การศึกษาวรรณกรรมปจั จุบนั ผา่ นทศั นะของประมวล มณีโรจน์
นางสาวกมลมาศ กลิน่ นนุ่ รหัสนสิ ิต ๖๓๑๐๓๑๒๗๑
นางประภสั สร เสงยี่ มพักตร์ รหัสนสิ ิต ๖๓๑๐๓๑๒๙๐
นางสาวปาลิตา ประสานสงฆ์ รหัสนสิ ิต ๖๓๑๐๓๑๒๙๔
นิสิตชน้ั ปีที่ ๓ สาขาวชิ าภาษาไทย คณะศกึ ษาศาสตร์
รายงานฉบับนเี้ ป็นสว่ นหนง่ึ ในรายวชิ า ๐๑๑๑๓๖๒ วรรณกรรมปัจจบุ นั
ภาคเรียนที่ ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๕
มหาวิทยาลัยทกั ษิณ วทิ ยาเขตสงขลา
ก
คำนำ
วรรณกรรมเป็นเคร่ืองมือส่อื สาร ความคิด ประสบการณ์ และจนิ ตนาการผ่านลายลักษณ์หรือผ่านคา
บอกเลา่ ด้วยปากเปลา่ ส่งตอ่ มาร่นุ ส่รู นุ่ โดยแสดงออกถึงศลิ ปะมีความประณีตในเร่ืองของการใช้ภาษา รวมไป
ถงึ การมือง สงั คม ประเพณวี ัฒนธรรม ลกั ษณะของผ้คู นตามช่วงยุคสมยั ตา่ ง ๆ ซงึ่ เปน็ ผลงานของนกั เขยี นใน
ยคุ สมัยแต่ละยุค ทาให้ผ้ศู ึกษาเหน็ ถงึ การพัฒนาของวรรณกรรมท่ีมีหลากหลายประเภท
จากการศกึ ษาวรรณกรรม ทาให้ผู้ศึกษาได้ศึกษาข้อมลู เชิงลึกลงไป ในประเดน็ ต่าง ๆ ดงั นี้ ความหมาย
กาเนิดและพัฒนาการ ลักษณะ แนวคิด กลวิธีในการแต่งวรรณกรรม รวมไปถึงปัจจัยสาคัญที่ทาใหว้ รรณกรรม
เกิดการเปลี่ยนแปลงจนนามาสู่วรรณกรรมปัจจุบัน ซ่ึงผู้ศึกษาได้ศึกษาจากเอกสาร หนังสือ เพ่ือหาข้อมูล
เพ่ิมเติม และการสัมภาษณ์นักเขียนเป็นอีกส่ิงที่สาคัญท่ีทาให้ผู้ศึกษาได้ข้อมูลชัดเจนและลึกยิ่งข้ึน จึงนามา
วิเคราะห์ เรียบเรยี ง เพ่ือใหไ้ ด้ขอ้ มลู ทถี่ กู ต้อง เปน็ ประโยชนแ์ กผ่ ู้ศึกษาตอ่ ไป
รายงานฉบับนี้จัดทาขึ้นเพ่ือศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวรรณกรรมปัจจุบัน ซึ่งเป็นงงานส่วนหน่ึงในรายวิชา
๐๑๑๑๓๖๒ วรรณกรรมปัจจุบนั ซึ่งเนื้อหาภายในเล่มรายงานนี้ได้รวบรวมข้อมลู ต่าง ๆ หลายตาราจากแหลง่ ท่ี
น่าเช่ือถือ และบทสัมภาษณ์ ประมวล มณีโรจน์ เกี่ยวกับทัศนะต่าง ๆ ที่มีต่อวรรณกรรมนาไปสู่วรรณกรรม
ปัจจบุ นั ท่านเปน็ นักเขียนของภาคใตท้ ี่มีความชานาญในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานวรรณกรรมไดอ้ ย่างดีเยย่ี ม
การศึกษาและจดั ทารายงานฉบบั น้ีทาให้ผศู้ ึกษามีความเขา้ ใจและแลเห็นคณุ ค่าในงานวรรณกรรมมาก
ยิ่งขึ้น อันนาไปเป็นแนวทางในการต่อยอดความรู้และนาไปพัฒนาและปรับใช้ในวิชาชีพของตนเองต่อไป
โอกาสน้ที างคณะผู้จดั ทาขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาโนช ดินลานสกูล เป็นอย่างสงู ที่ไดใ้ ห้ความ
กรณุ าและใหค้ าปรึกษาเกี่ยวกบั การศึกษาวรรณกรรมและการจัดทารายงานฉบับน้ีเปน็ อย่างดี คณะผจู้ ดั ทาหวัง
เป็นอยา่ งยิ่งวา่ รายงานผลการศึกษาฉบบั นี้จะเปน็ ประโยชน์แกผ่ ศู้ ึกษาดา้ นวรรณกรรมปจั จบุ นั ต่อไป
คณะผจู้ ดั ทา
สำรบญั ข
เรือ่ ง หน้ำ
คานา ก
สารบญั ข
บทที่ ๑ บทนา ๑
บทที่ ๒ ประวตั นิ ักเขียน ๕
๕
๒.๑ ประวัตกิ ารศึกษา ๕
๒.๒ เสน้ ทางนักเขียน ๖
๒.๓ ผลงานของประมวล มณีโรจน์ ๖
๒.๔ รางวัลท่ไี ด้รบั ๘
บทท่ี ๓ ความรทู้ ัว่ ไปเกย่ี วกบั วรรณกรรมปจั จบุ ัน ๘
๓.๑ ความหมายของวรรณกรรมปจั จุบนั ๑๐
๓.๒ พฒั นาการของวรรณกรรมปัจจบุ ัน ๓๒
๓.๓ ลกั ษณะของวรรณกรรมปจั จุบนั ๓๕
๓.๔ แนวคิดของวรรณกรรม ๓๗
๓.๕ กลวธิ ใี นการแต่งวรรณกรรม ๔๒
๓.๖ ปัจจยั สาคัญทีท่ าให้วรรณกรรมเกดิ การเปล่ียนแปลง ๔๘
บทท่ี ๔ คุณค่าและบทบาทของวรรณกรรม ๔๘
๔.๑ คุณค่าของวรรณกรรม ๕๔
๔.๒ บทบาทของวรรณกรรม ๕๗
บทท่ี ๕ สรปุ ผลการศกึ ษา ๔๙
บรรณานุกรม ๖๐
บคุ ลานกุ รม ๖๑
ภาคผนวก
บทที่ ๑
บทนำ
๑.๑ ภมู ิหลัง
วรรณกรรม คือ งานเขียนที่แต่งข้ึนหรืองานศิลปะที่เป็นผลงานอันเกิดจากการคิด และจินตนาการ
แล้วเรียบเรียง นามาบอกเล่า บันทึก ขับร้อง หรือสื่อออกมาด้วยกลวิธีต่างๆ โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งวรรณกรรม
เป็น ๒ ประเภท คือ วรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรมท่ีบันทึกเป็นตัวหนังสือ และวรรณกรรมมุขปาฐะ
อันได้แก่วรรณกรรมท่ีเล่าด้วยปาก ไม่ได้จดบันทึก ด้วยเหตุน้ีวรรณกรรมจึงมีความหมายครอบคลุมกว้าง
ถงึ ประวัติ นิทาน ตานาน เร่ืองเล่า ขาขนั เรือ่ งสัน้ นวนยิ าย บทเพลง คาคม เป็นต้น
วรรณกรรมเป็นผลงานศิลปะท่ีแสดงออกด้วยการใช้ภาษา เพื่อการส่ือสารเร่ืองราวให้เข้าใจระหว่าง
มนุษย์ ภาษาเป็นสงิ่ ที่มนุษย์คิดค้นและสร้างสรรค์ข้ึนเพื่อใช้สื่อความหมาย เรื่องราวตา่ ง ๆ ภาษาท่ีมนุษย์ใช้ใน
การส่ือสาร ได้แก่ ภาษาพูด โดยการใช้เสียง ภาษาเขียน โดยการใช้ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ และภาพ
ภาษาท่าทาง โดยการใช้กิริยาท่าทาง หรือประกอบวัสดุอย่างอ่นื ความงามหรอื ศิลปะในการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับ
การใช้ภาษาใหถ้ ูกต้อง ชดั เจน และเหมาะสมกับเวลา โอกาส และบคุ คล
นอกจากน้ีภาษาแต่ละภาษายังสามารถปรุงแต่งให้เกิดความเหมาะสม ไพเราะ หรือสวยงามได้
นอกจากนี้ยังมีการบัญญัติคาราชาศัพท์ คาสุภาพขึ้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม แสดงให้เห็นวัฒนธรรมที่เป็นเลิศ
ทางการใช้ภาษาที่ควรดารงและยึดถือต่อไป ผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรม เรียกว่า นักเขียน นักประพันธ์
หรือ กวี (Writer or Poet) วรรณกรรมไทย แบ่งออกได้ ๒ ชนิด คือ ร้อยแก้ว เป็นข้อความเรียงที่แสดงเน้ือหา
เร่ืองราวต่าง ๆ รอ้ ยกรอง เป็นข้อความทีม่ กี ารใช้คาทสี่ ัมผัสคล้องจอง ทาใหส้ ัมผัสได้ถึงความงามของภาษาไทย
ร้อยกรองมีหลายแบบ คือ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย ดังท่ี สนิท ต้ังทวี (๒๕๒๘ : ๓) ได้กล่าวไว้ว่า
คาว่า “วรรณกรรม” มีปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในพระราชบัญญัติคุ้มครองศิลปวรรณกรรม พ.ศ. 2475
คาน้ีใกล้เคียงกับคาว่า “วรรณคดี” เพราะแปลมาจากคา Literature เช่นเดียวกัน แต่คาว่า วรรณกรรม น้ัน
หมายถึงสิ่งที่เขียนข้ึนท้ังหมดไม่ว่าจะเป็นรูปใด หรือเพ่ือความมุ่งหมายใด เช่น คาอธิบายวิธีใช้กล้อง ถ่ายรูป
การใช้เตารีดไฟฟ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เส้ือเชิ้ต รวมท้ัง ใบปลิว หนังสือพิมพ์ นวนิยาย ก็ล้วนแต่เรียกว่า
Literature ทั้งส้ิน อีกทั้ง ประมวล มณีโรจน์ (๒๕๖๕) ให้ความหมายวรรณกรรมปัจจุบันไว้ว่า วรรณกรรม
ปจั จุบัน หมายถึง งานเขียนท่ีมีเนื้อหาและแนวคิดในลักษณะท่ีเป็นแบบใหม่ ซ่ึงมีลักษณะที่หลากหลายมากใน
ปจั จุบัน ตา่ งจากวรรณกรรมในอดีตหรือวรรณกรรมท้องถ่ินท่ีมีลักษณะการเขียนเกี่ยวกับเร่ืองราวของบ้านเกิด
ครอบครวั ส่ิงใกลต้ วั หรือเรื่องที่อยู่ในชีวติ ประจาวันเทา่ นน้ั
กล่าวโดยสรุปว่า วรรณกรรมหมายถึงงานเขียนทุกประเภทท่ีเป็นทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
ทุกประเภท ที่เป็นผลงานอันเกิดจากความคิด จินตนการ รวมไปถึงประสบการณ์ของผู้เขียน ซึ่งอาจจะเป็น
เรื่องสมมติหรือเร่ืองสมจริงก็ได้ จึงเกิดเป็นงานเขียนประเภทต่าง ๆ เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น กวีนิพนธ์
ความเรียง เป็นต้น หรอื ท่เี รยี กวา่ วรรณกรรมลายลักษณ์ นอกจากนี้วรรณกรรมท่เี รยี กว่า วรรณกรรมมุขปาฐะ
ซ่งึ เปน็ วรรณกรรมทเ่ี ลา่ ดว้ ยปาก เช่น เร่ืองเลา่ นิทาน บทเพลง และการละเลน่ ท่สี ืบตอ่ มารุ่นสู่ร่นุ
วรรณกรรมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และในแต่ละยุคสมัยน้ันมีความแตกต่างกัน จึงทาให้
มีการวรรณกรรมตามยุคสมัยอย่างชัดเจน ดังท่ี ร่ืนฤทัย สัจจพันธ์ุ (๒๕๓๐ : ๐๕ - ๒๔) ได้กล่าวถึงการแบ่ง
วรรณกรรมไทยปจั จุบนั ตามช่วงเวลาดงั นี้
๒
๑. ยคุ เร่มิ แรก (พ.ศ. ๒๔๔๓ - ๒๔๕๑)
๒. ยุครงุ่ อรณุ (พ.ศ. ๒๔๗๒ - ๒๔๗๕)
๓. ยุคศิลปะเพอ่ื ชวี ิต ถึง สมัยชาตนิ ยิ ม (พ.ศ. ๒๔๗๖ – ๒๔๘๘)
๔. ยคุ กบฎสันตภิ าพ (พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๕๐๐)
๕. ยุคมืด (พ.ศ. ๒๕๐๑ – ๒๕๐๖)
๖. ยคุ ฉันจึงมาหาความหมาย (พ.ศ. ๒๕๐๗ - ๒๕๑๕)
๗. ยุควรรณกรรมเพ่อื ประชาชน (พ.ศ. ๒๕๑๖ - ปัจจบุ นั )
ท้ัง ๗ ยุคสมัยมีความเด่นที่แตกต่างกันจึงทาให้การแบ่งยุคตามเวลาน้ี แบ่งออกกันชัดเจนมากขึ้น แต่
สิ่งที่มีความเหมือนกันทุกยุคสมัยคือ การเมือง แต่ละยุคจะมีการเมืองมาเก่ียวข้องและเป็นตัวกาหนดในการ
แบ่งยคุ สมัย และ ประมวล มณีโรจน์ (๒๕๖๕) ได้มกี ารแบ่งยุคสมัยไว้ดังน้ี
๑. ยุคโรแมนติก (2470-2510) : ได้รับอิทธิพลร้อยแก้วจากตะวันตก ผสมผสานระหว่างแนวคิด
สมจริงกบั จินตนิยาย รปู แบบของวรรณกรรม คือ การเล่า การเขยี น การแสดง
๒. ยุคเพอ่ื ชีวติ (2510- 2530) : ใช้กลวิธีแนวสมจริงเป็นหลัก แนวคิดสมจริงเปน็ หลัก กลุ่มเพ่ือชวี ิต
เข้ามามบี ทบาทหลัก สือ่ หลกั คอื หนังสอื มพี รบ.การศึกษา มีสอ่ื อ่นื เข้ามาผสมผสานบา้ ง เช่น วิทยุ
๓. ยุคสร้างสรรค์ คลี่คลายของยุคท่ี 2 (กลางทศวรรษ 2550) : ส่ือหลักยังเป็นหนังสือ แนวคิดยัง
สมจริงอยู่ วรรณกรรมมีท้ังนวนิยาย เรื่องสั้น สื่อมีความหลากหลายมาก เช่น ทีวี เคร่ืองเสียงซีดี คอมพิวเตอร์
กลุ่มแนวคดิ หลากหลาย และกลวิธีหลากหลาย ยดึ ถอื ความเปน็ ไทย
สรุปได้ว่า การเปล่ียนแปลงของวรรณกรรมน้ันทาให้แบ่งรรณกรรมเป็นยุคสมัยตามกาลเวลาและ
การเมืองเป็นตัวกาหนด แต่ในส่วนของ ประมวล มณีโรจน์ ได้ใช้รูปแบบเน้ือหาที่นิยมในแต่ละยุคสมัยเป็น
ตวั กาหนดในการแบ่งยคุ วรรณกรรมจนนาไปสู่ วรรณกรรมปัจจุบัน
วรรณกรรมไทยปัจจุบันนั้นหมายถึง วรรณกรรมในรูปแบบใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นร้อยแก้ว หรือร้อย
กรอง ซ่ึงขอบเขตของวรรณกรรมปัจจุบันน้ันเร่ิมต้ังแต่สมัยเร่ิมแรกของวรรณกรรมร้อยแก้ว คือต้ังแต่สมัย
รัชกาล ท่ี ๕ พ.ศ. ๒๔๔๒ จนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมประเภทร้อยแก้วในปัจจุบันจะอยู่ในรูปของ บันเทิงคดี
เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย นิทาน บทละคร สารคดีเช่น บทความ หนังสือวิชาการ งานวิจัย ฯลฯ และวรรณกรรม
ประเภทร้อยกรองในปจั จุบนั เป็นวรรณกรรมท่ีแตกต่างจากเดมิ คือเป็นวรรณกรรมท่ไี มเ่ น้นวรรณศิลป์ทางภาษา
มากนัก ไม่เน้นในเรื่องของการใช้ภาษาแต่เน้นไปในเรื่องของการส่ือแนวคิด สื่อข้อคิดแก่ผู้อ่านมากกว่า เช่น
ใบไม้ทห่ี ายไป ของ จิรนันท์ พิตรปรีชาเป็นต้น ดังที่กุหลาบ มัลลิกะมาส (๒๕๑๗) อธิบายว่า ไทยเราแปลคาว่า
วรรณกรรมปัจจุบันจาก “Contemporary literature” ซ่งึ หมายถึงวรรณกรรมท่ีมรี ูปแบบ ความคดิ เนื้อเร่ือง
และปรัชญาการแต่งแตกต่างวรรณกรรมในอดีต คือวรรณกรรมก่อนสมัยรัชกาลท่ี ๓ ขึ้นไป คาว่า
“Contemporary” อาจแปลว่า เวลาเดี๋ยวน้ี หมายถึงระหว่างอดีตกับอนาคต คือ Contemparary of the
present time ซึ่งไทยเราใช้ว่า “วรรณกรรมปัจจุบัน” หรือจะแปลอีกอย่างนึงว่า Living or happening in
the same period of time ซึ่งไทยเราเขียนว่า วรรณกรรมร่วมสมัย ก็ได้ แต่ท้ังนี้มิได้หมายความว่า คาว่า
วรรณกรรมปัจจุบัน มีความหมายอย่างเดยี วกับคาวา่ วรรณกรรมร่วมสมัย แมค้ าทั้งสองจะบ่งบอกว่ามีเงอ่ื นไข
อยู่กับเวลาเหมือนกันก็ตาม ทั้งนี้เพราะเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาของคาทั้งสองน้ีมีความหมายต่างกัน กล่าวคือ แม้
คาว่าวรรณกรรมปจั จบุ นั จะมีเงื่อนไขอยกู่ ับเวลากจ็ ริง แต่ก็มีปัญหาว่าปัจจุบันนั้นจะนับเวลาจากเด๋ยี วนี้ย้อนข้ึน
๓
ไปจนถึงเม่ือไร และ “เดี๋ยวนี้” ที่กล่าวถึงน้ันคือเวลาใด เนื่องจากอนาคตก็จะกลายเป็นปัจจุบันขึ้นไปทุกที ๆ
ขณะเดียวกัน คาว่า วรรณกรรมร่วมสมัย ก็ก่อให้เกิดปัญหาในเร่ืองเวลาเช่นกันว่า วรรณกรรมนั้นร่วมสมัยกับ
ใคร กับผู้เขียนหรือกับผู้อ่าน รวมทั้ง ประมวล มณีโรจน์ (2565) ได้ให้ถึงความหมายของวรรณกรรมปัจจุบัน
ไว้ว่าวรรณกรรมเป็นงานเขียนในลักษณะเรื่องเล่า เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ แต่มีศิลปะสูงกว่าความเป็น
วิชาการ ซึ่งศิลปะคือกลวิธีในการเขียน ส่วนความเป็นวิชาการ คือความรู้และความคิดท่ีผู้เขียนต้องการจะส่ือ
ไปถึงผู้อ่าน โดยทีค่ วามเป็นวชิ าการนี้จะเปลีย่ นแปลงไปตามยคุ สมยั ต่าง ๆ
วรรณกรรมเป็นผลงานที่นาเสนอส่ิงต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือที่มีรูปแบบ ประเภท และกลวิธีการแต่งท่ี
แตกต่างกนั ไป แตย่ ังให้ประสบการณ์เก่ียวกับกระบวนการเรียนรู้ดา้ นอารมณ์ความรสู้ ึก อีกทัง้ ยังเป็นเคร่อื งมือ
สะท้อนสังคมในยุคสมยั น้ัน ๆ ได้เป็นอย่างดี วรรณกรรมไม่ได้มีเพียงบทบาททางสังคมระดบั ชาติเท่านั้น แต่ยัง
ส่งผลต่อบทบาทระดับท้องท้องถ่ิน มีความหลากหลายท่งวัฒนธรรม ทั้งในด้านเชื้อชาติและความเชื่อต่าง ๆ
ดังท่ี ยอช เซเดส์ (๒๕๐๔ : ๒๗-๔๐) ได้กล่าวไว้ว่า ภาคใต้มีอารยธรรมและเป็นศูนย์กลางของคนหลายชาติ
หลายภาษามาแต่โบราณ ทาใหช้ นหลายชาติเข้ามา อพยพสัมพันธ์และตั้งถิน่ ฐานปะปนกบั ชาวเมือง เป็นเหตใุ ห้
เลือดเน้ือเช้ือสายของคนภาคใต้อยู่ในลักษณะผสมผสาน ในยุคที่ชาวอินเดียเข้ามาติดต่อค้าขายได้นา
อารยธรรมและศิลปวิทยาการเข้ามาด้วย โดยเฉพาะทางตัวอักษรและภาษา ดังปรากฏหลักฐานจากศิลาจารึก
หลายหลักในภาคใต้ท่ีได้รับอารยธรรมทางตัวอักษรและภาษาจากอินเดีย นอกจากนี้ ภาคใต้ยังมีวรรณกรรม
มกุ ขปาฐะเป็นจานวนมาก ท้ังถ้อยคา สานวน คาพังเพย เพลงร้องเรือ นิทานและบทสวด ท่ีใช้ในพิธีกรรมของ
ชาวบ้าน จึงทาให้ภาคมีนักเขียนหลายท่านในแต่ละยุคสมัย หนึ่งในน้ันคือ ประมวล มณีโรจน์ ที่ได้ถ่ายทอด
ผลงานตามคิด จินตนาการ รวมไปถึงประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อม จึงเกิดเป็นผลงานประเภทต่าง ๆ
มากมาย
ประมวล มณีโรจน์ เป็นนักเขยี นภาคใต้ท่ีมากด้วยประสบการณแ์ ละผลงานสร้างสรรค์มากมายทก่ี ารัน
ตีด้วยรางวัลต่าง ๆ ท่านเกิดท่ีจังหวัดสงขลา ใช้ชีวิตวัยเด็กในทุ่งกว้างริมทะเลสาบ อันเป็นท่ีมาของฉาก
และเร่ืองราวในรวมเรื่องส้ัน “ว่าวสีขาวกับผองปีกแห่งความหวัง” (สนพ. ประภาคาร, ๒๕๓๒) โดยส่วนมาก
ท่านจะเขียนเรื่องด้วยประสบการณ์และความทรงจาท่ีท่านมีในวัยเยาว์ ทาให้เข้าใจและเข้าถึงเนื้อหาของเรื่อง
ที่เล่าถึงสมัยวัยเด็กของท่านได้เป็นอย่างดี ท่านจบปริญญาตรีที่จังหวัดสงขลา บรรจุเป็นครูคร้ังแรกที่
นครศรีธรรมราช ย้ายมาตั้งหลักแหล่งและลาออกท่ีพัทลุง จึงจุดเริ่มต้นของการเขียนหนังสือเมื่อเป็นนักศึกษา
อยู่ในรว้ั วิทยาลัยครสู งขลา เปน็ นักเขียนหลายนามปากกา เขยี นทงั้ บทกวี บทความ บทวจิ ารณ์ และเรื่องสนั้ จึง
ทาให้ ประมวล มณีโรจน์มีผลงานมากมายในสายงานวรรณกรรม ท่านเป็นอีกหน่ึงคนท่ีมีความชานาญในด้าน
วรรณกรรมเป็นอย่างมาก
เนอื่ งด้วยรายวชิ า ๐๑๑๑๓๖๒ วรรณกรรมปัจจุบนั มีเน้อื หาท่ีเรยี นเก่ยี วกับความเปน็ มา ลักษณะ การ
พัฒนาการ แนวคิด กลวิธีการแต่ง ปัจจัยการเปล่ียนแปลง คุณค่าและรวมไปถึงบทบาทของวรรณกรรม
ซึ่งเป็นเนื้อท่ีเป็นประโยชน์ต่อนิสิตท่ีจะศึกษาแล้วนาไปต่อพัฒนาในวิชาชีพครูต่อไป ด้วยเหตุนี้ผู้ศึกษาจึงได้
ศึกษาความรู้ผ่านการสัมภาษณ์ ผู้ท่ีมีความชานาญในด้านวรรณกรรม นักเขียนในพ้ืนที่ภาคใต้ คือ ประมวล
มณีโรจน์ นักเขียนแห่งริมทะเลสาบสงขลา ในประเด็นของประวัติชีวิต ประวัติการศึกษา เส้นทางนักเขียน
ผลงานของประมวล มณีโรจน์ รางวัลท่ีได้รับ และทัศนะของประมวล มณีโรจน์ท่ีมีต่อวรรณกรรมปัจจุบัน
รวมไปถึงความหมาย การกาเนิดและพัฒนาการ ลักษณะ แนวคิด กลวิธีการแต่ง ปัจจัยสาคัญที่ทาให้
๔
วรรณกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงคุณค่าและบทบาทของวรรณกรรม ผ่านความคิด ทัศนคติ
และประสบการณ์ กลั่นกรองมาเป็นคาบอกเล่าจนถึงการเป็นลายลกั ษณ์อักษรของประมวล มณโี รจน์
การศึกษาเก่ียวกับความรู้วรรณกรรมปัจจุบัน เป็นศึกษาจากเอกสาร หนังสือท่ีให้ข้อมูลเก่ียวกับ
วรรณกรรมปัจจุบัน และท่ีสาคัญคือศึกษาจากข้อมูลการสัมภาษณ์ของนักเขียนชาวภาคใต้ โดยได้ไปลงพื้นที่
จริง มีวิธีการตามขั้นตอน ได้แก่ ศึกษาข้อมูลเบ้ืองต้นเกี่ยวกับวรรณกรรมปัจจุบัน ติดต่อนักเขียน ต้ังประเด็น
คาถามที่ต้องการจะศึกษา กาหนดการวันสัมภาษณ์ ลงพื้นที่จริงเพื่อนัดพบสัมภาษณ์และพูดคุยแลกเปล่ียน
ความคิดเห็นกับนักเขียน โดยมีการอัดเสียงขณะสัมภาษณ์และเขียนสรุปไว้ หลังจากน้ันจึงรวบรวมข้อมูลจาก
การสัมภาษณ์ ประมวล มณีโรจน์ มาเรียบเรียงและจดั ทาเปน็ รายงานฉบบั สมบรูณ์ และจัดส่งนาเสนอรายงาน
ผลการศกึ ษาตามวันเวลาท่กี าหนด
บทท่ี ๒
ประวตั ินักเขียน
การสัมภาษณ์บุคคล จาเป็นต้องรู้ในเรื่องประวัติของบุคคลท่ีสัมภาษณ์เป็นพ้ืนฐาน เพื่อให้สอดคล้อง
กับจดุ ประสงค์ของผสู้ ัมภาษณ์ ขอ้ มลู ที่ผสู้ ัมภาษณต์ ้องการจากผู้ให้สมั ภาษณ์ รวมท้ังการนาไปใช้ในการอ้างอิง
ได้อย่างถูกต้อง ซ่ึงการสัมภาษณ์ในครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ์นักเขียน จึงเรียกว่า ประวัตินักเขียน ประกอบไป
ด้วย ประวัติชีวิต ประวัติการศึกษา เส้นทางนักเขียน (แรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือ) และผลงานของ
นกั เขยี น
๒.๑ ประวัตชิ ีวิต
ประมวล มณีโรจน์ เกิดที่สงขลา ใช้ชีวิตวัยเด็กในทุ่งกว้างริมทะเลสาบ อันเป็นที่มาของฉาก
และเรื่องราวในรวมเรื่องสั้น “ว่าวสีขาวกับผองปีกแหง่ ความหวัง” (สนพ. ประภาคาร, 2532) จบปริญญาตรีท่ี
สงขลา บรรจุเปน็ ครูครั้งแรกท่ีนครศรีธรรมราช ย้ายมาต้ังหลักแหล่งและลาออกที่พัทลุง เริ่มงานเขียนเม่ือเป็น
นักศึกษาอยู่ในรั้ววิทยาลัยครูสงขลา เป็นนักเขียนหลายนามปากกา เขียนท้ังบทกวี บทความ บทวิจารณ์
และเร่ืองส้นั ปจั จบุ ันเปน็ พอ่ ของลกู สาวหนึง่ ลกู ชายหนึ่ง
๒.๒ ประวตั ิการศกึ ษา
เรยี น ศศ.ม. (ไทยคด)ี มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ
๒.๓ เส้นทางนกั เขยี น
ทุกครั้งที่ถูกถามถึงแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือ เป็นทุกครั้งที่ผมพยายามถามตัวเอง และ
พยายามคิดหาคาตอบท่ีดูเข้าที เป็นไปได้ และรู้สึกอิ่มใจ เคยคิดถึงแรงเร้าจากเรื่องเล่าประกอบกลอนขับท่ี
ร่ารวยจินตนาการของกลุ่มนักเล่านิทานยามค่าคืน และดนตรีประโคมท่ีส่ันไหวไปถึงเบื้องลึกของวิญญาณพื้น
ถน่ิ ในสมัยทีช่ อบนอนหลบั ผา่ นคืนอยหู่ นา้ โรงหนงั ตะลุง คดิ ถงึ นยิ ายภาพ ‘สิงหด์ า’ และ ‘จ้งิ จอกขาว’ ของราช
เลอสรวง ซ่ึงตอบสนองความฝันของวัยที่ช่ืนชอบการผจญภัย ผมลงไปเจอพระเอกนักฆ่าผู้ดารงคุณธรรมใน
‘เรือเมล์’ แห่งทะเลสาบ [เรือโดยสารระหว่างระโนด คูขุด ลาปา ปากพะยูน และเมืองบ่อยาง-สงขลา] ซ่ึงมา
จอดค้างคืนอยู่ท่ีท่าเรือกหน้าตลาดใกล้บ้าน คิดถึงพระเอกผู้แอบพิทักษ์ความยุติธรรมอยู่หลังหน้ากากในฉาก
แห่งราตรีอย่างโรม ฤทธิไกร ใน อินทรีแดง ของเศก ดุสิต, แมน ดาเกิงเดช ใน เหย่ียวราตรี ของ ส.เนาวราช
และศรศิลป์ สรชยั หรือพราน จอมภตู ิ ใน พรายพฆิ าต ของพนมเทยี น…
คิดถึงพระเอกแห่งอุดมการณ์รัฐชาติอย่างดอน โพธิ์ไทร ใน สมิงเจ้าท่า ของเพชร สถาบัน,
เสือกล่ินสักในร้อยป่า ของ อรชร-พันธ์ บางกอก และปิยะ ตระกูลราษฎร์ ใน ครูบ้านนอก ของคาหมาน คน
ไค… คิดถึงพระเอกต้นแบบนักแสวงหาอย่างสายสีมาในปีศาจ ของเสนีย์ เสาวพงศ์, จันทา โนนดินแดงในแลไป
ข้างหน้า ของศรีบูรพา, เจน วนาสัย ในแผ่นดินนี้ของใคร ของศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์… คิดถึงท่วงทีของนักเขียน
รุ่นอาวุโสผู้มักใช้นามปากกาและเก็บตัวอยู่เบ้ืองหลังชื่อเสียงและบทบาทของตัวละคร...คิ ดถึงกวีนักแสวงหาผู้
เรียบง่าย สมถะ และยดึ ถืออุดมการณเ์ พื่อผู้ยากไร้เป็นภารกิจในการต่อสู้ อาจเคยตอบคาถามถึงแรงบันดาลใจ
อันหลากหลาย แต่ก็รู้ตัวว่าล้วนเป็นคาตอบท่ีไม่เคยอิ่มใจ อาจจริงบ้างไม่จริงบ้าง จริงเพียงบางส่วน ซ่ึงไม่
สามารถเตมิ เต็มพน้ื ทีอ่ นั ว่างโหวงในความร้สู กึ เรอ่ื งราวอาจถูกตอ่ เติมเสริมแต่งใหด้ ูดี น่าช่นื ชมเชอื่ ถือ อาจเป็น
โอเวอร์เจอร์หรือมวยก่อนเวลาเรียกคนดู แต่คู่ชิงแชมป์ท่ีทาให้ผมชื่นชมนักเขียน และเดินผ่านเรื่องเล่าหอม
หวานของวัยหนุ่มเข้าสู่ความรกเรื้อยากไร้ของวรรณกรรมเพื่อชีวิต ก็เพราะเร่ืองราวของนักคิด-นักเขียนรุ่น
๖
บกุ เบิกความตายของนักศึกษาหนุ่ม-จติ ร ภมู ิศักด์ิ ความเด็ดเด่ียวของอัยการหนมุ่ -อัศนี พลจันทร และจาได้ว่า
พญาอินทรีแห่งฟ้าวรรณกรรม-ศรีบูรพา ใชก้ ระดาษรียูส (ใช้แล้ว ๑ หนา้ ) เขยี นต้นฉบับต้ังแต่ยังไม่แว่วแนวคิด
‘โลกเขียว’ ในช่วงท่ีเศรษฐกิจไทย (และโลก) เผชิญกับภาวะฟองสบู่ คนรุ่นใหม่ออกมาชุมนุมกันริมทางใน
รูปแบบของตลาดเปิดท้าย ‘คนเคยรวย’ เอาของเกินใช้-ของเก็บสะสม-ของรักของหวงออกมาขายกันในราคา
ถูก ๆ ช่วงนัน้ เป็นช่วงทีแ่ นวคดิ ดูแลโลกด้วยการรียูสและรีไซเคิลกาลงั ไดร้ บั ความนยิ ม
กิจกรรมดังกล่าวจึงได้รับการยอมรับ แม้ไม่ได้ช่วยแก้ต้นตอของปัญหา แต่ก็พอผ่อนคลายภาวะตึง
เครียดไดบ้ างสว่ น และคงช่วยลดอัตราฆ่าตัวตายได้บ้างบางจานวน ธรุ กิจทุนน้อยของคนรุ่นใหม่ท่ีเกดิ ข้ึนในยุค
ตลาดเปิดท้าย อาจดูเล็กๆบางๆซอมซ่อ แต่ในช่วงฝนหนัก-ภาวะของนกเปียกฝนบนก่ิงไม้ร้างใบก็เป็น ‘เพ่ือ
ชีวิต’ ที่ท้าทายและสง่างาม ค่อย ๆ เดินค่อย ๆ ย่าง หันซ้ายแลขวาด้วยความระมัดระวัง สมถะ ถ่อมตน
ประหยดั และรัดเข็มขัดจนเอวกวิ่ การนาของใช้แลว้ กลับมาใชใ้ หมเ่ ปน็ ทางออกเลก็ ๆที่มีเสนห่ แ์ บบ ‘ศิลปะของ
ผู้ยากไร้’ เมื่อเริ่มคุ้นชินกับช่องทางบนเฟซบุ๊ก ผมก็ลองส่ังซ้ือหนังสือจากสานักพิมพ์เล็กๆแห่งหนึ่ง…สินค้าช้ิน
แรกของชีวิตออนไลน์เป็นหนังสือกล่องแรกท่ีผมปฏิสัมพันธ์กับ ‘กลุ่มผจญภัย’ ยังประทับใจในกล่องบรรจุ
กล่องนั้นจากการรียูสของผู้หญิงเอวกึ่วคนหน่ึง ยังเก็บท้ังกล่องและความตั้งใจของเธอไว้ในล้ินชักความทรงจา
ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวยากไร้ (ซ่ึงก็ไม่ต่างจากครอบครัวประชาชนของประเทศเรา) ผมถูกสอนให้เอา
ตัวรอดโดยการอดออมและรู้จกั ใช้ของเกา่ มันจึงเปน็ ชิปแห่งอุดมการณ์ที่ฝังแน่นเป็นความเช่ือ เป็นวิถี และตก
ผลึกเป็นคตินิยม เม่ือได้อ่าน ‘ผีเสื้อและดอกไม้’ ของนิพพานฯ เม่ือทศวรรษ ๒๕๒๐ ชีวิตยากไร้ที่ต้องสู้ชีวิต
เพ่ือช่วยเหลือครอบครัว จึงเป็นความประทับใจอย่างยิ่ง พวกเขาอยู่รอดด้วยการอดออม ไม่มีของใช้แล้วสิ่งใด
ถูกทิ้งแบบสูญเปล่า หนทางใหม่ของคนรุ่นใหม่บนโลกออนไลน์ ดูเหมือนเป็นทางออกท่ีพวกเขาอาจจะอยู่รอด
ได้ในอนาคต แต่ในยุคท่ีบริวารแห่งซาตานถูกปลดปล่อยออกมาประลองกาลัง ก็ทาให้แสงไฟปลายอุโมงค์วาบ
ไหวความหวังอยูเ่ ช่นกัน ผมอาจเช่ือว่าวิถขี องคนรุน่ ใหม่ไปได้ฉลุยในพ้ืนท่ีเสมือนของโลกออนไลน์ แต่ก็น่าเป็น
ห่วงพ้ืนที่แห่งความเป็นจริงที่ประวัติศาสตร์ถูกละเลย ทรัพยากรถูกล้างผลาญ รัฐบาลเห็นแก่ประโยชน์พวก
พอ้ ง ท้องถิ่นถูกทอดท้งิ การเมืองตกต่า อุดมการณ์ติดหลม่ สังคมเริ่มป่วยไข้ เสียงบ่นเร่ืองขยะล้นโลกแผ่วหาย
รอ่ งรอยการอยู่รอดด้วยการอดออมถูกลบเลือน สถาบันศาสนาถูกลดฐานะลงมาเป็นสนามประลองเกม ขณะท่ี
สถาบันอุดมปัญญาอย่างมหาวิทยาลัยก็ถอยไปยืนตาปริบๆอยู่ชายรั้ว ฤดูฝนที่มาเพ่ือการเกื้อกูลก็ละล้าละลัง
และเริ่มสร้างความเสียหาย สนามเลือกตั้ง อบต.ท่ีผ่านไปใหม่หมาด ก็ผ่านฉลุยด้วยการ ‘ซื้อ’ กันแบบถล่ม
