The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นป,2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ufykkgg.2457, 2022-01-09 03:00:32

คู่มือการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นป,2

คู่มือการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นป,2

2. คะแนนสอบกลางปี การศึกษา
มีการวดั และประเมินผลโดยใชแ้ บบทดสอบ (70) 60 10
➢ คะแนนสอบปลายปี การศึกษามีการวดั และประเมนิ ผลโดยใช้
แบบทดสอบ (30)
รวมท้งั ภาคเรียน 100

อภิธานศพั ท์

1. กาํ หนดปัญหา( Define problem ) หมายถึง ระบุคาํ ถาม ประเดน็ หรือสถานการณ์ท่ีเป็น
ขอ้ สงสยั เพอ่ื นาํ ไปสู่การแกป้ ัญหาหรืออภิปรายร่วมกนั
2. แก้ปัญหา( Solve problem)หมายถึง หาคาํ ตอบของปัญหาที่ยงั ไม่รู้วธิ ีการมาก่อน ท้งั
ปัญหาที่เก่ียวขอ้ งกบั วิทยาศาสตร์โดยตรงและปัญหา
ในชีวติ ประจาํ วนั โดยใชเ้ ทคนิคและวธิ ีการต่าง ๆ
3. เขียนแผนผงั /วาดภาพ (Sonstruct diagram/ illustrate) หมายถึง นาํ เสนอขอ้ มูลหรือ
ผลการสาํ รวจตรวจสอบดว้ ยแผนผงั กราฟหรือภาพวาด

4. คาดคะเน (Predict ) หมายถึง คาดการณ์ผลท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตโดยอาศยั ขอ้ มูลท่ี
สงั เกตไดแ้ ละประสบการณ์ท่ีมี

5. คาํ นวณ (Calculate) หมายถึง หาผลลพั ธจ์ ากขอ้ มูล โดยใชห้ ลกั การ ทฤษฎีหรือวธิ ีการ
ทางคณิตศาสตร์

6. จําแนก( Classify ) หมายถึง จดั กลุ่มของสิ่งต่าง ๆ โดยอาศยั ลกั ษณะท่ีเหมือนกนั เป็น
เกณฑ์

7. ต้งั คาํ ถาม( Ask question) หมายถึง พดู หรือเขียนประโยค หรือวลีเพอื่ ใหไ้ ดม้ าซ่ึงการ
คน้ หา คาํ ตอบท่ีตอ้ งการ

8. ทดลอง (Conduct/experiment )ปฏิบตั ิการเพ่ือหาคาํ ตอบ ของคาํ ถาม หรือปัญหาใน
การ ทดลอง โดยต้งั สมมติฐานเพ่ือ เป็นแนวทางในการกาํ หนด ตวั แปรและวางแผน
ดาํ เนินการ เพ่ือตรวจสอบสมมติฐาน

9. นําเสนอ (Present) หมายถึง แสดงขอ้ มูล เรื่องราว หรือ ความคิด เพอ่ื ใหผ้ อู้ ื่นรับรู้หรือ
พจิ ารณา

10. บรรยาย (Describe ) หมายถึง ใหร้ ายละเอียดของเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึน
ใหผ้ อู้ ื่นไดร้ ับรู้ดว้ ยการบอก หรือเขียน

11. บอก (Tell ) หมายถึง ใหข้ อ้ มูล ขอ้ เทจ็ จริง แก่ผอู้ ่ืน ดว้ ยการพดู หรือเขียน

12. บันทึก( Record) หมายถึงเขียนขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสงั เกต เพอื่ ช่วยจาํ หรือเพื่อเป็น
หลกั ฐาน

13. เปรียบเทยี บ (Compare) หมายถึง บอกความเหมือน และ/หรือ ความแตกต่าง ของสิ่ง
ท่ี เทียบเคียงกนั

14. แปลความหมาย( Interpret ) หมายถึง แสดงความหมายของขอ้ มูล จากหลกั ฐานที่
ปรากฏ เพอื่ ลงขอ้ สรุป

15. ยกตัวอย่าง( Give examples ) หมายถึงใหข้ อ้ มูลเหตุการณ์หรือสถานการณ์เพื่อแสดง
ความเขา้ ใจในสิ่งที่ไดเ้ รียนรู้

