ภ า ค อี ส า น | 1 สารานุกรมนาฎศิลป์พื้นบ้านภาคอีสาน 1. นาฏศิลป์พื้นบ้านของภาคอีสานในรูปแบบราชสำนัก เนื่องจากการแสดงของภาคอีสานนั้นไม่ได้มีการแสดงสำหรับราชสำนักหรือที่เป็นการแสดงที่ได้รับ การสืบทอดต่อกันมาจากราชสำนัก จะมีเพียงการแสดงท้องถิ่นของแต่ละจังหวัดที่ใช้เป็นเครื่องราชูปโภคและ เป็นการแสดงต้อนรับสำหรับการเดินทางมาเยี่ยมชมในจังหวัดต่าง ๆ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีทั้งการ แสดงที่คิดขึ้นมาเพื่อใช้ต้อนรับโดยเฉพาะและการแสดงที่เป็นพื้นถิ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะ เช่น การแสดงฟ้อนภู ไทเรณูของจังหวัดนครพนม, การรำบายศรีสู่ขวัญของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น สอดคล้องกับ ศิริเพ็ญ อัตไพบูลย์ กล่าวไว้ว่า “การแสดงพื้นบ้านอีสานไม่มีในรูปแบบราชสำนัก ซึ่งการแสดงพื้นบ้านอีสานอยู่คู่กับชาวอีสานมา อย่างยาวนาน แต่ในรุ่นหลังจะมีปรากฏให้เห็นในเวลาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลย เดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จไปเยี่ยมเยือนประชาชนในภูมิภาคต่างๆ เมื่อท่านเสด็จมาถึงพระตำหนักเรียบร้อยแล้วจะมีการนำ การแสดงมาถวายหน้าพระที่นั่ง เช่น การแสดงฟ้อนภูไทเรณู ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศ จังหวัดสกลนคร เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้เห็นการแสดงจึงชื่นชอบ ฟ้อนภูไทเรณู และได้มีการทำหนังสือเชิญเพื่อให้ติดตามไปแสดงที่ต่างประเทศต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และ เผยแพร่วัฒนธรรมของประเทศไทย ซึ่งการแสดงพื้นบ้านนี้จึงไม่เป็นการแสดงในราชสำนักเป็นเพียง เครื่องราชูปโภคเท่านั้นเอง” (ศิริเพ็ญ อัตไพบูลย์, สัมภาษณ์, 2 ตุลาคม 2565) 2. นาฏศิลป์พื้นบ้านของภาคอีสานในรูปแบบพื้นบ้าน 2.1 การแสดงในรูปแบบเซิ้งพื้นบ้านอีสาน เซิ้ง เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านของชาวอีสานที่มีจังหวะสนุกสนาน ลักษณะของการเซิ้งนั้น คือ การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย โดยมีลักษณะเด่นคือการใช้สะโพก การใช้ข้อมือ การใช้ช่วงแขน และไหล่ ตลอดจนการเคลื่อนไหวสรีระทุกส่วนของร่างกายไปตามจังหวะของเพลงอย่างเป็นธรรมชาติ คำว่า เซิ้ง จะต้องมีกาพย์เป็นส่วนประกอบ ซึ่งคำว่ากาพย์ หมายถึง บทกลอนหรือคำกลอนที่ ใช้เป็นบทนำไปสู่ทำนองหลักของดนตรีพื้นบ้านอีสาน โดยภาษาอีสานจะเรียกรวมกันว่า “กาพย์เซิ้ง” ในส่วน ของคำว่า เซิ้ง คือ จังหวะดนตรีที่มีการแสดงประกอบ โดยลักษณะของจังหวะนั้นจะอยู่ในระดับปานกลางจน ไปถึงระดับที่เร็วขึ้น แการแสดงในรูปแบบของเซิ้งเดิมจะเป็นการแสดงประกอบในพิธีกรรมของชาวอีสาน เช่น ประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีแห่นางด้งและประเพณีแห่นางแมว เป็นต้น (ฉวีวรรณ พันธุ, สัมภาษณ์, 13 กรกฎาคม 2565)
ภ า ค อี ส า น | 2 กาพย์เซิ้ง เป็นร้อยกรองท้องถิ่นอีสานหรือเป็นเพลงพื้นบ้านประเภทเพลงประกอบพิธีของ ชาวบ้านอีสานที่ร้องในขบวนแห่บั้งไฟประกอบงานประเพณีบุญบั้งไฟ โดยมีผู้นำคนหนึ่งเป็นผู้ขับร้องก่อนและ คนอื่นๆ ในขบวนขับร้องรับตามเรื่อย และมีการเซิ้งหรือการฟ้อนประกอบตามจังหวะของดนตรีกลองตุ้มและ เครื่องดนตรีอื่นๆ เช่น พังฮาด โทน เป็นต้น กาพย์เซิ้งบั้งไฟแต่ด้วยคำประพันธ์ที่เรียกว่า กาพย์ 7 คำ วรรคหนึ่ง มี 7 คำ วรรคข้างหน้า 3 คำ วรรคข้างหลัง 4 คำ คำสุดท้ายของวรรคที่ 1 จะส่งเสียงสัมผัสไปที่คำใดก็ได้ใน วรรคถัดไป (คำสัมผัสในภาษาอีสานเรียกว่า คำก่าย) นิยมสัมผัสกับคำที่ 3 โดยใช้ระดับเสียงของคำที่สัมผัสเป็น เสียงวรรณยุกต์เดียวกัน บทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้แล้วแต่เนื้อความและนิยมใช้กับเซิ้งในแบบต่างๆ เช่น เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งนางด้ง และเซิ้งนางแมว เป็นต้น (กลุ่มสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สถาบันวัฒนธรรมศึกษา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2561: น.5) แต่ในปัจจุบันได้มีการสร้างสรรค์การแสดงของเซิ้งโดยไม่จำเป็นต้องมีคำ ร้องหรือที่เรียกว่า “กาพย์เซิ้ง” มาประกอบการแสดงจะมีเพียงดนตรีในจังหวะที่ปานกลางถึงจังหวะที่เร็วและ เกิดความสนุกสนานขึ้นในการแสดง มีการนำวิถีชีวิตของชาวอีสานมาถ่ายทอดผ่านท่าฟ้อนอีสานให้ผู้ชมได้เห็น ถึงวิถีชีวิตของชาวอีสานจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ของการแสดงเซิ้งมากยิ่งขึ้น เช่น เซิ้งสวิง เซิ้งกระติ๊บ เป็นต้น 2.1.1 เซิ้งบั้งไฟ ประวัติความเป็นมา เซิ้งบั้งไฟจะปรากฏในประเพณีบุญบั้งไฟหรือบุญเดือนหกที่จัดทำขึ้นในพิธีขอฝนตามความ เชื่อของชาวอีสาน เป็นการบวงสรวงพญาแถนหรือเทวดาในความเชื่อดั้งเดิมของชาวไทลาว ซึ่งชาวบ้านมีความ เชื่อเรื่องพญาแถนว่าสามารถดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลและสามารถทำให้ข้าวปลาอาหารในท้องนามี ความอุดมสมบูรณ์และเป็นการเสี่ยงทายดินฟ้าอากาศ หากจุดบั้งไฟไม่ขึ้นหรือบั้งไฟแตกทำนายว่าฝนจะแล้ง หากจุดบั้งไฟได้สูงแสดงว่าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล การเซิ้งบั้งไฟจึงเป็นพิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟยังบ่งบอกถึงความสามัคคีในหมู่คณะที่มีความร่วมมือกันจัดงาน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับการทำไร่ทำนา โดยในงานจะมีการแสดงของขบวนเซิ้งบั้งไฟ มีการขับร้องกาพย์เซิ้ง อย่างสนุกสนาน (สุนันทา กินรีวงค์, 2554: น.8) ซึ่งในปัจจุบันมีการประกวดแข่งขันกันระหว่างหมู่บ้านและ อำเภอ ตลอดจนถึงการประกวดในระดับจังหวัด คณะเซิ้งต่างๆ มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง การฟ้อนช้าๆ ตามจังหวะ ช้าๆของกลองตุ้มก็เปลี่ยนเป็นการประดิษฐ์ท่ารำให้อ่อนช้อยสวยงาม จังหวะและท่วงทำนองเปลี่ยนเป็น สนุกสนานตามลีลาของกลองยาวและแคน เนื้อหาของกาพย์เซิ้งในขบวนแห่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้ง การร้องเล่าตำนาน เช่น เรื่องผาแดงนาไอ่ เล่าคำสอน เช่น กาพย์พระมุนี เล่นเกี่ยวกับสังคมและเหตุการณ์ ปัจจุบันรวมไปถึงการนิยมใช้เพลงลูกทุ่งแทนกาพย์เซิ้งแบบเดิม การเซิ้งบั้งไฟ เป็นการฟ้อนประกอบกับการขับกาพย์ในพิธีแห่บั้งไฟ การแสดงเซิ้งบั้งไฟใน สมัยแรกเริ่มนั้นไม่มีระเบียบแบบแผนที่แน่นอน มีเพียงการฟ้อนขึ้นลงตามจังหวะช้า ของกลองตุ้ม พังฮาดหรือ บางครั้งก็มีโทนประกอบด้วย นิยมเซิ้งกันเป็นกลุ่มตั้งแต่ 3-5 คนขึ้นไป มีหัวหน้าเป็นคนขับกาพย์เซิ้งนำ แล้ว คนอื่นๆ ร้องรับตามไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งเล่นดนตรีประกอบจังหวะ การเซิ้งบั้งไฟยังเป็นการบวงสรวง อ้อนวอน แด่พญาแถนเพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลและการเซิ้งบั้งไฟยังเป็นการกล่าวพรรนาความงามของบั้งไฟที่
ภ า ค อี ส า น | 3 ตกแต่งอย่างสวยงาม ตลอดจนความสวยงามของขบวนแห่ (อร่ามจิต ชิณช่าง, 2531: น.65) การเซิ้งบั้งไฟใน ประเพณีบุญบั้งไฟนั้น ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าต้นกำเนิดเริ่มมาจากจังหวัดใด เพราะเป็นการแสดงพื้นบ้านของ ชาวอีสานที่มีเกิดขึ้นได้ทุกจังหวัด แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักบุญบั้งไฟของเมืองยโสธร เนื่องด้วยประเพณีบุญ บั้งไฟของชาวจังหวัดยโสธรหรือเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “บั้งไฟเมืองยศ” นั้นถูกกระตุ้นและได้รับการส่งเสริม ผ่านหน่วยงานภาครัฐหรือหน่วยงานการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเช่น “ททท” หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าการ ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดยโสธรมาจนถึงปัจจุบัน (ปฐม หงส์สุวรรณ, 2556: น.32) การเซิ้งบั้งไฟมีรูปแบบการแสดงในลักษณะขบวนแห่ที่มีผู้ฟ้อนเป็นจำนวนมากตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไปแล้วแต่ว่าทางหมู่บ้านหรืออำเภอนั้นๆจะจัดหามาได้เป็นการฟ้อนเพื่อความพร้อมเพรียงสวยงามและ ความสนุกสนานทที่แฝงกับความเชื่อของชาวอีสานในการขอฝน มีการประกวดขบวนแห่ของเซิ้งบั้งไฟจึงทำให้ อดีตและปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงท่าฟ้อนและรูปแบบการแปรแถวเพื่อให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ปัจจุบัน ได้มีการสร้างสรรค์เป็นชุดการแสดงที่ใช้ในการศึกษาของวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด โดยจากการศึกษาค้นคว้า และเก็บข้อมูลเรื่องราวการเซิ้งบั้งไฟจากบ้านสังข์สงยาง บ้านสีแก้ว บ้านเมืองทอง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด บ้านหันเชียงเหียน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม อำเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ มาสร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏศิลป์พื้นเมือง ชุดเซิ้งบั้งไฟ โดยจำลองเหตุการณ์การประกวด และการแข่งขันบั้งไฟของเมืองต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์จะใช้กิจกรรมด้านนาฏศิลป์ สื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมรับรู้ ถึงอดีตและความเป็นมาของวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนมีส่วนร่วมในการสืบสานและเผยแพรสู่ชน รุ่นหลัง วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ดจึงได้ศึกษาค้นคว้าและสืบทอดชุดการแสดงนี้ไว้ และได้นำการแสดงชุดนี้ไป แสดงเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมในงานเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์งาน 200 ปี กรุงเทพมหานครเมื่อปี พ.ศ. 2525 (จีรพล เพชรสม, 2563, สัมภาษณ์อ้างถึงใน สมฤดี ชำนิ, 2564, น.77-78) องค์ประกอบการแสดง มีรายละเอียดดังนี้ - เนื้อร้องของกาพย์เซิ้งบั้งไฟ ตัวอย่างกาพย์เซิ้งบั้งไฟในรูปแบบขบวนแห่ ตำบลสร้างมิ่ง อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ในเนื้อหาเกี่ยวกับการทักทายกรรมการ การขอคะแนนและการเล่านิทานหรือตำนานการเกิด ประเพณีบุญบั้งไฟ “โอ่เฮาโอ่พวกเซิงเฮาโอ่ โอมพุทธโธนะโมสี่ครั้ง มาเด้อท่านยามเซิ้งบั้งไฟ แม๋นผู้ได๋มารำม่วนซื่น เซิ้งทุกปีมื้อนี้กรรมการ ท่านชำนาญในการสำรวจ ผู้เพิ่นตรวจขบวนแห่ของเฮา มาเฮามายกมือไหว้ก่อน ห่อมืออ่อนให้สุดเกศา ไหว้วันทาขอขมานอบน้อม ให้คนฟ้อนขึ้นอยู่ในใจ ให้ผู้ได๋รางวัลที่หนึ่ง
ภ า ค อี ส า น | 4 บ่ซาบซึ้งกะฟังแน่คำกลอน ฉันพวกฉันกำลังเรียงขึ้นใหม่ คันอยากได้กะม่วนแหน่นำฉัน บ่กล้าประชันกับท่านแนวหน้า บ่กล้าถ้าอวดเก่งคือเขา ถ้าท่านเข้าใจขอคะแนนกับฉันแน่ กะแล้วแต่พวกท่านกรรมการ ผู้ชำนาญในการมองเบิ่ง คนมาเบิ่งมากหน้าหลายตา ขอเวลาท่าทีของเฮา พอไหลๆบั้งไฟหางก่าน เซิ้งมาผ่านสร้างมิ่งสามัคคี ถึงขวบปีทำบุญบั้งไฟใหญ่ เพิ่นบอกมาให้มาเบิ่งลำกลอน ต่อเป็นกลอนพวกเฮานำเอิ้น รีบมาเบิ่งนำเพิ่นบั้งไฟ แห่ไหลๆไวๆมาเบิ่ง รีบมาเบิ่งสาวแห่ไวๆ หินเหล็กไฟมาแล้วคุณพ่อ ตั้งใจต่อตั้งหน้าทำบุญ เพื่อเป็นทุนในภายภาคหน้า เพื่อผู้ข้าไทบ้านหินเหล็กไฟ มีบั้งไฟผู้ข้าแต่เก่า จูดเถิงเซ้าจูดไหว้ทวยแถน ไหลโฮมๆมาตั้งนำแหน่ ได้มาแห่กันทั่วทั้งบ้าน เป็นตำนานผาแดงนางไอ่ ทำบั้งไฟไปทั่วเมืองแดน แห่ไปกันทำบุญศรีแก้ว ให้พวกเจ้าได้เอาบั้งไฟนำกัน พากันทำเอาบุญบั้งไฟใหญ่ บ่ได้ใส่กะพากินพาเอิ้น ไปบ่กินกะพากันแข่ง ให้สมแพงนางไอ่ใจน้อง เตรียมเสบียงอาหารต่างๆ ซุ้มต่างๆให้มาหุ้มมาโฮม ได้บุญทุกคนเทิงหัวเทิงห่าว ฟ้าวล่ะเจ้าบั้งไฟมีผาแดง กินข้าวแลงล่ะจุดบั้งไฟก่อน ขึ้นไปส่งหม่องพญาแถน ตกลงแดนอย่าตกลงบ้าน คนสิย่านให้ตื่นตกใจ ไวเฮาไวเอาบั้งไฟมาจูด ซู่ซูดๆบ่อยู่คาค้าง ผาแดงพาหายหลังล้มถ่วน ได้มาม่วนนางไอ่อยู่ในเมือง บ่ได้เคืองอีหยังจักอย่าง บ่อยากย่างคืนสู่ผาแดง หลานขอลงเอาไว้สาก่อน" (สุนันทา กินรีวงค์, 2554, น.33) ตัวอย่างกาพย์เซิ้งในรูปแบบชุดการแสดงเซิ้งบั้งไฟของวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด เนื้อร้อง ประกอบการแสดงเซิ้งบั้งไฟ มีการคิดสร้างสรรค์ขึ้นในปี พ.ศ. 2524 โดยนางฉวีวรรณ พันธุ นายทรงศักดิ์ ประ ทุมสินธุ์ และคณะเห็นถึงความไพเราะของเพลงเซิ้งบั้งไฟ ของไวพจน์ เพชรสุพรรณ จึงได้นำมาดัดแปลงปรับใช้ ในการแสดงเซิ้งบั้งไฟของวิทยลัยนาฏศิลปะร้อยเอ็ด กาพย์เซิ้งบั้งไฟ เผ่าที่ 1 เมืองหนองหาน (เมืองนางไอ่)
ภ า ค อี ส า น | 5 โอ้เฮาโอ่ละเฮาโอ้เฮาโอ นะโมนะมาวันทาใส่เกล้า ไหว้พระเจ้าองค์เลิศนาโถ ทั้งธรรมโม สังโฆพร้อมพรั่ม ไหว้ทุกส่ำครูบาอาจารย์ ผู้ประทานสอนศิลปศาสตร์ ผู้ฉลาดฮู้เค้าแต่งกลอน ขอวิงวอนชาวไทยทุกหมู่ ที่เกิดอยู่ในถิ่นแหลมทอง พวกเฮาครองมรดกสืบไว้ รักษาไว้ในฮีตโบราณ ตามตำนานหนองหานเมืองใหญ่ รักษาไว้ฮุ่นลูกฮุ่นหลาน ในตำนานสืบมาติดต่อ ผู้เพิ่นก่อสร้างบุญบั้งไฟ มีเงื่อนไขบั้งไฟมาแข่ง ผู้เพิ่นแต่งคือพระยาขอม พวกคนซอมพระยาหาญห่าว ทำฝั่งฟ้าวให้ศรีวิไล ประกาศไปทุกหนทุกแห่ง บ่ได้แบ่งบ้านนอกบ้านนา มีธิดาคนสวยนางไอ่ นับว่าได้เป็นยอดนารี บุญนางมีได้เป็นลูกเจ้า ส่าไปเท่าฟ้าแดด เซียงเหียน ทำความเพียรบั้งไฟไผขึ้น สิยอยื่นยกให้ธิดา ตามบัญชาเพิ่นประกาศไว้ เป็นลูกใภ้อีพ่อของกู ใจอดสูเสียดายนางไอ่ ขอยกไว้ในเขตหนองหาน โอ้เฮาโอเฮาโอ้เฮาโอ กาพย์เซิ้งบั้งไฟ เผ่าที่ 2 เมืองผาพง (เมืองผาแดง) โอ้เฮาโอ่ละเฮาโอ้เฮาโอ โอมพุทโธนะโมเป็นเค้า คนส่าเว้าก้ำฝ่ายหนองหาน เสียงวิจารณ์เว้าพื้นนางไอ่ พวกลูกไพร่ว่าสวยว่างาม ไผได้ถามว่าบุญเหลือเกล้ำ พวกผู้เฒ่าได้ย่องได้ยอ สมพอ ๆ ลูกชายผู้ข้า เสียงคนส่ำไปฮอดแดนไกล เป็นลูกไผสิเห็นคราวนี้ เว้าถ้วนถี่บ่กล้าบ่กลาย บรรยายผาพงเพียงนี้ โอ้เฮาโอ่เฮาโอ้เฮาโอ (พรยง ดี, 2563, สัมภาษณ์, อ้างถึงใน สมฤดี ชำนิ, 2564, น.78-79) - รูปแบบการแสดง การแสดงเซิ้งบั้งไฟของหมู่บ้านหรือจังหวัดต่าง ๆ จะทำการแสดงในรูปแบบของ ขบวนแห่ การเซิ้งบั้งไฟนั้นจะใช้ผู้หญิงหรือผู้ชายแสดงก็ได้แต่ส่วนมากจะนิยมเป็นผู้หญิงล้วน รูปแบบการจัด ขบวนจะเริ่มจากนักแสดงอยู่นำหน้านักดนตรี โดยการฟ้อนนั้นจะเป็นรูปแบบการยืนแถวตอนลึกแบ่งออกเป็น สองฝั่ง ซ้ายและขวามีการแปรแถวอย่างสวยงาม ในส่วนรูปแบบการแสดงชุดเซิ้งบั้งไฟของวิทยาลัยนาฏศิลป ร้อยเอ็ดได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงแบ่งออกเป็น 2 เมือง คือ 1) เมืองหนองหาน (นางไอ่) จะทำการ