ทลาย สังคมหมบู่ ้านเริ่มเรยี นร้ฤู ดูกาล คุน้ ชนิ กับการเลอื กตง้ั รู้จกั เชื้อโรค และมองเห็นธรุ กจิ แบบใหม่
๒.๔ ผลงานของประมวล มณีโรจน์
ผลงานเด่น เรอื่ งสัน้ : วา่ วสขี าว
หมบู่ ้านวสิ ามัญ, ตวั สุดท้าย - โดมิโน ตานานโจรพัทลุง
ความเรยี ง : ความแรงของลมฝนย่อมเกย่ี วเนือ่ งกบั เมฆหมอกแห่งฤดกู าล
นวนิยาย : บา้ นหลงั สุดท้ายของดวงตะวัน
ผลงานรวมเล่ม ๒๐๐ ปีฤาสิ้นเสดสา (กวีนิพนธ์ เรื่องยาว เขียนร่วมกับเพื่อนกลุ่มนาคร สนพ. ต้นหมาก
๒๕๒๗), หมบู่ า้ นวสิ ามัญ (รวมเรือ่ งส้นั สนพ. ประภาคาร ๒๕๓๑)
ปลายทางจิตกาธาน (รวมกวีนิพนธ์ สนพ. นกเชา้ ๒๕๕๑)
ลกึ ลงถึงลมหายใจไกลออกไปแค่ปลายมือ (ความเรียง สนพ. ศูนยท์ ะเลสาบศกึ ษา ๒๕๖๐)
๗
อา่ นพนมเทียนเขียนประมวลความ (ความเรียง สนพ. ศนู ย์ทะเลสาบศกึ ษา ๒๕๖๐)
๒.๕ รางวลั ท่ีได้รบั
พ.ศ. ๒๕๒๑ เรอื่ งสนั้ “เบื่อ” ๑ ใน ๑๕ เร่อื งสนั้ ปากกาทอง ของ นสพ.เดลไิ ทม์
พ.ศ. ๒๕๒๓ เรื่องสน้ั “ว่าวสขี าว” ไดป้ ระดบั ชอ่ การะเกด (เพชร นา้ งาม)
พ.ศ. ๒๕๒๔ เร่อื งสั้น “ทุ่งนา้ ” ได้รบั รางวลั เรื่องสั้นอุดมศึกษา (ไมแ้ รกผล)ิ
พ.ศ. ๒๕๒๕ เรอ่ื งสน้ั “จะไม่มเี ม่อื วานนีอ้ ีกแลว้ ” รางวัลกลุม่ ศิลปะและวรรณลกั ษณ์
พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่องสั้น “ว่าวสีขาว” คัดเลือกแปลเป็นภาษามาเลย์ โดย Rattiya Saleh (Cerpen
Cerpen Dari Negre Thai ๑๙๖๙ - ๑๙๘๕)
พ.ศ. ๒๕๓๓ เร่ืองสั้น “วันนี้ดอกพุดซ้อนไม่ยอมบาน” คัดเลือกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น โดย Koichi
Nonaka
พ.ศ. ๒๕๓๘ เรอ่ื งส้นั “ตวั สดุ ท้าย - โดมิโน” รางวัลช่อการะเกดยอดเยยี่ ม และยอดนิยม
ขอ้ มูลจาก : สานกั พมิ พป์ ระพนั ธส์ าส์น ชมุ ชนคนรกั การอา่ น เวบ็ ไซต์ ; https://www.praphansarn.com/home/detail_author_th/278
ประวตั ินักเขยี น เป็นจุดเร่มิ ตน้ ท่ีนาไปสู่ขอ้ มูลท่ีผูส้ ัมภาษณต์ ้องการนาไปศกึ ษาในประเดน็ ตา่ ง ๆ ต่อไป
โดยประวัตินักเขียนทาให้ทราบถึงข้อมูลที่เป็นความจริงจากผู้มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์โดยตรง
ดงั ในเร่ืองต่อไปนี้ ความหมายของวรรณกรรมปัจจุบัน ลักษณะของวรรณกรรม ยุคสมัยของวรรณกรรม กลวิธี
ในการแต่งวรรณกรรม และแนวคิดของวรรณกรรม อีกท้ังการที่จะได้ข้อมูลเหล่าน้ี สังเกตได้จาก อาชีพ
ความชอบ ความถนัด ผลงานและรางวัลที่ได้รับในแต่ละปี จากผู้ให้สัมภาษณ์ จึงทาให้รู้ว่าผู้ให้สัมภาษณ์หรือ
นักเขียนน้ันมีความสามารถ ชานาญอย่างถ่องแท้ที่จะนาคาสัมภาษณ์มารวบรวมเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งใน
การศึกษาวรรณกรรมปจั จบุ นั ตอ่ ไป
บทท่ี ๓
ความรทู้ ่วั ไปเก่ียวกับวรรณกรรมปจั จบุ นั
วรรณกรรมเป็นเคร่ืองมือที่ใช้ในการส่ือสารในเรื่องต่าง ๆ ของยุคสมัยและอีกท้ังยังเป็นงานศิลปะอัน
ประณีตท่ีใช้การถ่ายทอดความรู้สึก การใช้ภาษาของผู้เขียน และสะท้อนถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม การเมือง
และเศรษฐกิจ ที่นักเขียนได้บรรจงถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือออกมาในแต่ละยุคสมัย ทาให้เห็นถึงความเป็นอยู่
ของในยคุ สมัยนั้น ๆ อย่างแท้จรงิ วรรณกรรมจงึ เป็นอีกหนง่ึ ผลงานของบรรดานักเขยี นท่ีสามารถบันทกึ ประวัติ
เหตกุ ารณข์ องแตล่ ะยคุ สมยั น้นั ได้ดี
๓.๑ ความหมายของวรรณกรรมปัจจบุ นั
วรรณกรรมปัจจุบนั คอื งานเขยี นทกุ ชนดิ ไมว่ ่าจะอยู่ในรูปแบบร้อยแก้วหรือรอ้ ยกรองท่ีมีรปู แบบ และ
สาระเนื้อหาท่ีผูเ้ ขียนพยายามสื่อความคิดด้วยวธิ กี ารหนึ่งมายงั ผอู้ า่ น ซง่ึ เกดิ มาจากความตั้งใจของผู้เขยี นในอัน
ท่ีจะถ่ายทอด ความรู้สึกหรือทัศนะของเขาออกมาเป็นตัวอักษรอย่างมีศิลปะ ไม่ว่าจะจากประสบการณ์หรือ
แรงบนั ดาลใจ หรืออารมณส์ ะเทือนใจกต็ าม
สายทิพย์ นุกูลกิจ (๒๕๓๗ : 3) ได้กล่าวไว้ว่า คาว่า วรรณกรรมปัจจุบัน นี้ อธิบายว่า ไทยเราแปลคา
ว่า วรรณกรรมปัจจุบันจาก “Contemporary literature” ซึ่งหมายถึงวรรณกรรมที่มีรูปแบบ ความคิด เน้ือ
เรื่องและปรัชญาการแต่งแตกต่างวรรณกรรมในอดีต คือวรรณกรรมก่อนสมัยรัชกาลที่ ๓ ขึ้นไป คาว่า
“Contemporary” อาจแปลว่า เวลาเด๋ียวนี้ หมายถึงระหว่างอดีตกับอนาคต คือ Contemparary of the
present time ซึ่งไทยเราใช้ว่า “วรรณกรรมปัจจุบัน” หรือจะแปลอีกอย่างนึงว่า Living or happening in
the same period of time ซึ่งไทยเราเขียนว่า วรรณกรรมร่วมสมัย ก็ได้ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า คาว่า
วรรณกรรมปัจจุบัน มีความหมายอย่างเดียวกับคาวา่ วรรณกรรมร่วมสมัย แม้คาทัง้ สองจะบ่งบอกว่ามีเงือ่ นไข
อยู่กับเวลาเหมือนกันก็ตาม ทั้งนีเ้ พราะเง่ือนไขเกี่ยวกับเวลาของคาทั้งสองนี้มีความหมายต่างกัน กล่าวคือ แม้
คาว่าวรรณกรรมปจั จบุ ันจะมีเงือ่ นไขอยู่กบั เวลาก็จริง แตก่ ม็ ีปัญหาว่าปัจจุบันน้ันจะนับเวลาจากเดย๋ี วนี้ย้อนขึ้น
ไปจนถึงเมื่อไร และ “เดี๋ยวนี้” ท่ีกล่าวถึงน้ันคือเวลาใด เนื่องจากอนาคตก็จะกลายเป็นปัจจุบันข้ึนไปทุกที ๆ
ขณะเดยี วกัน คาว่ วรรณกรรมร่วมสมยั ก็ก่อให้เกดิ ปญั หาในเร่ืองเวลาเช่นกนั ว่า วรรณกรรมนน้ั ร่วมสมัยกับใคร
กับผเู้ ขียน หรอื กับผอู้ ่าน
ซึ่งจากการพิจารณาแล้วดังจะเห็นได้ว่า วรรณกรรมบางเรื่องอาจเป็นได้ทั้งวรรณกรรมร่วมสมัย
และวรรณกรรมปัจจุบัน แต่วรรณกรรมบางเรื่องอาจเป็นได้เพียงวรรณกรรมร่วมสมัยหรือวรรณกรรมปัจจุบัน
อย่างใดอย่างหน่ึงเพียงอย่างเดียวเท่าน้ัน ส่วนเกณฑ์การพิจารณาว่าวรรณกรรมเล่มใดเป็นวรรณกรรมไทย
ในอดตี วรรณกรรมเล่มใดเปน็ วรรณกรรมไทยปจั จุบนั นัน้ จาเป็นต้องอาศยั ปัจจยั ๒ ประการกนั คอื
๑. เวลา ไม่มีกาหนดไว้ตายตัว อาจถือเอาจากช่วงเวลาที่เป็นจุดกาเนิดของวรรณกรรมปัจจุบัน
ซึ่งเริ่มจากปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมาก็ได้ เพราะเป็นช่วงเวลา
ที่วรรณกรรมไทยมีลักษณะเปล่ียนแปลงไปจากวรรณกรรมในอดีตอย่างเห็นได้ชัดเจน หรือจะถือเอาจาก
ช่วงเวลาท่ีนักเขียนมีผลงานเป็นท่ีรู้จักกันอย่างแพร่หลายและหาอ่านได้ไม่ยาก ซ่ึงเป็นช่วงเวลาในช่วงปลาย
รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวหรือประมาณ พ.ศ.๒๔๗๐ เป็นตน้ มาก็ได้
๙
๒. ลักษณะของวรรณกรรม สิ่งท่เี ปน็ เครอ่ื งกาหนดลกั ษณะการเขียนวรรณกรรมปัจจบุ ัน คือ
๒.๑ อิทธิพลตะวันตก เริ่มเข้ามาต้ังแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทาให้ลักษณะวรรณกรรมไทยเดิมเปลี่ยนแปลงไปทั้งรูปแบบ เนื้อหา แนวความคิดและกลวิธีการเขียน
โดยในระยะแรก ๆ วรรณกรรมปัจจุบนั ของไทยจะปรากฏอิทธิพลของตะวันตกอยา่ งเห็นไดช้ ัดเจน แล้วค่อย ๆ
มพี ฒั นาการจนกลายเป็นเรอื่ งของไทยอย่างแท้จรงิ ในระยะเวลาต่อมา
๒.๒ สภาพทางสังคม สังคมมีอิทธิพลต่อนักเขียนหรือวรรณกรรมมาก ทั้งนี้ เพราะนักเขียน
คนเดียวเปรียบเสมือนคนสามคน คือ เป็นนักประพันธ์ เป็นหน่วยของคนรุ่นนั้น และเป็นพลเมืองของสังคม
เมื่อนักเขียนอยู่ในสังคมนักเขียนก็ย่อมได้รับอิทธิพลจากสังคมทั้งในด้านวัฒนธรรม ขนบประเพณี ศาสนา
ปรัชญาและการเมือง และสภาพการณ์ของปัจจยั ทางสังคมเหล่านี้ย่อมเป็นเคร่ืองกาหนดโลกทัศน์และชีวทัศน์
ให้แก่นักเขียนด้วย ดังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เห็นได้ชัดเจนทั้งในด้าน
การปกครองประเทศ ขนบธรรมเนียม ประเพณี การศึกษา การคมนาคม และการสาธารณสุข อันเป็นผล
มาเนื่องจากอิทธิพลตะวันตก และเหตุการณ์สาคัญ ๆ ขึ้นในเมืองไทย คือนับต้ังแต่การเปลี่ยนแปลงการ
ปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ สงครามโลกคร้ังที่ ๒ ขบถสนั ติภาพ พ.ศ.๒๔๙๕ การปฏิวัติ พ.ศ.๒๕๐๐ เปน็ ตน้ เหลา่ นั้น
นอกจากจะมีผลทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการเมือง เศรษฐกิจ จริยธรรมและค่านิยมในสังคม ยังมีผล
ทาให้เน้ือหา แนวคิดและกลวิธีการเขียนวรรณกรรมมีลักษณะเปล่ียนแปลงไปจากเดิมอย่างต่อเน่ืองกันเป็น
ลูกโซอ่ กี ดว้ ย
กล่าวโดยสรุป วรรณกรรมไทยปัจจุบันน่าจะถือกาเนิดข้ึนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว เพราะลกั ษณะของวรรณกรรมไทยในช่วงน้ีได้เปล่ียนแปลงไปจากวรรณคดีไทยเดิมอยา่ ง
เห็นได้ชัดเจนทั้งในด้านรูปแบบ แนวคิด เนื้อหาและกลวิธีการแต่ง เน่ืองจากได้รับอิทธิพบจากวรรณกรรม
ของตะวันตก
สนิท ต้ังทวี (๒๕๒๘ : ๓) ได้กล่าวไว้ว่า คาว่า “วรรณกรรม” มีปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกใน
พระราชบัญญัติคุ้มครองศิลปวรรณกรรม พ.ศ. ๒๔๗๕ คาน้ีใกล้เคียงกับคาว่า “วรรณคดี” เพราะแปลมาจาก
คา Literature เชน่ เดียวกัน แต่คาว่า วรรณกรรม นน้ั หมายถึงส่ิงท่ีเขียนข้ึนท้ังหมดไม่ว่าจะเปน็ รปู ใด หรือเพื่อ
ความมุ่งหมายใด เช่น คาอธิบายวิธีใช้กล้อง ถ่ายรูป การใช้เตารีดไฟฟ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เสื้อเช้ิต รวมทั้ง
ใบปลิว หนงั สอื พิมพ์ นวนิยาย กล็ ว้ นแต่เรยี กว่า Literature ทั้งสิ้น
จรรยาวรรณ เทพศรีเมือง (๒๕62 : 9) ไดก้ ล่าวไวว้ า่ วรรณกรรมมีความหมายครอบคลุมถึงงานเขยี น
ตา่ ง ๆ ดังน้ี
1. งานเขียนทั่ว ๆ ไป เป็นงานที่ไม่จาเป็นต้องใช้ศิลปะหรือกลวิธีในการเขียนเพื่อโน้มน้าวให้
ผอู้ ่านคล้อยตาม เช่น ตารา เอกสารทางวิชาการ เปน็ ต้น
2. งานเขียนที่ต้องมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ จะเปน็ งานเขยี นประเภทใดกไ็ ด้ แต่ต้องแตง่ อย่างมี
ศิลปะ มีความประณีตงดงาม มีกลวิธีในการสร้างอารมณ์สะเทือนใจและทาให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามได้
ซ่ึงงานเขียนที่มีคุณค่าทางวรรณศิลป์ เช่น นวนิยาย เร่ืองสั้น บทละคร บทความ สารคดี และ บทร้อยกรอง
เป็นตน้
3. งานเขียนท่ีได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มีคุณค่าทั้งในด้านอารมณ์และสติปัญญา ซึ่งก็คือ
หนงั สือวรรณคดี งานเขยี นประเภทนีเ้ ช่น ลิลติ ตะเลงพา่ ย โคลงนิราศนรินทร์ เป็นตน้
๑๐
ประมวล มณีโรจน์ (สัมภาษณ์, ๑๑ กันยายน ๒๕๖๕) ให้ความหมายวรรณกรรมปัจจุบันไว้ว่า
วรรณกรรมปัจจุบัน หมายถึง งานเขียนท่ีมีเน้ือหาและแนวคิดในลักษณะที่เป็นแบบใหม่ ซ่ึงมีลักษณะท่ี
หลากหลายมากในปัจจุบัน ต่างจากวรรณกรรมในอดีตหรือวรรณกรรมท้องถ่ินที่มีลักษณะการเขียนเก่ียวกับ
เรอ่ื งราวของบ้านเกดิ ครอบครัว สง่ิ ใกลต้ ัว หรือเรอ่ื งที่อยูใ่ นชีวิตประจาวันเทา่ น้ัน
สรุปได้วา่ วรรณกรรมปัจจุบัน หมายถึง งานเขียนรูปแบบใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง
ทีถ่ ูกสร้างจากความคิด ความรู้สึก รวมไปถึงประสบการณ์ของผู้เขียนที่ต้องการสื่อสารออกมายังผ้อู ่าน ซึ่งอาจ
เปน็ ข้อเท็จจริงหรือเร่ืองแต่งก็ได้ หลังจากน้ันจึงถูกนามาร้อยเรียงเปน็ ถอ้ ยคาและออกมาเปน็ งานเขียนประเภท
ตา่ ง ๆ เช่น นวนยิ าย เร่อื งส้นั กวนี พิ นธ์ ฯลฯ
๓.๒ พัฒนาการของวรรณกรรมปัจจบุ ัน
ว ร ร ณ ก ร ร ม แ ต่ ล ะ เ ล่ ม ย่ อ ม มี ที่ ม า ท่ี ไ ป แ ต ก ต่ า ง กั น ไ ป แ ล ะ ยั ง ค ง มี ก า ร พั ฒ น า อ ย่ า ง ต่ อ เ น่ื อ ง
จึงมีการจัดแบ่งวรรณกรรมตามยุคสมัยที่กาเนิด และมีพัฒนาการของแต่ละยุคสมัย ซึ่งการกาเนิด
และวิวัฒนาการปัจจุบันนั้น ท้ังรูปแบบและเน้ือหามีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับความเปล่ียนแปลงของสังคมด้วย ดังนั้น
เพ่ือมองเห็นความคล่ีคลายของวรรณกรรมปัจจุบันของไทย โดย รื่นฤทัย สัจจพันธ์ุ (๒๕๓๐ : ๕-๒๔)
ไดก้ ล่าวถึงการแบง่ วรรณกรรมไทยปจั จบุ นั ตามช่วงเวลา ดงั น้ี
๑. ยคุ เร่ิมแรก (พ.ศ.๒๔๔๓ - ๒๔๕๑)
ระยะนี้คือช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ตลอดรัชกาลที่ ๖ จนถึงรัชกาลที่ ๗ ระยะเวลาเหล่าน้ี
สังคมไทยเร่ิมมกี ารเปลย่ี นแปลงไปอย่างมากและรวดเร็วเน่อื งจากได้รบั อิทธพิ ลตะวันตก นักเรียน นอกที่ไปเล่า
เรยี นวชิ าการตา่ ง ๆ จากยุโรปตั้งแตส่ มัยรัชกาลท่ี ๕ เดินทางกลับมาพร้อมกับ ความรู้ ความคิด คา่ นิยมท่ีสั่งสม
มาจากดินแดนเหล่านั้น สังคมไทยจึงไม่ได้พัฒนาไปเฉพาะ ด้านวัตถุ คือ มีไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์รถไฟ การ
จดั ตั้งส่วนราชการต่าง ๆ การจัดระบบการศึกษา ฯลฯ แต่มีการพฒั นาไปในดา้ นวัฒนธรรมเป็นอย่างมากพร้อม
กันไปด้วย เช่น ขนบธรรมเนียม ประเพณี การแตง่ กาย การเปลี่ยนแปลงค่านิยม มีการเลิกทาส เป็นต้น เครอื่ ง
สะทอ้ นให้เหน็ ความเปลยี่ นแปลงของวัฒนธรรมไทยมากทสี่ ดุ ในระยะนีค้ ือวรรณกรรม โดยมีหนังสือพิมพ์ และ
วารสารต่าง ๆ ท่ีออกจาหน่ายมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๐ เป็นต้นมาเป็นสนามสาคัญในการเผย แพร่ความรู้
ความคิด ค่านิยมใหมข่ องสังคม วารสาร หนังสือพมิ พ์ ตลอดจนบทวรรณกรรม ที่มีอทิ ธิพลสาคัญในช่วงเวลาน้ี
ไดแ้ ก่
สยามประเภทรายเดือน (๒๔๔๐) ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ เน้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และ
ประวัติบุคคลสาคัญ งานของเขาถูกโจมตีอย่างมากในระยะนั้นว่าเช่ือถือไม่ได้ แต่ก็ได้มี ผู้นาชีวิตและผลงาน
ของท่านผู้น้ีมาศึกษา และได้พบว่า ก.ศ.ร. กุหลาบไม่ใช่นักคิดแต่ง พงศาวดารขึ้นเองตามคากล่าวหาแต่ได้
ข้อมลู มาจากเอกสารของเก่าหายาก และเอกสารจาก ต่างประเทศ บทความของ ก.ศ.ร. กุหลาบแดงให้เหน็ โลก
ทศั นท์ เ่ี ปน็ วทิ ยาศาสตร์ และ วทิ ยาการแผนใหม่ เชน่ การคดั คา้ นความเช่ือเรอ่ื งไสยศาสตร์
ตุลวิภาค จนกิจ รายปักษ์ (๒๔๔๕ – ๔๙) และ ศิริพจนภาค รายเดือน (๒๔๕๑) ของ ต.ว.ส.
วัณณาโภ (เทียนวรรณ) เน้นบทความวิพากษ์วิจารณ์สังคมและเสนอข้อคิดอันเป็น ประโยชน์ต่อการปกครอง
แต่ก็เป็นข้อคิดท่ีก้าวหน้าเป็นยุคสมัย เน่ืองจากเทียนวรรณได้ประสบการณ์จากการไปพบเห็นความเจริญของ
ตะวันตกและพบปะผคู้ นท่ีมคี วามรู้ ประกอบกับ เป็นนักคิดจึงนาเอาความคดิ ของเขามาเผยแพร่เพ่ือประโยชน์
แก่บ้านเมือง แต่ความท่ีเป็นความ คิดล้าสมัยจึงทาให้ไม่ได้รับความสนใจหรือมีอิทธิพลเท่าที่ควร กลับเป็นภัย
๑๑
แก่ตัวผู้เขียนเอง เสียด้วยซ้า เพราะในสมัยนั้นคนท่ีรู้หนังสือมีน้อย และค่านิยมของสังคมเก่ายังครอบงาอยู่
อย่างเหนียวแน่น บทความบางชิ้นของเขาจึงได้รับการตอบโต้ บทความท่ีเขียนลงในหนังสือ ท้ังสองเล่มนี้มุ่ง
เสนอความคิดเห็นในเรื่องการปรับปรุงประเทศให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียม อารยะประเทศ โดยขจัด
ขนบธรรมเนียมค่านิยมท่ีล้าสมัยออกไปและเปลี่ยนค่านิยมใหม่ เช่น ความเสมอภาคของหญิงชาย เล็กระบบ
การมีภรรยาหลายคน เสนอแนะให้เลกิ ทาส เลิกบ่อนเบ้ีย หา้ ม สูบฝิ่น เลิกการกนิ สินบน การกดข่ขี ม่ เหงกัน ให้
มีการจัดตั้งศาลยุติธรรม สร้างโรงเรียน สร้าง ถนน ขุดคลอง โรงพยาบาล ขยายการอุตสาหกรรม ตั้งธนาคาร
และมรี ัฐสภา เปน็ ต้น
ลักวิทยา รายเดือน (๒๔๔๓ - ๔๕) ของพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เจ้า พระ
ยาธรรมศักด์ิมนตรี และพระยาสุรินทราชา รวมกันดาเนินการและเป็นนักเขียน เป็นหนังสือ ที่เน้นงานแปล
ท้ังนวนิยายและเรื่องส้ันตะวันตก เช่น พระยาสุรินทราชาแปล ความพยาบาท จากเรื่อง เวนเดตต้า ของแมรี่
คอเรลล่ี เป็นนวนิยายแปลเป็นไทยเรื่องแรก เจา้ พระยาธรรม ศักดิ์มนตรแี ต่งเรื่องส้ันแบบตะวนั ตกคอื เร่อื ง คุณ
ย่าเพง่ิ
ถลกวิทยา รายเดือน (๒๔๔๓ – ๔๘ ) ของหลวงวิลาสปริวัตร (เหล่ียม วินทุพราหมณกุล)
เน้นนวนิยายแปลแนวผจญภัยลึกลับ และบทวิจารณ์บ้านเมอื ง “ครูเหลยี่ ม” เป็นผู้จัดทาและ เขยี นคนเดียวทั้ง
เล่มโดยใช้นามปากกาต่าง ๆ กัน นวนิยายแปลท่ีสาคัญคือ สาวสองพันปี แปล จากเรื่อง SHE ของเซอร์ เฮนร่ี
ไรเดอร์ แฮกการ์ด ซงึ่ เปน็ แบบแผนใหก้ บั นวนยิ ายผจญภัย ของไทยในเวลาตอ่ มา
ทวีปัญญา รายเดือน (๔๔๗ - ๕๐) เป็นวารสารของทวีปัญญาสโมสรซึ่งพระบาทสมเด็จ พระ
มงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงจัดต้ังขึ้น ส่วนใหญล่ งบทพระราชนพิ นธ์ เชน่ นิทานทองอิน โดย นายแกว้ นายขวัญ ซึ่ง
เป็นนวนิยายสืบสวนสอบสวนเรื่องแรกของไทย ผดุงวิทยา รายปักษ์ (2500 - 58) โรงพิมพ์จีนในสยามวาร
ศัพท์ โดยนายเซียวฮวดเส็ง ศรีบุญเรือง เป็นเจ้าของและผู้ดาเนินงาน นักเขียนสาคัญของหนังสือเล่มนี้คือ
ศ.ร. (ม.จ.หญิง สขุ ศรสี มร เกษมศรี) แมส่ อาด (หลวงสารานุประพันธ)์ ศรสี วุ รรณ (หลวงนัยวิจารณ์) แสงทอง
๒. ยุครุ่งอรุณ (พ.ศ. ๒๔๗๒-๒๔๗๕)
ช่วงระยะเวลา ๓ ปี ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในสมัย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ เป็นหัวเล้ียวหัวต่ออีกช่วงหน่ึงในประวัติศาสตร์ วรรณกรรมไทย
เพราะได้เกิดวรรณกรรมประเภทการเมืองหรือวรรณกรรมเสนอข้อคิดเห็นข้ึนอย่างมากมาย เน่ืองจากสภาพ
ของสังคมการเมืองไทยเป็นแรงผลักดันท่ีสาคัญ ปัญหาสาคัญของประเทศในขณะน้ีคือปัญหาเศรษฐกิจท่ีอยู่ใน
ภาวะเส่ือมโทรมกว่าสมัยใด ๆ เน่ืองจากผลต่อเนื่องจากการใช้จ่ายมากในรัชกาลก่อน ประกอบกับเป็นระยะ
เศรษฐกจิ ตกตา่ ทั่วโลก ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจจึงก่อให้เกดิ ปัญหาทางการเมือง ความระสา่ ระสายทางการ
ปกครองด้วย เพราะวิธีหน่ึงของการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจคือการตัดทอนรายจ่ายส่วนพระองค์
พระมหา กษัตริย์ตัดทอนคา่ ใช้จ่ายส่วนราชการตลอดจนลดจานวนข้าราชการให้เหลือเท่าท่จี าเป็น ซ่ึงเรียกกัน
ว่า “ดุลยภาพ” จึงทาให้เกิดความระส่าระสายในหมู่ข้าราชการที่เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง
เรอื่ งอัตราภาษใี หม่ ประกอบกับลักษณะการปกครองในแบบราชาธิปไตยการถือยศถือศักดติ์ ามค่านิยมในสงั คม
ขณะนั้นเป็นเคร่ืองถ่วงให้ประเทศชาตไิ ม่อาจก้าวหน้าไปได้ไกลตามความผันแปรของโลก ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้
จึง ผลักดันให้บุคคลคณะหนึ่งประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ พลเรือน พ่อค้าในนามของ “คณะราษฎร์”
ภายใต้การนาของพระยาพหลพลพยุหเสนาทาการยึดอานาจการปกครองประเทศ เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
๑๒
เพ่ือทาการแก้ไขฐานะของประเทศให้ดีข้ึนและนาระบอบประชาธิปไตย มาปกครองประเทศ พระบาทสมเด็จ
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับช่ัวคราวให้เม่ือ ๒๔ มิถุนายน และฉบับถาวรเม่ือ ๑๐
ธันวาคม ๒๔๗๕
วรรณกรรมในช่วงก่อนเปลยี่ นแปลงการปกครองจงึ เปน็ วรรณกรรมทเี่ นน้ สาระและ ความจริง
มากข้ึน ในระยะน้ีมีงานแปลและงานแปลงวรรณกรรมต่างประเทศน้อยลง วรรณกรรมมีลักษณะเป็นไทยแท้
แสดงบุคลิกของตนเองมากข้ึนกว่าแต่ก่อน จุดเด่นของวรรณกรรมในยุคน้ี คือ เนื้อหาเข้มข้น และเสนอข้อคิด
อนั เป็นประโยชน์ต่อสงั คมและการเมือง เช่น ในด้านสารคดี บทความทางการเมืองแพร่หลายมาก หนงั สือพิมพ์
ไทยใหม่รายวันมักจะลงบทความทางการเมืองเพ่ือส่งเสริมและเรียกร้องให้ไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบประชาธิปไตย และเปล่ียนแปลงไปสู่สังคมใหม่ เช่น บทความขนาด
ยาวช่ือ ชีวิตของประเทศ ของนาวาเอก พระยาศราภัยพิพัฒน์ ร.น. (ศรทอง) ลงในไทยใหม่ รายวันประมาณ
พ.ศ. 2470 และบทความของศรีบูรพาชื่อ มนุษยภาพ ลงในศรีกรุง พ.ศ. 2474 เรียกร้องการปกครองใน
ระบอบใหมเ่ ช่นเดยี วกนั ซ่ึงมผี ลทาใหห้ นงั สอื พมิ พ์ถูกปิดแทน่ พิมพ์ถูกล่ามโซ่
ในด้านบันเทิงคดี ต้ังแต่ปีพ.ศ. 2472 เป็นต้นมา นวนิยายเร่ืองส้ันมีลักษณะเป็นไทยแท้
มากกว่าแต่ก่อน คือ ตัวละครเป็นไทยล้วนไม่สมมุติตัวละครเป็นฝร่ังใช้เหตุการณ์ที่เป็นจริง ในสังคมไทย
ประกอบท้องเร่ือง มีการบรรยายฉาก บทสนทนาสมจริงว่าแต่ก่อน และที่สาคัญคือ เริ่มมีนวนิยายเร่ืองสั้นใน
แนวเรื่องอย่างใหม่ คือ นวนิยายเรื่องส้ันประเภทเสนอข้อคิดและสะท้อนการเปล่ียนแปลงของสังคมเป็นคร้ัง
แรก ผู้ท่ีได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ริเริ่มการประพันธ์ประเภทน้ีคือ หม่อมเจ้าอากาศดาเกิง รพีพัฒน์ โดยทรงนิพนธ์
เรื่อง ละครแห่งชีวิต เมื่อปี พ.ศ.2472 เป็นนวนิยายในแนวแปลกท่ีไม่เคยมีใครเขียนมาก่อนและได้เป็นแบบ
ฉบับให้แก่นักเขียนรุ่นหลังหลายประการ เช่น เป็นนวนิยายเสนอข้อคิด ม.จ. อากาศ เสนอข้อคิดหลาย
อย่างเช่น เรื่องคนตะวันออกและตะวันตกไม่มีวันจะร่วมชีวิตกันได้ โจมตีค่านิยมสังคมไทยท่ีนิยมการมีภรรยา
มาก นอกจากน้ียังให้ถอนใจในเร่ืองการต่อสู้ชีวิต และยอมรับความผันผวนของชีวิตอย่างกล้าหาญ นอกจาก
เป็นนวนิยายเสนอข้อคิดยังเป็นเร่ืองที่ใช้ตัวละครเป็นบุคคลที่มีชีวิตในขณะน้ันเป็นนวนิยายชีวิตต่างแดน
(exotic novel) เรื่องแรก นอกจากน้ียงั เป็นนวนิยายเร่ืองแรกท่ีทาให้เกิดการวิจารณ์นวนิยายอย่างจริงจังเป็น
ครั้งแรก คือ พระองค์ เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงวิจารณ์เรื่องละครแห่งชีวิต แต่น่าเสียดายที่การวิจารณ์ยังเป็น
ข อ ง ใ ห ม่ จึ ง ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม ไ ม่ พ อ ใ จ แ ก่ ผู้ ป ร ะ พั น ธ์ ถึ ง ขั้ น มี บ ท โ ต้ ต อ บ กั น ร ะ ห ว่ า ง ผู้ วิ จ า ร ณ์ แ ล ะ นั ก เ ขี ย น
การวิจารณ์นวนิยายของไทยในระยะต้นจึงไม่เจริญงอกงามเท่าที่ควรต่อจากเร่ืองละครแห่งชีวิต ม.จ.อากาศฯ
ทรงนิพนธ์ นวนิยายเร่ือง ผิวเหลืองผิวขาว และยังทรงนิพนธ์เรื่องส้ัน ขนาดยาวอีกหลายเร่ือง ล้ วนแต่เป็น
นวนิยายเรื่องส้ันท่ีแสดงข้อคิดประการใดประการหนึ่งหรือหลายประการ นาหม่อมเจ้ากาศ ฯ นาเรียนที่มี
อิทธิพลมากในยุคน้ีคือหนุ่มสภาพบุรุษ อัน ได้แก่ ศรีบูรพา ดอกไม้สด และแปลนงค์ ซ่ึงเป็นกลุ่มนักเรียนของ
หนังสือพิมพ์สภุ าพบรุ ุษ รายสัปดาหท์ ี่ดาเนินการเม่ือปี พ.ศ. 2472 ดอกไม้สดเขยี นนวนยิ ายเรื่อง ศตั รขู องเจ้า
หล่อน เป็นเร่ืองแรก และเป็นนักเขียนที่เร่ิมนวนิยายชีวิตครอบครัวเป็นคนแรกด้วย นวนิยายของดอกไม้สด
สะท้อนภาพของผู้ดีเก่าที่ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมความดีแม้ว่าชีวิตจะผันผวนและเปลี่ยนแปลงฐานะทางสังคมไป
แต่ในขณะเดียวกันดอกไม้สด แสดงทีท่าไม่พอใจในขนบประเพณีล้าสมัยบางอย่าง และนาเอาความคิดและ
ค่านิยมตะวันตกบางประการมาเสนอไว้ด้วย นวนิยายของดอกไม้สดจึงประสบความสาเร็จกว่านักเขียน
คนอื่น ๆ เพราะตัวละคนมีบุคลิกมั่นคง เป็นผู้ที่รักษาความดีแบบรุ่นเก่าน่ายกย่อง และในขณะเดียวกัน
๑๓
กป็ รับปรงุ เอาค่านิยมใหม่มาใช้ได้อยา่ งไมเ่ คอะเขิน นอกจากนีผ้ ้เู ขยี นยังมีจุดประสงค์หนกั แน่นทจี่ ะใหข้ ้อคิดแก่
คนอ่านนอกไปจากความบันเทงิ และผู้แต่งมีความประณตี ต่องานเขียนของตนอยา่ งมาก ศรีบูรพาเร่มิ งานเขียน
ต้ังแต่ พ.ศ. 2460 เม่ือยังเป็นนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ นวนิยาย เรื่องแรกคือ คมสวาทบาดจิต จากนั้นก็
เขียนนวนิยายและเร่ืองส้ันอีกหลายเรื่องโดยมากเป็น เรื่องรัก เช่น ปราบพยศ มารมนุษย์ ลูกผู้ชาย โลก
สันนวิ าส หวั ใจปรารถนา อานาจใจ แสนรกั เปลยี่ นแนวการเรียนมาสู่วรรณกรรมเสนอขอ้ คิดในชว่ งกอ่ นปี พ.ศ.
