ได้แก่ ความรู้ทางการเงิน ทัศนคติทางการเงิน พฤติกรรมทางการเงิน และการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 2 3.2 เป้าหมายเชิงผลลัพธ์ (Outcome) ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการมีวินัยทางการเงิน ได้แก่ ความรู้ทางการเงิน ทัศนคติทางการเงิน พฤติกรรมทางการเงิน และการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และถ่ายทอดให้กับนักเรียนและชุมชนได้ 4. กลุ่มเป้าหมายโครงการ ประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ที่กู้ยืม เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2565 รวมจำนวนทั้งสิ้น 280 คน ดังนี้ - ครั้งที่ 1 จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร นครราชสีมา บุรีรัมย์ มุกดาหาร และร้อยเอ็ด รวม 23 เขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 97 คน -ครั้งที่ 2 จำนวน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ บึงกาฬ เลย หนองคาย มหาสารคาม สกลนคร นครพนม หนองบัวลำภู และอุดรธานี รวม 28เขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 97คน - ครั้งที่ 3 จำนวน 12 จังหวัดกำแพงเพชร เชียงใหม่ เชียงราย นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน สุโขทัย อุตรดิตถ์ พะเยา และพิษณุโลก รวม 30เขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 86 คน 5. ตัวชี้วัด 5.1 ตัวชี้วัดเชิงปริมาณ 1) ประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จำนวน 3ครั้งๆ ละ 100คน รวม 300คน 2) ผู้เข้ารับการอบรมมีวินัยทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง มีคะแนนหลังการอบรม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 5.2 ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้เข้าร่วมการประชุมมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ การมีวินัยทางการเงินและการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีผลการทดสอบ Posttest ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 (ตามบันทึกข้อตกลงที่กรมบัญชีกลางกำหนด) 6. ความเสี่ยงของโครงการ ด้านการดำเนินการ การดำเนินการตามตัวชี้วัดอาจไม่บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ เนื่องจากผู้เข้าอบรม อาจไม่ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ รวมทั้งขาดความตั้งใจในการเข้ารับการอบรม


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 3 7. การบริหารความเสี่ยง ด้านการดำเนินการ 1) กำหนดระยะเวลาการจัดประชุมให้มีความเหมาะสม และแจ้งให้หน่วยงานต้นสังกัดของ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนฯ เข้าร่วมการประชุมล่วงหน้า ในระยะเวลา หลายวัน 2)จัดหาวิทยากรที่มีความรู้ ความสามารถ ตลอดจนการพูดหรือการนำเสนอและการใช้เทคนิคต่างๆ ในการถ่ายทอดอันจะทำให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดความรู้ (Knowledge) ความเข้าใจ (Understand) เจตคติ (Attitude) ความสามารถ (Skill) จนสามารถทำให้ผู้เข้ารับการอบรมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ 8. กิจกรรม / หัวข้อการบรรยาย / วิทยากร - ครั้งที่ 1ระหว่างวันที่6 -7 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรมอัลวาเรซ บุรีรัมย์ อำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ 1. พิธีเปิดและบรรยายพิเศษ โดย นายปราโมทย์ แสนกล้า รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. 2. บรรยาย การบริหารหนี้สิน วิเคราะห์บัญชีครัวเรือน และจัดทำบัญชีรายรับ – จ่าย ประจำเดือนรายบุคคล โดย อาจารย์กิตติพัฒน์ แสนทวีสุข ผู้อำนวยการสถานบริการวิชาการตลาดทุน เศรษฐกิจและธุรกิจประยุกต์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 3. บรรยาย การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระครูสุธีคัมภีรญาณ วิ. ผศ.ดร.อาจารย์ประจำหลักสูตร สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น 4. อภิปราย แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและการจัดทำบัญชีรายรับ -รายจ่าย โดย นายปราโมทย์ แสนกล้า รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. และนางทิพพาศรี อินทะกูล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พัฒนาระบบบริหารงานบุคคล 5. ทำแบบทดสอบ Pretest และ Posttest ในหัวข้อการบรรยาย - ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 18 -19 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมสยามแกรนด์อุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 1. พิธีเปิดและบรรยายพิเศษ โดย ดร.ปราโมทย์ แสนกล้า รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. 2. บรรยาย การบริหารหนี้สิน วิเคราะห์บัญชีครัวเรือน และจัดทำบัญชีรายรับ – จ่าย ประจำเดือนรายบุคคล โดย อาจารย์กิตติพัฒน์ แสนทวีสุข ผู้อำนวยการสถานบริการวิชาการตลาดทุน เศรษฐกิจและธุรกิจประยุกต์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 3. บรรยาย การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระครูสุธีคัมภีรญาณ วิ. ผศ.ดร.อาจารย์ประจำหลักสูตร สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 4 4. อภิปราย แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและการจัดทำบัญชีรายรับ -รายจ่าย โดยนางทิพพาศรี อินทะกูล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนางสาวประทวน มูลหล้า ผู้อำนวยการภารกิจกองทุนและสวัสดิการทางการศึกษา 5. ทำแบบทดสอบ Pretest และ Posttest ในหัวข้อการบรรยาย - ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 9 -10 สิงหาคม 2566 ณ โรงแรมเชียงใหม่ฮอลิเดย์ การ์เดน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 1. พิธีเปิดและบรรยายพิเศษ โดย นางทิพพาศรี อินทะกูล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาระบบ บริหารงานบุคคล สำนักงาน ก.ค.ศ. 2. บรรยาย การบริหารหนี้สิน วิเคราะห์บัญชีครัวเรือน และจัดทำบัญชีรายรับ – จ่าย ประจำเดือนรายบุคคล โดย อาจารย์กิตติพัฒน์ แสนทวีสุข ผู้อำนวยการสถานบริการวิชาการตลาดทุน เศรษฐกิจและธุรกิจประยุกต์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 3. แบ่งกลุ่มประชุมกำหนดแนวทางการบริหารหนี้สิน วิเคราะห์บัญชีครัวเรือน และจัดทำบัญชี รายรับ - จ่าย ประจำเดือนรายบุคคล 4. บรรยาย การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดย นางสาวไข่แก้ว ปวงคำคง ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 5. อภิปราย แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและการจัดทำบัญชีรายรับ –รายจ่าย โดย นางทิพพาศรี อินทะกูล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนางสาวประทวน มูลหล้า ผู้อำนวยการภารกิจกองทุนและสวัสดิการทางการศึกษา 6. ทำแบบทดสอบ Pretest และ Posttest ในหัวข้อการบรรยาย 9. ระยะเวลาการดำเนินการ - ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 6 - 7 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรมอัลวาเรซ บุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ -ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 18 - 19 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมสยามแกรนด์อุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี - ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 9 - 10 สิงหาคม 2566 ณ โรงแรมเชียงใหม่ฮอลิเดย์การ์เดน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 10. งบประมาณ ได้รับอนุมัติจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1,896,000 บาท ใช้ไปจำนวน 1,637,470.40 บาท คงเหลือ 258,529.60 บาท คิดเป็นร้อยละ 86.36 ของงบประมาณที่ได้รับ


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 5 11. ผลที่คาดว่าจะได้รับ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวินัยทางการเงิน ได้แก่ ความรู้ทางการเงิน ทัศนคติ ทางการเงิน พฤติกรรมทางการเงิน และการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง สามารถนำความรู้ไปใช้ในการตัดสินใจที่มีประสิทธิผล และเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต ตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อความอยู่ดีมีสุข ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 6 ส่วนที่ 2 ผลการดำเนินงานโครงการ สรุปการบรรยายและอภิปรายการจัดประชุม ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 6 - 7 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรมอัลวาเรซ บุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 1. ข้อคิดการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บรรยายโดย นายปราโมทย์ แสนกล้า รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. ได้กล่าวถึงหลักการนโยบาย และจุดเน้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กระทรวงศึกษาธิการคาดหวังว่าผู้เรียนทุกช่วงวัย จะได้รับการพัฒนาในทุกมิติ เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ และมีความพร้อมร่วมกันขับเคลื่อน การพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง และยั่งยืน ประกอบด้วยกัน 7 ด้าน ได้แก่ 1) การจัดการศึกษา เพื่อความปลอดภัย 2) การยกระดับคุณภาพการศึกษา 3) การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและ ความเท่าเทียมทางการศึกษาทุกช่วงวัย 4) การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขัน 5) การส่งเสริมสนับสนุนวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา 6) การพัฒนาระบบราชการ และการบริการภาครัฐยุคดิจิทัล 7) การขับเคลื่อนกฎหมายการศึกษาและแผนการศึกษาแห่งชาติ และบรรยายให้ข้อคิดว่า การส่งเสริมสนับสนุนในการเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและ บุคลากรทางการศึกษาทั้งระบบ ควบคู่กับการให้ความรู้ด้านการวางแผนและการสร้างวินัยด้านการเงิน และการออม พร้อมทั้งแนะนำหลักการดำเนินชีวิตในทางสายกลาง เส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพครู ความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ ความรู้และคุณธรรม ทั้งนี้ ได้ชี้แจงหน้าที่ของสำนักงาน ก.ค.ศ. ในการช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ข้าราชการครู ซึ่งภารกิจกองทุนและสวัสดิการทางการศึกษาได้ช่วยเหลือข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษาเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู และในครั้งนี้ ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารหนี้สิน และการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมนำความรู้ที่ได้รับเกี่ยวกับการบริหารหนี้สินไปปรับใช้ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน และสามารถนำมาวางแผนในการบริหารจัดการหนี้สินของตนเองได้รวมทั้ง มารับฟังข้อมูลจากผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่านเกี่ยวกับการดำเนินงานและการให้บริการของเงินทุนหมุนเวียน เพื่อจะนำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาเงินทุนหมุนเวียนต่อไป 2. การบริหารจัดการหนี้ บรรยายโดย อาจารย์กิตติพัฒน์ แสนทวีสุข ผู้อำนวยการสถานบริการวิชาการตลาดทุน เศรษฐกิจและธุรกิจประยุกต์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้กล่าวถึง แนวทางการบริหารจัดการการเงิน การบริหารจัดการหนี้สิน ดังนี้ 1. การวางแผนชีวิต และการวางแผนการเงิน 2. บัญชีครัวเรือน การเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง 3. งบประมาณครอบครัวและแผนการใช้เงิน 4. มูลค่าเงินตามเวลาและการประยุกต์ใช้


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 7 1. การวางแผนชีวิต และการวางแผนการเงิน เป้าหมายของชีวิต พิชิตได้ด้วยแผนการเงิน เป้าหมายชีวิตคือสุขกาย สุขใจ สุขเงิน สร้าง Happy Money, Happy Retirement สร้างได้5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) กำหนดเป้าหมาย การกำหนดเป้าหมายที่ดีต้องเป็นไปตามหลัก SMART S=Specific ชัดเจน M=Measurable วัดผลได้ A=Accountable ทำสำเร็จ R=Realistic บรรลุผล T=Time bound มีกำหนดเวลาโดยต้องแยกระหว่างสิ่งที่อยากได้ จำเป็นและต้องมี แล้วเรียงลำดับ ความสำคัญของเป้าหมาย โดยนำสิ่งที่จำเป็นและต้องมีมากำหนดเป้าหมายก่อน 2) สำรวจตนเองเบื้องต้น โดยตรวจสอบสุขภาพทางการเงินด้วยงบการเงินส่วนบุคคล จัดทำงบดุลส่วนบุคคล งบรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (จัดทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย ประจำเดือน) เพื่อควบคุมตัวเอง รายได้หลัก รายได้เสริม เติมให้เต็มตุ่มชีวิต (รายได้) และอุดรูรั่วตุ่ม (ค่าใช้จ่าย) 3) จัดทำแผนการเงิน เมื่อกำหนดเป้าหมายและสำรวจสถานการณ์เงินของตนเอง เรียบร้อยแล้ว ต้องมีการเขียนแผนพร้อมระบุวิธีที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายอย่างชัดเจน 4) ปฏิบัติตามแผนที่วางแผนไว้คือ ตั้งเป้า ตั้งใจ มีวินัย 5) ทบทวนและปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอ 2. บัญชีครัวเรือน การเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง “บัญชีครัวเรือน” เป็นการประยุกต์ทางการบัญชีเพื่อใช้เป็นเครื่องมือประเภทหนึ่ง ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เห็นภาพรวม ทัศนคติ พฤติกรรม และสถาะทางการเงินของตนเอง งบรายได้และค่าใช้จ่าย แสดงให้เห็นพฤติกรรมการใช้จ่าย และการคาดการณ์การใช้จ่ายในอนาคต เงินสด คงเหลือมากมีพฤติกรรมการใช้จ่ายดี สามารถออม/ลงทุนเพิ่มได้ มีรายได้จากหลายช่องทาง ค่าใช้จ่าย น้อยลง ผู้จัดทําบัญชีครัวเรือนสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็นทำให้เกิดการประหยัดและการออม และในที่สุดจะสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้อย่างยั่งยืน 3. งบประมาณครอบครัวและแผนการใช้เงิน ชีวิตคนเรา ในแต่ละช่วงชีวิตล้วนมีโจทย์ที่ต้องเผชิญ มีเรื่องที่ต้องมุ่งเน้นและให้ความสำคัญ ที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเตรียมและวางแผนการเงินที่สอดคล้องกับแต่ละช่วงชีวิตจะเป็นแผนที่นำทาง ที่ช่วยให้สามารถผ่านแต่ละช่วงชีวิตไปได้อย่างมั่นคง 1) วางแผนชีวิต ชีวิตไม่ควรปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรมโดยไม่มีเป้าหมาย ต้องรู้จัก ตัวเองและตั้งเป้าหมายในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและจะจัดสรรการเงินอย่างไร เช่น การมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ควรมีอย่างน้อย ๆ 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนสำหรับพนักงาน ประจำ และ 6 – 12 เดือนสำหรับอาชีพอิสระหรือเจ้าของกิจการ การศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ควรถามตัวเองว่าต้องการศึกษาต่อด้านใด เป็นสถาบันการศึกษาในประเทศหรือต่างประเทศ ใช้งบประมาณ เท่าใด ซึ่งการเลือกว่าจะศึกษาด้านใดก็ควรสอดคล้องกับเป้าหมายการทำงานของตัวเองด้วย การซื้อที่อยู่ อาศัย ต้องเลือกให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของตัวเอง เลือกทำเลที่ตั้ง โดยจะเป็นบ้านเดี่ยวหรือคอนโดมิเนียม และงบประมาณเท่าใด การตั้งเป้าหมายการเงินอื่นๆ เช่น อยากมีเงินออม 1 ล้านบาท ภายใน 10 ปี


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 8 โดยตั้งใจจะลงทุนอย่างสม่ำเสมอในรูปแบบ DCA อย่างน้อยเดือนละ 5,000 บาท และจะลงทุนเพิ่ม เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น 2) วางแผนรายได้ค่าใช้จ่าย จัดทำงบประมาณรายเดือนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี และพยายาม อย่าก่อหนี้ โดยเฉพาะหนี้การบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 3) วางแผนบริหารความเสี่ยง แน่นอนว่าทุกคนคงไม่สามารถมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน สำหรับทุก ๆ ความเสี่ยงได้ ดังนั้น จึงควรจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง ด้วยการเปรียบเทียบระหว่าง ความคุ้มครองที่ต้องการในแต่ละด้าน เช่น ตกงาน ขาดรายได้ อุบัติเหตุ เสียชีวิต ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น กับความคุ้มครองที่มีอยู่แล้ว เช่น เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ประกันชีวิต สินทรัพย์สภาพคล่องอื่น ๆ สวัสดิการจากนายจ้าง และเมื่อคำนวณแล้วหากติดลบ แปลว่า ความคุ้มครองยังไม่เพียงพอ ก็ควร พิจารณาวางแผนการเงินเพิ่มเติม 4) วางแผนเกษียณอายุ เป็นเงินก้อนใหญ่สุดในชีวิตที่ต้องเก็บออม เพราะเมื่อถึงวันเกษียณ รายได้จะลดลงหรือไม่มี จึงควรวางแผนว่าต้องการใช้เงินเท่าใดหลังเกษียณ โดยประเด็นที่สำคัญ คือ ยิ่งวางแผนเร็วเท่าไหร่ยิ่งทำให้มีเวลาลงทุนนานเท่านั้น และสามารถจัดพอร์ตเพื่อคาดหวังผลตอบแทน ให้สูงขึ้นได้อีกด้วย 5) ศึกษาเรื่องภาษี ในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน รายได้อาจยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี แต่ควรศึกษาไว้ อย่างน้อยก็รู้ว่ารายได้ขั้นต่ำเท่าใดจึงจะต้องยื่นภาษี เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องเสียภาษี จะสามารถยื่นภาษีได้ถูกต้อง ไม่ติดขัด 6) วางแผนการศึกษาของลูก เป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถประมาณการได้ จึงควรทำงบประมาณ ว่าควรมีเท่าใด โดยการแบ่งออกเป็นแต่ละช่วงวัย เช่น เรียนระดับอนุบาล ประถมศึกษามัธยมศึกษา และปริญญาตรี นอกจากต้องจัดเตรียมเงินออมแล้ว ควรทำประกันให้เพียงพอกับงบประมาณ เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ยังมีเงินให้ลูกเรียนหนังสือต่อได้ 7) บริหารรายได้ค่าใช้จ่าย ในช่วงวัยนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากพอสมควร และอาจเกิน งบประมาณโดยไม่รู้ตัว จึงควรจัดทำรายการรายได้ค่าใช้จ่าย จัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม และคอยสังเกตการณ์ใช้จ่ายสม่ำเสมอ 8) ปรับเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน เมื่อความรับผิดชอบทางการเงินสูงขึ้น เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ก็ควรปรับเพิ่มให้เหมาะสมตามไปด้วย เช่น ควรมี 12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน 9) ปรับความคุ้มครองชีวิต ควรทบทวนและปรับเพิ่มความคุ้มครองชีวิต ทุพพลภาพ และเผื่อโรคร้ายแรงไว้ให้เหมาะกับความรับผิดชอบทางการเงินด้วย 10) เริ่มศึกษากลยุทธ์การบริหารเงินหลังเกษียณ ควรเริ่มศึกษากลยุทธ์ในการบริหารเงิน ก้อนโตหลังเกษียณ เพื่อให้เหมาะกับการใช้ชีวิตและมีเงินใช้เพียงพอไปตลอดชีพ เช่น หาช่องทางการลงทุน ให้เงินต้นมีความปลอดภัยมากที่สุด