ภ า ค อี ส า น | 6 แสดงก่อน อุปกรณ์ประกอบการแสดง คือ ร่ม และ 2) เมืองผาพง (เมืองผาแดง) ผู้แสดงสวมเล็บที่นิ้วกลางข้าง ขวา ในการแสดงแต่ละครั้งไม่ได้มีการกำหนดนักแสดงไว้อย่างชัดเจน แต่ต้องแสดงให้เป็นจำนวนเลขคู่ เช่น 8 คน 10 คน หรือ 12 คน เป็นต้น การฟ้อนใช้นักแสดงผู้หญิงล้วน มีการสร้างสรรค์ท่าฟ้อนขึ้นใหม่ ประกอบกับ การแปรแถว และการใช้พื้นที่บนเวทีให้เหมาะสมกับจำนวนผู้แสดง - ดนตรีที่ใช้ในการแสดง วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงเป็นวงดนตรีพื้นบ้านอีสาน ประกอบไปด้วย โปงลาง กลองหางยาว กลองตุ้ม แคน โหวด พิณ ไหซอง ฉาบเล็ก และฉาบใหญ่ในช่วงยุคแรก มีการนำไหซองมาประกอบการบรรเลง แต่ในการบรรเลงบางเพลงเสียงของไหซองไม่สามารถปรับคีย์เข้ากับ เครื่องดนตรีชนิดอื่นได้ จึงได้นำเบสมาแทนการดีดไหซอง - การแต่งกาย ในปัจจุบันมีการแต่งกายที่แตกต่างกันตามความคิดสร้างสรรค์ของ ชาวบ้านหรือผู้คิดท่าฟ้อนต่างๆ เช่น การใส่เสื้อแขนกระบอก สีต่าง ๆ มีผ้าแพรวาหรือผ้าขาวม้าเบี่ยงเป็นสไบ และนุ่งผ้าซิ่นพื้นเมืองประดับดอกไม้ตรงอก ใส่รองเท้า เนื่องจากการแสดงในปัจจุบันขบวนแห่นิยมแห่พื้นที่โล่ง แจ้งหรือบนถนนซึ่งทำให้มีความร้อนผู้แสดงจึงต้องสวมรองเท้าเพื่อกันความร้อนให้กับตน ในส่วนของชุดการ แสดงเซิ้งบั้งไฟของวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด ผู้แสดงเมืองที่ 1 เมือง นางไอ่ มือถือร่ม นุ่งผ้าซิ่นมีเชิงสวมเสื้อ แขนกระบอกแต่งลายแถบด้วยผ้าขิด มีผ้าขิดพาดเฉียงไหล่ สวมกระโจมที่ศีรษะ ผู้แสดงเมืองที่ 2 เมืองผาพง สวมเล็บมือขวานิ้วกลำง นุ่งผ้าจีบหน้านางหางไหล สวมเสื้อแขนกระบอกตกแต่งด้วยลูกปัดมีผ้าขิดพาดไหล่ สวมหมวกกาบ หรือกระโจมสามเหลี่ยมที่ศีรษะ (หมวกกาบ หรือกระโจม หมายถึง หมวกที่ทำมาจาก กาบ หมาก หรือกาบไผ่ ปัจจุบันมีกรใช้ผ้าหรือกระดาษแข็งในการประดิษฐ์แทนกาบไม้ต่าง ๆ)
ภ า ค อี ส า น | 7 การแต่งกายเมืองนางไอ่ การแต่งกายเมืองผาพง ที่มา : จากนาฏยประดิษฐ์ฟ้อนอีสาน นายทองจันทร์ สังฆะมณี, (น.81-82) โดยสมฤดี ชำนิ, 2564 - อุปกรณ์ประกอบการแสดง ชุดเซิ้งบั้งไฟของวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด ผู้แสดง เมืองที่ 1 เมืองนางไอ่ใช้ “ร่ม” เป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง ซึ่งประดิษฐ์มาจากไม้ และกระดาษสีน้ำตาล มี การวาดลวดลายต่าง ๆ ตกแต่งให้สวยงาม และเคลือบด้วยน้ำมันให้เกิดความเงา ผู้แสดงเมืองที่ 2 เมืองผาพง ใช้ “เล็บ” สวมที่นิ้วกลางมือขวาเป็นอุปกรณ์ประกอบกรแสดง ซึ่งประดิษฐ์มาจากซี่ไม้ไผ่เล็ก ๆ สำนเป็นกระ บอก สำหรับใส่นิ้วมือ ปลายเล็บเรียวยาวประมาณ 1 ฟุต พันด้วยไหม หรือด้ายสีแดง น้ำเงิน และสีเหลือง ที่ ปลายเล็บทำเป็นดอกกลมสีขาว (ในปัจจุบันมีสีด้ายหลายลยขึ้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในส่วนของขบวนแห่ ชาวบ้านในแต่ละพื้นที่จะมีอุปกรณ์หรือไม่มีอุปกรณ์การแสดงก็ได้ 2.1.2 เซิ้งนางแมว - ประวัติความเป็นมา เซิ้งนางแมวจะปรากฏอยู่ในประเพณีการของฝนแห่นางแมวซึ่งเป็นการแสดงที่ประกอบ พิธีกรรมแห่นางแมว โดยชาวอีสานมีความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่กลัวน้ำ จึงเป็นตัวที่ทำให้เกิดความแห้งแล้งฝน ไม่ตกตามฤดูกาล จึงต้องจับแมวมาตระเวนแห่ให้ผู้คนตักน้ำรดราดแมวจนเปียกและให้แมวร้องเสียงดังที่สุด เพื่อทำลายความเป็นตัวแล้งให้หมดไป การแห่นางแมวของชาวบ้านจะทำในปีที่ฝนมาล่าช้า โดยพิธีแห่นางแมว นี้จะเริ่มตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงมืดค่ำ โดยชาวบ้านจะเอาแมวตัวเมียใส่ชะลอมเข่งหรือตะกร้าและปิดฝาให้แน่น เอาไม้คานสอดเข้าไปกับกระทอและหาบไปพร้อมกับชาวบ้านที่ตั้งขบวนแห่ล้อมนางแมว โดยมีคนหนึ่งถือพาน นำหน้าร้องเชิญทุกคนให้เข้ามาร่วมพิธีขอฝน และมีเครื่องดนตรีประกอบ เช่น กลอง กรับ ฉิ่ง เป็นต้น เมื่อ เคลื่อนขบวนออกเดินต่างก็ร้องบทแห่นางแมว ซึ่งมีข้อความคล้ายกันหรือแตกต่างกันบ้าง แห่ไปตามละแวก บ้านจนทั่วหมู่บ้านแล้วกลับมาที่เดิม เมื่อมีการแห่ไปถึงบ้านใครเจ้าบ้านจะต้องเอาภาชนะตักน้ำสาดลงไปใน กระทอที่มีลักษณะคล้ายชะลอมเข่งหรือตะกร้าที่ใส่แมว เนื้อหาบทร้องเพลงแห่นางแมว แสดงถึงคุณค่าขอฝนที่เมื่อตกลงมานำท่าจะบริบูรณ์ เริ่มต้น การเพาะปลูกได้ จะเริ่มต้นขอฝนกับเทวดานางฟ้าหรือนางไม้ โดยมีวิธีการเซ่นไหว้บูชาด้วยของที่ชอบใจ และมี การแสดงที่เทวดานางฟ้านางไม้ชอบใจเป็นการขอเคล็ดและเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมเพศอันเป็นต้นเหตุของ การเกิด พิธีแห่นางแมวขอฝนมีปรากฏจริงในบางพื้นที่ เช่น บ้านต้อน จังหวัดกาฬสินธุ์ และบ้านสนายน้อย จังหวัดศรีสะเกษ เนื่องจากในปัจจุบันมีการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการทำนาโดยไม่ต้องพึ่งธรรมชาติ มีการสร้าง ฝนเทียมขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดความแห้งแล้ง หากสังคมเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมเลือนหายไปพิธีแห่นางแมวขอฝน ก็จะเลือนหายตามไป (กลุ่มสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สถาบันวัฒนธรรมศึกษา กรมส่งเสริม วัฒนธรรม, 2561, น.51) องค์ประกอบการแสดง มีรายละเอียดดังนี้
ภ า ค อี ส า น | 8 - ตัวอย่างเนื้อร้องของกาพย์เซิ้งนางแมว "เต้าอีแม่นางแมว แมวมาขอไข่ ขอบ่ได้ขอฟ้าขอฝน ขอน้ำมนต์อดหัวแมวบ้าง บ่ได้ค่าจ้างเอาแมวข้อยมา บ่ได้ปลาเอาหนูกับข้าว บ่ได้ข้าว เหล้าเด็ดก็เอา เหล้าโทก็เอา แม่เม่าเอย อย่าฟ้าวขายลูก ข้าวเพิ่นปลูก ลูกน้อยเพิ่นแพง ตาเวนแดง ฝนแทงลงมา ตาเวนต่ำ ฝนหน่ำลงมา ตาเวนตก ฝนตกลงมา ดังเค็งๆ ข้ามดงมานี้แบ้นบักเลิกแบ้นพ่ออีเถิง ฮ่งเบิงๆ ฝนเทลงมา ฝนบ่ตกข้าวไฮ่ตายเหมิดแล้ว ฝนบ่ตกข้าวนาตายแล้งเหมิดแล้ว ฝนบ่ตกกล้าแห้งตายพรายเหมิดแล้ว ตกลงมาฝนตกลงมา เท่งลงมาฝนเท่งลงมา กุ๊กกู๊ กุ๊กกู๊ กุ๊กกู๊ กุ๊กกู๊ กุ๊กกู๊” (ธันวดี สุขประเสริฐ, 2558, ออนไลน์) - รูปแบบการแสดง การเซิ้งนางแมว เป็นการแสดงที่จำลองสถานการณ์ของพิธีกรรมการแห่นางแมวขอฝน การ แสดงจะอยู่ในลักษณะขบวนแห่เพื่อแห่นางแมวขอฝนกับเทวดานางฟ้าหรือนางไม้ โดยมีท่าฟ้อนแบบ พื้นบ้านอีสาน มีการแปรแถวอย่างอิสระไม่เฉพาะเจาะจง เนื่องจากผู้ฟ้อนส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านของพื้นที่ นั้น ๆ และจะเป็นท่าฟ้อนที่ง่ายต่อการจดจำของชาวบ้าน ปัจจุบันการแสดงเซิ้งแห่นางแมวนั้นไม่สามารถ หาดูได้ทั่วไปจะมีเพียงประเพณีแห่นางแมวที่เป็นพิธีกรรมบางพื้นที่ของชาวอีสาน พร้อมกับการนำแมว จำลองมาประกอบพิธีกรรมเนื่องจากหลีกเลี่ยงการใช้แมวจริง จึงมีการสร้างสรรค์ผลงานในสถานศึกษา เพิ่มมากขึ้นซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานเซิ้งแห่นางแมวเกิดจากการศึกษาพิธีกรรมและวิถีชีวิตของชาวบ้าน เพื่อนำมาออกแบบท่าฟ้อนให้เข้ากับการทำพิธีกรรมแห่นางแมวในสมัยก่อน ท่าฟ้อนจึงออกมาในรูปแบบ ของการตีบทตามคำร้องกาพย์เซิ้งแห่นางแมว - ดนตรีที่ใช้ในการแสดง ในการการแสดงของเซิ้งนางแมวสมัยก่อนจะใช้เครื่อง ดนตรีประกอบไปด้วย กลอง กรับ ฉิ่ง แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาและสร้างสรรค์การแสดงตาม สถานศึกษา จึงมีการเพิ่มเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสานให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน ประกอบไปด้วยโปงลาง กลองหางยาว กลองตุ้ม แคน โหวด พิณ ไหซอง ฉาบเล็ก และฉาบใหญ่ เป็นต้น
ภ า ค อี ส า น | 9 - การแต่งกาย การแต่งกายของเซิ้งนางแมวในสมัยก่อนมีลักษณะเป็นการแต่งกายแบบ พื้นเมืองอีสานทั่วไปโดยจะมีการแต่งกายตามบริบทของพื้นที่ โดยในแต่ละพื้นที่จะมีชุดที่บ่งบอกถึง วัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่นั้น ๆ (พรสวรรค์ พรดอนก่อ, 2565, สื่อสารส่วนบุคคล) ปัจจุบันได้มี การพัฒนาการแต่งกายมาเป็นรูปแบบขอเสื้อแขนกระบอกสีต่างๆ และมีผ้าสไบที่ทำมาจากผ้าขิด นุ่งซิ่น พื้นเมืองที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน และผมประดับไปด้วยดอกไม้เกล้าผมหมวย สมรองเท้าใน การฟ้อนแห่ การแต่งกายสำหรับเซิ้งนางแมว ที่มา : หนังสือชุด “มรดกภูมิปัญญาอีสาน, (น.51) โดยกลุ่มสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมสถาบัน วัฒนธรรมศึกษา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2561, โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด - อุปกรณ์ประกอบการแสดง อุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง จะใช้กระทอ ลักษณะคล้าย ชะลอมเข่งหรือตะกร้าที่มีฝาปิดมิดชิดและนำแมวใส่ลงในชะลอม พร้อมกับไม้สำหรับสอดกับชะลอม 2 ท่อน เพื่อให้คนหามแมวล้อมรอบหมู่บ้าน สัมภาษณ์
ภ า ค อี ส า น | 10 กระทอสำหรับใส่แมวร่วมพิธีแห่นางแมว ที่มา : หนังสือชุด “มรดกภูมิปัญญาอีสาน, (น.51) โดยกลุ่มสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สถาบัน วัฒนธรรมศึกษา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2561, โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด 2.1.3 เซิ้งนางด้ง ประวัติความเป็นมา การแสดงเซิ้งนางด้งเป็นการแสดงในพิธีกรรมเต้านางด้งเพื่อขอฝน ซึ่งเป็นพิธีกรรมของชาว อีสาน “พิธีกรรมเต้านางด้ง” เป็นหนึ่งในหลายพิธีกรรมที่ใช้ประกอบการอ้อนวอนขอฝน พบเห็นทั่วไปในภาค อีสาน พิธีกรรมขอฝนนี้ มีตำนานของพญาคันคากต่อสู้กับพญาแถน ตำนานนี้เป็นบ่อเกิดของประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีขอฝนยังมีการตั้งเต้านางด้ง เชิญผีหญิงอันเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ลงมาปัดเป่าความแห้ง แล้ง คำว่า “นางด้ง” หมายถึง ผีผู้หญิงที่สถิตใน “กระด้ง” (ภาชนะไม้ไผ่สานคล้ายตะกร้ามีทั้ง ขนาดเล็ก – ใหญ่) นัยยะของการเลือกใช้อุปกรณ์นี้เพราะ กระด้ง เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ทำมาหากินและใช้ใน ครัวเรือนของคนอีสาน เช่น ใช้ในการฝัดข้าว แยกข้าวเปลือกและข้าวสารออกจากกัน การประกอบพิธีจึงมีนัย ยะถึงการมีข้าวในการบริโภค การฝัดข้าวเปลือก มีความหมายคล้ายกับการแยกความไม่ดีให้ออกไปจากชุมชน (ภาณุพงศ์ ธงศรี, 2562, ออนไลน์) พิธีกรรมการเต้านางด้งจะมีการใช้กระด้งและไม้คาน 2 แท่งนำมาขัดกัน แล้วมัดตรงกลาง ไม้คานทั้งสองจะแบ่งเป็นไม้สำหรับฤดูแล้ง เรียกว่าหลักแล้ง และไม้สำหรับฤดูฝน เรียกว่าหลักฝนคนจับจะเป็น ผู้หญิง 2 คน และอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงที่เป็นคนทรงเจ้า เรียกว่า “เฒ่าจ้ำ” คือผู้ประกอบพิธีการบวงสรวง โดย ผู้ประกอบพิธีของเต้านางด้งนั้นต้องเป็นผู้หญิงที่เป็นแม่หม้ายสามีเสียชีวิตเท่านั้น แม่หม้ายในลักษณะอื่นไม่ สามารถเป็นผู้ประกอบพิธีได้ (ฉวีวรรณ พันธุ, 2565, สัมภาษณ์, 17 ตุลาคม 2565) พิธีการเต้านางด้ง ที่บ้านผือ ตำบลนาเลิง อำเภอม่วงสามสิบ อุบลราชธานี
ภ า ค อี ส า น | 11 ที่มา: “เต้านางด้ง” พิธีขอฝนสืบถึงฟ้าถามหาพระยาแถน โดย นิติศักดิ์ แก้วหล่อ, 2558 อ้างถึงใน ภาณุพงศ์ ธงศรี, 2562, เดอะ อีสานเรคคอร์ด องค์ประกอบการแสดง มีรายละเอียดดังนี้ - ตัวอย่างเนื้อร้องของกาพย์เซิ้งนางด้ง เต้าอีแม่นางด้งโล่งโค้งเสมอดั่งกงเกวียน มาเวียนนี้ได้สองสามฮอบมาคอบนี้ได้สองสามที ตักตุลี่แมงมี่ตุลาพาสาวหลงเข้าดงกำแมด มาสู้แดดหรือมาสู้ฝนมากำฮนนำแม่เขียดไต้ เฮ็ดหยังซักไซ้นั้นเพิ่นว่าเขียดเหลือง มีแต่เสียงนั้นเพิ่นว่าเขียดจ่อง ลอยอ่องล่องนั้นแม่นเขียดจ่านา หลังซาซาแม่นเขียดคันคาก (สวิง บุญเจิม, 2555 อ้างถึงใน ภาณุพงศ์ ธงศรี, 2562, ออนไลน์) - รูปแบบการแสดง รูปแบบของการแสดงเซิ้งนางด้ง เป็นการแสดงที่จำลองสถานการณ์ในการประกอบ พิธีกรรมขอฝนของเต้านางด้ง ลักษณะของการแสดงจะเป็นการแสดงที่คล้ายการทรงเจ้าเข้าทรงของเต้าแม่นาง ด้ง โดยมีกระด้งประกบกัน 2 อัน และมีไม้คานขัดไว้เป็นสี่เหลี่ยม มีทั้งผู้ฟ้อนถวายเต้าแม่นางด้ง และมีผู้จับ กระด้งเพื่อหมุนกระดงไปมา เป็นการเสี่ยงทายว่ากระด้งจะหมุนไปตกที่คำว่าแล้งหรือคำว่าฝน หากมีการ เคลื่อนที่ของกระด้งไปหยุดตีที่คำว่าแล้ง จะมีความหมายว่าตลอดทั้งปีนั้นจะเกิดภัยแล้ง ถ้าไปหยุดตีที่คำว่าฝน จะหมายความว่าฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ในปัจจุบันการแสดงเซิ้งนางด้งนั้นหาดูได้ยาก เนื่องจากเป็นพิธีกรรม ที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่ของภาคอีสานเท่านั้น จะมีเพียงการสร้างสรรค์ผลงานของสถานศึกษาที่ได้ศึกษาลงพื้นที่ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานของเซิ้งนางด้งต่อไป (ศิริเพ็ญ อัตไพบูลย์, สัมภาษณ์, 2 ตุลาคม 2565) ในกรณีของ วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ดจะมีการแบ่งนักแสดงออกเป็น 3 ลักษณะ คือ นักแสดงที่คนทรงเต้าแม่นางด้ง 1 คน ผู้ฟ้อนจับกระด้งพร้อมไม้คานขัด 2 คน และใช้คนแสดงแทนหลักที่แบ่งฝั่งเป็นแล้งและฝนข้างละ 1 คน พร้อม กับผู้ฟ้อนตามเต้าแม่นางด้ง 4 คน และมีการจำลองสถานการณ์ในการทำพิธีกรรมของฝนเต้าแม่นางด้งเช่นกัน - ดนตรีที่ใช้ในการแสดง ดนตรีที่ใช้แสดงจะเป็นดนตรีพื้นบ้านอีสาน ประกอบไป ด้วย พิณ แคน โหวด โปงลาง กลอง เป็นต้น - อุปกรณ์ประกอบการแสดง เซิ้งนางด้งจะมีอุปกรณ์ในการแสดงหลักๆ คือ กระด้ง ที่มีไม้คานขัดไว้เพื่อจับให้เคลื่อนที่ โดยกระด้งจะมีการเขียนคำว่า แล้ง 1 อัน และ ฝน 1 อัน เพื่อให้ทราบถึง การเสี่ยงทายว่าจะเกิดภัยแล้งหรือฝนตกกต้องตามฤดูกาลและตามความเชื่อของชาวอีสาน
ภ า ค อี ส า น | 12 2.2 การแสดงในรูปแบบการฟ้อนพื้นบ้านอีสาน ฟ้อน เป็นการแสดงพื้นบ้านที่อยู่คู่กับคนอีสานมาอย่างยาวนาน โดยเป็นการแสดงที่มีคำร้อง หรือไม่มีคำร้องประกอบการฟ้อนก็ได้มีจังหวะในการแสดงที่ช้าและนุ่มนวลเพื่ออวดฝีมือของผู้ฟ้อนในลักษณะ ความสวยงาม โดยการฟ้อนนี้จะมีการเคลื่อนไหวของสรีระทุกส่วนไปด้วยกันอย่างสวยงาม การม้วน มือจะมี ความอ่อนช้อย การย่ำเท่าจะนิยมย้ำเท้าแบบเต็มพื้น จะไม่มีการเขย่งเท่าเช่นกับการเซิ้ง ท่าฟ้อนของชาวอีสาน ส่วนใหญ่จะมาจากท่าฟ้อนของศิลปะการแสดงหมอลำในประเภทต่าง ๆ ซึ่งในสมัยก่อนการแสดงหมอลำนั้นจะ มีการร้องพร้อมกับการฟ้อนประกอบกับดนตรีหรือไม่มีดนตรีประกอบก็ได้ ท่าฟ้อนของศิลปะการแสดงหมอลำ จะมีลักษณะของการเลียนแบบท่าทางของสัตว์ เช่น ท่ากาตากปีก ท่าเต่าลงหนอง และการเลียนแบบท่า อากัปกิริยาของคนเมา เช่น ตีกลองกินเหล้า เป็นต้น ซึ่งวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด ได้นำมารวบรวมและเรียบ เรียงท่าฟ้อนทั้งหมดเป็นชุดการแสดง “แม่บทอีสาน” เพื่อให้เป็นแม่ท่าสำหรับการแสดงพื้นบ้านอีสาน และ สามารถนำท่าฟ้อนในแม่บทอีสานสร้างสรรค์ผลงานสำหรับการแสดงพื้นบ้านอีสานต่าง ๆ ได้ (ฉวีวรรณ พันธุ, สัมภาษณ์, 17 ตุลาคม 2565) ปัจจุบันการแสดงพื้นบ้านอีสานจะนิยมเรียกการร่ายรำออกเป็น 2 แบบ คือ 1.ทางฝั่งอีสาน เหนือจะเรียกว่า “ฟ้อน” เช่น ฟ้อนแม่บทอีสาน ฟ้อนกลองตุ้ม ฟ้อนภูไท ฟ้อนแม่บทอีสาน เป็นต้น 2. ทางฝั่งอีสานใต้จะเรียกว่า “รำหรือเรือม” เช่น เรือมอัมเร เรือมกันตรึม เป็นต้น ซึ่งความหมายของฟ้อนและ เรือมคือความหมายเดียวกัน ความแตกต่างของทางอีสานเหนือและอีสานใต้จะมีเพียงอัตลักษณ์ของภาษาหรือ กลุ่มชาติพันธ์ที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันจนเกิดเป็นการแสดงที่มีลักษณะเฉพาะของแต่พื้นที่นั้น ๆ (พรสวรรค์ พร ดอนก่อ, สัมภาษณ์, 17 ตุลาคม 2565) 2.2.1 ฟ้อนแม่บทอีสาน ประวัติความเป็นมา ฟ้อนแม่บทอีสาน เกิดขึ้นจากปีพ.ศ.2525 นายชวลิต มณีรัตน์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป ร้อยเอ็ด ได้มีนโยบายมอบหมายให้นางฉวีวรรณ ดำเนิน และนายจีรพล เพชรสม เป็นผู้ศึกษาและรวบรวมท่า ฟ้อนอีสานและเรียบเรียงท่าฟ้อนต่าง ๆ เรียกว่า “ลำดับฟ้อนแม่บทอีสาน” ซึ่งในแต่ละท่านั้นได้รับการถ่าน ทอดมาจากหมอลำที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น เช่น หมอลำชาลี ดำเนิน ถ่ายทอดทั้งหมด 19 ท่า, หมอลำเปลี่ยน วิมลสุข 10 ท่า, หมอลำเคน ดาเหลา 8 ท่า, หมอลำจันทร์เพ็ญ นิตะอินทร์ 4 ท่า, หมอลำสุบรรณ พะละสูรย์ 6ท่า, และท่าฟ้อนหมอลำผีฟ้า 1 ท่า รวมทั้งหมดเป็น 48 ท่า โดยสามารถแบ่งประเภทท่าฟ้อนออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้ 1. ท่าจากธรรมชาติ 2. ท่าจากพิธีกรรมความเชื่อ 3. ท่าจากวรรณกรรมท้องถิ่น