2475 ได้เขียนนวนิยายเรื่อง สงครามชีวิต โดยได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายรัสเซียเรื่อง รักของผู้ชายใช้
(Procar Peetapple) ของ ตอกโคเฟสกี้ จากนั้นเป็นต้นมางานเขียนทิ้งเร่ืองส้ัน นวนิยาย เร่ืองแปล บทความ
สารคดี จะมีแนวคิดทางการเมืองชดั เจนขนึ้ เรื่อย ๆ
มาลัย ชูพินิจ (แม่น) เป็นนักเขียนที่มีงานวรรณกรรมจานวนมากและมากประเภท จึงเป็น
นักเขียนที่มีนามปากกามากคนหนึ่ง ผลงานรุ่นแรกของคุณมาจัดพิมพ์ในเสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ไทย
เขษม ดรุณเกษม สวนอักษร สมานมิตรบันเทิง ฯลฯ ท้ังบทความ เรื่องส้ัน นวนิยาย เรื่องแปล ฯลฯ มาลัย
ชูพินิจ เป็นท้ังนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์เช่นเดียวกับศรีบูรพา และได้ร่วมมือกันทาหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
ที่สาคัญคือบางกอกการเมือง พ.ศ. 2470 เป็นหนังสือพิมพ์รายวันประเภทเสนอข่าวและบทความทางการ
เมืองและมีนวนิยายเรื่องยาวลงต่อเนื่องกันทุกฉบับด้วย จากน้ันร่วมกันทาหนังสือสุภาพบุรุษ ซ่ึงจัดตั้งขึ้นในปี
พ.ศ. 2472 และดาเนินการอยู่ 3 ปีก็ล้มเลิกเพราะขาดทุนเนื่องจากแม้หนังสือจะขายดีแต่ผู้จัดทาขาดความรู้
เรื่องธุรกิจหนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษได้รวมนักประพันธ์ มีช่ือแห่งยุคไว้ได้มาก และเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อยุคหนึ่ง
ของวรรณกรรมไทยจากหนังสือพิมพ์สภุ าพบุรุษ มาลัย ชูพินิจยงั ได้ ทาหนังสือพิมพ์ไทยใหม่รายวันประชาชาติ
ซ่ึงเป็นหนงั สอื พิมพก์ ารเมืองฉบับแรกของไทย ดาเนินงานภายใต้ความอานวยการของพลตรี พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ
กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เป็นหนังสือพิมพ์ที่มีกาเนิดขึ้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เป็นหนังสือ
พิมพ์ที่มีอิทธิพลในการชี้นาความคิดที่ถูกต้องเร่ืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยแก่ประชาชน ในปี พ.ศ.
2505 มาลัย ชูพินิจ จึงได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิติมศักด์ิทางวาร สารศาสตร์ จาก
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผลงานทางด้านบันเทิงคดีท่ีมีชื่อเสียงคือ แผ่นดินของเรา (2486) ทุ่งมหาราช
(2494) บ้านสรา้ ง ศึกอนงค์ เกดิ เปน็ หญิง เป็นต้น
3. ยุคเริม่ ศลิ ปะเพือ่ ชวี ิตถึงสมยั ชาตินยิ ม (พ.ศ. 2476-2488)
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์แล้ว สังคมไทยเปลี่ยนไปจากเดิมมาก คนชั้น
กลางมีอานาจควบคุมเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม วรรณกรรมส่วนใหญ่ในระยะน้ีจึงสะท้อนภาพของคนช้ัน
กลาง และความคิดแบบเสรีนิยมอันเน่ืองมาจากหลักการของประชาธิปไตยท่ีมุ่งเน้นความเสมอภาคและ
เสรีภาพของประชาชนเป็นสาคัญปรากฏให้เหน็ ชดั ในงานวรรณกรรมเกอื บทุกช้ิน เชน่ ความคิดเรื่องความเสมอ
ภาคของคนในสังคม ความเสมอภาคระหว่างหญิงไทย โดยเฉพาะนา่ สงั เกตว่าตวั ละครผู้หญิงในวรรณกรรมยคุ น้ี
เปล่ียนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด นักเขียนที่เด่นในยุคนี้คือนักเขียนท่ีมีผลงานรุ่นแรกมาในยุคก่อน
เปล่ียนแปลงการปกครองแลว้ เช่น ดอกไม้สด เขยี น ชัยชนะของหลวงนฤบาล ผู้ดี หน่งึ ในร้อย อนงค์ในหน่ึงใน
ร้อยเป็นหญิงสาวตามสมัยที่ไม่ท้ิงคุณสมบัติท่ีเหมาะที่ควรของกุลสตรี แต่ขณะเดียวกันก็มีบทบาททัดเทียม
ผู้ชาย ม่ันใจในตนเองสมกับเป็นหญิงท่ีเกิดในยุคได้สิทธิเสรีภาพใหม่ เช่น เม่ือมีความรักก็แสดงออกถึงข้ันออก
ปากฝากรกั ฝ่ายชายกอ่ น ก.สุรางคนางค์ เขยี น หญงิ คนชวั่ สะท้อนภาพผหู้ ญิงในอกี มุมหนง่ึ แต่กเ็ ป็นการแสดง
สิทธิของผู้หญิงโดยนัยกลับกันกับดอกไม้สด โดยชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงกลายเป็นวัตถุบาเรอความใคร่ เพราะสังคม
๑๔
ผลักดันให้ เป็นไปเชน่ น้ัน เรื่องความคดิ คานึง ของ ก.สรุ างคนางค์ เปิดโอกาสให้คนใช้อย่างจวนได้ใฝฝ่ ันถึงการ
เปลี่ยนฐานะทางสังคมของตน และการต่อสู้กับการกดขี่ทางชนช้ันแม้จะเป็นเพียงความคิด คานึงก็ตาม แต่ใน
ระยะเวลาต่อมา ก.สุรางคนางค์กลับเปลี่ยนแนวการเขียนเป็นนวนิยายรัก พาฝัน เช่น บ้านทรายทอง พจมาน
สว่างวงศ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี วรรณสิริ ดวงดาว ร.จันทะพิมพะ ซึ่งเป็นนักเขียนสตรีที่ได้รับอิทธิพลจาก
ดอกไม้สดและมีอิทธิพลต่อนักเขียนสตรีในยุคต่อมา นอกจากนักเขียนสตรีท่ีกล่าวไปแล้ว ยังมีนักเขียนในกลุ่ม
สุภาพบุรุษ ประชา มิตร ได้แก่ สด กูรมะโรหิต เขียนนวนิยายรักต่างแดนเร่ือง ปักก่ิงนครแห่งความหลัง โดย
ได้รับอิทธิพลจากหม่อมเจ้าอากาศดาเกิง ยาขอบเสนองานอิงประวัติศาสตร์อันลือลั่น เร่ือง ผู้ช นะสีเทศ
(2475) ไม้ เมอื งเดิม เรม่ิ เขียน แผลเกา่ ต่อดว้ ย ทหารเอกพระบัณฑูร เกวียนทบั ขุนศกึ และเรื่องสั้นเร่ืองยาว
อีกมาก ตามแนวนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่อายัณโฆษวางไว้ ป.อินทรปาลิตเขียนนวนิยายรักโศก และเรื่อง
ตลกอมตะชุด พล นกิ ร กมิ หงวน แมอ่ นงค์ เขียน แผ่นดินของเรา งานเด่นของศรีบรู พาในช่วงนีค้ อื ข้างหลงั ภาพ
เป็นนวนิยายรักต่างวยั ในต่างแดนให้ข้อคิดเรื่องค่านิยมเก่า ใหม่ และความขัดแย้งของสังคมเป็นอยา่ งท่ี ม.ร.ว.
นิมิตร 195 นวรัตน์ เรือนนวนิยายการเมืองในท่ีระดมคติ เรื่อง เมืองนิมิตร (2492) จากในขณะ ถูกจองจา
ด้วยคดีกบฏเศษ มนัส จรรยงค์ นักเขียนเร่ืองสั้นช้ันครู ในลักษณะให้ความระทึกใจในการดาเนินเร่ืองและจบ
อย่างพลิกความคาดหมาย นวนิยาย เร่ืองส้ัน ของ โอ.เฮนรี่ และ สี เดอ โมบิลสั่ง นวนิยายเร่ืองส้ันท่ีกล่าว
มาแลว้ นี้ ลว้ นแตเ่ สนอเรื่องราวของคนชั้นกลางและความล้มเหลวในความผนั ผวนของชีวิตชนชั้นสูง อนั เป็นผล
มา จากการเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งบางครั้งนักเรยี นก็แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นกลาง บางครง้ั ความอาลัย
ในอดตี 6 กล่าวอีกนัยหนึ่งวรรณกรรมในระยะนสี้ ะทอ้ นความคดิ ค่านิยมที่เปล่ียนแปลงใหม่ และบางอยา่ งกข็ ัด
กับค่านิยมเดิมอย่างมาก งานเขียนเหล่านีแ้ ม้บางเร่ืองยังมีตัวละครเป็นคุณพระคุณหลวง และสร้างบรรยากาศ
ของสังคมเก่าอยู่บ้าง แต่ก็มักจะแสดง ให้เห็นการต่อสู้เก่งข้ึนต่อประเพณีโบราณ ในนวนิยายรักก็จะแสดงออก
มากในเรื่องการต่อต้านการคลุมสูงขึ้น นอกจากน้ีมักแสดงความขัดแย้งในเรื่องความคิด ความเช่ือ ค่านิยมใน
สังคม ตลอดจนความขัดแย้งทางการเมืองมีอยู่มากดังท่ีเกิดกบฏ การต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยท่ีสมบูรณ์จึง
ยังมีอยู่แม้จะแสดงออกได้ไม่ง่ายนัก ส่วนวิธีการเรียนใช้ลักษณะของการสะท้อนภาพสมจริงมากกว่าเป็นเร่ือง
จินตนยิ ม
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484 ไทยตกอยู่ในภาวะสงครามมหาเอเซียบูรพา เม่ือญี่ปุ่นประกาศความกับ
อังกฤษและอเมริกา ดาบผลกระทบจากสงครามไปด้วยโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ เกิดความขาดแคลนไปทั่ว
ในด้านการพิมพ์กระดาษมีราคาแพงและหายาก หนังสือพิมพ์บางเล่มต้องปิดตัวเองโดยปริยาย เช่น เอกชน
สวนอักษร ศิลปิน ฯลฯ นอกจากผลกระทบจากสงครามโลกคร้ังที่สองน้ีแล้ว เหตุการณ์ภายในท่ีบีบรัดวง
วรรณกรรมไทยอีกอย่างหน่ึง คือ ในช่วงปี พ.ศ. 2485 วรรณคดีสโมสรฟ้ืนตัวข้ึนมาใหม่ พร้อมกับลัทธิ
ชาตินิยม และการส่งเสริมวัฒนธรรมและภาษาไทย ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผลกระทบต่อวรรณกรรม
คอื การปรับปรุงตัวอักษรไทย และวางหลกั เกณฑ์การเขียนหนังสือไทยใหม่โดยงดใช้สระ พยัญชนะที่มีเสียงซ้า
กนั กาหนดให้เขียนหนงั สือไทยด้วยคาไทยแท้ เช่น พฤกษา เรยี น หรอื สา ฤทธ์ิ เรียน สิทธิ์ เฒ่า เขียน เช่า เป็น
ต้น นอกจากนีม้ กี ารวาระเบียบการใช้คาแทนชื่อ และคารับ คาปฏิเสธ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับท่ี
4 เช่น คาแทนช่ือเอกพจน์ใช้ ฉัน ท่าน เขา/มัน พหูพจน์ใช้ เรา ท่านทัง้ หลาย เขาท้ังหลาย พวกมัน สว่ นคารับ
ใช้ จะคาปฏิเสธ ใช้ ไม่ ผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ชุดน้ี ทาใหว้ งการประพันธ์
และหนังสือพิมพ์ของไทยเกิดความปั่นป่วนอย่างย่ิง นักเขียนได้ รับความยุ่งยากและสับสนในการสะกดตัวให้
๑๕
ถูกตอ้ งตามวัฒนธรรมของจอมพล ป. พิบลู สงคราม และทาใหบ้ ทประพนั ธ์ จืดชืด อ่านยาก และหมดรสชาติใน
การอ่าน เพราะภาษาอยู่ในยุค “อักขรวิบัติ” โดยสมบูรณ์ นักเขียนบางคนถึงกลับวางปากกาเล็กเขียนไปเลย
เช่น ยากอบ นอกจากการเปล่ียนแปลงตัวอักษร สรรพนาม คาขานรับ คาปฏิเสธดังกล่าวมาแล้ว ส่ิงที่นัก
ประพันธ์ถือว่าเปน็ การละเมิดสิทธิเสรีภาพของความคิดและศิลปะการประพันธ์อย่างร้ายแรง คือ บทประพันธ์
ท่ีตีพิมพ์ได้จะต้องถูกเซนเซอร์อย่างเข้มงวดให้เป็นไปตามรสนิยมของผู้นาประเทศในสมัยน้ัน นักประพันธ์
หลายคนจึงหยุดเขียนเรื่องไประยะหน่ึง เช่น มาลัย ชูพินิจ หยุดเขียนแผ่นดินของเรา ซ่ึงพิมพ์ภาคต้นลงใน
ประชามิตร-สุภาพบุรุษ ไประยะหน่ึง สด กูรมะโรหิต เตรียมสร้างโรงเล้ียงไก่ เพราะหนังสือพิมพ์เอกชนต้อง
หยุดชะงักการพิมพ์เนื่องจาก ไม่มีกระดาษด้วย มนัส จรรยงค์ ไปประกอบอาชพี กสกิ รรม เปน็ ต้น อย่างไรกต็ าม
ในยคุ นีไ้ ดม้ ีนักเขยี นกลุ่มหนุ่มสาวเกดิ ข้ึนอีกมากมาย และจะมีบทบาทในระยะเวลาต่อมา เช่น อิศรา อมันตกุล
เสนี เสาวพงศ์ วิลาส มณีวตั องิ อร อุษณา เพลงิ ธรรม สวุ ฒั น์ วรดิลก นิตยา นาฏย สุนทร อ.อดุ ากร เปน็ ต้น
4. ยุคกบฎสันติภาพ (พ.ศ.2489-2500)
เป็นระยะเวลาหลังสงครามโลกคร้ังท่ี 2 วงวรรณกรรมไทยในช่วงระยะเวลาน้ีเกิด ปะทะกัน
ทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มความคิด “ศิลปะเพื่อศิลปะ” และ “ศิลปะเพื่อชีวติ ” ทาให้เกิดแบ่งแยก
นักเขียนออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มหน่ึงมีผลงานหนักไปทางเร่ืองพาฝันในแนวต่าง ๆ อีกกลุ่มหน่ึงมีผลงาน
หนักไปในทางเสนอข้อคิดเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่เป้าหมายเดิมท่ีวางไว้ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
วรรณกรรมในช่วงเวลาน้ี จึงเป็นเรื่องที่หนักไปในทางเสนอขอ้ คิดและอุดมการทางการเมอื ง การเรียกรอ้ งความ
เสมอภาคและเสรีภาพเพ่อื เปลยี่ นแปลงสังคมไปส่สู ภาพที่ดีขึ้น ความจริงกค็ อื แนวคิดในกลุ่มแรกนนั้ สืบทอดมา
จากวรรณกรรมในยุคแรก และยังคงได้รับความนิยมอยู่ทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน ส่วนแนวคิดในกลุ่มหลังนั้นเริ่ม
จะ ฟักตัวขึ้นก่อนเปล่ียนแปลงการปกครองและขยายตัวไปอย่างรวดเร็วในกลุ่มนักเขียนนักหนังสือพิมพ์
ทั้งสองกลุ่มต่างผลิตผลงานออกมาในจานวนพอ ๆ กัน และครองตลาดวรรณกรรมอย่างน่า ๆ พอใจทั้งสอง
กลุ่ม แต่ดว้ ยเหตุท่ีกลุ่มหลังเปน็ นักเขียนกลุ่มก้าวหน้าและหัวรุนแรงทางการเมือง จึงทาใหเ้ กิดความขัดแย้งกับ
ฝ่ายปกครองด้วยการท่ีดูเหมือนวา่ เป็นการปะทะความคิดกันอย่างรนุ แรงระหว่างนักเขยี น 2 ค่าย ที่จริงจงึ เป็น
การปะทะความคดิ ระหว่างนักเขียนและฝ่ายบา้ นเมืองมากกว่า
นักเขียนในกลมุ่ แรก ได้แก่ 1. สรุ างคนางค์ ซึ่งเปล่ยี นแปลงแนวการเขียนมาเป็นเร่อื ง รักแบบ
พ่อแง่แม่งอน เช่น ดอกฟ้าและโดมผู้จองหอง เขมรินทร์-อินทิรา บ้านทรายทอง พอมานสว่างวงศ์ ว.ณ.
ประมวญมารค เขียน ปริศนา เจา้ สาวของอานนท์ สวุ ฒั น์ วรดลิ ก เขยี น ราชินีบอด องิ อร เขยี น นิทรา-สายัณห์
นอกจากนี้ยงั มี ชอุ่ม ปญั จพรรค์ เปล้ือง ณ นคร พมนตรีรงั ษี ดวงศกร วรรณสิริ สุภร บุนนาค ฉนั ทิชย์ กระแส
สนิ ธุ์ แสงทอง ป.อินทรปาลิต ยาขอบ ไม้เมืองเดิม เป็นตน้ สว่ นนักเขยี นในกลุ่มหลงั คอื นกั เขียนหนุ่มสาวท่เี ร่ิมมี
ผลงานมา ต้ังแต่ช่วงสงครามโลกครัง้ ที่ 2 โดยมนี ักเขียนรุ่นเก่าเป็นผนู้ า เช่น ศรีบูรพา เขียน จนกว่าเรา พบกัน
อีก และ แลไปข้างหน้า แม่อนงค์ เขียน ทุ่งมหาราช นักเขียนรุ่นใหม่ก็มี เสนีย์ เสาวพงศ์ ซึ่งเร่ิมงานเขียนนว
นิยายรักต่างแดนด้วยเรื่อง ชัยชนะของผู้แพ้ และ ไม่มีข่าวจากโตเกียว ได้ เริ่มนวนิยายแนวสัจนิยมในระยะนี้
ด้วยเรื่อง ความรักของวัลยา และตอ่ มาด้วยปศี าจ ศรีรัตน์ สถาบันวัฒน์ เขียน แผ่นดินนข้ี องใคร (2494) เปิด
โปงความอยุติธรรมในสังคม และพรุ่งนี้ต้องมีอรุณรุ่ง เสนอตัวละครที่ไม่ยอมจานนต่อโชคชะตาเหมือนแต่ก่อน
สุด กูรมะโรหิต เขียน ระย้า เลือดสีแดง เลือดสีน้าเงิน แล้วยังมี ไผ่แดง ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นักเขียน
นอกจาก นี้กม็ ี อศิ รา อมันตกุล ทวี เกตะวันดี รมย์ รติวัน ซ่ึงเป็นนักหนังสอื พิมพ์ด้วย ทางด้านเรื่องส้ัน มี สาว
๑๖
คาหอม เขียนเรื่องส้ันชุด ฟัน และอ.อุดากร เช่น เรื่อง คาลมาซัก กล่ินดินปืน และ นันทิยา เป็นต้น ทางด้าน
สารคดี มีบทความวิเคราะห์วรรณกรรมในแนวศิลปะเพื่อชีวิตหลายชิ้น จินตนิยมและอัตนิยม ของ เสนีย์ เสา
วพงศ์ ศิลปะวรรณคดีกับชีวิต ของ บรรจง บรรเจอดศิลป์ ศิลปะเพ่ือชีวิต ศิลปะเพ่ือประชาชน ของ ทีปกร
(จิตร ภมู ิศักด์ิ) ในด้านร้อยกรองมีบทร้อยกรองเพื่อชีวติ จากนักเขียนหลายคนท่ีทรงอิทธิพลในระยะต่อมา เช่น
นายผี/อนิ ทรายุทธ อุชเชนี / นติ นรารักษ์ ทวีปวร เปลื้อง วรรณศรี กวีการเมอื ง (จิตร ภูมศิ กั ด)์ิ เปน็ ต้น
การรวมกลุม่ ชมรมนกั ประพันธ์ ในปี พ.ศ. 2493 โดยมีวิลาศ มณีวตั และประหยัด ศ. นาคะ
นาท เป็นกาลังสาคัญ ช่วยทาใหน้ ักเขียนรับผิดชอบต่อผลงานยิ่งขน้ึ แต่ชมรมน้ีต่อมาต้องสลายตัวไปเน่ืองจาก
การกวาดล้างทางการเมอื งท่ีเรียกว่า “กบฏสันตภิ าพ” เม่ือปี พ.ศ. 2495 กหุ ลาบ สายประดษิ ฐ์ หรอื ศรีบูรพา
ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ไปเจรจากับ ม.จ.ประสพ
สุข สขุ สวสั ดิ์ นายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในขณะนั้นเพื่อขอรอ้ งรฐั บาลให้ยกเลิกระบบเซนเซอร์
และพระราช บัญญัติการพิมพ์ปี 2484 ซ่ึง จอมพล ป. พิบูลสงครามพยายามจะนามาใช้อีก แต่เกิด “หนอน
บ่อนไส้” ทาให้กุหลาบ สายประดิษฐ์ ถูกตารวจสันติบาลจับกุมตัวในข้อหา “ขบถภายในและ นอก
ราชอาณาจักร” ผทู้ ีถ่ ูกจับกมุ ชดุ นมี้ ที ้ังนกั หนังสอื พมิ พ์ นกั ศึกษา อาจารย์มหาวิทยาลยั ปัญญาชน และชาวบ้าน
กุหลาบ สายประดิษฐ์ พ้นจากคุมขังเม่ือ พ.ศ. 2500 เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามให้มีการพระราชทานนิร
โทษกรรมในโอกาสครบรอบ 25 พุทธศตวรรษ เหตุการณ์ครั้งน้ีทาให้แนวทางวรรณกรรมเพื่อชีวิตชะงักงัน
ต้งั แต่บดั นั้นและไม่มีโอกาสฟื้นตวั อกี นานตลอดยุคการปกครองของจอมพลสฤษด์ิ ธนะรตั น์
5. ยุคมืดทางปัญญา (พ.ศ. 2501-2505)
เหตุการณ์บ้านเมืองที่สาคัญและมีผลกระทบต่อวงวรรณกรรมในช่วงเวลาน้ีที่สาคัญ คือ การ
ปฏิวัติรัฐประหารของ จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัตน์ 2 ครั้งในปี 2500-2501 ซึ่งเป็นผล ทาให้นักเขียนกลุ่ม
ก้าวหน้าหรือกลุ่มศิลปะเพ่ือชีวิตที่เริ่มสร้างแนวทางใหม่ของวรรณกรรม ในยุคก่อนหน้าน้ีต้องจากัดบทบาท
ของตนลงอย่างมาก เนื่องจากหลังการรัฐประหารรัฐบาล มุ่งรักษาเสถียรภาพทางการเมืองโดยเร่งด่วนที่สุด
และขจัดปัญหาคอมมูนิสต์ภายในประเทศ ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 จึงเป็นเคร่ืองลิดรอนเสรีภาพทาง
ปัญญาอยา่ งโจ่งแจ้ง และมี ผลในการปรามนกั เขียนหัวกา้ วหน้าไดอ้ ยา่ งเด็ดขาด
ดังนั้นถ้าจะวิเคราะห์วรรณกรรมในช่วงหลัง พ.ศ. 2500 แล้ว จะเห็นได้ชัดว่าความบีบค้ัน
ทางการเมืองมีผลกระทบอย่างสาคัญต่อวรรณกรรม นักเขียน หัวก้าวหน้าต้องปิดฉากของตนเองไป ศรีบูรพา
เดินทางไปนอกประเทศและขอลี้ภัยทางการเมืองอยู่ต่างประเทศ โดยไม่ได้กลับมาอีกเลยจนส้ินชีวิต อิศรา
อมันตกุล ถูกจับโดยปราศจากข้อหาพร้อมกับนักเขียน นักหนังสือพิมพ์อีกจานวนร้อย เสนีย์ เสาวพงศ์ หันไป
เอาดีทางรับราชการ ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์ และลาว คาหอม ไปยึดอาชีพอ่ืน บางคนต้องเปลี่ยนแนวการเขีย น
ไปเพ่ือความอยู่รอดของตนเอง ฉะนั้นในขณะที่วรรณกรรมในแนวเพื่อชีวิตชะงักไป วรรณกรรมในแนวเพ่ือ
ศลิ ปะกลับรุ่งเรืองขึ้นโดยปริยาย เสถยี ร จันทิมาธร กล่าวถงึ งานเขยี นในช่วงเวลาน้ีวา่ “.......งานเขยี นทป่ี รากฏ
ออกมาทางด้านหลักจึงเป็นวรรณกรรมประเภทเน้นความบันเทิง สะท้อนกิจกรรมส่วนตัวของชนช้ันสูงชนชั้น
กลางผู้เสพสุขและได้เปรียบในสังคม ถ้าเป็นชีวิตของชาวบา้ นผู้ยากไร้ก็มักจะถกู บิดเบือนใส่ร้ายอยา่ งไม่ตรงกับ
สภาพความเป็นจริง เช่น ชาวนา ก็ถูกสะท้อนออกมาในแง่โง่เซ่อ กรรมกรก็มักจะเป็นอันธพาลเลือดร้อนชอบ
ความรุนแรง หรือท่ีเป็นคนใช้ในบ้านผู้มีอันจะกินทั้ง ๆ ที่ต้องทางานอย่างยากลาบากแสนสาหัส แต่จุดเด่นท่ี
นกั เขียนมักจะแสดงออกกลับเปน็ นิสยั สอดรูส้ อดเหน็ และนินทาเจา้ นาย ฯลฯ
๑๗
นักเขียนที่ยึดครองถนนหนังสือในช่วงนี้มีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มหน่ึงเป็นกลุ่ม
วรรณกรรมสะท้อนชีวิตประจาวันตามนิตยสารรายสัปดาห์ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นนักเขียนในสกุลสยามรัฐอันเป็น
ค่ายที่เติบใหญ่ภายหลังบริษัทไทยพาณิชยการจากัดตกต่า นักเขียนท้ังสองกลุ่มน้ีพิจารณาทางด้านรูปแบบ
มีส่วนแตกต่างกันตรงท่ีกลุ่มแรกเน้นความง่ายในการแสดงออกประสานไปกับรสแห่งความบันเทิงเพ่ือให้คน
เสพติดต่อเน่ืองกันไปสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ส่วนกลุ่มหลังประณีตด้านศิลปะการประพันธ์ โดยเฉพาะการใช้ภาษา
และท่วงทานองการแสดงออกท่ีแปลกใหม่ กล่าวทางด้านเนื้อหาก็ไม่แตกต่างกันมากนักโดยท่ีด้านหลักยัง
สะท้อน ความคิดเก่าที่ตกทอดมาจากสังคมเจ้าขุนมูลนาย นอกจากนั้นเนื่องจากนักเขียนท้ังสองกลุ่มส่วนมาก
เป็นคนช้ันกลางและอยู่ในสังคมแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา ลักษณะเสรีนิยมทางความคิดจึงค่อนข้างเด่น
โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ด้านกามารมณ์ ซึง่ ได้รบั การปรุงแตง่ อย่างมากจะมลี ักษณะค่อนไปทางอนาธปิ ไตย”
ด้วยเหตุนี้ บันเทิงคดีในยุคนี้จึงถอยไปสู่แนวการเขียนแบบพาฝันที่นิยมมาแต่เดิม อย่างที่
เสถียร จันทิมาธร กล่าวว่า “เน้นกิจกรรมส่วนตัวมากกว่ากิจกรรมทางสังคม นักกลอนกลายเป็นคนเพ้อฝันหนี
หน้าจากสภาพความเป็นจริงอันร้ายกาจของสังคม นักเขียนเร่ืองสั้นก็แข่งขัน กันเสนอภาพของคนกลุ่มน้อยท่ี
เสเพลตามร้านเหล้าและซ่องโสเภณี” หรืออย่างที่ สชุ าติ สวัสดิ์ศรี กล่าวว่าวรรณกรรมยุคนีเ้ ป็นแบบที่มี “การ
ใช้ตัวเอกในทัศนะแบบคนชั้นกลางที่ต้องการรักษาสถานะเดิมในสังคมของตนไว้ หรือให้เน้ือเรื่องเอาใจคนจน
ประเภทที่สงบเสง่ียม เจียมตัว ลักษณะของตัวเอกเพียงแต่เปลี่ยนจากบรรดาศักดิ์แบบเก่า คือ คุณพระ คุณ
หลวง (ตามแนวของดอกไม้สด ดวงดาว ก.สรุ างคนางค)์ มาเป็น ดร.หน่มุ ท่ีเพิ่งกลบั จากนอก (ตาม แนวนติ ยสาร
ศรีสัปดาห์ บางกอก และสกุลไทย) การดาเนินเร่ืองและกลวิธีในการแต่งส่วน มากมักลอกเลียนและมักใช้แบบ
เดียวกันหมด กล่าวคือนักเขียนสามารถรู้เร่ืองราวภายในจิตใจของตัวละครได้หมด และตัดสินแทนให้ได้ไม่ว่า
จะดีหรือเลวปานใดก็ตาม ซึ่งเมื่อพจิ ารณาแล้วลกั ษณะดังกล่าวนั้นหาใช่ลักษณะแท้จรงิ ของชีวิตมนษุ ย์ทพ่ี บอยู่
ทกุ เมอ่ื เชื่อวันไม่” แมจ้ ะมีนักเขียนหัวก้าวหนา้ ผรู้ อดพ้นจากการถูกจบั กุมพยายามเสนอผลงานในแบบก้าวหน้า
ออกมาบ้าง เช่น รมย์ รติวัน เจญ เจตธรรม นเรศ นโรปกรณ์ ฯลฯ จัดทาหนังสือ ขวัญใจ รายเดือน ในแนว
เดียวกับหนังสือสายธาร รายเดือนที่ออกในปี พ.ศ. 2501 มีเนื้อหาหนักไปทางด้าน ศิลปเพ่ือชีวิต บทวิจารณ์
และเร่ืองแปลของนักเขียนกล่มุ ก้าวหนา้ เช่น บรรจง บรรเจอดศิลป์ อนิ ทรายุทธ อชุ เชนี อศิ รา อมนั ตกลุ รมย์
รติวัน และเสนีย์ เสาวพงศ์ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อถูกคุกคามก็จาเป็นต้องเลิกไป และกวีการเมืองเขียนบทกวีลง
ในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย (ยุคเก่า) ท้าทายอานาจเผด็จการ เช่น โต้เร่ืองการใช้มาตรา 17 เป็นอานาจ
ยกเลิกกฎหมายทด่ี ิน ซึง่ ห้ามมีที่ดนิ เกนิ 50 ไร่ การพยายามตอ่ ต้านเผด็จการแสดงให้เห็นวา่ การเรยี กร้องความ
เปน็ ธรรมมีอยตู่ ลอดไปไม่วา่ จะยากลาบากเพยี งใด
วรรณกรรมในระยะนี้จึงเป็นหัวเลี้ยวท่ีสาคัญท่ีสุดอีกระยะหนึ่งในวงวรรณกรรมปัจจุบันของ
ไทย เพราะทาให้วรรณกรรมทางปัญญาทีฟ่ ักตัวมาอย่างดีเกือบจะสญู หายไป หรืออย่างน้อยทีส่ ุดกต็ ้องหยุดอยู่
กับที่ ในขณะที่วรรณกรรมที่เรียกกันในระยะหลังว่า “วรรณกรรมน้า เน่า” เฟื่องฟูถึงขีดสุด รวมทั้งการยึด
ครองอาณาจักรหนังสือของหนังสือกาลังภายใน เพราะนักเขียนกลุ่มท่ีแสดงตัวว่าไม่สนใจ ไม่เกี่ยวข้องกับ
การเมอื ง กม็ ีโอกาสงามทจี่ ะผลติ ผลงานทเ่ี นน้ ความ “สะดวก” มากกว่า “ความประณีต” วรรณกรรมยุคนแี้ ละ
ทส่ี ืบทอดตอ่ มาจึงมีลกั ษณะอย่างที่สุชาติ สวสั ดิ์ศรี สรปุ ไว้ 6 ประการ คอื
1. รถไปด้วยเรือผไี ร้สาระ
2. นองไปด้วยเร่ืองสัปดน
๑๘
3. ดาวไปดว้ ยเร่อื งโลกีย์วสิ ยั ที่ตา่ งพากนั แขง่ ขนั ว่าผ้ใู ดจะวิจติ รพสิ ดารกว่ากนั
4. จัดจ้านไปด้วยเรื่องรักบนฟองสบู่ ปลูกสร้างความฝันบนวิมานในอากาศ กระทบ
กระเทยี บเปรยี บเปรยในทางอจิ ฉารษิ ยา
5. มากไปด้วยเรื่องบู๊ล้างผลาญและเร่ืองการเมืองประเภท “ปลุกผี” ซึ่งไร้รากฐาน
ความคิดและความถูกตอ้ งทางการเมือง
6. มีบ้างเลก็ นอ้ ยท่ีนักเขียนเรม่ิ เป็นขบถกบั ตัวเองและสงั คมทีเ่ ขามีชวี ิตอยู่
ในด้านร้อยกรอง วรรณกรรมร้อยกรองในแนวเพ่ือชีวิตท่ีรุ่งเรืองในช่วง พ.ศ. 2495 2500
เช่น งานกลอนของนายผี เปล้ือง วรรณศรี อุชเชนี ทวีปวร ฯลฯ หยุดชะงักไปพร้อมกับวรรณกรรมในรูปแบบ
อน่ื ในช่วงระยะเวลาน้ีชุมนุมวรรณศิลป์ในสถาบันการศกึ ษาต่าง ๆ เป็นกลุ่มนักกลอนเด่นของยุค การจัดพิมพ์
หนังสือเล่มละบาทของชุมชนเหลา่ น้ี เช่น อนุสาร วรรณศลิ ปข์ องจุฬา วรรณศิลป์ของธรรมศาสตร์เปน็ สนามให้
นกั เรียนรุ่นใหม่รุ่นหนุ่มสาว ได้แสดงฝีมือกันทั้งงานเร่ืองส้นั และรอ้ ยกรอง แต่งานกลอนส่วนใหญ่เป็นกลอนรัก
หวาน ๆ
รูปแบบถูกต้องตามฉันทลักษณ์ทเี่ ล่าเรียนมา เชน่ กลุ่มอนุสารวรรณศิลป์มี ประยอม ซองทอง
มะเนาะ ยูเอ็น จินตนา ป่นิ เฉลียว ประมวล โกมารทัต สรุ ศกั ด์ิ ศรีประพันธ์ ปยิ ะพนั ธ์ จาปาส อดุล จันทรศักด์ิ
ภักดี ริมมากุลทรัพย์ นภาลัย ฤกษ์ชนะ ส่วนกลุ่มวรรณศิลป์มี นิภา บางย่ีขัน ดวงใจ รวิปรีชา เนาวรัตน์ พงษ์
ไพบูลย์ ทวีสุข ทองถาวร ฯลฯ งานร้อยกรองในระยะน้ีจึงเป็นไปในลักษณะกลอนแสดงอารมณ์และความเพ้อ
ฝนั จนกระทั่งสังคมศาสตร์ปริทัศน์ถอื กาเนิด ขึน้ ในปี พ.ศ. 2505 และพิมพ์บทกวีของอังคาร กลั ยาณพงศ์ ใน
ฉบับปฐมฤกษ์ บทที่ชื่อว่า “รักทะเล” เป็นจุดให้เกิดการต่ืนตัวทางวรรณกรรมอย่างสูง เพราะเกิดการ
วิพากย์วิจารณ์อย่างกว้างขวางท้ังหมู่ผู้ท่ีเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ปัญหาในการวิพากษ์วิจารณ์มักเป็นเรื่อง
รูปแบบวงนกั กลอนต่างกลา่ วหาว่าองั คารเขยี นร้อยกรองไม่ถูกฉันทลักษณ์ ซ่ึงข้อนี้กลับเป็นใบเบิกทางให้แก่นัก
กลอนรุ่นใหม่ว่าไม่จาเป็นต้องเครง่ ครัดในด้านรูปแบบนักมาจนปจั จุบัน นอกจากนีอ้ ทิ ธิพลอีกอย่างหนง่ึ จากงาน
ของอังคารคือเนื้อหาท่ีแทรกข้อคิดในลักษณะท่ีสุชาติ เรียกว่า “จิตสานึกขบถ” ซึ่งแสดงออกในรูปของการใช้
สัญญลักษณ์ เนื่องจากยังอยู่ในยุคมืด แต่ส่ิงนี้สร้างความบันดาลใจให้แก่นักศึกษาปัญญาชนในสมัยน้ันอย่าง
มาก ดังปรากฏอิทธิพลของอังคารทั้งรปู แบบและเน้ือหาในงานของนกั กลอนรุ่นหลัง เช่น วิโรจน์ ศรสี โุ ร เสฐียร
พงษ์ ปกะวรรณ สุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นต้น การเร่ิมคิดวิพากย์วิจารณ์สังคมท่ีทากันอย่างเงียบ ๆ และในกลุ่ม
เล็ก ๆ ได้มีโอกาสแผ่ขยายในวงกว้างออกไป และได้มีการรวมกลุ่มความคิดของคนรุ่นใหม่ซ่ึงส่วนมากเป็น
นกั ศึกษาปญั ญาชนได้อย่างเปน็ จรงิ เป็นจังในเวลาตอ่ มา
6. ยคุ ฉนั จึงมาหาความหมาย (พ.ศ. 2506-2515)
ในยคุ นี้ สายทิพย์ นุกูลกิจ (๒๕๓๗ : ๑๘ - ๒๓ ) ได้กล่าวว่า เหตกุ ารณ์บ้านเมอื งสาคัญทีค่ วร
กล่าวถงึ ในยุคน้ี ได้แก่ การท่ีสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรไมย่ อมให้การพจิ ารณางบประมาณสาหรับปี พ.ศ. ๒๕๑๕
ผ่านสภาฯ ซึ่งตามวิถีทางรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐบาลภายใต้การนาของจอมพลถนอม กิตติขจร จะต้องลาออก
หรือมิฉะน้ันก็ต้องยุบสภาฯ แต่จอมพลถนอม กิตติขจร กลับนาประเทศเข้าสู่ยุคเผด็จการอีกคร้ังด้วยการทา
รัฐประหารในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ พร้อมกับจับกุมอดีต ส.ส. สามนายในข้อหาว่าบ่อนทาลายการ