16. ระบุ( Identify ) ช้ีบอกสิ่งต่าง ๆ โดยใชข้ อ้ มูล ประกอบอยา่ งเพียงพอ

17. เลือกใช้( Select )พิจารณา และตดั สินใจนาํ วสั ดุสิ่งของ อุปกรณ์หรือวิธีการมาใชไ้ ด้
อยา่ งเหมาะสม

18. วดั (Measure ) หมายถึง หาขนาด หรือปริมาณ ของ สิ่งต่าง ๆ โดยใชเ้ ครื่องมือ ท่ี
เหมาะสม

19. วเิ คราะห์ (Analyze) หมายถึง แยกแยะ จดั ระบบ เปรียบเทียบ จดั ลาํ ดบั จดั จาํ แนก
หรือ เช่ือมโยงขอ้ มูล

20. สร้างแบบจําลอง (Construct model) หมายถึง นาํ เสนอแนวคิด หรือเหตุการณ์ในรูป
ของแผนภาพ ชิ้นงานสมการ ขอ้ ความ คาํ พดู และ/หรือใชแ้ บบจาํ ลองเพอ่ื อธิบายความคิด
วตั ถุ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ

21. สังเกต (Observe ) หมายถึง หาขอ้ มูลดว้ ยการใชป้ ระสาทสมั ผสั ท้งั หา้ ที่เหมาะสมตาม
ขอ้ เทจ็ จริงที่ปรากฏ โดยไม่ใชป้ ระสบการณ์เดิมของผสู้ งั เกต

22. สํารวจ ( Explore) หมายถึง หาขอ้ มูลเก่ียวกบั สิ่งต่าง ๆโดยใชว้ ิธีการและเทคนิคท่ี
เหมาะสม เพ่อื นาํ ขอ้ มูลมาใชต้ ามวตั ถุประสงคท์ ี่กาํ หนดไว้

23. สืบค้นข้อมูล (Search) หมายถึง หาขอ้ มลู หรือขอ้ สนเทศที่มีผรู้ วบรวมไวแ้ ลว้ จาก
แหล่งต่าง ๆมาใชป้ ระโยชน์

24. ส่ือสาร( Communicate ) หมายถึง นาํ เสนอ และแลกเปลี่ยนความคิด ขอ้ มูล หรือผล
จากการสาํ รวจตรวจสอบ ดว้ ยวิธีที่เหมาะสม

25. อธิบาย( Explain) หมายถึง กล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ อยา่ งมีเหตุผล และมีขอ้ มูล หรือ
ประจกั ษพ์ ยานอา้ งอิง

26. อภปิ ราย( Discuss ) หมายถึง แสดงความคิดเห็นต่อประเดน็ หรือคาํ ถามอยา่ งมีเหตุผล
โดยอาศยั ความรู้และประสบการณ์ของผอู้ ภิปรายและขอ้ มูลประกอบ

27. ออกแบบการทดลอง (Design experiment) กาํ หนด และวางแผนวิธีการทดลองให้
สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานและตวั แปรต่าง ๆรวมท้งั การบนั ทึกขอ้ มูล

1. การใช้ลขิ สิทธ์ิของผู้อื่น (Fair use) หมายถึง การนาํ ส่ือ หรือขอ้ มูลท่ีเป็นโดยชอบธรรม
ลิขสิทธ์ิของผอู้ ่ืนไปใชโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมาย ภายใตเ้ ง่ือนไขบางประการ เช่น

1) นําไปใช้ในการศึกษา หรือการค้า

2) งานน้ันเป็ นงานวชิ าการ หรือบนั เทงิ

3) คดั ลอกเพยี งส่วนน้อย หรือคดั ลอกจาํ นวนมาก

4) ทําให้เจ้าของเสียผลประโยชน์ทางการเงิน มากน้อยเพยี งใด

2. การตรวจและแก้ไข (Debugging) หมายถึง กระบวนการในการคน้ หาขอ้ ผดิ พลาด
ขอ้ ผดิ พลาดของโปรแกรมเพือ่ แกไ้ ขใหท้ าํ งานไดถ้ ูกตอ้ ง