ภ า ค อี ส า น | 13 4. ท่าฟ้อนประกอบทำนองลำ 5. ท่าจากวิถีชีวิตของชาวอีสาน 6. ท่าเลียนแบบกิริยาของสัตว์ เมื่อรวบรวมท่าฟ้อนเสร็จจึงได้มีการประพันธ์แต่งกลอนลำประกอบชุดการแสดงชื่อว่า “ฟ้อนแม่บทอีสาน” และได้นำออกเผยแพร่ครั้งแรกในงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟที่จังหวัดสุโขทัย ในปีเดียวกันทำให้ฟ้อนแม่บทอีสานได้กลายเป็นฟ้อนที่มีอิทธิพลและเป็นแม่แบบที่สำคัญต่อการสร้างสรรค์ การแสดงพื้นบ้านของวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด เช่น เซิ้งนางด้ง เซิ้งทำนา ฟ้อนตังหวาย ฟ้อนสังข์สินชัย ฟ้อนมโนราห์เล่นน้ำ ฟ้อนดึงครก-ดึงสาก ฟ้อนแมงตับเต่า ฟ้อนสาวหลอก ฟ้อนเต้ยเดือนห้า ฟ้อนเต้ยเกี้ยว ฟ้อนโหวด เป็นต้น (ชัยณรงค์ ต้นสุข, 2565, น.457-458) องค์ประกอบการแสดง มีรายละเอียดดังนี้ - เนื้อร้องของฟ้อนแม่บทอีสาน แมนวานอนายจังว่าฟังเด้อท่านทุกท่านที่รอฟัง บางที่กลอนบ่จังสิออกเป็นลายฟ้อน ทั้งโหย่ะย้อนตามกร่อนฟ้อนแอ่น ฟังเสียงแคนจ้าว ๆ ยอขึ้นยกมือ ท่านหนึ่งนั่นเอิ้นวาพระนารายณ์ ยกแขนสีกาย ๆ ออกพรหมสี่หน้า ท่านี่เพิ่นเอิ้นว่าทศกัณฐ์โลมนาง น้องมณโทเอวบางลูบหลังลูบไหล่ นี่ท่าใหม่ย่างไปย่างมา ฮอดบ่หนีไกลป๋าเอิ้นข้างเทียมแม่ ยกมือขึ้นแกแด่ท่าช้างซูงวง คือจังเอามือควงข้างพุ่นข้างพี่ ทำทรงนี้เอียงกายโหย่ะหย่อน เอิ้นว่ากาเต้นก้อนเทิ้งยอนบ่เซา เข้าท่านี่ยักไหล่ลายมวย มีเทิงนวยเทิงแข็งคู่กันไปพร้อม ไผก็ยอมจังวาพอคราวแล้วมวยไทยออกท่า ขนมต้มผู้ให้ลายตั้งท่ามวย กวยขาซายปัดป่ายขาหลัง บ่มีกลัวเกรงหยังท่ารำแนวนี่ ฟังทางนี้ยังมีท่าใหม่ ท่ามวยไทยกะแล้วยังแฮ้งย่อนขา ท่าต่อมาเอิ่นว่ากาตากปีก (ซ้ำ) ฟ้อนจังซี้ท่าหลีกแมเมีย ให้ลูกเขยไปแหน่เอาไมแหย่ไปนำ ข่อยสิไปฟังลำขอทางไปแน คอยท่าฟังเจ้าเด้อแม่ลมฟันตีนภู เสียงมันดังวูๆเอิ้นลมพัดพร้าว หนาว ๆ เนื้อคือเสือออกเหล่า ฟ้อนจังซี้ท่าเต่าลงหนอง ฟ้อนจังซี้ตีกลองกินเหล้า เทิ้งเมาเทิ้งฟ้อนนำกันเกินม่วน ดังห่วน ๆ แห่บุญปั้งไฟ ฟ้อนกะฟ้อนบ่ไกลเอิ้นคนขาแหย่ง ยกมือขึ้นแป่งแซ่งตาขำตีงัว เดินเป็นตาอยากหัวตาขำออกท่า ฟังสิวาท่าใหม่ยังมี จั๊กสิดีบ่ดีกะยังมีท่าใหม่ ท่านี่ควายเถิกใหญ่แลนเข่าซนกัน เทิงดึกเทิงดันหลังขดหลังโก่ง ท่านี่สาวลลงท่งแก่งแขนนวยนาย ล่ะเทิงเอียงเทิงอายบัดผู้สาวลงท่ง
ภ า ค อี ส า น | 14 ท่าเฮ็ดหลังโก่ง ๆ เกี่ยวข้าวในนา คือจังคนงมปลาหลังขดหลังโก่ง ลำกลอนฟ้อนยังมีอีกต่อ ค่อยท่าฟังเด้อท่าตุ่นเข้าฮู ท่าต่อมาเอิ้นพิเภกถวยครูเฮ็ดมือแนวนี่ มีลายฟ้อนหลายอันฟ้อนคู่ เอิ้นว่าฟ้อนเกี้ยวซู้วนอ้อมใส่กัน ท่าฟ่อนนั่นออกท่าวางแขน เอิ้นว่ายูงรำแพนแอ่นแขนเลยฟ้อน เทิงโหยะย่อนคือแหลวบินเหวิ่น เขาเอิ้นว่าแหลวเซินเอาไก่น้อยสอยได้แล้วเวินหนี ฟ้อนจั้งซี่ทำท่าสวย ๆ ทำทรงสีนวย ๆ เอิ้นสาวปะแป้ง เถิงยามแล้งเขาว่าลำเลี้ยงข่วง คือจังคนป่วงบ้าเดินน่ายางไว ลำเลี้ยงไก่ลงข่วงเป็นฝูง เกินสนุกน้อลุงท่ารำแนวนี่ มีเสียงพร้อมคือพายเฮือส่วง ยามน้ำล่วงน่าเดือนสิบสอง ฟ้องเสียงฉาบเสียงกลองดังมาแป้ดแป่ง ฟังสิแบ่งท่าฟ้อนออกไป เฮ็ดมือสีไว ๆ ฟ้อนกวยจับอู่ ฟ้อนจังสี้ท่าปู่สิงหลาน เป็นตาน่าสงสารเทิงฮิกเทิงฮ่อน ฟังเบิ่งก่อนท่าผู้เฒ่าฟังธรรม ปากกะจ่มไปนำมุบมู่มุบมับ พอปานวาเพิ่นนับผิดแต่หลับตา ท่าต่อมาฟ้อนหมอลำคู่ ไปฮอดหมอลำหมู่เอิ้นว่าลำเพลิน นุ่งกระโปรงเขิน ๆ เทิงลำเทิงเต้น เห็นไหมท่าลำเพลินออกท่า ยกขาขึ้นท่านี่กระดกซ้ายและขวา มือไขว่คว้ายกอยู่เทิงบน เขาเอิ้นหงส์บินวนเซินบนเทิงฟ้า หลับตาฟ้อนเดินสามถอยสี่ คันว่าฟ้อนท่านี้เมาเหล่าบ่อส่วงเซ้า ท่านี้เจ้าผู้เฒ่านั่งผิงไฟ ฮอดบ่หนีไปไกลแล้วยกมือขึ้นผ่าง ยกมือขึ้นแล้วกะยางถอยไปถอยมา เทิงเล่นหูเบ่นตาเพิ่นเอิ้นลิงหลอกเจ้า ฟังฉันเว้าเขาวาลำสักสุ่ม ฮ้อดบ่เอามือจุ่มสักสุ่มหาปลา ท่าต่อมาเอิ้นเจียจับไม้ใต้ห่มบักเล็บแมว เทิงขาเทิงแอวสักการันตำข้าว ยามตอนเช้าสักรันเหยียบย่ำ ท่าเฮ็ดหัวต่ำ ๆ ก้นขึ้นสูง ๆ ท่านี้เด้อคุณลุงงมปลาในน้ำ ยามงมได้หักคอยัดใส่ เอามายัดใส่ข้องอยู่หนองน้ำทงนา ลำท่านี้นกกระเจ่าบินวน ตามันเหลียวหาปลาอยู่ทงนาหนองม้อง ท่านี้นวลนางน้องกินรีชมดอก ออกมาชมเที่ยวเล่นดวงดอกไม้กลิ่นหอม พร้อมว่าแล้วท่าใหม่ยังมี นี่คือคนเข็นไหมแกว่งไวทางนี้ หรือเข็นฝ่ายเดือนหงายลวงข่วง พวกผู้สาวสำน้อยคอยท่าผู้บ่าวมา ท่านี้สาวแม่ฮางลงทงถือหวิง ไปเก็บหอยเก็บปูผองหาเอากุ้ง จับหวิงได้เอาไปลงแก่ง ตัดข่างขวาข่างซ้ายหากุ้งอยู่หนอง ท่านี้เด้อพี่นองคือฮองไถนา นี่คือลุงทิดสาไถนาหนองม่อง เทิงฮือเทิงฮ้องเซือกกะฟาดไปนำ ปากกะจ่มมพึมพำลุงสาเลาเมือย ฟ้อนบ่เมื่อยนี่คือจ้อลายมวย
ภ า ค อี ส า น | 15 แล้วยกมือขึ้นถวยเทวีสี่ข้าง ท่าเฮ็ดมือห่าง ๆ นี่คือนับเงินตรา ผู้นับบาทหนึ่งผู้ฟังบาทหนึ่ง ให้หมอแคนบาทหนึ่ง ท่ากู้จู้กึ่งจึงนี่คือหนุมาน เทิงหมอบเทิงคานยอแหวนถวยไท้ เห็นหรือไม่หนุมานถวายแหวน ลำฟ้อนแบบใหม่ เสียงไล่ท่าฟ้อนคือแข่แก่งหาง ฮอดบ่ได้หยับยางไปไส แก่งหางไปหางมาท่ารำแนวนี้ มีลายฟ้อนมโนราห์ฟ้อนหมู่ แต่นางอยู่บ่ได้บินเจ้ยเวินหนี ฟ้อนจั้งซี้ท่าอุ่นมโนราห์ พรรณนาเป็นตอนบ่อนพอฟังได้ จำเอาไว้ฟ้อนมีหลายท่า ความเป็นมาจั่งซี้จำไว้อย่าหลง อย่าหลงจำไว้อย่าหลง (วรัทยา ด้วงปลี, 2556, น.42-43) - รูปแบบการแสดง รูปแบบการแสดงเป็นการเก็บกระบวนท่าฟ้อนของหมอลำ กลอนเข้าสู่ระบบการศึกษาจึงมีการจัดระเบียบท่าเพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์การแสดง ได้ การแสดงเป็นการฟ้อนประกอบเพลงทำนองลำทางสั้น ซึ่งเป็นการฟ้อนเป็นคู่ชายหญิงลักษณะของเพลงจะ เป็นการร้องและตีบทตามคำร้องในท่าทางต่าง ๆ โดยมีดนตรีคั่นเพื่อให้เห็นถึงการอธิบายท่าฟ้อนตามบทร้อง โดยมีท่าฟ้อนแม่บทอีสานจำนวน 48 ท่า ดังนี้ ท่าที่ 1 ท่าพรหมสี่หน้าหรือท่าพระนารายณ์ เป็นท่าฟ้อนที่แสดงถึงการเคารพพระพรหมของ ชาวอีสาน ท่าที่ 2 ท่าทศกัณฐ์โลมนาง เป็นท่าฟ้อนที่เลียบแบบกิริยาท่าทางของตัวละครในวรรณคดี อีสาน เรื่องรามเกียรติ์ โดยเลียนแบบกิริยาการเกี้ยวพาราสีของทศกัณฑ์โอบกอดนางมณโฑ ท่าที่ 3 ท่าช้างเทียมแม่ เป็นท่าฟ้อนที่แสดงถึงความใกล้ชิดความผูกพันระหว่างลูกช้างและแม่ ช้าง ท่าที่ 4 ท่าช้างชูงวง เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการของช้างขณะที่ชูงวงยกขึ้นสูง ท่าที่ 5 ถ้ากาเต้นก้อนเป็นถ้าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการของกา ขณะที่กระโดดไปมาบน ก้อนดินตามทุ่งนาเพื่อหาอาหาร ท่าที่ 6 ถ้าหยิกไหล่ลายมวย เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบท่ามวยโบราณ เมื่อนำมาดัดแปลงเป็น ท่าฟ้อนจึงต้องดัดแปลงให้เข้ากับจังหวะดนตรีคือจังหวะท่ารำมวยจะอยู่ที่หัวไหล่ ท่าที่ 7 ถ้าแฮ้งหย่อนขา เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการของอีแร้งขณะที่กำลังเหยียดขา ท่าที่ 8 ถ้ากาตากปีก เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการของกาที่กำลังกางปีกทั้ง 2 ข้างเพื่อ ทำความสะอาดและขณะกางปีกออกข้างเดียว ท่าที่ 9 ถ้าฟ้อนหลีกแม่เมีย เป็นท่าฟ้อนที่แสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน ของชาวอีสาน ขณะที่เดินผ่านผู้อาวุโสต้องก้มตัวลงแล้วค่อยๆ เดินผ่าน
ภ า ค อี ส า น | 16 ท่าที่ 10 ถ้าลมพัดพร้าว เป็น ท่า ฟ้อนที่เลียนแบบลักษณะของยอดมะพร้าวขณะที่ถูกลมพัด ซึ่งจะเอนไปตามแรงลม ท่าที่ 11 ถ้าเสือออกเหล่า เป็นท่าที่เลียนแบบกิริยาอาการของเสือ ขณะที่กำลังย่องออกจาก ป่าอย่างช้าๆ เพื่อคอยดูว่าจะมีภัยอันตรายอะไรหรือไม่ ท่าที่ 12 ท่าเต่าลงหนอง เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการของเต่าขณะที่กำลังเดินลงสระ น้ำ ท่าที่ 13 ท่าตีกลองกินเหล้า เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบลักษณะของการตีกลองแสดงถึงลักษณะ ความสนุกสนานเพลิดเพลินจากการกินเหล้าของชาวอีสาน ท่าที่ 14 ท่าคนขาแหย่ง เป็นท่าที่เดินขาไม่เท่ากันส้นเท้าไม่ถึงพื้นจะถึงเฉพาะปลายเท้า เท่านั้น ท่าที่ 15 ถ้าตาขำตีงัว เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกริยาของชาวนาขณะที่ไปเลี้ยงวัว ใช้ฝ่ามือตี ก้นวัวเพื่อให้วัวเดินเร็ว ท่าที่ 16 ถ้าควายเถิกใหญ่แล่นเข้าชนกัน เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการของควายตัวผู้ ที่วิ่งเข้าชนกันซึ่งต้องใช้กำลังมากจนตัวโก่งหลังโก่ง ท่าที่ 17 ถ้าสาวน้อยลงทุ่ง เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกริยาของผู้หญิงขณะเดิน ต้องเดินให้สวย สงบเสงี่ยมให้สมกับเป็นกุลสตรี ท่าที่ 18 ท่าเกี่ยวข้าวในนา เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบลักษณะการจับเคียวเกี่ยวข้าวของชาวนา ท่าที่ 19 ถ้าตุ่นเข้าฮู เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกริยาอาการของตัวตุ่นซึ่งกำลังขุดรู โดยใช้สอง ขาหน้าช่วยในการขุดรู ท่าที่ 20 ถ้าพิเภกถวายครู เป็นท่าสอนที่ เลียนแบบกิริยาของตัวละครในวรรณคดีอีสานเรื่อง รามเกียรติ์ เคยเลียนแบบกริยาของพิเภก ซึ่งกำลังไหว้ครูก่อนที่จะทำนายเหตุการณ์ต่าง ท่าที่ 21 ถ้าฟ้อนเกี้ยวชู้ เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว ท่าที่ 22 ถ้ายูงรำแพน เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกริยาของนกยูงตัวผู้ขณะที่กลางหางออกเพื่อ อวดความสวยงามของ ท่าที่ 23 ถ้าแหลวบินเซิ่น เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกริยาอาการของเหยี่ยวซึ่งกำลังขยับปีกบิน และ เหยี่ยว ขณะที่บินโฉบลงจับเอาลูกไก่ไปเป็นอาหาร ท่าที่ 24 ท่าสาวปะแป้ง เป็นท่าสอนที่เลียนแบบวิริยะอาการปะแป้งของหญิงสาว เมื่อเวลา ร้อนหญิงสาวจะใช้แป้งเม็ดใส่น้ำแล้วปะตามตัวเพื่อคลายร้อน ท่าที่ 25 ท่ารำเลี้ยงไท้ เป็นท่าฟ้อนเลียนแบบในพิธีกรรมเซ่นสรวงผีไท้รำทรงของชาวอีสาน ท่าที่ 26 ถ้าพายเฮือส่วง เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการพายเรือแข่งในเทศกาลต่างๆ ของชาวอีสาน ท่าที่ 27 ท่ากวยจับอู่ เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาการจับสายเปลไกวลูก เพื่อให้ลูกนอน หลับ
ภ า ค อี ส า น | 17 ท่าที่ 28 ถ้าปู่สิงหลาน เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการกล่อมเด็กให้หยุดร้องโดยการอุ้ม เด็ก ท่าที่ 29 ท่าผู้เฒ่าฟังธรรม เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาของคนแก่ที่นั่งฟังเทศน์ขณะที่ไป ทำบุญ ท่าที่ 30 ท่าลำเพลิน เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบ ลีลาการฟ้อนของหมอลำเพลินที่ต้องยกเท้า ตามจังหวะ ถ้าที่ 31 ถ้าหงส์บินวน เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาของหงส์ซึ่งบินวนอยู่กับที่แสดงความ สวยงาม ท่าที่ 32 ท่าเมาเหล้า เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาของคนเมาเหล้าจะเดินโซเซไม่ตรง ท่าที่ 33 ท่าผู้เฒ่านั่งผิงไฟ เป็นท่าฟ้อนที่แสดงลักษณะการผิงไฟของชาวบ้านในหน้าหนาว ยื่นมือเข้ามาในกองไฟเพื่อที่จะได้รู้ว่าไฟร้อนมากเกินไปหรือไม่ ท่าที่ 34 ถ้าลิงหลอกเจ้า เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกริยาอาการของลิงที่ซุกซนอยู่ไม่เป็นที่เป็น ทางไม่อยู่นิ่ง ท่าที่ 35 ท่าสักสุ่ม เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาการหาปลาโดยใช้เครื่องมือในการหาปลาคือ สักสุ่มลงในน้ำเพื่อดักปลาให้อยู่ในสุ่มแล้วจึงจับเอาปลาใส่ข้อง ท่าที่ 36 ถ้าเกี่ยจับพุ่มหมากเล็บแมว เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการของค้างคาวที่บิน ไปเกาะกิ่งไม้ บางตัวก็ไม่เกาะกิ่งไม้หรือบางตัวก็เกาะกิ่งไม้ไม่แน่นบ้าง ท่าที่ 37 ถ้าตำข้าวเป็น ท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาการตำข้าวในสมัยโบราณ โดยใช้ครบมอง ต้องใช้เท้าเหยียบหางครกขึ้นลงตามจังหวะ ท่าที่ 38 ท่างมปลาในน้ำ เป็นท่าฟ้อนที่แสดงการจับปลาในน้ำโดยใช้มือจับไม่ใช้อุปกรณ์ใดๆ ท่าที่ 39 ท่านกกระเจ่าบินวน เป็นท่า ฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการของนกกระยางที่เดิน ย่องๆเพื่อมองหาอาหาร ท่าที่ 40 ถ้ากินรีชมดอก เป็นท่าที่ฟ้อนเลียนแบบกิริยาอาการของนางกินรี ที่กำลังชมความ งามของดอกไม้ โดยใช้มือจับดูดอกไม้หลายๆดอก ท่าที่ 41 ท่าคนเข็นฝ้าย เป็นฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาของหญิงสาวขณะกำลังใช้หลา เครื่องมือที่ ใช้ทอผ้าปั่นฝ้ายให้เป็นเส้นเพื่อที่จะนำไปทอ ท่าที่ 42 ถ้าสาวแม่ฮ้างลงทุ่งถือหวิง เป็นถ้าฟ้อนเลียนแบบกริยาของหญิงหม้าย ซึ่งกำลังใช้ สวิงช้อนกุ้งหรือปลาในน ท่าที่ 43 ท่าไถนา เป็นท่าที่เลียนแบบกิริยาไถนาของชาวนาโดยแสดงลักษณะการจับหางคัน ไถและจับเชือกเดินตามหลังควาย ท่าที่ 44 ท่าจ่อลายมวย เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบลีลาการไหว้ครูมวยก่อนที่จะชก ท่าที่ 45 ท่านับเงินตรา เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบกริยาการนับเศษเงินเหรียญ
ภ า ค อี ส า น | 18 ท่าที่ 46 ท่าหนุมานถวายแหวน เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบของตัวละครในวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ คือหนุมานซึ่งกำลังยื่นแหวนให้กับนางสีดา ท่าที่ 47 ท่าจระเข้ฟาดหาง เป็นท่าที่ฟ้อนเลียนแบบกิริยาอาการของจระเข้กำลังนอนและ จระเข้กำลังโกรธใช้หางตวัดไปมาเพื่อที่จะตีเหยื่อ เท้าที่ยกฟาดไปข้างหลังแทนหางจระเข้ ท่าที่ 48 ท่าอุ่นมโนราห์ เป็นท่าฟ้อนที่เลียนแบบลักษณะลีลาการบินลงเล่นน้ำของนาง มโนราห์ ซึ่งเป็นตัวละครในวรรณคดีอีสานเรื่องท้าวสุธนมโนราห์ (คณะนักศึกษา ศศ.บ.481(4)/14, 2552, น. 15-26) - ดนตรีที่ใช้ในการแสดง แต่เดิมดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงฟ้อนแม่บทอีสานคือ แคน กลอง ฉิ่ง ฉาบ ต่อมามีการพัฒนามาเป็นดนตรีในลักษณะของวงโปงลาง ประกอบไปด้วย พิณ แคน โหวด กลอง ฉิ่ง ฉาบ เบส โปงลาง เป็นต้น - การแต่งกาย ในยุคแรกการแต่งกายจะเป็นการแต่งตามบริบทที่มี คือ นักแสดง เพศชายเสื้อตัดจากผ้ามัดหมี่เป็นแขนสั้นและใส่โสร่งพร้อมกับผ้าขิดสีแดงมัดที่เอวของผู้แสดง ในส่วนของ ผู้หญิงจะใส่ผ้าลายยกดอกลำพูนจับหน้านาง ห่มสไบขิดสีเขียวโดยการห่มใส่ใบนั้นจะไม่มีการสวมเสื้อเกาะอก ข้างใน การทำผมในสมัยก่อนนั้นจะทำลักษณะหมวยลาวรวบตึง เครื่องประดับจะใช้เป็นเครื่องทอง ประกอบ ไปด้วย เข็มขัดเกล็ดปลา กำไล ต่างหู และสร้อยคอ ปัจจุบันได้มีกาพัฒนามาเป็นผู้ชายใส่เสื้อม่อฮ่อมผ้าโสร่ง และมีผ้าขิดสีแดงคาดที่เอว ส่วนผู้หญิงผ้าซิ่นลายสร้อยดอกพร้าว สไบขิดสีเหลือง เครื่องประดับเงินประกอบ ไปด้วย สร้อย กำไล ต่างหูและเข็มขัดเงิน ผมเกล้าผมพร้อมทัดดอกไม้(สุธิวัฒน์ แจ่มใส, สัมภาษณ์, 2565) การแต่งกายของฟ้อนแม่บทอีสาน ที่มา: ฟ้อนแม่บทอีสาน : แม่ท่าการฟ้อนพื้นเมืองอีสานสู่กระบวนการนาฏยประดิษฐ์, โดย ชัยณรงค์ ต้นสุข, 2565: น.458, วารสารพุทธปรัชญาวิวัฒน์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2565)