ปฏิวัติ และได้อาศัยมาตรา ๒๐ ของประกาศคณะปฏิวัติ ตัดสินลงโทษบุคคลท้ังสามทันที โดยไม่ยอมให้ศาลมี
โอกาสพิจารณาตัดสินคดีท่ีบุคคลท้ังสามได้ร่วมกันฟ้องคณะปฏิวัติในข้อหาว่าละเมิดรัฐธรรมนูญและเป็นกบฏ
๑๙
เสียก่อน สภาพการณ์ดังกล่าวนี้จึงเป็นเหตุให้ประชาชนเริ่มเกิดความรู้สึกหวาดกลัวและชิงชังคณะปฏิวัติทีละ
นอ้ ย ๆ และย่ิงทวีความคลางแคลงในใจอานาจท่ีไม่เป็นธรรมของคณะปฏวิ ัติมากยิ่งขึ้น เม่ือจอมพลถนอม กติ ติ
ขจร มีคาส่ังแตง่ ต้ังคณะกรรมการ ๒๓ คน ให้ทาหนา้ ที่ร่างรัฐธรรมนูญในวันท่ี ๑๔ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๑๖ โดยมิได้
กาหนดวันเวลาที่จะร่างรัฐธรรมนูญใหเ้ สรจ็ เรียบร้อยไว้อยา่ งชดั เจน ขณะเดยี วกนั ประชาชนก็เริม่ เคล่อื นไหวตัว
รว่ มกบั พลงั นิสติ นกั ศึกษาภายใต้การสนับสนุนของศูนย์กลางนิสิตนกั ศึกษาแห่งประเทศไทย เพื่อเรียกรอ้ งความ
เป็นธรรมให้กบั สังคมและเรง่ รัดให้คณะปฏิวัติร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว การเคลื่อนไหวดังกล่าว
น้ีจะเห็นได้จากการจัดสัปดาห์ไม่ซ้ือสินค้าญ่ีปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๖ มิถุนายน ๒๕๑๖ การต่อต้านการ
ประกวดนางสาวไทย และตอ่ ตา้ นกรณีท่ีนายทหาร
นาเฮลิคอปเตอร์ของทางราชการไปล่าสัตว์ท่ีทุ่งใหญ่ด้วยการพิมพ์หนังสือทุ่งใหญ่
และนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคาแหงทาหนังสือมหาวิทยาลัยที่ยังไม่มีคาตอบ ซึ่งปรากฏว่านักศึกษา
มหาวิทยาลัยรามคาแหง 4 คนในจานวน ๑๕ คนที่ทาหนังสือน้ันถูกลบชื่อออกจากการเป็นนักศึกษา อันเป็น
เหตุให้มีการชุมนุมประท้วงท่ีบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเกือบห้าหม่ืนคนในคืนวันท่ี ๑๕ มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๑๖ และในที่สุดรฐั บาลต้องยอมรับข้อเสนอของศูนย์กลางนิสิตนกั ศึกษาแหง่ ประเทศไทยเป็นครงั้ แรก
ต่อจากน้ีการประท้วงของศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยก็มีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเร่ืองการ
เรยี กร้องรฐั ธรรมนญู ซ่งึ มีนายธีรยุทธ บญุ มี อดีตเลขาธิการศนู ย์ ฯ เป็นผู้นาในการเรยี กรอ้ งรฐั ธรรมนูญในวันที่
๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ และถกู จบั กมุ พรอ้ มกับพรรคพวกท่ีร่วมประท้วง จานวน ๑๒ คนในวันรงุ่ ข้นึ ในข้อหา “มัว่ สุม
ชักชวนให้มีการชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า ๕ คน” อันเป็นสาเหตุให้การประท้วงของศูนย์นิสิตฯ ทวีความ
รุนแรงย่ิงข้ึน จนถึงขั้นมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ หรือท่ีเรียกกันในสมัยหลังว่า
“วนั มหาวิปโยค”
ในช่วงเวลาดังกล่าวข้างต้นน้ี อาจกล่าวได้ว่า แม้เสรีภาพทางการเมืองจะไม่มีมากนักก็จริง
แต่ความกดดันจากระบบเผด็จการของชนช้ันปกครองและความอยุติธรรมของสังคมที่ประชาชนได้รับสืบเน่ือง
ตดิ ต่อกันมาเปน็ เวลานานเช่นน้ีก็ย่อมจะเปน็ แรงผลักดันให้ผู้รู้ และนิสิตนกั ศึกษาส่วนหน่ึงเกดิ ความขัดแยง้ ทาง
ความคิด และพร้อมกันนี้ก็เกิดความกล้าท่ีจะขจัดความเลวร้ายดังกล่าวให้หมดสิ้นไปด้วยนิสิตนักศึกษาเหล่าน้ี
จึงรวมตัวกันแสดงปฏิกิริยาต่อต้านความเป็นไปของสังคมด้วยวิธีการต่าง ๆ วิธีการหน่ึงท่ีนิสิตนักศึกษาเห็นว่า
สามารถใช้เป็นเคร่ืองมือในการวิพากษ์วิจารณ์สังคมพร้อมกับสื่อความคิดใหม่ได้ผลดีก็คือวรรณกรรมประกอบ
กบั นักศกึ ษาในสมัยนี้ไม่มีกิจกรรมประเทืองปัญญาให้ทามากนกั พวกสนใจวรรณกรรมและการเขียนหนงั สือจึง
หนั มาสนใจงานเขียนกันมากข้ึน แต่เน่ืองจากนิตยสารในท้องตลาดมักไม่สนใจรับเร่ืองของนักเขียนใหม่เหล่าน้ี
ไปตีพิมพ์ ด้วยเหตุนี้นิสิตและนักศึกษาท่ีรักและสนใจการเขียนจึงหันมารวมตัวกันออกนิตยสารรายสะดวก
เพือ่ ซื้อขายอ่านกนั เอง ภายในสถาบนั การศกึ ษาของตนในราคาเลม่ ละหนงึ่ บาทหรอื สองบาท นิตยสารทานองนี้
มักเปลี่ยนช่ือไปเรื่อย ๆ เพ่ือเลี่ยงกฎหมายการพิมพ์ในสมัยเผด็จการ ท่ีไม่อนุญาตให้มี การจดทะเบียนหัว
หนังสือออกนิตยสารใหม่ เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ กลุ่มหน่ึงรวมกันจัดทา
หนังสือเจ็ดสถาบัน ตีพิมพ์บทความ บทกวี เร่ืองส้ัน ที่มีเน้ือหาวิพากษ์วิจารณ์สังคมนักเขียนรุ่นใหม่ เช่น
พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร ประพันธ์ ผลเสวก สาเริง คาพะอุ จึงเริ่มถือกาเนิดขึ้นมาพร้อมกับนักเขียนในกลุ่ ม
วรรณศิลป์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น ตุลยเทพ สุวรรณจินดา บัณฑิต ชุ่มนิกาย ภักดี ริมมากุลทรัพย์
นิธิ เอียวศรีวงศ์ อนุช อาภาภิรมย์ สุชาติ สวัสด์ิศรี และวิทยากร เชียงกูล ซ่ึงเริ่มเสนองานเขียนแสดงความไม่
๒๐
พอใจต่อสงั คมในลกั ษณะตา่ ง ๆ กนั ต่อจากนั้นการแสวงหาแนวทางความคดิ ของคนรุ่นใหมท่ เ่ี ป็นคนหนมุ่ สาวก็
เร่ิมสืบทอดต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ด้วยการเกดิ หนังสือของสถาบันและกลุ่มต่าง ๆ เช่น ราวปี พ.ศ. ๒๕๐๘ กลุ่ม
นกั ศึกษาจากมหาวทิ ยาลัยศิลปากร นาโดย สุจิตต์ วงศ์เทศ ขรรค์ชยั บนุ ปาน ประทีป ชุมพล นิพนธ์ จิตรกรรม
ฯลฯ รวมกลุม่ ออก หนังสือ ชอ่ ฟ้า ซึง่ เน้นหนักทางดา้ นวรรณกรรมและโบราณคดมี ผี ลนาไปสูก่ ารเกิดของ กลุ่ม
หนุ่มเหน้าสาวสวย ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ซึ่งได้พิมพ์หนังสอื และสร้างชื่อเสียงให้แก่นักเขียนเร่อื งส้ันและนักกลอน
หลายคน เช่น สุวรรณี สุคนธา ณรงค์ จันทร์เรือง มนัส สัตยารักษ์ เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ ไพบูลย์ วงษ์เทศ
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ฯลฯ และ ในระยะต่อมา ส่วนหนึ่งของนักเขียนกลุ่มนี้ได้เข้าทางานกับค่าย สยามรัฐ
ชาวกรุง ของ ประมูล อณุ หธูป และคา่ ยเฟ่ืองนคร ของ รงค์ วงษ์สวรรค์ อีกส่วนหนึ่งรวมตัวกบั กล่มุ พระจันทร์
เสี้ยว ซ่ึงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทาหนังสือ ธุลี ตะวัน ปัญญา เม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๐ และกลุ่ม
ของเสถียร จันทมิ าธร ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของนักเขียนจากกลุ่มตา่ ง ๆ รวมตัวกนั จัดทาหนงั สือ “คลน่ื ลกู ใหม่
ซ่งึ นับเป็นงานเขยี นของนักศึกษามหาวิทยาลัยท่ีช่วยสร้างความคึกคกั ให้กับวงวรรณกรรมนอกมหาวิทยาลัยได้
อย่างกว้างขวางเป็นครั้งแรก นอกจากนี้การที่หนังสือสังคมศาสตร์ปริทัศน์ได้รวบรวมคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไว้ได้
ด้วยการตั้งชมรม “ปริทัศน์เสวนา” และเปิดเวทีการแสดงความคิดเห็นและความสามารถในเชิงการประพันธ์
ให้แก่คนร่นุ ใหม่ด้วย สังคมศาสตร์ปริทศั น์ฉบับนิสิตนักศึกษาน้ัน ก็นับได้ว่ามีส่วนช่วยสร้างนักเขียนนักวิจารณ์
รนุ่ ใหม่ขึ้นอีกเป็นอนั มาก เช่น นิธิ เอียวศรวี งศ์ รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ุ เทพสิริ สุขโสภา วิชัย โชควิวฒั น์ ธัญญา
ผลอนนั ต์ ดีพร้อม ไชยวงศเ์ กยี รติ เปน็ ตน้
การรวมกลุ่มโดยมีเวทีแสดงงานเขียนเช่นน้ี ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงต่อวรรณกรรมท้ัง
รูปแบบและเนื้อหา ในด้านรูปแบบได้มีกลวิธีการเขียนแบบใหม่ ๆ เช่น การ บรรยายแบบกระแสสานึก
(STREAM OF CONSCIOUSNESS) งานเขียนประเภทกึ่ง สัญลักษณ์ก่ึงเหนือจริง (SIMI SURREALISM) การ
บรรยายความรสู้ ึกแล้วจบลงอย่างไม่หักมุม อย่างเรอื่ งส้ัน ของ โอ, เฮนรี่, หรือ กีย์ เดอ โมปัสซงั ส่วนเน้ือหาก็
พฒั นาไปสูก่ ารแสดงความคิดเห็นต่อสังคมรอบตวั ลกั ษณะเช่นนีป้ รากฏในงานเขียน เช่น คนบนต้นไม้ (๒๕๑๐)
ของนิยม รายว่า แล้งเข็ญ (๒๕๑๑) ของสุรชัย จันทิมาธร ถนนสาย ที่นาไปส่คู วามตาย (๒๕๑๒) ของวิทยากร
เชียงกูล รถไฟเด็กเล่น (๒๕๒๑) ของสุชาติ สวัสด์ิศรี คนโซ (๒๕๑๒) ของวีรประวัติ วงศ์พัวพันธุ์ ค่าคืนอัน
โหดร้ายในวันอันว่างเปล่า (๒๕๑๒) ของวิสา คัญทัพ เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่า ยุคนี้เป็นยุคของคนรุ่นใหม่ท่ี เป็น
คนหนุ่มสาวอย่างแท้จริง เพราะนอกจากจะมุ่งเสนอเทคนิคการเขียนแบบใหม่ ๆ ท่ีท้าทาย การเขียนแบบเก่า
อย่างกว้างขวางแล้ว ยังนิยมสะท้อนชีวิตทั้งกิจกรรมส่วนตัวและสังคมออกมาในรูปของการวิเคราะห์
นอกจากนี้ยังเรียกร้องใหม้ ีการตรวจสอบวรรณกรรมยุคเก่าและให้นักเขียนรบั ผิดชอบงานเขียนของตนเองมาก
ย่งิ ข้ึนดว้ ย ในด้านนวนิยาย เร่มิ มีบรรยากาศ ท่ีคึกคักขึ้นมาอีกคร้งั เม่ือไดร้ ับการสนับสนุนจากหนว่ ยงานต่าง ๆ
เช่น ปีพ.ศ. ๒๕๑๑ องค์การ ส.ป.อ. เร่ิมให้รางวัลแก่นวนิยายท่ีดีเด่นประจาปีเป็นต้นมา คือ เรือมนุษย์ ของ
กฤษณา อโศกสิน ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ จดหมายจากเมืองไทย ของโบตั๋น ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เขาช่ือกานต์ ของ
สวุ รรณี สคุ นธา ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ แต่ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ไม่มีนวนิยาย ดเี ด่นไดร้ ับรางวัล ส่วนในปี พ.ศ. ๒๕๑๕
ซึ่งเป็นปีสุดท้ายท่ีองค์การ ส.ป.อ. ให้รางวัลนั้น นวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน ได้รับรางวัลอีกครั้งในเรื่อง
ตะวันตกดิน และในปีเดียวกันนี้ สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยก็เริ่มให้รางวัลแก่นวนิยายท่ีดีเด่นด้วย เช่น
วงเวียน ชีวิตของสีฟ้า ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ และข้าวนอกนา ของสีฟ้า ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นต้น แต่ สมาคมผู้
พิมพ์และจาหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยตัดสินให้ แต่คุณครูด้วยคมแฝก ของ นิมิตร ภูมิถาวร ได้รับรางวัล
๒๑
นวนิยายดเี ด่นประจาปี พ.ศ. ๒๕๑๖ นวนิยายที่ได้รบั รางวัลเหล่าน้ี นอกจากจะเปน็ นวนิยายสะท้อนภาพสังคม
ทม่ี ีกลวิธกี ารแตง่ ต่างไปจากเดมิ แล้ว ยังเป็นนวนิยายทสี่ ะท้อนแนวคิดท่ีเป็นประโยชนต์ ่อสังคมอีกด้วย ในด้าน
สารคดี มีบทความ เสนอความคิดเชิงวิทยาศาสตร์คัดค้านความงมงายและการกดขี่กินแรงทั้งปวงปรากฏอยู่
อย่างสม่าเสมอในวารสาร ชัยพฤกษ์ฉบับนักศึกษาประชาชน ซึ่งอนุช อาภาภิรมย์ เป็นผู้จัดทา นอกจากน้ีก็มี
บทความวจิ ารณ์เร่อื งการเมือง การเปิดโปงถึงสภาพเหลวแหลกของสังคมที่ได้รับการรุกรานจากพวกจกั รวรรดิ
ทุนนิยมต่างชาติ เช่น ญ่ีปุ่น อเมริกา และการเรียกร้องให้ยอมรบั จีนแผ่นดินใหญ่ ตลอดจนการวิพากษ์วิจารณ์
ปญั หาเศรษฐกิจและสังคมอย่างตรงไปตรงมาในนิตยสารต่าง ๆ เช่น สังคมศาสตร์ปริทัศน์ (๒๕๐๕) วิทยาสาร
ปรทิ ศั น์ (๒๕๑๓) แนวร่วมเศรษฐกร (๒๕๑๒) จตรุ ัส (๒๕๑๓) ชาวบ้าน (๒๕๑๔) วรรณกรรมเพือ่ ชีวิต (๒๕๑๕-
๒๕๑๖) ฯลฯ สาหรบั หนงั สือรวมขอ้ คิดข้อเขยี นของนักศึกษาประชาชน หรือเรียกอีกชื่อว่า ลอมฟาง ทอ่ี อกเป็น
เล่ม มีการต่อต้านจักรวรรดินิยม (หนังสือภัยขาว) การต่อต้านเผด็จการทหาร (หนังสือภัยเขียว)
การเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง (คัมภีร์) เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มีหนังสือและนิตยสารรายสะดวกของพวก
นักศึกษาออกมาอีกมากมาย ทั้งนี้เพราะเกิดการรวมกลุ่มของนักศึกษาที่รักความเป็นธรรมและตื่นตัวทางการ
เมืองข้ึนหลายกลุ่มในทุกสถาบัน เช่น กลุ่มสภาหน้าโดม และกลุ่มเศรษฐธรรม ของมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์
กลุ่มสภากาแฟของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มรัฐศึกษาและกลุ่มฟ้ืนฟู โซตัสใหม่ของจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั กลุม่ ชมรมคนรนุ่ ใหมข่ องมหาวิทยาลัยรามคาแหง กลมุ่ ศิลปะและวรรณลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กลุ่มวลัญช ทัศน์ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มศิลปะของวิทยาลัยเทคนิค
โคราช เป็นต้น กลุ่มอิสระของพวกนักศึกษานี้จะเสนอวรรณกรรมไปในแนวเกี่ยวกับชีวิต การเมือง และสังคม
มากขึ้น กว่าเดิม และนาเอาผลงานเก่า ๆ ของนักเขียน นักคิดหัวก้าวหน้าในช่วง พ.ศ. ๒๔๘๘ ๒๕๐๐ มา
ตีพิมพ์เผยแพร่กันใหม่อีก เช่น งานของศรีบูรพา เสนีย์ เสาวพงศ์ นายผี ท่ีปกร รวี โดมพระจันทร์ เป็นต้น
สาหรับผลงานของนกั เขียนรุน่ พี่ คนท่ีมีบทบาทเด่นทีส่ ดุ ในยคุ น้ีคอื วิทยากร เชยี งกลู ซงึ่ เป็นนักเขียนท่มี ผี ลงาน
งานสม่าเสมอทง้ั บทความ เรื่องส้ัน บทละคร และร้อยกรอง งานทเ่ี ขียนระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๑๒ คือ ฉัน
จึงมาหาความหมาย ซึ่งกลุ่มสภาหน้าโดมนามารวมพิมพ์คร้ังแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ น้ันเป็นผลงาน ท่ีสะท้อน
ความคิดของคนรุ่นใหม่ในขณะนั้นเป็นอย่างดี นักเขียนอีกคนคือ สุชาติ สวัสดิ์ศรี มีผลงานเร่ืองสั้นและกลอน
เปล่า รวมเล่มชื่อ ความเงียบ นอกจากนี้ยังได้สร้างนักเขียน นักวิจารณ์รุ่นใหม่ขึ้นอีกหลายคน เช่น พิรุณ ฉัตร
วณิชกุล เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ทรงยศ แววหงส์ ธัญญา ชุนชฎาธาร โกสุม พิสยั สถาพร ศรีสัจจัง พิบูลย์ศกั ดิ์
ละครพล ธรี ยุทธ บญุ มี วิสา คญั ทัพ บุญสง่ ชโลธร รอ. จนั ทคีรี นิเวศน์ กนั ไทยราษฎร์ บณั ฑรู กลนิ่ ขจร มานพ
ถนอมศรี สุวัฒน์ ศรีเช้ือ วิรุณ ตั้งเจริญ ดีพร้อม ไชยวงศ์ เกียรติ วาณิช จรุงกิจอนันต์ รวี โดมพระจันทร์
จิระนันท์ พิตรปรีชา ฯลฯ พร้อมกันนี้ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยก็ออกหนังสือออกมาในช่วง
ก่อน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เพ่ือแสดงให้เห็นว่าความคิดขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ตลอดจน
การวเิ คราะห์บทบาทของตนเองต่อสังคมได้แพร่ขยายไปยังเยาวชนแลว้
สภาพการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นนี้ จึงเป็นหลักฐานสาคัญว่าวรรณกรรม และนักเขียนรุ่น
ใหม่ซ่ึงเป็นคนหนุ่มสาวน้ัน ล้วนมีท้ังอิทธิพลและบทบาทสาคัญในการปลุกสานึกและรวมพลังทางการเมือง
ให้แก่ขบวนการ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ซึ่งนักเรียนนักศึกษาและประชาชนได้ร่วมมือกันเรียกร้องเอกราช
ประชาธปิ ไตยจนกลบั คนื มาสาเร็จ
๒๒
7. ยุควรรณกรรมเพื่อประชาชน (พ.ศ.2517-ปัจจุบัน)
หลัง 14 ตุลาคม 2516 เป็นยุคที่เรียกว่าประชาธิปไตยเบ่งบาน ถนนหนังสือจึงคึกคัก
เป็นอันมาก หนังสือเก่าท่ีนามาพิมพ์ใหม่ หรือหนังสือใหม่ก็ตามต่างได้รับความนิยมซื้อจนต้องพิมพ์ซ้าแล้วซ้า
อีกหลายคร้ัง แสดงให้เห็นความกระหายทางปัญญาของประชาชนท่ีอดกลัน้ ไว้เป็นเวลานาน หนังสือที่ขายดีคือ
หนังสือที่สะท้อนภาพสังคม หรือแสดงการต่อส้กู ับระบบเผด็จการ หรือเปดิ โปงขุดคยุ้ ความทจุ ริตในวงการต่าง
ๆ ตลอดจนหนังสือท่ีให้ความรู้เกี่ยวกับลัทธิและประเทศที่ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์เช่นจีนและรัสเซีย
ซึ่งถูกวาดภาพให้เป็นปีศาจน่ากลัวมาแต่สมัยจอมพลสฤษด์ิเรืองอานาจ เสถียร จันทิมาธร ได้กล่าวถึง
วรรณกรรม ชว่ งหลงั 14 ตุลาคม 2516 ไวห้ ลายประการ มีขอ้ สรุปดังนี้
1. หนังสือที่เสนอทฤษฎีทางการเมืองอย่างเอาจริงเอาจังมีมากขึ้น ท้ังที่ตีพิมพ์มาแล้ว
และแปลใหม่ เช่น แคปิตะลิสม์ หลักลัทธิเลนิน สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง รัฐและการปฏิวัติ แถลงการณ์พรรค
คอมมิวนิสต์ ซ่ึงตีพิมพ์ไม่ต่ากว่า 4 คร้ัง หนังสือเหล่าน้ียังก่อให้เกิดบรรยากาศ โต้เถียงขัดแย้งทางวิชาการ
เกย่ี วกบั ลัทธิตา่ ง ๆ อยา่ งคึกคักอกี ด้วย
2. หนังสือเสนอความรู้และความคิดใหม่และการค้นคว้ารวบรวมความรู้ที่สอดคล้อง กับ
สภาพความต้องการของสังคมไทยได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะหนังสือเก่ียวกับขบวนการคอมมิวนิสต์
ในประเทศ เช่น คอมฯ ที่รัก ของกลุ่มนายตารวจ ขบวนการคอมมิวนิสต์ ของประสิทธ์ิ ไชยทองพันธุ์แห่งกรม
แรงงานท่ีนาสมุดปกขาวของ กอ.รมน.มาเรียบเรียงใหม่ ขบวนการคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สุชาติ สวัสด์ิ
ศรี เป็นบรรณาธิการ งานของนักวิชาการ เช่น กลไกของสังคม ของพัทยา สายหู สันติประชาธรรม ของป๋วย
อ้งึ ภากรณ์ ปัญหาและทางออกของประเทศด้อยพัฒนา ของวิทยากร เชียงกูล โลกทรรศ์เยาวชน ปรชั ญาสังคม
นิยม ของอนุช อาภาภิรม ตลอดจนงานวิเคราะห์สถานการณ์และงานเชิงประวัติศาสตร์การเมือง ของปรีดี
พนมยงค์
3. วรรณกรรมขุดคุ้ยเปิดโปงวงการและสถาบันต่าง ๆ เช่น อตร. อันตราย อตร. ไอ้ตัวร้าย
เบื้องหลงั กรณสี วรรคตรัชกาลท่ี 8 เรอื่ งของนา้ พุ ไดร้ ับความนิยมมาก
4. การเฟื่องฟูของแนวทางศิลปะเพ่ือชีวิต พิจารณา 2 ด้านคือ ด้านหนึ่ง หนังสือเกี่ยวกับ
วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์ในแนวทางเพื่อชีวิตได้รับ ความนิยมสูง งานของจิตร ภูมิศักด์ิทุกเร่ือง ศิลปะ
วรรณคดแี ละชวี ติ ของ บรรจง บรรเจอด ศิลป์ ท่ีทรรศนกั ประพนั ธ์ ซ่งึ รวมงานของเสนยี ์ เสาวพงศ์ สรง พฤกษ
พร บรรจง บรรเจอดศลิ ป์ ฯลฯ มีอิทธพิ ลมาก
อีกด้านหนึ่งคืองานสร้างสรรค์ในแนวทางเพ่ือชีวิตได้รับความสนใจต้อนรับจากผู้อ่าน อย่าง
กว้างขวาง ท้ังงานเก่าและงานใหม่ เช่น รวมเร่ืองสั้นรับใช้ชีวิตของศรีบูรพา ปีศาจ ความรัก ของวัลยา ของ
เสนีย์ เสาวพงศ์ รวมเร่ืองส้ันเช่น เราจะฝ่าข้ามไป ด่านสาวคอย น้ากินฟ้า ปลากิน ดาว ของวิสา คัญทัพ ก่อน
ไปสู่ภูเขา ของสถาพร ศรีสัจจัง งานเรื่องส้ันและบทกวีของรวี โดมพระจันทร์ เรื่องสั้นของศรีดาวเรือง เป็นต้น
ส่วนในด้านนวนิยาย ทะเลฤาอ่ิม ของสุวรรณี สุคนธา โอ้มาดา ของสีฟ้า รัฐมนตรีหญิง บ่วงกรรม ของดวงใจ
น่าสนใจมาก
วรรณกรรมในยุคน้ีนับว่ารุ่งเรืองเฟ่ืองฟูที่สุด ท้ังในด้านปริมาณและคุณภาพ ความม่ันใจใน
ชัยชนะของประชาชนที่สามารถขจัดอานาจเผด็จการไปได้ ทาให้นักเขียนกล้าแสดงออกอย่างเ ปิดเผย
และค้นพบแนวทางการเขียนทั้งรูปแบบและเนื้อหาสาหรับตนเองมากข้ึน เน้ือหาของวรรณกรรมในช่วงน้ี
๒๓
จะเจาะลึกลงไปถึงปัญหาของสังคมในประการต่าง ๆ ท้ังการ สะท้อนภาพและช้ีนาให้เห็นต้นตอของปัญห า
ผู้เขียนเสนอภาพทัง้ ปญั หาชนบทและปัญหาในเมอื ง เชน่ ปัญหาการขาดแคลนแพทยใ์ นชนบท ปัญหาท่ีชาวนา
ต้องต่อสู้กับนายทุนและอานาจอันไม่เป็นธรรม ปัญหาชนช้ันกรรมาชีพ ปัญหาโสเภณี เป็นต้น นักเขียนใหม่
เกิดขึ้น มากมายพร้อมท้ังนักวิจารณ์และกลุ่มคนอ่าน วรรณกรรมเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดทัศนคติ ต่าง ๆ
ไปสู่ประชาชน พัฒนาการที่เด่นท่ีสุดของวรรณกรรมในยุคน้ีคือเปล่ียนบทบาทจากการเป็นกระจกเงาสะท้อน
ภาพสงั คมไปสู่การเป็นโคมไฟส่องนาหนทางอยรู่ อดของสงั คม หรืออย่างท่ีกลา่ วกันวา่ เปล่ียนจากยุค “เราจะไป
ทางไหนกัน” มาเป็น “เราจะไปอย่างไรกัน” วรรณกรรมจึงทาหน้าที่ “ชี้นา” ผู้อ่าน หรือกล่าวอีกนัยหน่ึง
วรรณกรรมมีอิทธิพลทางความคิดต่อผู้อ่านอย่างจริงจัง และถูกใช้เป็นแนวรบในการต่อสู้ทางความคิดระหว่าง
คนรนุ่ เก่าและใหมอ่ ันเป็นปรากฏการณท์ ห่ี ลีกเลย่ี งมิได้
อย่างไรก็ตาม การเมืองเล่นงานวรรณกรรมอีกครั้งหน่ึงเมื่อมีการปฏิรูปการปกครอง เมื่อ 6
ตุลาคม 2519 รัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร มีนโยบายขวาจดั ได้มีคาส่ังลงนาม โดย ร.ม.ต.มหาดไทย
ให้ส่ังรายชื่อหนังสือต้องห้ามรวม 15 รายการจาก 204 รายชื่อ จึงสร้าง ความเจ็บปวดแก่บรรดาผู้ท่ี
ครอบครองหนังสือวรรณกรรมเพ่ือชีวิตจานวนมากมายท่ีซ้ือหาไว้กอ่ นการปฏิรูป เพราะต้องเผาท้ิงหรือทาลาย
เสียก่อนที่จะโดนข้อหามีหนังสือต้องห้ามไว้ในความคุ้มครอง การกระทาคร้ังน้ีจึงเป็นการคุกคามเสรีภาพทาง
ปัญญาอย่างหนัก ประกอบกับการปฏิรูปพร้อมกับเหตุการณ์นองเลือดสร้างความสะเทือนใจอย่างรุนแรงเป็น
ผลให้นักคิด นักเขียน นักศึกษา ประชาชนจานวนมากเลือกทางเดินเข้าป่า ได้แก่นักวิจารณ์วรรณกรรม เช่น
เสถียร จนั ทมิ าธร ชลธิรา กลัดอยู่ นักเขยี นเช่น เสกสรร ประเสรฐิ กุล จรี นนั ท์ พิตรปรีชา อนุช อาภาภิรม ลาว
คาหอม ลภี้ ัยไปอยู่สวีเดน เป็นต้น ส่วนท่ยี ังอยูก่ ็จากัดท่าทีกา้ วร้าวและการแสดงออกโดยเปิดเผยของตนเองลง
นักเขียนบางคนเล่ียงไปสู่การใช้สัญลักษณ์เพ่ือป้องกันตนเอง เช่น พิบูลศักด์ิ ละครพล ในเรื่อง บนราวแห่ง
ความคบั แค้น บางเรอ่ื งก็ใช้วธิ ีแทรกความคดิ เพื่อชีวิตไว้ในรูปแบบโรแมนติก เช่น นวนิยายขนาดส้ันเร่ือง เพลง
รักช่อดอกไม้ ขอความรักบ้างได้ไหม นักเขียนบางคนเขียนในแนวนวนิยายต่างแดน คือใช้ฉากและตัวละคร
ในอีกสังคมหน่ึงแทนเมืองไทย เช่น ฤดูใบไม้ผลิจักต้องมาถึงนวนิยายของวิทยากร เชียงกูล การชะงักงันของ
วรรณกรรมเป็นไปในราว 1 ปี คือปลายปี 1920 แต่หลังจากการรัฐประหารตั้งแต่ 20 ตุลาคม 2520 เป็น
ต้นมา วรรณกรรมเริ่มคึกคักขึ้นใหม่เน่ืองจากเหตุการณ์บ้านเมืองคลี่คลายสู่สภ าว ะที่ดีข้ึน
การได้ประชาธิปไตยกลับมาแม้เพียงคร่ึงใบ ทาให้ถนนหนังสือราบเรียบกว่าเดิมและแม้จะมีนักเขียนหายหน้า
ไปหลายคน แตก่ ็มีนักเขียนหนา้ ใหมเ่ กิดข้ึนทดแทนอีกหลายคนเช่นกัน ทั้งน้ชี ้ใี ห้เห็นว่ามกี ารต่นื ตวั ท้งั วงการนัก
อ่านและนักเขียน วรรณกรรมประเภทสะท้อนปัญหาสังคมและแสวงหาความยุติธรรมในสังคมเป็นท่ียอมรับ
มากกว่าวรรณกรรมประเภทอ่ืน
ความก้าวหน้าท้ังรูปแบบและเนื้อหาของวรรณกรรมในยุคนี้เห็นได้ชัดในเร่ืองสั้นมากกว่า
วรรณกรรมรูปแบบอื่น ๆ ท้ังน้ีเป็นเพราะเรื่องส้ันเสนอความคิดได้กะทัดรัดและกระจ่าง ชัดตรงเป้าหมาย
สมบูรณ์กว่าเร่ืองยาว วรรณกรรมเรื่องส้ันในแนวเพ่ือชีวิตจึงขยายตัวในด้านปริมาณและคุณภาพมากกว่า
นวนิยาย เร่ืองส้ันท่ีครองตลาดหนังสือปัจจุบันมักเป็นเร่ืองสั้นเพ่ือชีวิตจากนักเขียนหน้าใหม่ซึ่งมาจากกลุ่ม
สังคมและอาชีพต่าง ๆ กัน อย่างไรก็ตามเรื่องสั้น ประเภทหยิกแกมหยอก หรือหัวเราะขัด ๆ อย่างของไมตรี
ลิมปชิ าติ ชุดชาวเขอื่ นของมนันยา เรื่องรกั หวอื หวาของศุภักษร ชอ่ ลัดา รัศมีดารา รวมท้งั เรื่องสัน้ นวนิยายทใ่ี ห้
ความเพลิดเพลิน ด้วยสานวนภาษาท่ีประณีตละเมียดละไมและด้วยความท่ีผู้อ่านชื่นชมในตัวผู้เขียนก็ได้รับ
๒๔
ความ นิยมด้วย เช่น งานเขียนของสิริมา อภิจาริน และจันทราไพ งานเร่ืองส้ันเกิดความนิยมอย่าง กว้างขวาง
ด้วยการสนับสนนุ จากสถาบนั ต่าง ๆ ใหม้ ีการประกวด เช่น การประกวดเรอื่ งสนั้ ของหนังสือพมิ พ์เดลิไทม์ สตรี
สาร สมาคมภาษาและหนังสือ สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย การคัดเลือกเรื่องส้ันลงในโลกหนังสือฉบับ
เรื่องส้ันและใหร้ างวัล “ช่อการะเกด” แก่เรื่องสั้น ดีเด่น ตลอดจนกลุ่มวิจารณ์วรรณกรรมเร่ืองสั้นในปัจจุบันที่
กระทากันอย่างจริงจังและสม่าเสมอ เช่น กลุม่ วรรณกรรมพินิจ ซง่ึ ทามาแล้ว 2 ปี คือ 10 เร่ืองส้ันสร้างสรรค์
ไทย ปี 2521 และ เรื่องส้ันสร้างส้ัน 22 นิตยสารและวารสารต่าง ๆ มักจะกันเนื้อที่สาหรับเร่ืองสั้นเสมอ
เหล่านี้ ทาให้เรื่องสั้นไทยมีพัฒนาไปมาก เร่ืองสั้นในยุคหลัง 6 ตุลาคม เป็นต้นมา จึงเป็นอย่างท่ีสุชาติ สวัสดิ์
ศรี กล่าวไว้ในการอภิปรายครั้งหนึ่งว่า “.......หลัง 6 ตุลาคมเป็นต้นมา ดูเหมือนจะมีการประสานรปู แบบและ
เน้ือหามากขึ้น คือเนื้อหาไม่ทิ้งความเข้มข้น ส่วนรูปแบบเท่าที่ศึกษา ดูก็ให้ความสาคัญกับศิลปะมากข้ึน
นักเขียนใหม่ ๆ ท่ีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอย่างปณิธาร สายไท จาลอง ฝ่ังชลจิตร พิเชียร สูญโญ มาลา คาจันทร์
ซับจาปา เหลอื งฝา้ ยคา ชาติ กอบจติ ติ ปรารถนา บ้านไผ่ ประมวล มณีโรจน์ รุ่งอรณุ และอีกหลาย ๆ คน รสู้ ึก
ว่าความเข้มข้นท่ีได้จากการอ่านน้ันยังมีอยู่ คือมีเนื้อหาในทางสร้างสรรค์ แต่ทางรูปแบบก็ดูเหมือนมีการ
นาเสนอเทคนิคใหม่ ๆ ข้ึนด้วย ไม่วา่ จะเป็นเทคนคิ ในการตัดสลับย้อนไปย้อนมา หรือเทคนิคในการใช้ตวั ละคร
เดนิ เร่ืองแบบสญั ลกั ษณ์หรอื จติ ใตส้ านกึ
อดุ ม รุง่ เรืองศรี (๒๕๒๒ : ๖๗) ไดแ้ บง่ ยคุ สมัยของวรรณกรรมไทยปัจจบุ นั ไว้ดงั น้ี
๑. สมัยโหมโรง (พ.ศ. ๒๔๐๑-๒๔๑๗)
ระยะนม้ี กี ารออกหนงั สอื พิมพ์ ซง่ึ เป็นหนังสือแจ้งข่าวฉบับต่าง ๆ
๒. สมยั เปดิ มา่ น (พ.ศ. ๒๔๑๗-๒๔๔๓)
การเรมิ่ ออกหนังสือ ดรุโณวาท ซึ่งเริ่มพลิกประวตั ิการทาหนังสือพมิ พ์มาในรูปแบบเพื่อระชา
ชนทั่วไป มไิ ดเ้ ป็นเหมอื น “ของเลน่ ” เช่นยคุ กอ่ น การนาเร่ืองแปลและเรื่องส้ันมาลงในวชริ ญาณและวชริ ญาณ
วิเศษน้ันนับได้ว่าวรรณกรรมไทยเร่ิมมีบทบาทแล้ว หนังสือพิมพ์กลายเป็นสื่อในการเสนอความบันเทิงแง่
วรรณกรรมอีกโสดหนึ่ง
๓. สมัยเผยโฉม (พ.ศ. ๒๔๔๓-๒๔๕๓)
ในชว่ งอันยาวนานของการครองราชย์แห่งรชั กาลที่ ๕ คือ ชว่ ง (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) นั้นเห็น
ได้ว่ามีความเคลื่อนไหวในวงวรรณกรรมไทยถึงสองระลอกด้วยกัน ระยะแรกน้ันเป็นช่วง ท่ีเกิดระหว่าง พ.ศ.
