ชุมชนบ้าน
แม่กำปอง
แหล่งเที่ยวเชิง
จัดทำโดย นางสาว อิษิรา ไชยถา
ธรรมชาติ
คำนำ
เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อประกอบ
การศึกษาของนักเรียนในรายวิชาประวัติศาสตร์สำหรับผู้ที่มีความสนใจ
เกี่ยวกับหมู่บ้านแม่กำปองสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง โดยผู้เขียนได้
อธิบายรายละเอียดด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายเพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำความรู้ไป
ใช้ประโยชน์ได้จริง
เนื้อหาในเอกสารการสอนเล่มนี้ครอบคลุมข้อมูลของหมู่บ้าน
แม่กำปองประกอบไปด้วยเนื้อหา 5 บท ได้แก่ ประวัติความเป็นมาและที่
ตั้ง วัฒนธรรมการกิน การประกอบอาชีพกิจกรรมในชุมชน และผลิตภัณฑ์
โดยเนื้อหาในแต่ละบทจะมีตัวอย่างประกอบเพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจมาก
ยิ่งขึ้น
ผู้จัดทำหวังว่าเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้จะเป็น
ประโยชน์ต่อผู้อ่านในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและสามารถนำความรู้
ไปใช้เกี่ยวกับหมู่บ้านแม่กำปองได้มากยิ่งขึ้น
นางสาว อิษิรา ไชยถา
ผู้จัดทำ
สารบัญ 1
1
คำนำ 2
สารบัญ 4
ประวัติความเป็นมาและที่ตั้ง 4
5
ลักษณะและพื้นที่ทางกายภาพ 6
ที่มาชื่อชุมชน 7
วัฒนธรรมการกิน 7
ยำใบเมี่ยง 8
ไข่ปาม 8
ผัดผักซาโยเต้ 9
ผัดมะระหวาน 9
น้ำพริกอ่อง 30
น้ำพริกหนุ่ม
แกงฮังเล
การประกอบอาชีพ
การทำเมี่ยง
การปลูกกาแฟ
กิจกรรมในชุมชน 33
วัดคันธาพฤกษา 33
น้ำตกแม่กำปอง 35
ประเพณี วัฒนธรรม 36
วิถีชีวิตและธรรมชาติ 37
กลุ่มนวดแผนไทย 37
กลุ่มหมอเมือง 37
กลุ่มไกด์ชาวบ้าน 37
กลุ่มโฮมสเตย์ 38
44
ผลิตภัณฑ์ 44
หมอนใบชา 51
กาแฟ 51
สบู่สมุนไพร
เอกสารอ้างอิง
1
ประวัติความเป็นมาและที่ตั้ง
ลักษณะและพื้นที่ทางกายภาพ
บ้านแม่กำปอง ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ต.ห้วยแก้ว อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่
ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่โดยผ่านอำเภอสันกำแพง ระยะทาง 50 กิโลเมตร
และห่างจากอำเภอแม่ออน 20 กิโลเมตร และอีกเส้นทางหนึ่งผ่านอำเภอ
ดอยสะเก็ด เลี้ยวขวาตรงสามแยกโป่งดิน ระยะทาง 51 กิโลเมตร เป็นถนน
ลาดยางและเทคอนกรีตสามารถเดินทางได้สะควกทุกฤดู โดยรถทุกชนิด
ลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่ร้อยละ 98 เป็นเขตภูเขา สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ
1,300 เมตร มีป่าไม้โดยเฉพาะต้นเมี่ยงที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ มีเขาม่อนล้าน
ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำ ลำธารหลายสาย ได้แก่ น้ำตกแม่กำปอง และ
น้ำตกห้วยแก้ว ไหลลงสู่เขื่อนแม่กวง
บ้านแม่กำปองมีอาณาเขตติดต่อดังนี้
ทิศเหนือ มีอาณาเขตติดกับบ้านแม่ลาย ต.ห้วยแก้ว อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่
ทิศใต้ มีอาณาเขตติดกับบ้านแม่รวม ต.ออนเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่
ทิศตะวันออก มีอาณาเขตติดกับ ต.แจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง
ทิศตะวันตก มีอาณาเขตติดกับบ้านธารทอง ต.ห้วยแก้ว อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่
2
ที่มาชื่อชุมชน
แดงเหลืองสะพรั่งดอกกำปอง ด้วยสาเหตุที่มีต้นไม้ชนิดหนึ่ง
“ต้นกำปอง” เกิดขึ้นในหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก ด้วยต้นกำปองนั้นเป็นไม้
ล้มลุก ใบมีขนสากมือ เมื่อนำมาขยี้จะมีกลิ่นหอมมากซึ่งชาวบ้านจะใช้ทา
แก้แมลงกัดต่อย ส่วนดอกจะมีขนาดเล็กสีแดงและสีเหลืองผสมกันและ
เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวของทุกๆ ปี ดอกกำปองแดงเหลืองก็จะบานสะพรั่ง
ละลานตา ประกอบกับในบริเวณที่ตั้งชุมชนนั้นมีแม่น้ำไหลผ่านทำให้ชาว
บ้านนำเอาลักษณะเด่นทางธรรมชาติเช่นนี้มาตั้งเป็นชื่อชุมชน เรียกขาน
กันว่า “บ้านแม่กำปอง”
3
ความเก่าแก่ของชุมชนแห่งนี้ กล่าวได้ว่า สืบทอดกันมายาวนานก
ว่า100 ปี ความยาวนานนี้สะท้อนได้ถึงกระบวนการในการรักษา สืบทอดของ
ชุมชนที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็งและยืนหยัดอยู่มาได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ความเป็นมาของชุมชนนั้นเริ่มจากพ่ออุ้ยปา กิ้งแก้ว ชาวบ้านบ้านดอกแดง
อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ได้ออกเดินทางอพยพเพื่อหาแหล่งทำกิน ปลูกสวนชา
สวนเมี่ยง และมาเริ่มต้นตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านปางโตน จากนั้นจึงขยับขยายมาตั้ง
ชุมชนอยู่ที่บ้านแม่กำปองในปัจจุบัน โดยสาเหตุของการโยกย้าย อพยพก็เพื่อหา
แหล่งทำกิน ต้องการหาพื้นที่ในการทำสวนเมี่ยง หรือสวนชาเพราะในสมัยก่อน
ชาวล้านนานั้นจะนิยมนำใบชามาทำเป็นเมี่ยงกินกัน จนเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่ง
ของวัฒนธรรมล้านนาไปเสียแล้ว และด้วยความต้องการพื้นที่เพาะปลูก ทำให้
ชาวบ้านบางส่วนในพื้นที่ดอยสะเก็ดที่มีอาชีพปลูกชาทำเมี่ยงอพยพเดินทางหา
พื้นที่ จนมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านแม่กำปอง จากครัวเรือนไม่กี่ครัวเรือนก็ชักชวน
พี่น้อง เครือญาติมาอยู่ร่วมกันจนขยับขยายกลายเป็นชุมชน โดยปัจจุบันบ้านแม่
กำปอง จัดพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ในการดูแลกันออกเป็น 6 ปาง คือ ปางโตน ปาง
ห่าง ปางใน ปางกลาง ปางนอก และปางขอน มีจำนวนประชากรทั้งหมด 417 คน
และจำนวนครัวเรือนกว่า 130 ครัวเรือน โดยชาวบ้านจะตั้งบ้านเรือนแบบดั้งเดิม
ใช้ไม้เลื่อยจากป่าใกล้ๆ บ้าน ประกอบสร้างเป็นตัวบ้านและหลังคา โดยปลูกบ้าน
เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง เพื่อใช้สำหรับเก็บของ แต่ปัจจุบันบ้านเรือนบางส่วน