ภ า ค อี ส า น | 19 2.2.2 ฟ้อนกลองตุ้ม ประวัติความเป็นมา ฟ้อนกลองตุ้มหรือฟ้อนส่วยมือ เป็นการฟ้อนรำที่เก่าแก่และโบราณของชาวอีสาน เป็นศิลปะ การฟ้อนรำที่มีความเชื่อแฝงอยู่ด้วยและยังเป็นศิลปะที่ผสมผสานการฟ้อนรำและดนตรี (กลองตุ้ม) ท่าฟ้อนเป็น ตามแบบฉบับพื้นบ้านคือ การโยกย้ายตามท่วงท่าที่อิสระไม่มีกำหนดท่วงท่าที่แน่นอน ในอดีตนิยมฟ้อนด้วย ผู้ชายทั้งหมด การฟ้อนกลองตุ้มเป็นการแสดงประกอบการแห่ขบวนในประเพณีบุญบังไฟ ซึ่งฟ้อนกลองตุ้มจะมี 2 แบบ คือ 1.การฟ้อนในรูปแบบขบวนแห่ 2. การฟ้อนประกอบทำนองกาพย์เซิ้งเพื่อขอเหล้าหรือปัจจัย ไทยทาน (กลุ่มสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สถาบันวัฒนธรรมศึกษา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. 2561, น.101) การแสดงฟ้อนกลองตุ้ม เป็นการแสดงที่กระจายอยู่ในชุมชนต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ชุมชนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่อยู่อยู่อาณาเขตปกครองของเมืองอุบลราชธานี หรือเป็นชุมชนใหม่ที่ชาวอุบลแต่เดิม ได้อพยพไปตั้งถิ่นฐาน โดยท่ารำและการแต่งกายนั้นอาจแตกต่างกันออกไปตามแต่สภาพสังคมและวัฒนธรรม ของชุมชนนั้นๆ ซึ่งเมื่อกล่าวถึงชุมชนที่มีเอกลักษณ์การฟ้อนกลองตุ้มจะมีทั้งชุนชนบ้านหนองบ่อ อ.เมือง จ. อุบล ชุมชนห้วยขะยูง อ.วารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี หรือแม้แต่จังหวัดใกล้เคียงคือ ชุมชนบ้านหนองแก้ว อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ และยังมีพื้นที่อื่นๆในจังหวัดอุบลอีกมากมาย ซึ่งจากพื้นที่ที่กล่าวข้างต้นการฟ้อน กลองตุ้มก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามบริบทพื้นที่ ทั้งนี้จะยกตัวอย่างการฟ้อนกลองตุ้มของบ้านหนองบ่อ อ. เมือง จ.อุบลราชธานีเนื่องจากการแสดงฟ้อนกลอตุ้มของบ้านหนองบ่อเป็นที่รู้จัก มีชื่อเสียงและนิยมเล่นใน งานต้อนรับต่าง ๆ ของจังหวัดอุบลเรื่อยมา โดยมีรายละเอียดดังนี้ ฟ้อนกลองตุ้มบ้านหนองบ่อ แต่เดิมจะนิยมฟ้อนกันในขบวนแห่บุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นพิธีกรรมการ ขอฝนเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล โดยผู้ริเริ่มให้มีการฟ้อนกลองตุ้มของบ้านหนองบ่อมี 2 ประเด็นดังนี้ 1. ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี ซึ่งมีความเชื่อว่าตามแนวฝั่งโขงท่านทั้งสองเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ผู้ซึ่งมีพระคุณต่อ โลกมนุษย์เพราะนอกเหนือจากชายหญิงคู่แรกที่เกิดขึ้นในโลกแล้วยังเป็นผู้ช่วยกันตัดเครือเถากาดที่ปิดบัง แสงอาทิตย์จนโลกมืดมิด 2. ตาซุย ตาสี (เซียงสี เซียงซุย บรรพบุรุษที่นำพาชาวบ้านอพยพจากบ้านตากแดด (บ้านดงบัง) เมื่อครั้งเกิดโรคระบาดมายังบ้านหนองบ่อในปัจจุบัน (คำล่า มุสิกาและคณะ, 2552, น.60) องค์ประกอบการแสดง มีรายละเอียดดังนี้ - บทขับร้อง ในการฟ้อนกลองตุ้มของชุมชนบ้านหนองบ่อจะมีผู้อาวุโสฝ่ายชาย ออกมาขับร้องเพลงประกอบจังหวะกลองและพังฮาด เรียกว่าการเจ่ย โดยบทเจ่ยนั้นจะเป็นคำที่ไม่สุภาพติดไป ในทางหยาบโลน คำที่ปรากฏนั้นกล่าวถึงอวัยเพศ การกล่าวถึงอาการร่วมเพศอย่างโจ่งแจ้งหรือเป้นเรื่องผิด ธรรมนองคลองธรรม ซึ่งชาวชุมชนจะไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาทเพราะเป็นประเพณี โดยเชื่อว่าการกล่าวคำ หยาบคายและกระทำผิดไปจากจารีตประเพณีจะทำให้พระยาแถนรู้สึกสังเวชในแล้วจะได้สาดน้ำลงมาล้างให้โล กะอาดตามความเชื่อนั้นคือฝนที่ตกลงมานั้นเอง ตัวอย่างคำเจ่ย
ภ า ค อี ส า น | 20 “เจ่ยปก ลูกเขยซกกะพ่อเฒ่าตกเฮือน ลูกเขยตาเบือนกะพ่อเฒ่าตาหลิ่ว ลูกเขยสิ่ว คาดกะพ่อเฒ่าสิ่วไถ ลูกเขยจังไฮกะเตะปากพ่อเฒ่า ถ้าพ่อเฒ่าเว้ามันกะผิดใจมัน” - รูปแบบการแสดง กลองตุ้มแบบโบราณจะมีเพียงผู้ชายล้วนเท่านั้นที่จะสามารถ ฟ้อนได้ แต่ในปัจจุบันไม่ได้จำกัดเพศและวัยในกาฟ้อนแต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้หญิง ซึ่งรูปแบบการฟ้อนของ กลองตุ้มจะเป็นรูปแบบขบวนแห่ และเป็นการฟ้อนท่าตามอิสระให้เข้ากับจังหวะกอลงและผ่างฮาด โดยมีท่า ฟ้อนจำนวน 6 ท่า ได้แก่ 1.ท่าไหว้ครู 2. ท่าต่ำหูก (ทอผ้า) 3. ท่าดอกบัวบาน 4. ท่าเซิ้งโบราณ 1 5. ท่านกบิน กลับรัง 6. ท่าเซิ้งโบราณ 2 รูปแบบของขบวนจะเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งแล้วจัดเป็นคู่ ลักษณะการฟ้อนเป็นฟ้อน ถอยหลัง โดยกลองตุ้มและพางฮาดจะอยู่ท้ายขบวนแห่ - ดนตรีที่ใช้ในการแสดง ดนตรีที่ใช้ในการแสดงฟ้อนกลองตุ้มของบ้านหนองบ่อ คือ กลองตุ้มและพางฮาด ดนตรีที่ใช้ในการแสดงฟ้อนกลองตุ้มของบ้านหนองบ่อ ที่มา : การฟ้อนกลองตุ้มบ้านหนองบ่อ, โดย ขนิษฐา ทุมมากรณ์, (2562), สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 จาก https://oer.learn.in.th/search_detail/result/113449 - การแต่งกาย ประกอบไปด้วย ผู้ชายใส่เสื้อดำไหม นุ่งซิ่นหมี่ชนิดมีหัวและตีซิ่น ผ้า เบี่ยงแพรปลาไหล มีผ้ามัดหัวแพรปลาไหล บักยันและสวมซวยมือ ผู้หญิงใส่เสื้อดำไหม นุ่งผ้าโสร่ง เบี่ยงผ้าด้วย ผ้าไหมขิด บักยันและสวมซวยมือที่นิ้วมือ การแต่งกายของบ้านหนองบ่อนี้เป็นการแต่งกายที่สามารถผลิตได้ เองในชุมชน และแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นในการผลิต (คำล่า มุสิกาและคณะ, 2552, น.60-77)
ภ า ค อี ส า น | 21 การแต่งกายฟ้อนกลองตุ้มของบ้านหนองบ่อ ที่มา : การแต่งกายในการฟ้อนกลองตุ้ม บ้านหนองบ่อ, โดย ขนิษฐา ทุมมากรณ์, (2562), สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 จาก https://oer.learn.in.th/search_detail/result/176929 2.2.4 รำตังหวาย (ฟ้อนตังหวาย) ประวัติความเป็นมา ตังหวาย หมายถึง การรำถวย หรือรำถวายให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ ประจำหมู่บ้าน ผีปู่ย่าในพิธี บวงสรวงของชาวบ้านเจียด ที่จัดขึ้นประจำทุกปี โดยวิทยาลัยครูอุบลราชธานี้ ได้ไปศึกษาการแสดงรำตังหวาย จากบ้านเจียด อำเภอเขมราฐ และนำมาพัฒนาเป็นชุดการแสดงรำตังหวาย วัตถุประสงค์เพื่อเป็นการต้อนรับ แขกบ้านแขกเมือง และเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอีสานให้คนรู้จักมากยิ่งขึ้น โดย ศิริเพ็ญและทินกร อัตไพบูลย์ กล่าวไว้ว่า “อาจารย์ประดิษฐ์ แก้วชิณ ครูใหญ่โรงเรียนบ้านเจียด ได้มีโอกาสเข้ามาเรียนในวิทยาลัยครูขณะนั้น วิทยาลัยครูอุบลราชธานีกำลังมองหาการแสดงพื้นบ้านที่เป็นอัตลักษณ์ของอุบลราชธานี พอดีไปดูการรำตัง หวายของบ้านเจียด อ.เขมราฐ จึงเกิดสนใจและจะนำมาพัฒนาให้เป็นอัตลักษณ์ของอุบล เพราะตังหวายของ ไทยจะมีคำว่า หยวกๆ แต่ทางฝั่งลาวจะไม่มีคำว่า หยวกๆ ต่อท้ายของบทร้อง ตอนนั้นไม่ได้สนใจว่าประเทศ ลาวจะมีลักษณะการแสดงอย่างไร เนื่องจากในช่วงนั้นประเทศลาวปิดประเทศ จึงยึดการแสดงของชาวบ้าน เจียดเป็นหลัก เพื่อนำมาใช้ในการบวงสรวงตลอด อาจารย์ประดิษฐ์ แก้วชิน ทำรำตังหวายขึ้นมาเพื่อการ บวงสรวงโดยเฉพาะ ถวายมาจากคำว่า “ถวย” และตังหวาย มาจากคำว่า “ตั้งถวาย” คือการนำเครื่องสังเวย ไปถวาย ภาษาอีสานเรียกว่า นำเครื่องสังเวยไปถวยให้กับสิ่งศักดิ์ ผีปู่ตา ที่เกิดขึ้นทุกๆปี ที่บ้านเจียด อ.เขมราฐ จ.อุบล ที่นำชุดนี้มาเพราะว่ามันแปลกที่มีคำสร้อยว่า หยวกๆ คำว่าตังกับตั่ง คือคำเดียวกัน ของตังหวายใน แบบฉบับอุบล หมู่บ้านแถวนั้นเค้าเรียกว่าบ้านตั่งหวายจริงๆ เนื่องจากมีการปลูกหวายไว้เยอะ ตั้งถวายฟ้อน รำถวย แต่ทางลาวจะออกเสียงว่า ตั่งหวาย”
ภ า ค อี ส า น | 22 (ศิริเพ็ญและทินกร อัตไพบูลย์, สัมภาษณ์, 2 ตุลาคม 2565) รูปแบบการแสดง ลักษณะของการรำตังหวายนี้ต้องใช้ศิลปะในการเคลื่อนไหวตลอดทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา สะโพก ศรีษะ บั้นเอว ฯลฯ ก็ตามจะต้องมีความอ่อนช้อยนวยนาดตามจังหวะของดนตรีซึ่งไม่เร็วหรือ ช้าเกินไป เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบมีดังนี้ แคน พิณ ซอ ไม้งับแงบ ฉิ่ง ฉาบ เวลาแสดงก็มีการร้องคลอ ให้เข้าจังหวะพร้อมกับการฟ้อนรำไปด้วย โดยจะมีคำสร้อยในเพลงว่า “เยือกๆ” ซึ่งหมายความว่าให้เป็น ระเบียบพร้อมเพรียงกัน ส่วนโปงลางของทางวิทยาลัยครูอุบลในขณะนั้น ได้เพิ่มจังหวะให้เกิดความไพเราะและ ความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น (ทินกร อัตไพบูลย์, 2525, น.15) การแสดงรำตังหวาย จะใช้นักแสดงทั้งหมด 8 คนหรือมากกว่านั้นก็ได้ โดยลักษณะเฉพาะของท่ารำตังหวาย คือ ท่าไหว้ตลบมือเข้าสามครั้ง ไหว้ไปทางขวา และไหว้ไปทางซ้าย ไหว้ตรงกลาง และเอกลักษณ์อีกอย่างที่ให้ได้ชัด คือ การพรมนิ้วหันสี่ทิศ และท่าหยวก หยวกซ้ายหยวกขวา หรือการแทงมือขึ้น ศรีษะเอียงตามมือ ตังหวายปรับเป็นนาฏศิลป์ไทยมากขึ้นในเรื่องของการจีบ แต่เดิม ชาวบ้านไม่ได้จีบเหมือนของรำไทยเป็นลักษณะของการม้วนมือแบบชาวบ้านเท่านั้น การแสดงชุดนี้ได้นำมา ปรับให้ท่ามีความสวยงามมากยิ่งขึ้น ใช้การเขย่งเท้าที่ได้รับอิทธิพลมาจากการเซิ้งกระติ๊บ โดยชาวบ้านอีสาน จริง ๆ จะไม่นิยมเขย่งเท้า แต่จะเป็นการย่ำเต็มเท้าเท่านั้น แต่เดิมการแสดงชุดนี้เรียกว่า “รำตังหวาย”ต่อมา ได้มาปรับให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้พ้องเสียงกับคำว่าขับลำจึงกลายมาเป็น “ฟ้อนตังหวาย” - ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง แต่เดิมเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบ คือ แคน พิณ ซอ ไม้งับแงบ ฉิ่ง ฉาบ เป็นต้น ปัจจุบันได้มีการพัฒนาในเรื่องของเครื่องดนตรีที่ใช้มาเป็นวงโปงลางและเพิ่ม ซุง เข้ามาบรรเลง เพื่อให้มีคววามหลายหลายและมีจังหวะที่สนุกสนานเพิ่มมากขึ้น - การแต่งกาย การแต่งกายได้รับอิทธิพลมาจากบ้านเจียด อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี โดยสวมเสื้อ แขนยาวสีน้ำเงิน ผ้าถุงมัดหมี่ สไบลูกไม้ฉลุสีขาวพาดเชียงไหล่ ทางวิทยาลัยครูใช้เสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน มีผ้าขาวม้ามาเบี่ยง ผ้าถุงเป็นผ้าถุงมัดหมี่ ต่อมามีการพัฒนาเปลี่ยนมาเป็นผ้าขาวม้าสีส้มเขียวรัดอิ้งอก และ ใส่ผ้าถุงลาวสีเขียวลายล่อง และมีการพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นผ้าขิดลายใหญ่ ๆ คล้ายตีนซิ่นเพื่อมาอ้งอก ผ้าถุงยังนิยมใส่ผ้าถุงลาวสีเขียวลายล่องดังเดิม ต่อมาในยุคสมัยนายสุนัย ณ อุบล ผู้ว่าราชการอุบลราชธานี ในสมัยนั้น ได้แนะนำให้เปลี่ยนผ้าถุงมาเป็นผ้าลายล่อง ซึ่งผ้าลายล่องนี้ได้นำมาจากพิพิธภัณฑ์จังหวัด อุบลราชธานี โดยการใส่ดิ้นเงินดิ้นทองลักษณะการทอเลียนแบบผ้าลายล่องในพิพิธภัณฑ์และได้เปลี่ยนมาใช้ซิ่น เมืองอุบล ตีนซิ่นเป็นแบบโบราณเมืองอุบลสีล้วนเดินดิ้นเงินและดิ้นทอง ส่วนช่วงบนใช้ผ้าลายขิดเช่นเดิมยัง รักษาการนุ่งแบบอิ้งอกมาโดยตลอด (ศิริเพ็ญและทินกร อัตไพบูลย์, สัมภาษณ์, 2 ตุลาคม 2565)
ภ า ค อี ส า น | 23 2.2.5 ฟ้อนบายศรีสู่ขวัญ ความเป็นมา ประเพณีการสู่ขวัญ เป็นประเพณีตามศาสนาพราหมณ์ที่นิยมกระทำสืบต่อกันมาอย่างช้า นาน ถือว่าเมื่อได้มีการทำพิธีนี้แล้วจะก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การทำพิธีสู่ขวัญนี้จะกระทำเมื่อเกิด เหตุการณ์ที่ดีเป็นมงคล เช่นพิธีแต่งงาน การหายจากป่วยไข้ การมาหรือกลับจากสถานที่ใดๆ การไปค้าขายได้ เงินทองมามาก การมีแขกมาเยี่ยมยามจากต่างถิ่น ฯลฯ แม้แต่เหตุการณ์ที่ไม่ดี เช่น การได้รับความเจ็บป่วย คนในครอบครัวประสบอุบัติเหตุหรือต้องเสียชีวิต (เหตุการณ์นี้จะทำพิธีให้แก่ผู้ที่รอดจากเหตุดังกล่าว) การสู่ ขวัญ คือการเรียกขวัญ หรือเอิ้นขวัญ ชาวอีสานมีความเชื่อว่า “ขวัญ” เป็นสิ่งที่แฝงอยู่กับตัวของมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งจะจับ ต้องหรือไม่สามารถมองเห็นได้ หากว่ามีเหตุให้ขวัญหนีออกจากตัว เช่น เกิดอุบัติเหตุ เสียใจ ป่วยไข้ ตกใจ รุนแรง อาจทำให้ตัวบุคคลนั้นถึงแก่ความตายได้ ฉะนั้นต้องเรียกขวัญกลับมาสู่ตัวจะทำให้สุขสบายขึ้น บายศรี เป็นคำเรียกพราหมณ์ด้วยความเคารพ พราหมณ์เป็นผู้ทำพิธีสู่ขวัญ จึง เรียกว่า บายศรีสู่ขวัญ ซึ่งหมายถึงพราหมณ์ทำพิธีสู่ขวัญ บายศรี มาจากคำว่าบาย+ศรี บาย แปลว่า สัมผัส จับ ต้อง ศรี แปลว่า สิริ มงคล สิ่งที่ดี บายศรี หมายความถึง การรวบรวมเรียกเอาสิริมงคลต่างๆ ด้วยกิริยาวิธีทางกาย ทางวาจา และทางใจ แม้ว่า ศรี หรือ สิริ จะไม่สามารถบายหรือสัมผัสจริงๆได้ด้วยมือ แต่ที่ใช้คำว่าบาย เนื่องจากต้องการสื่อในความหมาย เชิงรูปนัยเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย มิใช่นามนัย พราหมณ์จึงใช้วิธีเชิญสิริเข้ามาอยู่ในข้าว ไข่ต้ม หรือฝ้ายผูกข้อมือ เป็นต้น แล้วบายเอาข้าวหรือไข่ต้มส่งให้ผู้เข้ารับบายศรีกิน นำฝ้ายไปผูกข้อมือ ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีเชิงรูปธรรม ในส่วนที่เป็นนามธรรมนั้น จะรับสิริทางใจหรือความรู้สึกโดยตรง บายศรีสู่ขวัญ จึงหมายถึงการรวบรวมเรียกเอาหรือเชิญสิริมงคลต่างๆ ด้วยกิริยาวิธีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ให้มาสถิตที่ขวัญ เพื่อความเจริญรุ่งเรือง เพื่อความสุข สวัสดี พิธีบายศรีสู่ขวัญ เป็นพิธีที่สำคัญของชาวอีสานและยึดปฏิบัติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ วัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม (2551) ได้กล่าวไว้ว่า ขวัญตามที่เข้าใจกันมีความหมาย 2 อย่าง คือ หมายถึง ขนที่เวียนกันเป็นก้นหอย โดยมากมีที่ศีรษะหรืออาจมีตามร่างกายส่วนอื่นก็ได้ และอีกอย่างหนึ่งเป็น นามธรรม เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน คล้ายกาลังของจิตนิยมกันว่า ถ้าขวัญอยู่กับเนื้อกับตัวก็เป็นสิริมงคล เป็นสุข สบาย ทาให้จิตใจมั่นคง ตลอดปลอดภัยถ้าหากขวัญเสียขวัญก็มักออกจากร่างหรือออกจากสิ่งนั้นไป อาจทาให้ คน สัตว์ หรือสิ่งของนั้นได้รับผลร้ายหรืออันตราย นอกจากคนที่นิยมว่า มีขวัญและทาพิธีสู่ขวัญ ได้แก่ สัตว์ ใหญ่ ซึ่งคนใช้เป็นพาหนะและใช้งานต่างๆ เช่น ควาย วัว ช้าง ม้า เป็นต้น เพราะคนเชื่อว่าสัตว์เหล่านี้ มี บุญคุณ บางโอกาสจึงทำพิธีสู่ขวัญให้ด้วย นอกจากนี้ สิ่งที่มีค่าหรือที่ใช้เป็นประโยชน์สำคัญก็นิยมว่ามีขวัญและ สู่ขวัญให้สิ่งนั้นด้วย เช่น เรือน ล้อเกวียน รถยนต์ ปืน เป็นต้น การสู่ขวัญเป็นพิธีเรียกขวัญตามความหมาย อย่างหลังนี้ นอกจากนี้คาว่า “ขวัญ” ยังใช้เรียกสิ่งอันเป็นที่รักหรือที่ดีอีกด้วย เช่น ขวัญใจ ขวัญตา เมียขวัญ จอมขวัญ ขวัญเมือง ฯลฯ พิธีการสู่ขวัญหรือสูตรขวัญ การสู่ขวัญหรือสูตรขวัญของชาวอีสาน คงวิวัฒนาการมา
