บทที่ ๔
คณุ ค่าและบทบาทของวรรณกรรม
วรรณกรรมเป็นเคร่ืองมือส่ือสารที่สามารถแสดงออกถึงศิลปะอันประณีต การศึกษาหรือการ อ่าน
วรรณกรรมจะทาให้ผู้อ่านมองสภาพสังคม วัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ ท่ีบรรดานักเขียน ได้บรรจง
ถา่ ยทอดออกมาในแตล่ ะยุคสมยั ฉะนั้นแล้วในการศึกษาวรรณกรรมปจั จุบันจึงตอ้ งศึกษาในมมุ ท่ีกวา้ ง กลา่ วคือ
ผู้ศึกษาต้องเข้าใจในเร่ืองคุณค่าและบทบาทของวรรณกรรมเป็นสาคัญ เพ่ือแนวทางที่จะต่อยอดในการศึกษา
วรรณกรรมครัง้ ต่อไป
๔.๑ คุณคา่ ของวรรณกรรม
วรรณกรรมมีความสาคัญต่อมนุษย์แทบทุกด้าน อาจกล่าวได้ว่าสังคมมนุษย์ท่ีเจริญมีอารยธรรม
และเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวรรณกรรมทั้งส้ิน วรรณกรรมต่างมีคุณค่า ความสาคัญ และ
อทิ ธพิ ลไมม่ ากกน็ อ้ ย ซงึ่ คณุ ค่าเหลา่ น้ีได้มผี ู้แสดงความคิดเห็นไวห้ ลากหลาย ดังนี้
ธวชั ปุณโณทก ( ๒๕๒๗ : ๐๗ - ๑๐ ) ได้กล่าวถึงคุณค่าของวรรณกรรมไวว้ ่า ในการพิจารณาคุณคา่ ของ
วรรณกรรมปัจจุบัน เราน่าจะต้องกาหนดสมมุติฐานเบื้องต้นว่า “วรรณกรรมนั้นเป็นสิทธิของปวงชน มิใช่เป็น
ของชนกลมุ่ หนึ่งกลุ่มใด กล่าวคือเป็นกรรมสทิ ธ์ิของกลุ่มปัญญาชนจนถึงกรรมกร ส่วนผู้ประพนั ธน์ ัน้ เป็นเพียงผู้
เสนอแนวคิดความสานึกต่อสังคมในทัศนะของผู้ประพันธ์เท่าน้ัน ถ้าทัศนะดังกล่าวของกวีผู้ประพันธ์เป็นท่ี
ยอมรับของสังคมทกุ ชนช้นั เราอาจจะเชื่อไดว้ ่าวรรณกรรมเร่ืองน้ันเป็นแนวคดิ ร่วมทัศนะร่วมของสังคมในสมัย
นั้น กล่าวคือเป็นวรรณกรรมท่ีจาหน่ายดี มผี คู้ นกลา่ วถงึ และวิพากษ์วิจารณก์ นั มาก ตลอดจนเปน็ ที่ชนื่ ชอบของ
คนทั่วไป” ในการกาหนดสมมุติฐานเบ้ืองต้นดังกล่าวนี้เป็นแนวคิดที่น่าจะต้องยึดถือกันอย่างจริงจัง
เน่ืองจากว่านักวิจารณ์วรรณกรรมในปัจจุบันนี้มักจะถือความเห็นของกลุ่มของตนเป็นเกณฑ์ในการศึกษาคุณ
ค่าของวรรณกรรม และมองข้ามวรรณกรรมบางเรื่องวา่ เป็น “วรรณกรรมนา้ เนา่ ” มักเสนอความเหน็ ว่าไมไ่ ด้ให้
คุณค่าทางปญั ญาต่อสังคม แต่กลับตรงข้ามวรรณกรรมดังกลา่ วอาจจะเป็นวรรณกรรมที่คน สว่ นใหญ่นิยมอ่าน
มากก็ได้ ฉะน้ันในการพิจารณาทางคุณค่าของวรรณกรรมนั้น อาจจะต้องมองไปถึงสถิติการจาหน่ายและ
จานวนคร้ังท่ีพิมพ์อีกด้วย ผู้เขียนอยากมองวรรณกรรมในหลักของเศรษฐศาสตร์ กล่าวคือผู้ผลิต (ทวี
ผปู้ ระพันธ)์ และผบู้ ริโภค (ผอู้ ่าน) กวผี ู้ประพันธเ์ ป็นผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑต์ าม ความสานึกของตนทีเ่ ห็นว่าเป็น
ความต้องการของตลาด (ผู้อ่าน) ผลิตภัณฑ์น้ันอาจจะถูกตัดกับรสนิยมของปวงชนหรือไม่นั้นต้องพิจารณาใน
เชิงการตลาดเป็นเกณฑ์ เหตุว่าผู้บริโภคในสังคมนั้นเป็นกลุ่มชนหลายระดับช้ัน มีข้อจากัดแตกต่างกันทั้ง
ทางด้านความรู้ความสามารถ ระดับสติปัญญา ความรู้สึกนึก อีกพัฒนะต่อสังคมและการเมือง นอกจากน้ียังมี
ความต้องการในการอา่ นวรรณกรรมในลกั ษณะที่ดนิ กัน กลา่ วคืออา่ นเพอ่ื ต้องการความบันเทิงใจ หรอื อา่ นเพื่อ
ผดุงปัญญา หรืออ่านเพ่ือได้ทัศนะอันกว้างต่อสังคมเหล่าน้ีเป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามวรรณกรรมนั้นน่าจะต้อง
ตอบสนองความบันเทิงใจ และให้แง่คิดหรอื ประเทืองปัญญานน้ั เปน็ เป้าหมายรอง
อีกประการหนึ่งที่น่าเป็นห่วง คือนักวิจารณ์วรรณกรรมปัจจุบันน้ันมักจะใช้มโนทัศน์ร่วมของสังคม
ปัจจุบันท่ีนักวิจารณ์มีชีวิตอยู่ไปพิจารณาวรรณกรรมที่แพร่หลายมาแล้ว ๒-๓ รอบทศวรรษ เป็นการเอาไม้
บรรทัดน้ิวไปวัดที่สร้างขึ้นมาด้วยบรรทัดเซนต์ หรือนาแว่นปัจจุบันไปส่องดูเรื่องสมัยอดีต ซึ่งสภาพของสังคม
๔๙
ความรู้สึกนึกคิดของสังคมต่างไปจากปัจจุบัน และเราไม่อาจจะทราบได้ว่าคนสมัยท่ีวรรณกรรมน้ัน ๆ กาเนิด
มา เขาพูดเขาคุยเขาวิตกกังวลกันเร่ืองใดมาก ซ่ึงผู้ประพันธ์ได้เสนอมาเป็นเพียงทัศนะหนึ่ง (ของผู้ประพันธ์)
เท่านั้น เรามักจะพบอยู่เนือง ๆ ว่าในช่วงบ้านเมืองวุ่นวาย ความคิดของผู้คนสับสนขัดแย้งกันในทางการเมือง
การเศรษฐกิจ วรรณกรรมประเภทหลีกหนสี ังคม หรอื เรื่องพาฝนั นวนิยาย กลับสนองความต้องการของสังคม
ได้ดี เนื่องจากผู้คนเบื่อท่ีจะเผชิญข้อเท็จจริง บางเรื่องที่ฟังจนเบ่ือหน่าย จึงหันเข้าหาวรรณกรรมประเภท
ดังกล่าว เช่น สมัยหลังสงครามโลกคร้ังท่ีสอง ภาวะเศรษฐกิจตกต่า ทิศทางการเมืองไม่แน่นอน วรรณกรรม
ประเภทชวนขัน เรื่อง พล นิกร กิมหงวน ของ ป. อินทรปาลิต ได้กาเนิดขึ้นมาอย่างสง่าผ่าเผยในวงการ
วรรณกรรม หรือในปัจจุบัน น้ี (พ.ศ.๒๕๒๔) ภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยจะมั่นคงท้ังภายนอกและภายในประเทศ
(เนื่องจากวิกฤติการณ์ น้ามันเชื้อเพลิง) และความม่ันคงทางด้านการเมือง ตลอดจนสภาพสังคมกรุงเทพฯ
ผลักดนั ให้ผูค้ นมีวิถีชีวติ เสมือนธุรกิจ เหล่าน้ีเป็นเหตุใหว้ รรณกรรมจนี ประเภทกาลังภายในเข้ามาครองตลาดได้
แต่ในขณะเดียวกนั วรรณกรรมที่ประเทืองปัญญาก็มิได้ลดความสาคัญลงไป ฉะนน้ั การท่ีนักวจิ ารณ์วรรณกรรม
มงุ่ แต่สารัตถประโยชน์ของวรรณกรรมมากเกินไป อาจจะไม่ใหค้ วามเป็นธรรมแก่วรรณกรรมทไี่ ม่อยู่ในอุดมคติ
ของกลุ่มนักวิจารณ์วรรณกรรมรุ่นใหม่ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามนักศึกษาวรรณกรรมรุ่นใหม่ก็ตระหนักในข้อเสนอ
ดงั กลา่ วอย่ไู มน่ อ้ ย และมคี วามเหน็ ว่าวรรณกรรมนั้นน่าจะรับใชส้ ังคมส่วนรวม ดังที่ พลศักดิ์ จิรไกรศริ ิ เขยี นว่า
“มนษุ ยเ์ ราผลิตวรรณกรรมขึ้นมาก็เพื่อรับใช้มนุษยส์ ่วนข้างมาก หรือทงั้ หมดในสังคม หาได้คิดขึ้นมาเพ่ือ