๒๕๑๗-๒๔๔๓ อันเป็นยุคทม่ี ีหนังสอื พิมพด์ รุโณวาทเกิดข้ึน ถดั จากน้ันจึงมาเป็นช่วงของหนงั สือวชริ ญาณและว
ชิรญาณวิเศษ ซ่ึงนับได้ว่าเป็นก้าวแรกของวรรณกรรมไทยก็คงจะไม่ผิดพลาดมากนัก โดนเฉพาะในหนังสือวชิ
รญาณ ตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมานั้นเรื่องเกี่ยวกับการสืบสวนและเรื่องกฎหมายต่าง ๆได้รับการเสน
ออกมาอยา่ งมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะผูจ้ ัดทาสนใจจะเสนอเรื่องท่ีตนมีความเชีย่ วชาญกเ็ ปน็ ได้ นอกจากนน้ั แลว้ ก็
เปน็ เรอ่ื งเก่ยี วกับครอบครวั แบบไทย ๆ ไสยศาสตร์ และเกร็ดความรู้ตา่ ง ๆ ผูท้ ม่ี ีส่วนร่วมในการเขยี นยคุ น้ันเป็น
เจ้านายในราชวงศ์และข้าราชการ เช่น กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์, กรมพระสมมตอมรพันธ์, กรมพระยา
ดารงราชานุภาพ, กรมหลวงพิชิตปรีชากร, จมื่นศรีสรรักษ์ (เพ่ง), ขุนมหาวิชัย (จันทร์) และหลวงประเสริฐ
อกั ษรนิติ์ (แพ) เป็นต้น
ในยุคที่วรรณกรรมประเภทเรื่องสัน้ และเร่ืองแปลได้รับความนิยมเปน็ อันมากในช่วงรัชกาลที่
๕ นั้น เป็นเพราะบรรดาเจ้านายหรือข้าราชการที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศร่วมกันเสนอเรื่องราวต่าง ๆ
๒๕
ตามความสนใจของตน เรื่องเหล่าน้ันเป็นเรื่องแนวแปลกใหม่ ไม่เคยปรากฏมาก่อนจึงเป็นที่ตื่นตาต่ืนใจไปท่ัว
อีกอย่างหนึ่ง การที่รัชกาลท่ี ๕ โปรดให้ประชาชนได้มีโอกาสได้รับการศึกษามาต้ังแต่ต้นรัชสมัย ครั้นมาถึง
ระยะนี้แล้ว ประชาชนก็มีการศกึ ษามากขึ้น และผู้ที่มีความรู้ ทง้ั จากภายในและภายนอกประเทศก็ได้ขยายตัว
ขึ้นเสริมรับกับความเจริญทางด้านวรรณกรรมพอดี ด้วยเหตุน้ีวรรณกรรมไทยจึงได้เป็นท่ีช่ืนชมของผู้อ่านเป็น
จานวนมาก
ลักษณะเฉพาะของวรรณกรรมในยคุ เผยโฉมนอ้ี าจสังเกตไดว้ ่าเป็นยุคแรกเร่ิมของวรรณกรรม
ไทยโดยแท้ ถึงแม้นวนิยายท่ีเกิดข้ึนในยุคนี้จะเป็นเรื่องแปลก็ตามแต่ กระนั้นก็ยังมีเร่ืองส้ันท่ีแต่งขึ้นมาและ
ได้รบั ความนิยมเป็นอันมาก ลักษณะวารสารรายเดือนท่ีมีลักษณะเหมือน Magazine นน้ี ับวา่ อานวยประโยชน์
แกผ่ ู้อา่ นได้กว้างขวางเพราะราคาไม่แพงนัก และมเี ร่ืองหลายประเภทให้อ่าน จดั วา่ เหมาะสมแก่สภาวการณใ์ น
วงวรรณกรรมยุคนน้ั ได้
๔. วรรณกรรมไทยสมัยรัชกาลท่ี ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๔-๒๔๖๘)
หลงั จากการที่รัชกาลท่ี ๕ โปรดให้ขยายการศึกษาไปสู่ประชาชนอย่างมากมายแล้ว รัชกาลที่
๖ ก็ได้ดาเนินรอยตามพระยุคลบาทโดยการออกพระราชบัญญัติประถมศึกษาเม่ือ ๑ กันยาย ๒๔๖๔ โดยให้
เดก็ ทกุ คนเรียนหนงั สือต้ังแตอ่ ายุ ๗-๑๔ ปีบริบรู ณ์ และไมต่ ้องเสยี คา่ เล่าเรียน
ในด้านการทรงพระอักษรของรัชกาลที่ ๖ นั้น จะเห็นได้ว่าการที่ได้ถวายพระนามว่า “พระ
มหาธรี ราชเจ้า” น้ันนับเป็นพระนามอนั เหมาะสมอยา่ งย่ิง ทั้งน้ีเพราะพระองคท์ รงพระอักษรหนกั อย่างย่ิง ทรง
มีงานพระราชนิพนธ์มากมาย จากความสนพระทัยทางด้านน้ีอย่างจริงจัง เช่น บทละคร กาพย์กลอน ศาสนา
ตานาน กฎหมาย บทความ เป็นต้น ทาให้บรรดาเจ้านายและข้าราชบริพารมีความสนใจในการวรรณกรรม
เช่นเดียวกัน ซ่ึงต่างก็ผลิตงานออกมาประดับในวงวรรณกรรมไทยเป็นจานวนมาก โดยเฉพาะได้มีหนังสือพิมพ์
ดี ๆ อกี หลายฉบับในสมัยนี้ เช่น สนามมวย ผดุงวิทยา ศรีกรงุ ไทยเอ้ือ เปน็ ตน้
สภาพทั่วไปของวงวรรณกรรมสมัยรัชกาลท่ี ๖ หากจะพิเคราะห์จากความเคลื่อนไหวของ
วรรณกรรมในหนงั สือพิมพ์ตา่ ง ๆ ในรชั กาลที่ ๖ แล้ว จะเห็นว่าวงการหนังสือพิมพ์แยกตัวออกเปน็ สองแนวคือ
แนวหน่ึงเป็นแนว Magazine แบบฝร่ัง ซึง่ เสนอเรอ่ื งนิทาน, นยิ าย, เรอ่ื งแปล, สารคดีและเกรด็ ความรู้ ส่วนอีก
แนวหนึ่งมุ่งเสนอข่าวสดและโฆษณาพร้อมท้ังแสดงความคิดเห็นแบบฝร่ังไปด้วย ลักษณะที่สองน้ีจัดว่าเป็นวิถี
ของหนงั สือพมิ พ์อาชีพทีจ่ ัดเป็นลกั ษณะเฉพาะว่าเปน็ “วรรณกรรมเร่งรีบ”
๕. วรรณกรรมไทยสมยั รชั กาลท่ี ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๙-๒๔๗๕)
สภาพท่ัวไปของวงวรรณกรรมสมัยรัชกาลที่๗ ด้านหนังสือพิมพ์รายวันน้ันได้มีความ
เปล่ียนแปลงจากท่ีปรากฏในสมัยรัชกาลที่ ๖ มาก ท่ีเห็นได้ชัดคือขนาดของหนังสือพิมพ์เล็กกว่าเดิม คือ
ประมาณครึ่งหนึ่งของหนังสือพิมพ์ธรรมดาในปัจจุบัน อีกอย่างหน่ึงคือการท่ีมีผู้ประกอบอาชีพเป็น
นกั หนงั สือพิมพแ์ ละนักเขียนกนั แล้ว
ตอนต้นรชั กาลท่ี ๗ น่นั หนังสือพิมพร์ ายวันนยิ มลงเร่อื งบันเทงิ คดีมากข้ึน โดยเฉพาะจะมเี รือ่ ง
แปลหรือแปลงพงศาวดารต่างประเทศลงเป็นประจาเกือบทกุ ฉบับ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๐ มหี นังสอื พิมพ์หลาย
ฉบับเขียนแสดงความคิดเห็นในระบอบประชาธิปไตยบ้างแล้ว โดยเฉพาะพระยาศราภัยพิพัฒน์เขียนบทความ
ขนาดยาวชื่อ “ชีวิตของประเทศ” ลงในหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ ใช้นามปากกาว่า “ศรทอง” ศรีบูรพาเขียนเร่ือง
“มนุษยภาพ” ลงใน ศรีกรุง เป็นทานองเรียกร้องประชาธิปไตยเชน่ กัน ผลท่ีปรากฏต่อบทความชิน้ น้ีรุนแรงถึง
๒๖
ได้ถูกล่ามโซ่แท่นพิมพ์ท้ัง ๆ ท่ีกล่าวไว้ว่า “ความจริงมันก็ไม่มีอะไรที่แสลง ฉันพูดถึงสิทธิของมนุษยชน ความ
เสมอภาคและความเป็นธรรมในสังคม ทางด้านร้อยกรอง, ในช่วงเวลาน้ี ครูเทพเร่ิมแหวกธรรมเนียมนิยมโดย
การเขียนถึงความคับแค้นของชาวนา, ความลาบากของกรรมกรในเหมือง และโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นแล้ว
ฝ่ายบันเทิงคดีนั้น ได้มีความเคล่ือนไหวแนวใหม่ กล่าวคือเร่ือง ความรักทาให้โลกหมุน ของชัย เรืองศิลป์
และ น้าใจของนรา โดยส่ง เทพาสิต น่ันเป็นการแหวกแนวของการใช้ภาษาในยุคนั้นออกไปก่อให้เกิดความ
ตนื่ เต้นแก่วงการเป็นอันมาก ท่ีน่าตื่นใจไปกว่านั้น คือการท่ีหม่อมเจ้าอากาศดาเกิง รพีพัฒน์ ได้เขียนและพิมพ์
ละครแห่งชีวิตออกจาหน่ายเองในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ โดยท่ตี ัวละครมิไดเ้ ป็นคุณหลวงคุณพระอีกแล้ว, แต่เป็นชาย
หนุ่มชาวไทยที่ได้มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศแห่งมหานครลอนดอน, ปารีส และมอนติคาร์โลหรือสถานท่ีหรู ๆ
แห่งอื่นอันเลยจากขอบฟ้าของวรรณกรรมไทยยุคนั้น ศรีบูรพา ก็ได้กาหนดให้ระพินทร์เขียนจดหมายติดต่อ
กับเพลินใน สงครามชีวิต จดหมายของคนสามัญน้ี เตม็ ไปด้วยความคิดและความใฝ่ฝัน, ถากถางคนทาบุญเอา
หน้า มือถือสากปากถือศีล, ใน ปราบพยศ เขาก็ให้ตัวละครซ่ึงเป็นนักศึกษาหนุ่มหาญเข้าประความเข้มทาง
ปัญญากับคุณหลวงคุณพระอย่างไม่หวั่นไหว ตลอดจนการที่ศรีบูรพาสร้าง ดสุ ิต สมิโตปกรณ์ นั้นยอ่ มหมายถึง
สัญลักษณ์ว่าความเป็นนักประพันธ์น้ันย่อมทรงคุณค่าและมิต้องไส้แห้งอีกต่อไป ฝ่ายดอกไม้สดเองก็เช่นกัน ,
ได้เสนอแนวใหม่ คิดปฏิปักษ์กับประเพณีคลุมถุงชน ตลอดจนสร้างวิมลในเร่ือง ผู้ดี ให้เป็นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ
ท่ี แต่กม็ ีความรบั ผดิ ชอบในชีวิต และหาญกล้าพอทีจ่ ะเผชิญความตกต่าของตระกลู ผดู้ ีของตนได้โดยเข้มแข็ง
ลักษณะเช่นนี้นับเป็นความเคล่ือนไหวอันเครียดขรึมของคนหนุ่มท่ีเริ่มสงสัย มันจะฝ่าความ
ลา้ หลังของความเช่ือในสังคมไทย เพ่ือเปิดทางให้แก่แนวคดิ ใหม่ ๆ อันจะเพ่ิมค่าของมนุษยใ์ นสังคมไทยใหม้ าก
ข้ึน ความเปล่ียนแปลงเชน่ นย้ี อ่ มคล่คี ลายมาอย่างเป็นระบบ ทั้งอาจเปน็ เพราะอิทธพิ ลของอารยธรรมตะวันตก
มาสะกดิ ใจ, ความขยายตัวทางเศรษฐกิจและการทช่ี นช้นั กลางทย่ี กระดบั ตนเองมาจากสามัญชนตอ้ งการทีจ่ ะมี
ส่วนในการเคลื่อนไหวกลไกของรัฐและสังคม, ความคิดประชาธิปไตยนี้มาพร้อมกับอารยธรรมตะวันตก และ
ฟักตัวอยู่ในระดับสากล เช่นน้ีย่อมจะกระเทือนต่อระบบการปกครองและเศรษฐกิจตลอดจนวิถีความเช่ือของ
คนในยุคนั้น แนวคิดดังกล่าวนี้จึงมีผลคือคนรุ่นใหม่เร่ิมคิด, ไม่พอใจ และลงมือคัดค้านประเพณีและ
ความเชือ่ แบบเก่าโดยรูปแบบตา่ ง ๆ อย่างไมห่ วาดหวั่น
ลักษณะของวรรณกรรมชว่ งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ จะเห็นได้ว่า
มีหลายแนวดังที่กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ดีก็ย่อมเป็นที่ยอมรับกันท่ัวไปว่ายุคนี้เป็นยุคแห่ง ความเปลยี่ นแปลงใน
ด้านพ้ืนฐานของการประพันธ์โดยแท้ แต่เดิมน้ันเป็นไปคล้ายงานอดิเรกชนิดหน่ึง, แต่ยุคน้ีนักเขียนต้องทุ่มเท
อย่างจริงจัง, ประกอบด้วยอุดมคติ และถือว่าการประพันธ์เป็นอาชีพชนิดหนึ่งได้ ความคิดที่แสดงออกมาใน
งานเขียนน้ันก็เป็นการเร่ิมต้นสงสัยสภาพความเป็นอยู่ของตน และมองหาส่ิงดีกว่าเดิม นักเขียนและ
นักหนังสือพิมพ์ต่างมีส่วนเป็นอันมาก ช่วยผลักดันให้การปฏิวัติ ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นไปอย่างราบร่ืน
และปราศจากการต่อต้านจากประชาชน ดงั น้ัน การเขียนในยุคน้ีจึงเปน็ ยคุ ของการเร่ิมเสนอความคิดใหม่แทรก
เขา้ มาในการเขียนแลว้ เป็นยคุ หวั เลียวทว่ี รรณกรรมไทยมงุ่ เขา้ สูส่ ภาพวรรณกรรมปจั จบุ ันอย่างสมบูรณ์
๖. วรรณกรรมสมยั หลังการปฏวิ ตั ิจนถึงสนิ้ สงครามโลกคร้งั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๔๘๘)
การเขียนในยุคน้ีเป็นช่วงต่อเนื่องมาจากสมัยรัชกาลท่ี ๗ จะเห็นได้ว่าความคล่ีคลายของวง
วรรณกรรมนั้นเร่ิมมาจาก “หนุ่มหัวนอก” ในรัชกาลที่ ๕, “ข้าราชการคารมกล้า” ในสมัยรัชกาลท่ี 5
และความผสมผสานของคนรุน่ เก่าและ “คนหน่มุ หวั ใน” สมัยรัชกาลท่ี ๗ และมารชั กาลที่ ๘ น้แี นวความคิดใน
๒๗
การเขียนเปล่ียนแปลงไปจากเดิมเป็นอันมาก การท่ียศ วัชรเสถียร ยกย่องงานของเจา้ พระยาธรรมศักด์ิมนตรี
เช่นบทกวีนิพนธ์ เรื่อง ทหารเอกสยาม เศรษฐสงคราม และความคิดในการเรียกร้องความเสมอภาคของสังคม
เช่นในเรื่องของชาติชาย ซึ่งเยาะหยันการแบ่งชนช้ันของเขาที่ถึงกับมีการบอกใบ้โดยการโยนหนังสือ สัญญา
ประชาคม ของ ญัง ยาค รุซโซ ลงบนโต๊ะ, ตลอดถึงการเขียนเรื่อง ข้ากับเจ้า ในช่วงปลายรัชกาลท่ี ๗ นั้นเป็น
ความคิดที่กรุ่นด้วยแนวก้าวหน้าเป็นอันมาก แนวคิดดังกล่าวน้ีอาจจัดได้ว่าเป็นแนวหลักของศรีบูรพาก็ว่าได้
เพียงแต่ศรีบูรพาสามารถซ่อนเง่ือน และผูกปมได้อย่างงดงามดังท่ีปรากฏใน สงครามชีวิต ในช่วงก่อน แต่มา
ในช่วงรัชกาลท่ี 6 นี้, ศรีบรู พาบรรจงสร้าง ขา้ งหลังภาพ ขึ้นโดยอาศัยการศึกษาชีวิตของกุลสตรีผู้หนึ่งในสังคม
เก่าข้ึนมาสนองรับกับผลิตผลของสังคมใหม่คือ หนุ่มน้อยนพพรนักเรียนการธนาคารแห่งมหาวิทยาลัยริคเคียว
(ญี่ปุ่น) แล้วจบลงด้วยคนหนึ่งตรึงอยู่กับอดีตและไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ขณะท่ีหนุ่มนั้นคิดถึงแต่
ตัวเองและเห็นความรักเป็นการลงทุนอย่างหน่ึงจึงเปลี่ยนแปรตนเองไปสู่ส่ิงใหม่ได้ตลอดเวลา ลักษณะงาน
เขียนเช่นน้ีจดั ได้ว่าเป็นการเขียนท่ีแฝงด้วยแนวความคดิ ซึ่งจัดว่าเป็นแนวเด่นอย่าง หน่ึงของช่วง พ.ศ. ๒๔๗๕
ถึง ๒๔๘๘ นี้
๗. สมัยการปกครองยคุ ท่ีสองของจอมพล ป.พิบลู สงคราม (พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๕๐๑)
ในวงวรรณกรรม เน่ืองจากการที่จอมพล ป. พิบูลสงครามและคณะทูตพิเศษไปดาเนินการ
สันถวไมตรีกับต่างประเทศ รวม ๑๗ ประเทศ ระหว่าง ๑๔ เมษายน - ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๘ นั้นได้มี
ความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง กล่าวคือ รัฐบาลได้เปดิ Press Conference ทกุ สปั ดาห์ และบุคคลสามารถแสดง
ความคิดเห็นในที่สาธารณะได้คล้ายใน Hyde Park ของอังกฤษ นอกเหนือจากนี้ รัฐบาลก็ได้คลายความ
เข้มงวดต่อวงการหนังสือพิมพ์ให้มีเสรีภาพมากข้ึน กระนั้นก็ดี, รัฐบาลน้ีกลัวคอมมิวนสิ ต์อย่างยิ่ง และได้มีการ
รณรงค์ โดยการปิดป้ายชักชวนให้ประชาชนเกลยี ด และกลัวคอมมวิ นสิ ตอ์ ย่างกวา้ งขวาง
ใน พ.ศ. ๒๔๙๓ นั้น มาลัย ชูพินิจ ได้ร่วมคิดกับอารีย์ วีระในการท่ีจะก่อตั้งชม รมนัก
ประพันธ์เพื่อให้นักเขียนได้พบปะกันอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยให้วิลาศ มณีวัต และ ประหยัด ศ. นาคะนาท
เป็นผู้ดาเนินงาน การพบปะนัดแรกจัดขึ้นท่ีห้องทางานชั้นบนของตึกอานวย การบริษัทไทยพาณิชยการจากัด
สลี ม เม่ือ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ผู้ร่วมประชุมครั้งแรก มี ๑๕ คน เหล่านักประพันธ์ได้แสดงความคิดเห็น
ต่าง ๆ ท่ีมีค่าแก่วงการประพันธ์ทุกนัด และเรื่องหน่ึงที่ถูกนัก ประพันธ์หญิงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ในการประชุมดังกล่าว คือเรื่องสั้นช่อื สัญชาตญาณมืด ของ อ. อดุ ากร (๒๔๙๓) และท่ีนั้น, อินทรายุธชาแหละ
วรรณคดีโบราณด้วยความมั่นใจและเร้าใจ ให้นักประพันธ์สร้างงานท่ีทรงคุณค่าแก่ประชาชน ท่ามกลางการท่ี
รฐั บาลพยายามกาจัดนกั คิดปากคมและนักเขยี นคารมกล้า
ทางฝ่ายรฐั บาลนั้นก็ได้ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของการประพันธ์ จึงไดจ้ ัดตั้งสานักวัฒน ธรรม
ทางวรรณกรรม, สภาวัฒนธรรมแห่งชาติข้ึนใน พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยมี เลียว ศรีเสวก (อรวรรณ) เป็นประธาน
กรรมการ, พล ต. ไชยันต์ ถนัดหตั และ สันต์ เทวรักษ์ ก็ได้เป็นประธานกรรมการในคราวนั้นด้วย พร้อมกันน้ี,
นกั เขยี นทเี่ คยรวมตัวกันเป็นวงวรรณคดี ใน พ.ศ. ๒๔๘๙ ก็ไดพ้ ัฒนาและขยายเป็นสมาคมภาษาและหนงั สือใน
ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ท้ังน้ี ในวงวรรณกรรมนั้นมีความเคล่ือนไหวอย่างคึกคัก เนื่องจากอุปกรณ์ในการพิมพ์ต่าง ๆ
ดีข้ึนกว่าเดิมและประชาชนมีการศึกษาสูงขึ้น อีกอย่างหน่ึง สถานเริงรมย์และแนวนิยม ในการพักผ่อนของ
ประชาชนมีไม่มากนักจึงทาให้คนหันเข้าหาความเพลิดเพลินจากหนังสือ นักเขียนที่ต้ังใจบรรจงงานของตนใน
แนว “ศิลปเพื่อศิลป์” ก็มีมากและเกิดข้ึนเร่อื ย ส่วนนักเขียนในแนว “ศิลปเพื่อชีวิต” กม็ ีความคึกคักเป็นอย่าง
๒๘
มากเพียงแต่ไม่อาจขยายเป็นกระแสครอบคลุมวัฒนธรรมโดยส่วนรวมได้ โดยเฉพาะเม่ือจอมพลสฤษดิ์
ธนะรชั ต์ ทาการรฐั ประหารในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ น้ัน นกั เขยี นในแนว “ศิลปเพ่ือชวี ิต” ถูกจบั กุมคุมขังเป็นจานวน
มากและไมส่ ามารถออกหนงั สอื พมิ พ์ไดโ้ ดยเสรเี ช่นแตก่ อ่ น
๘. สมัยจอมพลสฤษฎ์หิ รือยคุ “งานคอื เงิน เงินคอื งานบันดาลสุข”
จากการท่ีจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ต้องการยังให้เกิดเสถียรภาพแก่รัฐบาลเป็นประการสาคัญ
ดังนั้นจึงมีนโยบายผูกพันประเทศไทยเข้ากับอเมริกา, ปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงและการาบ
นักหนังสือพิมพ์หรือนักคิดแนวก้าวหน้าอย่างเฉียบขาด ซึ่งความประการหลังนี้จะเห็นได้จากประกาศ
ของคณะปฏิวัติฉบับท่ี ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๐๗) ท้ังน้ีทัศนคติดังกล่าวมผี ลตอ่ นักเขียนหลายประการดังจะเห็นได้จาก
การท่ีศรีบูรพาขอล้ีภัยอยู่ในประเทศจีน เสนีย์ เสาวพงศ์รับราชการในกระทรวงการต่างประเทศและเลิกเขียน
หนังสือ ลาว คาหอม (คาสิงห์ ศรีนอก เจ้า ของเร่ืองสั้นชุดฟ้าบ่กั้น) ต้องเปลี่ยนอาชีพ, เมืองทาส ของ ศรีรัตน์
สถาปนวัฒน์กลายเป็นหนังสือต้องห้ามและตัวผู้เขียนก็พลอยต้องเปลี่ยนแนวการเขียนดังจะเห็นได้ว่า ในยุค
เปิดโปง (พ.ศ. ๒๔๙๐-๒๕๐๐) น้ัน ศรีรัตน์ เขียนแบบเปิดโปงสภาพการกดข่ีทั้งแบบเจ้าขุนมูลนายและชนช้ัน
ปกครองดังเช่น พรุ่งนี้ต้องมีอรุณรุ่ง หรือ แผ่นดนิ น้ีของใคร เป็นต้น ; เม่ือถึง ยุคท่ีเสถียร จันทมิ าธรเรียกว่ายุค
โศกนาฏกรรมของสัตว์เมือง (พ.ศ. ๒๕๐๑-๒๕๑๕) ศรีรตั น์ จงึ เขียนแนวใหม่อนั เป็นงานชีวิตแบบแสดงอารมณ์
กับ เรอ่ื ง ต่อสู้ในเชิง นกั เลง ของลูกผชู้ าย เชน่ ทาสโลกยี ์, ไม่มคี าตอบจากสวรรค์, จากนั้นจนนิรนั ดร, ยังไม่ส้ิน
แสงดาว, ฟ้าสีเลือด และดา่ นสมงิ เป็นตน้
นอกจากเสรีภาพของนักเขียนจะถูกคุกคามแล้วก็ยังมีการตัดสิทธิในการ ออกหนังสือพิมพ์
และนิตยสารใหม่อกี ด้วย คนหนังสือพมิ พ์จึงต้องหาทางขวนขวาย “ซ้ือหัว หรือ “เช่าหัว หรือ ช่ือหนังสือพิมพ์
ท่ีได้รับอนุญาตแล้วมาดาเนินการ การเขียนจึงต้องระมัดระวังมิให้กระทบกระเทือนรัฐบาลได้เพราะเป็นการ
เสีย่ งกับการถูกปดิ อีกอยา่ งหนึง่ เครอ่ื งมือเคร่ืองใช้ในด้านนีร้ ับซ้อนและราคาแพงกว่าเดิมมาก หากหนังสอื พิมพ์
ถูกปิดแล้วก็หมายความว่าจะต้องล้มละลายเพราะการลงทุนดังกล่าว โดยเหตุน้ีหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารจึง
พยายามระมัดระวังมิใหข้ อ้ เขยี นไปกระทบกระเทอื นรัฐบาลได้ โดยสภาวะเช่นน้ี การเสนอความคดิ เชิงก้าวหน้า
จงึ ถูกเพ่งเล็งแล้วหยุดไป, งานเขียนจงึ มีแนวโน้มไปทางประเทืองอารมณ์มากกวา่ บารุงปญั หาหรอื สะท้อนความ
คิดเหน็ เกีย่ วกับภาวะบา้ นเมอื ง, การปกครองและความบกพร่องของสภาพสังคม
โดยเหตุน้ีหนังสือพิมพ์รายวันจึงเสนอข่าวประเภทอาชญากรรม, ข่มขืน, จ้ปี ล้น, คดโกง หรือ
งมงายในไสยศาสตร์พร้อมกับมีเร่ืองข่าวกีฬาและข่าวเศรษฐกิจพร้อมกับข่าวธุรกิจบันเทิงเป็น ประการสาคัญ
นิตยสารต่าง ๆ ก็ระดมเสนอนิยายเก่ียวกับการชิงรักหักสวาท, ทรยศคดโกง, ชีวิตครอบครัวหรือเก่ียวกับภูตผี
ปิศาจ ทั้งนีเ้ ปน็ ไปตามความนยิ มเขยี นและอา่ นกนั ในวงการสตรี
ส่วนนักเขียนชายก็หักแนวออกไปทางด้านนวนิยายบู๊ล้างผลาญหรือระคนไปด้วยกามารมณ์
ทั้งนี้จะเห็นได้จากเร่ืองของ ก. สุรางคนางค์, ดวงดาว, วรรณสิริ, ชอุ่ม ปัญจพรรค์, บุษยมาส, ชูวงศ์
ฉายะจินดา, เพ็ญแข วงศ์สง่า, กาญจนา นาคนันท์, โรสลาเรน, นราวดี ฯลฯ ซ่ึงเป็นนักเขียนสตรีท้ังสิ้น
ส่วนนักเขียนชายจะประกอบด้วย อวรรรณ, พนมเทียน, เสนีย์ บุษปะเกศ, เศก ดุสิต, ส. เนาวราช, พันธ์ุ
บางกอก, อรชร, พ.ต.ต. ประชา พูนวิวัฒน์, ปรางค์ บางกอก, เชษฐ์ ชัชวาล, ศักด์ิ สุริยา, เพชร สถาบัน, เป็น
ต้น นวนิยายท่ีกลุ่มนักเขยี นท้ังหญิงและชายดังกล่าวเขียนขน้ึ ลว้ นเป็นแบบพาฝันท้ังสิ้น ซึ่งก็หมายความว่างาน
๒๙
ของหลวงวิจิตรวาทการ และ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ยงั อาจนับว่าอยูใ่ นแนวนี้ได้ โดยเหตุทกี่ ารเขียนเรื่องใน
ยุคนเี้ ปน็ การเขยี นแบบเพ้อฝัน, ดงั นั้นจึงมผี ้เู รยี กวา่ “วรรณกรรมน้าเนา่ ”
๙. ยุค “จงทาดี จงทาดี จงทาดี” หรือ ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร (๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๖-๑๔
ตลุ าคม พ.ศ.๒๔๑๖)
ยุคของจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียรในช่วงน้ีเป็นการต่อ
เน่ืองจากยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นโยบายของผู้บริหารมิได้แยกจากกันและตัวผู้บรหิ ารก็ยังอาจเรียกได้
ว่าชุดเดิมน้ันก็ว่าได้ โดยเฉพาะธรรมนูญการปกครองแผ่นดินและการไม่เร่งรัด ในการร่างรัฐธรรมนูญ ส่ิงที่
ปรากฏต่อประชาชนก็คือการท่ีบา้ นเมืองพัฒนาขึ้น มีวัสดอุ ุปกรณ์อย่างใหม่ ๆ มาใช้ สภาพเศรษฐกิจท่ีตกต่าลง
และความเบื่อหน่ายหรือชินชากับอานาจแบบเผด็จการและการประกาศกฎอัยการศึกท่ีไม่รู้จักจบส้ิน
ประชาชนถูกเบ่ียงเบนจากความคิดแบบก้าวหน้ามาเป็นความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ และหาทางกอบโกยตาม
ความสามารถทางด้านส่ือมวลชนนั้น บทบาทของวิทยุและโทรทัศน์มีมากและซับซ้อนยิ่งขึ้น ตลอดจน
กว้างขวางย่ิงกว่าเดิม ข่าวท่ีเสนอนั้นออกมาอย่างฉับไวและแพร่หลายแม้จะอยู่ในป่าเขา โดยความน้ี
หนังสือพิมพ์จึงคลายความสาคัญในแง่การสื่อข่าว และพร้อมกันน้ันก็ไม่สามารถเสนอความอะไรได้
หนังสือพิมพ์จึงเหมือนเป็นนิยายอาชญากรรมรายวัน มีการเลี้ยงข่าวดังเช่นการที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าว
“เด็กงูเหลือม กลับชาติ อยู่หลายวันกว่าจะยอมบอกว่าแพทย์ ลงความเห็นว่าเด็กเป็นโรคขาดอาหารจึงมี
ผิวหนังคล้ายเกล็ดงูเหลือม เป็นต้น ทางด้านนิตยสารน้ันมิได้มีอะไรใหม่นอกจากเทคนิคในการพิมพ์
และการเพ่ิม “วรรณกรรมน้าเน่า” ให้มากขึ้นเท่าน้ัน จึงเป็นอันว่าประชาชนอา่ นหนังสือพิมพ์และนิตยสารนั้น
เพราะความติดเปน็ นสิ ัยมากกวา่ จะแสวงหาความรู้ความคดิ ในระยะกอ่ นนัน้ นักหนงั สือพมิ พ์มักจะเปน็ นักเขยี น
ไปด้วย แต่คร้ันล่วงเข้าช่วงสมัยน้ีกิจการหนังสือพิมพ์เป็นวรรณกรรมกึ่งธุรกิจ ซ่ึงบางท่านให้คาขานว่า
“วรรณกรรมเร่งรีบ” โดยเฉพาะเม่ือมีการพิมพ์สองกรอบคือจาหน่ายตอนเช้าและบ่ายแล้วงานของนักหนังสือ
พิมพ์จึงมีมากข้ึนจนไม่อาจมีเวลาพอจะกรองคาผสานกับความคิดให้กลายเป็นนวนิยาย หรือเรื่องสั้นได้อีก
นักเขียนจึงมักจะอยู่นอกวงการหนังสือพิมพ์แต่มีความสัมพันธ์กันอยา่ งแนบแน่นและเป็นผู้ป้อนงานของตนแก่
หนังสือพิมพ์และนิตยสารตลอดเวลา จะต้องเสนอข่าวสารและบทความ ตลอดจนการโฆษณาทางหนงั สือพิมพ์
นั้นทาให้เนื้อท่ีในหน้ากระดาษไม่พอท่ีจะตีพิมพ์นวนิยายให้มีสัดส่วนตามควรได้ นวนิยายจงมักจะพิมพ์เป็น
ตอน ๆ ในนิตยสารสาหรับสตรีเป็นหลัก เช่น ศรีสัปดาห์, สตรีสาร บางกอก, สกุลไทย, เดลิเมล์วันจันทร์ ฯลฯ
ส่วนนวนิยายท่ีเป็นเร่ืองของนักเขียนชายมักจะปรากฏในจักรวาลและบางกอกเป็นหลัก และน่าสังเกตว่า
หนังสือฟ้าเมืองไทย เป็นแหลง่ ให้กาเนิดนักเขยี นหนา้ ใหม่ไม่นอ้ ย เช่น สยุมภู ทศพล, ต๊ะ ท่าอิฐ, บุญโชค เจียม
วิริยะ และคาพูน บุญทวี เป็นต้น เช่นเดียวกับการที่สตรีสาร และศรีสัปดาห์ เป็นท่ีเกิดของนักเขียนสตรี เช่น
กฤษณา อโศกสนิ , ชอุม่ ปญั จพรรค์, ชวู งศ์ ฉายะจินดา และทมยันตี เป็นต้น
ท้ังนี้มาในระยะท่ีแล้ว การศึกษาของไทยได้แพร่หลายอย่างมีประสิทธิภาพ บัณฑิตจาก
มหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีมากขึ้น บุคคลมีรสนิยมสูงข้ึน และต้องการสิ่งแปลกใหม่ในวงการนวนิยายเช่นกัน
แต่บุคคลท่ีต้องการความพิถีพิถันเช่นนี้มีน้อยกว่าตลาดส่วนใหญ่ ซึ่งสนใจเร่ืองอ่านง่าย เบาสมอง และมุ่ง
ความเพลิดเพลินเป็นสาคัญ นักเขียนต่างตระหนักในความจริงข้อน้ีน้ันจึงได้พยายามปรับปรุงผลงานให้ดีข้ึน
และรับใชช้ วี ติ มากข้นึ
๓๐
๑๐. ยคุ ประชาธปิ ไตยเบกิ บาน (สมัยของนายสญั ญา ธรรมศกั ดิ์, ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว. คึก
ฤทธ์ิ ปราโมช ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๖-๖ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๑๙)
เม่ือเข่ือนก้ันอิสรภาพของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร
พังทลายลงแล้ว วรรณกรรมก้าวหน้าหรือหนังสือวิชาการก้าวหน้า ซ่ึงจัดพิมพ์ในช่วง ระหว่าง ๑๕ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๕๑๖ - 5 ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ก็ได้หลักทลายเขา้ มาถงึ ๓๓๕ เลม่ งานที่บกุ เบิกวรรณกรรมแนวสังคม
นิยม คือ ปรัชญานิพนธ์ประธานเหมาเจ๋อตุง องค์การนักศึกษาธรรมศาสตร์ซ่ึงพิมพ์ขายในงานนิทรรศการจีน
แดงท่ีหอประชุมธรรมศาสตร์ เม่ือ ๒๓-๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๗ จากนั้นวรรณกรรมแนวเดียวกันคือ ปรชั ญา
นิพนธ์ของลัทธิ มาร์กซิสต์, หลักลัทธิเลนิน, สรรนิพนธ์ เหมาเจ๋อตุง, ก็ติดตามเข้ามาพร้อม ๆ กับหนังสือ ๆ
วิชาการวรรณกรรมเช่น ศิลปะเพ่ือชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน ของทีปกร, ศิลปะวรรณคดีกับชีวิต ของ บรรจง
บรรเจิดศิลป์, ข้อคิดจากวรรณคดี ของอินทรายุทธ, ประพันธ์ รวมข้อคิดเห็นเก่ียวกับการเป็นนักประพันธ์
เพื่อชีวิตท้ังไทยและต่างประเทศ, ศิลปะแห่งกาพย์กลอน ของศรีอินทรายุทธ เป็นต้น นอกจากน้ันก็มีบทกวี
นิพนธ์และข้อเขียนแบบก้าวหน้าจากต่างประเทศก็ได้รับการแปลมาเป็นตัวอย่างของศิลป ะแขนงน้ีมากขึ้น
เช่น แมกซิม กอร์กี้, ประวัติจริงของอาคิว ของหลู่ซีน, คนขี่เสือ ของภวาณี ภัฏฏาจารย์, ดาวแดงอันวาววับ
ของหลี ซินเถียน และ เสียงรอ้ งของประชาชน โดยคมิ ซฮี า เป็นต้น ซ่ึงกล่าวโดยสรุปในด้านของนสิ ติ นกั ศกึ ษาท่ี
จัดพิมพ์หนังสือเก่ียวกับลัทธิการเมืองท้ังหมด ๙๔ เล่ม โดยที่ ๓๙ เล่ม ผู้พิมพ์เป็นนิสิตนักศึกษา ส่วนอีก ๕๕
เล่ม ผู้พิมพ์เป็นสานักพิมพ์หรือคณะบรรณาธิการซ่ึงมิใช่นิสิตนกั ศึกษา และในจานวน ๓๙ เล่มที่นิสิตนักศึกษา
พิมพ์น้ันมีเนื้อหาเก่ียวกับลัทธิคอมมิวนิสต์มากกว่าอ่ืน ส่วนบุคคลที่มิใช่นิสิตนักศึกษาพิมพ์ออกมานั้นโดยมาก
มักมเี น้อื หาเก่ยี วกับลทั ธิประชาธิปไตย
นอกจากการเผยแพร่ความคิดแบบก้าวหน้าทางหนังสือแล้ว ยังมกี ารจัดนิทรรศการประกอบ
กันไปด้วย โดยเฉพาะ “นิทรรศการการต่อสู้ทางวรรณกรรมกับเหตุการณ์สิบสี่ตุลาคม” ที่หอประชุม
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ ๑๓-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๗, งานนี้นาผลงานของนักเขียนเพ่ือประชาชน
มายกย่องเช่นงานของศรีบูรพา, อินทรายุทธ และ จิตร ภูมิศักดิ์ นอกจากน้ันยังมีการ “ชาแหละ” วรรณคดี
ไทยซ่ึงเป็นสาเหตใุ ห้มีการอภิปรายในแขนงนตี้ อ่ มาอีกหลายหน
๑๑. สมัยรฐั บาลหอย (๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๐)
การใช้ประกาศคณะปฏิวัติฉบับท่ี ๔๒ นั้น ให้อานาจแก่เจ้าพนักงานการพิมพ์อย่างมาก
ที่จะสั่งปิดหนังสือพิมพ์หรือยึดหนังสือใด ๆ ก็ได้อย่างกว้างขวางดังกล่าว ทาให้หนังสือประเภทก้าวหน้าหรือ
วรรณกรรมแนวประชาชนหายไปจากตลาด ครึ่งปีแรกของ พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นระยะเวลาที่ตลาดหนังสือ
เมืองไทยซบเซามาก แต่คร้ันรัฐบาล แต่ครั้นรัฐบาลของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ บริหารบ้านเมืองแล้ว
ตลาดหนังสือคึกคักขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ไม่มากเท่าที่เคยเป็นมาเพราะประกาศ ขณะปฏิวัติยังใช้ควบคุมส่ิงพิมพ์
ทงั้ หลายได้อยู่ แต่อยา่ งไรก็ดี พอท่ีจะสังเกตความเคล่อื นไหว ของตลาดหนังสือได้บางประการ โดยจะขอกล่าว
โดยสงั เขปตามแนวที่อาจารยป์ ระสทิ ธ์ิ รุง่ เรอื ง รัตนกลุ กล่าวไว้ในหนงั สอื สายธารวรรณกรรมไว้ในทนี่ ้ี
หนังสือประเภทที่รอดจากการกระทบกระเทือนจาก คณะที่ปรึกษาเจ้าพนักงานการพิมพ์
ตามกฎหมายว่าด้วยการพิมพ์คือบรรดานิตยสารรายสัปดาห์ นิตยสารรายเดือนบางฉบับ นิตยสาร สาหรับ
ผหู้ ญิง นติ ยสารสาหรับผู้ชายและหนงั สอื พิมพท์ มี่ ียอดจาหน่ายสงู เชน่ ไทยรฐั และเดลินวิ ส์ ทั้งนี้เพราะหนังสือ
เหล่านี้พดู ถึงความสวยงาม เรือ่ งเกร็ดความรู้ มีนวนิยายรักตีพมิ พเ์ ป็นสว่ นใหญ่ และไม่ข้องแวะกบั การเมืองโดย
๓๑
เด็ดขาด ดังจะเห็นได้จากนิตยาสาร บางกอก, สกุลไทย, จักรวาล, ฟ้าเมืองไทย, ฟ้าเมืองทอง, ชาวกรุง, ขวัญ
เรือน, ลลนา, เบญจกัลยาณี, กุลสตรี, สาวสยาม, สาวสวย, ดิฉัน, แมน, โมเดิร์นแมน, และ หนุ่มสาว ในด้าน
หนังสือพิมพ์น้ันจาเป็นต้อง “เล่น” ข่าวอาชญากรรมให้เต็มเน้ือท่ีในหน้าหนังสือพิมพ์ ดังนั้นจึงมีความนิยม
นาเอานวนิยายเก่า ๆ หรือเร่ืองกาลังภายในมาบรรจุในหนังสือพิมพ์ดังเช่น ผู้ชนะสิบทิศ ใน บ้านเมือง, บุปผา
พญายม ทล่ี งใน ไทยรัฐ และเดลินวิ ส์ เป็นตน
๑๒. ยุคแห่งความผนั ผวนทางเศรษฐกิจ (๑๑ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๒๐-ปจั จบุ ัน)
ทางด้านวงการวรรณกรรมนั้นก็นับว่าเปน็ นมิ ิตหมายอนั ดีทสี่ มาคมหนงั สอื พิมพ์, สมาคม ฯลฯ
แห่งประเทศไทยท้ังห้าสมาคม ได้ตกลงรวมตัวกันเป็นสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์ และได้รวมกันเรียกร้องให้
ยกเลิกประกาศของคณะปฏิรูปฉบับที่ ๔๒ ซึ่งก็ยังไม่ได้ผล สะเทือนความรู้สึกของนักวรรณกรรมไทยอย่างยิ่ง
คือการท่ีนายประเทือง กีรติบุตร ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามในคาส่ังเม่ือ 5 มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๒๓ แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษา ว่ามีเอกสารและสิ่งพิมพ์ต้องห้าม ๙๖ รายการ ซ่ึงจะเห็นว่า
การประกาศ รายชื่อหนังสือต้องห้ามนี้เกิดขึ้น ๓ ครั้งแล้ว คือเมื่อ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ประกาศให้
เอกสารและสิ่งพิมพป์ ระมาณ ๑๐๐ รายการเป็นสิ่งพิมพ์ตอ้ งห้าม และครัง้ ท่ีสองเมื่อ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๐
มีคาส่ังว่ามีเอกสารสิ่งพิมพ์ ๑๐๔ รายการเป็นส่ิงพิมพ์ต้องห้าม และครั้งจนเป็น คร้ังที่สาม รวมมีเอกสารและ
สิ่งพิมพ์ประมาณ ๓๐๐ รายการทถ่ี ูกสัง่ เก็บในชว่ งเวลาทผ่ี า่ นมา หาก จะพจิ ารณาแล้ว จากคาส่งั ลา่ สดุ นจ้ี ะเห็น
วา่ มีหนังสือบางเล่มที่ไม่นา่ จะเขา้ ข่ายดังกลา่ วเช่น ย หนงั สือของนายเสนห่ ์ จามรกิ ชื่อ หลงั ปฏวิ ัตติ ุลา ๒๕๑๖
และของนายชัยอนันต์ สมุทวณชิ ช่ืออุดมการณ์ทางการเมือง ทั้งน้ีเพราะทั้งสองทา่ นเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
ท่ีเขียนหนงั สือดังกล่าว ขึ้นในแง่ตาราวิชาการ และโดยเฉพาะอยา่ งย่งิ คือการท่ีบุคคลทัง้ สองเปน็ ท่ีปรึกษาของ
นายกรฐั มนตรีอกี ดว้ ย
ทางด้านนักเขียนนั้น กลุ่มนักเขียนประเภทประเทืองอารมณ์ก็ได้หนุนเนื่องงานของตน
ออกมาอย่างไม่ขาดสาย ยงขน เช่นการท่ีโสภาค นักเขียนได้ให้ความสาคัญในการหาข้อมูลประกอบการเขียน
ให้สมจริง สุวรรณ ได้เขียนหนักไปทางด้านความซับซ้อนของคนทางด้านจิตวิทยา มากขึ้น, คนหนังสือที่ได้จับ
กลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นเพ่ือพิเคราะห์งานเรื่องสั้นคือกลุ่มวรรณกรรม พินิจ ซึ่งได้ประกาศยกย่องงานเขียน
ประเภทเร่อื งสั้นท่ดี ีเด่นปีละ ๑๐ เรอ่ื ง ทางด้านวารสาร โลกหนงั สือ กไ็ ด้เสนอข่าวคราวเกี่ยวกับหนงั สอื ออกมา
อย่างไม่ขาดสายซ่ึงก็อาจนับได้ว่าวารสาร ฉบับนี้เป็นเสมือนเส้นโลหิตที่นาอาหารด้านความคิดไปหล่อเลี้ยง
องคาพยพ คือคนผู้สนใจด้านนี้ท่ี กระจายอยู่ทั่วประเทศ. แม้ว่าองค์การ ส.ป.อ. จะเลิกล้มไป และมิได้มอบ
รางวลั ทางด้านวรรณกรรม ไทยอีก แต่สมาคมอาเซยี นก็ได้มีบทบาทแทนโดยการคัดเลือกให้รางวัลแก่นักเขียน
ท่ีดีเด่นของแต่ ละชาติประจาปีเรียกว่ารางวัล S.E.A. WRITE AWARD ซ่ึงในปีก่อนผู้ได้รับรางวัลคือนายคาพูน
บญุ ทวี จากเร่ือง ลูกอีสาน และเมื่อ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ น้ีนายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นผู้ได้รับรางวัล
ดงั กล่าวจากหนงั สอื รวมกวนี พิ นธช์ ่ือ เพยี งความเคลื่อนไหว
ประมวล มณีโรจน์ (สัมภาษณ์, ๓ ตลุ าคม ๒๕๖๕) ไดแ้ บ่งยคุ ของวรรณกรรมไวด้ ังน้ี
1. ยคุ โรแมนติก (2470-2510)
วรรณกรรมได้รับอิทธิพลร้อยแก้วจากตะวันตก ผสมผสานระหว่างแนวคิดสมจริง
กับจินตนิยาย และรูปแบบของวรรณกรรม คอื การเลา่ การเขยี น และการแสดง
๓๒
2. ยุคเพื่อชีวติ (2510-2530)
ใช้กลวิธีแนวสมจริงเป็นหลัก แนวคิดสมจริงเป็นหลัก กลุ่มเพื่อชีวิตเข้ามามีบทบาทหลัก
มสี ่ือหลกั คือหนงั สือ มพี ระราชบัญญตั ิการศึกษา รวมทงั้ มสี อื่ อื่นเขา้ มาผสมผสานบา้ ง เชน่ วทิ ยุ
3. ยุคสรา้ งสรรค์ (กลางทศวรรษ 2550)
ส่ือหลักยังเป็นหนังสือ แนวคิดยังสมจริงอยู่ วรรณกรรมมีทั้งนวนิยาย เรื่องส้ัน สื่อมีความ
หลากหลายมาก เช่น ทีวี เคร่ืองเสียงซีดี คอมพิวเตอร์ กลุ่มแนวคิดหลากหลาย และกลวิธีหลากหลายมากขึ้น
รวมถงึ วรรณกรรมยึดถือความเป็นไทย
พัฒนาการของวรรณกรรมปัจจบุ นั มกี ารเปล่ียนแปลงทั้งทางดา้ นเน้ือและรูปแบบ วรรณกรรม
ได้พัฒนาไปตามสภาวะของสงั คมไทยท่ีพัฒนาและเปล่ียนแปลงทุกยุคทุกสมยั ประกอบกับปัจจัยสาคัญที่ทาให้
วรรณกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การขยายระบบการศึกษา การได้รับการศึกษาจากตะวันตก การ
เปล่ียนแปลงแนวคิดทางด้านการเมือง เป็นต้น รวมท้ังการพัฒนาการทางด้านสังคมก็เป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้
วรรณกรรมมพี ฒั นาการไปตามยุคสมยั ของสงั คมไทย
๓.๓ ลกั ษณะของวรรณกรรมปจั จบุ นั
การสังเกตวรรณกรรมว่าแบบใดคือวรรณกรรมในอดีตหรือคือวรรณกรรมปัจจุบัน สังเกตได้จาก
ลักษณะของวรรณกรรม โดยมีลักษณะต่าง ๆ เป็นส่วนสาคัญต่อไปน้ี ได้แก่ รูปแบบ แนวคิดหรือปรัชญาของ
เรอ่ื ง เนือ้ หา กลวธิ ีในการแตง่ วรรณกรรม คุณค่า ตัวละคร ฉาก และตน้ ฉบับ เปน็ ต้น เมอ่ื มีลกั ษณะเหล่านเ้ี ป็น
การบ่งบอกว่าคือวรรณกรรมและแบ่งแยกระหว่างวรรณกรรมในอดีตกับวรรณกรรมปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
ฉะนั้นจงึ ได้ศึกษาวรรณกรรมโดยมลี ักษณะตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้
สายทิพย์ นุกูลกิจ (๒๕๓๗ : ๓๓ - ๓๖) ได้กล่าวเกี่ยวกับลักษณะของวรรณกรรมไทยปัจจุบัน ไว้ดังน้ี
วรรณกรรมไทยปจั จบุ ันมลี กั ษณะเด่นที่ควรกล่าวถึง ๔ ประการ คอื
๑. รูปแบบ วรรณกรรมไทยปัจจุบันมีรูปแบบการแต่งขยายตัวมากขึ้นกว่า วรรณคดีไทยเดิม และแต่
ละรูปแบบยงั ขยายย่อยออกไปได้อีกมาก
๑.๑ ร้อยกรอง ร้อยกรองปัจจุบันมุ่งเน้นในด้านการเสนอข้อคิดเห็นหรือความคิด มากกว่า
การเสนอความไพเราะงดงามตามหลักวรรณศิลป์ของร้อยกรองสมัยก่อน ร้อยกรองปัจจุบันจึงมีขนาดส้ัน ไม่
เคร่งครัดในดา้ นฉนั ทลักษณแ์ ละไมส่ นใจธรรมเนยี มนิยมในการแต่ง นอกจากนย้ี งั นิยมใช้ถ้อยคาง่าย ๆ ในภาษา
พูดที่มีความหมายแจ่มชัด สามารถส่ือความคิดที่กร้าวแกร่งและรุนแรงของผู้แต่งมากกว่าจะนิยมใช้ถ้อยคาใน
ภาษาเขียนท่ีเป็นศัพท์สูง ๆ หรือเพ่งเล็งเร่ืองความไพเราะทั้งในด้านความหมายและเสี่ยงของคาตามแบบร้อย
กรองแบบเก่า สาหรับเน้ือหาจะสะท้อนเรื่องราวเก่ียวกับสภาพสังคมที่แวดล้อมตัวผู้เขียนและผู้อ่านทั้งในด้าน
การเมอื ง การศึกษา และเศรษฐกิจอยา่ งกว้างขวาง
๑.๒ เรื่องสั้น เป็นรูปแบบการเขียนบันเทิงคดีอย่างใหม่ที่ได้รับความ นิยมจากผู้อ่านอย่าง
กว้างขวาง มีลักษณะเป็นร้อยแก้วเรื่องสมมุติท่ีมีขนาดสั้น ผู้แต่งมัก กาหนดให้เนื้อเรื่อง ตัวบุคคลในเร่ือง บท
สนทนา เหตกุ ารณ์และสถานที่ในเร่ืองมีลักษณะ สมจริงตามสภาพชีวิตจริงมากที่สุด โดยมแี นวการเขียนแสดง
ไดห้ ลายแบบ เชน่ ประเภท เนน้ โครงเรอื่ ง ไดแ้ ก่เรือ่ ง เรื่องจับตาย ของ มนัส จรรยงค์ ประเภทเน้นแนวคดิ เช่น
เรื่องหายไปกับลมหายใจ ของ ชาติ กอบจิตติ ประเภทเน้นตัวละคร เช่นเร่ือง มอม ของ ม.ร.ว. คึกฤทธ์ิ
ปราโมช ประเภทเน้นบรรยากาศได้แก่เรื่อง แหลมตะลุมพุก ของ มนัส สัตยารักษ์ เป็นต้นนอกจากนี้อาจแบ่ง
๓๓
ประเภทเร่ืองส้ันตามแนวปรัชญาความคิดตะวันตกออก ไปได้อีกหลายแนว เช่นแนวสัญลักษณ์ (Symbolism)
ได้แก่เร่ือง คนบนต้นไม้ ของ นิคม รายยา แนวธรรมชาตินิยม (Naturalism) ได้แก่เร่ือง ฟ้าโปรด ของ ลาวคา
หอม แนวอตั ถภิ าวะนิยม (Existentialism) ไดแ้ กเ่ รือ่ ง ลกู ชายคนสดุ ท้องของศรีดาวเรือง เป็นต้น
๑.๓ นวนิยาย เป็นรูปแบบการเขียนบันเทิงคดีอย่างใหม่เช่นเดียวกับ เรื่องส้ันแต่มีขนาดยาว
กว่าเพราะผู้แต่งสามารถกาหนดตัวบุคคล เหตุการณ์และสถานท่ีในเร่ืองได้โดยไม่จากัดสุดแต่ผู้แต่งจะเห็นว่า
เหมาะสม มีแนวการเขียนแสดงได้หลายแบบ เชน่ ประเภทพาฝัน ได้แกเ่ รือ่ ง สลกั จติ , คาอธษิ ฐานของดวงดาว,
ในฝนั ประเภทชีวติ ครอบครัว ไดแ้ กเ่ รอื่ ง ดอกฟา้ และโดมผูจ้ องหอง, ไม้ผลัดใบ ประเภทจติ วทิ ยา ได้แก่เรอ่ื ง ไร้
เสน่หา, เงาราหู, โอ้มาดา, มายา ประเภทลูกทุ่ง ได้แก่เรื่อง แผลเก่า, ทุ่งมหาราช, ลกู อีสาน ประเภทราชสานัก
ไดแ้ ก่เร่ือง สแ่ี ผน่ ดนิ , ร่มฉตั ร
ประเภทการเมือง ได้แก่เรื่อง ไผแ่ ดง, ทาไม, ผมที่เปล่ียนทาง, ทางน้าเงิน นอกจากน้ี
อาจแบง่ ตามแนวปรัชญาความคิดตะวันตกออกไปได้ เช่น
แนวโรแมนตกิ (Romanticism) เชน่ เร่ือง เลือดขตั ตยิ า, หน้ีรัก
แนวสจั นิยม (Realism) เช่นเร่ือง นีแ่ หละโลก, หญงิ คนช่ัว, เรอื มนุษย์ (glas
แนวสัจนิยมใหม่ (Neo-Realism) เช่นเรือ่ ง ขบวนการเสรจี ีน, พิราบแดง
แนวธรรมชาตนิ ิยม (Naturalism) เช่นเร่ือง เหยอื่ , คาพิพากษา
๑.๔ บทละครพูด คือบทละครที่ไทยได้รบั อิทธิพลจากตะวันตก ใน รัชกาลท่ี ๕ บทละครพดู น้ี
มักแต่งเป็นร้อยแก้วเรื่องสมมุติ เพื่อใช้แสดงบนเวทีโดยกาหนดให้ตัวละครดาเนินเร่ืองในรูปของบทเจรจา
ในยุคปัจจุบัน ละครพูดพัฒนาเป็นละครพูดสมัย ใหม่ นยิ มแสดงและเผยแพร่กันเฉพาะในกลุ่มผู้ท่ีสนใจ ซ่ึงมัก
เป็นผู้ที่มีการศึกษาสูงเท่าน้ัน โดยได้บทมาจากการแปล และแปลงบทละครต่างประเทศ เช่น “อวสานของ
เซลสแ์ มน” “รถรางคันนนั้ ชือ่ ปรารถนา” “เกิดเปน็ ตัวละคร” ฯลฯ ต่อมานกั เขียนไทยได้สนใจคิดแต่ง เรอ่ื งขึ้น
เอง เช่น “โลกของเปี่ยม” ของ รัศมี เผ่าเหลืองทอง “ช้ันที่เจ็ด” ของ สุชาติ สวัสด์ิศรี “ฉันเพียงแต่อยากจะ
ออกไปขา้ งนอก” ของ วิทยากร เชียงกูล “นักรบอสจุ ิ และ “ลมหายใจแห่งศตวรรษ” ของ สุวัฒน์ ศรีเชื้อ ฯลฯ
บทละครสมัยใหม่จึงมีท้ังที่เป็น บทละครแปล บทละครแปลง และบทละครที่คนไทยคิดแต่งขึ้นเอง แต่ใช้
วธิ ีการแสดงออกตามแบบตะวันตก เช่น การใช้สัญลักษณ์ และการเสนอแนวคิดแบบใหม่ ๆ เป็นต้น และด้วย
เหตุดังกล่าวนเี้ อง บทละครสมัยใหมบ่ างเรื่องจึงมิได้มงุ่ เขียนเพื่อนาไปใช้ในการ แสดงจริง ๆ หากแตม่ ุ่งเขยี นขึ้น
เพอ่ื ใหบ้ ทละครเป็นเคร่ืองมือในการสื่อความคิดของผแู้ ต่งไปยังผูอ้ ่าน เช่นเดียวกับการเขยี นในรปู แบบของเรอ่ื ง
สนั้ นวนิยาย หรอื สารคดีดว้ ย เชน่ เรือ่ งลมหายใจแหง่ ศตวรรษ ของ สุวัฒน์ ศรเี ช้อื เป็นตน้
๑.๕ สารคดี เป็นรูปแบบการเขียนร้อยแก้วท่ีมุ่งเน้นเร่ืองข้อเท็จจริง หรือความคิดเห็นเป็น
อันดับแรกเนน้ เร่ืองความเพลิดเพลินเปน็ อันดับรอง สารคดีอาจแยกประเภทได้หลายแบบ แล้วแต่ว่าจะใช้อะไร
มาเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง เช่น แบ่งตามขนาดของสารคดี ได้เป็น ๒ ประเภท คือสารคดีขนาดสั้น ได้แก่
บทความ บทบรรณาธิการ และสารคดีขนาดยาว เช่น สารคดีทอ่ งเที่ยว ฯลฯ แบ่งตามลกั ษณะเนอื้ หาออกเป็น
๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ สารคดีเชิงวิชาการ แขนงต่าง ๆ เช่น สารคดีประเภทจิตวิทยา สารคดีประเภ ท
วิทยาศาสตร์ สารคดีประเภท ประวัติศาสตร์ ฯลฯ กับสารคดีเชิงบันทึกประสบการณ์ เช่น สารคดีท่องเท่ียว
สารคดี ชีวประวัติ เป็นต้น หรือแบ่งตามลักษณะการเขียนออกได้เป็นบทความ ความเรียง และสารคดปี ระเภท
เรอื่ งเล่าจากประสบการณ์ เปน็ ตน้
๓๔
๒. แนวคิดหรือปรัชญาของเร่ือง วรรณคดีไทยเดิมส่วนใหญ่มักเสนอแนว คิดตามแนวจินตนิยมและ
อุดมคตินิยม เพราะยึดเอาพุทธปรัชญาและจินตนาการของผู้แต่งเป็นแกนสาคัญของเรื่อง แต่วรรณกรรมไทย
ปัจจุบันกลับนิยมเสนอแนวคิดตามหลักปรัชญาของวรรณกรรมตะวันตก โดยเฉพาะวรรณกรรมประเภท
นวนยิ าย เรือ่ งสน้ั บทละครพูด และบทร้อยกรอง เช่น เสนอความเป็นจริงทุกแง่ทุกมุมตามแนวคิดแบบสัจนิยม
(Realism) ได้แก่ นวนิยายเร่ืองผู้หญิงคนนั้นช่ือบุญรอด ของ โบต๋ัน ความทุกข์ยาก ความร้ายกาจของชีวิต
เสนอภาพชีวติ ที่เน้นเรื่องตามแนวคิดแบบธรรมชาตินิยม (Naturalism) ได้แก่ เรอื่ งสนั้ ชุดฟ้าบก่ ้ัน ของ ลาวคา
หอม เสนอเร่ือง โดยใช้สัญลักษณ์ตามแนวคิดแบบสัญลักษณ์นิยม (Symbolism) ได้แก่ นวนิยายเร่ือง ทางน้า
เงิน ใช้แนวปรัชญาทแ่ี สดงถงึ ความมีอิสระเสรีของมนษุ ย์ในการเลือก ของ สิทธิไชย เพ่ือการดารงชีวติ แทนทจ่ี ะ
ยอมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์หรือเง่อื นไขของสงั คมตามแนวคดิ แบบอัตถภิ าวะนิยม (Existentialism) ได้แก่ เรอื่ งส้ัน
เรื่องถนนสายที่นาไปสู่ความตาย ของวิทยากร เชียงกูล และบทละครเรื่อง อันตราคนี ของมัทนี รัตนิน หรือ
เสนอแนวคิดแบบเหนือจริง ตามแนวคิดเหนือจริง (Surrealism) ได้แก่ บทละครพูดสมัยใหม่เร่ือง ลมหายใจ
แห่งศตวรรษ ของสวุ ฒั น์ ศรีเชอื้ เป็นต้น
๓. เนื้อหา เน้ือหาของวรรณกรรมไทยปัจจุบันมีลักษณะต่างจากวรรณกรรม ในอดีตตรงที่เนื้อหาส่วน
ใหญ่จะเป็นเร่ืองราวของสามัญชน ซึ่งมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ใน สังคมเหมือนชีวิตจริง ๆ โดยมีฉาก
ในท้องเรื่องเป็นสภาพจาลองของสังคมปัจจุบัน ซ่ึงผู้อ่านสามารถรู้และเข้าใจได้โดยง่าย วรรณกรรมในยุค
ปัจจุบันจะไม่นิยมกล่าวถึงเรื่องนรกสวรรค์ เขาพระสุเมรุ ฯลฯ ซ่ึงเป็นแดนที่ไม่มีใครเคยพบเห็นหรือกล่าวถึง
เรื่องราวที่ไกลตัวผู้อ่านแต่จะหันมากล่าวถึงเร่ืองราวต่างๆ ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวผู้อ่านแทน เช่น เรื่องการเมือง
กฎหมาย ภาวะเศรษฐกจิ การตดิ ต่อกบั ต่างประเทศ การจราจร การธนาคาร เปน็ ตน้
๔. กลวิธีในการแต่ง วรรณกรรมปัจจุบันโดยเฉพาะนวนิยายเรื่องสั้นและ บทละครมีกลวิธีการแต่งท่ี
ชวนให้น่าติดตามอย่างมากมาย เช่น การเปิดเร่ือง อาจเร่ิมด้วยการ บรรยายฉาก การแนะนาตัวละคร การยก
สภุ าษติ คาคม หรือการใช้บทสนทนา เป็นต้น สาหรบั การดาเนินเรอื่ งที่นา่ สนใจ อาจใชว้ ธิ ีการเลา่ เรอ่ื งย้อนหลัง
การให้ตัวละครผลัดกัน เล่าเรื่อง หรือการใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ เสนอแนวคิดของเร่ือง เป็นต้น ส่วนวิธีการปิด
เร่ืองให้ประทบั ใจผูอ้ ่าน อาจทาได้โดยปดิ เร่อื งแบบหกั มุมหรือพลิกความคาดหมาย ปิดเร่ืองแบบให้ตัวละครเอก
พบท้ังความสมหวังและผิดหวังเหมือนในชีวิตจริง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกลวิธีอ่ืน ๆ อีกหลายประการ เช่น
การสร้างตัวละคร การแนะนาตัวละคร การเล่าเร่ือง การทาบทสนทนา การสร้างฉากและบรรยากาศ เป็นต้น
ซ่งึ กลวิธตี ่าง ๆ ดังกลา่ วนลี้ ้วนเปน็ กลวิธีที่ไทยเราได้รบั อทิ ธพิ ลมาจากวรรณกรรมตะวันตกท้ังสนิ้
ธวชั ปุณโณทก (๒๕๒๗ : ๑๒ - ๑๔) กลา่ วถึงลักษณะของวรรณกรรมปัจจบุ นั ไวด้ ังนี้
๑. ความเป็นสิทธิ์เจ้าของงแห่งวรรณกรรม สร้างสรรค์มาเพื่อตอบสนองความต้องการชนทุก
ระดับชน้ั ระดับความรู้ ฉะนนั้ จึงนิยมสานวนโวหารท่ีมีความงามแบบเรยี บงา่ ยและชัดเจน
๒. ด้านเนอื้ เรื่อง มแี นวคดิ ในการสร้างแบบสัจนิยม คือเป็นเร่ืองในสังคมมนุษยส์ ะทอ้ นให้เห็น
สภาพชวี ติ และสังคมในปัจจบุ ัน เปน็ เร่อื งใกลต้ ัวซงึ่ ผู้อา่ นสามารถทราบและเห็นตามได้
๓. แนวการเขียน มีแนวการเขียนไม่ซ้ากัน นักประพันธ์พยายามเสนอกลวิธีในการวางโครง
เรือ่ งในรูปแบบต่าง ๆ ไมซ่ า้ กัน เพ่ือสรา้ งความต่ืนตาตื่นใจแก่ผู้อ่านทกุ ข้ันตอน
๓๕
๔. คณุ ค่าวรรณกรรม ยึดโครงเรอื่ งสาคัญกวา่ อรรถรส คือเพ่งเลง็ ศิลปะในการดาเนนิ เรือ่ งเป็น
สาคัญ ส่วนภาษาสานวนโวหารเป็นเพียงส่วนประกอบ แต่เน้นความงามแบบเรียบง่ายและชัดเจนเพ่ือท่ีจะให้
คณุ ค่าทางปัญญาแกผ่ อู้ ่าน
๕. ตัวละคร ตัวละครสว่ นใหญ่เปน็ สามญั ชน ไมจ่ ากดั อาชพี ฐานะ และกล่าวถึงสงั คมจรงิ ตาม
ตัวละคร เช่น ในครอบครัวชนชน้ั สูง คนยากจน ชวี ิตชาวชนบท เปน็ ตน้
๖. ฉากในท้องเรือ่ ง มฉี ากเป็นสังคมมนษุ ยจ์ ริง
๗. ความเช่ือ ใช้ความเชื่อที่เป็นวิทยาศาสตร์มากข้ึนในการดาเนินเร่ือง ฉะนั้นจึงละเว้น
อภินิหาร เวทมนตร์คาถาอาคมในการดาเนนิ เรื่อง และนยิ มแนวจติ วทิ ยาอีกด้วย
๘. กลวิธีการประพันธ์และการเขียน เขียนเป็นร้อยแก้ว เพ่ือสื่อความหมายส่ือความคิดถึง
ผูอ้ า่ นไดด้ โี ดยมุ่งทีจ่ ะให้ชนทกุ ชั้นอ่าน
๙.ต้นฉบับ มีต้นฉบบั (พมิ พ์) จึงแพรห่ ลายสปู่ ระชาชนทุกฐานะ
ประมวล มณีโรจน์ (สมั ภาษณ์, ๑๑ กันยายน ๒๕๖๕) ไดก้ ล่าวถงึ ลักษณะของวรรณกรรมปจั จบุ นั ไวว้ ่า
วรรณกรรมเป็นงานเขียนในลักษณะเรื่องเล่า เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ แต่มีศิลปะสูงกว่าความเป็นวิชาการ
ซึง่ ศลิ ปะคือกลวิธีในการเขยี น ส่วนความเป็นวิชาการคือความรู้และความคิดที่ผเู้ ขียนต้องการจะสื่อไปถึงผอู้ ่าน
โดยท่ีความเปน็ วิชาการนีจ้ ะเปลย่ี นแปลงไปตามยุคสมัยตา่ ง ๆ
ลักษณะวรรณกรรมปัจจุบันมีความทันสมัยมากขึ้นจากวรรณกรรมในอดีต อีกท้ังมีความเปล่ียนแปลง
ในทกุ ด้าน ผู้คนสามารถเขา้ ถึงวรรณกรรมไดท้ ุกชนชั้น และเน้อื หาท่เี ข้าใจงา่ ย ชดั เจน เหมาะแก่ผู้อ่านทุกวยั อีก
ด้วย จากการศึกษาพบว่า ลักษณะเด่นของวรรณกรรม จะอยู่ในด้านของรูปแบบ เน้ือหา กลวิธีการแต่ง
และแนวคดิ ของวรรณกรรม ในแตล่ ะด้านเหลา่ นี้ทาให้เห็นว่าเป็นวรรณกรรมอยา่ งถอ่ งแท้
๓.๔ แนวคิดของวรรณกรรม
แนวคิดอันเป็นความคิดสาคัญซ่ึงเป็นแนวในการผูกเร่ืองหรือความคิดอ่ืน ๆ ที่มีหลักการและเหตุผล
ประกอบเข้าด้วยกัน ทาให้มีความน่าเช่ือถือมากย่ิงข้ึน ดังแนวคิดของวรรณกรรม ผู้คนได้ให้แนวคิดเก่ียวกับ
วรรณกรรมไว้มากมาย โดยแนวคิดของแต่ละคนเป็นแนวคิดที่สะท้อนความจริง รวมไปถึงความคิดของตนเอง
แทรกซมึ ไปดว้ ย และมีหลกั การท่อี า้ งองิ ได้อย่างชัดเจน จึงได้มกี ารกล่าวถึงแนวคิดของวรรณกรรมไวด้ ังต่อไปนี้
สายทิพย์ นุกูลกิจ (๒๕๓๗ : ๔๕) กล่าวถึงแนวคิดหรือปรัชญาของเรื่องไว้ว่า วรรณกรรมไทยยุค
ปัจจุบัน จะสะท้อนความเชื่อที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น และนิยมสะท้อนแนวคิดที่เป็นแบบสัจ จนิยม