ภ า ค อี ส า น | 24 จากพิธีพราหมณ์เพราะบรรพชนเคยนับถือพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ การสู่ขวัญเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ขวัญและจิตใจ เพื่อหาทางก่อให้เกิดขวัญหรือกาลังใจดีขึ้น ชาวอีสานเห็นความสำคัญทางจิตใจมาก ดังนั้นวิถี การดาเนินชีวิตแทบทุกอย่างจึงมักจะมีการหรืออภัยพิบัติได้ จึงเป็นประเพณีนับถือปฏิบัติยั่งยืนมาจนสมัยนี้ การสู่ขวัญเป็นประเพณีโบราณที่บรรพชนได้เคยประพฤติปฏิบัติสืบต่อๆ กันมาช้านาน โดย เชื่อว่า เป็นสิริมงคลหรือช่วยให้เกิดมงคลและอยู่ด้วยความสวัสดีมีชัย มีโชคลาภยิ่งขึ้น ทาให้ชีวิตดำรงอยู่ด้วย ความราบรื่นและอาจดลบันดาลให้ผู้ที่เคราะห์ร้ายหายจากสรรพเคราะห์ทั้งปวงด้วย ถ้าเป็นสัตว์และสิ่งของก็ จะช่วยดลบันดาลให้สัตว์และสิ่งของนั้นนาโชคลาภมาสู่เจ้าของ หรือเป็นสินิมงคลแก่สัตว์และสิ่งของนั้นๆ แต่ การสู่ขวัญต้องอาศัยคนเฒ่า คนแก่ผู้เป็นนักปราชญ์ผู้ฉลาดหรือผู้รู้วิธีทา ซึ่งเรียกว่า “หมอขวัญ” หรือ “พราหมณ์” สู่ขวัญให้ จึงจะเป็นสิริมงคลได้ผลดีสมความปรารถนา ถ้าหากทำไปสักแต่ว่าทา ไม่มีพิธีการอัน แนบเนียนก็จะมีผลน้อยเพราะการทำพิธีเกี่ยวกับจิตวิทยาอย่างหนึ่งด้วย ถ้าผู้ทำเป็นผู้ฉลาดในพิธีการ ตั้งอก ตั้งใจทำจริง มุ่งหวังให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้รับขวัญหรือแก่สัตว์และสิ่งของของผู้รับการสู่ขวัญจริงๆ อย่างนี้ จึงจะ ได้รับประโยชน์จากการสู่ขวัญนั้น มูลเหตุที่จะมีการสู่ขวัญ ปกติอยู่ 2 ประการด้วยกัน กล่าวคือ เพราะปรารภ ในเหตุที่ดีอย่างหนึ่ง และปรารภในเหตุไม่ดีอย่างหนึ่ง การสู่ขวัญเนื่องในเหตุที่ดีก็ได้แก่ การทำเนื่องในการได้รับ โชคลาภหรือสิ่งที่พึงพอใจ เช่น ไปค้าขายได้เงินทองมามาก ได้เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ แต่งงานใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ เจ้านายหรือผู้ใหญ่ที่เคารพไปมาหาสู่จากบ้านไปนานแล้วกลับมาเยี่ยมบ้าน ได้ลาภพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็น ต้น ถ้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของก็ได้สัตว์หรือสิ่งของนั้นใช้งานเสร็จไปตอนหนึ่งๆ เป็นต้น ก็ทำพิธีสู่ขวัญ ส่วนเหตุในทางไม่ดี จัดการสู่ขวัญเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้หายเสนียดจัญไรต่างๆ เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย หรือหายจากป่วย ได้รับความตกใจ หรือ อกสั่นขวัญหายจากเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เคราะห์ร้ายเสียทรัพย์สินเงินทอง เกิดถ้อยร้อยความ สัตว์หรือสิ่งของหายแล้วได้คืนมา เป็นต้น ก็ทำการสู่ขวัญ เพื่อเรียกขวัญหรือเชิญขวัญมา เพื่อให้ขวัญผู้นั้นมาอยู่กับเนื้อกับตัว จะได้ทำให้จิตใจของผู้นั้นมีความสุขสบาย หรือหายจากเคราะห์เข็ญต่างๆ ส่วนสัตว์และสิ่งของก็จะได้หายจากภัยพิบัติ การสู่ขวัญมีหลายประเภท เช่น สู่ ขวัญคนทั่วไป สู่ขวัญคนป่วย สู่ขวัญเด็กน้อย สู่ขวัญคนออกกรรม (ออกจากการอยู่ไฟ) สู่ขวัญหนุ่มสาวหรือ แต่งงาน สู่ขวัญนาค สู่ขวัญพระสงฆ์ สู่ขวัญพระพุทธรูป สู่ขวัญเรือนสู่ขวัญลาน สู่ขวัญเล้าข้าว สู่ขวัญควาย สู่ ขวัญช้าง สู่ขวัญเกวียน สู่ขวัญรถยนต์ สู่ขวัญปืน เป็นต้น
ภ า ค อี ส า น | 25 พิธีบายศรีสู่ขวัญงานแต่งงานของชาวอีสาน ที่มา : นริศรา ศรีสุพล, 2558: 34 สรุปได้ว่า การฟ้อนในพิธีกรรมของชาวอีสานมีความสำคัญต่อพิธีกรรม หากพิธีกรรมขาดการ ฟ้อนในพิธีกรรม อาจทาให้พิธีกรรมนั้นไม่สมบูรณ์แบบหรือพิธีกรรมบางอย่างอาจขาดไม่ได้ เช่น ฟ้อนผีฟ้านาง เทียม แต่พิธีกรรมบางอย่างอาจไม่มีก็ได้ เช่น พิธีบายศรีสู่ขวัญจะทาการบายศรีสู่ขวัญเพียงอย่างเดียวก็ได้ หาก เพิ่มการฟ้อนบายศรีสู่ขวัญในพิธีก็จะเป็นการอวยพรของผู้ที่ได้ร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ นอกจากนี้ การฟ้อนใน พิธีกรรมในประเพณีบุญบั้งไฟยังเป็นต้นแบบให้มีการฟูอนหลายๆ ชุดเกิดขึ้นตามมาด้วย (นริศรา ศรีสุพล , 2558) ประวัติฟ้อนบายศรีสู่ขวัญ ฟ้อนบายศรีสู่ขวัญเป็นการฟ้อนนาฏศิลป์อีสานในด้านพิธีกรรม นริศรา ศรีสุพล (2550) ได้ กล่าวถึง การฟ้อนประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญ เดิมเรียก “รำเรียกขวัญ” โดยผู้คิดประดิษฐ์ท่ารำคือ อาจารย์บุญ สม สุขมาลพงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชานาฏศิลป์ วิทยาลัยครูอุดรธานี (มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ใน ปัจจุบัน) เป็นการแสดงพื้นบ้านอีสาน ประกอบดนตรีที่เรียกว่า “วงโปงลาง” ซึ่งมีอาจารย์ดำเกริง ไกรสรกุล อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย วิทยาลัยครูอุดรธานี (มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ในปัจจุบัน) เป็นผู้แต่ง เนื้อร้องเพลงเรียกขวัญ และ มีอาจารย์วิรัช บุษยกุล อาจารย์ประจำภาควิชาดนตรี วิทยาลัยครูอุดรธานี (มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. 2531 จนถึงปัจจุบัน อาจารย์ดำเกริง ไกรสรกุล ได้มอบ เนื้อร้องให้กับ อาจารย์บุญสม สุขุมาลพงษ์ เพื่อให้ประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง ซึ่งอาจารย์บุญสม ได้รับการ สนับสนุน ในการประดิษฐ์ท่าราจาก อาจารย์มลฤดี บุษยกุล อาจารย์ทัศนี อินทรพิช และ อาจารย์สมศักดิ์ อินทรพานิช ซึ่งการราเรียกขวัญของ อาจารย์บุญสม สุขุมาลพงษ์ ได้ทาการแสดงตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2531จนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันนี้การ รำเรียกขวัญไม่เพียงแต่แสดงประกอบงานที่มีพิธีบายศรีสู่ขวัญ แต่ได้แสดงงานทั่ว ๆ ไป การรำเรียกขวัญ ไม่
ภ า ค อี ส า น | 26 เพียงแต่จะแสดงในการประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญ แต่ยังนำไปแสดง ในงานต่างๆ หรือตามคณะโปงลางก็นำไป แสดงและเผยแพร่ไปสู่โรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยมในจังหวัดอุดรธานี เนื่องจากอาจารย์บุญสม สุขุมาลพงษ์ ได้ถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ เมื่อลูกศิษย์สำเร็จการศึกษาและได้ประกอบอาชีพข้าราชการครูตามโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดอุดรธานี ลูกศิษย์ก็นำ การแสดง ชุดราเรียกขวัญไปเผยแพร่ให้กับลูกศิษย์ต่อไป จึงทำให้เป็นเหตุทำ ให้การแสดงชุดราเรียกขวัญมีท่าราที่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากท่ารำจะมีการเปลี่ยนแปลง ชื่อก็ยังมีการ เปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งในปัจจุบัน เรียกว่า ฟ้อนบายศรีสู่ขวัญกันมาก องค์ประกอบการแสดงฟ้อนบายศรีสู่ขวัญ การรำเรียกขวัญหรือการฟ้อนบายศรีสู่ขวัญมีองค์ประกอบ ดังนี้ - เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดง ใช้วงดนตรีพื้นเมืองอีสาน คือ วงโปงลางซึ่ง ประกอบด้วย พิณ โหวต แคน โปงลาง กลองตึ้ง กลองยาว ฉาบ และฉิ่ง พิณ เป็นเครื่องดนตรีของภาคอีสาน ที่ใช้ดำเนินทำนองการเป็นผู้นาของเพลงเป็นพระเอก ของวง ซึ่งพิณจะดำเนินลายหรือทำนองแตกต่างจากเครื่องดนตรีอื่น คือการบรรเลงที่เน้นการบรรเลงแบบเก็บ ในการบรรเลงจะใช้ตัวโน้ตจานวนมากกว่าปกติ จึงทำให้พิณมีลีลา ลวดลาย ที่โดดเด่นกว่าเครื่องอื่นๆภายในวง เสียงพิณและการบรรเลงลายพิณให้อารมณ์กับผู้ฟังคือ ทำให้รู้สึกสนุกโหวดเป็นเครื่องดนตรีของภาคอีสาน ใน การบรรเลงเพลงร่วมกับเครื่องดนตรีอื่นๆแล้ว โหวด จะเป็นเครื่องเกริ่นนำ ในทำนองเพลงที่เศร้า เพราะฉะนั้นโหวดจึงให้อารมณ์อ่อนนุ่ม นุ่มนวล แคนเป็นเครื่องดนตรีของภาคอีสาน ในการบรรเลงการเปิดวงหรือการบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น แคนจะดำเนินการบรรเลงเกริ่นก่อน พร้อมทั้งยังดำเนินทางเป็นเครื่องนำ แคน เป็นเครื่องดนตรีที่ให้อารมณ์ ได้ทั้งสนุกและเศร้า สามารถทำได้ทั้งสองอย่าง และแคน เป็นเครื่องที่เป่าคลอเสียงร้องได้ดีที่สุด ให้อารมณ์ได้หลากหลายอย่างทั้งอารมณ์เศร้าและสนุก โปงลาง เป็นเครื่องดนตรีที่เพิ่งมีมาไม่นาน ผู้สร้างโปงลางขึ้นคือ นายเปลื้อง ฉายรัศมี แต่เดิม มีโน้ตเพียงแค่ โด เร มี ซอล ลา ปัจจุบันเพิ่ม ฟาและที โปงลางเป็นเครื่องดนตรีที่ให้อารมณ์สนุกสนาน พริ้ว ไหว และเสียงที่สั้นแต่ชัดเจน กลองตึ้ง หรือ กลองรามะนา เป็นเครื่องดนตรีอีสานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้จังหวะที่หนักแน่น การตีกลองรำมะนา หรือ กลองตุ้มนั้น จะตีห่างๆ ไม่เหมือนเครื่องให้จังหวะทั่วไป และเป็นจังหวะที่สนุกสนาน ให้เสียงทุ้ม ฟังแล้วหนักแน่น สนุกสนาน กลองหาง เป็นเครื่องดนตรีอีสานที่ใช้เป็นเครื่องให้จังหวะที่สำคัญมาก เพราะการตีกลองหาง นั้นจะต้องตีให้ถี่กว่ากลองรำมะนา หรือกลองตุ้ม โดยกลองหางจะมีลีลาเด็ดที่พลิ้วไหวมาก นั่นก็คือการโซโล่ กลองหรือการรัวกลอง กลองหางจะให้อารมณ์สนุกสนาน ครึกครื้น ฉาบใหญ่เป็นเครื่องดนตรีอีสานที่ใช้เป็น จังหวะ แต่มีความแตกต่างจากเครื่องอื่นคือ ใช้ตีแค่เสียงเดียว หรือเปรียบเสมือนเป็นเครื่องบอกความช้าเร็ว ของเพลง ฉาบใหญ่ให้อารมณ์ที่มั่นคง แต่ไร้ลีลาเพราะมีการตีแค่เสียงเดียวให้จังหวะช้าเร็วเท่านั้น ฉาบเล็กเป็น เครื่องดนตรีอีสานที่ใช้เป็นเครื่องให้จังหวะเช่นกันกับฉาบ และฉิ่ง แตกต่างคือฉาบจะเพิ่มลีลาให้น่าสนใจมาก
ภ า ค อี ส า น | 27 ยิ่งขึ้น ฉิ่งจะให้อารมณ์ที่มั่นคง แต่ไร้ความหนักแน่นเพราะขนาดของเครื่อง แต่ก็สามารถทาให้สนุกส นานได้ เพราะ มีลีลาของเครื่องดนตรีที่เพิ่มมากขึ้นกว่าฉาบ - นักแสดง ผู้หญิงแสดงล้วนจำนวนกี่คนก็ได้ ตามความเหมาะสมของพื้นที่การแสดง - โอกาสที่ใช้แสดง ใช้ในพิธีบายศรีสู่ขวัญ ปัจจุบันใช้แสดงในงานรื่นเริงและงานเบ็ดเตล็ดทั่วไป - การแต่งกาย ทรงผมและการแต่งหน้า การแต่งกาย สวมเสื้อแขนกระบอก ห่มผ้าสไบ ผ้าถุงนุ่งกรอมเท้า ใส่ต่างหูเงิน สร้อยเงิน เข็ม ขัดเงิน และระย้า สามารถปรับเปลี่ยนสี เสื้อ ผ้าถุงและเครื่องประดับได้ตามความเหมาะสม ทรงผมและการแต่งหน้า ทรงผมรวบตึงแล้วติดโก๊ะผมแล้วทัดดอกไม้ด้านซ้าย สามารถ เปลี่ยนสีดอกไม้ได้ ส่วนการแต่งหน้าเริ่มจากลงรองพื้นให้ทั่วใบหน้า ใช้พัฟเกลี่ยรองพื้นให้เนียน แล้วใช้แป้งพัฟ ตบใบหน้าให้เนียน จากนั้นเขียนคิ้วใช้ดินสอเขียนคิ้วสีน้าตาลเข้มเขียนคิ้วให้ได้รูปสวยงาม จากนั้นลงสีที่เปลือก ตา ใช้อายแชโดว์ สีน้ำตาลกับสีดา ลงสีน้ำตาลที่เปลือกตาแล้วเกลี่ยให้สวยงามจากนั้นลงสีดำลงครึ่งหนึ่งของ เปลือกตาเกลี่ยให้สวยงาม จากนั้นใช้อายไลเนอร์กรีดแล้วใช้ดินสอเขียนขอบตาเขียนขอบตาให้คมเข้มสวยงาม จากนั้น ติดขนตาปลอมให้ได้ระดับเท่ากัน จากนั้นใช้บรัชออนสีชมพูปัดแก้ม และสุดท้ายสีปากใช้ลิปสติกสีชมพู เข้มทำให้สวยงาม - บทร้องเพลงบายศรีสู่ขวัญ ประพันธ์เนื้อร้อง โดย อาจารย์ดำเกิง ไกรสรกุล มาเถิดเย้อ มาเย้อขวัญเอย มาเย้อขวัญเอย หมู่ชาวเมืองมา เบื้องขวานั่งส่ายลาย เบื้องซ้ายนั่งเป็น แถวยอพาขวัญอันเพริศแพร้ว ขวัญมาแล้ว มาสู่คิงกลม เกศเจ้าหอมลอยลม ทัดเอื้องชวนชมเก็บเอาไว้บูชายาม ฝนพราเจ้าอย่าแข็ง แดดร้อนแรงเจ้าอย่าครา อยู่ที่ไหนจงมา รัดด้ายไชยามาคล้องผ้าแพรกระเจา (ดนตรี) อย่า เพลินเผลอ มาเย้อขวัญเอย มาเย้อขวัญเอย อยู่แดนดินใด ฤาฟ้าฟากใด ขอให้มาเฮือนเฮาเพื่อนอย่าคิดอะไรสู่ เขา ขออย่าเว้าขวัญเจ้าจะตรม หมอกน้าค้างพร่างพรม ขวัญอย่าเพลินชมป่าเขาลานาไพร เชิญไหลทาประทิน กลิ่นหอม ดมพะยอมให้ชื่นใจ เหล่าข้าน้อยแต่งไว้ ร้อยพวงมาลัยจะคล้องให้สวยรวย - ความหมายของเพลง ขอเชิญพวกเรา มาร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ เพื่อเรียกขวัญมาอยู่กับเนื้อกับตัว เพื่อความเป็นสิริ มงคลแก่ตัว 2.3 การแสดงในรูปแบบละครพื้นบ้านอีสาน การแสงละครพื้นบ้านอีสานคือการแสดงที่เป็นเรื่องราว โดยนำนิทานพื้นบ้านอีสาน หรือ ตำนานอีสานต่าง ๆ มาถ่ายทอดผ่านการแสดงพื้นบ้านอีสาน โดยการแสดงที่เป็นเรื่องราวของชาวอีสานนั้น คือ การแสดงหมอลำ หมอ คือ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านส่วนคำว่า ลำ คือ การขับร้องออกมา
ภ า ค อี ส า น | 28 เป็นภาษาท้องถิ่นของคนภาคอีสาน พอนำทั้งสองคำนี้มารวมกันจึงเกิดเป็น “หมอลำ” ที่มีความหมายว่าผู้ที่มี ความชำนาญในการขับร้องหมอลำ โดยมีแคนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะและมีท่วงทำนองที่เป็น เอกลักษณ์ตามแต่ละจังหวัดได้แสดงให้ถึงเอกลักษณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งการแสดงหมอลำจะต้องมีเครื่องดนตรี ที่เรียกว่า แคน ประกอบการให้จังหวะและบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของการแสดงหมอลำ หากได้ยินเสียงแคนจะ ทำให้ผู้ที่รับชมได้ทราบว่าจะมีการแสดงของหมอลำเกิดขึ้น (จารุวรรณ ส่งเสริม, 2564, น.34) โดยการแสดง หมอลำสามารถแบ่งประเภทได้ทั้งหมด 5 ประเภท ดังนี้ ประเภทที่ 1 หมอลำพื้น, ประเภทที่ 2 หมอลำกลอน, ประเภทที่ 3 หมอลำเรื่องหรือหมอลำหมู่, ประเภทที่ 4 หมอลำพิธีกรรม, ประเภทที่ 5 หมอลำท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งการแสดงหมอลำที่มีลักษณะการเล่นเป็นเรื่องราวคล้ายกับละครมี 2 ประเภท โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 2.3.1 การแสดงหมอลำพื้น ประวัติความเป็นมา หมอลำพื้น คือ การแสดงพื้นบ้านอีสานที่มีลักษณะของการลำประกอบกับแคนเป็นหลัก สมัยโบราณเกิดจากการนั่งเล่านิทานตามหมู่บ้าน เนื่องจากชาวอีสานเมื่อเสร็จจากการทำนาจะมีการรวมกลุ่ม นั่งพูดคุยกันและมีการแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งหมอลำพื้นมีลักษณะของการแสดงในรูปแบบการเล่าเรื่อง นิทานชาดก วรรณคดีอีสานโบราณ เช่น พระเวสสันดรชาดก ท้าวกาละเกด นางแตงอ่อน เป็นต้น โดยฉวีวรรณ พันธุได้กล่าวไว้ว่า “หมอลำพื้น เกิดจากคำว่า “เว้าพื้น” คือการเล่าเรื่องนิทานโดยผ่านการขับลำ ซึ่งคำว่า “เว้าพื้น” เป็นรากเหง้าของการแสดงหมอลำพื้น เป็นการเว้าพื้นไปเรื่อย ๆ เว้าพื้นนิทานโบราณ หรือวรรณคดี โบราณที่มีขั้นตอนการปฏิบัติคือดำเนินเรื่องราวโดยใช้นักแสดงชายเพียงคนเดียว มีผ้าขาวม้าหนึ่งผืนและใช้ โพกหัวเป็นพระเอกบ้าง ใช้เบี่ยงสไบเป็นนางเอกบ้าง ตามบทบาทของตัวละครนั้น สามารถเป็นตัวละครใดก้ได้ ในเนื้อเรื่อง โดยเล่าผ่านการร้องหมอลำคู่กับเสียงแคนและมีทางลำเพียงทางเดียว หมอลำพื้นเป็นการแสดง ประเภทแรก เป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงหมอลำทั้งหมดที่มีการพัฒนาแตกย่อยเป็นประเภทต่างๆ มาจนถึง ปัจจุบัน” (ฉวีวรรณ พันธุ, สัมภาษณ์,13 กรกฎาคม 2565) ซึ่งในปัจจุบันหมอลำพื้นไม่ได้รับความนิยมและได้เริ่มสูญหายไปตามบริบทของสังคม เนื่องจากหมอลำพื้นนั้นจะต้องเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญและใช้ระยะเวลาในการฝึกรวมไปถึงการศึกษาของ นิทานและวรรณคดีโบราณอีสานที่จะต้องจดจำเรื่องราวเพื่อมาถ่ายทอดให้ผู้ชมได้ดู ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถ แสดงได้หลายบทบาท จึงทำให้มีผู้สืบทอดได้ยากและไม่สามารถหาดูได้ทั่วไปตามปกติการแสดงหมอลำพื้นจะ มีดนตรีที่ใช้เพียงอย่างเดียว คือ แคน เป็นเครื่องดนตรีที่ให้จังหวะและดำเนินเรื่องราวการแสดงตั้งแต่เริ่มเรื่อง จนจบการแสดง การแต่งกายของหมอลำพื้นจะเป็นการแต่งกายโดยใช้ชุดพื้นบ้านของชาวอีสาน และมี