ไว้ให้คนหยิบมือหนึ่งอ่านรู้เรื่องเข้าใจ แต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้น ธาตุแท้ของความเป็น
วรรณกรรมจงึ อยู่ทเี่ ป็นเคร่อื งมอื สาหรับสื่อความหมาย ถา้ หากวา่ วรรณกรรมสามารถเพียงสอื่ ความหมายใหค้ น
สว่ นนอ้ ยไดร้ ู้เท่านั้น ก็เหน็ วา่ จะเปน็ วรรณกรรมท่ีมีคณุ คา่ ได้ยากแท้ทเี ดยี ว”
ฉะนั้นการพิจารณาคุณค่าแห่งวรรณกรรมน้ัน เราน่าจะตระหนักถึงคนส่วนใหญ่ในสังคมว่ายอมเพียงใด
ซึ่งอาจจะดูจากการบริโภค การใช้วรรณกรรมน้ัน ๆ เป็นเกณฑ์ได้อย่างหนึ่ง หรือการแพร่กระจายของ
วรรณกรรมนั้นในสังคมยุคนั้นสมัยนัน้ นอกจากน้ีแนวคิดคตินิยม ตลอดจนสารัตถะในวรรณกรรมเหล่าน้ันได้มี
ผลต่อเนื่องในการพัฒนาสังคมให้ความกระจ่างในแนวความคิดความเห็นและทศั นะต่อสังคมเพยี งไร ตลอดจน
ให้ความช่ืนชอบแก่ปัจเจกบุคคลในสังคมทุกช้ันทุกระดับอีกด้วย ซ่ึงในการพิจารณาคุณค่าของวรรณกรรมของ
นักวิชาการบางท่านจึงมีปัญหาอยู่มาก เป็นต้นว่าตามทัศนะของเสฐียรโกเศศ เห็นว่า “ศิลปกรรมจะมีลักษณะ
สูงต่าเพียงใด มีอยู่ด้วยกัน ๖ หลัก คือ ความนึก (Conception) ความสะเทือนใจ (Emotion) การแสดงออก
(Expression) องค์ประกอบ (Composition) ท่วงท่าที่แสดง (Style) และเทคนิค (Technique) ถ้ากล่าวถึง
วรรณศิลป์และดุริยางค์ก็จะต้องเพิ่มหลักทฤษฎีของเสียงและความหมายของถ้อยคาเข้าไปด้วย จากทัศนะ
ดังกล่าวของเสฐียรโกเศศน้ัน การพิจารณาคุณค่าของวรรณกรรมจึงหยุดอยู่ท่ีรูปแบบเท่าน้ัน (ศิลปะการประ
พนั ธ)์ มิได้นาเน้ือหาสารัตถะของวรรณกรรมท่ีสะท้อนภาพสังคมมาพจิ ารณารวมด้วย ซึ่งท้ังรูปแบบและเนอื้ หา
สารัตถะของวรรณกรรมน้ัน น่าจะต้องเก่ียวพันกันอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะเนื้อหาในเชิงรับใช้สังคมส่วนรวม
เพราะคุณค่าของวรรณกรรมนอกจากจะรับใช้สังคมส่วนรวมของมนุษย์ข้างมากและจะต้องมีพื้นฐานหลักอยู่ที่
กฎว่าด้วยการเปล่ียนแปลงที่ยังสามารถพิจารณาได้อีก ๒ ประการ คือ ข้อวินิจฉัย ท่ีว่าด้วยคุณค่าสาระสาคัญ
(Potential Values) ของวรรณกรรมน้ัน และข้อวินจิ ฉัยทว่ี า่ ดว้ ยประสิทธิภาพท่ีแท้จรงิ (Actual Efficiencies)
จากเกณฑด์ ังกล่าวจึงนา่ จะอนุมาณไดว้ ่าวรรณกรรมทด่ี ีมคี ุณค่า จึงมใิ ช่ข้ึนอยูแ่ ต่เพียงว่ามคี ณุ คา่ ทางเน้ือหาและ
รูปแบบเท่าน้ัน ยังต้องมีประสิทธิภาพที่แท้จริง สามารถทาให้แนวคิดต่าง ๆ เกิดเจริญงอกงามอยู่ในสังคมได้
๕๐
และเป็นเวลายาวนาน กล่าวคือเป็นแนวคิดร่วมของสังคม มิใช่รับใช้กลุ่มมนุษย์เพียงเล็กน้อย แต่ต้องสัมผัสถึง
ประชาชนกลุ่มข้างมากด้วย ตามนัยดงั กล่าวนี้จะตรงกบั การกาหนดคุณค่าของวรรณกรรมวา่
๑. ทางด้านเน้ือหาของวรรณกรรม ต้องเอ้ือต่อการชักจูงให้ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับการเปล่ียนแปลง
ของสภาพสงั คมซึ่งไม่หยดุ นิง่ และประชาชนต้องปรบั ตัวให้เข้ากับสภาพของสังคมนนั้ ๆ เพอื่ มชี วี ติ ทีด่ ขี ้นึ
๒. ทางด้านรูปแบบของวรรณกรรม ซ่ึงจะต้องมีลักษณะเด่นชัด มีความงามความง่ายเป็นพ้ืนฐาน เพื่อมี
ประสิทธิภาพอันแท้จริงในการเข้าถึงปวงประชาส่วนข้างมาก หรือปวงชนสามารถเข้าใจเน้ือหาอันทรงค่าของ
วรรณกรรมน้ันได้อย่างง่ายดาย ซ่ึงเป็นผลให้ภาษาโวหารในวรรณกรรมเรียบง่ายไม่ซับซ้อน และการเสนอ
แนวคดิ หรือทศั นะในวรรณกรรมต้องไมซ่ ับซ้อน
ได้พยายามสรรค์สร้างเสนอต่อสาธารณชน ซ่ึงเป็นทัศนะของกวีเอง จึงเปรียบเหมือนผลผลิตที่เสนอ สู่
ตลาดเพื่อการบริโภค การท่ีสังคมส่วนรวมหรือส่วนข้างมากยอมรับและให้ความนิยมแก่ผลิตผลน้ัน ก็แสดงให้
เห็นว่าผลผลิตนัน้ ได้ตอบสนองความต้องการของสงั คมซ่ึงเป็นแนวคดิ ร่วม ในลักษณะดงั กล่าววรรณกรรมนนั้ จะ
คงอยูไ่ ด้นาน ในทีส่ ุดก็กลายเป็นวรรณกรรมแบบฉบบั (Classical) หรือ วรรณคดี (ในทศั นะใหม)่
สายทิพย์ นุกูลกิจ (๒๕๓๗ : ๔๖) ได้กล่าวถึงวรรณกรรมปัจจุบันไว้ว่า วรรณกรรมไทยยุคปัจจุบัน จะให้
คุณค่าทางปัญญามากกว่าคุณค่าทางอารมณ์ ทั้งนี้เพราะผู้แต่งถือว่าโครงเร่ืองสาคัญกว่าศิลปะการใช้ภาษา ผู้
แต่งจึงเพ่งเล็งท่ีความสมจริงและความแปลกใหม่ของโครงเรื่องมากกว่าศิลปะการใช้ถ้อยคาสานวนภาษา ด้วย
เหตุน้ี ผู้อ่านวรรณกรรมไทยปัจจุบันจึงมักสนใจที่จะอ่านเพื่อศึกษาว่าเรื่องนั้น ๆ มีเน้ือหาและมีวิธีการเสนอ
เรื่องทีแ่ ปลกใหม่ ดูสมจริง และน่าสนใจแตกตา่ งไปจากเรือ่ งอ่นื ๆ อย่างไร
พงศ์ศักดิ์ สังขภิญโญ (๒๕๕๓ : ๐๗ - ๑๒ ) กล่าวถึงคุณค่าของวรรณกรรมไว้ว่า วรรณกรรมมิใช่เป็นแต่
เพียงสื่ออย่างเดียว หากส่ิงที่แฝงลึกลงไปในช่องไฟระหว่างตัวอักษรยังสะท้อนให้เห็นถึงความตื้นลึกหนาบาง
ทางภมู ิปัญญาของผู้เขยี น และลึกลงไปในภูมิปัญญาน้นั ก็คอื ความจริงใจท่ีผ้เู ขียนสะทอ้ นต่อตัวเองและต่อผูอ้ ่าน
(พิทยา ว่องกุล, ๒๕๔๐, หน้า ๑) วรรณกรรมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ ชาติที่เจริญแล้วทุกชาติจะต้องมี
วรรณกรรมเป็นของตวั เอง และวรรณกรรมจะมีมากหรือน้อย ดีหรือเลว ก็แล้วแต่ความเจริญงอกงามแห่งจิตใจ
ของชนในชาติน้ัน ๆ วรรณกรรมเป็นเคร่ืองช้ีให้รู้ว่าชาติใดมีความเจริญทางวัฒนธรรมสูงแค่ไหน และยุคใดมี
ความเจริญสูงสุด วรรณกรรมจึงเป็นเครื่องมือส่ือสารความรู้สึกนึกคิดถ่ายทอดจินตนาการและแสดงออกซึ่ง
ศิลปะอันประณีตงดงาม การศึกษาหรืออ่านวรรณกรรมแต่ละเร่ืองทาให้ผู้อ่านมองเห็นภาพสังคมวัฒนธรรม
การเมืองและเศรษฐกิจของยุคสมัยท่ีผู้ประพันธ์ได้สะท้อนผ่านมุมมองของตนออกมารวมทั้งทาให้ผู้อ่านเข้าใจ
ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนท่ีมีต่อสภาพการณ์เหล่านั้นด้วยดังน้ันวรรณกรรมจึงมีความสาคัญต่อมนุษย์แทบทุก
ด้านอาจกล่าวได้ว่า สังคมมนุษย์ท่ีเจริญมีอารยธรรมและเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของ
วรรณกรรมทัง้ ส้นิ วรรณกรรมจงึ มบี ทบาทและความสาคัญ สรุปไดด้ งั น้ีคือ
๑. คณุ ค่าทางอารมณ์ วรรณกรรมส่วนใหญ่เกดิ จากแรงบนั ดาลใจของผ้ปู ระพันธแ์ ล้ว ถา่ ยโยงมายังผู้อ่าน
ซ่ึงผู้อ่านจะตีความวรรณกรรมน้ัน ๆ ออกมาซึ่งอาจจะตรงหรือคล้ายกับ ผู้ประพันธ์ก็ได้ เช่น อารมณ์โศก
อารมณ์รัก อารมณ์โกรธ เคียดแค้น เป็นต้น โดยวรรณกรรมจะ เป็นเครื่องขัดเกลาอัธยาศัยและกล่อมเกลา
อารมณ์ให้รู้สึกชื่นบานและร่าเริงในชีวิต ทาให้หายจากความมีจิตใจที่คับแคบรู้ค่าความงามของธรรมชาติ
ความมีระเบียบเรียบร้อย ความดี ความงาม และความจรงิ หรอื สัจธรรม ท่ีแฝงอยู่กับความรนื่ เรงิ บนั เทงิ ใจ หรือ
การได้ร้องไห้กับตัวเอกของเรื่องในหนังสือหรือหัวเราะกับคาพูดในหนังสือน้ันมีผลดีทางด้านอารมณ์ ดังท่ี
๕๑
เจตนา นาควัชระ (๒๕๒๙, หนา้ ๘๒) กล่าวว่า เราจะต้องไม่ลืมว่าวรรณกรรมมิใชก่ ารสง่ั สอนโดยตรง มิใช่การ
โฆษณาชวนเช่ือ การปลุกสานึกเชิงสังคม อาจจะทาไดด้ ีท่ีสุดด้วยวิธีการของศลิ ปะกไ็ ด้ เพราะการเปล่ียนใจของ
มนษุ ย์นนั้ คงไม่มวี ิธีใดดีกวา่ จับใจเขาเสียก่อนด้วยสุนทรยี อารมณ์
๒. คุณค่าทางปัญญา วรรณกรรมแทบทุกเร่ืองผู้อ่านจะได้รับความคิด ความรู้เพิ่มข้ึนไม่มากก็น้อย มีผล
ให้สติปัญญาแตกฉานทั้งทางด้านวิทยาการ ความรู้รอบตัว ความรู้เท่าทันคน ความเห็นอกเห็นใจต่อเพ่ือน
มนุษย์ด้วยกัน เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนกับตัวละครในเร่ืองให้ข้อคิดต่อผู้อ่านขยายทัศนคติให้กว้างขึ้น บางคร้ังก็ทา
ให้ทัศนคติที่ผิดพลาดกลับกลายเป็นถูกต้อง เช่น เราเคยมีทัศนคติว่าคนยิวเป็นคนตระหน่ี เห็นแก่ตัว พาให้
สังคมรังเกียจ ครั้นได้อ่านเรื่อง The Diary of a Young Girl แต่งโดยแอนน์ แฟร้งค์ (Ame Frank) (แปลเป็น
ภาษาไทย ช่ือ บันทึกลับของ แอนน์ แฟร้งค์ โดยสังวรณ์ ไกรฤกษ์) หรือเร่ือง Child of the Holocaust แต่ง
โดย แจ็ค ซูเปอร์ (Jack Kuper) (แปลเป็นภาษาไทยช่ือเลือกเกิดเป็นยิว โดยจาเนียร สิทธิดารงค์) และเร่ือง
Mon Ami Frederic แต่งโดย ฮันส์ ปีเตอร์ ไรซ์เตอร์ (แปลเป็นภาษาไทยช่ือเฟรเดอริก เพ่ือนรัก โดย งาม
พรรณ เวชชาชีวะ) เป็นต้น ซ่ึงเป็นเร่ืองที่ถ่ายทอดโดยเด็กชาวยิว เม่ืออ่านแล้วเกิดความรู้สึกสงสารคนยิวท่ี
กาลงั ถกู ตามฆา่ ต้องพยายามหาทางเอาชีวิตรอด เกิดความรกั และสงสารคนยวิ ในฐานะเป็นเพ่ือนมนษุ ย์ดว้ ยกัน
ทัศนคติเดิมที่มีต่อผิวก็เปล่ียนแปลงไป หรือผู้อ่านได้อ่านวรรณกรรมเร่ืองสามก๊กและราชาธิราช จะให้รู้จักกล
ยุทธในการสงคราม กลอุบายต่าง ๆ เล่ห์เหลี่ยม นิสัยใจคอของคน และความคิดอันปราดเปร่ืองของตัวละคร
บางตัว พร้อมกันน้ีวรรณกรรมแทบทุกเรื่องจะแทรกสัจธรรมท่ีผู้อ่านสามารถนามาใช้ประโยชน์ทาให้จิตใจ
สูงข้ึนหรือนามาใช้ประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจาวัน เช่น คาโคลงโลกนิติ ของกรมพระยาเดชาดิศร หรือเพลง
ยาวถวายโอวาท และสวัสดีศึกษาของสุนทรภู่ เป็นต้น ดังคากล่าวของเจตนา นาควัชระ (๒๕๒๙, หน้า ๘๘)
กล่าวว่าหนา้ ท่ีทางสังคมของวรรณกรรม อาจจะมใิ ช่การแกป้ ัญหาทางสังคมในเชิงปฏิบตั ิหรือการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมมนษุ ยใ์ นระยะสั้น แต่เป็นหน้าที่ของการให้แสงสว่า ทางปัญญา
๓. คุณค่าทางศีลธรรม วรรณกรรมเร่ืองหนึ่ง ๆ อาจจะมีคติหรือแง่คิดอย่างหน่ึงแทรกไว้ อาจจะเป็นเน้ือ
เร่ืองหรือเป็นคติคาสอนระหว่างบรรทัด ซึ่งวรรณกรรมแต่ละเรื่องให้แง่คิดไม่เหมือนกัน บางครั้งผู้อ่านที่อ่าน
อย่างผิวเผิน จะตาหนิตัวละครในเรื่องน้ันว่ากระทาผิดศีลธรรมไม่ส่งเสริมให้คนมีศีลธรรม แต่ถ้าพิจารณาและ
ติดตามต่อไปผู้อ่านก็จะพบว่าใครก็ตามท่ีมีอยู่ในศีลธรรมก็จะต้องประสบความทุกข์ยาก ความล้มเหลว
และความเกลียดชังจากสังคม อาจจะเป็นเพราะกรรมของแต่ละคน บางคนประกอบกรรมมาต่างกรรมต่าง
วาระ แต่อาจจะพบจุดจบในกรรมอันเดียวกันก็ได้ เช่น เร่ืองพระลอ เป็นวรรณกรรมสะเทือนอารมณ์ ซ่ึงได้
แทรกข้อคิดเกีย่ วกับความรัก และความรับผิดชอบในหน้าที่ ให้ผู้อ่านได้พิจารณา ถ้าบังเอิญมีเหตุการณ์ในชีวิต
เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันทั้งความรัก และความรับผิดชอบจะเลือกทางไหน พระลอได้เลือกความรักและประสบกับ
ความยุ่งยากจนสิ้นชีวิต เป็นตัวอย่างที่ไม่ต้องการให้ใครเอาอย่าง ซึ่งตามหลักการของวรรณกรรมนั้น ในเร่ือง
ของศีลธรรมส่ิงที่ผู้อ่านต้องนามาคิดก็คือเป็นศีลธรรมของคนกลุ่มใด ของใคร และสมัยใด เพราะศีลธรรมก็
ต่างกันตามวาระยุคและสมัยของแต่ละสังคมด้วย เช่น ผู้อ่านอาจจะโทษว่าพระลอ พระเพื่อน พระแพง ไม่
ตั้งอยู่ในศีลธรรม ผู้อ่านก็ต้องพิจารณาหลาย ๆ ด้าน ท้ังในเรื่องของสังคม ค่านิยม บุคคล ฐานะ และทาง
แนวคิดและจุดประสงค์ของผู้แต่งว่าเพ่ืออะไร วรรณกรรมที่ให้คุณค่าทางศีลธรรมแก่ผู้อา่ นที่เห็นไดช้ ัดเจนก็คือ
วรรณกรรมทางศาสนา ได้แก่ เร่ืองชาดกต่างๆ เช่น เวสสันดรชาดก สุวรรณสามชาดก นอกจากนั้นก็มีนิทาน
นิยายต่าง ๆ เช่น นิทานอีสป นวนิยายที่มุ่งสอนศีลธรรม เช่น กองทัพธรรม ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ เป็นต้น หรือ
๕๒
เร่ืองไตรภูมิพระร่วง ของพญาลิไท พระปฐมสมโพธิกถา ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิต
ชโิ นรส เป็นต้น
๔. คุณค่าทางวัฒนธรรม วรรณกรรมทาหน้าท่ีผู้สืบต่อวัฒนธรรมของชาติจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่น
หนึ่ง เป็นสายใยเช่ือมโยงความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของคนในชาติ ในวรรณกรรมมักจะบ่งบอกคติของคนใน
ชาติไว้ เช่น วรรณกรรมสมัยสุโขทัยจะทาให้เราทราบว่าคติของคนไทยสมัยสุโขทัยนิยมการทาบุญให้ทาน
เป็นต้น วรรณกรรมของชาติมักจะเล่าถึงประเพณีนิยม คติชีวิต การใช้ถ้อยค่าภาษา การดารงชีวิตประจาวัน
การแก้ปัญหาสังคม อาหารการกิน ทีอ่ ยู่อาศยั เสื้อผ้า เป็นต้น เพ่ือให้คนรุ่นหลังมีความรู้เกี่ยวกับคนรุน่ ก่อน ๆ
และเข้าใจวิถีชีวิตของ คนรุ่นก่อน เข้าใจเหตุผลว่าทาไมคนรุ่นก่อน ๆ จึงคิดเช่นน้ัน ทาเช่นนั้น ก่อให้เกิด
ความเข้าใจอันดีต่อกัน ดังเช่น วรรณกรรมเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ ช่วยให้ผู้อ่านได้ทราบถึง
พระราชพิธีตา่ ง ๆ เช่น พระราชพิธีโสกันต์ เป็นตน้ หรือเรื่องขุนช้าง - ขนุ แผน ทาใหผ้ ู้อ่านเข้าใจประเพณีการ
เกิดการโกนจกุ การบวช การแต่งงาน การเผาศพ เป็นต้น อยา่ งไรก็ตามคณุ ค่าทางวฒั นธรรมน้ีเป็นเรอื่ งเฉพาะ
ของแต่ละสังคม ถ้าสามารถสร้างให้เกิดความรู้สึกที่เป็นสากล คือมีอุดมคติเป็นกลาง สามารถเป็นท่ียึดถือของ
ทุกสังคม กน็ ับเป็นคุณค่าทางวัฒนธรรมท่ีถือเปน็ ความสามารถอย่างย่ิง และที่สาคญั วัฒนธรรมอยู่ได้ส่วนหนงึ่ ก็
เพราะมีวรรณกรรมบันทึกไว้เป็นหลักฐาน กล่าวอกี นัยหน่ึงจะโดยรสู้ ึกตนหรอื ไม่ก็ตาม นักประพันธย์ อ่ มจะแต่ง
เร่ืองท่ีกล่าวถึงวัฒนธรรมของตน (และอาจจะของผู้อื่นด้วย) และในบางคร้ังบางคราว เมื่อแปลหรือเรียบเรียง
หรือเอาเค้าเดิมมาจากวรรณกรรมต่างประเทศ ก็จะกล่าวถึงวัฒนธรรมของต่างประเทศเท่าท่ีตนรู้และเข้าใจ
ดว้ ย ผูอ้ ่านก็จะเกดิ ความร่นื รมย์และชนื่ ชมหรอื แปลกประหลาดไปกบั วัฒนธรรมนนั้ ๆ ด้วย
๕. คุณค่าทางประวัติศาสตร์ การบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มุ่งจุดแต่ข้อเท็จจรงิ ไม่ช้าก็อาจจะเบ่ือหน่าย
หลงลืมได้ เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรกับ พระมหาอุปราช ใน
ประวตั ิศาสตร์อาจจะจดบันทึกไว้เพยี งไม่กี่บรรทดั ผูอ้ ่านก็อาจจะอ่านข้าม ๆ ไปโดยไม่ทันสังเกตและจดจา ถ้า
ไดอ้ ่านลลิ ิตตะเลงพา่ ยจะจาเร่ืองยุทธหัตถีไดด้ ีขึ้นและยงั เห็น ความสาคัญของเหตุการณ์บา้ นเมืองในตอนนนั้ อีก
ด้วย ท้ังน้ีเพราะผู้อ่านได้รับรสแห่งความสุขบันเทิงใจในขณะที่อ่านลิลิตตะเลงพ่าย หรือ วรรณกรรม
ประวตั ศิ าสตร์อื่น ๆ ที่นาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาใชเ้ ป็นวตั ถุดิบในการแตง่ ด้วย อย่างไรก็ตามวรรณกรรม
ดังกล่าวมิใช้เอกสารวิชาการสาหรับอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ ตรงข้ามประวัติศาสตร์ต่างหากที่เป็น
เอกสารอ้างอิงของวรรณกรรม ดังนั้นการใช้วรรณกรรมเป็นเอกสารอ้างอิงทางประวัติ ประวัติศาสตร์จึงอาจ
คลาดเคล่ือนได้ อย่างไรก็ตามวรรณกรรมถือเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพในอดีตของแต่ละชาติได้อย่างดีที่สุด
เร่ืองราวที่เป็นประวัติศาสตร์หลายเร่ืองศึกษาได้จากวรรณกรรมไม่มากก็น้อย เช่น สงคราม ทาสระหว่าง
อเมริกาเหนือและใต้ สามารถอ่านได้จากเรื่อง Gone With the Wind แต่งโดยมากาเร็ท มิทเซล (Margaret
Mittcbell) (แปลเป็นภาษาไทย ช่ือ วิมานลอย โดย รอย โรง นานนท์) หรือเร่ือง Uncle Tom's Cabin แต่ง
โดย แฮเรยี ท บชี อร์ สโตร์ (Harriet Beeche Stowe) (แปลเป็นภาษาไทยชื่อ กระท่อมน้อยของลุงทอม โดย อ.
สนทิ วงศ์) หรือการบุกเบิกและสร้างชาตขิ องอเมริกา จากเรอ่ื งหนังสอื ชุด Little House Series แต่งโดย ลอร่า
อิงกัลส์ ไวล์ เดอร์ (Laura Ingalls. Wilder) (แปลเป็นภาษาไทยเป็นหนังสือชุดบ้านเล็ก โดย สุคนธรส มี เล่ม
หรือ ๘ ตอนด้วยกนั คือ บ้านเล็กในป่าใหญ่ และบ้านเล็กในท่งุ กว้าง พิมพ์รวมเป็นเล่มเดียวกนั เด็กชายชาวนา
บ้านเล็กริมห้วย ริมทะเลสาบสีเงิน ฤดูหนาวอันแสนนาน เมืองเล็กในทุ่งกว้าง และปีทองอันแสนสุข) หรือเร่ือง
สี่แผ่นดิน ของ ม.ร.ว. คึกฤทธ์ิ ปราโมช ซ่ึงเป็น วรรณกรรมท่ีใช้เหตุการณ์ของประเทศไทย ตั้งแต่สมัย
๕๓
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อย่หู วั ลงมาจนถงึ ส้นิ แผน่ ดนิ พระเจ้าอยู่หวั อนนั ทมหิดล พรอ้ มกนั นผ้ี ู้เขียน
ยังให้ภาพท่ีผู้อ่านเข้าใจถึงเร่ืองราวของพระบรมมหาราชวังเร่ิมตั้งแต่ประตูช้ันนอก ช้ันกลาง ชั้นใน ตาหนัก
เจ้านาย ท่ีอยู่ของข้าหลวง จนกระทั่งถึงพระราชมณเฑียร ชีวิตของชาววังนับต้ังแต่พระบรมวงศ์ถึงคนสามัญ
การแต่งกาย ความเป็นอยู่ ธรรมเนียม การศึกษาอบรม ความสนุกสนาน และการละเล่น นอกจากนั้นได้
กล่าวถงึ ชีวติ ชนชน้ั สูงนอกราชสานกั ดว้ ย คอื พระยา คณุ หลวง และเศรษฐี
๖. คุณค่าทางจิตนาการ เปน็ การสร้างความรู้สึกนึกคิดท่ีลึกซ้ึง จิตนาการต่างกบั อารมณ์ เพราะอารมณ์
คอื ความรู้สกึ ส่วนจินตนาการ คอื ความคดิ เปน็ การลบั สมอง ทาใหเ้ กิดความคิดริเร่มิ ประดษิ ฐกรรมใหมข่ ึน้ มา
ก็ได้ จิตนาการจะทาให้ผู้อ่านเป็นผู้มองเห็นการณ์ไกล จะทาส่ิงใดก็ได้ทาด้วยความรอบคอบ นอกจากนั้น
จินตนาการเป็นความคิด ฝันไปไกลจากสภาพท่ีเป็นอยู่ในขณะน้ัน อาจจะเป็นความคิดถึงส่ิงท่ีล่วงเลยมานาน
แล้วในอดีต หรือส่ิงที่ยังไม่เคยเกิดข้ึนเลย โดยหวังว่าอาจจะเกิดข้ึนในอนาคตก็ได้ เช่น วรรณกรรมเร่ืองพระ