ก็เริ่มมีรูปแบบสมัยใหม่มากขึ้น สร้างบ้านสองชั้น ประกอบกับไม้เริ่มมีราคาแพง
และเลื่อยได้ยากขึ้นหลังคาจึงมุงด้วยกระเบื้องลอน มีการใช้อิฐก่อแทนฝาผนังชั้น
ล่างแทน
4
วัฒนธรรมการกิน
ยำใบเมี่ยง
ยำใบเมี่ยง เป็นอาหารที่หลาย
ท่านถ้าได้ไปสัมผัสกับกลิ่นอายบนดอยที่
ชุมชนประกอบอาชีพการทำเมี่ยง(ใบชา) ก็
จะได้ลิ้มลอง "ยำใบเมี่ยง"
ส่วนประกอบของยำใบเมี่ยง ได้แก่
ใบมี่ยงอ่อนสด หมูสับ ปลากระป๋อง หอมหัวใหญ่ กระเทียม มะเขือ
เทศ มะนาว น้ำปลา ซีอิ้วขาว
วิธีปรุง
ใบเมี่ยงอ่อนสดนำมาล้างให้สะอาดแล้วฉีกหรือหั่นเป็นฝอย มะเขือ
เทศ หอมหังใหญ่ พริกขี้หนุหั่นให้พอดี ต้มหมูสับให้สุกแล้วพักไว้ให้เย็น นำ
กระเทียมมาเจียวให้เหลือง และนำส่วนผสมทั้งหมดมายำรวมกันพร้อมกับ
ปลากระป๋อง(ไม่จำกัดยี่ห้อ)
นำใบเมี่ยงอ่อนมาหั่นหรือซอยเป็นฝอย ผสมกับหอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ
และพริกขี้หนูหั่นแต่พองาม และกระเทียมเจียว
5
ไข่ปาม
ไข่ป่าม ป่ามไข่ หรืออ็อกไข่ ที่จำหน่ายในร้านค้าบริเวณ
หมู่บ้านแม่กำปอง ตำบลห้วยแก้ว กิ่งอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ไข่
ป่าม เป็นอาหารพื้นบ้านล้านนา โดยการใช้ใบตอง 2-3 ใบเย็บเป็นกระทง
มีส่วนผสมง่ายๆ คือไข่ไก่ หรือไข่เป็ด ใส่เกลือและต้นหอมซอย หั่นเป็นชิ้น
เล็กๆ เพื่อเพิ่มสีสันให้แก่อาหาร ให้น่ารับประทาน โดยนำไข่ป่ามที่ปรุงแล้ว
ใส่กระทงไปย่างกับเตาถ่านจนกระทั่งสุก
วิธีทำ
- ไข่ไก่ 3 ฟอง
- เกลือ (หรือเครื่องปรุงรสเค็มอื่น ๆ) ¼ ช้อนชา
- น้ำ
- ใบตองสำหรับรองก้นกระทะ (หากจะทำไข่อ๊อกให้เตรียมไม้กลัดเพิ่ม
สำหรับทำกระทง)
- เครื่องอื่นๆ เช่น ต้นหอมซอย เห็ดหอมหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม ไข่มดแดงลวกหรือ
นึ่งให้สุก
(1) ต่อยไข่ใส่ชาม ใช้ส้อมตีให้เข้ากัน ปรุงรส
(2) หากต้องการทำไข่ป่าม เตรียมใบตองให้กว้างพอดีกระทะ เช็ดให้สะอาด
วางซ้อนกัน 3 ชั้น
6
(3)ตั้งกระทะบนไฟกลาง เทน้ำลงใต้ใบตองเล็กน้อย พอกระทะเริ่มร้อนให้
ลดไฟลงไปไฟค่อนอ่อน เทไข่ลงบนใบตอง แล้วปิดฝา ให้ไอน้ำระอุอยู่ข้างใน
(4) พอไข่เริ่มสุกโรยหน้าด้วยเครื่องต่าง ๆ ปิดฝาต่อจนไข่สุกดี แล้วจึงยกไข่
ปามลงใส่จานเสิร์ฟทั้งใบตอง
(5) หากต้องการทำไข่อ๊อก (ไข่กระทง) ให้เตรียมใบตองความกว้าง
ประมาณ 5 นิ้ว เช็ดให้สะอาด น้ำมาวางซ้อนกัน 4 ชั้น สลับหัวท้าย แล้วจับ
จีบให้เป็นกระทง นำไม้กลัดกลัดไว้ทั้งสองด้าน
(6) เทไข่ลงในกระทง แล้วนำกระทงไปวางบนตะแกรงเตาถ่าน ย่างด้วยไฟ
อ่อน
(7) พอไข่เริ่มสุกโรยหน้าด้วยเครื่องต่าง ๆ ย่างต่อจนไข่สุกดี แล้วจึงยกไข่อ๊
อกลงใส่จานเสิร์ฟทั้งกระทงใบตอง
ผัดผักซาโยเต้
7
ผัดมะระหวาน (มะเขือเครือ)
น้ำพริกอ่อง
8
น้ำพริกหนุ่ม
แกงฮังเล
9
การประกอบอาชีพ
การทำเมี่ยง
"เมี่ยง" หมายถึง "ใบชา" ซึ่งปลูกกันตามภูเขาในภาคเหนือ เก็บ
ยอดนำมาหมักจน ออกรสเปรี้ยวแกมฝาด เวลาทาน นำใบเมี่ยง ซึ่งหมัก
จนได้ที่แล้ว มาวางแผ่ออก อาจจะซ้อนใบเมี่ยง 2 - 3 ชั้น เพื่อให้ได้ความ
หนาตามต้องการ วางเกลือเม็ดลงบนใบเมี่ยงให้ออกรสเค็ม แล้วจับใบเมี่ยง
พับเข้าหากันห่อเป็นคำ เป็นอาหารว่างที่เป็นที่นิยมของชาว ล้านนาในอดีต
ทุกบ้านจะมีไว้รับประทานเองและรับแขกที่มาเยี่ยมเยือน และเมี่ยงยังเป็น
ส่วนสำคัญในพิธีการต่าง ๆ ของล้านนามาจวบจนปัจจุบัน
10
ชาวเหนือในอดีต นิยมอมเมี่ยงหลังกินข้าว หรืออมระหว่างมื้อ
อาหาร กันปากว่าง รส เปรี้ยวแกมฝาดของเมี่ยงทำให้ชุ่มคอ ของอีกอย่าง
ที่ห่อในใบเมี่ยง เรียกว่า "ไส้เมี่ยง" ซึ่งดัดแปลงกันไปได้หลายตำรับ บาง
แห่งก็ใช้เนื้อมะพร้าวห้าว หั่นเป็นซี่ไม้ขีด แล้ว นำไปคั่วหรือทอดให้กรอบ
จึงผสมกับถั่วลิสงทอดหรือถั่วแปะยี่ ซึ่งบางแห่งเขาก็ เรียกว่า ถั่วแปะหล่อ
ถั่วที่จะใช้ทำไส้เมี่ยงนี้ จะต้องทอดให้กรอบ จึงโรยเกลือและ น้ำตาลทราย
เวลานำไส้ตำรานี้มาห่อใบเมี่ยง จะได้รสหวานมันและมีรสเค็ม
การปลูกเมี่ยงและไร่เมี่ยง
ส่วนใหญ่จะปลูกเมี่ยง อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตามเชิงเขา
ในการปลูกเมี่ยงจะไม่มี การตัดไม้ หรือทำลายป้า สภาพพื้นที่ที่ปลูกเมี่ยง
อยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 300-1,000 เมตร ไม่มีการใช้สาร
เคมีในการบำรุงและไม่มีวัชพืชรบกวนจึงทำให้เป็น พืชที่ปลูกโดยแอบอิง
ธรรมชาติจากป่าให้ส่งผลให้ผู้ที่มีอาชีพเก็บเมี่ยงดูแลรักษาป่าไป ด้วย
เนื่องจากผลิตผลที่ได้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของป่า
11
สายพันธุ์ชาที่ใช้ผลิตเมี่ยง
ผลิตภัณฑ์เมี่ยง ผลิตจากชาเมี่ยง (ชาป่า) หรือ ชาอัสสัม (Camellia
sinensis var. assamica) ชาอัสสัม มีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย
ชาอัสสัมมีลักษณะใบชาที่ ใหญ่กว่าชาสายพันธุ์จีนที่ เป็นพันธุ์ชาที่เจริญ
เติบ โตได้ดีตามป่า มีร่มไม้ และแสงแดด ผ่านได้พอประมาณ ชาอัสสัมส่วน
มากมักพบบนเขตพื้นที่สูงหรือบนดอยต่างๆ ในเขต จังหวัดภาคเหนือ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นชา
ลำต้น : เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง-ใหญ่ ผิวลำต้นเรียบ กิ่งอ่อนปกคลุมด้วยขน
อ่อน ชาใน กลุ่มนี้มีลักษณะเป็นไม้ขนาดใหญ่ อาจสูงถึง 17.0 เมตร และมี
ขนาดใหญ่กว่าชาในกลุ่มชาจีนอย่างเด่นชัด กิ่งที่มีอายุมากจะเปลี่ยนเป็นสี
เทา
ใบ : มีลักษณะเป็นใบเดี่ยว ปลายใบแหลม การเรียงตัวของใบบนกิ่งเป็น
แบบสลับและ เวียน (spiral) ใบมีความกว้างประมาณ 3.0 - 6.0
เซนติเมตร ยาวประมาณ 7.0 - 16.0 เซนติเมตร แต่อาจพบใบที่มีขนาด
ใหญ่กว่าที่กล่าว คือมีใบกว้าง 5.6 - 7.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 17.0 -
22.0 เซนติเมตร ขอบใบมีหยักเป็นฟันเลื่อยเด่นชัด จำนวนหยักฟันเลื่อย