ภ า ค อี ส า น | 29 ผ้าขาวม้าเป็นตัวกำหนดลักษณะของตัวละคร เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีการแต่งกายที่เป็นแบบแผนมากนัก เป็นเพียงการหาเสื้อผ้าที่มีอยู่ทั่วไปนำมาใส่และแสดงให้ผู้ชมได้รับชม 2.3.3 การแสดงหมอลำเรื่องหรือหมอลำหมู่ ประวัติความเป็นมา การแสดงหมอลำเรื่องหรือหมอลำหมู่ ได้รับพัฒนามาจากหมอลำพื้นในสมัยก่อนที่มีการร้อง ลำเป็นทำนองและเรื่องที่ใช้ในการแสดงเป็นนิทานพื้นบ้านที่มาจากหมอลำพื้น ส่วนรูปแบบการแสดงและ องค์ประกอบต่าง ๆ ได้รับอิทธิพลมาจากลิเกของภาคกลาง เช่น การแต่งกายคล้ายลิเก ฉากเหมือนลิเกแต่ปรับ ให้เข้ากับวิถีชีวิตคนอีสาน เป็นต้น โดยการแสดงของหมอลำเรื่องนั้นจะแตกต่างจากการแสดงลิเกในเรื่องของ ภาษาที่ใช้ขับร้องในการแสดง และดนตรีที่ใช้ในการแสดงจะแตกต่างกัน การแสดงมักเป็นเรื่องราวรรณคดี อีสาน การแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนจะมีจำนวนของนักแสดงค่อนข้างมาก เนื่องจากการแสดงจะเป็นรูปแบบ ของการเล่าเรื่องราวตามวรรณคดีอีสานเพื่อให้มีความสมจริงมากยิ่งขึ้นจึงต้องมีนักแสดงตามบทบาทที่ได้รับ ซึ่งมีเอกลักษณะเฉพาะบุคคลที่สามารถแยกออกได้อย่างชัดเจน เอกลักษณ์ของหมอลำเรื่องนั้น จะแยกได้ตาม ทำนองของจังหวัดต่าง ๆ เช่น ทำนองลำเพลิน ทำนองอุบล ทำนองขอนแก่น ทำนองสารคาม ทำนองกาฬสินธุ์ เป็นต้น (จารุวรรณ ส่งเสริม, 2564, น.40) ซึ่งสอดคล้องกับ ฉวีวรรณ พันธุ ที่กล่าวไว้ว่า “หมอลำเรื่องหรือหมอลำหมู่ เป็นหมอลำประเภทที่ 3 ซึ่งมาจากคำว่า หมู่ หมายถึง คนส่วนมากและ เรื่อง หมายถึง การเล่าเรื่องราว เมื่อนำมารวมกันคือลักษณะการแสดงที่เป็นหมู่คณะ มีการแสดงบทบาทสมมุต ตามท้องเรื่อง โดยหมอลำหมู่จะมีทำนองหลายทำนอง รวมกันแล้วมีทั้งหมดประมาณ 5 ทำนอง เช่น ทำนองลำ เพลิน ทำนองอุบล ทำนองขอนแก่น ทำนองกาฬสินธุ์ ทำนองร้อยเอ็ดซึ่งปัจจุบันของร้อยเอ็ดไม่มีผู้สืบทอดต่อ เป็นต้น ส่วนขนบธรรมเนียม หลักปฏิบัติและขั้นตอนการนำเสนอของหมอลำเรื่องนี้เหมือนกัน หมอลำเรื่อง เมื่อเอามาใส่ทำนองลำเพลินจะเรียกว่า “หมอลำเพลิน” ถ้าจะเขียนเป็นเชิงวิชาการต้องเขียนว่า หมอลำเรื่อง ทำนองลำเพลิน, หมอลำเรื่องทำนองกาฬสินธุ์, หมอลำเรื่องทำนองขอนแก่น หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่าแก้วแก่น หล้า, หมอลำเรื่องทำนองร้อยเอ็ด และ หมอลำเรื่องทำนองอุบล เป็นต้น หมอลำเรื่องเป็นการนำเรื่องราวต่าง ๆ แล้วมาใส่ทำนอง นิยมใช้วรรณกรรมอีสานหรือตำนานที่เขียนขึ้นมาใหม่ก็ได้ หรือเรื่องเล่าของตำนานต่าง ๆ ก็สามารถนำมาแสดงได้เช่นกัน ปัจจุบันมีการเขียนขึ้นมาใหม่ในเรื่องการเปรียบเทียบสังคมไทย ถากถางสังคมก็ ได้ แต่เดิมเอาวรรณกรรมหรือตำนานมาเล่า ซึ่งหมอลำที่นำลำเรื่องมาต่อกลอนเป็นคนแรกๆ คือ หมอลำ ฉวีวรรณ พันธุและหมอลำทองคำ เพ็งดี บทกลอนลำจะมีลักษณะเป็นคำที่คล้องจองกัน ซึ่งเป็นการต่อประโยค ของเนื้อเรื่องในคำที่เชื่อมโยงกันคล้องจองกัน ความหมายยังเป็นเรื่องเดียวกันทิศทางเดียวกัน ถึงเรียกว่าหมอ ลำเรื่องต่อกลอนต่อกลอน” (ฉวีวรรณ พันธุ, สัมภาษณ์,13 กรกฎาคม 2565)
ภ า ค อี ส า น | 30 โดยหมอลำเรื่องหรือหมอลำหมู่ที่จะยกตัวอย่างนั้นคือ หมอลำเพลิน และ หมอลำเรื่องต่อ กลอนทำนองอุบล โดยมีรายละเอียดดังนี้ หมอลำเพลิน หมอลำเพลิน เป็นหมอลำที่มีผู้แสดงครบหรือเกือบครบตามจำนวนตัวละครในเรื่องที่ ดำเนินการแสดง หมอลำเพลินจะอยู่ในประเภทของหมอลำหมู่ที่มีความแตกต่างในเรื่องของทำนองลำ กล่าวคือ หมอลำเพลินจะใช้ทำนอง “ลำเพลิน” ทางเดียวเท่านั้น เพราะการแสดงลำเพลิน คือการแสดงที่เพลิดเพลิน สนุกสนาน ลักษณะรูปแบบการแสดงจะใช้เนื้อเรื่องของวรรณคดีอีสานแต่งออกมาเป็นบทลำเพลินที่มีจังหวะ และดนตรีที่เร้าใจ เช่น เรื่องขุนช้างขุนแผน เมื่อหมอลำได้ร้องลำเพลินเกี่ยวกับละครพื้นบ้านเรื่องขุนช้าง ขุนแผนเสร็จเรียบร้อยจะมีบทสนาระหว่างตัวละครตอบโต้กัน หมอลำเพลินส่วนใหญ่จะอยู่ที่จังหวัดยโสธร โดย สมัยก่อนนั้นหมอลำที่มีชื่อเสียงและได้ชื่อว่าเป็น “เจ้าพ่อลำเพลิน” คือ หมอลำทองมี มาลัย ทองมี มาลัยเป็น หมอลำเพลินที่เอกลักษณ์เฉพาะของตน มีเสียงที่กังวานน่าฟัง พร้อมกับมีผลงานที่โดดเด่นในเรื่องหมอลำเพลิน เช่น เรื่องขุนช้างขุนแผน และมีเพลงหมอลำเพลินที่โด่งดังไปทั่วประเทศ คือ “เพลงลำเพลินชมรมแท็กซี่” ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม ได้กล่าวไว้ว่า “เพลงลำเพลินชมรมแท็กซี่ ของทองมี มาลัย ร้องว่า “เดินเดินชม เดินเดินชม เจอะชมรมแท็กซี่ เจ้าเก่า ดื่มเหล้านั่งอยู่ในร้านภัตตาคารที่ขาประจำ ขับรถเข้าอู่เรียบร้อยหนีแม่อิน้อยมานั่งฟังลำ” หมอลำทอง มีมาลัยได้ชื่อว่าเป็น “เจ้าพ่อลำเพลิน” ลำเพลินดำเนินเรื่องด้วยทำนองลำเพลินเพียงทางเดียวและนิยมเล่น เรื่องขุนช้างขุนแผน ชมรมแท็กซี่จะเป็นเพียงกลอนลำเพลินเท่านั้น เป็นกลอนใครกลอนมัน ตัวอย่างของบทลำ เพลินที่เป็นเรื่องราว เช่น “โอ้ยเด้นาง จักกล่าวเรื่องสิปางก่อนขุนแผน จักว่าลาวันทองสั่งคำอำอิ้ง ใจคะนึงก็เด้อแม่นคนเป็นน้อง วันทองของพี่ ก็นับแต่หนีจากห้องพิลาแก้วแก่นเมือง จนแม่เลี้ยงน้อยอ่อนมาถามลูบเคียงเพียงน้อย สอยวอย หน้าสิวันทองลูกแม่แลเห็นพี่เจ้าผัวเข้าเก่าหลัง” เป็นต้น เป็นการเข้าเรื่องราวเรื่องขุนช้างขุนแผนต่อไป กลอนลำจะเกี่ยวกับเนื้อหาสาระในเรื่องของขุนช้างขุนแผน เมื่อจบกลอนจะมีการพูดโต้ตอบกันเป็นบทสนา เช่น เอาละขุนแผนแสนสะท้าน เมียของเจ้าคือนางวันทอง มื้อนี้สิได้ไปหานางสาก่อน และเมื่อจบบทสนาก็จะ เป็นการลำเพลินต่อบทสนา เช่น เกริ่น พอแต่ว่าซำนั่น นอว่าน้อขุนแผน ไปหานางวันทองสิอยู่ครองน้อคนอ้าย โอ้ยเด้อนายขุนแผนท้าว จึงมีความต่างจากลำเรื่องต่อกลอน” (ฉลาด ส่งเสริม, สัมภาษณ์,23 ตุลาคม 2565) - การแต่งกาย การแต่งกายของหมอลำเพลินฝ่ายชายในยุคแรกจะมีการแต่งกายที่คล้ายกับของหมอลำเรื่อง คือใส่ เสื้อแขนสั้นสวมเสื้อกั๊ก และกางเกงขาสามส่วน ในส่วนของฝ่ายหญิงจะใส่เสื้อแขนสันและกระโปรงสั้นจีบรอบ
ภ า ค อี ส า น | 31 เลยหัวเข่า ในส่วนของเครื่องประดับยุคแรกเริ่มจะเป็นเพียงการสวมเครื่องประดับตามบริบทที่มีของพื้นที่นั้น ๆ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาการแต่งกายที่สวยงามมากยิ่งขึ้นโดยชุดของฝ่ายชายใส่ชุดเพชรสวมหัวมอญเหมือน ลิเก ฝ่ายหญิงใส่ชุดเพรชแต่ยังคงความเป็นกระโปรงสั้นของหมอลำเพลินดังเดิม สอดคล้องกับ ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม ได้กล่าวไว้ว่า “การแต่งกายของหมอลำเพลินจะเหมือนหมอลำเรื่อง ซึ่งสมัยนี้ไม่ค่อยมีแล้ว ถ้าจะมีก็เหลือเพียงคณะ สาวน้อยเพชรบ้านแพงที่เป็นหมอลำเพลินประยุกต์ ซึ่งในสมัยก่อนคณะนี้เป็นลำเพลินแบบดั้งเดิมเช่นกัน ผู้ชาย สมัยก่อนจะแต่งกายเหมือนมหาดเล็กสมัยก่อน ต่อมาเปลี่ยนเป็นใส่เสื้อกั๊ก กางเกงสามส่วน และต่อมาก็มาใส่ กระโปรงเหมือนลิเก เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผู้หญิง ใส่เสื้อแขนสั้น กระโปรงมีลักษณะเป็นจีบกระโปรงความยาว ของกระโปรงจะใส่เหนือหัวเข่ามาเล็กน้อย ประมาณ 3 นิ้ว และมีสายเข็มขัดรัดที่เอวมีหัวเข็มขัดติดที่เอวด้วย” (ฉลาด ส่งเสริม, สัมภาษณ์,23 ตุลาคม 2565) การแต่งกายของหมอลำเพลินในยุคแรก (ทองมี มาลัย) ที่มา : ประตูสู่อีสาน. (2564, สิงหาคม 24). ศิลปินพื้นบ้าน ภูมิปัญญาอีสาน สืบค้นจาก https://www.isangate.com/new/15-art-culture/artist/771-thongmee-malai.html
ภ า ค อี ส า น | 32 การแต่งกายของหมอลำเพลินประยุกต์ คณะสาวน้อยเพรชบ้านแพง ที่มา : ช่องสาวน้อยเพชรบ้านแพง. (2559, ตุลาคม 2). ลำเพลิน สาวน้อยเพชรบ้านแพง ปี 2559-2560, สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=_5DOBDEC2W8 - ดนตรีที่ใช้ในการแสดง ดนตรีที่ใช้ในการแสดงของหมอลำเพลิน ประกอบไปด้วย พิณ แคน กลอง ฉิ่ง ฉาบ ปัจจุบัน ได้มีการผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีพื้นบ้านและเครื่องดนตรีสากล เช่น กีต้าร์ไฟฟ้า กีต้าร์เบส คีย์บอร์ด แซกโซโฟน กลองชุด เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับ ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม ได้กล่าวไว้ว่า “ในเรื่องของดนตรีจะมีความแตกต่างกับหมอลำเรื่องตรงที่มีจังหวะและมีพิณเข้ามา ซึ่งหมอลำเรื่องจะ มีเพียงแคนและไม่มีจังหวะจะโคนที่สนุกสนาน ลำเพลินจะลำไปเรื่อย ๆ โดยทางลำเพลินจะมีการเกริ่นขึ้นก่อน เช่น “พอแต่เปิดผ้าม่านกั้งแจ้งสว่างอยู่ทางดอน” และเดินกลอนด้วยเนื้อเรื่องวรรณคดีพื้นบ้านอีสานเป็นบท ขยายของลำเพลิน ลำเพลินเป็นลำที่มีดนตรีพิณประกอบเป็นจังหวะ แต่ลำเรื่องไม่มีจังหวะมีเพียงการเป่าแคน ประกอบและขยายกลอนเรื่องราวเป็นการลำเป็นเรื่องราว ในการแสดงลำเพลินจะต้องมีการออกลวดลายลีลา บทบาท ท่าฟ้อนประกอบกับการแสดงตามเนื้อเรื่องเสมอ ซึ่งคำร้องกับบทบาทจะแสดงออกมาด้วยลีลาท่าฟ้อน โดยหมอลำเพลินจะมีความสนุกสนานและเน้นในเรื่องของความเพลิดเพลินเป็นหลัก” (ฉลาด ส่งเสริม, สัมภาษณ์,23 ตุลาคม 2565)
ภ า ค อี ส า น | 33 นักดนตรีคณะสาวน้อยเพรชบ้านแพง ที่มา : ช่อง Night drummer (2561, ธันวาคม 3), นักดนตรีสาวน้อยเพรชบ้านแพง สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=XKU7bDCFHrg หมอลำเรื่องหรือหมอลำหมู่ หมอลำเรื่องหรือหมอลำหมู่ เป็นการแสดงที่พัฒนามาจากการแสดงหมอลำกลอนที่มีเพียง หมอลำฝ่ายชายและฝ่ายหญิงทำการร้องหมอลำเนื้อหาเกี่ยวกับวรรณคดีอีสานโบราณ ผ่านการประกอบดนตรี ที่เรียกว่า “แคน” แต่เดิมลักษณะการแสดงของหมอลำเรื่องจะเป็นการแสดงที่ร้องโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง โดยมีผู้แสดงเพียง 2 คนเท่านั้น เป็นการลำเป็นเรื่องราว ดนตรีที่ใช้ในการแสดงมีเพียงแคนเต้าเดียว ต่อมาจึงมี การพัฒนาหมอลำกลอนให้ทันสมัยมากขึ้นมาเป็นหมอลำเรื่องต่อกลอน เดิมทีเรียกว่า “หมอลำหมู่” เนื่องจาก การแสดงหมอลำหมู่เป็นการไปแสดงแบบหมู่คณะ มีการแสดงบทบาทสมจริงและแทรกบทลำและบทพูดสร้าง อรรถรสให้แก่คนฟังจึงเป็นที่นิยมเรื่อยมา บทกลอนลำที่นักแสดงได้มานั้นเป็นการได้มาจากการศึกษาหนังสือ ผูกและวรรณคดีโบราณอีสาน ตำนานที่เล่าขานกันมาตั้งแต่โบราณ โดยผู้ประพันธ์กลอนลำจะเป็นผู้นำเอา เรื่องราวในวรรณคดีโบราณอีสานที่สอดแทรกเรื่องคำสอน และประพันธ์ออกมาเป็นภาษาถิ่นนำมาให้นักแสดง หมอลำได้ขับร้องและทำการแสดงตามเรื่องราวในวรรณคดีหรือตำนาน เช่น เรื่องนางนกกระยางขาว เรื่องท้าว ก่ำกาดำ เป็นต้น (จารุวรรณ ส่งเสริม, 2564, น.48) การแสดงหมอลำเรื่องของแต่ละจังหวัดจะมีลักษณะต่างกัน ในเรื่องของทำนองที่เปรียบเสมือนสำเนียงภาษาในจังหวัดนั้น ๆ โดยกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในการแสดง หมอลำ เช่น หมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองอุบล, หมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองขอนแก่น, หมอลำเรื่องต่อกลอน ทำนองกาฬสินธุ์เป็นต้น ปัจจุบันได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากหมอลำเรื่องต่อกลอนมีการพัฒนาที่ ทันสมัย ร่วมผสานกับสื่อผสมแสง สี เสียงให้ผู้รับชมได้ตื่นตาตื่นใจ ซึ่งคณะที่มีชื่อเสียงคือ คณะระเบียบ วาทศิลป์ (หมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองขอนแก่น), คณะศิลปินภูไท (หมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองกาฬสินธุ์ และ คณะเพชรอุบล (หมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองอุบล) เป็นต้น ทั้งนี้ขอยกตัวอย่างองค์ประกอบการแสดง ของหมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองอุบล คณะเพชรอุบล โดยมีรายละเอียดดังนี้
ภ า ค อี ส า น | 34 องค์ประกอบการแสดง มีรายละเอียดดังนี้ - รูปแบบการแสดง รูปแบบของการแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองอุบล คณะเพชรในยุคแรกเป็น การแสดงที่เล่นเป็นเรื่องราว โดยก่อนเริ่มทำการแสดงทางหัวหน้าคณะได้นำทีมนักแสดงและนักดนตรีทำพิธี ไหว้ครูก่อนทำการแสดง และเริ่มการเปิดวงทำการแสดงโดยการร้องเพลงออกแขก ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากการ แสดงลิเกของภาคกลาง เมื่อถึงเวลา 20.30 น. จึงเริ่มทำการแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองอุบล โดยมีพิธีกรกล่าวถึงเนื้อเรื่องที่จะทำการแสดงในวันนี้ ดังหมอลำผมยงค์ วรรณดร กล่าวไว้ว่า ขั้นตอนก่อนที่จะ เริ่มเข้าสู่การแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอน ตนจะเป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวเปิดเรื่องมีใจความดังนี้ “…ได้ยินเสียงแคนห่าวคิดเห็นคราวแต่เป็นบ่าว เคยคุยสาวซำน้อยหัวห่าวใส่แต่กัน บัดนี้หวิดจากการปฐมเริ่มบทคำกลอนเปิดผ้าม่าน หวิดจากการละเล่นซุมหางเครื่องไปพักเซา มาถึงตอนผู้เฒ่า ศรัทธาพ่อผู้ไปจอง จ้างหมอลำมางันเพื่ออยากฟังคติเรื่อง การขอเรื่องตอนต้นสนทยาพอฮู้ว่า บัดนี้ป.ฉลาดผู้ เพิ่นสร้างเอาคำร้องเพิ่นมา เพชรอุบลเด้อแม่ป้าหมอลำส่าในวงการ ภาคอีสานเคยยอมรับได้ยกยอปอปั้น รวม ทีมกันประจำค่าย 45 ปีปลายแต่มั่นแก่น กราบเคารพแฟน ๆ เอาผลงานที่ว่าเยี่ยมเยี่ยมมาต้อนพวกแม่ยาย บัดนี้ได้เวลาเขาสู่รายการลำเรื่องต่อกลอน เสนอนิทานในท้องเรื่อง นางนกกระยางขาว ขาว ขาว ขาว” ในการแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนนั้นระหว่างการเปลี่ยนฉากแต่ละฉากจะมีการลำ เดินคือการร้องหมอลำในรูปแบบลำเดิน พอร้องเสร็จตัวละครจะเข้าฉากโดยการฟ้อนถอยหลังเข้าฉากเพื่อให้ ตัวละครฉากต่อไปได้ทำการแสดงต่อ ในการแสดงลำเดินนั้นนักแสดงจะต้องร้องให้หมดกลอนแล้วจึงจะฟ้อน ออกไปหลังเวทีได้ เพราะในสมัยก่อนไมค์ที่ใช้ร้องในการแสดง จะเป็นไมค์ที่ห้อยลงมาจากโครงหลังคาของเวที ไม่มีขาไมค์หรือไมค์ลอยเหมือนยุคปัจจุบันจึงทำให้นักแสดงต้องแสดงจนจบในบทของตนและจึงฟ้อนเข้าหลัง เวที การแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนจะสลับฉากกันไปมา เมื่อถึงเวลา 05.00 น. หัวคณะจะออกมาลำลาพี่น้อง ชาวบ้านที่มารับชมการแสดงหมอลำ โดยการกล่าวคำอำลาเป็นกลอนลำลาและอวยพรให้เจ้าภาพอยู่ เย็นเป็นสุข ซึ่งใช้ระยะเวลารวมการแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนทั้งหมด 10 ชั่วโมง จึงจะเรียกว่าเสร็จสิ้น การแสดงหมอลำ (จารุวรรณ ส่งเสริม, 2564, น.73-74) ในยุคปัจจุบันได้มีการพัฒนาในเรื่องของการแสดงขึ้นมา เนื่องจากในช่วงปีพ.ศ.2531 ได้รับอิทธิพลของการแสดงวงดนตรีลูกทุ่งทำให้การแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนต่อมีการปรับตัวให้เข้ากับ ยุคสมัยจึงมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องรูปแบบการแสดงคือ การร้องเพลงลูกทุ่งหมอลำและหมอลำลูกทุ่ง และมี การแสดงโชว์วงเข้ามาเพื่อดึงดูดผู้ชมให้มารับชมการแสดง ในส่วนของดนตรีนั้นได้นำเครื่องดนตรีสากลเข้ามามี บทบาทมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีฉากสำหรับการแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนต้องถูกตัวไปและใช้แสตนเข้ามา ประดับบนเวที ทำรูปแบบการแสดงให้เป็นคอนเสิร์ตมากยิ่งขึ้น จำนวนนักแสดงก็มีมากยิ่งขึ้นมีการแสดง