อภัยมณี สุนทรภู่ ผู้แต่งนั้นเป็นกวีท่ีมีจิตนาการกว้างไกลมาก ได้ใฝ่ฝันเห็นภาพการนาฟางมาผูกเป็นเรอื สาเภา
ใช้ในการเดินทางในมหาสมุทรบนยอดคล่ืน เป็นต้น ซึ่งในปจั จุบันเรือที่ทาด้วยวัสดุน้าหนักเบาอย่างฟางได้เกิด
มจี รงิ ขน้ึ แลว้ รวมทง้ั เรอื เร็วทแ่ี ลน่ ได้บนยอดคลื่นหรือบนผิวน้าด้วย
๗. คุณค่าทางทกั ษะเชิงวิจารณ์ การอ่านมากเป็นการเพ่มิ พนู ความรู้ความคดิ และประสบการณ์ให้แก่ชวี ิต
คนท่ีมีความรู้แคบมีความคิดต้ืน ๆ และประสบการในชีวิตเพียงเล็กน้อย มักจะถูกเรียกว่าคนโง่ ส่วนคนท่ีมี
ความรู้มากแต่ไมร่ ู้จักวเิ คราะห์วจิ ารณน์ ั้นอาจจะหลงผดิ ทาผิดได้ วรรณกรรมเปน็ ส่ิงย่ัวยใุ ห้ผู้อ่านใช้ความคิดนึก
ตรึกตรองตัดสินส่ิงใดดีหรือไม่ดี เช่น พฤติกรรมของอิเหนาซึ่งเป็นนักรบท่ีเก่งแต่เจ้าชู้มีมเหสีถึง 10 องค์ นั้น
เป็นสิ่งทดี่ ีหรือไม่ดี มีเหตผุ ลอะไรบ้างสนบั สนุนความคิด หรอื เรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งผอู้ ่านมีความเช่ือวา่ ขุนช้าง
เลวจรงิ หรือไม่ สมยั นอ้ี าจตอ้ งถามตัวเองว่าขุนช้างเลวนั้นเลวอย่างไร และอาจเร่ิมเหน็ ใจขนุ ช้างจนตอ้ งอา่ นใหม่
อีกครั้ง คือ เริ่มคิดวิจารณ์แล้ว เป็นการฝึกฝนการใช้วิจารณญาณท่ีก่อให้เกิดทักษะหรือความชานาญ ในเชิง
วิจารณ์ วิจารณญาณเป็นส่ิงจาเป็นมากสาหรับการดารงชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันน้ี อย่างน้อยผู้อ่านเม่ืออ่าน
หนังสือแล้ว อาจจะพูดถึงตัวละคร ชีวิต พฤติกรรม เหตุการณ์ เป็นต้น ของเรื่องน้ัน ๆ ตามความคิดเห็นของ
ตนเอง
๘. คุณค่าทางการใช้ภาษา เพราะการเขียนเป็นการถ่ายทอดความคิด เป็นการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสาร
เพ่ือรสชาติทางภาษา เพื่อจูงใจเพ่ือความติดใจและประทับใจ ทาให้ผู้อ่านสามารถสังเกต จดจานาไปใช้
ก่อให้เกิดการใช้ภาษาท่ีดีจากการเห็นแบบอย่างทั้งท่ีดี และบกพร่องทั้งการใช้คา การใช้ประโยค การใชโ้ วหาร
เป็นต้น ดังตัวอย่าง การใช้โวหารของยาขอบในวรรณกรรม เรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ เช่น “ข้าพเจ้ารักตัวเองย่ิงนัก
แตข่ า้ พเจ้ารกั ตะละแม่ยงิ่ กวา่ ตวั เอง แตท่ ัง้ ตวั เอง และตะละแม่ ข้าพเจ้ากห็ าไดร้ กั เทา่ ตองอูไม่”
๙. คุณค่าที่เป็นแรงบนั ดาลใจให้เกิดการสร้างวรรณกรรม และศลิ ปกรรมด้านต่าง ๆ วรรณกรรมท่ผี ู้เขียน
เผยแพร่ออกไปบ่อยครั้งท่ีสร้างความประทับใจ และแรงบันดาลใจให้เกิดผลงานอื่น ๆ เพิ่มข้ึน เช่น ทางด้าน
วรรณกรรมของอกาธา คริสต้ี (Agatha Christie) ซ่ึงได้รับ ฉายาว่าเป็น “ราชินีแห่งฆาตกรรม” ได้ผลิตงาน
ประเภทสบื สวนเป็นร้อย ๆ เร่ือง โดยใช้ แอร์คลู บัวโรต์ เป็นนักสืบท่ีมีคนรู้จักกันทั่วโลก และในเรื่องสุดท้ายที่
แอร์คูล บัวโรต์ เสียชีวิตในเรื่อง Cirtain ในปี พ.ศ. ๒๑๑๘ หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ ของอเมริกาได้ลงข่าวไว้
อาลัยในหน้าหน่ึง ซ่ึงก่อนหน้าน้ีไม่เคยมีและจนบัดนี้ก็ยังไม่มีตัวละครในนวนิยายอื่นใดที่ได้รับการเชิดชูเกียรติ
ถึงระดับเช่นนี้ อกาธา คริสตี้ ได้สร้างผลงานต่าง ๆ อันเกิดจากได้รับความประทับใจจากเร่ืองนักสืบ ชุดเซอร์
๕๔
ลอ็ ค โฮล์มส์ (Sherlock Holmes) ซงึ่ เปน็ ผลงานของ เซอร์อารเ์ ธอร์ โคนัน ดอยล์ (Sir Arthur Conan Doyle)
และปัจจุบันเชอร์ ล็อค โฮล์มส์ ก็ยังคงเป็นตัวละครท่ีมีผู้รู้จักกันทั่วโลก มากกว่าตัวละครใด ๆ เท่าท่ีเคยเขียน
ข้นึ มา ท้ังยังเปน็ ตวั ละครท่ีถกู นักเขียนคนอ่นื ๆ เขยี นลอก เลยี นแบบมากทีส่ ุดในโลกดว้ ย
วรรณกรรมมีคุณคา่ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสานึกคิดของผู้ประพันธ์ ซึ่งคุณค่าของวรรณกรรมก็สามารถ
แบ่งออกไปได้หลายดา้ น ทั้งด้านอารมณ์โดยวรรณกรรมจะ เป็นเคร่ืองขัดเกลาอัธยาศัยและกล่อมเกลาอารมณ์
ให้รู้สึกช่ืนบานและร่าเริงในชีวิต ทาให้หายจากความมีจิตใจที่คับแคบรู้ค่าความงามของธรรมชาติ ด้าน
ปัญญาวรรณกรรมแทบทุกเร่ืองผู้อ่านจะไดร้ ับความคิด ความรู้เพ่ิมขึ้นไม่มากก็น้อย มีผลใหส้ ติปัญญาแตกฉาน
ทัง้ ทางดา้ นวทิ ยาการ ความรู้รอบตัว ความรเู้ ท่าทนั คน ความเหน็ อกเห็นใจต่อเพ่ือนมนุษย์ดว้ ยกัน ดา้ นศลี ธรรม
วรรณกรรมเร่ืองหน่ึง ๆ อาจจะมีคติหรือแง่คิดอย่างหนึ่งแทรกไว้ อาจจะเป็นเน้ือเรื่องหรือเป็นคติคาสอน
ระหว่างบรรทัด ซ่ึงวรรณกรรมแต่ละเรื่องให้แง่คิดไม่เหมือนกัน ด้านวัฒนธรรม วรรณกรรมทาหน้าท่ีผู้สืบต่อ
วัฒนธรรมของชาติจากคนรุ่นหน่ึงไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง เป็นสายใยเช่ือมโยงความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของคน
ในชาติ ด้านประวัติศาสตร์วรรณกรรมถือเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพในอดีตของแต่ละชาติได้อย่างดีที่สุด
เรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์หลายเร่ืองศึกษาได้จากวรรณกรรมไม่มากก็น้อย ด้านจินตนาการเป็นการสร้าง
ความรู้สึกนึกคิดท่ีลึกซึ้ง จิตนาการต่างกบั อารมณ์ เพราะอารมณ์คือ ความรู้สึก ส่วนจินตนาการ คือ ความคิด
เป็นการลับสมอง ทาให้เกิดความคิดริเร่ิมประดิษฐ์วรรณกรรมใหม่ขึ้นมาก็ได้ ด้านทักษะเชิงวิจารณ์คิดวิจารณ์
แล้ว เป็นการฝึกฝนการใช้วิจารณญาณที่ก่อให้เกิดทักษะหรือความชานาญ ในเชิงวิจารณ์ วิจารณญาณเป็น
ส่ิงจาเป็นมากสาหรับการดารงชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันน้ี ด้านการใช้ภาษา เพราะการเขียนเป็นการถ่ายทอด
ความคิด เป็นการใช้ภาษาเพ่ือการส่ือสาร เพื่อรสชาติทางภาษา เพื่อจูงใจเพือ่ ความติดใจและประทับใจ ทาให้
