The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยออนไลน์5บท-ป.2-เวลา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by oip0888041270, 2022-08-27 10:22:23

วิจัยออนไลน์5บท-ป.2-เวลา

วิจัยออนไลน์5บท-ป.2-เวลา

1

2

บนั ทกึ ข้อความ

ส่วนราชการ โรงเรยี นบ้านนาฟอุ น
ท่ี ......../2564 วนั ที่ 10 เดือน มนี าคม พ.ศ. 2565
เรื่อง รายงานการวจิ ยั ในช้ันเรียน ประจาภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564
*************************************************************************************
เรยี น ผู้อานวยการโรงเรียนบา้ นนาฟุอน

ข้าพเจ้า นางสาวกาญจนา วงคว์ ิลาศ ตาแหนง่ ครู คศ.2 ไดด้ าเนนิ การทาวิจัยในชน้ั เรยี นบัดน้ี
ข้าพเจา้ ไดส้ รุปผลการวจิ ยั ในชนั้ เรยี นดังกลา่ วเป็นทีเ่ รียบร้อย ซ่งึ มรี ายละเอียดดงั รายงานท่แี นบมาน้ี

จงึ เรยี นมาเพ่ือโปรดทราบและพจิ ารณา

ลงช่อื …………………….……………
(นางสาวกาญจนา วงค์วิลาศ)

ตาแหนง่ ครู คศ.2

ความคดิ เห็นผอู้ านวยการโรงเรยี น
...................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ......................................
............................................................................................................................. ....................................

ลงชือ่ ....................................................
(นายนิติรัฐ วรรณวิรยิ วัตร)

ผูอ้ านวยการโรงเรยี นบา้ นนาฟอุ น

3

กิตติกรรมประกาศ

รายงานการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความพึงพอใจท่ีมีต่อการเรียนบทเรียนออนไลน์
คณิตศาสตร์ เรอ่ื งเวลา สาหรบั นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 2

ท้ังน้ผี ู้วิจยั ขอบพระคุณผู้อานวยการโรงเรยี นบา้ นนาฟุอนและคณะครูทุกท่านที่ให้การสนับสนุน
โดยการให้คาปรึกษาแนะนา แนวความคิดและให้กาลังใจ และสุดท้ายต้องขอขอบใจนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปที ่ี 2 ทใ่ี หค้ วามร่วมมือในการทาวจิ ยั ครัง้ น้จี นสาเรจ็ ด้วยดี

ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การวิจัยเร่ืองน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน เป็นแนวทางในการ
พฒั นาการเรยี นการสอนรายวิชาคณติ ศาสตร์ ให้มีประสทิ ธิภาพมากยงิ่ ขนึ้ หากงานวจิ ัยนม้ี ีข้อบกพร่อง
ผูว้ จิ ยั ขออภยั มา ณ ที่น้ี

นางสาวกาญจนา วงคว์ ลิ าศ
ผู้วจิ ยั

4

บทคัดย่อ

ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนและความพึงพอใจที่มีต่อการเรยี นบทเรยี นออนไลน์
ช่อื ผศู้ กึ ษา
ปีทศ่ี กึ ษา คณิตศาสตร์ เร่ือง เวลา สาหรบั นกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 2

นางสาวกาญจนา วงคว์ ลิ าศ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ

สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาเชียงใหม่ เขต 5
2564

การศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์คือ 1.เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
ของนักเรียนท่ีเรียนบทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เรื่อง เวลา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 2.เพื่อ
ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
2 ทกี่ าลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านนาฟุอน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา.
ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5 จานวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจานวน 21 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง
(Purposive sampling) เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ได้แก่ 1.บทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เรื่อง เวลา
รายวชิ าคณิตศาสตรพ์ ้นื ฐาน สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
แบบปรนัยชนดิ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ้ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์
คณิตศาสตร์ เรือ่ งเวลา รายวิชาคณิตศาสตร์พ้ืนฐาน สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบมาตราส่วน
ประมาณคา่ . 5 ระดบั (Likert Scale) จานวน 10 ข้อ แล้วนามาวิเคราะห์ข้อมูลหาประสิทธิภาพของกระบวนการ
ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ คา่ เฉล่ีย สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที t – test (dependent)

ผลการศึกษาสรปุ ได้ดงั น้ี
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณติ ศาสตรพ์ ้นื ฐาน เร่ืองเวลา สาหรับนกั เรียนชัน้