เฉลี่ยประมาณ 9 หยัก ต่อความยาวขอบใบ 1 นิ้ว ส่วนของก้านใบและด้าน
ท้องใบมีขนอ่อนปกคลุม แผ่นใบมีตั้งแต่สีเขียวอ่อนถึงสีเขียวเข้ม
12
ดอก : เจริญจากตาบริเวณซอกใบบนกึ่ง ในแต่ละตาประกอบด้วยตาที่จะ
เจริญไปเป็นกิ่งใบอยู่ด้านบนของตา ส่วนใหญ่ดอกออกติดกันเป็นกลุ่ม ช่อ
ละประมาณ 2 - 4 ดอก/ ตา ก้านดอกยาวประมาณ 10.0 - 12.0
มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงมีจำนวน 5 -6 กลีบ แต่ละกลีบมีขนาดไม่เท่ากัน มีรูป
ทรงโค้งมน กลีบดอกติดอยู่กับวง corolla ที่มีลักษณะคล้ายถ้วยหงาย
กลีบดอกมีจำนวน 5 - 6 กลีบ ส่วนโคนกลีบติดกับฐานดอกแคบ ส่วน
ปลายกลีบบานออก วงเกสรตัวผู้ประกอบด้วยอับละอองเกสรสีเหลือง ติด
อยู่ที่ส่วนปลายของก้านชูอับละอองเกสรสีขาว ซึ่งยาวประมาณ 5.0
มิลลิเมตร เกสรตัวเมีย (style) มี ลักษณะเป็นก้านกลม ภายในรังไข่แบ่ง
ออกเป็น 1 - 3 ช่อง ดอกเมื่อบานเต็มที่มีเส้น ผ่านศูนย์กลางประมาณ
3.65 เซนติเมตร
ผล : เป็นผลชนิดแคปซูล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 11.0 - 12.0
มิลลิเมตร ผิวของเมล็ดเรียบแข็ง มีสีน้ำตาล หรือ น้ำตาลอมแดง หรือ
น้ำตาลเข้มเกือบดำ
13
"ป่าเมี่ยง' (Jungle tea) หรือ 'สวนเมี่ยง' (Tea garden) คำสองคำนี้
มีความหมายที่แตกต่าง กันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยที่ 'ป่า' หรือ
jungle' หมายถึง พื้นที่ที่มีต้นไม้ขึ้นเองตามธรรมชาติ และเป็นที่อยู่อาศัย
ของสัตว์ป่า ในขณะที่ 'สวน' หรือ 'garden' หมายถึง พื้นที่ที่ใช้ปลูกต้นไม้
ในภาษาไทยไม่จำกัดขนาดของพื้นที่ ในขณะที่ ภาษาอังกฤษ หมายถึง
พื้นที่ขนาดเล็ก เช่น สวนหลังบ้าน แต่สำหรับในความหมาย ของชาวสวน
เมี่ยง หรือคนท้องถิ่นในภาคเหนือ ป่าเมี้ยง' และ 'สวนเมี่ยง' มีความหมาย
เดียวกัน ทั้งนี้เพราะว่าเป็นพื้นที่สวนที่มีลักษณะป่า กล่าวคือ ต้นไม้ที่ขึ้นไม่
เป็นระเบียบเป็นแถวเป็นแนว มีลักษณะคล้ายป่า แต่เนื่องจากการมีต้นชา
หรือ ต้นเมี่ยง และในพื้นที่ของเกษตรกรแต่ละครอบครัวมีขนาดเล็ก ทำให้
มีความรู้สึกว่าเป็นการทำสวน แต่เนื่องจากสวนเหล่านี้ต่อกันเป็นผืนใหญ่
ไม่มีรั้วกั้นเหมือนการทำสวนทั่วไป ทำให้มีสภาพเป็นการปลูกพืชพื้นที่ผืน
ใหญ่ หรือ 'plantation' จังนั้นจึงเรียกกันทั่วไปว่า ป่าเมี่ยง หรือสวนเมี่ยง
แต่ส่วนใหญ่แล้วนิยมเรียกกันว่า ป่าเมี่ยง มากกว่า เรียก เกษตรกรผู้ปลูก
และผลิตเมี่ยงว่า ชาวป้าเมี่ยง'และเรียกหมู่บ้านที่เกษตรกรเหล่านั้นอยู่ ว่า
บ้านป่าเมี่ยง
'เมี่ยง' เป็นคำเมืองในภาคเหนือ มีความหมายว่า 'ชา ใบชาที่
หมักไว้ระยะเวลาหนึ่ง แล้ว จึงนำมาใช้บริโภคโดยการอม และดูด ผสมกับ
เกลือหรือน้ำตาล นิยมใช้บริโภคในชนบทภาคเหนือตอนบนเรียกกันว่า 'ใบ
เมี่ยง' ส่วนในรัฐฉาน ชาวไทยใหญ่เรียกว่า leppet-so
14
การผลิตเมี่ยง
ต้นชาหรือต้นเมี่ยงขึ้นทั่วไปในป่าบนภูเขาในภาคเหนือ แม้แต่ใน
พื้นที่ยังไม่มีการเกษตรกรรม ต้นชาที่พบมีขนาดเล็ก สูงประมาณ 5 เมตร
ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของชาตระกูลอัสสัมและกัมพูชา ชาดั้งเดิมในบริเวณ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสูง ประมาณ 12-15 เมตร
ลักษณะอากาศที่แห้งสลับชื้น และดินที่เป็นกรดเล็กน้อย บนภูเขา
ในภาคเหนือของประเทศไทยเหมาะแก่การเจริญเติบโตของชาเป็นอย่างยิ่ง
สวนชาเมี่ยงส่วนใหญ่ขึ้นอยู่บนพื้นที่สูงตั้งแต่ 900-1,400 เมตรจากระดับ
น้ำทะเลและพบส่วนใหญ่ขึ้นอยู่ในพื้นที่เป็นป่าดิบเขา
ป่าเมี่ยงประกอบด้วยองค์ประกอบหลักทางนิเวศ คือ ต้นไม้ป่า ไม้
พื้นล่าง สัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะวัว และสัตว์ป่าขนาดเล็ก ที่ประกอบด้วย
กระรอก นก อีเห็น และ สัตว์เลื้อยคลาน ชาวป่าเมี่ยงรู้จักใช้
ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในสวน เพื่อการควบคุม ลักษณะอุตุนิยมใกล้ผิว
ดิน การหมุนเวียนของธาตุอาหาร และการป้องกันการชะล้าง พังทลาย
ของดิน ในระดับที่เข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้รับจากสิ่งที่มีชีวิตนั้นๆ แต่ไม่
สามารถอธิบายถึงเหตุผลของขบวนการ พบระบบวนวัฒน์วิธีของการ
จัดการป่าไม้ของ ชาวสวนเมี่ยงหลายวิธี เช่น ปลูกกล้าชาใกล้ต้นไม้ป่าใน
ขณะที่ต้นไม้นั้นยังเป็นกล้าไม้ หรือไม้ขนาดกลาง (Sapling) หากพบกล้าชา
ขึ้นโดยที่ไม่มีไม้ป่าขึ้น ก็จะหากล้าไม้ป่า มาปลูกใกล้ๆ การเลือกระยะเวลา
ตัดต้นไม้ในช่วงที่ปลายฤดูแล้งเพื่อให้ตอไม้ที่เหลือมี โอกาสแตกหน่อออก
มาได้
15
การตัดต้น ไม้แบบเลือกตัด เพื่อลดผลกระทบจากการชะล้างพัง
ทลายของดิน และความรุนแรงของพลังงานจากแสงแดด โดยเปิดโอกาส
ให้ระบบนิเวศซ่อมแซมตัวเอง ในบางสวนเกษตรกรปลูกต้นไม้เสริมส่วน
ใหญ่แล้ว เกษตรกรนิยมปลูกไม้ทะโล้ และก่อแป้น ทั้งนี้เพราะว่าไม้ทั้งสอง
ให้พลังงานความร้อนสูง หากเปรียบเทียบความหลากหลายทางธรรมชาติ
ของชนิดไม้ในสวนเมี่ยงกับป่าธรรมชาติ พบว่าสวนเมี่ยงมีจำนวนชนิดไม้
มากกว่า แต่มีไม้ต้นใหญ่น้อยกว่า ทั้งนี้เพราะว่า สวนเมี่ยงอยู่ในช่วงของ
การซ่อมแซมตัวเองจึงมีกล้าไม้หลายชนิดเข้ามาแข่งขันจำนวนมาก ส่วนป่า
ธรรมชาติอยู่ในช่วงที่สมบูรณ์ (Climax stage) จึงมีชนิดของพันธุ์พืชน้อย
กว่า ทั้งนี้เพราะว่าไม้หลายชนิดไม่อาจอยู่รอดในระบบนิเวศที่สมบูรณ์แล้ว
ไม่มีการใส่ปุ๋ย และพ่นสารเพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชในสวนเมี่ยง ซึ่งแสดง
ว่าไม่มีปัญหาดินเสื่อม และศัตรูพืช นอกจากนั้นในสวนเมี่ยงเกษตรกรบาง
คนยังนำวัวของตนเองไปเลี้ยงให้แทะเล็มหญ้า และกินผลไม้ป่า วัวถูก
ปล่อยให้เดินได้อิสระ แม้แต่ในสวนของผู้อื่นและป่าธรรมชาติโดยวัวช่วย
กำจัดวัชพืช
16
พืชที่เป็นกาฝากเกาะที่บนต้นชา ได้แก่ Scurrula gracilifolia
และ Helixanthera parasitica โดยชาวสวนเมี่ยงมักเก็บใบของ S.