ผอู้ ่านสามารถสังเกต จดจานาไปใช้ก่อใหเ้ กิดการใช้ภาษาที่ดีจากการเหน็ แบบอย่างทั้งท่ีดี และสุดท้าย ในด้าน
เเรงบนั ดาลใจแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างวรรณกรรม และศิลปกรรมด้านตา่ ง ๆ วรรณกรรมที่ผ้เู ขยี นเผยแพร่
ออกไปบ่อยคร้ังท่ีสร้างความประทับใจ และแรงบันดาลใจใหเ้ กิดผลงานอืน่ ๆ เพิ่มขึ้น
๔.๒ บทบาทของวรรณกรรม
วรรณกรรมปจั จุบันจะเปลยี่ นแปลงไปในทศิ ทางใดนน้ั มักเปน็ ข้อท่ีทาให้ท้ัง นักเขยี นและผู้อา่ น ได้
ถกเถยี งและแสดงความคดิ เห็นกนั อยู่เสมอ แต่ละคนก็มคี วามคดิ เห็นที่แตกตา่ งกนั ไป ซึ่งนอกจากจะขน้ึ อยู่กบั
ภมู หิ ลังของเขาเหล่านั้นแลว้ ความผันผวน ของสงั คมกน็ บั เป็นองค์ประกอบท่ีบ่งบอกได้ว่าวรรณกรรมน้นั มี
บทบาทมากนอ้ ยเพยี งใด ฉะน้ันเเล้วผ้ศู ึกษาจงึ ไดศ้ ึกษาบทบาทของวรรณกรรมไวด้ ังน้ี
พงศ์ศักดิ์ สังขภิญโญ (๒๕๕๓ : ๑๒ - ๑๔) ได้กล่าวถึงบทบาทของวรรณกรรมไว้ว่า บทบาทของ
วรรณกรรมที่ชัดเจนมากท่ีสุดก็คือ ผลกระทบทางด้านสังคม นักคิด นักเขียนทางด้านวรรณกรรมส่วนใหญ่ได้
เน้นผลกระทบทางด้านนี้มาก เพราะถือว่าวรรณกรรมท่ีจะต้องส่งผลต่อสังคมไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้จึงขอ
กล่าวถงึ เฉพาะผลกระทบหรืออทิ ธิพลทางดา้ นสงั คม ซึง่ มผี ู้แสดงความคิดเหน็ ไวห้ ลากหลายดงั นคี้ อื
เจตนา นาควชั ระ (๒๕๒๑ : ๑๓ - ๑๗) ไดเ้ สนอวา่ วรรณกรรมเปน็ สิง่ ผูกพันกับสังคม และเป็นสมบตั ริ ่วม
ของทุกยุคทุกสมัยทุกถิ่น การศึกษาวรรณกรรมจึงต้องควบคู่กับสังคม ซ่ึงเป็นแหล่งกาเนิดของวรรณกรรม
ผู้ประพันธ์ได้แสดงความคิด ปรัชญา ตลอดจนความจริงในสังคมด้วยความสนใจและความรับผิดชอบ
วรรณกรรมจงึ มีอิทธิพลตอ่ สังคม รวมทั้งพลงั ในสงั คมมนุษย์ด้วย
๕๕
สิทธา พินิจภูวดล และนิตยา กาญจนะวรรณ (๒๕๒๐ : ๔๘-๔๙) กล่าวเสริมว่า วรรณกรรมเป็นผลงาน
ของมนุษย์ ดังนั้นจึงเป็นท่ีเก็บรวบรวมความคิด ความเป็นอยู่ และลักษณะสภาพต่าง ๆ ของมนุษย์ท่ีเป็นส่วน
หน่ึงของสังคมไว้ด้วยกัน วรรณกรรมจึงกลายเป็นหนังสือท่ีสามารถสะท้อนสภาพสังคมได้ สังคมของผู้แต่ง
หนังสือมีธรรมชาติเช่นไรวรรณกรรมที่มีธรรมชาติ เช่นน้ัน สังคมน้ันเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปตาม
เหตุการณ์อย่างไร วรรณกรรมก็กล่าวถึงเหตุการณ์อย่างน้ัน เช่น เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ทางการเมือง
ทางเศรษฐกจิ มผี ลทาใหม้ นษุ ย์ในแต่ละสังคมประพฤตปิ ฏิบตั ิตนต่าง ๆ กนั หรอื บางครัง้ กอ็ อกมาในรูปเดยี วกัน
บางครั้งก็ขัดแย้งกันบางคร้ังก็กลมกลืนกัน ผู้แต่งหนังสือท่ีช่างสังเกตก็จะเลือกหาเหตุการณ์หรือเรื่องราวจาก
ความเป็นไปในสังคมมาผูกเป็นเร่ืองขึ้น โดยต้ังจุดประสงค์ไว้ต่าง ๆ กัน บางคนผูกเรื่องข้ึนเพ่ือ รายงาน
เหตกุ ารณแ์ ต่เพียงอย่างเดียว บางคนกช็ ี้ใหเ้ หน็ ลกั ษณะที่ขดั แย้งต่าง ๆ เพื่อเตือนสตคิ นในสงั คม
ตรีศิลป์ บุญขจร (๒๕๒๓ : ๐๖-๑๐) กล่าวว่า วรรณกรรมย่อมสัมพันธ์กับสังคม วรรณกรรมสะท้อน
ประสบการณ์ชีวิตในยุคสมัยไม่ว่าจะจงใจสะท้อนสังคมหรือไม่ก็ตาม นักวิจารณ์บางคนจึงกล่าวว่าวรรณกรรม
เป็นคันฉ่องแห่งยุคสมัย เนื่องจากเป็นภาพถ่ายชีวิตของยุคสมัยนั่นเอง ความสัมพันธ์ระหว่างวรรณกรรมกับ
สงั คมมี ๓ ลักษณะดงั นคี้ ือ
๑. วรรณกรรมเป็นภาพสะท้อนของสังคม ซ่ึงการสะท้อนสงั คมของวรรณกรรมมิใช่ เป็นการสะท้อนอยา่ ง
บนั ทึกเหตกุ ารณ์ทานองเอกสารประวตั ศิ าสตร์ แต่เปน็ ภาพสะท้อนประสบการณ์ของผู้เขียนและเหตุการณ์หน่ึง
ของสังคม วรรณกรรมจึงมีความเป็นจริงทางสังคมสอดแทรกอยู่ นักเขียนบางคนมีความรับผิดชอบต่อสังคม
เป็นอย่างมาก จะสะท้อนความปรารถนาท่ีจะปรับปรุงหรือเปล่ียนแปลงสังคมให้ดีขึ้น พ.ศ. ๒๕๑๔ กรมจะ
แสดงให้เห็นส่งิ ทเ่ี รียกว่าอดุ มการณท์ างการเมืองก็ได้
๒. สังคมมอี ิทธิพลต่อวรรณกรรมหรือต่อนักเขียน ซ่ึงนกั เขียนอยู่ในสังคมย่อมไดร้ ับ อทิ ธิพลจากสังคมท้ัง
ดา้ นวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา ปรัชญาและการเมือง สภาพการณ์ของปจั จัยเหล่านี้ย่อมเป็น
ส่ิงกาหนดโลกทัศน์และชีวทัศน์ของนักเขียน การพิจารณาอิทธิพลของสังคมต่อนักเขียน ควรให้ความสนใจว่า
นักเขียนได้รบั อิทธพิ ลจากสงั คมอย่างไร และนักเขยี นมีทา่ ทสี นองตอบตอ่ อิทธิพลเหล่าน้นั อย่างไร
๓. วรรณกรรมหรือนักเขียนมีอิทธิพลต่อสังคม นักเขียนท่ีย่ิงใหญ่นอกจากมีความสามารถในการ
สร้างสรรค์วรรณกรรมให้มีชีวิต โน้มน้าวจิตใจผู้อ่านแล้วยังเป็นผู้มีทัศนะกว้า ไกลกว่าคนธรรมดา สามารถ
เข้าใจโลกและมองสภาพความเปน็ จรงิ ไดก้ ว่าคนท่วั ไปมองเห็นดว้ ยทศั นะที่กว้างไกลและลมุ่ ลกึ ภาพทใ่ี ห้จงึ เป็น
จริงย่ิงกว่าความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้วรรณกรรมท่ีย่ิงใหญ่จึงเป็นอมตะ เพราะไม่เพียงแต่จะเสนอภาพปัจจุบัน
อยา่ งถึงแก่นของความเปน็ จริงเทา่ นน้ั แตย่ ังคงครอบความเป็นไปในอนาคตได้อกี ดว้ ย
ดงั นั้นอิทธพิ ลของวรรณกรรมต่อสังคม อาจเป็นได้ทั้งในด้านอิทธิพลภายนอก เช่น การแตง่ กาย หรอื การ
กระทาตามอย่างวรรณกรรม เช่น หญิงไทยสมัยหน่ึงนิยมผักทางเปีย นุ่งกางเกงขาส้ันเหมือน “พจมาน” ใน
เรื่องบ้านทรายทอง หรือย้อมผมสีแดงเหมือน "๙๘๘” ใน เรื่องสลักจิต เป็นต้น และอิทธิพลทางความคิด การ
สรา้ งคา่ นยิ ม รวมท้งั ความรู้สกึ นึกคดิ ดงั เช่น
หนังสือเรื่อง The Social Contract ของง จากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) พิมพ์เมื่อ พ.ศ.