ประถมศึกษาปที ่ี 2 หลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน โดยมีค่าเฉลีย่ เทา่ กบั 3.90 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน คอื
0.53

2. ความพงึ พอใจของนักเรยี นทม่ี ีตอ่ การเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์คณติ ศาสตร์ เรอื่ ง
เวลา สาหรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 2 โดยภาพรวมมคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดับมากท่สี ุด และมี
คา่ เฉล่ียเทา่ กบั 4.56 สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน คือ0.27

สารบญั 5

กิตตกิ รรมประกาศ หน้า
บทคัดย่อ
บทที่ 1 บทนา 1
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง 5
บทท่ี 3 วิธดี าเนินการวิจัย 35
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู 44
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 47
บรรณานกุ รม 50
ภาคผนวก 54

1

บทที่ 1

บทนา

ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา
การจดั การศกึ ษาไทยในสังคมปัจจุบันได้รับอิทธิพลจากกระแสโลกาภิวัตน์ท่ีมีการเช่ือมโยงใน

ทุกด้านท่ัว โลก มีผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายองค์ความรู้ การเปิดเสรีทางการศึกษาอันมีผลทาให้เกิดการ
ผลกั ดันให้สถาบนั การศกึ ษา ไทยตอ้ งพัฒนาการจดั การศกึ ษาที่มคี วามเป็นสากลเป็นที่ยอมรับไดัเทียมใน
ระดบั สากลมากขน้ึ ซง่ึ สถาบัน การศึกษาในปัจจุบันได้พยายามคิดค้นหรือนานวัตกรรมทางการศึกษาที่
แปลกใหม่มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการ จัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนในหลายลักษณะด้วยกัน เช่น
การศึกษาทางไกล การเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ การเรียนรู้ ผ่าน Video Conference, Website, e-
Learning และ Webpage (ณิรดา เวชญาลกั ษณ์, 2561)

การศึกษาออนไลน์ (Online Education) หรือการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ (Online
Learning and Teaching) เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาในยุคใหม่ภายใต้อิทธิพลการขับเคล่ือนของ
เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Networks) และโลกแห่งอินเทอร์เน็ต (Internet) ท่ีมี
การเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างไกลแทบ ทุกมุมโลก ซึ่งการศึกษาออนไลน์่ท่ีเกิดขึ้นน้ี จะมี
กรอบแนวความคิดของการใช้ที่สาคัญ คือการรวมกลุ่มกันทางสังคม แห่งการเรียนรู้เพ่ือจุดประสงค์
ร่วมกันในการส่ือสารและการส่งผ่านความรู้ร่วมกันในสังคมออนไลน์ เรียกว่า “สังคม แห่งการแสวงหา
ความรู้หรือสังคมแห่งปัญญา” (Community of Inquiry) ในโลกแห่งสังคมแห่งภูมิปัญญาหรือการ
แสวงหาความรู้นี้ เทคโนโลยีทางการเรียนอิเล็กทรอนิกส์(Electronics Learning) จะมีบทบาทและ
ประสทิ ธภิ าพ คอ่ นขา้ งสงู ในการสรา้ งและเชื่อมโยงองคค์ วามรู้ในวิถีทางหรือรูปแบบต่าง ๆ ให้บังเกิดข้ึน
ในกิจกรรมทางการเรียน เทคโนโลยีที่เป็นฐานสาคัญในการสร้างสรรค์บทบาททางการเรียนการสอน
ทางไกลดังกลา่ วคือ “คอมพิวเตอร์เพ่ือการ เรียนทางไกล” ท่ีมีความแตกต่างจากการเรียนทางไกลแบบ
ด้ังเดิมท่ัวไป เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนและสร้าง การมีส่วนร่วมและการเสริมสร้าง
ประสบการณ์ทางการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในระบบการสอนนั้นๆ (สรุ ศกั ด์ิ ปาเฮ, 2561)