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 9 จะเห็นว่าในแต่ละช่วงชีวิตมีประเด็นทางการเงินที่ต้องวางแผนหรือทบทวนในรายละเอียด ที่แตกต่างกัน อาจมองว่าการวางแผนการเงินตามแต่ละช่วงชีวิตมีหลายประเด็น แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะจัดการ ที่สำคัญหากวางแผนมาดีตั้งแต่เนิ่น ๆ และติดตาม ทบทวนแผนสม่ำเสมอ รับรองมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต 4. มูลค่าเงินตามเวลาและการประยุกต์ใช้ ทางเลือกการลงทุน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1)การลงทุนในทรัพย์สินที่จับต้องได้ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ วัตถุโบราณ เหรียญกษาปณ์ เครื่องประดับ อัญมณี พระเครื่อง เครื่องราง 2)การลงทุนในทรัพย์สินทางการเงิน ได้แก่ เงินฝาก สลากออมทรัพย์ สหกรณ์ออมทรัพย์ ตราสารหนี้ กองทุนรวม LTF/RMF/SSF หุ้น ตราสารหนี้ (พันธบัตร/หุ้นกู้) คือหลักทรัพย์ที่แสดงสิทธิความเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ซื้อจะได้รับ ดอกเบี้ยตามที่กำหนดและมีโอกาสได้กำไรจากการซื้อขายตราสารหนี้ จุดเด่นก็คือ มีสิทธิเรียกร้องเงินทุน คืนก่อนเจ้าของกิจการ ได้รับดอกเบี้ยแน่นอนตรงเวลา ความเสี่ยงต่ำ เงินต้นปลอดภัย กองทุนรวม คือ การที่บริษัทจัดการลงทุนออกหน่วยลงทุนมาเพื่อระดมเงินทุนไป ซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้นสามัญ ตราสารหนี้ และมีมืออาชีพบริหารจัดการและลงทุนตามนโยบาย การลงทุนให้เงินเติบโตขึ้น ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผล (ถ้ามี) และโอกาสได้กำไรจากการซื้อขายกองทุนรวม มีทั้งประเภทกองทุนปิด และกองทุนเปิด หมดหนี้ มีออม รายละเอียด ดังนี้ 1. รู้เท่าทัน “หนี้” และประเภทของหนี้สิน 2. กลไกการกู้เงิน และวิธีทำการตลาดสินเชื่อ 3. ภาระหนี้ และ 4 ขั้นตอนปลดหนี้ 4. วินัยและแผนการชำระหนี้สินครัวเรือน การออมเงิน (Savings) หมายถึง การสะสมเงินรายได้ในส่วนที่จัดสรรจากส่วนต่าง ๆ ไว้ใช้ จ่ายในอนาคตรวมถึงสะสมสิ่งที่มีค่าเป็นตัวเงินและมีประโยชน์ต่อครอบครัว เช่น ทองคำ เพชร เครื่องประดับ ที่ดิน และอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งการเก็บรายได้สุทธิเมื่อหักรายจ่ายแล้วจะมีส่วนที่เหลืออยู่ เรียกว่าเงินออม สาเหตุและเหตุผลที่ทำให้เราเก็บออมเงินก้อนไม่ได้ มีดังนี้ 1. มีรายได้ไม่แน่นอนหรือรายได้น้อย เช่น พนักงานรายวัน ลูกจ้างรับเหมา นักเรียน นักศึกษา ฯ 2. วางแผนการใช้เงินไม่เป็น 3. ใช้เงินเกินจำเป็นหรือใช้เงินฟุ่มเฟือย 4. นำเงินไปลงทุนทำธุรกิจทั้งหมดโดยไม่เก็บเงินบางส่วนเอาไว้สำรองจ่าย 5. ติดหรู ติดแบรนด์เนม ตามกระแส


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 10 6. มีหนี้สินและภาระเยอะ 7. อยู่ในช่วงวัยเรียน วัยศึกษา 8. อยู่ในช่วงวัยเรียน วัยศึกษา 9. ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดยาเสพติด 10. ไม่รู้จักค่าของเงินหรือหาเงินใช้เองไม่เป็นยังอาศัยพ่อแม่อยู่ 11. ตกงาน หรือเลือกงานจนเกินไป 12. ชอบหาข้ออ้างในการออม ปัญหาที่พบส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยหรือมีรายได้ไม่แน่นอน มีหนี้สินและภาระเยอะ รองลงมาคือไม่มีการวางแผนการออมเงินหรือออมแบบไม่ได้คิดว่าเงินที่ออมอาจจะต้องนำมาใช้จ่ายอย่างอื่นด้วย หรือใช้เงินและใช้เงินซื้อของตามกระแส เช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ของแบรนด์เนม เห็นคนอื่นมีก็อยากได้ โดยที่ไม่ได้ดูกำลังทรัพย์ของตัวเอง และสาเหตุที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือ ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดยาเสพติด ติดการพนัน ติดผู้หญิง ติดเที่ยวกลางคืน เป็นต้น 1. รู้เท่าทัน “หนี้” และประเภทของหนี้สิน จริงๆ แล้วการเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายหากคุณเลือกเฉพาะหนี้ดี หนี้ดีคือหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ ลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีไม่กระทบสภาพคล่องใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีกฎหมาย คุ้มครองมีหนี้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ได้แก่ 1) หนี้บัตรเครดิต/หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล/หนี้ผ่อนสินค้า ควรไม่เกินร้อยละ 10 -20 ของรายได้ต่อเดือน 2) หนี้จากการผ่อนบ้านควรไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ต่อเดือน 3) หนี้จากการผ่อนรถ ควรไม่เกินร้อยละ 20 ของรายได้ต่อเดือน โดยหนี้สินรวมทั้งหมด ควรไม่เกินร้อยละ 50 ของรายได้ต่อเดือน เป็นหนี้อย่างถูกวิธี หากคุณไม่อยากให้หนี้สร้างปัญหาให้คุณในอนาคตลองหยุดคิดและใช้ Checklikst ถามตัวเองก่อนก่อหนี้คำถามเพื่อหยุดคิด มีดังนี้ 3.1) เรากำลังเป็นหนี้เพราะความจำเป็น (Need) หรือความต้องการ (Want) 3.2) เราจะมีเงินเพียงพอผ่อนชำระหนี้ไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ 3.3) ยอดเงินผ่อนหนี้จะกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราหรือไม่ 3.4) ดอกเบี้ยต่องวดและดอกเบี้ยทั้งหมดที่ต้องจ่ายคุ้มค่ากับการเป็นหนี้หรือไม่ 3.5) ถ้าไม่เป็นหนี้วันนี้ เดือนนี้เราจะเดือนร้อนหรือไม่ 3.6) มีทางเลือกที่ดีกว่านี้จากเจ้าหนี้รายอื่นหรือหนี้ประเภทอื่นหรือไม่ 3.7) มีทางเลือกอื่นๆ นอกจากการเป็นหนี้ใช่หรือไม่ ผลของคำตอบทำให้เรา สามารถรู้ได้ว่าการก่อหนี้ในครั้งนี้จะสร้างปัญหาให้คุณในอนาคตหรือไม่


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 11 2. กลไกการกู้เงิน และวิธีทำการตลาดสินเชื่อ 1)การรู้ทันดอกเบี้ยเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.1) อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ คือ จะคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นทั้งหมด ไม่ได้คิด ดอกเบี้ยจากยอดเงินที่ลดลงทำให้เสียดอกเบี้ยมากกว่าปกติ (เงินต้นลด ดอกเบี้ยไม่ลด) 1.2) อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก คือ ดอกเบี้ยจะถูกคิดจากเงินต้นคงเหลือ ในแต่ละเดือน (เงินต้นลด ดอกเบี้ยลด) 2) การรู้จักหนี้ที่อาจก่อให้เกิดปัญหา ได้แก่ 2.1) หนี้นอกระบบ ขอกู้ง่าย คิดดอกเบี้ยแบบคงที่ในอัตราที่สูง แต่มีวิธีการทวงหนี้ ค่อนข้างรุนแรง ถ้าผิดนัดชำระหนี้หรือค้างค่างวด 2.2) หนี้บัตรเครดิต ใช้รูดซื้อของแทนเงินสด ระยะปลอดดอกเบี้ย 45 - 50 วัน คิดดอกเบี้ยเป็นรายวันตั้งแต่วันแรกที่ใช้สูงสุดร้อยละ 16 ต่อปี จึงไม่ควรชำระแค่ขั้นต่ำ 2.3) บัตรกดเงินสด สมัครง่าย เหมาะกับคนที่ต้องการเงินสดด่วน และสามารถผ่อน ชำระคืนเร็วเพราะดอกเบี้ยสูงสุดร้อยละ 25 ต่อปี 2.4) หนี้สินเชื่อส่วนบุคค วงเงินสูง ขอกู้ง่าย ระยะเวลาผ่อนชำระยาว แต่คิดดอกเบี้ยสูง เพราะไม่ต้องใช้หลักประกัน จึงมักจะกู้เป็นประจำ และกลายเป็นหนี้หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ 2.5) หนี้สินค้าเงินผ่อน ดอกเบี้ยต่ำหรือร้อยละศูนย์ เพราะจัดโปรโมชั่นกับผู้ขาย แต่ถ้าผิดนัดชำระหรือค้างค่างวดจะถูกคิดดอกเบี้ยรายวันอัตราปกติร้อยละ 25ต่อปี และต้องระวังไม่ก่อหนี้ เงินผ่อนพร้อมกันหลายอย่าง 2.6) หนี้ผ่อนรถ คิดดอกเบี้ยแบบคงที่จากวงเงินกู้ทั้งหมดตั้งแต่แรก แล้วค่อยหาร เป็นงวดที่ต้องผ่อนต่อเดือน จึงควรมีเงินดาวน์เยอะ ๆ 2.7) หนี้ผ่อนบ้าน คิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกแต่เป็นการกู้ระยะยาว 10 - 35 ปี รวมกับอายุผู้กู้แล้วไม่เกิน 60 ปี ซึ่งถ้าเพิ่มเงินผ่อนต่อเดือนจะประหยัดดอกเบี้ยได้มาก วิทยากรได้สอนวิธีการคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยของหนี้แต่ละชนิดที่สถาบันการเงิน ใช้เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการส่งเงินชำระค่างวด เพื่อให้รู้เท่าทันและห่างไกลการเอาเปรียบ จากสถาบันการเงิน เทคนิคการซื้อสินค้าเงินผ่อน เทคนิคการกู้เงินในการผ่อนซื้อบ้าน ซื้อรถ การหารายได้ จากอสังหาริมทรัพย์และมีการฝึกทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และงบดุลส่วนบุคคล พร้อมทั้งแนะนำ วิธีการออมเงิน รวมไปถึงการลงทุนเพื่อต่อยอดเงินอีกด้วย 3. ภาระหนี้ และ 4 ขั้นตอนปลดหนี้อยากปลดหนี้ทำอย่างไร 1) ตั้งสติ สรุปหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ บันทึกภาระหนี้สินลงในตาราง และจัดลำดับความสำคัญ ของหนี้ เพื่อให้รู้ว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ละเดือนต้องจ่ายเท่าไหร่ หนี้ก้อนไหนเสียดอกเบี้ยเยอะที่สุด 2) ชำระคืนหนี้อย่างฉลาด หยุดก่อหนี้ใหม่ หาทางลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ เพื่อให้ มีเงินไปชำระหนี้มากขึ้น ขายสินทรัพย์บางอย่างออกไป เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ เร่งชำระหนี้ที่มีอยู่ให้หมดเร็ว


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 12 ที่สุดมี 2วิธี คือชำระหนี้ที่ดอกเบี้ยแพงสุดก่อน เช่น หนี้นอกระบบ หนี้บัตรเครดิต เพื่อลดภาระที่ต้องจ่าย ในแต่ละเดือนให้น้อยลง ชำระหนี้ที่ยอดหนี้ค้างชำระเหลือน้อยก่อน เพื่อลดจำนวนเจ้าหนี้ให้น้อยลง ช่วยสร้างกำลังใจในการปลดหนี้ รีไฟแนนซ์ คือการกู้เงินก้อนใหม่เพื่อไปใช้คืนเงินกู้ก้อนเก่าโดยได้รับ ข้อเสนอที่ดีกว่า เช่น ดอกเบี้ยถูกกว่า เงินผ่อนต่องวดลดลง หรือระยะเวลาผ่อนนานมากขึ้นเมื่อเทียบ กับสัญญากู้เดิม การโอนหนี้บัตรกดเงิน บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ไปยังสถาบันการเงินแห่งใหม่ที่ ดอกเบี้ยต่ำกว่า ถือเป็นการรีไฟแนนซ์อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการรวมหนี้ให้เป็นก้อนเดียว 3) หาที่ปรึกษา เช่น ครอบครัว เจ้านาย รวมไปถึงนักกฎหมาย นักการเงิน หรือการขอความรู้ จากชมรม องค์กร ที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ลูกหนี้ เพื่อหาทางรับมือและเตรียมแนวทางแก้ไข ได้แก่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โครงการคลินิกแก้หนี้ซึ่งเป็นโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน มาจากการร่วมมือ กันระหว่างบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM หรือ บสส.) และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินทั้งธนาคารพาณิชย์ และ Non-Bank เป็นสมาชิกรวม 34 แห่ง 4) เจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ เพื่อขอลดจำนวนเงินผ่อนต่อเดือน ดอกเบี้ย ค่าปรับค่าธรรมเนียม หรือขอข้อเสนอพิเศษอื่น ๆ รูปแบบการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้หรือ การประนอมหนี้ คือ การเจรจาขอแบ่งจ่ายคืนหนี้เป็นงวด ๆ โดยมีเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ขอขยายเวลา การชำระหนี้ 1 - 2 ปี ขอลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนในแต่ละงวด ขอหยุดดอกเบี้ยและไม่คิดดอกเบี้ย ระหว่างที่ผ่อนชำระ ขอให้คิดดอกเบี้ยในอัตราปกติที่ไม่ผิดนัด ขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับ กรณีผิดนัดชำระ ขอโอนหลักประกันเพื่อชำระหนี้ และการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้เพื่อแฮร์คัต คือ การจ่ายคืนหนี้เป็นเงินก้อนเดียว โดยขอส่วนลดยอดหนี้ร้อยละ 30 - 70 แลกกับการจ่ายคืนหนี้ ส่วนที่เหลือให้ทันที ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ที่มีการค้างชำระมานาน 4. วินัยและแผนการชำระหนี้สินครัวเรือน ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่ถกเถียงกันในสังคมมาอย่างต่อเนื่อง เพราะระดับ หนี้ครัวเรือนของไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีปริมาณหนี้ครัวเรือนในระบบกว่า 15 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดที่ครัวเรือนไทยเคยมีมานับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูล เน้นถึงบริบทความรูความเขาใจ วินัยทางการเงินของตัวบุคคลนั้นขอเสนอแนะและขอคิดเห็นเพิ่มเติมคือการเพิ่มองคความรูเขาไป ในบทเรียน โดยเน้นตั้งแต่เยาวชนเป็นพื้นฐาน และการสร้างนวัตกรรมทางการเงินในรูปแบบของ application เพื่อใหประชาชนไดมีสวนรวม ไดเรียนรูและสนุกไปกับการบริหารจัดการการเงินภายในครัวเรือน เป็นวิธีการซึมซับและเติมองคความรูไดตลอดจนเกิดเปนพฤติกรรมที่มีวินัยทางการเงิน และเกิดความรู ความเขาใจ และสามารถแกไขจนเห็นผล ดังนั้นบทความนี้จึงมุงเนนในการขยายความรูของสภาพการณหนี้ ครัวเรือนไทย ปญหาภาพรวมภาระหนี้ครัวเรือนเปนสำคัญ ตลอดจนปจจัยที่สงผลตอการเปนหนี้ของ ครัวเรือน เพื่อใหเกิดความรูความเขาใจรายไดและรายจายเบื้องตนสามารถนำไปวางแผนการเงินใน อนาคตไดดวย และนำเสนอแนวทางการแกไขปญหาการเปนหนี้เสียเพื่อใหเกิดความเขาใจในองครวม เปนการปองกันและเปนภูมิคุมกันที่ดีตอครัวเรือนกอนที่จะเขาสูวัฏจักรของการเปนหนี้


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 13 ในช่วงท้ายของการประชุมได้ให้ผู้เข้าร่วมการประชุมได้ฝึกปฏิบัติกรณีศึกษาวิเคราะห์บัญชี ครัวเรือน ซึ่งมีรายได้และค่าใช้จ่าย ตามที่กำหนด ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุมสามารถนำหลักการและเทคนิค ในการคำนวณที่ได้อบรมไปแล้วนำมาใช้ได้อย่างครบถ้วน และสามารถจัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย ประจำเดือนได้อย่างถูกต้อง สรุปแค่หมดหนี้คุณก็จะมีเงินออมเพื่อเป้าหมายต่าง ๆ แล้ว นอกจากนี้ยังได้แนะนำให้ รู้จักดำเนินชีวิตโดยยึดทางสายกลาง การพึ่งพาตนเองได้ ไม่โลภ ทำอะไรที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ยึดวัตถุเป็นที่ตั้ง ไม่หลงตามกระแสนิยม มีความขยันอดทน และมีความเพียร รู้จักมีเป้าหมายในชีวิตและพยายามไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ๆอีกทั้งยังได้เสนอเทคนิคการซื้อสินค้าเงินผ่อน เทคนิคการกู้เงินในการผ่อนซื้อบ้าน ซื้อรถ การหารายได้จากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งให้ฝึก จัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย ประจำเดือนรายบุคคล รวมถึงการลงทุนเพื่อต่อยอดเงินในอนาคต 3. การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระครูสุธีคัมภีรญาณ วิ. ผศ.ดร. ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธาตุพระอารามหลวงอาจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ได้กล่าวถึง ปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงว่า ความพอดี หรือ ความพอเพียง ได้แก่ พออยู่ พอมี พอกิน สรุปการดำเนินชีวิตทางสายกลาง แบบพอดีภาษาอังกฤษ Sufficiency Economy ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ โดยยึดแนวทางการพัฒนาที่มีคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา ซึ่งจะเป็นตัวนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้ 1. แนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการเป็นอยู่อย่างพอเพียง และปฏิบัติตนในทางสายกลาง โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต และเป็น การมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ให้คนในสังคม มีความเป็นอยู่ที่ดี รอดพ้นจากภัยและวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา หลักแนวคิดของความพอเพียงตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือเส้นทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 5 ประการ 1. พอดีด้านจิตใจ (ความรู้) 2. พอดีด้านสังคม