3. การประมวลผลข้อมูล( Data processing ) หมายถึง การดาํ เนินการต่าง ๆ กบั ขอ้ มูล
เพื่อใหไ้ ดผ้ ลลพั ธ์ที่มีความหมายและมีประโยชน์ต่อการนาํ ไปใชง้ านมากยงิ่ ข้ึน

4. การรวบรวมข้อมูล (Data collection ) หมายถึง กระบวนการในการรวบรวมขอ้ มูลที่
เกี่ยวขอ้ งจากแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ

5. ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) หมายถึง ขอ้ มูลท่ีรวบรวมโดยตรงจากแหล่งขอ้ มูล
ข้นั ตน้ โดยอาจใชว้ ิธีการสงั เกต การทดลองการสาํ รวจ การสมั ภาษณ์

6. เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง สิ่งท่ีมนุษยส์ ร้างหรือพฒั นาข้ึนซ่ึงอาจเป็นไดท้ ้งั
ชิ้นงาน หรือวิธีการ เพ่อื ใชแ้ กป้ ัญหาสนองความตอ้ งการ หรือเพิ่มความสามารถในการ
ทาํ งานของมนุษย์

7. แนวคดิ เชิงคาํ นวณ (Computational thinking) หมายถึง กระบวนการในการ
แกป้ ัญหาการคิดวิเคราะห์อยา่ งมีเหตุผลเป็นข้นั ตอน เพื่อหาวธิ ีการแกป้ ัญหาในรูปแบบท่ี
สามารถนาํ ไปประมวลผลได้

8. แนวคดิ เชิงนามธรรม ( Abstraction ) หมายถึง การพจิ ารณารายละเอียดท่ีสาํ คญั ของ
ปัญหา แยกแยะสาระสาํ คญั ออกจากส่วนท่ีไม่สาํ คญั

9. ระบบทางเทคโนโลยี (Technological system ) หมายถึง กลุ่มของส่วนต่าง ๆ ต้งั แต่
สองส่วนข้ึนไป ประกอบเขา้ ดว้ ยกนั และทาํ งานร่วมกนั เพ่อื ใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคโ์ ดยใน
การทาํ งานของระบบทางเทคโนโลยจี ะประกอบไปดว้ ย ตวั ป้อน (input) กระบวนการ

(process) และผลผลิต (output) ที่สมั พนั ธ์กนั นอกจากน้ีระบบทางเทคโนโลยอี าจมีขอ้ มูล
ยอ้ นกลบั (feedback) เพื่อใชป้ รับปรุงการทาํ งานไดต้ ามวตั ถุประสงค์

10. เหตุผลเชิงตรรกะ (Logical reasoning) หมายถึง การใชเ้ หตุผล กฎ กฎเกณฑห์ รือ
เง่ือนไขท่ีเก่ียวขอ้ ง เพอ่ื แกป้ ัญหาไดค้ รอบคลุมทุกกรณี

11.เหตุผลวบิ ตั ิ (Logical fallacy ) หมายถึง การใชเ้ หตุผลที่ผดิ พลาด ไม่อยบู่ นพ้ืนฐาน
ของความจริง ไม่มีน้าํ หนกั สมเหตุสมผลมาสนบั สนุน หรือช้ีนาํ ขอ้ สรุปที่ผดิ ใหด้ ู
น่าเช่ือถือ

12. อตั ลกั ษณ์ ( Identity ) หมายถึง ลกั ษณะเฉพาะหรือขอ้ มูลสาํ คญั ท่ีบ่งบอกถึงความเป็น
ตวั ตนของบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหน่ึง เช่น ชื่อบญั ชี ผใู้ ชใ้ บหนา้ ลายนิ้วมือ

13. อลั กอริทึม (Algorithm) หมายถึง ข้นั ตอนในการแกป้ ัญหาหรือการทาํ งาน โดยมี
ลาํ ดบั ของคาํ สงั่ หรือวธิ ีการที่ชดั เจนที่คอมพิวเตอร์สามารถปฏิบตั ิตามได้