ภ า ค อี ส า น | 35 บทบาทสมมุติได้สมจริงและเพิ่มอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงเพื่อให้ผู้ชมได้มีอรรถรสในการชมหมอลำ และมีระบบ แสงสีเสียงที่ตระการตามากขึ้นด้วยเช่นกัน เรื่องที่ใช้ในการแสดงเป็นเรื่องของคติธรรมคำสอน วรรณคดีโบราณ อีสาน นิทานชาดก และตำนาน เช่น นางนกกระยางขาว ท้าวก่ำกาดำ ท้าวกาละเกด พระเวสสันรชาดก ตำนานผาแดงนางไอ่ เป็นต้น - ดนตรีที่ใช้ในการแสดง ในยุคแรกหมอลำเรื่องต่อกลอน มีเครื่องดนตรีจำนวนน้อยชิ้น เนื่องจากการแสดง หมอลำเรื่องเรื่องต่อกลอนนั้นการดำเนินเรื่องส่วนใหญ่จะมีเพียงแคนที่เป็นตัวดำเนินเรื่องพร้อมกับคนลำ และ มีการลำลำเดินออกฉาก ที่จะต้องมีการทำจังหวะเสียงเพลงเข้ามาด้วย นักดนตรีในช่วงนี้จะไม่กำหนดการแต่ง กาย เนื่องจากนักแสดงและคนในวงมีจำกัดบางคนต้องเล่นดนตรีได้ด้วยบางคนต้องสลับมาเป็นหมอลำ ด้วย เช่นกัน เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงมีจำนวนทั้งหมด 4 ชิ้น ดังนี้ 1. กลองอีโล่ หรือกลองยาว จะทำหน้าที่เป็นเครื่องเคาะจังหวะสร้างความสนุกสนาน ในการแสดง 2. แคน เป็นเครื่องดนตรีหลักในการทำการแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอน ซึ่งจะขาด เครื่องดนตรีชิ้นนี้ไม่ได้ เพราะการลำเรื่องต่อกลอนจะต้องมีการเป่าแคนเทียบเคียงเสียงลำเข้าไปด้วย 3. ฉิ่ง เป็นเครื่องดนตรีเสริมให้กลองและแคนมีความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น 4. ฉาบ เป็นเครื่องดนตรีที่เป็นลูกคู่รับกับเสียงฉิ่ง เมื่อรวมกันทุกชิ้นแล้ว ในปัจจุบัน ได้มีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย จึงได้นำเครื่องดนตรีสากลเข้ามามี บทบาทในวงหมอลำเรื่องต่อกลอน เนื่องจากในปีนี้รูปแบบการแสดงได้เปลี่ยนไปจากเดิมมีการบรรเลงเพลง สรรเสริญพระบารมีเพื่อแสดงความเคารพต่อสถาบันมหากษัตริย์ต่อด้วยเพลงโชว์วง และมีหางเครื่องเต้น ประกอบการแสดงจึงต้องมีเครื่องดนตรีสากลเข้ามาช่วยให้ครบองค์ประกอบมากยิ่งขึ้น (จารุวรรณ ส่งเสริม, 2564, น.120) - การแต่งกาย ในยุคแรกหมอลำฝ่ายชาย หมอลำฝ่ายชายได้รับอิทธิพลจากการแต่งกายของลิเกใน ภาคกลาง หากแต่ว่าชุดเพชรนั้นจะมีรายละเอียดไม่เท่ากับของลิเกทางภาคกลางเท่านั้น ส่วนหมอลำฝ่ายหญิง นิยมใส่ชุดไทยบริมพิมานและชุดไทยจักรี ต่อมาในยุคปัจจุบันหมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองอุบลได้มีการพัฒนา มาเป็นชุดเพชร ฝ่ายชายนิยมใส่ชุดเพชรเหมือนลิเก และฝ่ายหญิงนิยมใส่ชุดไทยประยุกต์ โดยหมอลำเรื่องต่อ กลอนในแต่ละทำนองจะแต่งกายแตกต่างกันตามความชื่นชอบของนักแสดงและตามกำลังทรัพย์ที่นักแสดงจะ สามารถนำไปตัดชุดได้ ซึ่งการแต่งกายหมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองอื่นๆ จะมีเพียงการแต่งกายของฝ่ายหญิงที่ แตกต่างออกไป ซึ่งทำนองอื่นๆ ฝ่ายหญิงจะใส่ชุดราตรี ชุดสุ่มเหมือนกับทางลิเกของภาคกลาง มีเพียงของ ทำนองอุบลเท่านั้นที่แต่งกายเป็นชุดไทยประยุกต์
ภ า ค อี ส า น | 36 การแต่งกายชุดเพชรของหมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองอุบล คณะเพชรอุบล ในยุคแรก ที่มา : จารุวรรณ ส่งเสริม, ถ่ายเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2563 การแต่งกายของหมอลำฝ่ายหญิงยุคแรก ชุดไทยบรมพิมานและชุดไทยจักรี ที่มา : จารุวรรณ ส่งเสริม, ถ่ายเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2563
ภ า ค อี ส า น | 37 การแต่งกายชุดเพชรของหมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองอุบล คณะเพชรอุบล ในยุคปัจจุบัน ที่มา : ชูเกียรติ เอกนาม, ถ่ายเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2562 การแต่งกายชุดไทยประยุกต์ของหมอลำเรื่องต่อกลอนทำนองอุบล คณะเพชรอุบล ในยุคปัจจุบัน ที่มา : จารุวรรณ ส่งเสริม, ถ่ายเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2562 2.4 การแสดงในรูปแบบหุ่นพื้นบ้านอีสาน 2.4.1 หนังประโมทัย ประวัติความเป็นมา
ภ า ค อี ส า น | 38 หนังประโมทัยมีการเรียกขานกันหลายชื่อ เช่น หนังประโมทัย หนังบักตื้อ หนังปลัดตื้อ หนัง บักป่อง บักแก้ว เป็นต้น แต่ทั้งนี้ส่วนใหญ่มักจะเรียกอย่างเป็นทางการว่า “หนังประโมทัย” ซึ่งสันนิษฐานว่า น่าจะมาจากคำว่า “ปราโมทย์” ที่หมายถึงความบันเทิงใจ ความปลื้มใจหนังประโมทัยมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น นั้นคือการนำเอาศิลปะการแสดง “หมอลำ” กับ “หนังตะลุง” มาผสมผสานหรือการประกอบสร้างวรรณศิลป์ ได้อย่างลงตัว เรื่องที่นำมาแสดงจะเป็นวรรณกรรมไทยและวรรณกรรมพื้นบ้าน เช่น สังข์ศิลป์ชัย จำปาสี่ต้น การะเกด ผาแดงนางไอ่ ท้าวก่ำกาดำ และรามเกียรติ์ เป็นต้น คณะหนังประโมทัยที่เก่าแก่ที่สุดคือ “คณะฟ้า บ้านทุ่ง” ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2476 หนังประโมทัยคณะหนึ่งมีสมาชิกประมาณ 5 - 10 คน เป็นคนเชิดหุ่น 2 - 3 คน ทำหน้าที่พากย์และเจรจาบทในวรรณกรรมด้วย แต่บางคณะทำหน้าที่เชิดอย่างเดียว โดยมีคนพากย์ ต่างหากและมีนักดนตรีประมาณ 3 - 5 คน เครื่องดนตรีจะประกอบด้วย ระนาดเอก 1 ราง ตะโพน 1 ใบ ฉิ่ง 1 คู่ ต่อมาได้มีการประยุกต์โดยนำเอาพิณ แคน กลองชุด ฉิ่ง ฉาบ เข้ามาเสริมเพื่อให้เกิดความไพเราะเร้าใจเพิ่ม มากขึ้น สำหรับความเชื่อของผู้เล่นหนังประโมทัยนั้น มีข้อห้ามต่าง ๆ ที่ถือเป็นเรื่องเคร่งครัด เช่น ห้ามตั้ง โรงหนังหันหน้าไปทางทิศตะวันตกโดยเด็ดขาด เพราะเชื่อกันว่าเป็นทิศอัปมงคล จะทำให้การแสดงตกต่ำไม่ รุ่งเรือง ก่อนการแสดงทุกครั้ง ต้องระลึกถึงครูบาอาจารย์ของแต่ละคณะเพื่อความเป็น สิริมงคลแก่คณะและทำ ให้ผู้ชมนิยมชมชอบ หากเดินทางไปแสดงหนังเพื่อแลกข้าวสารจากหมู่บ้านอื่น ๆ ก็ต้องไม่ออกเดินทางไปในวัน พระ (วันแรมและวันขึ้น 15 ค่ำ) หัวหน้าคณะหนังต้องนำดอกไม้ธูปเทียนมาทำพิธีบูชาที่บันไดหน้าบ้านเสียก่อน และต้องหันหน้าไปทางทิศเหนือ เมื่อกล่าวคาถาจบก็ต้องกลั้นลมหายใจพร้อมกับกระทืบเท้าข้างขวาอีก 3 ครั้ง ในการแสดง (วรเชษฐ์ โทอื้น, 2563) หนังประโมทัยจะประกอบด้วย ผู้เชิดหนัง ตัวหนัง โรงและจอหนัง บทพากย์ บทเจรจา ดนตรีประกอบ ตลอดจนแสงและเสียงที่ใช้ในการแสดง บางคนก็เป็นหมอลำมาก่อนเพราะการแสดงบางเรื่องต้องใช้ลีลาการ ร้องแบบหมอลำหรือบางคนก็เป็นพระนักเทศน์มาก่อน กล่าวคือคนพากย์คนเจรจาจะต้องเป็นผู้มีความสามารถ ในการใช้เสียง มีความรู้รอบตัว มีลีลา และไหวพริบที่ดีเพื่อดำเนินการแสดงให้สนุกสนานและทันต่อ สถานการณ์ต่าง ๆ ทางสังคม (บทความหนังประโมทัย, 2563) เรื่องราวความเป็นมาของหนังประโมทัย (หรือหนังตะลุงภาคอีสาน) ปรากฏว่าไม่มีการบันทึกไว้เป็น ลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน จะมีเพียงแต่ข้อสันนิษฐานและคำบอกเล่าสืบต่อกันมา โดยมีข้อสันนิษฐานบางแห่ง ว่า “หนังประโมทัย” เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2468 ซึ่งเกิดจากการเลียนแบบหนังตะลุงของคณะที่ไปจากจังหวัด พระนครศรีอยุธยา บางแห่งสันนิษฐานว่าเกิดจากการที่ชาวอีสานเดินทางไปทำงานและอยู่อาศัยทางภาคกลาง และได้เห็นหนังตะลุงภาคใต้ที่ชาวใต้นำขึ้นมาแสดงที่กรุงเทพมหานคร ก็เลยจำแบบอย่างมาดัดแปลงและ ประกอบสร้าง (Constructivism) ให้เข้ากับท้องถิ่นของตนเอง และในที่สุดก็เริ่มมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ด้วยการนำเอาหมอลำมาผสมผสานเข้ากับหนังตะลุง ดังนั้น จึงเชื่อว่าหนังประโมทัยเกิดหลังจากที่หนังตะลุง ภาคอื่น ๆ ซึ่งเขามีกันมาก่อนแล้ว โดยพัฒนาขึ้นมาจากการรับเอาอิทธิพลของหนังตะลุงภาคใต้ (ทั้งที่ได้รับจาก ภาคใต้โดยตรงและรับเอามาจากหนังตะลุงภาคกลางที่เกิดจากหนังตะลุงภาคใต้อีกต่อหนึ่ง) ส่วนข้อสันนิษฐาน อีกประเด็นหนึ่งเชื่อว่าหนังประโมทัยอีสานนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี (เป็นศูนย์กลางแห่งแรกของ หนังประโมทัยภาคอีสาน) คณะหนังประโมทัยที่เก่าแก่ที่สุด คือ “คณะฟ้าบ้านทุ่ง” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2467
ภ า ค อี ส า น | 39 คณะหนังประโมทัยที่เก่าแก่รองลงมา คือ “คณะบุญมี” ซึ่งมาจากจังหวัดอุบลราชธานี และมาตั้งคณะขึ้นใน จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อปี พ.ศ. 2467 เช่น คณะประกาศสามัคคี, คณะ ช. ถนอมศิลป์,คณะ ป. บันเทิงศิลป์ส่วนที่ จังหวัดยโสธร ก็มีคณะเพชรโพนทัน รวมทั้งหนังประโมทัยของพ่อใหญ่ถัง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น (สารสนเทศท้องถิ่น ณ อุบลราชธานีอ้างอิงใน วรเชษฐ์ โทอื้น, 2563) หนังประโมทัยจากอดีตถึงปัจจุบันได้ผ่านกระบวนการประกอบสร้าง (Constructivism) กล่าวคือ เกิด จากการที่ชาวอีสานเดินทางไปทำงานและอยู่อาศัยทางภาคกลางและได้เห็นหนังตะลุงภาคใต้ที่ชาวใต้นำขึ้นมา แสดงที่กรุงเทพมหานคร ก็เลยจำแบบอย่างนั้นมาดัดแปลงประกอบสร้างให้เข้ากับบริบทของท้องถิ่นตนเอง และในที่สุดก็เริ่มมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองด้วยการนำเอาหมอลำและดนตรีพื้นบ้านมาผสมผสานเข้ากับหนัง ตะลุง ดังนั้นจึงเชื่อว่าหนังประโมทัยนั้นเกิดหลังจากหนังตะลุงภาคอื่น ๆ ที่เขามีกันมาก่อนแล้ว โดยการ พัฒนาขึ้นมาจากการรับเอาอิทธิพลของหนังตะลุงในภาคใต้ ทั้งที่ได้รับจากภาคใต้โดยตรงและการรับเอามาจาก หนังตะลุงภาคกลาง ที่เกิดจากหนังตะลุงภาคใต้อีกต่อหนึ่งแล้วนำมาบูรณาการกับวรรณกรรมท้องถิ่นตนเอง พร้อมทั้งการถ่ายทอดวรรณกรรมท้องถิ่นผ่านวรรณศิลป์ของเงาแสงแห่งประโมทัยด้วยกระบวนการแลกเปลี่ยน ความสัมพันธทางสังคมที่เรียกว่า “ทฤษฎีปริวรรตนิยม” ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างพื้นที่ทางสังคมอย่างหนึ่ง ให้กับศิลปะการแสดงของหนังประโมทัยที่เป็นเครื่องมือในการกล่มเกลาทางสังคมในภาคพื้นอีสานให้ดำรงอยู่ ในวิถีชีวิตอันดีงามตามฮีตคองอีสาน (จารีตประเพณี) ตามหลักพุทธศาสนา องค์ประกอบการแสดง มีรายละเอียดดังนี้ - บทพากย์ บทเจรจาหนังประโมทัย การพากย์และการเจรจาในการแสดงหนังประโมทัยจะมีทั้งการใช้ภาษาไทยกลางและภาษา อีสาน ประกอบกับการร้องหมอลำก็มี ตามแต่การสร้างสรรค์ของแต่ละคณะเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน บทพากย์และบทเจรจาจะเป็นบทกลอนที่ได้รับการฝึกฝนและจดจำมาจากครูหรือจากหนังสือที่มีผู้ แต่งไว้ มีบางครั้งที่เป็นกลอนสดและกลอนลำชนิดต่าง ๆ โดยทำนองการพากย์ที่พบเห็นได้นั้นแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือการพากย์ทำนองร้องหนังตะลุง มักใช้กับตัวแสดงหลักในเรื่องรามเกียรติ์ และการพากย์ ทำนองแบบหมอลำ ซึ่งเป็นทำนองที่มีความครึกครื้นสนุกสนานมักใช้กับตัวตลก เช่น ปลัดตื้อ บักป่อง บักแก้ว ซึ่งบทตลกนั้นมีความสำคัญเกือบจะเทียบเท่าตัวเอก เป็นตัวสร้างสีสันทำให้การดูหนังตะลุงมีความสนุกสนาน ยิ่งขึ้นจนเป็นที่จดจำและเป็นที่มาให้คนในท้องถิ่นอีสานเรียกหนังประโมทัยว่า หนังบักตื้อ หนังบักป่องบักแก้ว - การแสดง (วิธีการแสดง) หนังประโมทัยคณะหนึ่งมีสมาชิกประมาณ 5 - 10 คน เป็นคนเชิดหุ่น 2 - 3 คน ทำหน้าที่ พากย์และเจรจาบทในวรรณกรรมด้วย แต่บางคณะทำหน้าที่เชิดอย่างเดียว โดยมีคนพากย์ต่างหากและมีนัก ดนตรีประมาณ 3 - 5 คน การแสดงหนังประโมทัย จะมีขั้นตอนหรือแบบแผนของธรรมเนียมปฏิบัติด้านการ แสดงตามลำดับ ดังนี้ (ชุมเดช เดชภิมล, 2531) 1. การเตรียมความพร้อม เป็นการจัดวางอุปกรณ์ของการแสดงต่าง ๆ เช่น เครื่องดนตรี กล่องหีบหนัง และปักตัวหนังกับต้นกล้วย เพื่อเตรียมพร้อมการแสดง
ภ า ค อี ส า น | 40 2. การไหว้ครู หัวหน้าคณะจะนำไหว้ครู และยกอ้อยอครูกับรูปฤาษีเพื่ออัญเชิญเทวดาให้มา ช่วยคุ้มครองและดลบันดาลให้การแสดงในคืนนั้นประสบความสำเร็จเป็นที่นิยมชมชอบ (คายอ้อหรือเครื่องไหว้ ครูด้วยขัน 5 ซึ่งประกอบด้วย เงิน, สุรา, แป้ง, น้ำมัน,หวี, กระจกเงา, หมาก, พลู, และบุหรี่ เป็นต้น) เมื่อทำ การยกอ้อยอครูเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะรินเหล้าแจกลูกวงดื่มอย่างทั่วถึง เมื่อเริ่มการแสดงจะต้องไหว้ครูในจอ หรือไหว้ครูในการแสดงอีกครั้ง โดยการออกรูปษีและออกรูปตัวแสดงทั้งหมด 3. การโหมโรง ผู้เชิด และนักดนตรีจะแยกย้ายประจำตำแหน่ง นักดนตรีจะเริ่มบรรเลงเพลง โหมโรม 4. การประกาศบอกเรื่อง เมื่อบรรเลงเพลงโหมโรงจบ หัวหน้าคณะหรือพิธีกรประจำคณะ หนังประโมทัยจะประกาศบอกเรื่องและตอนที่จะแสดงในคืนนั้น ๆ ซึ่งมีทั้งใช้ภาษากลางและภาษาอีสาน 5. การออกรูป จะมีการออกรูปษี รูปปลัดตื้อ รูปเต้นโชว์ หรือชกมวย และออกรูปตัวแสดง ทั้งหมดเป็นเบื้องต้น เมื่อออกรูปษีแล้วจะมีการร้องบทพากย์ ษี ซึ่งเป็นการไหว้ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลาย และขอเชิญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มาช่วยให้การแสดงดำเนินไปด้วยดี คารวะผู้ชมและ ขออภัยต่อผู้ชมหากมีการผิดพลาดระหว่าการแสดง จากนั้นจะมีการแสดงเบิกโรงโดยการออกตัวตลก รูปเต้น โชว์หรือการชกมวย 6. การเชิดหนังประโมทัยนั้น ผู้เชิดจะยืนเชิด เมื่อผู้เชิดจับตัวหนังตัวใดก็จะมีการพากย์และ เจรจาตัวนั้นไปด้วยซึ่งคนพากย์และคนเชิดอาจจะเป็นคนละคนหรือคนเดียวกันก็ได้ ตัวหนังที่แสดงเป็นตัวพระ ตัวนาง ยักษ์ ลิง ซึ่งปากขยับไม่ได้ ก็จะใช้การเคลื่อนไหวมือข้างหนึ่งประกอบคำพูด ถ้าเป็นตัวตลกซึ่งขยับปาก ได้ เพราะมียางยืดบังคับอยู่ จะใช้นิ้วกระตุกดึงเชือกให้ปากขยับตรงกับคำพูด ซึ่งผู้เชิดจะต้องมีความชำนาญ มาก การเชิดจะต้องทำตัวหนังเหมือนมีชีวิต บางทีผู้เชิดจะออกหน้าตาท่าทางหรือเต้นตามไปด้วย คนพากย์ และคนเชิดหนังที่อยู่ภายในโรงหนังประโมทัย
ภ า ค อี ส า น | 41 ที่มา : สารสนเทศท้องถิ่นอีสาน ณ อุบลราชธานีสืบค้นจาก http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/?p=5315 7. การดำเนินเรื่อง หลังจากการแสดงเบิกโรงก็จะเป็นการดำเนินแสดงไปตามเนื้อเรื่องจนจบการแสดง 8. การจบ เมื่อจะจบการแสดงจะมีธรรมเนียมสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำกันแทบทุกคณะโดยเฉพาะใน จังหวัดร้อยเอ็ด คือใช้ตัวตลกตัวใดตัวหนึ่งออกมาบอกเลิกการแสดงซึ่งแต่ละคณะก็จะมีวิธีการแตกต่างกันไป การสืบสานวรรณศิลป์ การสืบสาน คือ การอนุรักษ์ การรักษาเพื่อการดำรงอยู่ และการมองเห็นคุณค่าในประโยชน์ปัจจุบัน ของสรรพสิ่งและในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “หลักทิฎฐธรรมิกัตถประโยชน์” หลักคำสอนข้อนี้เป็นหลัก อรรถประโยชน์ที่จะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นได้จริงและสามารถพัฒนาไปสู่คุณค่าได้อย่างสูงสุด กล่าวคือการสืบ สานจะนำไปสู่การสร้างคุณค่าทางประเพณีได้หลายมิติทั้งกายภาพและจิตภาพ (วิพจน์ วันคำ, อ้างอิงใน วรเชษฐ์ โทอื้น, 2563) ปัจจุบันการที่รัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมให้ชุมชนต่าง ๆ ให้ตระหนักถึงความ เป็นอัตลักษณ์ของชุมชนซึ่งความเป็นท้องถิ่นนิยมนับวันยิ่งเข้มข้นมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากท้องถิ่นต่าง ๆ มีการ ประชาสัมพันธ์งานบุญประเพณีต่าง ๆ ในเทศกาลต่าง ๆ ในทุกระดับทั้งตำบล อำเภอ จังหวัดตามกระแสโลก ในยุคข้อมูลข่าวสารภายใต้บริบทของกระแสสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ ประกอบกับการใช้ทุนทางวัฒนธรรมเป็น นโยบายการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่นในการพัฒนาสังคม ครอบครัว และชุมชนได้ ในสถานการณ์ปัจจุบันประชาชนมีการเสพสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างฟุ่มเฟือย จึง ปรากฏแนวคิด ทฤษฎี หลักการบางอย่างที่มุ่งเตือนคนในสังคมให้สำนึกถึงการแสวงหาเพื่อให้หวลระลึกถึงวิถี ดั้งเดิมของตน ความพยายามในการดึงมวลชนให้คำนึงถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นตามวิถีความพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือในทางศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาหลักของประชาชน ภาคอีสาน และชาวอีสานต่างมีพุทธวิถีที่เป็นจารีตประเพณีหลากหลายในแต่ละเดือนเรียกจารีตหรือฮีต 12 จะ ปรากฏงานบุญประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ฉะนั้น ในฐานะที่พระพุทธศาสนามีส่วนเกี่ยวข้อง กับการนำหลักธรรมมาประยุกต์ต่อวิถีชุมชนด้านงานบุญประเพณีจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมและสามารถดำเนิน ชีวิตไปได้อย่างราบรื่นมีทิศทางที่ดีและมีความสุข เป็นการสืบสานและเป็นพื้นฐานในการสร้างคุณค่าวัฒนธรรม ประเพณีและศิลปะพื้นบ้านต่าง ๆ ได้ และเพื่อสร้างองค์ความรู้ที่สามารถนำมาอธิบายการอนุรักษ์ที่สร้างคุณค่า และมูลค่าเพิ่มได้จากวัฒนธรรมประเพณีขั้นพื้นฐานได้อย่างเหมาะสม - อุปกรณ์ประกอบการแสดง ตัวหนังประโมทัย จะมีลักษณะเป็นตัวละครรูปลอยตัวที่มีฉลุลวดลายลงบนหนัง ซึ่งนิยมใช้ หนังลูกวัวหรือลูกควาย ที่บางและโปร่งแสง ขนาดความสูงของตัวหนังประมาณ 1-2 ฟุต มีการเจาะรูร้อยเชือก ที่ข้อมือและข้อศอกแล้วใช้เชือกร้อยผูกไว้ที่มือของตัวหนังผูกเข้ากับไม้เล็ก ๆ เพื่อให้แขนและมือขยับ เคลื่อนไหวไปมาได้ ตัวตลกมักจะทำให้แขนเคลื่อนไหวได้ทั้งสองข้าง ส่วนปากก็ใช้เชือกผูกไว้ที่คาง ให้สามารถ