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 14 3. พอดีด้านทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. พอดีด้านเทคโนโลยี 5. พอดีด้านเศรษฐกิจ 1. ด้านจิตใจ (ความรู้) ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเอง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตสำนึกที่ดี สร้างสรรค์ให้ตนเองและชาติโดยรวม มีจิตใจเอื้ออาทร ประนีประนอม ซื่อสัตย์สุจริต เห็นประโยชน์ส่วนรวม เป็นที่ตั้ง ดังกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เกี่ยวกับการพัฒนา คนว่า “บุคคลต้องมีรากฐานทางจิตใจที่ดี คือความหนักแน่นมั่นคงในสุจริตธรรม และความมุ่งมั่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้จนสำเร็จและต้องมีกุศโลบายหรือวิธีการอันแยบยลในการปฏิบัติงาน ประกอบพร้อมด้วย จึงจะสัมฤทธิ์ผลที่แน่นอนและบังเกิดประโยชน์อันยั่งยืนแก่ตนเองและแผ่นดิน 2. ด้านสังคม แต่ละสังคมต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายชุมชน ที่แข็งแรงเป็นอิสระ ดังกระแสพระราชดำรัสความว่า “เพื่อให้งานรุดหน้าไปพร้อมเพรียงกัน ไม่ลดหลั่น จึงขอให้ทุกคนพยายามที่จะทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่ และให้มีการประชาสัมพันธ์กันให้ดี เพื่อให้งาน ทั้งหมดเป็นงานที่เกื้อหนุนสนับสนุนกัน 3. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ใช้และจัดการอย่างฉลาดพร้อมทั้ง การเพิ่มมูลค่า โดยยึดหลักการของความยั่งยืน และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยทำการผลิตควบคู่ไปกับ การธำรงรักษาไว้ซึ่งสภาพแวดล้อม 4. ด้านเทคโนโลยี สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่มีทั้งดี และไม่ดีจึงต้องแยกแยะบนพื้นฐานของภูมิปัญญา และเลือกใช้เฉพาะที่สอดคล้องกับความต้องการ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ สังคมไทย และควรพัฒนาภูมิปัญญาของเราเอง ดังกระแส พระราชดำรัสความว่า “การเสริมสร้างสิ่งที่ชาวบ้านในชนบทขาดแคลนและต้องการ คือความรู้ในด้าน เกษตรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นสิ่งที่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีอย่างใหญ่โตเต็มรูป หรือเต็มขนาดในงานอาชีพหลักของประเทศย่อมจะมีปัญหา” 5. ด้านเศรษฐกิจ แต่เดิมนักพัฒนามักมุ่งที่การเพิ่มรายได้ ไม่ได้มุ่งที่การลดรายจ่าย ในเวลาเช่นนี้จะต้องปรับทิศทางกันใหม่ คือจะต้องมุ่งลดรายจ่ายก่อนเป็นสำคัญ และยึดหลักพออยู่พอใช้ และสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองในระดับเบื้องต้น ดังกระแสพระราชดำรัสความว่า “การที่ต้องการให้ทุกคน พยายามที่จะหาความรู้ และสร้างตนเองให้มั่นคงนี้เพื่อตนเอง เพื่อที่จะให้ตนเองมีความเป็นอยู่ที่ก้าวหน้า ที่มีความสุข พอมีพอกินเป็นขั้นหนึ่งและขั้นต่อไป ก็คือให้มีเกียรติว่ายืนได้ด้วยตัวเอง หากพวกเราร่วมมือ ร่วมใจกันทำสักเศษหนึ่งส่วนสี่ ประเทศชาติของเราก็สามารถพ้นจากวิกฤติได้ 2. คุณลักษณะ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนามาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ทุกระดับ โดยเน้น การปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอนความพอเพียง จะต้องประกอบด้วย คุณลักษณะ ดังนี้


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 15 1) 3 ห่วง 2 เงื่อนไข 3 ห่วง คือ ทางสายกลาง ห่วงที่ 1 คือ รู้จักประมาณตน ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ ห่วงที่ 2 คือ มีเหตุผล การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทานั้นๆ อย่างรอบคอบ ห่วงที่ 3 คือ มีภูมิคุ้มกัน การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึง ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล 2) ความรู้การตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ต้องอยู่บนฐาน เงื่อนไข 2 ประการ คือ เงื่อนไขที่ 1 ความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบ ที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวัง ในการปฏิบัติ เงื่อนไขที่ 2 คุณธรรม ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความอดทน มีความเพียรพยายาม ใช้สติปัญญาในการดาเนินชีวิต และรู้จักแบ่งปัน คือไม่โลภมาก นึกถึงคนอื่น 3) สร้างสมดุล สร้างความสมดุล 2 ด้าน 1. ความเจริญด้านเทคโนโลยี 2. ภูมิปัญญาไทย เพื่อให้เกิดความสมดุล 4 ด้าน 1. เศรษฐกิจ 2. สังคม 3. สิ่งแวดล้อม 4. วัฒนธรรม 3. แนวทางปฏิบัติ / ผลที่ได้รับ แนวทางปฏิบัติ - พึ่งตนเองเป็นสำคัญ - สร้างนิสัยนิยมไทย - บริหารทรัพยากรอย่างเหมาะสม มีการใช้เทคโนโลยีแบบผสมผสานในการผลิต และใช้อย่างประนีประนอม


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 16 ผลิตแบบพอเพียง - จากเล็กไปหาใหญ่ - ทำอย่างประนีประนอม - มีความซื่อสัตย์สุจริตสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตในทุกสาขาอาชีพ ทั้งข้าราชการนักธุรกิจ และประชาชนทั่วไป เกษตรทฤษฎีใหม่ มุ่งเน้นในการจัดการทรัพยากรดิน โดยจัดสัดส่วนที่ดินแบบเศรษฐกิจพอเพียงออกเป็น 4 ส่วน คือ 1)ขุดสระ 30 2) นาข้าว 30 3) ป่าไม้ 30 และ 4) ที่อยู่อาศัย 10 เน้นปลูกข้าวกินเอง มีชีวิตอยู่แบบพอเพียงเพื่อแก้ปัญหาสังคมความยากจนเป็นสำคัญ แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการแก้ไขวิกฤติทางเศรษฐกิจและปัญหาทางสังคมไทย ประการแรก เป็นระบบเศรษฐกิจที่ยึดถือหลักการที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” โดยมุ่งเน้น การผลิตพืชผลให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือนเป็นอันดับแรก เมื่อเหลือจากการบริโภค แล้วจึงคำนึงถึงการผลิตเพื่อการค้า ผลผลิตส่วนเกินที่ออกสู่ตลาดก็จะเป็นกำไรของเกษตรกร ลักษณะเช่นนี้ เกษตรกรจะมีหลายสถานะ โดยจะเป็นผู้กำหนดหรือเป็นผู้กระทำต่อตลาดแทนที่ตลาดจะเป็นตัวกำหนด เกษตรกรดังที่เป็นอยู่ คือการลดค่าใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคในที่ดินของตนเอง เช่น ข้าว น้ำ ปลา ไก่ ไข่ ไม้ผล พืชผัก เป็นต้น ประการที่สอง เศรษฐกิจพอเพียงให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มของชาวบ้าน โดยกลุ่ม ของชาวบ้านหรือองค์กรชาวบ้านจะทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้หลากหลาย ครอบคลุมทั้งการเกษตรแบบผสมผสาน หัตถกรรม การแปรรูปอาหาร การทำธุรกิจ ค้าขาย และการท่องเที่ยว ระดับชุมชน เมื่อองค์กรชาวบ้านเหล่านี้ได้รับการพัฒนาให้เข้มแข็ง และมีเครือข่าย ที่กว้างขวางมากขึ้นแล้ว เกษตรกรทั้งหมดในชุมชนก็จะได้รับการดูแลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งได้รับการแก้ไขปัญหาในทุก ๆ ด้าน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ ประการที่สาม เศรษฐกิจพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเมตตา ความเอื้ออาทร และ ความสามัคคีของคนในชุมชน ในการร่วมแรง ร่วมใจเพื่อประกอบอาชีพต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จ ประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้หมายถึงรายได้แต่เพียงมิติเดียว ยังรวมถึงการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว ชุมชน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจพอเพียงสำหรับบุคคลทั่วไป เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญา เป็นแนวปฏิบัติตนในการดำรงชีวิตตามแนววิถีไทยอยู่พอดี ไม่ฟุ่มเฟือยอย่างไร้ประโยชน์ ไม่ยึดวัตถุเป็นที่ตั้ง เดินสายกลาง อยู่กินตามฐานะ ใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิต เจริญเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจใหญ่ อย่าหวังความสำเร็จชั่วข้ามคืน กู้เงินมาลงทุนโดยหวังรวย อย่างรวดเร็วแล้วนำไปสู่ความล้มละลาย ตั้งอยู่บนหลักของ “ความรู้ รัก สามัคคี” ใช้สติปัญญาปกป้องตนเอง มีความรัก ความเมตตา ที่จะช่วยเหลือสังคมให้รอดพ้นจากภัยคุกคาม และรวมพลังด้วยความสามัคคี ขจัดข้อขัดแย้งนำไปสู่ความประณีประนอม และช่วยกันรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 17 หลักปฏิบัติตนตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 1. ประหยัด ลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ไม่จำเป็นลง ละความฟุ่มเฟือย 2. ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่เอาเปรียบสังคม อยู่ภายใต้กฎหมาย และศีลธรรมอันดี 3. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์ ชิงดี ชิงเด่น เบียดเบียนกัน ประณีประนอม ช่วยเหลือ เกื้อกูลตามสมควรแก่ฐานะ 4. ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง สรุปบทเรียน แก้ไขปรับปรุง แล้วพัฒนาต่อ 5. ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดี ไม่ประพฤติชั่ว การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ในการดำเนินชีวิตก็คือ การพัฒนา ที่สมดุล และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยีและมีจุดมุ่งหมาย คือ การพัฒนาให้ตนเอง ครอบครัว และสังคมโดยรวมนั้น อยู่ได้อย่างพอเพียง ด้วยการดำเนินชีวิตโดยยึดหลักทางสายกลาง ให้มีความสมดุล มีความสุขที่แท้จริง และเป็นอย่างยั่งยืน โดยไม่รู้สึกขาดแคลนจนต้องเบียดเบียนตัวเอง หรือใช้ชีวิตเกินความพอดี ตามฐานะของตน หรือเบียดเบียนผู้อื่น 4. สรุปการจัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย ประจำเดือน สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิต ถ่ายทอด สู่โรงเรียน และสังคมได้ สรุปรายละเอียดได้ดังนี้ 1) ผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างวินัยทางการเงินและการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร - การวางแผนการใช้จ่ายเงิน โดยการทำบัญชีครัวเรือน จัดทำค่าใช้จ่ายรายวัน - รายเดือน สามารถนำมาใช้ในการวางแผนการใช้เงินทุกครั้งที่ได้รับเงินเดือน โดยแบ่งเงินออมไว้ก่อนจะนำไปใช้จ่าย ตั้งงบประมาณสำหรับใช้จ่ายในแต่ละวัน วันไหนใช้เกินงบวันต่อไปต้องประหยัด เพื่อให้การใช้จ่ายตรง ตามแผนที่วางไว้ จดบันทึกรายรับ รายจ่าย ออมอย่างต่อเนื่อง ไม่สร้างหนี้ที่ไม่จำเป็น มีความพอดี ในการดำเนินชีวิต พออยู่ พอมี พอกิน รู้จักประมาณตนเอง พึ่งตนเองเป็นสำคัญ บริหารจัดการเงิน ให้มีความคุ้มค่ามากที่สุด -การจัดทำบัญชีครั้งก่อนแสดงรายรับ -รายจ่าย เพื่อแสดงแผนการใช้จ่ายเงินเป็นกรอบในการวางแผน การใช้จ่ายเงินสุดท้ายจะสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จากการวางแผนการใช้จ่ายเงิน - สามารถนำวิธีการทำบัญชีงบดุลทำบันทึกรายรับรายจ่ายประจำวันไปใช้บันทึกเพื่อเป็น ฐานข้อมูลการใช้เงิน การวางแผนการใช้เงิน ใช้เป็นกรอบการใช้เงินให้ชัดเจน พยายามลดการใช้จ่ายที่ ไม่จำเป็น ลำดับการจ่ายหนี้/บริหารจัดการหนี้ให้ปลดหนี้ให้ไวขึ้น


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 18 - การจดบันทึกรายรับ - รายจ่าย และบันทึกทะเบียนทรัพย์สินหนี้สินทำให้เราสามารถวางแผน ทางการเงินได้ เรียงลำดับความจำเป็น สำคัญในการใช้จ่ายเงินตามความพอดี พอเพียง และพอประมาณ ที่จะส่งผลให้อนาคตทางการเงินของเราอาจจะมีสภาพคล่องได้ - สามารถนำไปวางแผนการใช้จ่ายเงิน ทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย ทำให้รู้สิ่งที่ควร – ไม่ควรจ่าย จะได้ประหยัดมีเงินใช้จ่ายเหลือเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ทำให้บริหารหนี้ได้ หมดหนี้ ชีวิตมีความสุข และนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติกับชีวิตตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงิน - สามารถนำมาใช้ประโยชน์ การวางแผนการใช้เงินให้เหมาะสมกับรายรับที่ได้ นำมาใช้ วางแผนการลดหนี้สินที่มีให้ถูกต้อง วางแผนการออมที่เหมาะสม และมีหลักการออมเงิน การลงทุนที่ เพิ่มรายได้พิเศษจากเงินประจำที่มี เพื่อให้มีความคล่องตัวทางการเงินในชีวิต 2) ผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างวินัยทางการเงินและการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาถ่ายทอดสู่โรงเรียน และสังคมได้อย่างไร - นำไปขยายผลต่อคณะครูและบุคลากรในโรงเรียนรวมทั้งขยายผลต่อการส่งต่อไปให้ความรู้ถึง นักเรียน เป็นแบบอย่างในการรู้จัดประมาณตน มีเหตุผลและมีภูมิคุ้มกัน เพื่อแก้ปัญหาด้านสังคม เศรษฐกิจและจิตใจ ถ่ายทอดกับเพื่อนร่วมงาน โดยการทำรายงานการอบรมให้ผู้ที่สนใจ ถ่ายทอด ให้กับครอบครัว โดยการพูดคุย ถ่ายทอดให้กับนักเรียน โดยการสอน - เริ่มจากครอบครัว ฝึกให้ลูกทำบัญชีรายรับ รายจ่ายประจำวัน/เดือน แนวทางจากสมุดเงินออก (ธนาคารแห่งประเทศไทย) พร้อมเป็นแบบอย่างให้ด้วย จากนั้นถ่ายทอดสู่นักเรียน เพื่อนร่วมงาน ระดับกลุ่มสาระฯ ระดับชั้น/โรงเรียนและสังคม ตามลำดับ (สำหรับนักเรียน ครูจะสอดแทรกในกิจกรรม การเรียนการสอน และใช้คาบโฮมรูมในการถ่ายทอด) - สามารถนำความรู้ที่ถ่ายไปถ่ายทอดให้เพื่อนร่วมงาน และทุกคนในโรงเรียนได้จัดทำบัญชี รายรับ - รายจ่าย จัดเรียงลำดับความจำเป็นในการใช้จ่ายเงิน ให้รู้จักการวางแผนการใช้จ่าย แบ่งเงิน ออกเป็นส่วนให้มีการเก็บออม ไม่ให้เป็นหนี้ถ้าไม่จำเป็น หากจำเป็นให้รู้ว่าดอกเบี้ยเท่าไหร่ เหมาะสม กับรายได้นำสู่การปฏิบัติเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของทุกคน และสามารถนำสู่ห้องเรียน ถ่ายทอดกับนักเรียนได้อีก - โรงเรียน : สอดแทรกบูรณาการเนื้อหาการมีวินัยด้านการเงิน และการดำเนินชีวิต ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฝึกวินัยการออม -การทำบัญชีรายรับรายจ่าย ส่งเสริมให้ครูจัดกิจกรรม การเรียนการสอนเพื่อฝึกให้นักเรียนรู้จัดการออมและบันทึกรายรับ - รายจ่าย ตั้งแต่ยังเล็ก ด้านสังคม : เป็นแบบอย่างที่ดีเป็นต้นแบบของการบริหารการเงินการปลดหนี้ การเพิ่มรายได้ - นำความรู้เรื่องการจัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย การลงทุน การออมเงิน การวางแผน การใช้หนี้ ต่างๆ ไปถ่ายทอดให้กับครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และชุมชน โดยนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 19 ในชุมชนและโรงเรียน ให้เห็นความสำคัญของการทำบัญชี รายรับ รายจ่าย ครัวเรือน การวางแผน การใช้เงินให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนที่วางไว้ และจะปฏิบัติงานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อลดปัญหาหนี้สินในครอบครัวของตนเองก่อน - ถ่ายทอดหลักคิด และแนวทางการปรับประยุกต์ใช้ ทั้งด้านส่วนตัว การทำงาน สังคม โดยเฉพาะการมีคุณธรรม การถ่ายทอดในที่ประชุมคณะครู การถ่ายทอดเมื่อได้พบปะกับนักเรียน การถ่ายทอดเมื่อประชุมผู้ปกครอง ดำเนินการสอดแทรกเป็นระยะๆ เมื่อมีโอกาส และจัดทำโครงการ ดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนในทุกกิจกรรม เพื่อเป็นการปลูกฝังค่านิยมพอเพียงให้แก่นักเรียน มีการสอนการจัดทำบัญชีรายรับ -รายจ่าย ให้กับนักเรียน และเผยแพร่ความรู้ให้บุคลากรในโรงเรียน - ถ่ายทอดความรู้ที่ได้จากการอบรมในครั้งนี้ ดังนี้ การวางแผนชีวิต การวางแผนการเงิน บัญชี ครัวเรือน การเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง งบประมาณครอบครัวและแผนการใช้เงิน มูลค่าเงิน ตามเวลาและการประยุกต์ใช้ การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตน โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอนตาม 3 ห่วง 2 เงื่อนไข - แนะนำเพื่อนครู และบุคลากรในการแก้ปัญหาการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับสภาพความจำเป็น ในการใช้จ่ายและสภาพการเงิน ให้มีสภาพคล่อง แทรกความรู้การใช้จ่าย การประหยัดอดออม คุณค่าของเงิน ที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในชั้นเรียน ให้นักเรียนเข้าใจและตระหนักในเรื่องวินัยทางการเงินให้มากขึ้น ผลดี ผลเสีย เหตุและผล อบรมนักเรียนเรื่องรายรับ รายจ่าย ผสมผสานกับการดำเนินชีวิตตามหลักการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อนาคตในการจ่ายเงิน ความมั่นคงของชีวิต - ถ่ายทอดสู่คนอื่น คือ ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เงิน ต้องใช้จ่ายอย่างพอประมาณ ตัวเองไม่ เดือนร้อน “หมดหนี้ มีออม” ทำยังไงให้หมดหนี้ถึงจะมีเงินออม ให้ทุกคนเดินทางสายกลางตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ถ่ายทอดสู่โรงเรียน คือ การจัดการเรียนการสอน มีการสอดแทรกเข้า ไปในรายวิชาที่สอน คือเรื่องความพอเพียง การจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย การวินัยทางการใช้เงิน การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง - การเสริมสร้างวินัยทางการเงิน และการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาถ่ายทอดสู่โรงเรียนได้ คือ ถ่ายทอดให้นักเรียนได้เข้าใจหลักความพอดี หลักความพอดี ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 5 ประการ 1. พอดีด้านใจ (ความรู้) 2. พอดีด้านสังคม 3. พอดี ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. พอดีด้านเทคโนโลยี 5. พอดีด้านเศรษฐกิจ โดยการ แนะนำนักเรียน และเพื่อนครูให้รู้จัดการออม การจัดการบริหารเงินให้คุ้มค่า และจะเป็นการทำให้ สังคมเกิดความสมดุลในการดำรงชีวิตไปด้วย ฝึกให้นักเรียนได้ฝึกจดบันทึกรายรับ - รายจ่าย สอนวิธีการ ออมเงินใช้เงินในชีวิตประจำวันของนักเรียนได้ ในการประหยัดอดออมเพื่อกำหนดการใช้จ่ายให้คุ้มค่า