14. แอปพลเิ คชัน (Software application) หมายถึง ซอฟตแ์ วร์ประยกุ ตท์ ่ีทาํ งานบน
คอมพวิ เตอร์สมาร์ตโฟนแทบ็ เลต็ หรืออุปกรณ์เทคโนโลยอี ื่นๆ

สาระสําคญั /ความคดิ รวบยอด

ส่ิงแวดลอ้ มที่อยรู่ อบตวั น้นั ประกอบดว้ ยสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวติ ซ่ึงสิ่งมีชีวติ มีลกั ษณะ
ท่ีแตกต่างจากสิ่งไม่มีชีวติ

มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วดั

มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสาํ คญั ของการถ่ายทอดลกั ษณะทาง
พนั ธุกรรม สารพนั ธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความ
หลากหลายทางชีวภาพและวิวฒั นาการของสิ่งมีชีวติ รวมท้งั นาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตวั ช้ีวดั ป.2/1 เปรียบเทียบลกั ษณะของสิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวิต จากขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้

จุดประสงค์การเรียนรู้

1.บอกลกั ษณะของสิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวติ ได้ ( K )

2.เขียนลกั ษณะสาํ คญั ของสิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวิตได้ ( P )

3.มีความใฝ่ เรียนรู้และมุ่งมนั่ ในการทาํ งาน ( A )

สาระการเรียนรู้

ส่ิงท่ีอยรู่ อบตวั เรามีท้งั ที่เป็นสิ่งมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวติ ตอ้ งการอาหาร มีการ
หายใจ เจริญเติบโต ขบั ถ่าย เคลื่อนไหวตอบสนองต่อสิ่งเร้า และสืบพนั ธุไ์ ดล้ กู ที่มี
ลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั พอ่ แม่ ส่วนสิ่งไม่มีชีวติ จะไม่มีลกั ษณะดงั กล่าว

ข้ันนํา

1.ครูสนทนากบั นกั เรียนโดยถามคาํ ถามวา่ นกั เรียนทราบหรือไม่วา่ วนั น้ีจะไดเ้ รียนรู้
เก่ียวกบั เร่ืองอะไรแลว้ นกั เรียนช่วยกนั ตอบคาํ ถาม จากน้นั ครูแจง้ ช่ือเร่ืองท่ีจะเรียนรู้และ
ผลการเรียนรู้ใหน้ กั เรียนทราบ

2.นกั เรียนทาํ แบบทดสอบก่อนเรียน เพ่อื วดั ความรู้เดิมของนกั เรียนก่อนเขา้ สู่บทเรียน

3.ครูถามคาํ ถามสาํ คญั ประจาํ บทวา่ นกั เรียนคิดวา่ สิ่งมีชีวติ มีลกั ษณะสาํ คญั อยา่ งไรบา้ ง
แลว้ ใหน้ กั เรียนช่วยกนั แสดงความคิดเห็น

4.นกั เรียนเรียนรู้และอ่านคาํ ศพั ทท์ ่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การเรียนในหน่วยท่ี 2 บทท่ี 1 เร่ือง
ส่ิงมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวติ โดยครูสุ่มเลือกตวั แทนหรือขออาสาสมคั ร 1 คน ออกมา
นาํ เสนอหนา้ ช้นั เรียนเพอื่ เป็นผอู้ ่านนาํ และใหน้ กั เรียนคนอื่นๆอา่ นตาม

5.นกั เรียนแต่ละคนทาํ กิจกรรมนาํ สู่การเรียน โดยอ่านเร่ืองราวจากหนงั สือเรียน แลว้ ลงใน
แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ ป.2

ส่ิงมีชีวติ หรือไม่

2.ครูแบ่งกลุ่มใหน้ กั เรียนกลุ่มละ 4 คน และมีความสามารถคละกนั คือ เก่ง ปานกลาง
และออ่ น จากน้นั ใหช้ ่วยกนั สืบคน้ ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ลกั ษณะสาํ คญั ของสิ่งมีชีวิต

3.ครูนาํ บตั รภาพสิ่งมีชีวิต มาใหน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มสงั เกต แลว้ ใหน้ กั เรียนร่วมกนั สนทนา
เก่ียวกบั ภาพวา่ แต่ละภาพมีลกั ษณะสาํ คญั ของสิ่งมีชีวิตอยา่ งไรบา้ ง