ภ า ค อี ส า น | 42 ชักขยับขึ้นลงได้เหมือนกำลังพูด ตัวหนังทุกตัวจะมีไม้ยาววางพาดตัวหนังเป็นแกนกลางสำหรับพยุงตัวหนัง เป็นที่จับ และใช้เสียบปักกับต้นกล้วยขณะทำการแสดง ตัวหนังประโมทัย ที่มา : ประตูสู่อีสาน. (2565, กุมภาพันธ์ 18). หนังประโมทัย : อัตลักษณ์อีสาน สืบค้นจาก https://www.isangate.com/new/drama-acting/156-pramo-tai.html ตัวหนังประโมทัย ส่วนหัวจะเป็นภาพใบหน้าด้านข้าง ส่วนลำตัวจะมองเห็นแขนขาครบทั้งสองข้าง ยกเว้นตัวนางมักจะทำเป็นภาพหน้าตรง โดยฉลุบริเวณหน้าให้มองเห็นเป็นสีขาวในเวลาฉายออก เรียกหนังตัว นางว่า “หนังหน้าแขวะ” โรงและจอหนังประโมทัย ส่วนใหญ่จะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม นักแสดง คนเชิด และนักดนตรีทั้งหมดจะ อยู่ในโรงนี้ ด้านหน้าของโรงหนังเป็นจอสีขาวตัดขอบโดยรอบด้วยสีดำหรือสีน้ำเงินที่สูงจากพื้นประมาณ 1-1.5 เมตร ยาวประมาณ 3-4 เมตร กว้าง 1.5 เมตร ด้านข้างของโรงหนังจะกั้นทึบทั้งสองด้าน ภายในโรงหนังจะมี ต้นกล้วยวางชิดกับจอสำหรับเสียบตัวหนังที่กำลังแสดงและวางต้นกล้วยไว้ที่ด้านข้างทั้งสองด้วยสำหรับเสียบ ตัวหนังที่พักหรือรอการแสดง
ภ า ค อี ส า น | 43 จอหนังประโมทัย ที่มา : สารสนเทศท้องถิ่นอีสาน ณ อุบลราชธานีสืบค้นจาก http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/?p=5315 - ดนตรี เครื่องดนตรีจะประกอบด้วย ระนาดเอก 1 ราง ตะโพน 1 ใบ ฉิ่ง 1 คู่ ต่อมาได้มีการประยุกต์ โดยนำเอาพิณแคน กลองชุด ฉิ่ง ฉาบ เข้ามาเสริมเพื่อให้เกิดความไพเราะเร้าใจเพิ่มมากขึ้น เครื่องดนตรีประกอบหนังประโมทัย ที่มา : สารสนเทศท้องถิ่นอีสาน ณ อุบลราชธานีสืบค้นจาก http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/?p=5315 - จารีต ขนบประเพณี ความเชื่อในการแสดง
ภ า ค อี ส า น | 44 สำหรับความเชื่อของผู้เล่นหนังประโมทัยนั้น มีข้อห้ามต่าง ๆ ที่ถือเป็นเรื่องเคร่งครัด เช่น ห้ามตั้งโรงหนังหันหน้าไปทางทิศตะวันตกโดยเด็ดขาด เพราะเชื่อกันว่าเป็นทิศอัปมงคล จะทำให้การแสดง ตกต่ำไม่รุ่งเรือง ก่อนการแสดงทุกครั้ง ต้องระลึกถึงครูบาอาจารย์ของแต่ละคณะเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่คณะ และทำให้ผู้ชมนิยมชมชอบ หากเดินทางไปแสดงหนังเพื่อแลกข้าวสารจากหมู่บ้านอื่น ๆ ก็ต้องไม่ออกเดินทาง ไปในวันพระ (วันแรมและวันขึ้น 15 ค่ำ) หัวหน้าคณะหนังต้องนำดอกไม้ธูปเทียนมาทำพิธีบูชาที่บันไดหน้าบ้าน เสียก่อนและต้องหันหน้าไปทางทิศเหนือเมื่อกล่าวคาถาจบก็ต้องกลั้นลมหายใจพร้อมกับกระทืบเท้าข้างขวาอีก 3 ครั้ง ในการแสดงหนังประโมทัยจะประกอบด้วย ผู้เชิดหนัง ตัวหนัง โรงและจอหนัง บทพากย์ บทเจรจา ดนตรี ประกอบ ตลอดจนแสงและเสียงที่ใช้ในการแสดง บางคนก็เป็นหมอลำมาก่อนเพราะการแสดงบางเรื่อง ต้องใช้ลีลาการร้องแบบหมอลำหรือบางคนก็เป็นพระนักเทศน์มาก่อน กล่าวคือคนพากย์คนเจรจาจะต้องเป็นผู้ มีความสามารถในการใช้เสียง มีความรู้รอบตัว มีลีลา และไหวพริบที่ดีเพื่อดำเนินการแสดงให้สนุกสนานและ ทันต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ทางสังคม (บทความหนังประโมทัย, 2563) การแสดงหนังประโมทัยมีความเชื่อในเรื่องต่าง ๆ น้อยมาก เมื่อเทียบกับความเชื่อของหนัง ตะลุงภาคใต้ ดังพอจะพบเห็นได้บ้าง เช่น การทำรูปหนังรูปศักดิ์สิทธิ์ หนังประโมทัยไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างรูปศักดิ์สิทธิ์เพื่อ ป้องกันเสนียดจัญไร แต่ก็จะมีการเคารพนับถือรูปฤาษีเพียงรูปเดียวเท่านั้น โดยถือรูปฤาษีเป็นรูปครู บางคณะ ในระหว่างเข้าพรรษาจะนำรูปฤาษีขึ้นไปไว้บนหิ้งบูชา และไม่นำรูปฤาษีไปแสดงที่ไหนในระหว่างเข้าพรรษา ซึ่ง อาจจะเป็นอิทธิพลของประเพณีทางพุทธศาสนาในช่วงเข้าพรรษา การจัดเก็บรูปหนังเข้าแผงเก็บรูป นิยมเก็บรูปตัวตลกไว้ข้างล่าง ชั้นต่อมาเป็นรูปกาก ต่อมา คือรูปยักษ์ รูปลิง และมนุษย์ ส่วนรูปฤาษีจัดไว้ข้างบนสุด เพราะถือเป็นรูปครู - สถานที่ที่ใช้ในการแสดง โรงละครเล็ก พิพิธภัณฑ์ หรือสถานที่ในงานมหรสพตาง ๆ โอกาสในการแสดงหนังประโมทัย จะแสดงในเทศกาลตาง ๆ การเผยแพรเชิงวัฒนธรรม หรือสาธิตตามสถานศึกษาตาง ๆ สวนใหญ่จะรับทุกงาน ที่มีการติดตอมา ซึ่งงานแสดงก็มีทุกรูปแบบทั้งงานมงคล งานสาธิต 2.5 การละเล่นในรูปแบบพื้นบ้านอีสาน 2.5.1 แสกเต้นสาก ประวัติความเป็นมา ชาวไทแสกยังคงยึดมั่นในประเพณีดั้งเดิม โดยเฉพาะภาษาชาวไท แสกส่วนใหญ่ก็ยังใช้ภาษา ของตนเองในการสื่อสาร ยึดมั่นในประเพณีสำคัญทางพระพุทธศาสนาและยังคงมีประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์คือ ประเพณีเต้นสาก ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “แสกเต้นสาก” "พิธีกินเตดเดน" เป็นประเพณีพิธีกรรมอีกอย่างหนึ่ง โดยการประกอบพิธีกรรมขึ้นมา เพื่อเป็นการแสดง ความกตัญญูกตเวทีต่อ "โองมู้" ที่ชาวไทแสกเคารพนับถือ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวไทแสก
ภ า ค อี ส า น | 45 เป็นผู้มีพระคุณต่อ ลูกหลานรุ่นหลังๆ สืบต่อกันมา "โองมู้" จะทำาหน้าทที่คุ้มครองอันตรายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน และดลบันดาลให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นตามที่ "ผู้บ๊ะ" (บนบาน) โดยมี"กวนจ้ำ" เป็นสื่อกลางในการประกอบ พิธีกรรม แต่ถ้าหากลูกหลานประพฤติมิชอบไม่เหมาะสม หรือทำพิธีบนบานแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่ ถูกที่งามหรือไม่มีพิธีกรรม เก่บ๊ะ (พิธีแก้คำบนบาน) ก็จะทำให้เกิดเหตุเภทภัยในครอบครัว เพื่อเป็นการ ตักเตือนให้ลูกหลายประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องจึงเกิดพิธีกรรมนี้ขึ้น พิธีบวงสรวง “โองมู้” โดยการแสดงแสกเต้นสากในสมัยก่นอการเต้นสากของชาวแสกถือว่า เป็นการละเล่นประจำเฉพาะพิธีบวงสรวง “โองมู้” ในวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ ชาวแสก เรียกว่า “พิธี-กิน-เตด-เดน” จะมีการแสดง “แสกเต้นสากถวายโอ้งมู้” โดยใช้ไม้สากตีกระทบกันเป็นจังหวะ สากที่ใช้ตีในการเต้นสากก็คือไม้สากที่เป็นสากตำข้าวในสมัยโบราณ แต่ขนาดยาวกว่า ตรงกลางเรียวเล็ก ไม้ รองพื้นสากจะใช้ไม้อะไรรองก่อนก็ได้ มีจำนวน 1 คู่และมีขนาดเท่า ๆ กัน อุปกรณ์ที่ใช้ในการเต้นสาก คือ 1. ไม้สาก มีลักษณะตรงยาวประมาณ 2 เมตร ใช้เคาะจังหวะประมาณ 5-6 คู่ การ วางไม้สากจะจัดเป็นช่วงๆ ห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตร ต่อ 1 คู่ 2. ไม้รองสาก มีขนาดใหญ่และยาวกว่าไม้สาก มี 1 คู่ ขนาดกว่ายาวเท่ากัน ยาว ประมาณ 5-7 เมตร สำหรับเป็นฐานรองไม้สาก อุปกรณ์ที่ใช้ในการเต้นสาก ที่มา : ชนเผ่าพื้นเมืองแสก, โดย มูลนิธิชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อการศึกษาและสิ่งแวดล้อม, 2561, น.7, รายงาน โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย จังหวะการตีสาก การเคาะจังหวะในสมัยโบราณใช้ไม้สากตำข้าว ไม่มีการเตรียม แต่จับไม้สากมาเคาะ เป็นจังหวะได้เลย ปัจจุบันจังหวะการตีสากจะมีหลายจังหวะด้วยกัน หากคนตีสากไม่เป็นและเต้นสากไม่เป็น หรือไม่สามารถเต้นให้ถูกจังหวะได้ จะทำให้ไม้สากที่กระทบกันหนีบเข้าที่ขาของคนเต้นได้ ซึ่งจะทำให้บาดเจ็บ
ภ า ค อี ส า น | 46 ในภาพหลัง การแสดงแสกเต้นสากนี้ไม่สามารถทำการแสดงได้ตลอดเวลา จะต้องเป็นช่วงพิธีกรรมบวงสรวง “โองมู้” เท่านั้น เนื่องจากจะต้องมีการทำพิธีขออนุญาตจาก “โองมู้” เสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะ สามารถทำการแสดงได้ หากไม่ขออนุญาตก็จะมีเหตุให้มีอันเป็นไป เช่น ทำให้เจ็บไข้ไม่สบายโดยไม่ทราบ สาเหตุ รูปแบบของการแสดงแสกเต้นสาก ประกอบไปด้วย 1. ผู้ที่ทำหน้าที่เคาะไม้สาก โดยจะนั่งตรงข้ามกัน จับคู่กันประมาณ 5 – 7 คู่ แล้วแต่ ความยาวของไม้รองสาก คนเคาะไม้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ 2. ผู้เต้นสาก จะทำท่าเต้นคล้าย ๆ กับรำลาวกระทบไม้ แต่จังหวะการเต้นสากนี้จะ เร็วกว่ามาก จะมีทั้งการเต้นเดี่ยวและการเต้นเป็นคู่ จะมีทั้งจังหวะช้าและจังหวะเร็ว ผู้เต้นจะเป็นผู้ชายหรือ ผู้หญิงก็ได้ การเตรียมการเต้นสากของชาวไทแสก ที่มา : ชนเผ่าพื้นเมืองแสก, โดย มูลนิธิชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อการศึกษาและสิ่งแวดล้อม, 2561, น.8, รายงาน โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย - ดนตรีที่ใช้ในการแสดง ส่วนมากจะเป็นดนตรีพื้นบ้าน อาทิ กลองใหญ่ กลองเล็ก ฆ้องเล็ก พังฮาด (มีลักษณะคล้ายกับฆ้อง ตรงกลางจะนูนเป็นวงกลม) ฉิ่งและฉาบ ผู้ให้จังหวะส่วนมากจะเป็นผู้ชาย - การแต่งกาย ผู้ชายใส่เสื้อสีดำแขนสั้น ผ้าย้อมหม้อสีคราม เสื้อคอกลมติดกระดุมด้านหน้า สวม กางเกงขาก๊วย หรือครึ่งท่อน ผ้าคาดเอวเป็นผ้าขาวม้าและลายตะล่องสีแดง ส่วนผ้าพาดบ่าช้าสีแดงล้วน
ภ า ค อี ส า น | 47 ผู้หญิง ใส่เสื้อสีดำแขนยาวผ่าอก ติดกระดุมสีขาวด้านหน้า สวมผ้าถุงสีดำมีเชิงที่ ปลายผ้าถุง ผ้าถุงยาวคลุมเท้า ผ้าคาดเอวนิยมเป็นผ้าลายเดียวกันกับลายเชิงผ้าถุง ซึ่งการนุ่งผ้าถุงนั้นจะนุ่ง เบี่ยงผ้าไปทางซ้าย นิยมใช้ผ้าสีแดง เครื่องประดับใส่ตุ้มหู กำไลแขน สร้อยขา และสร้อยคอ ทรงผมนิยมไว้ผม ยาวเกล้ารัดมวย (มูลนิธิชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อการศึกษาและสิ่งแวดล้อม, 2561, น.6-9) การแต่งกายของการแสดงแสกเต้นสาก ที่มา : ชนเผ่าพื้นเมืองแสก, โดย มูลนิธิชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อการศึกษาและสิ่งแวดล้อม, 2561, น.9, รายงาน โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย 3. นาฏศิลป์พื้นบ้านของภาคอีสานในรูปแบบร่วมสมัย 3.1 การแสดงในรูปแบบการฟ้อนพื้นบ้านอีสานร่วมสมัย 3.1.1 การสร้างสรรค์นาฏศิลป์พื้นบ้านอีสานร่วมสมัยของวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด: ชุดอีสาน ลายมังกร ความเป็นมา การสร้างสรรค์นาฏศิลป์พื้นบ้านอีสานร่วมสมัย เป็นแผนพัฒนาของวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ดที่ สืบเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 การแสดง อีสานลายมังกร เป็นการสร้างสรรค์แสดงชุดหนึ่งที่มีการผสมผสาน การแสดงสองวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายจีนในภาคอีสาน ในด้านรูปแบบ ลีลาการฟ้อน ดนตรี การแต่งกาย และอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงได้อย่างมีหลักการ ในปี พ.ศ. 2561 วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ดได้สร้างสรรค์นาฏศิลป์พื้นบ้านอีสานร่วมสมัยที่สืบเนื่อง จากแรงบันดาลใจ จากนายวีระ วุฒิจำนง ต้นตระกูลของคนไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดร้อยเอ็ด ที่อพยพเข้ามาสู่ ชีวิตในแผ่นดินอีสานของประเทศไทย เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ทางวัฒนธรรมของคนเชื้อสายจีน ในจังหวัดร้อยเอ็ด คือชุดการแสดงอีสานลายมังกร เป็นการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นการ
ภ า ค อี ส า น | 48 เดินทางจากแผ่นดินแม่มาจนถึงแดนสยามของชาวจีน ใช้ชีวิตลงหลักปักฐานในถิ่นอีสาน จังหวัดร้อยเอ็ด ประกอบอาชีพการค้าขาย และใช้แรงงาน จนมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตที่นำปสู่ ความสุข มั่งคงร่ำรวย การแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้านอีสานร่วมสมัย ชุด อีสานลายมังกร เป็นการสร้างสรรค์การ แสดงพื้นบ้านอีสานร่วมสมัย ในรูปแบบของการแสดงการเล่า เรื่องราวผ่านกระบวนการเต้น การใช้ท่าทางลีลา ดนตรีที่ใช้ในการแสดง การแต่งกาย ร่วมถึงอุปกรณ์ในการแสดงที่สื่อให้เห็นถึงสัญลักษณ์ในรูปต่าง ๆ ที่มีความ เป็นพื้นบ้านอีสานผสมสานวัฒนธรรมจีน (ธนานันต์ ศรีประภาพงศ์, 2564) รูปแบบการแสดง รูปแบบการสร้างสรรค์การแสดงพื้นบ้านอีสานร่วมสมัยยังมีแนวคิดให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและ ความเป็นอยู่ของชุมชนชาวอีสานจึงทำให้การออกแบบสร้างสรรค์การแสดงให้มีความเป็นพื้นบ้านอีสาน ผสมผสานกับความเป็นสากลเข้ามาให้มีความร่วมสมัยขึ้นทั้งในด้านรปู แบบ ลีลาการฟ้อนรำที่มีการนำการ เต้นรำแบบสากลเข้ามาผสมกับการฟ้อนรำของการฟ้อนอีสาน ร่วมไปถึงทำนองดนตรีที่ใช่ในการบรรเลง การ แต่งกายได้อย่างมีหลักการสมบูรณ์ แต่ยังคงรักษาความเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นไว้ได้ กระบวนการแสดงให้เห็นความสำคัญกับการผสมผสานนาฏศิลป์สองสกุลเป็นการนำเสนอการแสดง แบบการเล่าเรื่อง จากการเริ่มต้นของการเดินทางจากแผ่นดินแม่มาจนถึงแผ่นดินสยามและการมาใช้ชีวิตในพื้น แผ่นดินอีสานมาประกอบสัมมาชีพเกิดความมั่นคงมั่งคั่งรำรวย โดยมีรูปแบบการแสดงแบ่งออกเป็น 5 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 แดนมังกร ที่แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชาวจีนด้วยนาฏกรรมต่าง ๆ ของจีน เช่นอุปรากร จีน (งิ้ว) มวยจีน ระบำพัด แสดงความงดงามด้วยท่วงท่าลีลาการจีบมือจีน ใช้วงดนตรีจีนในการบรรเลงทำนอง เพลงที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาวจีนเน้นความสวยงามของการเคลื่อนไหวที่พร้อมเพรียมกัน มีการ แปรแถวที่หลากหลาย การแต่งกายเลียนแบบชาวจีนสามัญชนสมัยราชวงศ์ชิง การแสดงอีสานลายมังกร ช่วงที่ 1 แดนมังกร ที่มา : อีสานลายมังกร วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด โรงละครวังหน้า (2562, มีนาคม 22) สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=iw9k7ab19Jg
ภ า ค อี ส า น | 49 ช่วงที่ 2 แรมรอนกลางทะเล สื่อให้เห็นถึงความทุรกันดารลำบากยากแค้นในการอพยพถิ่นฐานที่อยู่อาศัย ของชาวจีนที่เดินทางจากแผ่นดินเกิดของ ตนมีกระบวนท่าทางที่สะท้อนถึงความลำบาก มีการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ผสมกลมกลืนกับดนตรีการบรรเลงเดี่ยวซอจีนแสดงให้ถึงเห็นถึงอารมณ์ความลำบาก เศร้า ไม่มีจุดหมาย สื่อถึงการอพยพเข้ามาสู่แผ่นดินไทยมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ โดยทางเรือสำเภาใช้เสื่อทำเป็นสัญลักษณ์ เรือสำเภา เข้า มาสู่แผ่นดินไทยเพื่อมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น การแสดงอีสานลายมังกร ช่วงที่ 2 แรมรอนกลางทะเล ที่มา : อีสานลายมังกร วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด โรงละครวังหน้า (2562, มีนาคม 22) สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=iw9k7ab19Jg ช่วงที่ 3 ชีวิตใหม่ในสยาม แสดงถึงชีวิตใหม่เมื่อเข้าสู่สยามประเทศแผ่นดินที่มีทั้งความสุขที่ได้อยู่ใต้ร่มโพธิ์ พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทยและการได้ศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาใช้วงดนตรีไทยที่ประกอบไป ด้วย ขลุ่ย ฆ้องวงใหญ่ และตะโพน ให้อารมณ์ถึงความร่มเย็นเป็นสุขในแดนสยาม มีการใช้เสื่อสื่อแทนสัญลักษณ์ เป็น ประตู เมืองที่แสดงให้เห็นถึงการเข้ามาสู่ในดินแดนอีสาน การแสดงช่วงที่ 3 ชีวิตใหม่ในสยาม