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 20 - นำความรู้ที่ได้ไปจัดกิจกรรมในการจัดการเรียน การสอนในโรงเรียน และถ่ายถอดสู่เพื่อน ร่วมงานให้สามารถ จัดทำบัญชีรายได้ รายรับ - รายจ่าย และนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างแก่เพื่อนครูและนักเรียน มีวินัยในการใช้เงิน ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ถ่ายทอดโดยเป็นรูปธรรมให้ทุกคนมองเห็นภาพ เข้าใจได้ง่าย ชี้ให้เห็นถึงคุณเห็นโทษของการดำเนินชีวิตอย่างประมาทไม่มีแบบแผนไม่มีวินัย และแนะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอบรมในครั้งที่เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อหวังให้ นักเรียนมีทักษะชีวิต และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อจะได้เป็นบุคคลที่มีความสุข มีฐานะการเงินที่ดี มั่งคั่ง 3) ข้อเสนอแนะอื่นๆ - เพิ่มเติมวิธี/เทคนิค การหารายได้เสริมนอกจากงานประจำ เช่น อาชีพที่หลากหลาย ที่ทุกคน สามารถปฏิบัติได้ -ควรจัดกิจกรรมนี้บ่อยๆ และจัดทุกจังหวัดให้ สพม. สพป. ติดตามการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และให้ขวัญและกำลังใจแก่ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหานี้และควรมีการจัดอบรมแก่ครูที่มี ช่วงอายุ 25 – 50 ปี เพื่อเป็นแนวทางการวางแผนกรอบการใช้จ่าย และป้องกันการเป็นหนี้ที่มากเกิน จำเป็นให้รู้ทันดอกเบี้ยและกลไกการใช้จ่ายเงินในลักษณะต่างๆ และช่วยเหลือคุณครูที่มีหนี้และ ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการบริหารจัดการหนี้ที่ปัจจุบันอยู่ในระยะวิกฤตรายจ่ายมากกว่ารายได้ - การวางแผน การสร้างวินัยทางการเงินควรส่งเสริม และให้ความรู้เรื่องนี้แก่ครูทุกท่านก่อนที่ จะเป็นหนี้ อาจจะจัดให้ความรู้แก่ครูบรรจุใหม่ เพื่อจะได้วางแผนและมีวินัยทางการเงินตั้งแต่เริ่มแรก ของการเข้ารับราชการและนำหลักสูตรการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล การจัดทำบัญชีรายรับ -รายจ่าย บรรจุในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต - การจัดประชุมที่มีประโยชน์มากเพราะทำให้รู้จักวางแผนการใช้เงิน สร้างค่านิยมที่พอเพียง หรือนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำรงชีวิต และควรจัดประชุมออนไลน์ สำหรับครู ทั่วประเทศ (ที่สนใจ) มีการขยายผลการประชุมอบรม แก่บุคลากรให้ทั่วถึงครอบคลุม โดยเฉพาะ วินัยทางการเงินของข้าราชการบรรจุใหม่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความมั่งคงในหน้าที่การทำงาน - การจัดอบรมที่มีประโยชน์มาก เหมาะสมกับสถานะสภาวะของคนในปัจจุบันที่มีหนี้สิน ให้มีแนวทางทางออกที่ถูกต้องในการแก้ปัญหาให้ข้าราชการที่มีโอกาสมากในการกู้ยืมกว่าอาชีพอื่น เลยเป็นหนี้สินมากในปัจจุบันที่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาหลายอย่างได้ มีทางออกที่ดีที่สามารถช่วยลด ปัญหาจากหนี้สินของข้าราชการ อยากให้เพิ่มเติมแนวทางการสร้างรายได้ การออมเงินและหลักบริหารเงิน หลังเกษียณอายุราชการ


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 21 สรุปการบรรยายและอภิปรายการจัดประชุม ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 18 - 19 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมสยามแกรนด์อุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 1. ข้อคิดการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บรรยายโดย นายปราโมทย์ แสนกล้า รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. ได้กล่าวถึงหลักการนโยบาย และจุดเน้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กระทรวงศึกษาธิการคาดหวังว่าผู้เรียนทุกช่วงวัย จะได้รับการพัฒนาในทุกมิติ เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ และมีความพร้อมร่วมกันขับเคลื่อน การพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง และยั่งยืน ประกอบด้วยกัน 7 ด้าน ได้แก่ 1) การจัดการศึกษา เพื่อความปลอดภัย 2) การยกระดับคุณภาพการศึกษา 3) การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและ ความเท่าเทียมทางการศึกษาทุกช่วงวัย 4) การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขัน 5) การส่งเสริมสนับสนุนวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา 6) การพัฒนาระบบราชการ และการบริการภาครัฐยุคดิจิทัล 7) การขับเคลื่อนกฎหมายการศึกษาและแผนการศึกษาแห่งชาติ และบรรยายให้ข้อคิดว่า การส่งเสริมสนับสนุนในการเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและ บุคลากรทางการศึกษาทั้งระบบ ควบคู่กับการให้ความรู้ด้านการวางแผนและการสร้างวินัยด้านการเงิน และการออม พร้อมทั้งแนะนำหลักการดำเนินชีวิตในทางสายกลาง เส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพครู ความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ ความรู้และคุณธรรม ทั้งนี้ ได้ชี้แจงหน้าที่ของสำนักงาน ก.ค.ศ. ในการช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ข้าราชการครู ซึ่งภารกิจกองทุนและสวัสดิการทางการศึกษาได้ช่วยเหลือข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษาเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู และในครั้งนี้ ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารหนี้สิน และการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมนำความรู้ที่ได้รับเกี่ยวกับการบริหารหนี้สินไปปรับใช้ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน และสามารถนำมาวางแผนในการบริหารจัดการหนี้สินของตนเองได้รวมทั้ง มารับฟังข้อมูลจากผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่านเกี่ยวกับการดำเนินงานและการให้บริการของเงินทุนหมุนเวียน เพื่อจะนำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาเงินทุนหมุนเวียนต่อไป 2. การบริหารจัดการหนี้ บรรยายโดย อาจารย์กิตติพัฒน์ แสนทวีสุข ผู้อำนวยการสถานบริการวิชาการตลาดทุน เศรษฐกิจและธุรกิจประยุกต์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้กล่าวถึง แนวทางการบริหารจัดการการเงิน การบริหารจัดการหนี้สิน ดังนี้ 1. การวางแผนชีวิต และการวางแผนการเงิน 2. บัญชีครัวเรือน การเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง 3. งบประมาณครอบครัวและแผนการใช้เงิน 4. มูลค่าเงินตามเวลาและการประยุกต์ใช้


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 22 1. การวางแผนชีวิต และการวางแผนการเงิน เป้าหมายของชีวิต พิชิตได้ด้วยแผนการเงิน เป้าหมายชีวิตคือสุขกาย สุขใจ สุขเงิน สร้าง Happy Money, Happy Retirement สร้างได้5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) กำหนดเป้าหมาย การกำหนดเป้าหมายที่ดีต้องเป็นไปตามหลัก SMART S=Specific ชัดเจน M=Measurable วัดผลได้ A=Accountable ทำสำเร็จ R=Realistic บรรลุผล T=Time bound มีกำหนดเวลาโดยต้องแยกระหว่างสิ่งที่อยากได้ จำเป็นและต้องมี แล้วเรียงลำดับ ความสำคัญของเป้าหมาย โดยนำสิ่งที่จำเป็นและต้องมีมากำหนดเป้าหมายก่อน 2) สำรวจตนเองเบื้องต้น โดยตรวจสอบสุขภาพทางการเงินด้วยงบการเงินส่วนบุคคล จัดทำงบดุลส่วนบุคคล งบรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (จัดทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย ประจำเดือน) เพื่อควบคุมตัวเอง รายได้หลัก รายได้เสริม เติมให้เต็มตุ่มชีวิต (รายได้) และอุดรูรั่วตุ่ม (ค่าใช้จ่าย) 3) จัดทำแผนการเงิน เมื่อกำหนดเป้าหมายและสำรวจสถานการณ์เงินของตนเอง เรียบร้อยแล้ว ต้องมีการเขียนแผนพร้อมระบุวิธีที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายอย่างชัดเจน 4) ปฏิบัติตามแผนที่วางแผนไว้คือ ตั้งเป้า ตั้งใจ มีวินัย 5) ทบทวนและปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอ 2. บัญชีครัวเรือน การเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง “บัญชีครัวเรือน” เป็นการประยุกต์ทางการบัญชีเพื่อใช้เป็นเครื่องมือประเภทหนึ่ง ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เห็นภาพรวม ทัศนคติ พฤติกรรม และสถาะทางการเงินของตนเองงบ รายได้และค่าใช้จ่าย แสดงให้เห็นพฤติกรรมการใช้จ่าย และการคาดการณ์การใช้จ่ายในอนาคต เงินสด คงเหลือมากมีพฤติกรรมการใช้จ่ายดี สามารถออม/ลงทุนเพิ่มได้ มีรายได้จากหลายช่องทาง ค่าใช้จ่าย น้อยลง ผู้จัดทําบัญชีครัวเรือนสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็นทำให้เกิดการประหยัดและการออม และในที่สุดจะสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้อย่างยั่งยืน 3. งบประมาณครอบครัวและแผนการใช้เงิน ชีวิตคนเรา ในแต่ละช่วงชีวิตล้วนมีโจทย์ที่ต้องเผชิญ มีเรื่องที่ต้องมุ่งเน้นและให้ความสำคัญ ที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเตรียมและวางแผนการเงินที่สอดคล้องกับแต่ละช่วงชีวิตจะเป็นแผนที่นำทาง ที่ช่วยให้สามารถผ่านแต่ละช่วงชีวิตไปได้อย่างมั่นคง 1) วางแผนชีวิต ชีวิตไม่ควรปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรมโดยไม่มีเป้าหมาย ต้องรู้จัก ตัวเองและตั้งเป้าหมายในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและจะจัดสรรการเงินอย่างไร เช่น การมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ควรมีอย่างน้อย ๆ 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนสำหรับพนักงาน ประจำ และ 6 – 12 เดือนสำหรับอาชีพอิสระหรือเจ้าของกิจการ การศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ควรถามตัวเองว่าต้องการศึกษาต่อด้านใด เป็นสถาบันการศึกษาในประเทศหรือต่างประเทศ ใช้งบประมาณ เท่าใด ซึ่งการเลือกว่าจะศึกษาด้านใดก็ควรสอดคล้องกับเป้าหมายการทำงานของตัวเองด้วย การซื้อที่อยู่ อาศัย ต้องเลือกให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของตัวเอง เลือกทำเลที่ตั้ง โดยจะเป็นบ้านเดี่ยวหรือคอนโดมิเนียม และงบประมาณเท่าใด การตั้งเป้าหมายการเงินอื่นๆ เช่น อยากมีเงินออม 1 ล้านบาท ภายใน 10 ปี


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 23 โดยตั้งใจจะลงทุนอย่างสม่ำเสมอในรูปแบบ DCA อย่างน้อยเดือนละ 5,000 บาท และจะลงทุนเพิ่ม เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น 2) วางแผนรายได้ค่าใช้จ่าย จัดทำงบประมาณรายเดือนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี และพยายาม อย่าก่อหนี้ โดยเฉพาะหนี้การบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 3) วางแผนบริหารความเสี่ยง แน่นอนว่าทุกคนคงไม่สามารถมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน สำหรับทุก ๆ ความเสี่ยงได้ ดังนั้น จึงควรจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง ด้วยการเปรียบเทียบระหว่าง ความคุ้มครองที่ต้องการในแต่ละด้าน เช่น ตกงาน ขาดรายได้ อุบัติเหตุ เสียชีวิต ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น กับความคุ้มครองที่มีอยู่แล้ว เช่น เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ประกันชีวิต สินทรัพย์สภาพคล่องอื่น ๆ สวัสดิการจากนายจ้าง และเมื่อคำนวณแล้วหากติดลบ แปลว่า ความคุ้มครองยังไม่เพียงพอ ก็ควร พิจารณาวางแผนการเงินเพิ่มเติม 4) วางแผนเกษียณอายุ เป็นเงินก้อนใหญ่สุดในชีวิตที่ต้องเก็บออม เพราะเมื่อถึงวัน เกษียณ รายได้จะลดลงหรือไม่มี จึงควรวางแผนว่าต้องการใช้เงินเท่าใดหลังเกษียณ โดยประเด็นที่ สำคัญ คือ ยิ่งวางแผนเร็วเท่าไหร่ ยิ่งทำให้มีเวลาลงทุนนานเท่านั้น และสามารถจัดพอร์ตเพื่อคาดหวัง ผลตอบแทนให้สูงขึ้นได้อีกด้วย 5) ศึกษาเรื่องภาษี ในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน รายได้อาจยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี แต่ ควรศึกษาไว้ อย่างน้อยก็รู้ว่ารายได้ขั้นต่ำเท่าใดจึงจะต้องยื่นภาษี เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องเสียภาษีจะ สามารถยื่นภาษีได้ถูกต้อง ไม่ติดขัด 6) วางแผนการศึกษาของลูก เป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถประมาณการได้ จึงควรทำงบประมาณ คร่าว ๆ ว่าควรมีเท่าใด โดยการแบ่งออกเป็นแต่ละช่วงวัย เช่น เรียนระดับอนุบาล ประถมศึกษามัธยมศึกษา และปริญญาตรี นอกจากต้องจัดเตรียมเงินออมแล้ว ควรทำประกันให้เพียงพอกับงบประมาณ เผื่อเกิด เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ยังมีเงินให้ลูกเรียนหนังสือต่อได้ 7) บริหารรายได้ค่าใช้จ่าย ในช่วงวัยนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากพอสมควร และอาจเกิน งบประมาณโดยไม่รู้ตัว จึงควรจัดทำรายการรายได้ค่าใช้จ่าย จัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม และคอย สังเกตการใช้จ่ายสม่ำเสมอ 8) ปรับเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน เมื่อความรับผิดชอบทางการเงินสูงขึ้น เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ก็ควรปรับเพิ่มให้เหมาะสมตามไปด้วย เช่น ควรมี 12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน 9) ปรับความคุ้มครองชีวิต ควรทบทวนและปรับเพิ่มความคุ้มครองชีวิต ทุพพลภาพ และเผื่อโรคร้ายแรงไว้ให้เหมาะกับความรับผิดชอบทางการเงินด้วย 10) เริ่มศึกษากลยุทธ์การบริหารเงินหลังเกษียณ ควรเริ่มศึกษากลยุทธ์ในการบริหารเงิน ก้อนโตหลังเกษียณ เพื่อให้เหมาะกับการใช้ชีวิตและมีเงินใช้เพียงพอไปตลอดชีพ เช่น หาช่องทางการลงทุน ให้เงินต้นมีความปลอดภัยมากที่สุด