gracilifolia ในช่วงฤดูแล้งเพื่อทำชาจีนที่มีคุณภาพต่ำ กาฝากทั้งสองขึ้นบน
ต้นเมี่ยงเนื่องจากนกกินเมล็ดแล้วถ่ายลงบนทรงพุ่มของต้นเมี่ยง ถ้าไม่
ดูแลรักษาโดยการเก็บหรือตัดออกนานไปจะทำให้ต้นชาตายในที่สุด และ
เนื่องจากมีความชื้นมากในสวนเมี่ยงบางแห่ง ทำให้พบกล้วยไม้ที่เกาะอยู่
บน ทรงพุ่มของต้นเมี่ยง ได้แก่ Dendrobium sp และ Vanda denisonisns
นอกจากนั้นพบ สาหร่ายบางชนิดบนลำต้นของต้นเมี่ยง
โรคของต้นเมี่ยงเท่าที่พบ ได้แก่โรคใบจุดชนิดที่เรียกว่า Grey
blight และ Brown blight ซึ่งเกิดจากเชื้อ Pestalotia theae และ
Collectotrichum camilliae ตามลำดับ โรคทั้งสองเกิดจากการที่มีรอยช้ำ
บนใบที่เปิด โอกาสให้เชื้อโรคเข้าทำลาย ได้ง่าย อย่างไรก็ตามโรคเหล่านี้
มิใช่โรคที่มีการระบาครุนแรงและไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
กิจกรรมการผลิตเมี่ยงจากกา
รศึกษาที่บ้านแม่กำปองพบว่า ใน
ช่วงแรกซึ่งเป็นฤดูแล้ง เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการตัดต้นไม้เพื่อใช้
ทำเป็นฟืนเตรียมไว้นึ่งเมี่ยง เตรียมตอกสำหรับมัดเมี่ยง และสานตะกร้า
สำหรับเก็บใบเมี่ยง เกษตรกรบางคนใช้เวลาว่างในการเก็บใบชาใบแก่เพื่อ
ผลิตเป็นใบชาตากแห้งโดยไม่ต้องนึ่งมีคุณภาพต่ำ ใช้ผสมในชาจีนคุณภาพ
ต่ำขายในราคาถูก หรือนำไปใส่ในบ่อเลี้ยงปลาหลังจากที่จับปลาเพื่อปรับ
สภาพความเป็นกรดเป็นด่างในบ่อปลา
17
ิ ช่วงการเก็บใบเมี่ยงแบ่งออกเป็น 4 ช่วง โดยเรียกผลผลิตที่เก็บ
ได้แตกต่างกันไปตามช่วงเวลา ได้แก่ เมี่ยงหัวปี เมี่ยงกลาง เมี่ยงซ้อย และ
เมี่ยงเหมย “เมี้ยงหัวปี” เป็นเมี่ยงที่ เก็บในช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยวซึ่ง
เป็นต้นฤดูฝนในเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษภาคม จากนั้นฝนทิ้งช่วง
ประมาณ 15 วัน และเริ่มตกอีกครั้งประมาณกลางเดือนพฤษภาคม
เกษตรกรทิ้งช่วงให้ต้นเมี่ยงผลิตใบใหม่อีกครั้ง โดยเริ่มเก็บใหม่ในเดือน
มิถุนายน และเก็บไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ในระยะนี้เรียกเมี่ยงที่เก็บได้ว่า
“เมี่ยงกลาง” ซึ่งเป็นช่วงที่ให้ผลผลิตมากที่สุด ทั้งนี้เพราะว่าเป็นช่วงที่มี
ฝนตกมาก ผลผลิตในช่วงถัดมาที่เรียกกันว่า 'เมี่ยงซ้อย' โดยเก็บในช่วง
ปลายฝนประมาณเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน ส่วนเมี่ยงชุดสุดท้ายที่
เรียกว่า 'เมี่ยงเหมย' ซึ่งเป็นเมี่ยงที่เก็บในช่วงต้นฤดูหนาวที่ความชื้นของ
บรรยากาศ และในดินยังมากพอ ประกอบกับเป็นช่วงที่เกิดน้ำค้างมาก
เมี่ยงชุดนี้มีคุณภาพที่ดีมาก แต่มีผลผลิตน้อย ใบเมี่ยงมากกว่า 2/3 ถูก
เก็บด้วยมือที่สวมนิ้วชี้ด้วยปลอกที่ติดใบมีด โกนเพื่อให้ง่ายต่อการตัดใบเมี้
ยง หากต้นเมี่ยงสูง คนเก็บเมี่ยงมักใช้ไม้ทำเป็นบันไดขึ้นไปเก็บ หรืออาจ
โน้มต้นลงมาเก็บ คนเก็บเมี่ยงมีตะกร้าสำหรับเก็บใบเมี่ยงพร้อมกับ ตอก
สำหรับใช้มัดเมี่ยงที่มีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และยาว
ประมาณ 30- 40 เซนติเมตร เมื่อเก็บเมี่ยงได้จำนวนมากเท่ากำมือก็มัด
รวมกันเรียกเมี่ยงที่มัดรวมกัน เป็นกำ ในวันหนึ่งเก็บเมี่ยงได้ประมาณ 30-
50 กำ พบว่าครอบครัวหนึ่งเก็บเมี่ยงเฉลี่ย ประมาณ7,500กำต่อปี
18
กระบวนการผลิต
กระบวนการผลิตเมี่ยง ผลิตภัณฑ์เมี่ยงของแต่ละแหล่งผลิตจะมี
ความแตกต่างกัน อันเนื่องมาจากความแตกต่างของวัตถุดิบ รายละเอียด
ในกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์
วัสดุอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตเมี่ยงเป็นวัสดุอุปกรณ์ในท้องถิ่นที่
สามารถผลิตได้เอง หรือจัดหาได้ทั่วไปท้องถิ่น ในขั้นตอนการเก็บใบเมี่ยง
สดจะใช้อุปกรณ์ซึ่ง ประกอบด้วย ตะกร้า ตะขอพร้อมเชือก ตอกไม้ไผ่ และ
ใบมีดสวมติดนิ้ว จากนั้นใบเมี่ยงสดที่รวบเป็นกำจะถูกนำมาเรียงลงใน
อุปกรณ์นึ่งที่เรียกว่า "ไหนึ่งเมียง" ซึ่งเป็น อุปกรณ์ที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่
เจาะรูกลวงตรงกลาง
19
เมี่ยงที่ผ่านการนึ่งจะนำมาหมักในตะกร้าไม้ไผ่สานที่เรียกว่า
"ต่าง" "ทอ" และ "ก๋วย" ซึ่งรองด้วยพลาสติกหนาและใบตอง แต่ละพื้นที่ก็
จะใช้ภาชนะที่แตกต่างกัน ต่างจะมี 2 ขนาด คือ ต่างเล็กจะบรรจุเมี่ยง ได้
150-160 กำ ต่างใหญ่จะบรรจุเมี่ยงได้มากกว่า คือ 180-190 กำ ทอจะ
บรรจุเมี้ยง ได้ 50 กำเท่าๆ กัน ส่วนก๋วยจะมีขนาดแตกต่างกัน ถ้าขนาด
ใหญ่สามารถจุเมี่ยงได้ถึง 2,000 กำ เมี่ยงหมักที่ได้จะนำไปบรรจุในภาชนะ
ในรูปแบบเดียวกับที่ใช้หมักเมี่ยง แต่จะนำไปจัดเรียงในภาชนะอันใหม่เพื่อ
จำหน่ายต่อไป
20
กระบวนการผลิตเมี่ยง
กระบวนการผลิตเมี่ยงเป็นความรู้ที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาว
บ้านที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ดังนั้นในแต่ละพื้นที่จึงอาจมี
กระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ วัตถุดิบที่เป็นใบเมี่ยงสด วิธีการเก็บ
ใบเมี่ยงสด การหมักเมี่ยง รวมถึงภาชนะบรรจุ ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียด
ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิต ดังนี้
1. การเก็บใบเมี่ยงสด
การเก็บใบเมี่ยงสดในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน ยังผลทำให้
เกิดลักษณะการบริโภคผลิตภัณฑ์เมี่ยงที่แตกต่างกัน การเก็บใบเมี่ยงสด
อาจเก็บโดยใช้มือเด็ด หรืออาจใช้ปลอกใบมีดสวมติดนิ้วมือในการตัด การ
เก็บใบเมี่ยงสดมักจะมี 2 แบบ กล่าวคือ แบบแรกจะเก็บในส่วนของใบ
เมี่ยงอ่อน โดยตัดเอาส่วนปลายใบประมาณ 2 ในสามส่วนมัดเป็นก้อนให้ได้
ขนาดประมาณ 400-500 กรัม จะพบได้ในแหล่งผลิตเมี่ยงในพื้นที่จังหวัด
เชียงใหม่และเชียงราย อีกแบบหนึ่งคือการเก็บใบเมี่ยงทั้งใบ เก็บทั้งส่วนที่
เป็นใบอ่อนและการเก็บส่วนยอด รวบมัดเป็นกำๆ เรียงใบ เรียกว่าเก็บเป็น
แหบบ เรียกว่า เมี่ยงแหลบ ส่วนยอดสามารถเก็บรวมมากับใบเมี่ยงได้
ขนาดประมาณ 150 - 200 กรัม จะพบได้ในแหล่งผลิตเมี่ยงในพื้นที่จังหวัด
แพร่และน่าน
21
2.การนึ่งเมี่ยง
ใบเมี่ยงสดที่รวบมัดเป็นกำในขั้นตอนแรกจะนำมาเรียงในไหนึ่ง
เมี่ยง แล้วนึ่งด้วยไอน้ำร้อนจนสุก ใช้เวลาประมาณ 1-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับ
จำนวนเมี่ยงสดที่นึ่งแต่ละครั้ง การนึ่งเมี่ยงอาศัยความชำนาญของผู้ผลิต