4.ครูแจกกระดาษ A4 ใหน้ กั เรียนกลุ่มละ 1 แผน่ จากน้นั ใหแ้ ต่ละกลุ่มช่วยกนั เขียน
ลกั ษณะสาํ คญั ของแต่ละภาพลงในกระดาษที่ครูแจกให้ พร้อมตกแต่งใหส้ วยงามน่าสนใจ

การวดั และการประเมินผล

การวดั และ วิธีการวดั ผล เครื่องมือวดั เกณฑก์ าร
ประเมินผล ประเมินผล

จุดประสงค์

ความรู้ความ 1.สงั เกตจากการชกั 1.คาํ ถามกระตุน้ 70%ข้ึนไปถือวา่
เขา้ ใจ ( K ) ถาม ตอบคาํ ถาม ความคิด ผา่ นเกณฑก์ าร
2.อธิบายลกั ษณะของ 2.แบบทดสอบก่อน ประเมิน

ส่ิงมีชีวิตและ เรียนวทิ ยาศาสตร์
ส่ิงไม่มีชีวติ ได้
ทกั ษะ/ 1.เปรียบเทียบลกั ษณะ 1.แบบฝึกหดั 70%ข้ึนไปถือวา่
กระบวนการ ( P ของสิ่งมีชีวิตละ วิทยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑก์ าร
) ส่ิงไม่มีชีวติ 2.ใบงานสิ่งมีชีวติ และ ประเมิน
ไม่มีชีวติ

คุณลกั ษณะนิสยั 1.สงั เกตจากการเรียนมี 1.แบบสงั เกต 70%ข้ึนไปถือวา่
( A ) ความรับผดิ ชอบต่องาน พฤติกรรม ผา่ นเกณฑก์ าร
ท่ีสงั่ และส่งงานไดท้ นั
ตามท่ีกาํ หนด ประเมิน

2.สงั เกตจากการเรียน
ใฝ่ เรียนรู้

3.สงั เกตจากการมุ่งมนั่
ในการทาํ งาน

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็ นสําคญั ท่ีใช้นวตั กรรม

แผนการจดั การเรียนรู้ปฐมนิเทศ เวลา 1 ชั่วโมง

ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 2 กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์

การปฐมนิเทศเป็นการสร้างความเขา้ ใจอนั ดีต่อกนั ระหวา่ งครูกบั นกั เรียน
เป็นการตกลงกนั ในเบ้ืองตน้ ก่อนท่ีจะเริ่มการเรียนการสอน ครูไดร้ ู้จกั
นกั เรียนดียง่ิ ข้ึน รับทราบความตอ้ งการ ความรู้สึก และเจตคติต่อวชิ าท่ี
เรียน ในขณะเดียวกนั นกั เรียนไดท้ ราบความตอ้ งการของครู แนวทางใน
การจดั การเรียนการสอน และการวดั และ ประเมินผล สิ่งต่าง ๆ ดงั กลา◌่
วจะนาไปสู่การเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ ครูสามารถจดั กิจกรรมการ
เรียนการ สอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ช่วยใหน้ กั เรียนคลายความวติ กกงั วล
สามารถเรียนไดอ้ ยา่ งมีความสุข อนั จะส่งผลให้ นกั เรียนประสบความสา
เร็จบรรลุตามเป้าหมายที่ไดก้ าหนดไว้

-

1. มีความรู้ความเขา้ ใจแนวทางการจดั การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เจตคติต่อ
วิชาวทิ ยาศาสตร์ และการวดั และ ประเมินผลวิชาวิทยาศาสตร์ (K)

2. ช้ีแจงเจตคติท่ีมีต่อวิทยาศาสตร์ได้ (A)

3. สื่อสารและนาความรู้ความเขา้ ใจเจตคติต่อวชิ าวิทยาศาสตร์ไปใชใ้ นชีวิต
ประจาวนั ได้ (P)

ดา้ นความรู้ (K) ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม และ ดา้ นทกั ษะ /