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 24 จะเห็นว่า ในแต่ละช่วงชีวิตมีประเด็นทางการเงินที่ต้องวางแผนหรือทบทวนในรายละเอียด ที่แตกต่างกัน อาจมองว่าการวางแผนการเงินตามแต่ละช่วงชีวิตมีหลายประเด็น แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะจัดการ ที่สำคัญหากวางแผนมาดีตั้งแต่เนิ่น ๆ และติดตาม ทบทวนแผนสม่ำเสมอ รับรองมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต 4. มูลค่าเงินตามเวลาและการประยุกต์ใช้ ทางเลือกการลงทุน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1)การลงทุนในทรัพย์สินที่จับต้องได้ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ วัตถุโบราณ เหรียญกษาปณ์ เครื่องประดับ อัญมณี พระเครื่อง เครื่องราง 2)การลงทุนในทรัพย์สินทางการเงิน ได้แก่ เงินฝาก สลากออมทรัพย์ สหกรณ์ออมทรัพย์ ตราสารหนี้ กองทุนรวม LTF/RMF/SSF หุ้น ตราสารหนี้ (พันธบัตร/หุ้นกู้) คือหลักทรัพย์ที่แสดงสิทธิความเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ซื้อจะได้รับ ดอกเบี้ยตามที่กำหนดและมีโอกาสได้กำไรจากการซื้อขายตราสารหนี้ จุดเด่นก็คือ มีสิทธิเรียกร้องเงินทุน คืนก่อนเจ้าของกิจการ ได้รับดอกเบี้ยแน่นอนตรงเวลา ความเสี่ยงต่ำ เงินต้นปลอดภัย กองทุนรวม คือ การที่บริษัทจัดการลงทุนออกหน่วยลงทุนมาเพื่อระดมเงินทุนไป ซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้นสามัญ ตราสารหนี้ และมีมืออาชีพบริหารจัดการและลงทุนตามนโยบาย การลงทุนให้เงินเติบโตขึ้น ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผล (ถ้ามี) และโอกาสได้กำไรจากการซื้อขายกองทุนรวม มีทั้งประเภทกองทุนปิด และกองทุนเปิด หมดหนี้ มีออม รายละเอียด ดังนี้ 1. รู้เท่าทัน “หนี้” และประเภทของหนี้สิน 2. กลไกการกู้เงิน และวิธีทำการตลาดสินเชื่อ 3. ภาระหนี้ และ 4 ขั้นตอนปลดหนี้ 4. วินัยและแผนการชำระหนี้สินครัวเรือน การออมเงิน (Savings) หมายถึง การสะสมเงินรายได้ในส่วนที่จัดสรรจากส่วนต่าง ๆ ไว้ใช้จ่าย ในอนาคตรวมถึงสะสมสิ่งที่มีค่าเป็นตัวเงินและมีประโยชน์ต่อครอบครัว เช่น ทองคำ เพชร เครื่องประดับ ที่ดิน และอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งการเก็บรายได้สุทธิเมื่อหักรายจ่ายแล้วจะมีส่วนที่เหลืออยู่เรียกว่าเงินออม สาเหตุและเหตุผลที่ทำให้เราเก็บออมเงินก้อนไม่ได้ มีดังนี้ 1. มีรายได้ไม่แน่นอนหรือรายได้น้อย เช่น พนักงานรายวัน ลูกจ้างรับเหมา นักเรียน นักศึกษา ฯ 2. วางแผนการใช้เงินไม่เป็น 3. ใช้เงินเกินจำเป็นหรือใช้เงินฟุ่มเฟือย 4. นำเงินไปลงทุนทำธุรกิจทั้งหมดโดยไม่เก็บเงินบางส่วนเอาไว้สำรองจ่าย 5. ติดหรู ติดแบรนด์เนม ตามกระแส 6. มีหนี้สินและภาระเยอะ


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 25 7. อยู่ในช่วงวัยเรียน วัยศึกษา 8. อยู่ในช่วงวัยเรียน วัยศึกษา 9. ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดยาเสพติด 10. ไม่รู้จักค่าของเงินหรือหาเงินใช้เองไม่เป็นยังอาศัยพ่อแม่อยู่ 11. ตกงาน หรือเลือกงานจนเกินไป 12. ชอบหาข้ออ้างในการออม ปัญหาที่พบส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยหรือมีรายได้ไม่แน่นอน มีหนี้สินและภาระเยอะ รองลงมาคือไม่มีการวางแผนการออมเงินหรือออมแบบไม่ได้คิดว่าเงินที่ออมอาจจะต้องนำมาใช้จ่ายอย่างอื่นด้วย หรือใช้เงินและใช้เงินซื้อของตามกระแส เช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ของแบรนด์เนม เห็นคนอื่นมีก็อยากได้ โดยที่ไม่ได้ดูกำลังทรัพย์ของตัวเอง และสาเหตุที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือ ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดยาเสพติด ติดการพนัน ติดผู้หญิง ติดเที่ยวกลางคืน เป็นต้น 1. รู้เท่าทัน “หนี้” และประเภทของหนี้สิน จริงๆ แล้วการเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายหากคุณเลือกเฉพาะหนี้ดี หนี้ดีคือหนี้ที่ ก่อให้เกิดรายได้ลงทุนเพื่ออนาคตที่ดี ไม่กระทบสภาพคล่อง ใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ มีกฎหมายคุ้มครอง มีหนี้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ได้แก่ 1) หนี้บัตรเครดิต/หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล/หนี้ผ่อนสินค้า ควรไม่เกิน ร้อยละ 10 -20 ของรายได้ต่อเดือน 2) หนี้จากการผ่อนบ้านควรไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ต่อเดือน 3) หนี้จากการผ่อนรถ ควรไม่เกินร้อยละ 20 ของรายได้ต่อเดือน โดยหนี้สินรวมทั้งหมด ควรไม่เกินร้อยละ 50 ของรายได้ต่อเดือน เป็นหนี้อย่างถูกวิธี หากคุณไม่อยากให้หนี้สร้างปัญหาให้คุณในอนาคตลองหยุดคิดและใช้ Checklikst ถามตัวเองก่อนก่อหนี้ คำถามเพื่อหยุดคิด มีดังนี้ 3.1) เรากำลังเป็นหนี้เพราะความจำเป็น (Need) หรือความต้องการ (Want) 3.2) เราจะมีเงินเพียงพอผ่อนชำระหนี้ไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ 3.3) ยอดเงินผ่อนหนี้จะกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราหรือไม่ 3.4) ดอกเบี้ยต่องวดและดอกเบี้ยทั้งหมดที่ต้องจ่ายคุ้มค่ากับการเป็นหนี้หรือไม่ 3.5) ถ้าไม่เป็นหนี้วันนี้ เดือนนี้เราจะเดือนร้อนหรือไม่ 3.6) มีทางเลือกที่ดีกว่านี้จากเจ้าหนี้รายอื่นหรือหนี้ประเภทอื่นหรือไม่ 3.7) มีทางเลือกอื่นๆ นอกจากการเป็นหนี้ใช่หรือไม่ ผลของคำตอบทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าการก่อหนี้ในครั้งนี้จะสร้างปัญหาให้คุณในอนาคตหรือไม่ 2. กลไกการกู้เงิน และวิธีทำการตลาดสินเชื่อ 1)การรู้ทันดอกเบี้ยเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 26 1.1) อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ คือ จะคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นทั้งหมด ไม่ได้คิด ดอกเบี้ยจากยอดเงินที่ลดลงทำให้เสียดอกเบี้ยมากกว่าปกติ (เงินต้นลด ดอกเบี้ยไม่ลด) 1.2) อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก คือ ดอกเบี้ยจะถูกคิดจากเงินต้นคงเหลือ ในแต่ละเดือน (เงินต้นลด ดอกเบี้ยลด) 2) การรู้จักหนี้ที่อาจก่อให้เกิดปัญหา ได้แก่ 2.1) หนี้นอกระบบ ขอกู้ง่าย คิดดอกเบี้ยแบบคงที่ในอัตราที่สูง แต่มีวิธีการทวงหนี้ ค่อนข้างรุนแรง ถ้าผิดนัดชำระหนี้หรือค้างค่างวด 2.2) หนี้บัตรเครดิต ใช้รูดซื้อของแทนเงินสด ระยะปลอดดอกเบี้ย 45 - 50 วัน คิดดอกเบี้ยเป็นรายวันตั้งแต่วันแรกที่ใช้สูงสุดร้อยละ 16 ต่อปี จึงไม่ควรชำระแค่ขั้นต่ำ 2.3) บัตรกดเงินสด สมัครง่าย เหมาะกับคนที่ต้องการเงินสดด่วน และสามารถผ่อน ชำระคืนเร็วเพราะดอกเบี้ยสูงสุดร้อยละ 25 ต่อปี 2.4) หนี้สินเชื่อส่วนบุคค วงเงินสูง ขอกู้ง่าย ระยะเวลาผ่อนชำระยาว แต่คิดดอกเบี้ยสูง เพราะไม่ต้องใช้หลักประกัน จึงมักจะกู้เป็นประจำ และกลายเป็นหนี้หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ 2.5) หนี้สินค้าเงินผ่อน ดอกเบี้ยต่ำหรือร้อยละศูนย์ เพราะจัดโปรโมชั่นกับผู้ขาย แต่ถ้าผิดนัดชำระหรือค้างค่างวดจะถูกคิดดอกเบี้ยรายวันอัตราปกติร้อยละ 25ต่อปี และต้องระวังไม่ก่อหนี้ เงินผ่อนพร้อมกันหลายอย่าง 2.6) หนี้ผ่อนรถ คิดดอกเบี้ยแบบคงที่จากวงเงินกู้ทั้งหมดตั้งแต่แรก แล้วค่อยหาร เป็นงวดที่ต้องผ่อนต่อเดือน จึงควรมีเงินดาวน์เยอะ ๆ 2.7) หนี้ผ่อนบ้าน คิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกแต่เป็นการกู้ระยะยาว 10 - 35 ปี รวมกับอายุผู้กู้แล้วไม่เกิน 60 ปี ซึ่งถ้าเพิ่มเงินผ่อนต่อเดือนจะประหยัดดอกเบี้ยได้มาก วิทยากรได้สอนวิธีการคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยของหนี้แต่ละชนิดที่สถาบันการเงิน ใช้เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการส่งเงินชำระค่างวด เพื่อให้รู้เท่าทันและห่างไกลการเอาเปรียบ จากสถาบันการเงิน เทคนิคการซื้อสินค้าเงินผ่อน เทคนิคการกู้เงินในการผ่อนซื้อบ้าน ซื้อรถ การหารายได้ จากอสังหาริมทรัพย์และมีการฝึกทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และงบดุลส่วนบุคคล พร้อมทั้งแนะนำ วิธีการออมเงิน รวมไปถึงการลงทุนเพื่อต่อยอดเงินอีกด้วย 3. ภาระหนี้ และ 4 ขั้นตอนปลดหนี้อยากปลดหนี้ทำอย่างไร 1) ตั้งสติ สรุปหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ บันทึกภาระหนี้สินลงในตาราง และจัดลำดับความสำคัญ ของหนี้ เพื่อให้รู้ว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ละเดือนต้องจ่ายเท่าไหร่ หนี้ก้อนไหนเสียดอกเบี้ยเยอะที่สุด 2) ชำระคืนหนี้อย่างฉลาด หยุดก่อหนี้ใหม่ หาทางลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ เพื่อให้ มีเงินไปชำระหนี้มากขึ้น ขายสินทรัพย์บางอย่างออกไป เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ เร่งชำระหนี้ที่มีอยู่ให้หมดเร็ว ที่สุดมี 2วิธี คือชำระหนี้ที่ดอกเบี้ยแพงสุดก่อน เช่น หนี้นอกระบบ หนี้บัตรเครดิต เพื่อลดภาระที่ต้องจ่าย ในแต่ละเดือนให้น้อยลง ชำระหนี้ที่ยอดหนี้ค้างชำระเหลือน้อยก่อน เพื่อลดจำนวนเจ้าหนี้ให้น้อยลง ช่วยสร้างกำลังใจในการปลดหนี้ รีไฟแนนซ์ คือการกู้เงินก้อนใหม่เพื่อไปใช้คืนเงินกู้ก้อนเก่าโดยได้รับ


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 27 ข้อเสนอที่ดีกว่า เช่น ดอกเบี้ยถูกกว่า เงินผ่อนต่องวดลดลง หรือระยะเวลาผ่อนนานมากขึ้นเมื่อเทียบ กับสัญญากู้เดิม การโอนหนี้บัตรกดเงิน บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ไปยังสถาบันการเงินแห่งใหม่ที่ ดอกเบี้ยต่ำกว่า ถือเป็นการรีไฟแนนซ์อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการรวมหนี้ให้เป็นก้อนเดียว 3) หาที่ปรึกษา เช่น ครอบครัว เจ้านาย รวมไปถึงนักกฎหมาย นักการเงิน หรือการขอความรู้ จากชมรม องค์กร ที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ลูกหนี้ เพื่อหาทางรับมือและเตรียมแนวทางแก้ไข ได้แก่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โครงการคลินิกแก้หนี้ซึ่งเป็นโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน มาจากการร่วมมือ กันระหว่างบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM หรือ บสส.) และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินทั้งธนาคารพาณิชย์ และ Non-Bank เป็นสมาชิกรวม 34 แห่ง 4) เจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ เพื่อขอลดจำนวนเงินผ่อนต่อเดือน ดอกเบี้ย ค่าปรับค่าธรรมเนียม หรือขอข้อเสนอพิเศษอื่น ๆ รูปแบบการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้หรือ การประนอมหนี้ คือ การเจรจาขอแบ่งจ่ายคืนหนี้เป็นงวด ๆ โดยมีเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ขอขยายเวลา การชำระหนี้ 1 - 2 ปี ขอลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนในแต่ละงวด ขอหยุดดอกเบี้ยและไม่คิดดอกเบี้ย ระหว่างที่ผ่อนชำระ ขอให้คิดดอกเบี้ยในอัตราปกติที่ไม่ผิดนัด ขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับ กรณีผิดนัดชำระ ขอโอนหลักประกันเพื่อชำระหนี้ และการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้เพื่อแฮร์คัต คือ การจ่ายคืนหนี้เป็นเงินก้อนเดียว โดยขอส่วนลดยอดหนี้ร้อยละ 30 - 70 แลกกับการจ่ายคืนหนี้ ส่วนที่เหลือให้ทันที ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ที่มีการค้างชำระมานาน 4. วินัยและแผนการชำระหนี้สินครัวเรือน ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่ถกเถียงกันในสังคมมาอย่างต่อเนื่อง เพราะระดับ หนี้ครัวเรือนของไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีปริมาณหนี้ครัวเรือนในระบบกว่า 15 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดที่ครัวเรือนไทยเคยมีมานับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูล เน้นถึงบริบทความรูความเขาใจ วินัยทางการเงินของตัวบุคคลนั้นขอเสนอแนะและขอคิดเห็นเพิ่มเติมคือการเพิ่มองคความรูเขาไป ในบทเรียน โดยเน้นตั้งแต่เยาวชนเป็นพื้นฐาน และการสร้างนวัตกรรมทางการเงินในรูปแบบของ application เพื่อใหประชาชนไดมีสวนรวมไดเรียนรูและสนุกไปกับการบริหารจัดการการเงินภายในครัวเรือน เป็นวิธีการซึมซับและเติมองคความรูไดตลอดจนเกิดเปนพฤติกรรมที่มีวินัยทางการเงิน และเกิดความรู ความเขาใจ และสามารถแกไขจนเห็นผล ดังนั้นบทความนี้จึงมุงเนนในการขยายความรูของสภาพการณหนี้ ครัวเรือนไทย ปญหาภาพรวมภาระหนี้ครัวเรือนเปนสำคัญ ตลอดจนปจจัยที่สงผลตอการเปนหนี้ของ ครัวเรือน เพื่อใหเกิดความรูความเขาใจรายไดและรายจายเบื้องตนสามารถนำไปวางแผนการเงินใน อนาคตไดดวย และนำเสนอแนวทางการแกไขปญหาการเปนหนี้เสียเพื่อใหเกิดความเขาใจในองครวม เปนการปองกันและเปนภูมิคุมกันที่ดีตอครัวเรือนกอนที่จะเขาสูวัฏจักรของการเปนหนี้ ในช่วงท้ายของการประชุมได้ให้ผู้เข้าร่วมการประชุมได้ฝึกปฏิบัติ กรณีศึกษาวิเคราะห์ บัญชีครัวเรือน ซึ่งมีรายได้และค่าใช้จ่าย ตามที่กำหนด ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุมสามารถนำหลักการ


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 28 และเทคนิคในการคำนวณที่ได้อบรมไปแล้วนำมาใช้ได้อย่างครบถ้วน และสามารถจัดทำบัญชีรายรับ -รายจ่าย ประจำเดือนได้อย่างถูกต้อง สรุปแค่หมดหนี้คุณก็จะมีเงินออมเพื่อเป้าหมายต่าง ๆ แล้ว นอกจากนี้ยังได้แนะนำให้ รู้จักดำเนินชีวิตโดยยึดทางสายกลาง การพึ่งพาตนเองได้ ไม่โลภ ทำอะไรที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ยึดวัตถุเป็นที่ตั้ง ไม่หลงตามกระแสนิยม มีความขยันอดทน และมีความเพียร รู้จักมีเป้าหมายในชีวิตและพยายามไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ๆอีกทั้งยังได้เสนอเทคนิคการซื้อสินค้าเงินผ่อน เทคนิคการกู้เงินในการผ่อนซื้อบ้าน ซื้อรถ การหารายได้จากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งให้ฝึก จัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย ประจำเดือนรายบุคคล รวมถึงการลงทุนเพื่อต่อยอดเงินในอนาคต 3. การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระครูสุธีคัมภีรญาณ วิ. ผศ.ดร. ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธาตุพระอารามหลวงอาจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ได้กล่าวถึง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ว่าคือความพอดี หรือ ความพอเพียงได้แก่ พออยู่ พอมี พอกิน สรุปการดำเนินชีวิตทางสายกลางแบบพอดี ภาษาอังกฤษ Sufficiency Economy ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนา เศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ โดยยึดแนวทางการพัฒนาที่มีคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา ซึ่งจะเป็นตัวนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้ 1. แนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการเป็นอยู่อย่างพอเพียง และปฏิบัติตนในทางสายกลาง โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ให้คนในสังคมมีความเป็นอยู่ที่ดี รอดพ้นจากภัยและวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา หลักแนวคิดของความพอเพียงตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือเส้นทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 5 ประการ 1. พอดีด้านจิตใจ (ความรู้) 2. พอดีด้านสังคม 3. พอดีด้านทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. พอดีด้านเทคโนโลยี 5. พอดีด้านเศรษฐกิจ