(Realism) มากกว่าวรรณกรรมในอดีต ขณะเดียวกันก็นาความรู้เชิงจิตวิทยามาใช้วิเคราะห์ตัวละครด้วยผู้แต่ง
วรรณกรรมไทยปัจจุบันจึง ไม่นิยมนาเร่ืองอภินิหารมาเป็นตัวดาเนินเรื่อง หรือนิยมกาหนดให้ตัวละครปล่อย
ชีวิตไปตาม ยถากรรม เพราะถือว่ามนุษย์ต่างหากทเ่ี ป็นผู้กาหนดชะตาชีวิตของตนเอง หาใช่พระเจ้า หรือพระ
พรหมเป็นผู้ลิขิต ด้วยเหตุนี้ผู้แต่งวรรณกรรมปัจจุบันจึงมักให้ตัวละครมีความคิดที่จะต่อสู้กับโชคชะตาด้วย
ความรู้ความสามารถของตัวละครเอง เพื่อจะได้มีสภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น บุญรอด ในนวนิยายเรื่อง
“ผู้หญิงคนน้ันช่ือบุญรอด” ของโบต๋ัน เป็นต้น ส่วนปรัชญาท่ีแฝงอยู่ในวรรณกรรมยุคปัจจุบันนี้จะพบว่า
นอกจากจะเป็นพุทธปรัชญาตามอย่างวรรณกรรมไทยแบบเดิมแล้ว ผู้แต่งยังนิยมนาปรัชญาใหม่ ๆ ของ
ตะวันตกมาสะท้อนในวรรณกรรมไทยด้วย เช่น แนวคิดแบบธรรมชาตินิยม (Naturalism)ในเรื่อง ส้ันชุดฟ้า
บ่ก้ัน ของลาวคาหอม แนวคิดแบบอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) ในเร่ืองส้ัน เร่ืองบทสนทนาทางโทรศัพท์
๓๖
ในค่าคืนแห่งความว้าเหว่ ของวิทยากร เชียงกูล และแนวคิดแบบสัญลักษณ์นิยม (Symbolism) ในเร่ืองสั้น
เร่อื งคนบนต้นไม้ ของ นคิ ม รายวา เปน็ ต้น
ธวัช ปุณโณทก (๒๕๒๗ : ๐๖) ได้กล่าวถึงแนวคิดปรัชญาชีวิตสังคมและการเมืองอันปรากฏอยู่ใน
วรรณกรรมไว้ว่า แนวคิดปรัชญาชีวิตสังคมและการเมืองอันปรากฏอยู่ในวรรณกรรม ซ่ึงหมายถึงคตินิยม หรือ
แก่นของเรื่อง (Theme) น่ันเอง เราจะเห็นได้ว่าคตินิยมของเรื่องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อนักเขียนเป็น
ชาวบา้ นสามัญ การเสนอทศั นะต่อสังคมจงึ เป็นแบบมโนทัศน์ร่วม ซง่ึ ต่างกับวรรณกรรมสมัยอดีตท่ีใหท้ ัศนะต่อ
สังคมแบบผู้มีอภิสิทธิ์เหนือสังคมมองเห็น ฉะน้ันจึงไม่เป็นข้อเท็จจริงตามทัศนะของสังคมโดยส่วนรวมในสมัย
นั้นยุคนั้น (ยุคที่วรรณกรรมถือกาเนิดมา) การมองสังคมจะเห็นสังคมแบบชนช้ันเป็นสิ่งธรรมดา (แต่ถ้าผู้เขียน
เป็นชนช้ันต่าหรือทาสในสมัยน้ันจะเสนอคตินิยมในวรรณกรรมให้เห็นว่าระบบชนชั้นนั้นเลวร้ายมาก)
วรรณกรรมปัจจุบันจึงเน้นให้เห็นระบบสังคมแบบเสมอภาพ ไม่มีชนชั้น และในบางโอกาสยังแสดงให้เห็นถึง
การต่อต้านแนวคดิ สังคมแบบชนชนั้ (ก.ศ.ร.กุหลาบ) เป็นต้น
รื่นฤทยั สัจจพันธ์ุ (๒๕๓๐ : ๐๓ – ๐๔) กลา่ วถงึ แนวคิดหรือปรัชญาของเรื่องไวว้ า่ วรรณกรรมปจั จบุ ัน
โดยเฉพาะนวนิยายเรื่องส้ันมีกลวิธีการเสนอเรื่องให้น่าติดตามอย่างมากมาย ต้ังแต่การเปิดเร่ือง ปิดเร่ืองให้
นา่ สนใจและประทับใจ การเล่ายอ้ นหลัง การสร้างตัวละคร การแนะนาตัวละคร การใช้สัญลักษณ์ ฯลฯ กลวิธี
การเสนอเรื่องอีกอย่างหน่ึงทน่ี ่าสนใจคือการเสนอเร่ืองด้วยแนวคิดหรือปรัชญาแบบใดแบบหนึ่งหรอื ปนกนั แต่
วรรณกรรมในอดีตส่วนใหญ่มักเสนอเรื่องในแนวโรแมนติค และไอดีลิสติก (Idealism) แต่วรรณกรรมปัจจุบัน
เสนอแนวคิดอันเป็นความเคลื่อนไหว ของวรรณกรรมตะวันตกมากแบบขึ้น เช่น เสนอความเป็นจริงทุกแง่ทุก
มมุ ได้แก่ แนวคิดแบบ สัจนิยม (Realism) เช่น ตะวันตกดิน ละครแห่งชีวิต หนึ่งในร้อย เสนอภาพชีวิตท่ีเน้น
เรื่อง ความทุกข์ยากร้ายกาจของชีวิต ได้แก่ แนวคิดแบบธรรมชาตินิยม (Naturalism) เช่น เรื่อง ส้ันของลาว
คาหอม เสนอเร่ืองโดยใช้สัญญลักษณ์ ได้แก่ แนวคิดแบบสัญลักษณ์นิยม เช่น แดง รวี ของ รงค์ วงศ์สวรรค์
รถไฟเด็กเล่น ของ สุชาติ สวัสดศิ์ รี ใช้แนวปรัชญาท่แี สดงถึงอิสระเสรีของมนษุ ย์ในการเลือกเพ่ือการดารงชีวิต
แทนท่ีจะอยูด่ ้วยกฎเกณฑก์ รอบหรือเง่ือนไขใด ได้แก่ แนวคิดแบบท่ีเรียกว่า Existentialism เช่นชั้นท่ี 7 ของสุ
ชาติ สวัสดิ์ศรี ฉันเพียงแต่อยากจะออกไปข้างนอก และถนนสายที่นาไปสู่ความตายของวิทยากร เชียงกูล
แนวคิดแบบเหนือจริง (Surrealism) เช่น เร่ืองส้ันและบทละครของ สุวัฒน์ ศรีเชื้อ แนว คิดใหม่ ๆ เหล่านี้
นับเป็นการสรา้ งความกา้ วหนา้ และทาใหว้ รรณกรรมปจั จบุ ันมีแนวการเขียนแปลกใหม่หลากหลายยิ่งขึ้น
อุดม รุ่งเรืองศรี (๒๕๒๒ : ๑๐) กล่าวถึงแนวคิดของวรรณกรรมปัจจุบันไว้ว่า แนวคิดส่วนใหญ่เป็น
แบบสัจจนิยม คือ พยายามสร้างงานเขียนให้สมจริงกับที่เป็นอยู่ในธรรมชาติหรือชีวิตจริง การเขียนท่ีตรงกับ
ความจริงมากเท่าใดก็ดเู หมอื นว่าจะไดร้ ับความนยิ มมากเทา่ นน้ั
ประมวล มณีโรจน์ (สัมภาษณ์, ๓ ตุลาคม ๒๕๖๕) วรรณกรรมปัจจุบันจะมีแนวคิดในลักษณะที่เป็น
แบบใหม่ ต่างจากวรรณกรรมในอดีตหรือวรรณกรรมท้องถ่ินที่มีแนวคิดในลักษณะการเขียนเกี่ยวกับเรื่องราว
ของบ้านเกิด ครอบครวั สิง่ ใกลต้ ัว หรือเรื่องทอ่ี ยู่ในชวี ิตประจาวัน
วรรณกรรมปัจจุบันได้รับแนวคิดจากตะวันมากข้ึนจนเกิดการเปลี่ยนแนวคิดวรรณกรรมของไทยเป็น
อย่างมาก จากแนวคิดตะวันตกจะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริง ความสมจริง มากกว่าแนวคิดที่เป็น
๓๗
การจินตนาการ เพ้อฝัน เกินความจริงแบบในวรรณกรรมในสมัยก่อน ส่งผลให้นักเขียนมีการเขียนเนื้อหาท่ี
ความเป็นวิทยาศาสตร์ ผนวกไปด้วยจิตวิทยา เนื้อหาวรรณกรรมจึงมีความน่าสนใจ น่าเช่ือถือ และเข้าถึงคน
ทุกชนชั้นไดม้ ากขึน้ จนไดร้ บั ความนยิ มล้นหลาม ฉะน้นั เนอื้ หาวรรณกรรมปัจจบุ ัน เปน็ เนอื้ หาท่ีเขียนเก่ียวกบั สิ่ง
ใกล้ตัว หรือสงั คมที่คนสว่ นมากพบเจอ ทาใหเ้ กิดขอ้ คดิ เตอื นสติคนในสังคมทกุ เพศ ทุกวยั
๓.๕ กลวิธใี นการแตง่ วรรณกรรม
กลวิธีในการแต่งเป็นเทคนิคหรือลูกเล่นของผู้เขียนที่ใช้ในการแต่งวรรณกรรมเพ่ือให้มีความน่าสนใจ
และจูงใจให้ผู้อ่านเกดิ ความอยากอ่าน เพ่มิ ความเพลดิ เพลนิ มากย่งิ ขึ้น วรรณกรรมในอดีต เรียกว่า กลวธิ ีในการ
ประพันธ์ เน่ืองจากมีรูปแบบเป็นร้อยกรอง ต่อมาเมื่ออิทธิพลตะวันตกเข้ามามากขึ้น ทาให้รูปแบบการเนื้อหา
ของวรรณกรรมเปล่ียนเป็นรูปแบบร้อยแก้ว จึงมีการเรียกโดยรวมว่า กลวิธีในการแต่งวรรณกรรม ซ่ึงมีการให้
ความหมายและแบ่งประเภทของกลวธิ ีในการแต่งวรรณกรรม ไว้ดังน้ี
ธวัช ปุณโณทก (๒๕๒๗ : ๖) กลา่ วไว้ว่า กลวธิ ีในการประพันธ์ได้มีการเปล่ียนแปลงจากเดมิ กลา่ วคือ
นิยมใช้ร้อยแก้วในการดาเนินเรื่อง เพราะอ่านง่ายเข้าใจง่ายในสมัยเร่ิมต้นอาจจะดาเนินเรื่องโดยการเล่าเรื่อง
แต่ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นบทสนทนาผสมกับการเล่าเร่ือง ซึ่งทาให้ผู้อ่านมีความรู้สึกว่าวรรณกรรมน้ันมี
ความใกลช้ ิดกับชีวติ จริงของสงั คมยิง่ ขึน้
รื่นฤทัย สัจจพันธ์ุ (๒๕๓๐ : ๔๘) ได้แบ่งกลวิธีการแต่งวรรณกรรมไว้ ๔ ประเภท ได้แก่ สารคดี
นวนยิ าย เร่ืองสนั้ และกวีนพิ นธ์
๑. สารคดี
๑.๑ การวางโครงเรื่อง เรียงลาดับความสาคัญ เร่ิมเร่ืองจบเร่ืองอย่างเรียกร้องความสนใจให้
ตามอ่าน
๑.๒ สานวนภาษา ชวนอ่าน เข้าใจง่าย สละสลวย ยากง่าย หรือเหมาะสมกับระดับผู้อ่าน
หรอื มีลลี าการเขยี นสรา้ งอารมณ์ร่วมให้แกผ่ ู้อ่าน
๑.๓ มี “เกร็ด” ท้ังความรู้ ความคิด นิทาน มุขตลก ตัวอย่างแง่คิดชวนขัน แทรกไว้ในที่
เหมาะสม ทาให้ผูอ้ ่านได้รับความรู้และความเพลิดเพลนิ
๒. นวนิยาย
นวนิยายเป็นวรรณกรรมคือผลิตผลหรือการแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจ ความนึกคิด
หรือทัศนะของผ้เู ขยี น ฉะนน้ั จงึ ต้องมีกลวิธีการเขยี นเพอื่ ถา่ ยทอดความนึกคิด มีทง้ั หมด ๓ ด้าน ดังนี้
๒.๑ ด้านกลวิธีการดาเนินเร่ือง เช่น ดาเนินเร่ืองตามลาดับเหตุการณ์ ใช้กลวิธีการย้อนเรื่อง
ไปมา ใชว้ ิธกี ารเล่าด้วยจดหมาย การเลอื กผเู้ ลา่ เรอื่ ง ฯลฯ
๒.๒ ด้านแนวคิด เช่น แนวคิดสัจนิยม สัญลักษณ์นิยม ธรรมชาตินิยม หรือแบบเหนือจริง
(SUR ความสมจริง) ทัศนะของผู้ประพนั ธ์
๒.๓ สานวนภาษา มีศลิ ปะการแต่งอีก ๒ ประการ คอื
๒.๓.๑ ความคิดริเริ่ม เป็นเรื่องยากจะบอกได้เพราะนักเขียนมักจะรับอิทธิพลซ่ึงกันและกัน
ผู้อ่านต้องทาใจกว้างว่าถ้างานช้ินใดมีลักษณะเฉพาะตัว ( UNIGUENESS) ก็นับว่าเป็นความคิดริเร่ิม
เพราะอาจจะมนี ักเขยี นหลายคนแต่งเร่ืองทานองเดียวกนั หรือคลา้ ยกัน แตม่ ีความเป็นตัวของตัวเอง มอี ารมณ์
๓๘
ทัศนคติเป็นของตนเอง ฉะนั้นอาจจะไม่ใช่ของใหม่ถอดด้าม อาจเป็นของเก่ามาเล่าใหม่ด้วยลักษณะเฉพาะตัว
ก็ได้
๒.๓.๒ มีเอกภาพ (COHERENCE) หมายถึงความกระชับรัดกุมของโครงเรื่อง
และการดาเนิน เร่ือง การสร้างและการกาหนดตัวละคร บทสนทนา ฉาก และรายละเอียดอ่ืน ๆ ต้องสัมพันธ์
และสอดคลอ้ งกลมกลนื กนั
๔. เร่อื งสั้น
๔.๑ โครงเร่ืองไม่ยึดเอกภาพในลักษณะเดิม ที่ประกอบด้วยนาเรื่อง เนื้อเร่ือง ตอนสรุป
แต่จะยึด “สถานการณ์” ของตัวละครมาเป็นจุดดาเนนิ เร่ือง การเร่ิมเรื่องจงึ ไม่จาเป็นตอ้ งเรยี กร้องความสนใจ
ผู้อ่านเชน่ ในแบบเดิม และการจบเรอื่ งไมย่ ึดหลกั หกั มมุ เสมอไป
๔.๒ จดุ ม่งุ หมายของเรือ่ งไม่จาเป็นต้องแสดงผลท่เี กิดขึน้ แต่อย่างเดียว แตจ่ ะท้งิ คา้ ง ให้ผอู้ ่าน
คดิ เอาเองได้หลายอย่าง การดาเนินเรือ่ งและบุคลิกของตัวละคร มักแสดงถึง “ความคลุมเครือ” (AMBIGUITY)
ของชีวิตมนุษย์บนโลกสมัยใหม่ อันเป็นอิทธิพลมาจากวรรณคดีร่วมสมัยของยุโรป โดยเฉพาะงานของฟรานซ์
คาฟก้า เจมส์ จอยซ์ และกลุม่ เอกซิสเทน เชยี ลลสิ ม์ (EXISTENTIALISM)
๔.๓ เวลาและสถานที่ท่ีเกิดข้ึนในเรื่องไม่กาหนดลงไปแน่ชัด แต่จะปล่อยให้ความรู้สึก ของ
ผอู้ ่านเป็นเครอื่ งกาหนดตามเหตกุ ารณ์ โดยเฉพาะเร่ืองทีเ่ ขียนในแนวนิยายวทิ ยาศาสตร์ เวลาที่กาหนดในเรื่อง
จะไรข้ อบเขตมากขึ้น
๔.๔ ตวั ละครไม่กาหนดแนช่ ัดวา่ เป็นใคร มาจากไหน ผอู้ ่านจะรู้มากขนึ้ เร่อื ย ๆ เมื่อ ตามอา่ น
ว่าเขากาลังจะทาอะไร
๔.๕ ขนาดของเรื่อง คาพูดที่ใช้ในเรื่อง ขึ้นอยู่กับเอกลักษณ์ของนักเขียนแต่ละคน ไม่ถือเอา
มาตรฐานแบบเก่ามาใช้วัดความสมบรู ณข์ องเรอื่ ง
๔.๖ การดาเนินเรื่อง มีกลวิธี “ย้อนกลับสู่อดีต” และ “เดินทางไปสู่อนาคต” เพิ่มเข้ามา
พรอ้ มกบั กลวิธี “ยอ้ นกลบั ไปกลบั มา” (FLASH BACK)
๔.๗ การบรรยาย การทาบทสนทนา การแสดงความคิด มลี ักษณะดึงเอาจติ ใต้สานึก มาตแี ผ่
ทานอง “เปิดเผยตัวเอง” (SELF-REVELATION) มากขึ้น สิ่งท่ี “ถูกเอามาบรรยาย น้ันเป็นวิธีการวิเคราะห์ถึง
แรงกระตุ้นและปฏิกริยาโต้ตอบของอารมณ์ประเภทต่าง ๆ ทานอง คล้ายกับเป็น “คาสารภาพ” หรือ
“การแอบมองเรื่องของคนอ่ืน” (VOYEURISM) มักใช้ วิธีการปล่อยให้ภาษาของจิตใต้สานึกพร่ังพรูออกมา
(STREAM OF CONSCIOUSNESS) หรือออกมาในลักษณะของ MONOLOGUE คือตัวละครพูดกับตัวเอง
ลกั ษณะบทสนทนาทมี่ กั จะใช้ “เลขนอก เลขใน” กากับกจ็ ะใชว้ ิธี “การบรรยายบทสนทนา” แทนกวีนพิ นธ์
๕. กวนี พิ นธ์
๕.๑ ฉันทลักษณ์ ความเปลี่ยนแปลงในด้านฉันทลักษณ์ในระยะแรก ๆ เห็นไม่เด่น ชัดนัก
เพราะเคยนิยมแต่งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ร่าย ลิลิต ฯลฯ กันมาอย่างไร หลังจากการรับอิทธิพลตะวันตก
มาแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ยังนิยมแต่งกวีนิพนธ์โดยใช้ฉันทลักษณ์ตามแบบเดิม ยังไม่มีใครคิดแต่ง
ฉนั ทลักษณ์แบบใหม่ให้จริงจัง ดูจะใช้รูปแบบฉันทลกั ษณ์น้อยกว่าในอดีตด้วยซ้าไป อย่างเช่น ฉันท์ ลลิ ิต ฯลฯ
ไม่นิยมแต่งกันมากนัก เพราะแต่งยากและจะแต่งให้ไพเราะย่ิงยากขึ้นไปอีก ฉะนั้นหากมิได้เป็นการแต่งเพ่ือ
ประกวด หรือแตง่ เพื่อโอกาสพิเศษ เช่นเป็นบทอาศิรวาทแล้วก็มักไม่คอ่ ยนิยมแต่งกันนัก อย่างไรก็ตามในเร่ือง
๓๙
การแต่งฉันท์ก็นา่ บนั ทึกไวด้ ว้ ยว่ามกี วีในแนวเพอื่ ชีวติ บางคนแสดงความสามารถในการแต่งฉันท์ใหม้ ีเนือ้ หาเพื่อ
ชีวิตและมีคุณค่าด้านศิลปะการแต่งไม่แพ้กวีที่นิยมแต่งฉันท์ในอดีต น่ันคือ นายผี (อัศนี พลจันทร์) และจิตร
ภูมิศักดิ์ นายผีแต่งคาฉันท์เรื่องยาวเรื่อง “เรา ชะนะแล้ว, แม่จ๋า” โดยใช้สัททุลวิกกีฬิตฉันท์อันเป็นฉันท์ท่ี
มกั จะแตง่ เป็นบทไหว้ครู และกาพยย์ านี กาพยฉ์ บงั นายผี เปน็ กวีทม่ี ฝี มี ือถงึ ข้ันน่ายกย่องมากคนหนงึ่
๕.๒ กลวิธีนาเสนอ ร้อยกรองปัจจุบนั มกี ลวิธนี าเสนอแปลก ๆ หลายอยา่ ง เชน่
๕.๒.๑ มีการใช้สัญลักษณ์ เช่น ในกลอนเปล่า ชื่อ สวนดอกไม้ ของ จ่าง แซ่ต้ัง
“ดอกไม”้ นัน้ เปน็ สัญลกั ษณก์ ินความกว้างถึงเยาวชนทมี่ จี ติ ใจบริสุทธ์ิ
๕.๒.๒ การตั้งคาถาม เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมกันมาก เป็นการต้ังคาถาม
ถามผ้อู า่ น ส่วนคาตอบน้นั บางครัง้ ก็ตอบให้ บางคร้ังก็ถือว่าเป็นคาถามทีไ่ มต่ ้องการคาตอบเพราะรู้คาตอบกันดี
อยแู่ ล้ว
๕.๒.๓ ใชก้ ารเล่าเรื่องในบทสนทนาหรอื เป็นบทสนทนาลว้ น ๆ
๕.๒.๔ ใช้คาพูดมากกว่าภาษาเขียน ใช้คาสะแลง ใช้ภาษาก้าวร้าว บางคร้ังรุนแรง
และหยาบคาย ในเรื่องการใช้ภาษาของกวีนิพนธ์ปัจจุบนั จึงต่างไปจากกวีนิพนธ์ในอดีตมาก เพราะภาษากวีใน
ร้อยกรองปัจจุบันไม่ใช่เป็นภาษาที่แสดงสุนทรียภาพด้านความไพเราะ และคาที่ประดิษฐ์ข้ึนเป็นพิเศษ แต่ต้อง
เป็นภาษาท่ีสื่อความหมายได้ตรงเป้า และอาจจะแสดงความรุนแรงสัมพันธ์กับความคิด ฉะน้ันจึงอาจจะใช้
ถ้อยคาก้าวร้าวจนถึงคาไม่สุภาพ และมักใช้ถ้อยคาท่ีใช้กันในชีวิตประจาวันมากกว่าคาท่ีคัดเลือกกันมาเป็น
พเิ ศษ
สายทิพย์ นุกูลกิจ (๒๕๓๗ : ๓๗) ได้กล่าวถึงกลวิธีการแต่งวรรณกรรมปัจจุบันไว้ว่า กลวิธีในการแต่ง
วรรณกรรมปัจจุบันโดยเฉพาะนวนิยายเรื่องสั้นและบทละครมีกลวิธีการแต่งที่ชวนให้น่าติดตามอย่างมากมาย
เช่น การเปิดเร่ือง อาจเร่ิมด้วยการบรรยายฉาก การแนะนาตัวละคร การยกสุภาษิตคาคม หรือการใช้บท
สนทนา เป็นต้น สาหรับการดาเนนิ เร่ืองท่ีน่าสนใจ อาจใช้วิธีการเล่าเรื่องย้อนหลัง การใหต้ ัวละครผลัดกัน เล่า
เร่อื ง หรือการใช้สัญลกั ษณต์ ่าง ๆ เสนอแนวคดิ ของเรอื่ ง เปน็ ต้น สว่ นวิธีการปิดเร่ืองให้ประทับใจผูอ้ ่าน อาจทา
ได้โดยปดิ เรอ่ื งแบบหักมุมหรอื พลิกความคาดหมาย ปิดเรื่องแบบให้ตัวละครเอกพบทงั้ ความสมหวังและผิดหวัง
เหมือนในชีวิตจรงิ เป็นต้น นอกจากน้ียังมีกลวธิ ีอื่น ๆ อกี หลายประการ เชน่ การสร้างตัวละคร การแนะนาตัว
ละคร การเล่าเร่ือง การทาบทสนทนา การสร้างฉากและบรรยากาศ เป็นต้น ซึ่งกลวิธีต่าง ๆ ดังกล่าวน้ีล้วน
เป็นกลวธิ ีที่ไทยเราไดร้ บั อิทธิพลมาจากวรรณกรรมตะวันตกทง้ั ส้นิ
กระแส มาลยาภรณ์ (๒๕๑๒ : ๒๑ - ๒๕) ได้กล่าวถึงวิธีการแต่งวรรณกรรมไว้ว่า วิธีการประพันธ์
จริง ๆ น้ัน เห็นจะมีคนบอกกันได้ลาบาก ในข้ันแรกต้องถามว่าท่านรู้จักใช้ถ้อยคาและความหมายของถ้อยคา
นัน้ ๆ ใหก้ ระชบั แจม่ แจง้ ไม่ฟมุ่ เฟือยไดอ้ ยา่ งไร ๆ หรือไม่ น่ันก็คือประพันธศาสตรท์ างไวยากรณซ์ ่งึ บอกไว้ กอ่ น
อื่นท่านจะตอ้ งรจู้ ักแต่งขอ้ ความเสียก่อน ลองสงั เกตข้อความต่อไปน้ี :
อนิจจา ! แม่แต่ อกเย้ยตัวเอง เราทั้งหลายเรียกตัวว่าไทย กลับเป็นทาสแห่งความประพฤติ
ดุจทาสน่ันเอง คือความประพฤตทิ ที่ าใหต้ นตา่ ดว้ ย
(ร.๖ : โคลนติดล้อ)
๔๐
ข้อความขา้ งบนน้ีมลี ักษณะดพี ร้อมทัง้ ๔ ประการ
๑. ลกั ษณะของข้อความทด่ี ี ๔ ประการน้นั คอื อยา่ งไร
๑.๑ เอกภาพ Unity : การมีจดุ หมายอนั เดียวกนั หรอื ไมข่ ดั แยง้ กัน
๑.๑ สัมพนั ธภาพ Coherence : มีขอ้ ความเก่ียวเนอื่ งกนั อา่ นรเู้ ร่ือง
๑.๓ สารัตถภาพ Emphasis : มกี ารเน้นถงึ ความคิดของข้อความนั้น ๆ
๑.๔ ประดษิ ฐภาพ Invention : ประดษิ ฐ์ความคิดใหม่ ๆ ออกมาในข้อความนนั้ ๆ
เม่ือเราสามารถใช้คา ประโยค และข้อความ โดยเฉพาะข้อความท่ีดีได้แล้ว เราก็มีศักยภาพ
Potentiality พอที่จะเขียนเร่ืองได้ แต่ศักยภาพน้ันจะแสดงออกมาได้ก็ต้องประกอบไปด้วยทายะสมบัติ
หรือ ทายะวุฒิ หรือ พรสวรรค์ หรือ คุณวุฒิติดตัว คือ Giff น่ันเอง และการฝึกหัดด้วย จึงพอจะเห็นได้ว่าการ
เขียนหนงั สอื นั้นมิใช่ของงา่ ยนักแมจ้ ะไมย่ ากเหลอื วสิ ยั ถ้าง่ายเรากค็ งจะขเ้ี กยี จเขยี นและอา่ นกันเปน็ แน่
๒. ในการเขยี นเรือ่ งอะไรกต็ ามน้นั เรามักจะเขียนกนั ใน ๔ แบบ หรอื ๔ โวหาร
๒.๑ เทศนาโวหาร Exposition คือ การโวหารในเชิงสัง่ สอน เช่น พระพุทธเจ้าตรัสรูอ้ ะไร
๒.๒ สาธกโวหาร Persuation คือการชักจูงให้คนคล้อยตามความคิดเห็น เช่นประกาศพระ
บรมราชโองการส่วนมากของ ร.๔ ทง้ั ๒ โวหารนี้ มักไม่ใชใ้ นการแตง่ เรื่องอ่านเล่น
๒.๓ พรรณนาโวหาร Description คือเล่าเรื่องอะไรอย่างละเอียดละออให้ เห็นจริงเห็นจัง
เช่นบางตอนของ ละครแห่งชีวติ ของ ม.จ.อากาศดาเกิง
๒.๔ บรรยายโวหาร Narration คอื การเล่าเร่อื งใดเร่อื งหนึง่ ไปตามลาดบั เวลา ชนิดนี้ใชเ้ ขยี น
ง่ายที่สดุ ตวั อย่างเช่น น้าใจ ของ ปกรณ์ ป่นิ เฉลียว
สรุปแล้ว จะต้องสามารถสร้างภาพปลายปากกา Pen picture ออกมาใหผ้ ู้อ่านไดอ้ ่านอยา่ งทต่ี ้องร้สู ึก
ว่า ภาพนั้นสละสลวยงดงาม ได้ความดีเป็นอันมาก ในการสร้างภาพน้ันจะต้องประกอบไปด้วยความจริงและ
ความชื่อ (Truth and Sincerity) หาไม่แล้วภาพนนั้ จะไม่สวยงามไดค้ วามดีเปน็ อนั ขาด เช่น เราจะพรรณนาถึง
สิง่ ไรก็ต้องเป็นส่ิงที่เรารู้จักจริง ๆ คนทีไ่ ม่เคยลาบากยากจนเลย อยากจะเขียนเรื่องของคนยากจนขึ้นมาก็ย่อม
เขียนได้ลาบาก เพราะไม่ทราบมาก่อนว่าความทุกข์ยากน้ัน ๆ คืออะไร ๆ หิวแค่ไหนจึงจะเรียกว่าหวิ ดังนี้เป็น
ถ้าจะซื้อเขยี นออกมา เพราะสมัยนเ้ี ขานิยมเขียนกัน ภาพนนั้ กม็ ่ัว ๆ รวั ๆ เตม็ ท่ี เหน็ เขา้ กบั ก็รู้ทันทีว่าข้อความ
นัน้ แทบไม่มคี า่ เลย
ในการที่จะสร้างข้อเขียนอะไรข้ึนมาน้ัน ย่อมเกิดสานวน (Style) ขึ้นมา บางคนเรียก Style ว่าคารม
บางคนว่าผีปาก แต่ใชค้ าว่าสานานรูส้ ึกว่าจะได้ความกระชบั กว่า สานวนน้นั เปน็ ของส่วนตัวเกดิ ข้ึนเอง จะใชไ้ ด้
ดีหรือไม่ก็แล้วแต่ บางคนแต่งหนังสืออ่านแล้วชวนง่วงนอนเหลือเกิน นั่นแสดงว่าเขามีสานวนอันไม่มีสีสรรค์
(Colorless style) บางคนแต่งแล้วผู้อ่านติดใจ เพราะความคมคายกะทัดรัดและไพเราะ อยากจะเอาอย่าง
เหลือเกนิ และพยายามอย่างยงิ่ ท่ีจะให้เหมือน แตไ่ ม่มที างเหมือน เพราะสานวนนั้นเปน็ ของสว่ นตัว โดยเฉพาะ
ดังท่ีได้กล่าวมาแล้ว ถึงกับมีคากล่าวไว้ว่า สานวนนั่นแหละคือตัวบุคคล (La style, est l homurne) อย่าง
สานวนของ น.ม.ส. มีผู้พยายามเลียนแบบอยู่มาก แต่ก็ได้แต่แค่เกือบเหมือน ผู้ท่ีเหมือน น.ม.ส. จริง ๆ ก็คือ
น.ม.ส. เองเทา่ นั้น
เม่ือท่านรู้จักเขียนข้อความแบบนั้น สมมุติว่าจะเป็นนักเขียน บางท่านอาจจะรู้สึกว่าตัวเองเล่าเร่ือง
อะไรให้ใครฟังแล้ว รู้สึกเขาสนุกสนานเหลือเกิน แต่ท่านเขียนไม่ได้เขียนไม่ออก หรือถึงเขียนออกส่งไปให้เขา
๔๑
ลงหนังสือพิมพ์ โดยไม่เอาเงินเลย เขาก็ไม่เอานึกอย่างน้ีแล้วท้อใจ สงสัยว่าเร่ืองการเขียนหนังสือน้ีเป็นเรื่อง
ของพรสวรรค์เสียแล้ว อย่างที่ฝรั่งเขาเคยว่า An author is born, not made แต่น่ีไม่เสมอไป เดี๋ยวน้ีเขามี
โรงเรียน สอนการประพันธ์แล้วซึ่งกไ็ ด้ผลอย่เู หมอื นกนั ดงั นน้ั ฝร่ังเขาจึงเปล่ียนคาพดู เป็น An author is born,
made นักประพันธ์นนั้ เกิดมาเองและสร้างข้ึนมาด้วย
๓. สมมุติว่า เราตกลงใจแน่ว่าจะเป็นนักประพันธ์ (ชนิดสร้างขึ้นมาก็ตามใจ) ประพันธ์น้ันต้องมี
ความคดิ มโี ครงเรอื่ งแปลก ๆ เขาเอามาจากไหน ความคิดนัน้ ได้มาจาก
๓.๑ ประสบการณ์ตรง
๓.๒ ประสบการณท์ เ่ี กิดแก่ผ้อู น่ื
๓.๓ การอ่านหนังสือพมิ พ์
๓.๔ การอ่านหนังสืออื่น ๆ ให้มาก ๆ
๓.๕ การดูรูปภาพต่าง ๆ
๓.๖ การดูมหรสพ
๓.๗ บคุ คลอืน่ บอกให้
ในความคิดโครงเรื่องนั้นต้องมีการขัดแย้ง (Conflict) หรือปะทะต่อต้าน (Struggle) กัน จึงจะเกิด
Dramatic situation นาฏสถานการณข์ ้นึ
๔. บางสถานการณ์นั้น มีผู้สนใจคือ Count Carlogozzi ในคริสตศตวรรษท่ี ๑๘ เรียบเรียงไว้ ๓๖
สถานการณ์ เช่น การแข่งดี การคบชู้ ความโง่ ความสานึกผดิ ฯลฯ เรือ่ งต่าง ๆ ที่เราอา่ นอยทู่ ุกวันนี้ลว้ นแตอ่ ยู่
ในนาฏสถานการณ์เหล่านี้ทั้งนั้น แต่ที่เราอ่านก็เพราะเราติดใจในสานวนโวหารและวิธีดาเนินเร่ือง หรือเค้า
เร่อื งอันจะนาไปสสู่ ถานการณ์นนั้ ๆ นนั่ เอง
๕. เมื่อเราได้ความคิดมาแล้ว ทาอย่างไรถึงจะสร้างเรื่องออกมาได้ เขาแนะวิธีที่จะให้สร้างเร่ือง
ออกมาได้ดงั นี้
๕.๑ ทาเรื่องย่อของเร่อื งดี ๆ ไว้
๕.๒ อ่านหนงั สอื ไปเรือ่ ย ๆ พอถงึ ปมของเร่ืองกห็ ยุดติดตอ่ เอาเอง แลว้ อา่ นต่อไป
๕.๓ สังเกตดูอารมณ์ตวั เองว่าอ่อนไหวไปตามเน้ือเรอ่ื งหรอื เปล่า
๕.๔ บางคนก็ใชว้ ธิ ีคดิ ตอนจบเอาไวก้ ่อน แล้วคอ่ ยดาเนินเรอื่ งไปส่ตู อนจบนัน้ ๆ
๕.๕ เมื่อมอี ารมณถ์ ึงอยา่ งนนั้ ได้เขียนได้คดิ มาแล้วอย่างน้ัน ก็ลงมอื เขยี นเถิด โดยใชน้ าสถานการณ์
หรือโครงเร่ืองของตัว แต่คนท่ีเพ่ิงหัดเขียนใหม่ ๆ อย่าเพิ่งนึกว่าเมื่อจบเรื่องแล้วจะให้ใครเขาลงพิมพ์ได้ทันที
ต้องแก้แล้วแก้อีก เสร็จแล้วทางสานักพิมพ์อาจจะไม่รับเรื่องก็ได้ ต้องลงมือเขียนเร่ืองใหม่ต่อไปอีก ถ้ารักจะ
เป็นนักเขียนต้องอดทน แต่อย่าให้ถึงทนอด นักเขียนท่ีมีชื่อเสียงแต่ละท่านผ่านความลาบากแบบน้ีมาแล้ว
ทงั้ นั้น จะให้เป็นนกั เขียนแบบ One-short story writer ทเี่ ดียวได้เร่ืองนั้นหายากนัก แล้วบุคคลชนิดนั้นมกั จะ
เป็นอยู่เพียงแค่น้ันด้วย คือหาเค้าเรื่อง ใหม่ ๆ มาเสนออีกไม่ได้ เหมือนกับมีแรงบันดาลใจมาเพียงครั้งเดียว
เท่านน้ั
ประมวล มณีโรจน์ (สมั ภาษณ์, ๑๑ กันยายน ๒๕๖๕) ได้กล่าวถึงกลวิธีการแต่งวรรณกรรมปัจจุบันไว้
ว่า นักเขียนส่วนใหญ่ได้รบั อิทธิพลจากรุ่นก่อน ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วในช่วงแรก ๆ ชอบเขียนเรื่องส้ัน หาเรื่องสั้น
๔๒
ต่าง ๆ มาศึกษาเพ่ือหากลวิธี เพราะเรื่องส้ันใช้เวลาในการอ่านน้อย เข้าถึงประเด็นได้ และในงานเขียนจะใช้
กลวธิ ีสมจริง
กลวิธีในการแต่งวรรณกรรม เป็นกลวิธีหรือเทคนิคของผู้แต่งท่ีสามารถแบ่งได้ออกเป็น ๒ ประเภท
ใหญ่ ๆ คือกลวิธีการประพันธ์ ท่ีใช้ในรูปแบบของร้อยกรอง ท่ีเรียกว่า ฉันทลักษณ์ เป็นที่นิยมรวมถึงเป็น
ขอ้ บังคับในการแต่งคา ฉันท์ กาพย์ กลอน โคลง เป็นตน้ และส่วนในรูปแบบร้อยแก้ว เป็นกลวิธีในการแต่งใน
ประเภท เรอ่ื งสั้น นวนิยาย สารคดี และบทละคร เป็นตน้ มกี ลวธิ ที ี่เป็นทนี่ ิยม หรือเปน็ พื้นฐานในการสบื ต่อกัน
มา เช่น การวางโครงเรอื่ ง การเปดิ ฉาก การแนะนาตัวละคร และบทสนทนา รวมไปถึงการแต่งเรอ่ื งจากส่ิงใกล้
ตัว สังคม ประสบการณ์ของผู้เขียน ล้วนแล้วแต่ท่ีผู้เขียนประสบพบเจอ ทาให้กลวิธีการแต่งของแต่ละคนจึงมี
ความแตกต่างกนั แต่ยังคงมีเค้าโครงทคี่ ลา้ ยกันดังทีส่ บื ทอดกนั มา