จิตวิทยาศาสตร์ (A) กระบวนการ

ซักกถามความรู้เรื่อง แนว 1. ประเมินเจตคติทาง
ทางการ จดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ เป็ นรายบุคคล
วทิ ยาศาสตร์ เจตคติต่อ วชิ า 2. ประเมนิ เจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์ และการวดั และ เป็ นรายบุคคล
ประเมนิ ผลวชิ าวทิ ยาศาสตร์

การปฐมนิเทศ
– แนวทางการจดั การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ – เจตคติต่อวิชา
วทิ ยาศาสตร์
– การวดั และประเมินผลวชิ าวิทยาศาสตร์

ภาษาไทย

ชวั่ โมงท่ี 1
ข้นั นาํ เขา้ สู่บทเรียน

แสดงความคิดเห็นและสรุปความเขา้ ใจเก่ียวกบั แนวทางการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์
เจตคติต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ และการวดั และประเมินผลวิชา วิทยาศาสตร์

คู่มือครู แผนการจัดการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ป. 2

1) ครูแนะนาตนเองแลว้ ใหน้ กั เรียนในหอ้ งเรียนแนะนาตนเองทุกคน

2) ครูอาจใหน้ กั เรียนแนะนาทีละกลุ่มตวั อกั ษร หรือตามลาดบั หมายเลขประจาตวั หรือ
ตามแถวท่ีนงั่ ตาม ความเหมาะสม

ข้นั จดั กจิ กรรมการเรียนรู้

1) ครูอธิบายขอ้ ตกลงในการเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน รวมถึงคาอธิบายรายวชิ าพ้ืนฐาน
โครงสร้างรายวชิ า พ้ืนฐานและเน้ือหาที่ตอ้ งเรียนรู้ในรายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั
ประถมศึกษาปี ท่ี 2 วา่ มีอะไรบา้ ง

2) ครูถามความคิดเห็นของนกั เรียนเกี่ยวกบั สิ่งประดิษฐข์ องนกั วิทยาศาสตร์วา่
ส่ิงประดิษฐท์ ี่นกั เรียนใชอ้ ยู่ ในปัจจุบนั มีอะไรบา้ ง แลว้ ใหน้ กั เรียนอภิปรายร่วมกนั วา่
ส่ิงประดิษฐด์ งั กล่าวเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร

3) ใหน้ กั เรียนอภิปรายร่วมกนั วา่ การเรียนดว้ ยวิธีการ ใหน้ กั เรียนคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง จาก
การทดลองและ ปฏิบตั ิจริงเหมือนนกั วิทยาศาสตร์ นกั เรียนคิดวา่ มีประโยชนห์ รือไม่

4) ครูเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนซกั ถามปัญหาเพื่อทาความเขา้ ใจร่วมกนั

5) ครูแนะนาวธิ ีการเรียนรู้วิทยาศาสตร์วา่ นกั เรียนมีวธิ ีการเรียนรู้หลายแบบ เช่น

– ลงมือปฏิบตั ิกิจกรรมท่ีบา้ นและท่ีโรงเรียน

– คน้ ขอ้ มูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ

-อภิปรายกลุ่มยอ่ ย

- แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง

6) ครูถามความคิดเห็นของนกั เรียนเกี่ยวกบั การเรียรู้วิทยาศาสตร์วา่ การเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ใหป้ ระสบผลสาํ เร็จตอ้ งมีลกั ษณะนิสยั อยา่ งไร

7) ครูใหน้ กั เรียนร่วมกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็น (แนวคาํ ตอบ 1. ช่างสงั เกต
เพราะกาํ รสงั เกต ทาํ ใหค้ น้ พบสิ่งใหม่ ๆ ซ่ึงนาํ ไปสู่การคน้ พบความรู้ใหม่

2. อยากรู้อยากเห็น เพราะการเป็นคนอยากรู้อยากเห็น ช่าง คิดช่างสงสยั มกั คิดต้งั คาํ ถม
เพอื่ คน้ หาคาํ ตอบ ลกั ษณะนิสยั แบบน้ีนาํ ไปสู่การคน้ พบความรู้ใหม่เสมอ