สังเกตว่าเมี่ยงสุกได้ที่จะมีลักษณะสีเหลืองนิ่ม ถ้านึ่งเมี่ยงไม่สุกจะทำให้ใบ
เมี่ยงที่มีสีเข้มแดงหลังหมัก จากนั้นเทเมี่ยงที่นึ่งเสร็จแล้วออก จากไหลงบ
นพื้นที่ปูด้วยพลาสติกสะอาด เพื่อพึ่งให้เย็น แล้วมัดเมี่ยงอีกครั้งให้แน่น
หรือมัดใหม่ให้ได้กำเมี่ยงที่เล็กลง เมี่ยงที่มัดได้ในขั้นตอนนี้จะเป็นมัดที่จะใช้
จำหน่ายในขั้นตอนสุดท้าย
22
3.การหมักเมี่ยง
เมี่ยงสุกที่ผ่านการนึ่งแล้วจะนำมาหมักในสภาวะไร้อากาศ ซึ่ง
เป็นการหมักโดยแบคทีเรียแลคติก (Lactic acid bacteria) โดยระหว่าง
การหมัก แบคทีเรียแลคติคจะผลิต สารต่าง ๆ เช่น กรดอินทรีย์ต่าง ๆ
เอนไซม์โปรติเอส สารให้กลิ่นรส และสารที่สามารถยับยั้งแบคที่เรียอื่น จึง
ทำให้เมี่ยงหมักมีรสเปรี้ยว การหมักเมี่ยงสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ
คือ "แบบที่ไม่ใช้รา" กล่าวคือ เมี่ยงนึ่งจะถูกอัดเรียงลงไปในภาชนะตะกร้า
ไม้ไผ่ซึ่งรองด้วยพลาสติกหนาและใบตองจนแน่น จากนั้นเติมน้ำให้ท่วม
แล้วมัดหรือปิดภาชนะให้แน่น หากอัดเมี่ยงไม่แน่นน้ำจะซึมเข้า ไปในเนื้อ
เมี่ยงมากเกินไปจะทำให้เกิดรสเปรี้ยวที่ไม่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค การ
หมักเมี่ยงแบบนี้พบในพื้นที่แหล่งผลิตในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
ส่วนการหมักเมี่ยง อีกแบบหนึ่งเป็น "แบบที่ใช้รา" กล่าวคือ จะนำเมี่ยงนึ่ง
ใส่ตะกร้าทิ้งไว้ให้เกิดราขาว ก่อนที่จะนำไปหมักเหมือนแบบแรก ซึ่งการ
หมักเมี่ยงแบบหลังนี้จะใช้หมักเมี่ยงแห ลบที่ผลิตในจังหวัดแพร่ การหมัก
เมี่ยงจะใช้ระยะเวลาตั้งแต่ 1 เดือน ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรสชาติที่ต้องการ
ผลิตภัณฑ์เมี่ยงหมักที่ได้จะนำไปบรรจุในบรรจุภัณฑ์เพื่อจำหน่ายสู่ผู้บริโภค
ต่อไป
23
4. การบรรจุ
การบรรจุผลิตภัณฑ์เมี่ยงในแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกันซึ่งเป็น
ไปตามรูปแบบของการหมักเมี่ยง แหล่งผลิตเมี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่และ
เชียงรายจะบรรจุผลิตภัณฑ์ เมี่ยงลงในตะกร้าไม้ไผ่สานขนาดใหญ่ ที่เรียก
ว่า "ต่าง" หรือ "ทอ" ส่วนผลิตภัณฑ์เมี่ยงที่เป็นเมี่ยงแหลบผลิตในจังหวัด
แพร่จะนำมาเรียงใส่ "ก๋วย" ที่บรรจุเมี่ยงได้ ประมาณ 500 แหลบ ปิดฝา
ด้านบนด้วยใบตองและไม้ไผ่สานให้สวยงาม น้ำหนักแต่ละก๋วยเฉลี่ย
ประมาณ 50 กิโลกรัม การจำหน่ายผลิตภัณฑ์เมี่ยงจะจำหน่ายให้กับพ่อค้า
คนกลางโดยคิดราคาต่อหนึ่งภาชนะบรรจุพ่อค้าคนกลางรายใหญ่จะรับซื้อ
เมี่ยงหมักจากผู้ผลิตเมี่ยง หมักแล้วนำมาเก็บเอาไว้ในหลุมซีเมนต์ขนาด
ใหญ่ หรือท่อซีเมนต์ เพื่อรอบรรจุใส่ภาชนะบรรจุย่อย เพื่อจำหน่ายไปยัง
ตลาดต่อไป
24
วิถีชีวิตและการกินเมี่ยงของชาวเหนือ
เมี่ยงเป็นอาหารว่างของชาวล้านนาในอดีต ทุกบ้านจะมีเมี่ยงไว้
เป็นของกินและใชต้อนรับแขกหรือญาติที่มาเยี่ยมเยือน โคยมีห่อเมี่ยงคู่กับ
ขันหมากและโป้ยาชื่น (กระป้องยาสูบ) โดยแขกจะแกะห่อเมี่ยงแล้วกิน
เมี่ยงที่เจ้าของบ้านต้อนรับแล้วจึงพูดคุย ปรึกษาเรื่องราวต่าง ๆ
ชาวล้านนาจะกินเมี่ยง คู่กับสูบปูรี(บุหรี่) หลังอาหาร บางคนที่
ไม่สูบบุหรี่ก็กินเมี่ยงอย่างเดียว วิธีกินเมี่ยงคือแกะห่อเมี่ยงออกนำใบเมี่ยง
มาแผ่ใส่เกลือเม็ดและขิง ม้วนเป็นคำ แล้วใช้อม ที่เรียกกันว่าอมเมี้ยง แล้ว
จึงออกไปทำงานในสวนหรือไร่นา
ปัจจุบันเมี่ยงยังมีความสำคัญในการจัดงานบุญหรือพิธีกรรม
ทางพุทธศาสนาทุกอย่างในภาคเหนือ เช่นงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานบวช
งานฉลององค์ผ้าป่าและ กฐิน หรือ งานศพ ชาวบ้านที่ไปช่วยงานนอกจาก
ช่วยเตรียมสถานที่ เตรียมดอกไม้ในพิธีสงฆ์ เตรียมอาหาร ฯลฯแล้ว ที่ขาด
ไม่ได้คือช่วยกันแป้งเมี่ยง (ทำเมี่ยง) สำหรับต้อนรับแขก ที่มาร่วมงาน
25
โดยมีขั้นตอนคือ
1. ซื้อเมี่ยงเป็นกำจากตลาด
2. เตรียมเมี่ยงพร้อมทั้งน้ำเมี่ยงและขิงดองก่อนปรุงรส
3. แกะเมี่ยงออกและปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำตาล เกลือปน แบ่งใส่ถาด
เพื่อห่อ
4. เมี่ยงที่ห่อแล้ว พร้อมสำหรับจัดใส่จาน วางบนโต๊ะ เพื่อต้อนรับแขก
การห่อเมี่ยงเพื่อใช้ในพิธีกรรมและต้อนรับแขกมีความแตกต่าง
กันตามแต่ละพื้นที่และทักษะฝีมือของคนในแต่ละท้องถิ่น ชาวบ้านจะช่วย
กันแป้งเมี่ยง (ทำเมี่ยง) สำหรับ ต้อนรับแขกที่มาร่วมงานบุญหรือพิธีกรรม
ทางพุทธศาสนาทุกอย่างในภาคเหนือ เช่น งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งาน
บวช งานฉลององค์ผ้าป่าและ กฐิน หรืองานศพ
26
คุณประโยชน์ของชาหรือเมี่ยง
องค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญที่มีอยู่ในใบชา ซึ่งได้แก่ สารกลุ่มคา
เทชิน เป็นสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ มีฤทธิ์ต่อต้านหรือป้องกันโรคบางชนิด
ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์สำคัญของชา ดังนั้นผลิตภัณฑ์เมี่ยงที่ผลิตจากใบชาจึง
ประกอบด้วยสารสำคัญที่มีคุณประโยชน์ เช่นเดียวกัน คุณประโยชน์ของชา
สามารถจำแนกตามฤทธิ์ทางชีวภาพ ได้ดังต่อไปนี้
1.ชากับการต่อต้านอนุมูลอิสระ
ในชาประกอบด้วยสารด้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ ที่
ทรงพลังหลายชนิด โดยเฉพาะสาร Epigallocatechin gallate (EGCG) ซึ่ง
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง โดยมีฤทธิ์มากกว่าวิตามินอีถึง 20
เท่า คาเทชินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถจับกับอนุมูลอิสระที่เป็น
สาเหตุของโรคหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และ ภาวะไขมันใน
เลือดสูง เป็นต้น จึงช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคเหล่านี้
2. ชากับโรคมะเร็ง
การดื่มน้ำชาเป็นประจำสามารถช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งที่
อวัยวะต่างๆ ได้ เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็ง
ลำไส้เล็ก มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อน และ
มะเร็งเต้านม สารคาเทชิน (Catechins) ในชามีผลขับยั้งมะเร็งด้วยกลไกที่
หลากหลาย คาเทชินที่ออกฤทธิ์ต้านมะเร็งที่สำคัญคือ Epigallocatechin
gallate (EGCG)
27
3. ชากับโรคหัวใจ
คาเทชิน (Catechins) ช่วยลดการเกร็งของเลือดฝอย ลดการ
เกิดตะกอนในเส้นเลือดฝอย ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจ