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่
ใน ประเทศไทย ในช่วงปลายปพี ุทธศักราช 2563 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูหนาวและ
อากาศทเี่ ยน็ น้ันสง่ ผลใหไ้ วรสั มีอายุยาวนานขึ้น จากการคาดคะเนพบว่าการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ
ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ในไทยครั้งน้ีอาจจะรุนแรงกว่าเดิม ดังนั้นมาตรการการ
ปูองกัน คือ ให้ประชาชนอยู่บ้าน ลดการเดินทาง ลดการรวมกลุ่มกัน (สุรชัย โชคครรชิตไชย, 2563,
หนา้ ง-จ) ทางโรงเรียนบ้านนาฟุอนไดใ้ ห้ครผู สู้ อนจัดการเรียนการสอนตามตารางปกติ โดย ประยุกต์ไป
ตามความถนัดและความสะดวกในการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนและนักเรียน เช่นใช้การ
จัดการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านแอพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Line, Facebook, Zoom, Google Classroom
ช่องทาง DLTV หรือช่องทางใดก็ได้ แต่การจัดการเรียนการสอนต้องดาเนินต่อไป ส่วนกิจกรรมต่าง ๆ

2

น้ัน เล่ือนออกไป อย่างไม่มีกาหนด ผู้วิจัยในฐานะครูผู้สอน นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 และจาก
สถานการณ์ขา้ งต้นน้ัน

ผ้รู ายงานจงึ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์ เพื่อใช้เป็นสื่อเรียนรู้สร้างความเข้าใจใน
เน้ือหาบทเรยี นโดยนักเรียนสามารถเข้าศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมในบทเรียนเวลาใดก็ได้ สถานท่ีใดก็ได้ ข้ึนอยู่
กับความพร้อมของนักเรียน โดยไม่จากัดการปฏิสัมพันธ์ไว้แต่เพียงในห้องเรียน และครูผู้สอนสามารถให้ผล
ย้อนกลับแก่ผู้เรียนได้ในทันที โดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลาเรียน อีกท้ังยังสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาและแหล่งเรียนรู้
เพ่ิมเติมในรปู แบบตา่ ง ๆ ทนี่ ักเรียนสนใจซง่ึ จะส่งผลใหน้ ักเรียนไดฝ้ ึกฝนปฏิบัติกิจกรรมจนเกิดเป็นทักษะความ
ชานาญและมีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นที่สูงข้ึน

วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1. เพอ่ื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรยี นท่เี รียน

บทเรยี นออนไลน์คณิตศาสตร์ เรื่องเวลา สาหรบั นักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2
2. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนกั เรียนทมี่ ีต่อการเรียนรโู้ ดยใช้บทเรยี นออนไลนค์ ณิตศาสตร์ เร่อื ง

เวลา สาหรับนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 2

สมมติฐานของการศึกษา
1. นกั เรียนที่เรยี นบทเรียนออนไลนค์ ณิตศาสตร์ เรื่องเวลา สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษา

ปีท่ี 2 มีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนหลังเรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี น ทรี่ ะดับนัยสาคัญทางสถติ ิ .05
2. นักเรยี นมคี วามพึงพอใจต่อการเรียนรูโ้ ดยใช้บทเรยี นออนไลน์คณติ ศาสตร์ เรื่องเวลา สาหรับ

นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2 อยใู่ นระดบั มากขึ้นไปเม่ือเทยี บกับเกณฑ์มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ
(Likert Scale)

ขอบเขตของการศึกษา
ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 ปีการศึกษา 2564

ทง้ั หมด 1 หอ้ ง รวมท้งั สิน้ 21 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านนาฟุอน

สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5 ท่ีกาลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปี
การศกึ ษา 2564 จานวน 21. คน ซงึ่ ไดม้ าจากการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

ขอบเขตดา้ นเน้ือหา
บทเรียนออนไลนค์ ณิตศาสตร์ เร่อื งเวลา สาหรบั นกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2

ตัวแปรทศ่ี กึ ษา
ตัวแปรตน้ ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้บทเรยี นออนไลนค์ ณิตศาสตร์ เรอ่ื งเวลา
สาหรับนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 2

3

ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลท่ีเกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนออนไลน์
คณิตศาสตร์ เรอื่ งเวลา สาหรบั นักเรยี น ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 ไดแ้ ก่

1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนทเ่ี รียนโดยใช้บทเรียนออนไลนค์ ณติ ศาสตร์ เร่ืองเวลา
สาหรับนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 2

2. ความพงึ พอใจของนักเรียนทมี่ ีต่อบทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรบั
นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2

ระยะเวลาในการศกึ ษา
ดาเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 ทั้งน้รี วมเวลาท่ีใชใ้ นการทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ส่วนการสารวจความพงึ พอใจใช้เวลาพิเศษนอกเหนือเวลา
เรียนตามปกติ