3.6 ปจั จยั สาคัญทท่ี าใหว้ รรณกรรมเกดิ การเปลยี่ นแปลง
วรรณกรรมย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยคุ สมัยกาลเวลา แต่ละยุคสมัยก็ย่อมมีปจั จยั หรืออิทธพิ ลทา
ใหว้ รรณกรรมในแต่ละยุคแตกตา่ งกนั ออกไป ปจั จัยที่ส่งผลต่อวรรณกรรม ได้แก่ การศึกษา การเมอื ง เศรษฐกิจ
ด้านการพิมพ์ ความต้องการของตลาดหรือความนิยมในสมัยนั้น ๆ แม้กระทั้งตัวนักเขียนก็มีอิทธิพลต่อ
วรรณกรรมเช่นกัน ดงั ทไี่ ดศ้ กึ ษามาต่อไปน้ี
รศ.สายทิพย์ นุกูลกิจ (๒๕๓๗ : ๒๗-๓๓) กล่าวไว้ว่า การท่ีวรรณกรรมไทยมีลักษณะเปล่ียนแปลงไป
จากเดิมคือเปล่ียนจากความนิยมในรูปแบบร้อยกรองมานิยมรูปแบบร้อยแก้ว และเปล่ียนจากการเขียนนิทาน
อิงพงศาวดารจีนหรือเขียนเร่ืองประเภทจักร ๆ วงศ์ ๆ มาเป็นการเขียนร้อยแก้วตามแบบตะวันตก ซึ่งแยก
ประเภทยอ่ ยออกไปเป็นแนวบันเทงิ คดีและสารคดีนน้ั เกิดจากปัจจยั และอิทธิพลสาคัญหลายประการ ดังนี้
๑. อิทธิพลของการศึกษา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว พระองค์ทรงปฏิรูป
การศึกษาภายในประเทศด้วยการโปรดเกล้าฯ ให้จัดต้ังกระทรวงธรรมการ เพื่อทาหน้าท่ีจัดการศึกษาให้แก่
เยาวชนของชาติอย่างมีระบบหลักสูตรและสถานท่ีเรียนท่ีแน่นอน นอกจากนี้พระองค์ยังพระราชทานทุนเล่า
เรียนหลวง (King's scholarship) แก่บุตรหลานข้าราชการและสามัญชนที่เรียนดีให้มีโอกาสไปศึกษาต่อ ณ
ต่างประเทศด้วย ส่วนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงส่งเสริมการศึกษาของ
ประชาชนด้วยการออกพระราชบญั ญตั ิประถมศึกษาในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ประชาชนจึงเร่ิมรู้หนังสือมากขน้ึ ต่อมา
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น กล่าวได้ว่า “เป็นสมัยต้นของยุคการศึกษาทวยราษฎร์
อย่างแท้จริง เพราะประชาชนเร่ิมต่ืนตัวกับการให้บุตรหลานมีการศึกษาข้ันสูงถึงระดับอุดมศึกษาท้ังชายและ
หญิงและนับจากนี้เป็นต้นมา การศึกษาของทวยราษฎร์ก็ยิ่งขยายตัวสูงข้ึนไปเร่ือย ๆ เมื่อ ประชาชนมี
การศึกษาสูงขึ้นก็ย่อมจะต้องการอ่านหนังสือที่ให้ความรู้ความแปลกใหม่เพ่ิมมากขึ้นกว่าเดิม นักเขีย นจึง
จาเป็นต้องสนองความต้องการของผู้อ่านด้วยการคิดสร้างสรรค์ผล งานให้มีความแปลกใหม่และน่าสนใจอยู่
เสมอ ขณะเดียวกันความเจริญทางการศึกษาก็มีส่วนช่วยให้นักเขียนมีเร่ืองราวหรือวัตถุดิบที่จะนามาเขียน
ขยายวงกว้างออกไปจากเดิมด้วย สภาพการณ์ดังกลา่ วนีจ้ งึ อาจสรุปได้ว่าอิทธิพลของการศึกษาเปน็ ปัจจยั สาคัญ
ประการหนึ่งทท่ี าให้วรรณกรรมไทยเปลยี่ นแปลงไปจากเดิม
๔๓
๒. ความก้าวหนา้ ทางด้านการพมิ พแ์ ละกิจการหนงั สือพิมพ์ หนงั สือพมิ พใ์ นประเทศไทยเรม่ิ มีข้ึนในรัช
สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดย ในปี พ.ศ. ๒๓๘๗ หมอบรัดเลย์ มิชชันนารีอเมริกันได้ออก
หนังสือพิมพ์ ช่ือ “Bangkok Recorder” และต่อมาได้เร่ิมกิจการพิมพ์หนังสือเป็นเล่มออกจาหน่ายด้วย เช่น
หนังสือ แบบเรียนจินดามณี หนังสือกฎหมาย หนังสือหดั พูดภาษาอังกฤษ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเห็นประโยชน์ของการพิมพ์หนังสือมาก ในปี พ.ศ. ๒๔๐๑ พระองค์จึงทรงออก
หนังสือพิมพ์ของหลวงช่ือ “ราชกิจจานุเบกษา” ขึ้น เพ่ือใช้เป็นท่ีประกาศข่าวในราชสานักและข่าวทั่วไปให้
ประชาชนได้ทราบเดือนละ ๒ ครง้ั ใน สมัยน้ีกิจการพมิ พ์หนังสือเป็นเล่มเจริญก้าวหน้ามากขึน้ ถึงกับมีการซื้อ
ขายลิขสิทธิ์หนังสือ ใหม่เพ่ือนามาตีพิมพ์เป็นเล่มออกจาหน่าย เช่น หมอบรัดเลย์ซื้อลิขสิทธ์ิหนังสือนิราศลอน
ดอนจากหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกูร ณ อยุธยา) เป็นเงิน ๔๐๐ บาท ในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ เป็นต้น
ในสมัยต่อมากิจการพิมพ์หนังสือยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกมาก เพราะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเห็นคุณค่าของการพิมพ์หนังสือ และทรง ตระหนักดีว่ากิจการพิมพ์หนังสือเป็นหนทางสาคัญท่ีจะช่วย
ส่งเสริมการศึกษาให้แก่ประชาชน พระองค์จึงทรงสนับสนุนการพิมพ์และให้เสรีภาพในการพิมพ์หนังสืออย่าง
เต็มที่ สิ่งพิมพ์ ในสมัยน้ีจึงมีจานวนมากถึง ๕๔ ฉบับ ซ่ึงรวมท้ังที่เป็นของไทยและของชาวต่างประเทศ ใน
ระยะเวลาต่อมาซึ่งเป็นช่วงเวลาท่ีคนไทยส่วนใหญไ่ ด้รับการศึกษาสูงข้ึน และเริ่มมอง เห็นความสาคญั ของการ
ทราบข่าวสารบ้านเมืองจากหนังสือพิมพ์นั้น หนังสือพิมพ์ก็ย่ิงมีบทบาทสาคัญในการเป็นส่ือกลางทางความคิด
ระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียนมากยิ่งขึ้น หรือกล่าว ได้ว่า ยิ่งกิจการหนังสือพิมพ์เจริญก้าวหน้ามากข้ึนเท่าใด ก็ยิ่งมี
นกั เขียนและนักอ่านเพ่ิมขึ้น เป็นเงาตามตัวด้วยเท่าน้ัน เพราะหนังสือพมิ พ์น้ันนอกจากจะเป็นเสมือนสนามให้
นกั เขียน ได้มที ่ีเผยแพร่ผลงานแลว้ ยังเป็นสนามให้นักอ่านได้มีได้มโี อกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ นกั เขียน
และผอู้ า่ นคนอนื่ ๆ ด้วย เม่ือเป็นเช่นน้ีจงึ อาจกล่าวได้วา่ ปัจจัยสาคัญประการ หนึง่ ที่ชว่ ยสง่ เสริมใหว้ รรณกรรม
ไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ นน้ั นา่ จะไดแ้ กค่ วามก้าว หนา้ ทางดา้ นการพมิ พ์และกจิ การหนังสอื พมิ พ์
๓. การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยคณะ
ราษฎร์ นอกจากจะมีผลทาให้สภาพสังคมไทยเปลี่ยนไปจากเดิม คือชนช้ันกลางมีอานาจควบคุมเศรษฐกิจ
การเมืองและสังคมแทนชนชั้นศักดินาแล้ว ยังมีผลทาให้วรรณกรรมไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมากอีก
ด้วย กล่าวคือวรรณกรรมไทยในอดีตจะผูกพันอยู่กับแวดวงของชนช้ันสูงในรั้วในวังเป็นส่วนใหญ่สังคมไทยแต่
เดิมเป็นสงั คมทม่ี กี ารปกครองตามระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าช ท้ังนเ้ี พราะพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ “เจ้าชวี ติ ”
และทรงเป็นองคอ์ ุปถัมภ์งานทุกแขนง ซงึ่ รวมทั้งงาน กวีดว้ ย กวสี ่วนใหญ่จึงนิยมสร้างสรรคผ์ ลงานเพือ่ “ถวาย
บาเรอท้าวได้ ธิราชผู้มีบุญ วรรณกรรมในช่วงน้จี ึงเขียนข้นึ เพ่ือสนองอารมณข์ องคนเพียงกลุ่มเดียว และสะทอ้ น
ภาพ ของสังคมเพียงช้ันเดียวคอื ชนช้นั สูงในสังคมหรือทเ่ี รียกว่า “ชนชั้นศักดินา แต่หลัง จากเปลีย่ นแปลงการ
ปกครองแล้ว วรรณกรรมไทยกลับขยายวงกว้างขึ้นและมีเนื้อหาผูกพันกับแวดวงของชนชั้นกลางมากข้ึน ท้ังนี้
เป็นผลเนื่องมาจากหลักการปกครองตามระบอ ประชาธิปไตยของรัฐบาลที่มุ่งเน้นเรื่องความเสมอภาคและ
เสรีภาพของประชาชนเป็นสาคัญนั่นเอง นอกจากนี้ก็เป็นผลเน่ืองมาจากประชาชนมีการศึกษาสูงขึ้น มีโอกาส
ไดร้ ับร้คู วามเป็นไปต่าง ๆ ของสังคมทุกระดบั มากขึ้น จงึ ปรารถนาทจี่ ะเขยี นแสดงความคิดเห็น วพิ ากษ์วิจารณ์
สังคมมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงความคิดเร่ืองการขจัดช่องว่างระหว่างชนชั้นให้หมดไปจาก
สังคมไม่ว่าช่องว่างนั้นจะมีสาเหตุมาจากชาติตระกูลการศึกษาหรือฐานะทางเศรษฐกิจก็ตาม เมื่อเป็นเช่นน้ี
วรรณกรรมในยุคหลังการเปล่ียน แปลงการปกครองจึงมีเน้ือหาหลากหลายต่างไปจากวรรณกรรมในอดีต
๔๔
ขณะเดียวกันนักเขียนแต่ละคนต่างก็มีจุดมุ่งหมาย มีแรงบันดาลใจ ความรู้ความสามารถและประสบ การณ์
ตลอดจนอุดมการณ์และแนวการเขียนแตกต่างกันไปด้วย ท้ังนี้เพราะสภาพสังคมท่ีมีการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยน้ันย่อมเปิดโอกาสให้นักเขียนมีเสรีภาพในการเสนอ รูปแบบ แนวคิด เน้ือหาและกลวิธีการแต่ง
วรรณกรรมได้อย่างกว้างขวางต่างไปจากสังคม แบบเตมิ อย่างไรก็ตามเป็นท่ีน่าสังเกตได้ว่าวรรณกรรมไทยใน
สมัยต่อมาจะเจริญก้าวหน้า หรือซบเซาหรือไม่น้ันย่อมขึ้นอยู่กับนโยบายของรฐั บาลแต่ละสมัย ๆ ไป กล่าวคือ
หาก รฐั บาลยคุ ใดมนี โยบายจบั กุมผ้แู สดงความคดิ ขดั แย้งต่อรัฐบาลแล้ว นักเขียนก็จะไม่กลา้ สรา้ ง สรรค์ผลงาน
ใหม่ ๆ ออกมาเป็นเหตุให้งานเขียนมลี ักษณะซบเซาไม่เจรญิ ก้าวหน้า แต่ถ้าหากรัฐบาลชุดใดให้เสรีภาพทางการ
เขียนอย่างเต็มที่แล้ว นักเขียนก็ย่อมจะพยายามเสนอความคิดที่แปลกใหม่อย่างหลากหลาย ซึ่งมีผลทาให้
วรรณกรรมมีพัฒนาการและมีประโยชน์ต่อสังคมและคนส่วนใหญ่มากข้ึน ดังน้ีจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลง
ทางการเมืองและสภาพสงั คมนั้นเปน็ ปจั จัยสาคญั อีกประการหนง่ึ ท่ีทาให้วรรณกรรมเกดิ การเปลีย่ นแปลงขึน้ ได้
๔. อิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจ อาจแยกกล่าวได้เป็น ๒ ทาง คือ อิทธิพลทางเศรษฐกิจส่วนรวมของ
สังคม และอิทธิพลทางเศรษฐกิจส่วนตัวของนักเขียน การที่กล่าวว่า “ภาวะทางเศรษฐกิจส่วนรวมของสังคม
และภาวะเศรษฐกิจส่วนตัวของนักเขียนมีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงวรรณกรรมไทย” น้ันเป็นเพราะว่าแม้
รัฐบาลคณะราษฎร์จะใช้นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อ “บารุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร” หลังการ
เปล่ียนแปลงการปกครองแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีผลทาให้ภาวะเศรษฐกิจของสังคมส่วนรวม ดีข้ึนกว่าเดิมมาก
นัก เม่ือเป็นเช่นนี้นักเขียนส่วนหนึ่งจึงพยายามเสนอความคิดเห็นผ่านวรรณกรรมออกไป เพื่อหวังจะให้มีการ
เปล่ียนแปลงการบริหารราชการแผ่นดินเพ่ือผลประโยชน์ของการพัฒนาเศรษฐกิจโดยส่วนรวมเป็นสาคัญ
ขณะเดียวกันก็อาจกล่าวได้อีกว่า ภาวะเศรษฐกิจของสังคมส่วนรวมท่ีมีลักษณะตกต่าดังกล่าวนี้ มีอิทธิพล
สาคัญต่อการครองชีพของนักเขียนแต่ละคนด้วย ท้ังน้ีเพราะหลังการเปล่ียนแปลงการปกครองแล้ว นักเขียน
ขาดผู้อุปการะ เน่ืองจากระบบอุปถัมภ์กวีในราชสานักพลอยชะงักงันตามการนักเขียนส่วนหนึ่งจึงจาเป็นต้อง
เปล่ียนแปลงการปกครองไปด้วย โดยสภาพการณ์เช่นนี้นักเขียนจะเขียนหนังสือเพ่ือหารายได้เล้ียงตนเอง
กล่าวคอื มุ่งเขียนหนงั สือเพ่ือให้มคี นอ่านและเพื่อใหข้ ายได้เป็นสาคัญ เพราะเมื่อหนงั สือมีคนนิยมอ่านและขาย
ได้เป็นจานวนมาก นักเขียนก็ย่อมจะมีรายได้จากสานักพิมพ์สูงขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วย ดังนี้จึงอาจสรุปได้ว่า
ความหวังที่นักเขียนจะเพิ่มพูนรายได้ให้แก่ตนเองและแก่สังคมน้ันล้วนมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง
วรรณกรรมไทยไดท้ ง้ั ส้ิน
๕. ความต้องการของตลาด นักเขียนส่วนใหญ่มักต้องสารวจความต้อง การของตลาด โดยดูจากความ
สนใจของผอู้ า่ นและผูจ้ ดั พิมพ์จัดจาหน่ายวา่ นยิ มเรือ่ งประเภทใด แลว้ เขยี นเรือ่ งประเภทนัน้ ออกมา เพราะหาก
ไม่ทาเช่นน้ีก็อาจจะไม่มีรายได้จากการเขียนหนังสือ หรือมีรายได้น้อยจนไม่พอยังชีพก็ได้ แต่ขณะเดียวกันก็
อาจมีนักเขียนจานวน ไม่น้อยที่นิยมเขียนเรือ่ งตามอดุ มคติและความสนใจของตนเองโดยไม่คานงึ ถงึ ความสนใจ
ผู้อ่าน หรือไม่กังวลเรื่องรายได้ท่ีตนจะได้รับจากการเขียนหนังสือเลยก็มี อาจกล่าวได้ว่าความต้องการของ
ตลาดวรรณกรรมหรือความสนใจของผู้อ่านและผู้จัดพิมพ์ ก็นับเป็นปัจจัยสาคัญอีกประการหนึ่งท่ีช่วยกาหนด
ทิศทางของวรรณกรรมใหแ้ ปรเปลย่ี นไป
๖. การส่งเสริมทางด้านการประพันธ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจาก
พระองคจ์ ะทรงส่งเสริมการประพันธท์ ้งั ร้อยแก้ว ร้อยกรอง และการแปลหนังสือจากภาษาตา่ งประเทศด้วยการ
๔๕
ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเป็นจานวนมากแล้ว พระองค์ยังโปรดฯ ให้สร้างเคร่ืองหมายเกียรตินิยมทางวรรณศิลป์
เพื่อเป็นรางวัลแก่ ผู้ที่แต่งเรียบเรียงหรือแปลหนังสือที่มีประโยชน์สมควรถือเปน็ แบบแผนได้อีกด้วย เช่น ทรง
สร้างเหรียญวชิรญาณและประกาศนียบัตรในนามของหอสมุดวชิรญาณ หรือทรงอนุญาตให้ประทับตราพระ
ราชลัญจกรรปู มงั กรคาบแกว้ ลงบนหนงั สือทค่ี ณะกรรมการของโบราณคดี สโมสรเหน็ ว่าแปลหรอื แต่งดีมีคณุ ค่า
เป็นต้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงส่งเสริมการประพันธ์ของไทยให้ดีข้ึน
เช่นเดียวกับรัชกาลก่อน ทรงจัดตั้งวรรณคดีสโมสรขึ้น เพ่ือทาหนา้ ท่ีให้รางวลั และประทับตราพระราชลัญจกร
รปู พระพิฆเนศลงบนหนงั สอื ที่มเี นอ้ื หาดีและแต่งดี ลักษณะดังกล่าวนี้นับว่าเป็นปัจจัยสาคัญอีก ประการหนึ่งท่ี
ช่วยส่งเสริมให้วรรณกรรมของไทยเจริญก้าวหน้าย่ิงข้ึน และมีผลต่อเนื่องต่อการเปล่ียนแปลงวรรณกรรมไทย
ดว้ ย
ในสมัยต่อมาหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว รัฐบาลแต่ละชุดก็มีนโยบายส่งเสริมงาน
ประพันธ์ด้วยการจัดต้ังสถาบันประเมินค่าวรรณกรรมขึ้น เพ่ือทาหน้าท่ีพิจารณาตัดสินวรรณกรรมที่ดีเด่นของ
แต่ละสมัยเช่นกัน นอกจากน้ีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนยังช่วยทาหน้าที่คัดเลือกผลงานทาง
วรรณกรรมท่ีดีเด่น ในแต่ละประเภทของแต่ละยุคแต่ละสมัยไว้อีกด้วย เช่น องค์การ ส.ป.อ. สมาคมห้องสมุด
แห่งประเทศไทย มูลนิธิ จอห์น เอฟ. เคนเนดี สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จาหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย มูลนิธิ
เสฐียรโกเศศ มูลนิธิอิศรา อมันตกุล มูลนิธิศาสตราจารย์ ม.ล. ตุ้ย ชุมสาย รางวัลของธนาคารกรุงเทพจากัด
และรางวลั ซไี รท์ เป็นตน้
การท่สี ถาบันประเมนิ ค่าทางวรรณกรรมดังกล่าวข้างต้น ทาหน้าที่ให้รางวัลแก่วรรณกรรมดีเด่นท่ีผ่าน
การคัดเลือกในแต่ละประเภทน้ันย่อมเป็นเคร่ืองสนับสนุนให้นักเขียนคิดสร้างสรรค์วรรณกรรมให้แปลกใหม่
และดีเด่นตา่ งไปจากเดิมอยูเ่ สมอ ดว้ ยเหตุน้จี งกลา่ วไดว้ ่าการส่งเสริมทางด้านการประพนั ธ์น้ันเป็นปัจจัยสาคัญ
อกี ประการหนึง่ ที่ ส่งเสริมให้วรรณกรรมไทยมกี ารเปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ
๗. ความต้องการรูปแบบวรรณกรรมท่ีสอดคล้องกับชีวิตจริง หลังจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ วิถีชีวิตของคนไทยมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก
ทั้งน้ีเป็นผลสืบเนอื่ งมาจากความเจริญก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คนในยคุ น้จี ึงสนใจที่จะตดิ ตาม
ข่าวความเคลื่อนไหว ความก้าวหน้าและการเปล่ียนแปรของส่ิงท้ังหลายในสังคมให้ทันการอยู่เสมอเพ่ือจะได้รู้
และเข้าใจ ความเป็นไปของโลก ในด้านการอ่านวรรณกรรมก็เช่นกันคนไทยหลังรัชกาลที่ ๕ เป็นต้น มาแล้ว
ตอ้ งการอ่านหรือฟังเร่ืองเล่ามีเหตุผลและเปน็ เร่ืองราวท่มี ีลักษณะคล้ายกับเรอ่ื งที่เขาสามารถพบเห็นได้ในชีวิต
จริง อันเป็นธรรมชาติของคนท่ัวไปท่ีสนใจจะทราบเร่ืองท่ีอยู่ใกล้ตัวมากกว่าเรื่องที่อยู่ไกลตัว แต่วรรณกรรม
ไทยท่ีมีปรากฏอยู่น้ันกลับมีลักษณะตรงกันข้ามกับความต้องการของคนในยุคน้ี ทั้งน้ีเพราะวรรณกรรมที่มีอยู่
เดิมน้ันล้วนแต่เป็นวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดีท่ีมีรูปแบบเป็นร้อยกรองขนาดยาวเป็นส่วนใหญ่ นอกจากน้ี
ยังเป็นเร่ืองราวของชนชั้นสูงซึ่งมีตัวละครเอกเป็นโอรสกษัตริย์ วรรณกรรมที่มีตัวละคร เอกเป็นสามัญชนเช่น
ผอู้ ่านมีปรากฏอยู่น้อยมาก เช่น บทละครนอกเร่ืองไกรทอง เป็นตน้ เหตุท่ีเปน็ เช่นนี้เป็นเพราะว่า วรรณกรรม
ไทยเหล่านี้สร้างขึ้นตามอุดมคติเดิมของสังคม ที่ถือว่าเป้าหมายสูงสุดของการเป็นมนุษย์ คือ “การเป็นเจ้าคน
นายคน” ตามลักษณะสังคมแบบ “เจ้าชีวิต” ประกอบกับผู้เขียนและผู้อ่านวรรณกรรมไทยสมัยเดิมก็คือ ข้า
ราชสานัก ซ่ึงเป็นผู้มีการศึกษาของสังคมไทยสมัยน้ันน่ันเอง เม่ือวรรณกรรมไทยเดิมไม่สามารถสนอง ความ
๔๖
ต้องการของผู้อ่านยุคใหม่ได้เช่นนี้ จึงมีผลทาให้พวกคนไทยสมัยใหม่ที่ได้รับการศึกษา จากตะวันตกเร่ิมคิดหา
รูปแบบวรรณกรรมแบบใหม่ข้ึน เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตที่เปล่ียนไป ดังกล่าว ด้วยการคิดสร้างรูปแบบเรื่อง
เล่าร้อยแก้วที่มลี ักษณะใกล้เคียงกบั ชีวิตคนจรงิ ๆ และมีเหตผุ ลย่ิงขึ้น รปู แบบที่สร้างใหม่นค้ี ือรูปแบบร้อยแก้ว
ประเภทต่าง ๆ ซึ่งดัดแปลง จากรูปแบบวรรณกรรมตะวันตก เช่น เร่ืองส้ัน นวนิยาย บทละครพูด บทความ
และ สารคดี ฯลฯ และเพราะเหตุที่รูปแบบร้อยแก้วมีลักษณะสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความนึก คิดของผู้ที่
ได้รับการศึกษาในยุคใหม่น้ีมาก รูปแบบร้อยแก้วจึงกลายเป็นรูปแบบวรรณกรรม สมัยใหม่ท่ีได้รับความนิยม
จากผู้อ่านมาจนถึงยุคปัจจุบัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความต้องการรูปแบบวรรณกรรมที่สอดคล้องกับชีวิตจริง
นับเป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้วรรณกรรมไทยมีรูปแบบ แนวคิด เน้ือหา และกลวิธีการแต่งเปลี่ยนแปลงไป
จากเดมิ
วรรณกรรมคือผลผลิตของสังคมที่จะสะท้อนถึงสังคมในยุคนั้น ๆ งานวรรณกรรมจะสะท้อน
ปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางสังคม และปรากฏการณ์ความขัดแย้งท้ังภายในและภายนอกของนักเขียน
นักเขียนบางส่วนอาจรู้สึกว่าถูกปิดกั้นการแสดงออกทางความคิดของตนเอง แต่นักเขียนบางส่วนจะไม่รู้สึก
เช่นนั้นนักเขียนย่อมจะมีกระบวนวิธีในการคิดและการเขียนของตนเองท่ีสามารถสร้างสรรค์งา นวรรณกรรม
ออกมาได้จนกระทง่ั ถึงปจั จุบนั และยงั สามารถสะทอ้ นความช่ัวรา้ ยของระบบการเมืองได้อยา่ งดี
ตรีศิลป์ บุญขจร ( ๒๕๒๓ : ๖-๑๐ ) กล่าวว่า วรรณกรรมย่อมสัมพันธ์กับสังคม วรรณกรรมสะท้อน
ประสบการณช์ ีวิตในยุคสมยั ไม่ว่าจะจงใจสะทอ้ นสังคมหรือไม่ก็ตาม นักวิจารณ์บางคนจึงกล่าวว่า วรรณกรรม
เป็นคันฉ่องแห่งยุคสมัย เน่ืองจากเป็นภาพถ่ายชีวิตของยุคสมัยน่ันเอง ความสัมพันธ์ระหว่างวรรณกรรมกับ
สงั คมมี ๓ ลักษณะดงั น้คี อื
๑. วรรณกรรมเป็นภาพสะท้อนของสังคม ซ่ึงการสะทอ้ นสังคมของวรรณกรรมมิใช่เป็นการสะทอ้ นอย่าง
บันทึกเหตุการณ์ทานองเอกสารประวตั ศิ าสตร์ แต่เปน็ ภาพสะทอ้ นประสบการณ์ของผเู้ ขียนและเหตกุ ารณ์หนึ่ง
ของสังคม วรรณกรรมจึงมีความเป็นจริงทางสังคมสอดแทรกอยู่ นักเขียนบางคนมีความรับผิดชอบต่อสังคม
เป็นอย่างมาก เขาจะสะท้อนความปรารถนาที่จะปรับปรุงหรือเปล่ียนแปลงสังคมให้ดีขึ้น วรรณกรรมของเขา
ฉายใหเ้ ห็นสง่ิ ทเี่ รียกว่าอดุ มการณ์ ซง่ึ อาจจะเปน็ อุดมการณ์ทางสงั คมหรืออดุ มการณท์ างการเมืองก็ได้
๒. สังคมมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมหรือต่อนักเขียน ซึ่งนักเขียนอยู่ในสังคมย่อมได้รับอิทธิพลจากสังคมท้ัง
ดา้ นวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี ศาสนา ปรชั ญาและการเมือง สภาพการณ์ของปัจจัยเหล่านี้ย่อมเป็น
ส่ิงกาหนดโลกทัศน์และชีวทัศน์ของเขา การพิจารณาอิทธิพลของสังคมต่อนักเขียน ควรให้ความสนใจว่า
นักเขียนได้รับอทิ ธิพลจากสังคมมาอย่างไร และเขามีท่าทสี นองตอบต่ออิทธพิ ลเหล่านน้ั อย่างไร
๓. วรรณกรรมหรือนักเขียนมีอิทธิพลต่อสังคม นักเขียนที่ย่ิงใหญ่นอกจากมีความสามารถในการ
สร้างสรรค์วรรณกรรมให้มีชีวิต โน้มน้าวจิตใจผู้อ่านแล้ว ยังเป็นผู้มีทัศนะกว้างไกลกว่าคนธรรมดา สามารถ
เข้าใจโลกและมองสภาพความเป็นจริงได้ลึกกว่าคนทั่วไปมองเห็น ด้วยทัศนะที่กว้างไกลและลุ่มลึก ภาพที่เขา
ให้จึงเป็นจริงย่ิงกว่าความเป็นจริง ด้วยเหตุน้ีวรรณกรรมที่ย่ิงใหญ่จึงเป็นอมตะ เพราะไม่เพียงแต่จะเสนอภาพ
ปจั จบุ นั อยา่ งถงึ แก่นของความเปน็ จรงิ เท่านัน้ แตย่ งั คาดคะเนความเป็นไปในอนาคตได้อกี ด้วย
ดังน้นั อทิ ธพิ ลของวรรณกรรมต่อสงั คม อาจเป็นไดท้ ง้ั ในดา้ นอิทธิพลภายนอก เช่น การ แต่งกาย หรอื การ
กระทาตามอย่างวรรณกรรม เช่น หญิงไทยสมัยหนึ่งนิยมถักหางเปีย นุ่งกางเกงขาส้ันเหมือน " พจมาน " ใน
เรื่องบ้านทรายทอง หรือย้อมผมสีแดงเหมือน " จอย " ในเรื่องสลักจิต เป็นต้น และอิทธิพลทางความคิด
๔๗
การสร้างค่านิยม รวมท้ังความรู้สึกนึกคิด ดังเช่น หนังสือเรื่อง " The Social Contract " ของจัง จาคส์ รุสโซ
( Jean Jacques Rousseau ) พิมพ์เม่ือปี ค.ศ. ๑๗๖๒ เป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงการ
ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยให้แนวคิดเก่ียวกับทฤษฏีทาง
รัฐศาสตร์ท่ีสาคัญ เรียกว่า " เจตนารมณ์ทั่วไป ( General Will ) " เน้นเรื่องเสรีภาพและสิทธิของมนุษยชาติ
ก็คืออานาจอธิปไตยน่ันเอง ซึ่งถือเป็นหลักการท่ีสาคัญยิ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย อิทธิพลของ
หนังสือเล่มนม้ี ีสว่ นก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการเรียกรอ้ งอิสรภาพของสหรัฐอเมรกิ าใน ค.ศ. ๑๗๗๖ และการ
ปฏิวัติในฝร่ังเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ - ๑๗๙๒ และอิทธิพลของหนังสือเล่มน้ีก็ยังคงมีอยู่จนกระท่ังปัจจุบันน้ี ดังจะ
เห็นได้จากแนวคิดเร่ืองทฤษฏีสัญญาประชาคม ( Social Contract Theory ) ซ่ึงมีนักวิชาการได้นามาอ้างอิง
อยู่เสมอ หลังจากน้ันก็มีวรรณกรรมอีกหลายเล่ม ได้อิทธิพลและสนับสนุนการปกครองตามแนวคิดของรุสโซ
เช่น จอห์น สจ๊วต มิลล์ ( John Stuart Mill ) นักเศรษฐศาสตร์และนักคิดชาวอังกฤษ ได้เขียนหนังสือ เรื่อง
on Liberty โดยเน้นว่ารฐั บาลที่ดตี ้องใหเ้ สรีภาพแก่ประชาชน
หรือความคิดของ จอห์น ล็อค ( John Lock ) ในผลงานชื่อ Two Treatise of Government
ก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อนักปฏิวัติชาวอเมริกัน ดังจะเห็นจากคาประกาศอิสรภาพของอเมริกา ดูเหมือนว่าจะ
ลอกข้อความในหนังสือเลม่ นี้มาทงั้ หมด จะแตกตา่ งกนั เพียงมีการเปลยี่ นแปลงคาศพั ท์บางคาเท่านั้น
ปจั จยั ท่ที าใหว้ รรณกรรมไทยเปลี่ยนแปลง ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ไดแ้ ก่ วถิ ชี ีวิตของคน
ในสังคม ความคิด ความเช่ือ ค่านิยม การเปลี่ยนแปลงรูปแบบวรรณกรรม กลวิธีการเขียน การรับอิทธิพล
ทางด้านตะวันตก และเทคโนโลยีการส่ือสารที่มีการขยายตัวอย่างมาก ทาให้วรรณกรรมไทยมี
ความเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ทั้งด้านรูปแบบและเนื้อหา เกิดแนวคิดและรูปแบบของวรรณกรรมใหม่ ๆ
เกิดขึ้น แตกต่างจากวรรณกรรมในอดีต ปัจจัยเหล่าน้ีล้วนมีผลกระทบก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวรรณกรรม
ไทยมาสู่ยคุ ปจั จบุ ัน