3. มีเหตุผล เพราะความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ตอ้ งอธิบายดว้ ยเหตุและผล เมื่อไดค้ วามรู้ใหม่
ตอ้ งอธิบายไดว้ า่ ผลที่ไดเ้ กิดจากสาเหตุ ใด เม่ือทราบสาเหตุแลว้ กอ็ ธิบายไดว้ า่ ผลเป็น
อยา่ งไรโดยเชื่อในหลกั ฐานท่ีสนบั สนุน

4. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพราะผทู้ ่ีมีความคิดริเริ่มสร้างสรรคเ์ ป็นผทู้ ี่อยาํ กคิดอยาํ กทาํ
ในสิ่งใหม่ ๆ อยเู่ สมอ ซ่ึงนาํ ไปสู่การคน้ พบความรู้ ใหม่ได้ 5. มีความพยายามและอดทน
เพราะผลของคาํ ตอบไม่ใช่ไดม้ าโดยการคน้ ควา้ และทดลองเพียงคร้ังเดียว แต่ ตอ้ งใช้
ความพยายามและความอดทนในกาํ รผา่ นอุปสรรคต่าง ๆ เพ่อื ใหไ้ ดค้ าํ ตอบ)

8) ครูแนะนาวิธีการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของนกั เรียน ซ่ึงมีอตั ราส่วนคะแนน

ดงั น้ี

(1) การวดั และประเมินผลดา้ นความรู้ (K)

สอบกลางปี (ตามกาหนดการของโรงเรียน)
สอบปลายปี (ตามกาหนดการของโรงเรียน)
(2) การวดั และประเมินผลดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P)
– การประเมินการสงั เกต
– การประเมินการสารวจ
- การประเมินการทดลอง
– การประเมินการสืบคน้ ขอ้ มูล
– การประเมินโครงงานวทิ ยาศาสตร์ – การประเมินแฟ้มสะสมผลงาน
– การประเมินดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ
– การประเมินดา้ นสมรรถนะสาคญั ของนกั เรียน

3) การวดั และประเมินผลดา้ นคุณธรรม จริยธรรม

และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) 10 คะแนน

– การประเมนิ ด้านเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ 10 คะแนน
คะแนนรวม 10 คะแนน
ข้นั สรุป
60 คะแนน

30 คะแนน 30 คะแนน 30 คะแนน

1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปความเขา้ ใจเกี่ยวกบั แนวทางการจดั การเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เจตคติต่อวิชา วทิ ยาศาสตร์ และการวดั และประเมินผลวิชาวทิ ยาศาสตร์

2) ครูมอบหมายใหน้ กั เรียนไปศึกษาคน้ ควา้ เน้ือหาของบทเรียนชวั่ โมงหนา้ เพอ่ื จดั การ
เรียนรู้คร้ังต่อไป โดย ใหน้ กั เรียนศึกษาคน้ ควา้ ล่วงหนา้ ในหวั ขอ้ อาหารท่ีเป็นปัจจยั สา
หรับการดารงชีวติ ของมนุษย์

3)ครูใหน้ กั เรียนเตรียมประเดน็ คาถามท่ีสงสยั มาอยา่ งนอ้ ยคนละ1คาถามเพือ่ นามา
อภิปรายร่วมกนั ในช้นั เรียนคร้ังต่อไป

8. กิจกรรมเสนอแนะ

นกั เรียนฝึกเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้และรับผดิ ชอบงานท่ีไดร้ ับมอบหมายร่วมกบั ผอู้ ่ืน

1. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 บริษทั สานกั พมิ พว์ ฒั นาพานิช จากดั
2. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นา
พานิช จากดั 3. แบบฝึกทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 บริษทั
สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช
10. บนั ทึกหลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ .......................................................................
แนวทางการพฒั นา ......................................................................................
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ .................................................................
แนวทางแกไ้ ข ...........................................................................................
ส่ิงที่ไม่ไดป้ ฏิบตั ิตามแผน ..............................................................................
เหตุผล .....................................................................................................
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ ....................................................

คณะผู้จดั ทาํ
นางสาวมณฑกานต์ ศรีทาณี

นางสาวรัตติกา ไชยคาํ มี
นางสาวเกศสุนี สุริโย

นางสาวเกจ็ มณี โคตรภูธร


Click to View FlipBook Version