๒๓๐๕ เป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็น
ระบอบประชาธิปไตย โดยให้แนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ที่สาคัญ เรียกเจตนารมณ์ทั่วไป (General
Will) เน้นเร่ืองเสรีภาพและสิทธิของมนุษยชาติ ก็คืออานาจอธิปไตยน่ันเอง ซ่ึงถือเป็นหลักการที่สาคัญย่ิงของ
๕๖
การปกครองระบอบประชาธิปไตย อิทธิพลของหนังสือเล่มนี้มีส่วนก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการเรียกร้อง
อิสรภาพของสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. ๒๓๑๙ และการปฏิวัติในฝร่ังเศส พ.ศ. ๒๓๓๒ - ๒๓๓๕ และอิทธิพลของ
หนังสือเล่มนี้ก็ยังคงมีอยู่จนกระท่ังปัจจุบันนี้ ดังจะเห็นได้จากแนวคิดเร่ืองทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social
Contract Theory) ซ่ึงมีนกั วิชาการได้นามาอ้างองิ อยู่เสมอหลังจากน้ันก็มีวรรณกรรมอีกหลายเล่ม ได้อิทธิพล
และสนับสนนุ การปกครองตามแนวคดิ ของรสุ โซ เช่น จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Milin นักเศรษฐศาสตร์
และนักคดิ ชาวองั กฤษ ไดเ้ ขียนหนงั สือเร่อื ง On Liberty โดยเนน้ ว่ารฐั บาลทดี่ ีต้องใหเ้ สรภี าพแกป่ ระชาชน
บทบาทของวรรณกรรมท่ีชัดเจนมากท่ีสุดก็คือ ผลกระทบทางด้านสังคม นักคิด นักเขียนทางด้าน
วรรณกรรมส่วนใหญ่ได้เน้นผลกระทบทางด้านนี้มาก เพราะถือว่าวรรณกรรมที่จะต้องส่งผลต่อสังคมไม่มากก็
น้อย อีกทั้งวรรณกรรมเป็นส่ิงผูกพันกับสังคม และเป็นสมบัติร่วมของทุกยุคทุกสมัยทุกถ่ิน การศึกษา
วรรณกรรมจึงต้องควบคู่กับสังคม ซึ่งเป็นแหล่งกาเนิดของวรรณกรรม ผู้ประพันธ์ได้แสดงความคิด ปรัช ญา
ตลอดจนความจริงในสังคมด้วยความสนใจและความรับผิดชอบ วรรณกรรมจึงมีอิทธิพลต่อสังคม รวมท้ังพลัง
ในสังคมมนุษย์ด้วย อย่างไรก็ตามนักวิจารณ์บางคนจึงกล่าวว่าวรรณกรรมเป็นคันฉ่องแห่งยุคสมัย เน่ืองจาก
เป็นภาพถ่ายชีวิตของยุคสมัยน่ันเอง ความสัมพันธ์ระหว่างวรรณกรรมกับสัง คมมี 3 ลักษณะดังน้ีคือ
วรรณกรรมเป็นภาพสะท้อนของสังคม ซึ่งการสะท้อนสังคมของวรรณกรรมมิใช่ เป็นการสะท้อนอย่างบันทึก
เหตุการณ์ทานองเอกสารประวัติศาสตร์ แต่เป็นภาพสะท้อนประสบการณ์ของผู้เขียนและเหตุการณ์หนึ่งของ
สังคม สังคมมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมหรือต่อนักเขียน ซึ่งนักเขียนอยู่ในสังคมย่อมได้รับ อิทธิพลจากสังคมท้ัง
ด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี ศาสนา ปรัชญาและการเมือง สภาพการณ์ของปจั จัยเหล่าน้ีย่อมเป็น
ส่ิงกาหนดโลกทัศน์และชีวทัศน์ของนักเขียน สุดท้ายวรรณกรรมหรือนักเขียนมีอิทธิพลต่อสังคม นักเขียนท่ี
ยงิ่ ใหญ่นอกจากมคี วามสามารถในการสร้างสรรค์วรรณกรรมให้มีชวี ิต โนม้ น้าวจิตใจผู้อ่านแล้วยังเป็นผู้มที ัศนะ
กว้างไกลกว่าคนธรรมดา สามารถเข้าใจโลกและมองสภาพความเป็นจริงได้กว่าคนท่ัวไปมองเห็นด้วยทัศนะที่
กวา้ งไกลและลมุ่ ลกึ ภาพท่ีให้จึงเป็นจรงิ ย่ิงกว่าความเป็นจริง
บทท่ี ๕
สรุปผลการศกึ ษา
การศึกษาวรรณกรรมปัจจุบัน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัตินักเขียนประมวล มณีโรจน์ ซ่ึงเผ็นที่มี
ความรู้ทางด้านวรรณกรรม ทางผู้ศกึ ษาได้ศกึ ษาในประเดน็ ของประวตั ิชวี ิต ประวตั ิการศึกษา เส้นทางนักเขียน
ผลงาน และรางวัลท่ีได้รับ ความรู้ท่ัวไปเกี่ยวกับวรรณกรรมปัจจุบันผ่านทัศนะของประมวล มณีโรจน์ ได้แก่
ความหมาย พัฒนาการ ลักษณะ แนวคิด และกลวธิ ีในการแต่งของวรรณกรรมปจั จุบนั รวมทง้ั ปจั จยั สาคัญท่ที า
ใหว้ รรณกรรมเกิดการเปลย่ี นแปลง รวมท้ังคณุ คา่ และบทบาทของวรรณกรรมปัจจุบนั
ผูศ้ กึ ษาพบว่า ประมวล มณีโรจน์ เปน็ นกั เขียนวรรณกรรมเพ่อื ชวี ิต เกดิ ท่ีจงั หวัดสงขลา จบปริญญาตรี
ที่สงขลา บรรจุเป็นครูครั้งแรกท่ีนครศรีธรรมราช ย้ายมาต้ังหลักแหล่งและลาออกที่พัทลุง เริ่มงานเขียนเม่ือ
เป็นนักศึกษาอยู่ในรั้ววิทยาลัยครูสงขลา เป็นนักเขียนหลายนามปากกา เขียนทั้งบทกวี บทความ บทวิจารณ์
และเรือ่ งสนั้ เป็นนักเขียนกลุ่มนาคร มีผลงานวรรณกรรมรวมเล่ม ได้แก่ รวมเร่ืองสัน้ เช่น หมบู่ ้านวิสามัญ ว่าว
สีขาว บ้านหลังสุดท้ายของดวงตะวัน เป็นต้น รวมบทกวี เช่น ๒๐๐ ปีฤาสิ้นเสดสา (เขียนร่วมกับกลุ่มนาคร)
โลกในอุ้งมอื บทความ วรรณกรรมเพ่อื ชวี ิตไทย (เขยี นรว่ มกบั กลมุ่ นาคร) สามเกลอหัวแข็งแห่งทงุ่ ระโนด ชุมชน
รอบทะเลสาบสงขลาในเรื่องส้ันสมัยใหม่ เป็นตน้
ผลจากการศึกษาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวรรณกรรมปัจจุบันผ่านทัศนะของประมวล มณีโรจน์
ผศู้ ึกษาพบว่า วรรณกรรม คือ งานเขยี นทีถ่ ือเป็นศิลปะอันมคี ุณค่าและเป็นเร่ืองราวที่ผเู้ ขียนถ่ายทอดความคิด
รวมถึงจินตนาการออกมาด้วยกลวิธีต่าง ๆ จนเกิดเป็นงานเขียนหลากหลายรูปแบบท่ีเรียกกันว่าวรรณกรรม
ลายลักษณ์ เช่น เร่ืองส้ัน นวนิยาย กวีนิพนธ์ ฯลฯ ดังที่ ดังท่ี ประมวล มณีโรจน์ (๒๕๖๕) ได้กล่าวถึงลักษณะ
ของวรรณกรรมปัจจุบันไว้ว่า วรรณกรรมเป็นงานเขียนในลักษณะเร่ืองเล่า เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ แต่มี
ศลิ ปะสูงกว่าความเป็นวิชาการ ซ่ึงศิลปะคือกลวิธีในการเขียน ส่วนความเป็นวิชาการคือความรู้และความคิดท่ี
ผ้เู ขียนตอ้ งการจะสอ่ื ไปถงึ ผอู้ ่าน โดยทีค่ วามเปน็ วชิ าการนีจ้ ะเปลี่ยนแปลงไปตามยคุ สมัยตา่ ง ๆ
ประมวล มณโี รจน์ (๒๕๖๕) ให้ความหมายวรรณกรรมปัจจุบนั ไว้วา่ วรรณกรรมปัจจุบนั หมายถงึ งาน
เขียนที่มีเนื้อหาและแนวคิดในลักษณะที่เป็นแบบใหม่ ซึ่งมีลักษณะท่ีหลากหลายมากในปัจจุบัน ต่างจาก
วรรณกรรมในอดีตหรือวรรณกรรมท้องถ่ินที่มีลักษณะการเขียนเก่ียวกับเรื่องราวของบ้านเกิด ครอบครัว สิ่ง
ใกล้ตวั หรอื เร่อื งท่อี ยู่ในชวี ติ ประจาวนั เทา่ น้นั
พัฒนาการวรรณกรรมปัจจุบัน เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายและคอ่ นข้างรวดเร็วระหว่างวรรณกรรม