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 29 1. ด้านจิตใจ (ความรู้) ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเอง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตสำนึกที่ดี สร้างสรรค์ให้ตนเองและชาติโดยรวม มีจิตใจเอื้ออาทร ประนีประนอม ซื่อสัตย์สุจริต เห็นประโยชน์ส่วนรวม เป็นที่ตั้ง ดังกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เกี่ยวกับการพัฒนา คนว่า “บุคคลต้องมีรากฐานทางจิตใจที่ดี คือความหนักแน่นมั่นคงในสุจริตธรรม และความมุ่งมั่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้จนสำเร็จและต้องมีกุศโลบายหรือวิธีการอันแยบยลในการปฏิบัติงาน ประกอบพร้อมด้วย จึงจะสัมฤทธิ์ผลที่แน่นอนและบังเกิดประโยชน์อันยั่งยืนแก่ตนเองและแผ่นดิน 2. ด้านสังคม แต่ละสังคมต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายชุมชน ที่แข็งแรงเป็นอิสระ ดังกระแสพระราชดำรัสความว่า “เพื่อให้งานรุดหน้าไปพร้อมเพรียงกัน ไม่ลดหลั่น จึงขอให้ทุกคนพยายามที่จะทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่ และให้มีการประชาสัมพันธ์กันให้ดี เพื่อให้งาน ทั้งหมดเป็นงานที่เกื้อหนุนสนับสนุนกัน 3. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ใช้และจัดการอย่างฉลาดพร้อมทั้ง การเพิ่มมูลค่า โดยยึดหลักการของความยั่งยืน และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยทำการผลิตควบคู่ไปกับ การธำรงรักษาไว้ซึ่งสภาพแวดล้อม 4. ด้านเทคโนโลยี สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่มีทั้งดี และไม่ดีจึงต้องแยกแยะบนพื้นฐานของภูมิปัญญา และเลือกใช้เฉพาะที่สอดคล้องกับความต้องการ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ สังคมไทย และควรพัฒนาภูมิปัญญาของเราเอง ดังกระแส พระราชดำรัสความว่า “การเสริมสร้างสิ่งที่ชาวบ้านในชนบทขาดแคลนและต้องการ คือความรู้ในด้าน เกษตรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นสิ่งที่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีอย่างใหญ่โตเต็มรูป หรือเต็มขนาดในงานอาชีพหลักของประเทศย่อมจะมีปัญหา” 5. ด้านเศรษฐกิจ แต่เดิมนักพัฒนามักมุ่งที่การเพิ่มรายได้ ไม่ได้มุ่งที่การลดรายจ่าย ในเวลาเช่นนี้จะต้องปรับทิศทางกันใหม่ คือจะต้องมุ่งลดรายจ่ายก่อนเป็นสำคัญ และยึดหลักพออยู่พอใช้ และสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองในระดับเบื้องต้น ดังกระแสพระราชดำรัสความว่า “การที่ต้องการให้ทุกคน พยายามที่จะหาความรู้ และสร้างตนเองให้มั่นคงนี้เพื่อตนเอง เพื่อที่จะให้ตนเองมีความเป็นอยู่ที่ก้าวหน้า ที่มีความสุข พอมีพอกินเป็นขั้นหนึ่งและขั้นต่อไป ก็คือให้มีเกียรติว่ายืนได้ด้วยตัวเอง หากพวกเราร่วมมือ ร่วมใจกันทำสักเศษหนึ่งส่วนสี่ ประเทศชาติของเราก็สามารถพ้นจากวิกฤติได้ 2. คุณลักษณะ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนามาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ทุกระดับ โดยเน้น การปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอนความพอเพียง จะต้องประกอบด้วยคุณลักษณะ ดังนี้ 1) 3 ห่วง 2 เงื่อนไข 3 ห่วง คือ ทางสายกลาง ห่วงที่ 1 คือ รู้จักประมาณตน ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 30 ห่วงที่ 2 คือ มีเหตุผล การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณา จากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ ห่วงที่ 3 คือ มีภูมิคุ้มกัน การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล 2) ความรู้การตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ต้องอยู่บนฐาน เงื่อนไข 2 ประการ คือ เงื่อนไขที่ 1 ความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบ ที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวัง ในการปฏิบัติ เงื่อนไขที่ 2 คุณธรรม ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความอดทน มีความเพียรพยายาม ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต และรู้จักแบ่งปัน คือไม่โลภมาก นึกถึงคนอื่น 3) สร้างสมดุล สร้างความสมดุล 2 ด้าน 1. ความเจริญด้านเทคโนโลยี 2. ภูมิปัญญาไทย เพื่อให้เกิดความสมดุล 4 ด้าน 1. เศรษฐกิจ 2. สังคม 3. สิ่งแวดล้อม 4. วัฒนธรรม 3. แนวทางปฏิบัติ / ผลที่ได้รับ แนวทางปฏิบัติ - พึ่งตนเองเป็นสำคัญ - สร้างนิสัยนิยมไทย - บริหารทรัพยากรอย่างเหมาะสม มีการใช้เทคโนโลยีแบบผสมผสานในการผลิตและใช้ อย่างประนีประนอม ผลิตแบบพอเพียง - จากเล็กไปหาใหญ่ - ทำอย่างประนีประนอม - มีความซื่อสัตย์สุจริตสามารถนามาประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตในทุกสาขาอาชีพ ทั้งข้าราชการนักธุรกิจ และประชาชนทั่วไป


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 31 เกษตรทฤษฎีใหม่ มุ่งเน้นในการจัดการทรัพยากรดิน โดยจัดสัดส่วนที่ดินแบบเศรษฐกิจพอเพียงออกเป็น 4ส่วน คือ1)ขุดสระ 30 2) นาข้าว 30 3) ป่าไม้ 30 และ 4) ที่อยู่อาศัย10 เน้นปลูกข้าวกินเอง มีชีวิตอยู่ แบบพอเพียงเพื่อแก้ปัญหาสังคมความยากจนเป็นสำคัญ แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กับการแก้ไขวิกฤติทางเศรษฐกิจและปัญหาทางสังคมไทย ประการแรก เป็นระบบเศรษฐกิจที่ยึดถือหลักการที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” โดยมุ่งเน้น การผลิตพืชผลให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือนเป็นอันดับแรก เมื่อเหลือจากการบริโภค แล้วจึงคำนึงถึงการผลิตเพื่อการค้า ผลผลิตส่วนเกินที่ออกสู่ตลาดก็จะเป็นกำไรของเกษตรกร ลักษณะเช่นนี้ เกษตรกรจะมีหลายสถานะ โดยจะเป็นผู้กำหนดหรือเป็นผู้กระทำต่อตลาดแทนที่ตลาดจะเป็นตัวกำหนด เกษตรกรดังที่เป็นอยู่ คือการลดค่าใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคในที่ดินของตนเอง เช่น ข้าว น้ำ ปลา ไก่ ไข่ ไม้ผล พืชผัก เป็นต้น ประการที่สอง เศรษฐกิจพอเพียงให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มของชาวบ้าน โดยกลุ่ม ของชาวบ้านหรือองค์กรชาวบ้านจะทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้หลากหลาย ครอบคลุมทั้งการเกษตรแบบผสมผสาน หัตถกรรม การแปรรูปอาหาร การทำธุรกิจ ค้าขาย และการท่องเที่ยว ระดับชุมชน เมื่อองค์กรชาวบ้านเหล่านี้ได้รับการพัฒนาให้เข้มแข็ง และมีเครือข่าย ที่กว้างขวางมากขึ้นแล้ว เกษตรกรทั้งหมดในชุมชนก็จะได้รับการดูแลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งได้รับการแก้ไขปัญหาในทุก ๆ ด้าน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ ประการที่สาม เศรษฐกิจพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเมตตา ความเอื้ออาทร และความสามัคคีของคนในชุมชน ในการร่วมแรง ร่วมใจเพื่อประกอบอาชีพต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จ ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้หมายถึงรายได้แต่เพียงมิติเดียว ยังรวมถึงการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว ชุมชน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจพอเพียงสำหรับบุคคลทั่วไป เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญา เป็นแนวปฏิบัติตนในการดำรงชีวิตตามแนววิถีไทยอยู่พอดี ไม่ฟุ่มเฟือยอย่างไร้ประโยชน์ ไม่ยึดวัตถุเป็นที่ตั้ง เดินสายกลาง อยู่กินตามฐานะ ใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิต เจริญเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจใหญ่ อย่าหวังความสำเร็จชั่วข้ามคืน กู้เงินมาลงทุนโดยหวังรวย อย่างรวดเร็วแล้วนำไปสู่ความล้มละลาย ตั้งอยู่บนหลักของ “ความรู้ รัก สามัคคี” ใช้สติปัญญาปกป้องตนเอง มีความรัก ความเมตตา ที่จะช่วยเหลือสังคมให้รอดพ้นจากภัยคุกคาม และรวมพลังด้วยความสามัคคี ขจัดข้อขัดแย้งนำไปสู่ความประณีประนอม และช่วยกันรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 32 หลักปฏิบัติตนตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 1. ประหยัด ลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ไม่จำเป็นลง ละความฟุ่มเฟือย 2. ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่เอาเปรียบสังคม อยู่ภายใต้กฎหมาย และศีลธรรมอันดี 3. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์ ชิงดี ชิงเด่น เบียดเบียนกัน ประณีประนอม ช่วยเหลือ เกื้อกูลตามสมควรแก่ฐานะ 4. ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง สรุปบทเรียน แก้ไขปรับปรุง แล้วพัฒนาต่อ 5. ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดี ไม่ประพฤติชั่ว การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ในการดำเนินชีวิตก็คือ การพัฒนาที่สมดุล และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี 4. สรุปการจัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย ประจำเดือน สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิต ถ่ายทอด สู่โรงเรียน และสังคมได้ สรุปรายละเอียดได้ดังนี้ 1) ผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างวินัยทางการเงินและการดำเนินชีวิตตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร - นำความรู้เทคนิคไปเป็นข้อมูลการตั้งเป้าหมาย วางแผน ออกแบบ การบริหารจัดการรายรับ -รายจ่าย รวมทั้งแสวงหาช่องทางในการเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สิน/การลงทุน สร้างแนวคิดปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตใหม่ ปรับการใช้เงินในครอบครัว ยึดหลัก พออยู่ พอกิน พอใช้ ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่าย ลดความฟุ่มเฟือยในการดำรงชีพ มีสติที่มั่นคงปรับวิถีชีวิต เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น -สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้ โดยนำมาใช้งานแผนชีวิต วางแผนทางด้านการเงิน สามารถทำบัญชีครัวเรือนเพื่อควบคุมการใช้เงินไม่ให้เกิดปัญหา ได้เรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง เพื่อนำกลับมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข, การอบรมครั้งนี้ ทำให้มีสติมากขึ้น และเกิดความตระหนักในการวางแผนด้านการเงินมากขึ้น -สามารถนำไปประยุกต์ใช้โดยการตระหนักในวินัยเรื่องการใช้จ่ายเงินและจัดทำบัญชีรายรับ -จ่าย เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนและปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมเพื่ออนาคตทางการเงินที่ดีในอนาคต นำมาปรับ ประยุกต์ในการวางแผนการใช้จ่ายเงิน การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ด้านเศรษฐกิจ เช่น การใช้จ่ายเงิน ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ไม่ลงทุนเกินขนาด คิดและวางแผนอย่างรอบคอบ มีภูมิคุ้มกันที่ดีไม่เสี่ยงเสมอไป เช่น ทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย เพื่อที่จะจัดการการใช้จ่ายเงินได้อย่างเป็นธรรม ด้านจิตใจ มีจิตใจที่ เข้มแข็ง มีจิตสำนึกที่ดี เอื้อเฟื้อเพื่อแผ่ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน - สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยการปรับเปลี่ยนการใช้เงินในการดำรงชีวิต วางแผนการใช้เงิน มีกรอบการใช้เงิน บัญชีรายรับ-รายจ่าย ตระหนักและเห็นความสำคัญในการใช้จ่ายเงิน ตามสิ่งที่จำเป็น (หลีกเลี่ยงหรือลดสิ่งที่ต้องการ) เห็นความสำคัญในการวางแผนการเงิน นำหลักความพอเพียง ไปใช้ในการดำเนินชีวิต ดำเนินชีวิตบนหลักของการพออยู่ พอมี พอกิน


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 33 -สามารถนำความรู้และการเขียนบัญชีรายรับ-รายจ่าย มาพิจารณารายจ่าย หรือนิสัยการใช้จ่าย ของตนเองที่ไม่จำเป็นหรือเกินจำเป็น รู้จักหักห้ามใจหรือคิดพิจารณาก่อนซื้อ ได้รู้ว่าการใช้จ่ายตรงไหน ที่ไม่เป็นประโยชน์ และควรตัดการด้วยการใช้จ่ายอย่างไร จัดการหนี้อย่างไร - นำความรู้ที่ได้จากการเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างวินัยทางการเงิน มาจัดทำบัญชี รายรับ - รายจ่าย ของครอบครัว เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำแผนการเงินปรับปรุงพฤติกรรมการใช้จ่าย โดยการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข และนำความรู้ที่ได้รับไปขยาย และต่อคณะครูบุคลากรในโรงเรียน และผู้ปกครองของนักเรียนในชุมชน 2) ผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างวินัยทางการเงินและการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาถ่ายทอดสู่โรงเรียน และสังคมได้อย่างไร - นำเสนอ Application Financial Calculators สู่สมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เพื่อเป็นแนวทาง การบริหารจัดการเงิน, นำเสนอการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา เพื่อสร้างความเข้าในให้ตรงกันในหลักการ, ทำตนเองให้เป็นแบบอย่างก่อน แล้วนำเสนอวิธีปฏิบัติที่ดี สู่สาธารณชน - ถ่ายทอดความรู้ ความเช้าใจ ประวัติ ความเป็นมา แนวทางตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคม โดยนำ แนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต - ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ที่ได้จากการอบรมให้กับเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และคนรอบข้าง ด้วยการเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งในด้านการดำเนินชีวิตทั่วไป และการบริหารจัดการ วางแผนด้านการเงินและจะแนะนำโครงการนี้ให้กับสมาชิกกู้ยืมกองทุนหมุนเวียนฯ ที่ยังไม่เคยมาร่วม ประชุม ได้สมัครมาร่วมประชุมในโอกาสต่อไป - นำความรู้ที่ได้มาสอดแทรกในกิจกรรมการเรียนรู้การสอนให้นักเรียนได้ฝึกทำบัญชีรายรับ -จ่าย ในรอบแต่ละเดือน เพื่อฝึกความรับผิดชอบตั้งแต่ยังเด็กและสามารถปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมวางแผน การใช้เงินให้รอบคอบขึ้น มีการจดบันทึกรายรับ -รายจ่าย พยายามใช้เงินตามกรอบ หักใช้หนี้เพิ่มขึ้น สามารถ แนะนำเพื่อนๆ ในโรงเรียนได้โดยเฉพาะเรื่องการบันทึกรายรับ - จ่าย เพื่อเป็นกรอบในการใช้เงิน ให้พอดีไม่ก่อหนี้เพิ่ม - สอนการใช้ชีวิตแบบพอเพียง สอนและถ่ายทอดการทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย ให้กับบุคลากร ในโรงเรียน แนะนำการทำรายรับ - รายจ่าย และการแนะนำการบริหารจัดการหนี้และนำมาบูรณา การผ่านแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ - สามารถนำไปเป็นหัวข้อหนึ่งของการประชุมระดับโรงเรียน เพราะเกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ของบุคลากรในโรงเรียนด้วย รวมทั้งสามารถแนะนำให้ความรู้แก่ผู้ปกครองนักเรียน และชุมชน ใกล้เคียงได้ด้วย โดยแนะนำแนวทางการใช้ชีวิต การดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ก่อหนี้สิน ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ใช้ชีวิตที่หรูหรา และแนะนำการจดบันทึกบัญชีรายรับรายจ่าย และพิจารณาเพื่อจุดรูรั่ว ลดค่าใช้จ่าย


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 34 รู้จักวิเคราะห์ว่าสิ่งใดจำเป็นหรือไม่ สร้างกรอบรายจ่ายของตนเอง และใช้ให้อยู่ในกรอบนำความรู้ที่ได้ จากการอบรมการบริหารการเงินไปเผยแพร่กับคุณครูในโรงเรียน นักเรียน และผู้ปกครองให้เข้าใจ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน การจัดแผนการใช้เงิน ปลดหนี้ มีเงินออม ให้ทุกคนเดินสายกลาง เพื่อความผาสุกในการดำเนินชีวิตต่อไป 3) ข้อเสนอแนะอื่นๆ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและรณรงค์การดำเนินชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ควรจัดให้กระจายตามเขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ เพื่อให้ครูรุ่นหลัง ไม่เข้ามาสู่วังวนการเป็นหนี้ครูรายใหม่ ๆ ต่อไป และควรจัดหลักสูตรอบรมหนี้กับครูทั่วประเทศ โดยเฉพาะครูบรรจุใหม่ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต การจัดการหนี้ แนวทางในการหมดหนี้ และ เกิดความตระหนักในการวางแผนด้านการเงินมากขึ้น สรุปการบรรยายและอภิปรายการจัดประชุม ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 9 - 10 สิงหาคม 2566 ณ โรงแรมเชียงใหม่ฮอลิเดย์ การ์เดน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 1. ข้อคิดการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นางทิพพาศรี อินทะกูล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาระบบบริหารงานบุคคล ได้กล่าวถึง ข้อคิดในเรื่องการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพครู การเตรียมความพร้อมและพัฒนาเพื่อให้ได้วิทยฐานะที่สูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อค่าตอบแทนที่ครูจะได้รับ โดยได้บรรยายแนะนำสำนักงาน ก.ค.ศ.การทำงานของ ก.ค.ศ. เราทำงานในรูปแบบขององค์คณะกรรมการ เพื่อบริหารงานบุคคล ไม่ได้ทำงานโดยคนใดคนหนึ่ง บทบาทหน้าที่ของ ก.ค.ศ. มี 8 ด้านด้วยกัน ด้านที่ 1 ด้านอัตรากำลัง จะประกอบไปด้วยการกำหนดกรอบอัตรากำลัง เกณฑ์มาตรฐานอัตรากำลัง สารสนเทศเพื่อการบริหารงานบุคคล การวางแผนอัตรากำลัง การต่ออายุราชการ ด้านที่ 2 ระบบการสรรหา ประกอบด้วยการกำหนดมาตรฐานตำแหน่ง การรับรองคุณวุฒิ การสอบการแข่งขัน การคัดเลือก การโอน ด้านที่ 3 ระบบการพัฒนา ได้แก่ การเตรียมความพร้อม และพัฒนาอย่างเข้ม การพัฒนาระหว่าง ประจำการ การพัฒนาก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง การพัฒนาผู้ไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อคงวิทยฐานะ พัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านที่ 4 ระบบการส่งเสริมความก้าวหน้า ได้แก่ การให้มีและเลื่อนวิทยฐานะ การย้าย/การเปลี่ยนตำแหน่ง การพัฒนามาตรฐานวิทยฐานะ การประเมินตามมาตรา 55 การประเมินตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2) การประเมินวิทยฐานะระดับเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ การกระจายอำนาจ การประเมินวิทยฐานะชำนาญการพิเศษไปสู่ กศจ. ด้านที่ 5 ระบบเงินเดือนค่าตอบแทน ได้แก่ การจัดทำ พรบ. เงินเดือนฯ การจัดทำกฎ ก.ค.ศ. การกำหนดเงินค่าตอบแทนพิเศษ การปรับเงินเดือนตามนโยบายรัฐบาล ด้านที่ 6 สวัสดิการและขวัญกำลังใจ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา การเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การให้ได้รับเงินวิทยพัฒน์ การจัดสวัสดิการให้แก่ข้าราชการครูผู้ถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจาก


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 35 การปฏิบัติหน้าที่ราชการ การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ การเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ ให้แก่ข้าราชการครูที่มีผลงานดีเด่นเป็นประจักษ์ และการประชุมในวันนี้ก็อยู่ในด้านนี้โดยตรง พร้อมทั้งได้ชี้แจงจุดเน้นกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ได้ให้ความสำคัญมาก ๆ กับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งพบว่าข้าราชการครูมีหนี้สิน จำนวนมากซึ่งมีมากกว่า 1.4 ล้านล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สิน ข้าราชการครู ซึ่งปัจจุบันได้มีการขอให้สถาบันการเงินต่าง ๆ ช่วยปรับลดดอกเบี้ยให้ต่ำลงจากเดิม และในส่วนของสำนักงาน ก.ค.ศ. ก็ได้ดำเนินงานเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูซึ่งได้จัดสรร ให้กับข้าราชการครูกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ำซึ่งปัจจุบันร้อยละ 4 แต่เป็นการบรรเทาภาระหนี้ เพราะวงเงิน มีจำนวนจำกัด ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2540 ซึ่งปัจจุบันผู้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียน ต้องมีเงินคงเหลือร้อยละ 30 หลังจากชำระหนี้ทุกอย่างแล้ว ในอดีตที่ผ่านมามีผู้กู้ยืมที่ขาดวินัย ทางการเงิน จึงทำให้กรมบัญชีกลางซึ่งเป็นผู้ประเมินผลการปฏิบัติงานของเงินทุนหมุนเวียนได้กำหนด ตัวชี้วัดให้สำนักงาน ก.ค.ศ. มาจัดอบรมให้ความรู้เพื่อเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินและรณรงค์ การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งได้เห็นทุกท่านแล้วรู้สึกปลื้มใจที่ได้มีโอกาส มาพบกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่านที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกในภาคเหนือ ให้มาเข้าร่วมประชุมในวันนี้ถือว่าเป็นคนพิเศษและโชคดีกว่าหลายๆ คน ที่ได้รับการอนุมัติให้เข้ามาอยู่ ในโครงการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ และหวังว่าทุกท่านที่เข้าร่วมอบรมจะนำความรู้ที่ได้รับ ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น 2. การบริหารจัดการหนี้ บรรยายโดย อาจารย์กิตติพัฒน์ แสนทวีสุข ผู้อำนวยการสถานบริการวิชาการตลาดทุน เศรษฐกิจและธุรกิจประยุกต์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้กล่าวถึง แนวทางการบริหารจัดการการเงิน การบริหารจัดการหนี้สิน ดังนี้ 1. การวางแผนชีวิต และการวางแผนการเงิน 2. บัญชีครัวเรือน การเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง 3. งบประมาณครอบครัวและแผนการใช้เงิน 4. มูลค่าเงินตามเวลาและการประยุกต์ใช้ 1. การวางแผนชีวิต และการวางแผนการเงิน เป้าหมายของชีวิต พิชิตได้ด้วยแผนการเงิน เป้าหมายชีวิตคือสุขกาย สุขใจ สุขเงิน สร้าง Happy Money, Happy Retirement สร้างได้5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) กำหนดเป้าหมาย การกำหนดเป้าหมายที่ดีต้องเป็นไปตามหลัก SMART S=Specific ชัดเจน M=Measurable วัดผลได้ A=Accountable ทำสำเร็จ R=Realistic บรรลุผล T=Time bound มีกำหนดเวลาโดยต้องแยกระหว่างสิ่งที่อยากได้ จำเป็นและต้องมี แล้วเรียงลำดับความสำคัญของ เป้าหมาย โดยนำสิ่งที่จำเป็นและต้องมีมากำหนดเป้าหมายก่อน


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 36 2) สำรวจตนเองเบื้องต้น โดยตรวจสอบสุขภาพทางการเงินด้วยงบการเงินส่วนบุคคล จัดทำงบดุลส่วนบุคคล งบรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (จัดทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย ประจำเดือน) เพื่อควบคุมตัวเอง รายได้หลัก รายได้เสริม เติมให้เต็มตุ่มชีวิต (รายได้) และอุดรูรั่วตุ่ม (ค่าใช้จ่าย) 3) จัดทำแผนการเงิน เมื่อกำหนดเป้าหมายและสำรวจสถานการณ์เงินของตนเอง เรียบร้อยแล้ว ต้องมีการเขียนแผนพร้อมระบุวิธีที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายอย่างชัดเจน 4) ปฏิบัติตามแผนที่วางแผนไว้คือ ตั้งเป้า ตั้งใจ มีวินัย 5) ทบทวนและปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอ 2. บัญชีครัวเรือน การเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง “บัญชีครัวเรือน” เป็นการประยุกต์ทางการบัญชีเพื่อใช้เป็นเครื่องมือประเภทหนึ่ง ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เห็นภาพรวม ทัศนคติ พฤติกรรม และสถาะทางการเงินของตนเอง งบรายได้และค่าใช้จ่าย แสดงให้เห็นพฤติกรรมการใช้จ่าย และการคาดการณ์การใช้จ่ายในอนาคต เงินสด คงเหลือมากมีพฤติกรรมการใช้จ่ายดี สามารถออม/ลงทุนเพิ่มได้ มีรายได้จากหลายช่องทาง ค่าใช้จ่าย น้อยลง ผู้จัดทําบัญชีครัวเรือนสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็นทำให้เกิดการประหยัดและการออม และในที่สุดจะสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้อย่างยั่งยืน 3. งบประมาณครอบครัวและแผนการใช้เงิน ชีวิตคนเรา ในแต่ละช่วงชีวิตล้วนมีโจทย์ที่ต้องเผชิญ มีเรื่องที่ต้องมุ่งเน้นและให้ความสำคัญ ที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเตรียมและวางแผนการเงินที่สอดคล้องกับแต่ละช่วงชีวิตจะเป็นแผนที่นำทาง ที่ช่วยให้สามารถผ่านแต่ละช่วงชีวิตไปได้อย่างมั่นคง 1) วางแผนชีวิต ชีวิตไม่ควรปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรมโดยไม่มีเป้าหมาย ต้องรู้จัก ตัวเองและตั้งเป้าหมายในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและจะจัดสรรการเงินอย่างไร เช่น การมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ควรมีอย่างน้อย ๆ 3 –6เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนสำหรับพนักงานประจำ และ 6 –12เดือนสำหรับอาชีพอิสระหรือเจ้าของกิจการ การศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นควรถามตัวเองว่า ต้องการศึกษาต่อด้านใด เป็นสถาบันการศึกษาในประเทศหรือต่างประเทศ ใช้งบประมาณเท่าใด ซึ่งการเลือกว่า จะศึกษาด้านใดก็ควรสอดคล้องกับเป้าหมายการทำงานของตัวเองด้วยการซื้อที่อยู่อาศัย ต้องเลือกให้สอดคล้อง กับการใช้ชีวิตของตัวเอง เลือกทำเลที่ตั้ง โดยจะเป็นบ้านเดี่ยวหรือคอนโดมิเนียม และงบประมาณเท่าใด การตั้งเป้าหมายการเงินอื่นๆ เช่น อยากมีเงินออม 1ล้านบาท ภายใน 10 ปี โดยตั้งใจจะลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ในรูปแบบ DCA อย่างน้อยเดือนละ 5,000 บาท และจะลงทุนเพิ่มเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น 2) วางแผนรายได้ค่าใช้จ่าย จัดทำงบประมาณรายเดือนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี และพยายาม อย่าก่อหนี้ โดยเฉพาะหนี้การบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 3) วางแผนบริหารความเสี่ยง แน่นอนว่าทุกคนคงไม่สามารถมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน สำหรับทุก ๆ ความเสี่ยงได้ ดังนั้น จึงควรจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง ด้วยการเปรียบเทียบระหว่าง ความคุ้มครองที่ต้องการในแต่ละด้าน เช่น ตกงาน ขาดรายได้ อุบัติเหตุ เสียชีวิต ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น กับความคุ้มครองที่มีอยู่แล้ว เช่น เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ประกันชีวิต สินทรัพย์สภาพคล่องอื่น ๆ


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 37 สวัสดิการจากนายจ้าง และเมื่อคำนวณแล้วหากติดลบ แปลว่า ความคุ้มครองยังไม่เพียงพอ ก็ควร พิจารณาวางแผนการเงินเพิ่มเติม 4) วางแผนเกษียณอายุ เป็นเงินก้อนใหญ่สุดในชีวิตที่ต้องเก็บออม เพราะเมื่อถึงวัน เกษียณ รายได้จะลดลงหรือไม่มี จึงควรวางแผนว่าต้องการใช้เงินเท่าใดหลังเกษียณ โดยประเด็นที่ สำคัญ คือ ยิ่งวางแผนเร็วเท่าไหร่ ยิ่งทำให้มีเวลาลงทุนนานเท่านั้น และสามารถจัดพอร์ตเพื่อคาดหวัง ผลตอบแทนให้สูงขึ้นได้อีกด้วย 5) ศึกษาเรื่องภาษี ในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน รายได้อาจยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี แต่ ควรศึกษาไว้ อย่างน้อยก็รู้ว่ารายได้ขั้นต่ำเท่าใดจึงจะต้องยื่นภาษี เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องเสียภาษีจะ สามารถยื่นภาษีได้ถูกต้อง ไม่ติดขัด 6) วางแผนการศึกษาของลูก เป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถประมาณการได้ จึงควรทำงบประมาณ โดยการแบ่งออกเป็นแต่ละช่วงวัย เช่น เรียนระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และปริญญาตรี นอกจากต้องจัดเตรียมเงินออมแล้ว ควรทำประกันให้เพียงพอกับงบประมาณ เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ก็ยังมีเงินให้ลูกเรียนหนังสือต่อได้ 7) บริหารรายได้ค่าใช้จ่าย ในช่วงวัยนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากพอสมควร และอาจเกิน งบประมาณโดยไม่รู้ตัว จึงควรจัดทำรายการรายได้ค่าใช้จ่าย จัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม และคอย สังเกตการใช้จ่ายสม่ำเสมอ 8) ปรับเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน เมื่อความรับผิดชอบทางการเงินสูงขึ้น เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ก็ควรปรับเพิ่มให้เหมาะสมตามไปด้วย เช่น ควรมี 12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน 9) ปรับความคุ้มครองชีวิต ควรทบทวนและปรับเพิ่มความคุ้มครองชีวิต ทุพพลภาพ และเผื่อโรคร้ายแรงไว้ให้เหมาะกับความรับผิดชอบทางการเงินด้วย 10) เริ่มศึกษากลยุทธ์การบริหารเงินหลังเกษียณ ควรเริ่มศึกษากลยุทธ์ในการบริหารเงิน ก้อนโตหลังเกษียณ เพื่อให้เหมาะกับการใช้ชีวิตและมีเงินใช้เพียงพอไปตลอดชีพ เช่น หาช่องทางการลงทุน ให้เงินต้นมีความปลอดภัยมากที่สุด จะเห็นว่า ในแต่ละช่วงชีวิตมีประเด็นทางการเงินที่ต้องวางแผนหรือทบทวนในรายละเอียด ที่แตกต่างกัน อาจมองว่าการวางแผนการเงินตามแต่ละช่วงชีวิตมีหลายประเด็น แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะจัดการ ที่สำคัญหากวางแผนมาดีตั้งแต่เนิ่น ๆ และติดตาม ทบทวนแผนสม่ำเสมอ รับรองมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต 4. มูลค่าเงินตามเวลาและการประยุกต์ใช้ ทางเลือกการลงทุน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1)การลงทุนในทรัพย์สินที่จับต้องได้ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ วัตถุโบราณ เหรียญกษาปณ์ เครื่องประดับ อัญมณี พระเครื่อง เครื่องราง 2)การลงทุนในทรัพย์สินทางการเงิน ได้แก่ เงินฝาก สลากออมทรัพย์ สหกรณ์ออมทรัพย์ ตราสารหนี้ กองทุนรวม LTF/RMF/SSF หุ้น


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 38 ตราสารหนี้ (พันธบัตร/หุ้นกู้) คือหลักทรัพย์ที่แสดงสิทธิความเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ซื้อจะได้รับ ดอกเบี้ยตามที่กำหนดและมีโอกาสได้กำไรจากการซื้อขายตราสารหนี้ จุดเด่นก็คือ มีสิทธิเรียกร้องเงินทุน คืนก่อนเจ้าของกิจการ ได้รับดอกเบี้ยแน่นอนตรงเวลา ความเสี่ยงต่ำ เงินต้นปลอดภัย กองทุนรวม คือ การที่บริษัทจัดการลงทุนออกหน่วยลงทุนมาเพื่อระดมเงินทุนไป ซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้นสามัญ ตราสารหนี้ และมีมืออาชีพบริหารจัดการและลงทุนตามนโยบาย การลงทุนให้เงินเติบโตขึ้น ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผล (ถ้ามี) และโอกาสได้กำไรจากการซื้อขายกองทุนรวม มีทั้งประเภทกองทุนปิด และกองทุนเปิด หมดหนี้ มีออม รายละเอียด ดังนี้ 1. รู้เท่าทัน “หนี้” และประเภทของหนี้สิน 2. กลไกการกู้เงิน และวิธีทำการตลาดสินเชื่อ 3. ภาระหนี้ และ 4 ขั้นตอนปลดหนี้ 4. วินัยและแผนการชำระหนี้สินครัวเรือน การออมเงิน (Savings) หมายถึง การสะสมเงินรายได้ในส่วนที่จัดสรรจากส่วนต่าง ๆ ไว้ใช้จ่าย ในอนาคตรวมถึงสะสมสิ่งที่มีค่าเป็นตัวเงินและมีประโยชน์ต่อครอบครัว เช่น ทองคำ เพชร เครื่องประดับ ที่ดิน และอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งการเก็บรายได้สุทธิเมื่อหักรายจ่ายแล้วจะมีส่วนที่เหลืออยู่เรียกว่าเงินออม สาเหตุและเหตุผลที่ทำให้เราเก็บออมเงินก้อนไม่ได้ มีดังนี้ 1. มีรายได้ไม่แน่นอนหรือรายได้น้อย เช่น พนักงานรายวัน ลูกจ้างรับเหมา นักเรียน นักศึกษา ฯ 2. วางแผนการใช้เงินไม่เป็น 3. ใช้เงินเกินจำเป็นหรือใช้เงินฟุ่มเฟือย 4. นำเงินไปลงทุนทำธุรกิจทั้งหมดโดยไม่เก็บเงินบางส่วนเอาไว้สำรองจ่าย 5. ติดหรู ติดแบรนด์เนม ตามกระแส 6. มีหนี้สินและภาระเยอะ 7. อยู่ในช่วงวัยเรียน วัยศึกษา 8. อยู่ในช่วงวัยเรียน วัยศึกษา 9. ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดยาเสพติด 10. ไม่รู้จักค่าของเงินหรือหาเงินใช้เองไม่เป็นยังอาศัยพ่อแม่อยู่ 11. ตกงาน หรือเลือกงานจนเกินไป 12. ชอบหาข้ออ้างในการออม ปัญหาที่พบส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยหรือมีรายได้ไม่แน่นอน มีหนี้สินและภาระเยอะ รองลงมาคือไม่มีการวางแผนการออมเงินหรือออมแบบไม่ได้คิดว่าเงินที่ออมอาจจะต้องนำมาใช้จ่ายอย่างอื่นด้วย หรือใช้เงินและใช้เงินซื้อของตามกระแส เช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ของแบรนด์เนม เห็นคนอื่นมีก็อยากได้