ตายจากการขาดเลือด อัมพฤษ์ และ อัมพาฒจากเส้นเลือดตีบตัน
นอกจากนี้ Epigallocatechin gallate (EGCG) ยังช่วยลดการเกิด
ออกซิเดชันของโคเลสเตอรอล ลดการสะสมและการสร้างตะกอนใน
เส้นเลือดจากโคเลสเตอรอล ลดการเกิดเส้นเลือดแข็งตัวตีบตัน และลด
ความเสี่ยงของโรคเส้น เลือดหัวใจตีบ
4. ชากับโรคเบาหวาน
สารโพลิฟินอล (Polyphenols) ในชาช่วยลดระดับน้ำตาล
ในเลือด โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะไมเลส ซึ่งเป็นเอนไซม์ย่อย
แป้ง คาเทชินช่วยยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์อะไมเลสทั้งในน้ำลาย
และลำไส้ ทำให้แป้งถูกย่อยได้ช้าลง ช่วยให้การเพิ่มขึ้นของน้ำตาลใน
เลือดเป็นไปอย่างช้าๆ นอกจากนั้นชาเขียวยังลดการคูดซึมของกลูโคสที่
ลำไส้
28
5. ชากับสุขภาพช่องปาก
สารโพลิฟีนอล (Polyphenols) ในชาช่วยยับยั้งการเจริญ
เติบโตของแบคที่เรียในช่องปากซึ่งมีทั้งแบคที่เรียที่ก่อโรคในช่องปาก
Porphyromonas gingivilis และแบคที่เรียที่ทำให้ฟันผุ Stretococcus
mutans คาเทชินช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะไมเลสในน้ำลาย
ทำให้มีปริมาณกลูโคสและมอลโตสน้อยลง ซึ่งเป็นผลลดปริมาณอาหาร
ของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ นอกจากนี้คาเทชินยังช่วยเคลือบฟันให้แข็ง
แรง ป้องกันฟันผุ
6.ชากับโรคอุจจาระร่วง
Polyphenols มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคที่เรีย เชื่อกันว่า
Polyphenols ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของแบคที่รีย การดื่มชาสามารถใช้รักษา
โรคอุจจาระร่วงได้ และสามารถฆ่าสปอร์ของ Clostridium botuinum ซึ่ง
เป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ และยังสามารถฆ่าแบคทีเรียที่ทนความ
ร้อน เช่น Bacillus subtilis, B. cereus, Vibrio parahaemolyticus และ C.
perfringens
29
7. ชากับโรคอ้วน
ในชาประกอบด้วยสารสำคัญเรียกว่า โพลิฟีนอล
(Polyphenols) ที่มีความสามารถยับยั้งเอนไซม์ Catechol-O-methy1
transferase จึงช่วยกระตุ้นการสร้างความร้อนของร่างกาย มีส่วนช่วยเผา
ผลาญพลังงานและช่วยจัดการกับโรคอ้วน ทั้งยังมีคุณสมบัติใน การชะลอ
การปล่อยกลูโคส (Glucose) สู่กระแสเลือดทำให้ชะลอการสร้างอินซูลิน
(Insulin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ส่งเสริมให้ร่างกายสะสมไขมัน ดังนั้น ร่างกายจึง
เผาผลาญไขมันแทนที่จะสะสมไขมัน
8.ชากับการผ่อนคลายของระบบประสาท
L-Theanine เป็นสารสำคัญในชา ออกฤทธิ์กับระบบประสาท
ส่วนกลาง ช่วยให้สมองปลดปล่อยคลื่นสมองอัลฟา (Alpha Brain Wave)
มากขึ้น และลดการปลดปล่อยคลื่นสมองเบต้า (Beta Brain Wave)ลง
ทำให้ช่วยผ่อนคลาย (Ralaxation) และลดความเครียด เป็นการส่งเสริมให้
มีจิตใจที่สงบ มีสมาธิมากขึ้น ไม่หงุดหงิดง่าย ลำดับความคิดเป็นระบบ
ระเบียบมากขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น
30
การปลูกกาแฟ
เมื่อช่วงปี 2527 ทางศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก
ตำบลห้วยแก้ว กิ่งอำเภอแม่ออน เป็นอีกหนึ่งศูนย์ฯ ที่เกิดจากน้ำพระทัย
และ พระวิสัยทัศน์ อันกว้างไกลของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา
ภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ประมาณ
300,000 บาท สำหรับ ก่อสร้างศูนย์พัฒนาโครงการ หลวงตีนตก เพื่อเป็น
แหล่งพัฒนา สาธิต และส่งเสริมการเพาะเห็ดหอม และกาแฟให้เป็นอาชีพ
เสริมให้แก่ ราษฎรนอกเหนือจากการปลูกเมี่ยงโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อส่ง
เสริมให้เกษตรมีรายได้เสริมนอกจากการปลูกเมี่ยง พัฒนาปัจจัยพื้นฐาน
และคุณภาพชีวิตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความเป็น อยู่ที่ดีขึ้น อีก
ทั้งยังสนับสนุนงานทดลอง สาธิต และวิจัยรวมทั้งอนุรักษ์ ฟื้นฟู
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย
โดยศูนย์ฯแห่งนี้ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลระหว่าง 700-1,200 เมตร เป็น
พื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ ครอบคลุมพื้นที่ 4 หมู่บ้าน ในส่วน
ของการปลูกกาแฟช่วงแรกๆ มีการส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกให้ความรู้ทาง
ด้านวิชาการ ชาวบ้านเริ่มมีการปลูกกาแฟทดลองเองทั้งหมด 5 สายพันธุ์
ผสมผสานไปกับการทำสวนเมี่ยง ในที่สุดได้สรุปเหลือเพียงสายพันธุ์เดียว
คือ”อาราบิก้า” มีการปลูกอยู่ 4หมู่บ้านได้แก่ บ้านธารทอง,แม่กำ
ปอง,แม่ลายและบ้านป๊อก
31
กลุ่มแปรรูปกาแฟอาราบิก้า
หมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า “แม่กำปอง” ซ่อนตัวอยู่ใน
หุบเขาของอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นแหล่งเพาะปลูกกาแฟ
พันธุ์อาราบิก้าชั้นดี เนื่องจากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมบนพื้นที่สูง
จากระดับน้ำทะเลมากกว่า ๑,๓๐๐ เมตร มีอากาศเย็นฉ่ำตลอด ทั้งปี
ชาวบ้านที่นี่ใช้วิถีการปลูกกาแฟแบบธรรมชาติและปลอดสารพิษทำให้
ผลผลิตกาแฟมีคุณภาพล้ำเลิศทั้งในด้านรสชาติและความหอมหวล ไม่
แพ้เมล็ดกาแฟจากแหล่งใดในโลกนอกจากนี้ชาวหมู่บ้านแม่กำปองเริ่ม
ต้นปลูกกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการปลูกต้นชาเมี่ยงมานาน
กว่า ๒๐ ปี
โดยความช่วยเหลือจากโครงการหลวงฯ ศูนย์ตีนตกที่ได้เข้าริเริ่ม
แนะนำพันธุ์พืชต่างๆ อันเหมาะสมกับพื้นที่ ให้ชาวบ้านได้ทดลองปลูกกัน
เป็นการส่งเสริมอาชีพทุกวันนี้ บ้านกำปองสามารถผลิตเมล็ดกาแฟได้
มากกว่า ๕ ตันต่อปี ภายใต้การทำงานของ ‘กลุ่มแปรรูปอาราบีก้าแม่กำ
ปอง’ ถือเป็นชุมชนพึ่งพาตนเองที่สร้างผลผลิตกาแฟแบบปลูกเอง คั่วเอง
ไปจนถึงการบรรจุหีบห่อและจัดจำหน่ายเองโดยสมาชิกในชุมชน “บ้านแม่
กำปองสามารถสร้างผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพดีได้เพราะมีระดับความสูง
และภูมิอากาศที่เหมาะสมกับการปลูกกาแฟชั้นเยี่ยม ชาวบ้านใช้วิถี
การเกษตรแบบธรรมชาติ ปราศจากการใช้สารเคมี
ขั้นตอนการผลิตกาแฟ
เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน และต้องการความพิถิพิ
ถันเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้มาซึ่งเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพดีที่สุด จะเก็บ