ในปัจจุบันและวรรณกรรมแบบเดิม ทั้งน้ีขึ้นอยู่กันปัจจัยทางการเมืองและสังคมเปน็ สาคัญ ดังท่ี ประมวล มณี
โรจน์ (๒๕๖๕) ได้แบง่ ยุคของวรรณกรรมไว้ ๓ ยคุ ดังนี้
1. ยุคโรแมนติก (2470-2510) ได้รับอิทธิพลร้อยแก้วจากตะวันตก ผสมผสานระหว่าง
แนวคิดสมจรงิ กบั จินตนยิ าย รปู แบบของวรรณกรรม คือ การเลา่ การเขียน การแสดง
2. ยุคเพื่อชีวิต (2510-2530) ใช้กลวิธีแนวสมจริงเป็นหลัก แนวคิดสมจริงเป็นหลัก
กลุ่มเพือ่ ชวี ติ เขา้ มามบี ทบาทหลัก สอื่ หลักคือหนงั สอื มพี รบ.การศึกษา มสี อื่ อื่นเขา้ มาผสมผสานบา้ ง เชน่ วทิ ยุ
๕๘
3. ยุคสร้างสรรค์ คล่ีคลายของยุคท่ี 2 (กลางทศวรรษ 2550) ส่ือหลักยังเป็นหนังสือ
แนวคิดยังสมจริงอยู่ วรรณกรรมมีทั้งนวนิยาย เรื่องส้ัน ส่ือมีความหลากหลายมาก เช่น ทีวี เครื่องเสียงซีดี
คอมพิวเตอร์ กลุม่ แนวคดิ หลากหลาย และกลวธิ ีหลากหลาย ยดึ ถือความเปน็ ไทย
นอกจากอิทธิพลการเปล่ียนแปลงทางสังคมได้ทาให้วรรณกรรมเกิดพัฒนาการ ล้วนส่งผลต่อรูปแบบ
และแนวคิดของวรรณกรรมทั้งสิ้น อีกทั้งยังส่งผลต่อกลวิธีในการแต่ง ดังที่ ประมวล มณีโรจน์ (๒๕๖๕) ได้
กล่าวถงึ กลวธิ ีการแต่งวรรณกรรมปจั จุบันไว้ว่า นักเขียนสว่ นใหญ่ได้รบั อิทธพิ ลจากรุ่นกอ่ น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว
ในช่วงแรก ๆ ชอบเขียนเรื่องสนั้ หาเรื่องสัน้ ต่าง ๆ มาศึกษาเพอื่ หากลวธิ ี เพราะเร่ืองสั้นใช้เวลาในการอ่านน้อย
เขา้ ถึงประเดน็ ได้ และในงานเขียนจะใชก้ ลวิธีสมจริง
วรรณกรรมเป็นงานเขียนที่ให้ความบันเทิงและความเพลิดเพลิน และยังมีความเก่ียวข้องกับวิถีชีวิต
ของคนในสังคม การศึกษาวรรณกรรมเป็นการศึกษาชีวิตของมนุษย์ โดยอาศัยทัศนะของนักเขียนสะท้อน
ความเป็นจริงของชีวิต วรรณกรรมเรื่องหน่ึง ๆ มีหลายมิติ ข้ึนอยู่กับการวิเคราะห์วิจารณ์ของผู้อ่าน จึงทาให้
วรรณกรรมมีคุณค่าตามประสบการณ์ของผู้อ่าน นอกจากน้ีวรรณกรรมยังเป็นกระจกที่ใช้สะท้อนภาพของ
สังคมในยคุ สมยั ตา่ ง ๆ ได้เป็นอยา่ งดี
บรรณานกุ รม
กระแสร์ มาลยาภรณ.์ (๒๕๒๙). วรรณกรรมไทยปจั จบุ นั . กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร.์
กุหลาบ มลั ลกิ ะมาส. (๒๕๑๗). วรรณกรรมไทย. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ความหมายของวรรณกรรม. (๒๕๖๔). สืบค้น ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๕, จาก
https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/17848
จรรยวรรณ เทพศรีเมือง. (๒๕๖๐). เอกสารประกอบการสอน วรรณกรรมไทยปัจจุบัน. คณะมนุษยศาสตร์
และสงั คมศาสตร์. มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุดรธานี.
ตรีศลิ ป์ บญุ ขจร. (๒๕๒๓). อทิ ธพิ ลและผลกระทบของวรรณกรรมต่อสังคม. สบื คน้ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๕, จาก
https://www.happyreading.in.th/article/detail.php?id=1374
ธวัช ปณุ โณทก. (๒๕๓๗). แนวทางศกึ ษาวรรณกรรมปัจจบุ นั . กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
ประมวล มณีโรจน์. (๒๕๖๕). ประวัตินักเขียน. สบื ค้นเมอื่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๕, จาก
https://www.praphansarn.com/home/detail_author_th/278
พงศศ์ กั ด์ิ สงั ขภิญโญ. (๒๕๕๓). เอกสารประกอบการสอนรายวิชาความรพู้ น้ื ฐานทางวรรณกรรม
กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช.
ยอรช์ เซเดส์. (๒๕๐๔). ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 2 จารึกทวาราวดี ศรีวิชัย ละโว้. กรุงเทพฯ :
กรมศลิ ปากร.
ร่นื ฤทยั สจั จพันธ.์ุ (๒๕๒๔). วรรณกรรมปจั จบุ นั TH 531 Contemporary literature. กรงุ เทพฯ :
มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
วรรณกรรมคืออะไร. (๒๕๕๔). สืบค้น ๙ ตุลาคม ๒๕๖๕, จาก
https://www.happyreading.in.th/article/detail.php?id=528
วรรณกรรมและวรรณคดีคอื อะไร. (๒๕๖๕). สบื ค้น ๑๐ ตลุ าคม ๒๕๖๕, จาก
http://old-book.ru.ac.th/e-book/e/EN230(54)/EN230-1.pdf
สายทพิ ย์ นกุ ลู กิจ. (๒๕๓๗). วรรณกรรมไทยปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ.
สนทิ ตั้งทวี. (๒๕๒๘). วรรณคดีและวรรณกรรมไทยเบอ้ื งตน้ . กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์.
อุดม รุ่งเรืองศรี (๒๕๒๒). สภาพของวรรณกรรมไทยปัจจุบัน. เชียงใหม่ : ภาควิชาภาษาไทย
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่
บคุ ลานุกรม
ประมวล มณโี รจน์ (ผใู้ หส้ มั ภาษณ์), กมลมาศ กล่ินนนุ่ , ประภสั สร เสง่ยี มพักตร์, ปาลติ า ประสานสงฆ์,
(ผู้สมั ภาษณ)์ , ทข่ี นานัยสวน อาเภอบางกลา่ จังหวดั สงขลา เม่อื วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๕ (ครง้ั ท๑่ี )
ประมวล มณโี รจน์ (ผใู้ หส้ มั ภาษณ)์ , กมลมาศ กลิ่นนุ่น, ประภสั สร เสงี่ยมพักตร์, ปาลิตา ประสานสงฆ์,
(ผสู้ ัมภาษณ์), ระบบออนไลน์ google meet เมือ่ วนั ท่ี ๐๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๕ (ครง้ั ที่ ๒)
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก แบบบนั ทึกการตดิ ต่อนกั เขยี น คร้งั ที่ ๑ เมื่อวันท่ี ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖5 ผา่ นทางเฟซบ๊กุ
ภาคผนวก ข แบบบนั ทกึ การตดิ ต่อนกั เขยี น คร้งั ท่ี ๒ เม่อื วันท่ี ๓ ตลุ าคม ๒๕๖5 ผา่ นทางเฟซบุ๊ก
ภาคผนวก ค แบบบนั ทกึ ช่วั โมง คร้ังที่ ๑ เม่ือวนั ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๕ ท่ขี นานยั สวน
อาเภอบางกลา่ จังหวัดสงขลา
ภาคผนวก ง แบบบนั ทึกช่วั โมง คร้งั ท่ี ๒ เม่อื วนั ท่ี ๓ ตลุ าคม ๒๕๖5 โดยเฟซบ๊กุ
ภาคผนวก ง แบบบันทกึ การให้สัมภาษณ์ ครั้งท่ี ๑ เม่ือวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖5
ภาคผนวก จ แบบบนั ทกึ การให้สัมภาษณ์ ครง้ั ที่ ๒ เม่ือวันท่ี ๓ ตุลาคม ๒๕๖5