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 39 โดยที่ไม่ได้ดูกำลังทรัพย์ของตัวเอง และสาเหตุที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือ ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดยาเสพติด ติดการพนัน ติดผู้หญิง ติดเที่ยวกลางคืน เป็นต้น 1. รู้เท่าทัน “หนี้” และประเภทของหนี้สิน จริงๆ แล้วการเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายหากคุณเลือกเฉพาะหนี้ดี หนี้ดีคือหนี้ที่ ก่อให้เกิดรายได้ลงทุนเพื่ออนาคตที่ดี ไม่กระทบสภาพคล่อง ใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ มีกฎหมายคุ้มครอง มีหนี้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ได้แก่ 1) หนี้บัตรเครดิต/หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล/หนี้ผ่อนสินค้า ควรไม่เกิน ร้อยละ 10 -20 ของรายได้ต่อเดือน 2) หนี้จากการผ่อนบ้านควรไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ต่อเดือน 3) หนี้จากการผ่อนรถ ควรไม่เกินร้อยละ 20 ของรายได้ต่อเดือน โดยหนี้สินรวมทั้งหมด ควรไม่เกินร้อยละ 50 ของรายได้ต่อเดือน เป็นหนี้อย่างถูกวิธี หากคุณไม่อยากให้หนี้สร้างปัญหาให้คุณในอนาคตลองหยุดคิดและใช้ Checklikst ถามตัวเองก่อนก่อหนี้ คำถามเพื่อหยุดคิด มีดังนี้ 3.1) เรากำลังเป็นหนี้เพราะความจำเป็น (Need) หรือความต้องการ (Want) 3.2) เราจะมีเงินเพียงพอผ่อนชำระหนี้ไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ 3.3) ยอดเงินผ่อนหนี้จะกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราหรือไม่ 3.4) ดอกเบี้ยต่องวดและดอกเบี้ยทั้งหมดที่ต้องจ่ายคุ้มค่ากับการเป็นหนี้หรือไม่ 3.5) ถ้าไม่เป็นหนี้วันนี้ เดือนนี้เราจะเดือนร้อนหรือไม่ 3.6) มีทางเลือกที่ดีกว่านี้จากเจ้าหนี้รายอื่นหรือหนี้ประเภทอื่นหรือไม่ 3.7) มีทางเลือกอื่นๆ นอกจากการเป็นหนี้ใช่หรือไม่ ผลของคำตอบทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าการก่อหนี้ในครั้งนี้จะสร้างปัญหาให้คุณในอนาคตหรือไม่ 2. กลไกการกู้เงิน และวิธีทำการตลาดสินเชื่อ 1)การรู้ทันดอกเบี้ยเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.1) อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ คือ จะคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นทั้งหมด ไม่ได้คิด ดอกเบี้ยจากยอดเงินที่ลดลงทำให้เสียดอกเบี้ยมากกว่าปกติ (เงินต้นลด ดอกเบี้ยไม่ลด) 1.2) อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก คือ ดอกเบี้ยจะถูกคิดจากเงินต้นคงเหลือ ในแต่ละเดือน (เงินต้นลด ดอกเบี้ยลด) 2) การรู้จักหนี้ที่อาจก่อให้เกิดปัญหา ได้แก่ 2.1) หนี้นอกระบบ ขอกู้ง่าย คิดดอกเบี้ยแบบคงที่ในอัตราที่สูง แต่มีวิธีการทวงหนี้ ค่อนข้างรุนแรง ถ้าผิดนัดชำระหนี้หรือค้างค่างวด 2.2) หนี้บัตรเครดิต ใช้รูดซื้อของแทนเงินสด ระยะปลอดดอกเบี้ย 45 - 50 วัน คิดดอกเบี้ยเป็นรายวันตั้งแต่วันแรกที่ใช้สูงสุดร้อยละ 16 ต่อปี จึงไม่ควรชำระแค่ขั้นต่ำ


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 40 2.3) บัตรกดเงินสด สมัครง่าย เหมาะกับคนที่ต้องการเงินสดด่วน และสามารถผ่อน ชำระคืนเร็วเพราะดอกเบี้ยสูงสุดร้อยละ 25 ต่อปี 2.4) หนี้สินเชื่อส่วนบุคค วงเงินสูง ขอกู้ง่าย ระยะเวลาผ่อนชำระยาว แต่คิดดอกเบี้ยสูง เพราะไม่ต้องใช้หลักประกัน จึงมักจะกู้เป็นประจำ และกลายเป็นหนี้หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ 2.5) หนี้สินค้าเงินผ่อน ดอกเบี้ยต่ำหรือร้อยละศูนย์ เพราะจัดโปรโมชั่นกับผู้ขาย แต่ถ้าผิดนัดชำระหรือค้างค่างวดจะถูกคิดดอกเบี้ยรายวันอัตราปกติร้อยละ 25ต่อปี และต้องระวังไม่ก่อหนี้ เงินผ่อนพร้อมกันหลายอย่าง 2.6) หนี้ผ่อนรถ คิดดอกเบี้ยแบบคงที่จากวงเงินกู้ทั้งหมดตั้งแต่แรก แล้วค่อยหาร เป็นงวดที่ต้องผ่อนต่อเดือน จึงควรมีเงินดาวน์เยอะ ๆ 2.7) หนี้ผ่อนบ้าน คิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกแต่เป็นการกู้ระยะยาว 10 - 35 ปี รวมกับอายุผู้กู้แล้วไม่เกิน 60 ปี ซึ่งถ้าเพิ่มเงินผ่อนต่อเดือนจะประหยัดดอกเบี้ยได้มาก วิทยากรได้สอนวิธีการคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยของหนี้แต่ละชนิดที่สถาบันการเงิน ใช้เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการส่งเงินชำระค่างวด เพื่อให้รู้เท่าทันและห่างไกลการเอาเปรียบ จากสถาบันการเงิน เทคนิคการซื้อสินค้าเงินผ่อน เทคนิคการกู้เงินในการผ่อนซื้อบ้าน ซื้อรถ การหารายได้ จากอสังหาริมทรัพย์และมีการฝึกทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และงบดุลส่วนบุคคล พร้อมทั้งแนะนำ วิธีการออมเงิน รวมไปถึงการลงทุนเพื่อต่อยอดเงินอีกด้วย 3. ภาระหนี้ และ 4 ขั้นตอนปลดหนี้อยากปลดหนี้ทำอย่างไร 1) ตั้งสติ สรุปหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ บันทึกภาระหนี้สินลงในตาราง และจัดลำดับความสำคัญ ของหนี้ เพื่อให้รู้ว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ละเดือนต้องจ่ายเท่าไหร่ หนี้ก้อนไหนเสียดอกเบี้ยเยอะที่สุด 2) ชำระคืนหนี้อย่างฉลาด หยุดก่อหนี้ใหม่ หาทางลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ เพื่อให้ มีเงินไปชำระหนี้มากขึ้น ขายสินทรัพย์บางอย่างออกไป เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ เร่งชำระหนี้ที่มีอยู่ให้หมดเร็ว ที่สุดมี 2วิธี คือชำระหนี้ที่ดอกเบี้ยแพงสุดก่อน เช่น หนี้นอกระบบ หนี้บัตรเครดิต เพื่อลดภาระที่ต้องจ่าย ในแต่ละเดือนให้น้อยลง ชำระหนี้ที่ยอดหนี้ค้างชำระเหลือน้อยก่อน เพื่อลดจำนวนเจ้าหนี้ให้น้อยลง ช่วยสร้างกำลังใจในการปลดหนี้ รีไฟแนนซ์ คือการกู้เงินก้อนใหม่เพื่อไปใช้คืนเงินกู้ก้อนเก่าโดยได้รับ ข้อเสนอที่ดีกว่า เช่น ดอกเบี้ยถูกกว่า เงินผ่อนต่องวดลดลง หรือระยะเวลาผ่อนนานมากขึ้นเมื่อเทียบ กับสัญญากู้เดิม การโอนหนี้บัตรกดเงิน บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ไปยังสถาบันการเงินแห่งใหม่ที่ ดอกเบี้ยต่ำกว่า ถือเป็นการรีไฟแนนซ์อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการรวมหนี้ให้เป็นก้อนเดียว 3) หาที่ปรึกษา เช่น ครอบครัว เจ้านาย รวมไปถึงนักกฎหมาย นักการเงิน หรือการขอความรู้ จากชมรม องค์กร ที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ลูกหนี้ เพื่อหาทางรับมือและเตรียมแนวทางแก้ไข ได้แก่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โครงการคลินิกแก้หนี้ซึ่งเป็นโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน มาจากการร่วมมือ กันระหว่างบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM หรือ บสส.) และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินทั้งธนาคารพาณิชย์ และ Non-Bank


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 41 4) เจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ เพื่อขอลดจำนวนเงินผ่อนต่อเดือน ดอกเบี้ย ค่าปรับค่าธรรมเนียม หรือขอข้อเสนอพิเศษอื่น ๆ รูปแบบการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้หรือ การประนอมหนี้ คือ การเจรจาขอแบ่งจ่ายคืนหนี้เป็นงวด ๆ โดยมีเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ขอขยายเวลา การชำระหนี้ 1 - 2 ปี ขอลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนในแต่ละงวด ขอหยุดดอกเบี้ยและไม่คิดดอกเบี้ย ระหว่างที่ผ่อนชำระ ขอให้คิดดอกเบี้ยในอัตราปกติที่ไม่ผิดนัด ขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับ กรณีผิดนัดชำระ ขอโอนหลักประกันเพื่อชำระหนี้ และการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้เพื่อแฮร์คัต คือ การจ่ายคืนหนี้เป็นเงินก้อนเดียว โดยขอส่วนลดยอดหนี้ร้อยละ 30 - 70 แลกกับการจ่ายคืนหนี้ ส่วนที่เหลือให้ทันที ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ที่มีการค้างชำระมานาน 4. วินัยและแผนการชำระหนี้สินครัวเรือน ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่ถกเถียงกันในสังคมมาอย่างต่อเนื่อง เพราะระดับ หนี้ครัวเรือนของไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีปริมาณหนี้ครัวเรือนในระบบกว่า 15 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดที่ครัวเรือนไทยเคยมีมานับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูล เน้นถึงบริบทความรูความเขาใจ วินัยทางการเงินของตัวบุคคลนั้นขอเสนอแนะและขอคิดเห็นเพิ่มเติมคือการเพิ่มองคความรูเขาไป ในบทเรียน โดยเน้นตั้งแต่เยาวชนเป็นพื้นฐาน และการสร้างนวัตกรรมทางการเงินในรูปแบบของ application เพื่อใหประชาชนไดมีสวนรวมไดเรียนรูและสนุกไปกับการบริหารจัดการการเงินภายในครัวเรือน เป็นวิธีการซึมซับและเติมองคความรูไดตลอดจนเกิดเปนพฤติกรรมที่มีวินัยทางการเงิน และเกิดความรู ความเขาใจ และสามารถแกไขจนเห็นผล ดังนั้นบทความนี้จึงมุงเนนในการขยายความรูของสภาพการณหนี้ ครัวเรือนไทย ปญหาภาพรวมภาระหนี้ครัวเรือนเปนสำคัญ ตลอดจนปจจัยที่สงผลตอการเปนหนี้ของ ครัวเรือน เพื่อใหเกิดความรูความเขาใจรายไดและรายจายเบื้องตนสามารถนำไปวางแผนการเงินใน อนาคตไดดวย และนำเสนอแนวทางการแกไขปญหาการเปนหนี้เสียเพื่อใหเกิดความเขาใจในองครวม เปนการปองกันและเปนภูมิคุมกันที่ดีตอครัวเรือนกอนที่จะเขาสูวัฏจักรของการเปนหนี้ ในช่วงท้ายของการประชุมได้แบ่งกลุ่มประชุมกำหนดแนวทางการบริหารหนี้สิน และวิเคราะห์บัญชีครัวเรือน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการประชุมได้ฝึกปฏิบัติ กรณีศึกษาวิเคราะห์บัญชี ครัวเรือน ซึ่งมีรายได้และค่าใช้จ่าย ตามที่กำหนด ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุมสามารถนำหลักการและ เทคนิคในการคำนวณที่ได้อบรมไปแล้วนำมาใช้ได้อย่างครบถ้วน และสามารถจัดทำบัญชีรายรับ -รายจ่าย ประจำเดือนรายบุคคลได้อย่างถูกต้อง สรุปแค่หมดหนี้คุณก็จะมีเงินออมเพื่อเป้าหมายต่าง ๆ แล้ว นอกจากนี้ยังได้แนะนำให้ รู้จักดำเนินชีวิตโดยยึดทางสายกลาง การพึ่งพาตนเองได้ ไม่โลภ ทำอะไรที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ยึดวัตถุเป็นที่ตั้ง ไม่หลงตามกระแสนิยม มีความขยันอดทน และมีความเพียร รู้จักมีเป้าหมายในชีวิตและพยายามไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ๆอีกทั้งยังได้เสนอเทคนิคการซื้อสินค้าเงินผ่อน เทคนิคการกู้เงินในการผ่อนซื้อบ้าน ซื้อรถ การหารายได้จากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งให้ฝึก จัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย ประจำเดือนรายบุคคล รวมถึงการลงทุนเพื่อต่อยอดเงินในอนาคต


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 42 3. การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นางสาวไข่แก้ว ปวงคำคง ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง ได้กล่าวถึง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ กรอบแนวคิดเพื่อการปฏิบัติตนโดยยึด หลักทางสายกลาง และความพอเพียง ผ่านการใช้ชีวิตบนหลักความพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน ในตัวที่ดี พร้อมด้วยความรู้และคุณธรรม ซึ่งผู้คนทุกวัยสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน รวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพของผู้คน ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลง ทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี เป็นต้น ดังนั้น ภายใต้กรอบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ซึ่งต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลาย ความรอบคอบ ในการวางแผนและดำเนินการต่าง ๆซึ่งได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตบนหลักทางสายกลาง และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ. 2539 ความว่า "...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัว จะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก..." และพระราชดำรัส “เศรษฐกิจพอเพียง” “...คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อยเมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ... ถ้าทุกประเทศมีความคิด - อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ - มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุขพอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของ หรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพพูดจาก็พอเพียง ทำอะไร ก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง…”


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 43 กรอบแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักพอเพียง คือ หลักคิดและหลักปฏิบัติในการดำเนินงาน การตัดสินใจและการดำเนินการใดๆ จำเป็นต้องยึดทั้ง 3 หลักการพอเพียงทุกครั้ง เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ พอประมาณ - พอเหมาะพอดีกับอัตภาพ (ปัจจัยภายใน) - สอดคล้องกับภูมิสังคม (ปัจจัยภายนอก) - ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า มีเหตุผล - รู้สาเหตุทำไม / เพราะเหตุใด - รู้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องวิชาการ กฎหมาย ความเชื่อ ประเพณี - รู้ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในด้านต่างๆ กว้างแคบใกล้ไกล - ถูกต้องตามหลักวิชาการ มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี - เตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ - วางแผน รอบคอบ ไม่ประมาท เพื่อป้องกันอันตรายหรือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 44 เป้าหมาย = มุ่งให้เกิดความสมดุล + มั่นคงใน 4 มิติยั่งยืน การทำงานทุกอย่างควรมุ่งให้เกิดความสมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี เราจะนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำเนินชีวิตของตนเองและในหน้าที่ การงานอย่างไร ? กระบวนการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ 1. รู้และเข้าใจความหมายของคำว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. รู้ว่าเราจะนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้กับตัวเองหรือหน้าที่การงาน 3. รู้ว่าเราจะทำกิจกรรมอะไร 1. รู้และเข้าใจความหมายของคำว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการเป็นอยู่อย่างพอเพียง และปฏิบัติตนในทางสายกลาง โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนามาประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิต และเป็น การมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ให้คนในสังคม มีความเป็นอยู่ที่ดี รอดพ้นจากภัยและวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา หลักแนวคิดของความพอเพียงตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือเส้นทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 5 ประการ 1. พอดีด้านจิตใจ (ความรู้) 2. พอดีด้านสังคม 3. พอดีด้านทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. พอดีด้านเทคโนโลยี 5. พอดีด้านเศรษฐกิจ


รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการมีวินัยทางการเงินฯ ปี 2566 หน้า 45 1. ด้านจิตใจ (ความรู้) ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเอง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตสำนึกที่ดี สร้างสรรค์ให้ตนเองและชาติโดยรวม มีจิตใจเอื้ออาทร ประนีประนอม ซื่อสัตย์สุจริต เห็นประโยชน์ส่วนรวม เป็นที่ตั้ง ดังกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เกี่ยวกับการพัฒนา คนว่า “บุคคลต้องมีรากฐานทางจิตใจที่ดี คือความหนักแน่นมั่นคงในสุจริตธรรม และความมุ่งมั่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้จนสำเร็จและต้องมีกุศโลบายหรือวิธีการอันแยบยลในการปฏิบัติงาน ประกอบพร้อมด้วย จึงจะสัมฤทธิ์ผลที่แน่นอนและบังเกิดประโยชน์อันยั่งยืนแก่ตนเองและแผ่นดิน 2. ด้านสังคม แต่ละสังคมต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายชุมชน ที่แข็งแรงเป็นอิสระ ดังกระแสพระราชดำรัสความว่า “เพื่อให้งานรุดหน้าไปพร้อมเพรียงกัน ไม่ลดหลั่น จึงขอให้ทุกคนพยายามที่จะทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่ และให้มีการประชาสัมพันธ์กันให้ดี เพื่อให้งาน ทั้งหมดเป็นงานที่เกื้อหนุนสนับสนุนกัน 3. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ใช้และจัดการอย่างฉลาดพร้อมทั้ง การเพิ่มมูลค่า โดยยึดหลักการของความยั่งยืน และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยทำการผลิตควบคู่ไปกับ การธำรงรักษาไว้ซึ่งสภาพแวดล้อม 4. ด้านเทคโนโลยี สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่มีทั้งดี และไม่ดีจึงต้องแยกแยะบนพื้นฐานของภูมิปัญญา และเลือกใช้เฉพาะที่สอดคล้องกับความต้องการ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ สังคมไทย และควรพัฒนาภูมิปัญญาของเราเอง ดังกระแส พระราชดำรัสความว่า “การเสริมสร้างสิ่งที่ชาวบ้านในชนบทขาดแคลนและต้องการ คือความรู้ในด้าน เกษตรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นสิ่งที่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีอย่างใหญ่โตเต็มรูป หรือเต็มขนาดในงานอาชีพหลักของประเทศย่อมจะมีปัญหา” 5. ด้านเศรษฐกิจ แต่เดิมนักพัฒนามักมุ่งที่การเพิ่มรายได้ ไม่ได้มุ่งที่การลดรายจ่าย ในเวลาเช่นนี้จะต้องปรับทิศทางกันใหม่ คือจะต้องมุ่งลดรายจ่ายก่อนเป็นสำคัญ และยึดหลักพออยู่พอใช้ และสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองในระดับเบื้องต้น ดังกระแสพระราชดำรัสความว่า “การที่ต้องการให้ทุกคน พยายามที่จะหาความรู้ และสร้างตนเองให้มั่นคงนี้เพื่อตนเอง เพื่อที่จะให้ตนเองมีความเป็นอยู่ที่ก้าวหน้า ที่มีความสุข พอมีพอกินเป็นขั้นหนึ่งและขั้นต่อไป ก็คือให้มีเกียรติว่ายืนได้ด้วยตัวเอง หากพวกเราร่วมมือ ร่วมใจกันทำสักเศษหนึ่งส่วนสี่ ประเทศชาติของเราก็สามารถพ้นจากวิกฤติได้ คุณลักษณะ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข 3 ห่วง คือ ทางสายกลาง 2 เงื่อนไข คือ ความรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมา ประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน ความพอเพียง จะต้องประกอบด้วยคุณลักษณะ ดังนี้ 1) 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ห่วงที่ 1 คือ รู้จักประมาณตน ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ


Click to View FlipBook Version