เกี่ยวเฉพาะเมล็ดกาแฟที่สุกจัดสีแดงเต็มที่เท่านั้น จึงจะได้กาแฟที่รสชาติ
ดี โดยเมื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟมาแล้ว ก็ควรกระเทาะเปลือกออกด้วย
เครื่องภายในวันรุ่งขึ้น
32
โดยมี นายพรมมินทร์ พวงมาลา เป็นประธานกลุ่ม
แปรรูปกาแฟอาราบิก้า โดยมีการรวมกลุ่มกันทำงานอย่างสามัคคี การ
ปลูกกาแฟของที่นี่ มักเป็นรูปแบบของการปลูกพืชแบบผสมผสาน ภายใต้
ร่มเงาของต้นชาเมี่ยงที่ปลูกกันมาแต่ดั้งเดิม โดยฤดูการเก็บเกี่ยวกาแฟจะ
อยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงธันวาคมของทุกปี หลังจากการเก็บเกี่ยว
ผลผลิตแล้วนั้น สมาชิกกลุ่มจะนำเมล็ดกาแฟมาแปรรูปใน โรงคั่วกาแฟที่
สร้างขึ้นโดยงบประมาณสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบล โดยทาง
สมาชิกจะมีการรวมกลุ่มกันซื้อขายโดยหลังจากหักต้นทุนกาแฟ ค่าเชื้อ
เพลิงในการคั่ว ค่าถุงกาแฟ ฯลฯ ออกแล้ว ก็จะปันกำไรส่วนหนึ่งมาเป็น
ทุนดำเนินงานของกลุ่ม ก่อนที่จะจัดสรรรายได้สุทธิที่เหลือไปตามกำลังการ
ผลิตของแต่ละครัวเรือนเป็นลำดับสุดท้าย กาแฟอาราบีก้าแม่กำปอง
คุณภาพดี มีความหอมและรสชาติที่กลมกล่อม โดยทั่วไปนั้นจะสามารถ
เก็บเกี่ยวได้ครั้งแรกภายหลังจากการปลูกราวสามปี โดยต้นหนึ่งจะให้
ผลผลิตได้ปีละเกือบ 2 กิโลกรัม”
33
กิจกรรมในชุมชน
วัดคันธาพฤกษา
วัดคันธาพฤกษา เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย
ตั้งอยู่ในตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ บนเนื้อที่ 2 งาน
55 ตารางวา
วัดคันธาพฤกษา หรือชาวบ้านเรียกว่า วัดแม่กำปอง ตั้งวัดเมื่อ
พ.ศ. 2473 ไล่เลี่ยกับการถือกำเนิดขึ้นของชุมชน แต่เดิมเป็นอาศรมตั้งอยู่
เชิงเขาห่างจากหมู่บ้านราว 300 เมตร จนเมื่อ พ.ศ. 2468 ได้ย้ายที่ตั้งมา
อยู่กลางหมู่บ้าน แต่เดิมมีถนนผ่านด้านทิศเหนือเท่านั้น ปัจจุบันมีถนนตัด
ผ่านด้านทิศใต้ของวัด ชื่อของวัดคันธาพฤกษามาจากฉายาของครูบาอินสม
คนฺธรโส ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างขึ้นบนที่ดินของพี่สาวท่าน และอยู่ท่ามกลาง
พฤกษา คือป่าเขาลำเนาไพร
34
อาคารและเสนาสนะที่สำคัญ ได้แก่ อุโบสถ
กลางน้ำ (อุทกเสมา) ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงสองแห่ง
เท่านั้นในภาคเหนือ อีกแห่งคือ วัดพุทธเอ้น อำเภอ
แม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ วิหารไม้สักทองแกะสลัก
ลวดลายล้านนา และพระธาตุเจดีย์สีขาว สร้างขึ้นจากงบ
ประมาณในการจัดงานปอยหลวง งานบุญประจำปีที่ยิ่ง
ใหญ่ของคนเหนือ มีการจัดงานสรงน้ำพระธาตุเป็นประจำ
ทุกปีในช่วงเดือนแปดเป็งหรือเดือนมิถุนายน
35
น้ำตกแม่กำปอง
ด้วยสภาพภูมิประเทศของหมู่บ้านแม่กำปองที่ตั้งอยู่ในหุบเขา
ท่ามกลางภูเขาล้อมรอบแทบทั้งสี่ด้าน ทำให้หมู่บ้านแม่กำปองมีอากาศ
เย็นสบาย ค่อนข้างหนาวในฤดูหนาว และมีทัศนียภาพที่สวยงาม มีน้ำตก
แม่กำปอง ให้นักท่องเที่ยวได้เดินใกล้ชิดธรรมชาติ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน
น้ำตกแห่งนี้มีความสวยงาม ด้วยน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี ตกลดหลั่นกันลง
มาถึง 7 ชั้น บนชั้นที่ 7 มีแอ่งน้ำสามารถลงเล่นน้ำได้
36
ประเพณี วัฒนธรรม
ประเพณีเดือนสี่เป็ง ในวันขึ้น 15 คำ เดือนมกราคม ชาวบ้านจะทำ
พิธีตาน ข้าวใหม่ คือการทำบุญใส่บาตรด้วยข้าวใหม่ หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว
ประเพณีวันปี้ใหม่เมือง หรือประเพณีสงกรานต์ในเดือนเมษายน
ซึ่งจะมีพิธีตามรูปแบบล้านนาของภาคเหนือ เช่น ขนทรายเข้าวัด
ประเพณีวันเข้าพรรษา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งมักจะตรงกับ
เดือนกรกฎาคม ชาวบ้านมีพิธีทำบุญตักบาตร
ประเพณีวันสิบสองเป็ง ในวันขึ้น 15 คำ เดือน 10 ซึ่งมักจะตรง
กับเดือนกันยายน ประชาชนจะร่วมกันในประเพณีตานก๋วยสลาก ซึ่งถือ
เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว และร่วมกันตาน
เจดีย์ทราย หรือการก่อกองทรายภายในวัด
ประเพณียี่เป็ง หรือลอยกระทง ในวันขึ้น 15 คำเดือน 12 ซึ่งมัก
จะตรงกับ เดือนพฤศจิกายน ประชาชนจะจัดทอดกฐิน มีกิจกรรมฟังเทศน์
ฟังธรรม พิธีกรรม ปริศนาธรรม หากผู้ใดหาทางออกได้ก็จะถือว่าเป็นผู้ที่มี
ศีล สมาธิ พิธีกรรมนี้จะเข้าวงกต ได้แก่การเดินเข้าไปในแนวเขตล้อมผ้า
ที่ทางวัดจัดทำขึ้นเป็นทางเดิน ทำอยู่ 3 วัน และกำหนดทำขึ้นเพียงครั้ง
เดียวในทุก 3 ปี
37
วิถีชีวิต และธรรมชาติ
พ.ค. - พ.ย. ฤดูการเก็บเกี่ยวใบเมี่ยง
พ.ย. - ม.ค. ฤดูการเก็บเกี่ยวกาแฟ
ธ.ค. - ก.พ. ช่วงเวลาดอกซากุระบาน
มี.ค. - เม.ย. ช่วงเวลาดอกเอื้องดินบาน
สำหรับการเที่ยวชมธรรมชาติและวิถีชีวิติของชุมชนบ้านแม่กำ
ปองนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าหมู่บ้าน ได้ตลอดทั้งปี
กลุ่มนวดแผนไทย
กลุ่มหมอเมือง
กลุ่มไกด์ชาวบ้าน
38
กลุ่มโฮมสเตย์
บ้านแม่กำปอง หมู่ที่ 3 ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัด
เชียงใหม่ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง เชียงใหม่ประมาณ 50 กิโลเมตร พื้นที่
ส่วนใหญ่เป็นภูเขา โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง คือ 1,300
เมตร สภาพพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ และความหลาก
หลายทางชีวภาพของพืช พรรณธรรมชาติมีประชากร 370 คน มีจำนวน
หลังคาเรือนทั้งหมด 237 หลังคาเรือน ประชากรส่วนใหญ่ เป็นคนพื้นเมือง
ล้านนา และบางส่วนเป็นคนนอกมาซื้อที่และสร้างบ้านที่แม่กำปอง มี
อาชีพทางด้าน การเกษตร (ทำสวนชา สวนเหมี้ยง และกาแฟ และอาชีพ
ด้านการบริการการท่องเที่ยว
39
บ้านแม่กำปอง เริ่มดำเนินการพัฒนาการท่องเที่ยวเมื่อ
ปี พ.ศ.2541 โดยความพยายามของผู้นำ ชุมชนและชาวบ้าน ที่เล็งเห็น
ว่าการท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องมือในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในขุม
ชน ได้ จึงได้ร่วมมือกันพัฒนาการท่องเที่ยว และได้เปิดหมู่ข้านเป็นหมู่บ้าน
ท่องเที่ยวครั้งแรกเมื่อ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2543 รวมเป็นระยะเวลา
กว่า 19 ตลอดระยะเวลาในการจัดการท่องเที่ยวของบ้านแม่กำ ปองที่ผ่าน
มาสามารถแบ่งออกเป็น 3 ยุค ดังนี้
ยุคที่ 1 ยุคเริ่มต้นหรือยุคอุดมการณ์ (พ.ศ. 2543 - พ.ศ.
2546) เป็นยุคที่ผู้นำและคนในชุมชน บ้านแม่กำปอง มีแนวทางในการ
พัฒนาชุมชน 2 ด้าน คือ การพัฒนาคน โดยการส่งเสริมอาชีพให้กับคนใน
ชุมชน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และพัฒนาการท่องเที่ยว โดยใช้
ทรัพยากรชุมชนเป็นฐานในการพัฒนา แต่มีอุปสรรคในการทำงานคือ ชาว
บ้านยังขาดความรู้ ความเข้าใจ การท่องเที่ยวโดยชุมชน และการ บริหาร
จัดการท่องเที่ยว จึงได้ใช้กระบวนการวิจัยเพื่อท้องถิ่นมาเป็นเครื่องมือใน
การแก้ไขปัญหา สร้าง ความรู้ความเข้าใจ และกำหนดกติการในการ
บริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน
40
ยุคที่ 2 ยุคทองแห่งการพัฒนา (พ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2557 )
เป็นยุคที่ชุมชนได้รับการรับรอง มาตรฐานโฮมสเตย์เป็นครั้งแรก และเริ่ม
เป็นที่รู้จักของหน่วยงานต่าง ๆ และผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว จึงทำให้
เกิดการต่อยอดงานพัฒนาในชุมชนหลายด้าน นอกจากนี้ยังได้รับการ
ยกย่องให้เป็นชุมชนต้นแบบ ในด้านการจัดการชุมชนและการพัฒนาชุมชน
จากหลายหน่วยงาน จนทำให้ได้รับรางวัลหมู่บ้านหัตถกรรม เพื่อการท่อง
เที่ยว (OTOP Village Champion : OVC) ในปี 2549 รางวัลหมู่บ้าน
เศรษฐกิจพอเพียง (อยู่ เย็น เป็นสุข) / PATA Gold Awards ในปี 2553
รางวัล Lonely Planet ในปี 2555 และรางวัลอื่นๆอีก มากมาย รวมทั้ง
การเข้ามาของภาคธุรกิจ ที่ให้บริการกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงผจญภัย จึงเป็น
ผลให้หมู่บ้าน แม่กำปองมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านแหล่งเรียนรู้ และ
แหล่งท่องเที่ยว และตามมาด้วยการเกิดขึ้นของ ธุรกิจบริการ เพื่อรองรับ
นักท่องเที่ยว เช่น บ้านพัก ร้านอาหาร เป็นต้น
41
ยุคที่ 3 ยุคของการปรับตัวและแก้ปัญหาหรือยุคชุมชนภิวัฒน์
(พ.ศ.2558 - ปัจจุบัน) เป็นยุคที่ ปรากฏการณ์ด้านการท่องเที่ยวของบ้าน
แม่กำองโด่งดังอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับรู้ของ นักท่องเที่ยว
กระแสหลัก จากการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์จำนวนมาก จึงทำให้
หมู่บ้านแม่กำปองกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการ
สัมผัสบรรยากาศความเป็นธรรมชาติ และเป็นยุค ที่การท่องเที่ยวกระแส
หลัก (Mass Tourism) เติบโตอย่างมาก เป็นผลให้เกิดการขยายตัวอย่าง
รวดเร็ว ของธุรกิจเพื่อรองรับและให้บริการนักท่องเที่ยวในกลุ่ม Mass
Tourism ทำให้ปัจจุบันขนาดของธุรกิจ ท่องเที่ยวเอกชน ใหญ่กว่าการท่อง
เที่ยวโดยชุมชนหลายเท่าตัว จากข้อมูลจำนวนผู้เข้าพักและใช้บริการ โฮม
สเตย์ สูงสุดไม่เกิดวันละ 120 คน ในขณะที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่อง
เที่ยวในชุมชนทั้งแบบไปกลับ และค้างคืน ไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ในช่วงวัน
หยุดยาว/วันหยุดราชการ จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ ส่งผลกระทบ
ต่อการจัดการท่องเที่ยวของพื้นที่ทั้งด้านกายภาพ สิ่งแวดล้อม สังคม และ
การบริหารจัดการ จึงเป็นยุคที่ชุมชนต้องลุกขึ้นมาหาแนวทางการจัดการ
ท่องเที่ยวภายใต้สถานการณ์ใหม่ ให้เท่าทันต่อการ เปลี่ยนแปลง และ
ความยั่งยืนของชุมชนในอนาคต
42
กิจกรรมการท่องเที่ยว
· กิจกรรมที่ 1แบบไป-กลับ (วันเดียว)กลุ่มเป้าหมายของการท่องเที่ยว
แบบนี้ คือ
กลุ่มคนไทยหรือชาวต่างชาติที่เข้ามา โดยไม่มีกำหนดหรือแจ้งให้กับ
หมู่บ้านไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะเข้ามาเที่ยวชมธรรมชาติและกิจกรรมต่างๆ ใน
หมู่บ้าน
· กิจกรรมที่ 2 แบบทัศนศึกษา กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ จะเข้ามาศึกษาดู
งานระบบบริหารจัดการการท่องเที่ยว หรือการจัดการป่าชุมชนในขณะ
เดียวกันเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีของชุมชน
· กิจกรรที่ 3 แบบพักค้างคืน กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ต้องการสัมผัสกับ
วิถีชีวิตและธรรมชาติ โดยประกอบด้วยนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่าง
ประเทศ ซึ่งจะติดต่อและจองที่พักล่วงหน้าทั้งผ่านบริษัททัวร์หรือจอง
โดยตรง
พัก 1 คืน 2 วัน อาหาร 3 มื้อ
พัก 2 คืน 3 วัน อาหาร 6 มื้อ
พักต่อจากนี้ 1 วัน 1 คืน อาหาร 3 มื้อ
บริการมัคคุเทศก์นำเที่ยว
กิจกรรมบายศรีสู่ขวัญชุดใหญ่/ ชุดเล็ก
กิจกรรมการแสดงอื่นๆ
43
การเดินทาง: รถยนต์ สามารถใช้เส้นทางได้ 3 เส้นทาง ได้แก่
เส้นทางแรก เดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เส้นทางหลวง 1317 (แอร์
พอร์ต-น้ำพุร้อน) ตรงไประยะทาง 50 กิโลเมตร ผ่านสันกำแพง ตัวอำเภอ
แม่ออน ผ่านปากน้ำพุร้อนสันกำแพง ระยะทาง18 กิโลเมตร ไปตำบลห้วย
แก้ว ผ่านโครงการศูนย์ตีนตกแล้วเข้าสู่บ้านแม่กำปอง เส้นทางที่สอง
ดอยสะเก็ด ผ่านตำบลป่าเมี่ยง เข้าสู่ตำบลห้วยแก้ว และหมู่บ้านแม่กำ
ปอง
เส้นทางที่สาม อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง เข้าสู่บ้านแม่กำปอง
ระยะทางประมาณ 23 กิโลเมตร
44
ผลิตภัณฑ์
หมอนใบชา
1.วัตถุดิบ
วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตหมอนใบชา คือ ใบชา (เมี่ยง) อบ
แห้ง ผ้าไหมสังเคราะห์สีพื้น ผ้าไหมสังเคราะห์พิมพ์ลาย ผ้ากาว และใย
โพลีเอสเตอร์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ใบชา (เมี่ยง)อบแห้ง คือ การนำใบชา(เมี่ยง)แก่มาตากแดดให้แห้ง
จากนั้นจึงนำ มาอบแห้งอีกครั้ง เพื่อไล่ความชื้นและนำมาเย็บใส่เป็นไส้
หมอน
ผ้าไหมสังเคราะห์สีพื้น เนื้อผ้าจะมีลักษณะผิวเรียบ เนื้อด้าน แต่ยัง
คงความมันวาว ไม่มีลวดลาย มีขนาดหน้ากว้าง 45 นิ้วและหน้ากว้าง 60
นิ้ว
45
ผ้าไหมสังเคราะห์พิมพ์ลาย เนื้อผ้าจะมีลักษณะผิวเรียบ เนื้อ
ด้าน แต่ยังคงความมันวาว มีลวดลายทั้งผืน นิยมใช้ลายวน มีขนาดหน้า
กว้าง 45 นิ้วและหน้ากว้าง 60 นิ้ว
ผ้ากาว ลักษณะเหมือนกระดาษสาบาง ๆ มีขนาดหน้ากว้าง
45 นิ้วและ หน้ากว้าง 60 นิ้ว
ใยโพลีเอสเตอร์ มีลักษณะเป็นแผ่น คล้ายฟองน้าสีขาว มี
ทั้งชนิดหนาและบาง ขนาดหน้ากว้างที่ใช้ขึ้นอยู่กับ ชิ้นงาน มีขนาดหน้า
กว้าง 45 นิ้วและหน้ากว้าง 60 นิ้ว