นิยามศพั ท์เฉพาะ
1. บทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หมายถึง

บทเรียนท่ีผศู้ กึ ษาสรา้ งข้นึ เพื่อใช้ประกอบ การเรยี นร้กู ลุ่มสาระคณติ ศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลการเรียนรู้หรือความสามารถทางการเรียนของ

นักเรียนหลังเรียนบทเรียนออนไลน์ เรื่องเวลา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 ซ่ึงวัดได้จากคะแนน
ทไี่ ด้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นที่ผ้ศู ึกษาสร้างขึ้น จานวน 10 ขอ้

3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของ
บทเรียนออนไลน์ เรือ่ งเวลา ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 ซงึ่ เป็นแบบปรนัยเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จานวน 10
ขอ้ ขอ้ ละ 1 คะแนน รวม 20 คะแนน

5. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดหรือทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึก
ทักษะคณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซ่ึงวัดได้จากการประเมินผลจาก
แบบสอบถามความพึงพอใจที่ผู้ศึกษาสร้างข้ึนโดยสามารถวัดความพึงพอใจได้จากแบบวัดความพึงพอใจท่ีผู้
ศกึ ษาสรา้ งขึ้นมีลกั ษณะเปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณคา่ ซง่ึ กาหนดคา่ เปน็ 5 ระดบั จานวน 10 ขอ้

6. Google Classroom หมายถึง Google Classroom เปิดให้บริการสาหรับทุกคน ถูก
ออกแบบมา เพื่อช่วยให้ครูสร้างและเก็บงานโดยไม่ต้องใช้กระดาษ และยังสามารถช่วยประหยัดเวลา
เช่น ความสามารถในการทาสาเนาของ Google ให้กับนักเรียนแต่ละคน นอกจากนี้ยังสร้างโฟลเดอร์
สาหรับ แต่ละกันและแต่ละคนเพื่อความเป็นระเบียบของข้อมูล นักเรียนสามารถติดตามงานต่างๆ ท่ี
ได้รับ มอบหมายว่ามีอะไรครบกาหนดบ้าง ครูสามารถติดตามการทางานของนักเรียนได้ว่าใครยังไม่
เสร็จ และครูยังสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานและให้คะแนนกับงานท่ีนักเรียนส่งมาได้ อย่าง
รวดเร็ว วิธีการเข้า Class แต่ละครั้งก็ไม่ยุ่งยาก ครูสามารถเพ่ิมนักเรียนได้โดยตรง หรือแค่แชร์รหัส
เพอ่ื ใหน้ กั เรียนเขา้ หอ้ งเรียนได้ การต้ังค่ารหัสใช้เวลาเพยี งแค่ครู่เดียว ประโยชน์ของการใช้งาน Google
Classroom จะช่วยให้ประหยัดเวลา ตรวจงานได้ง่ายมากข้ึนเป็นระเบียบ และปลอดภัยเพราะ
Classroom จะไมน่ าเนื้อหาหรือข้อมูลของนักเรยี นไปโฆษณา

4

ประโยชน์ทไ่ี ด้รับ
1. นกั เรียนมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์สงู ขน้ึ
2. นักเรียนมีความพึงพอใจที่ดีตอ่ การเรียนรูโ้ ดยใช้บทเรียนออนไลน์ เรื่องเวลา สาหรบั นักเรยี น

ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 2
3. เปน็ แนวทางใหค้ รูผสู้ อนนาไปประยุกตใ์ ช้ในการพัฒนาการเรยี นการสอนในเร่ืองอ่ืนๆ เพ่อื

ชว่ ยให้นกั เรียนเรียนรไู้ ดง้ า่ ยข้ึนและมที ัศนคติทดี่ ตี ่อวิชาคณิตศาสตร์

5

บทท่ี 2

เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวขอ้ ง

ในการศึกษาบทเรียนออนไลน์คณติ ศาสตร์ เรื่องเวลา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 ผู้
ศึกษาได้ศึกษาคน้ คว้าเอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้อง ตามลาดบั ดงั นี้

1. หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ
พทุ ธศกั ราช 2560) กล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

2. เอกสารทีเ่ ก่ยี วข้องกับคณิตศาสตร์
3. แผนการจัดการเรยี นรู้
4. เอกสารทเ่ี กี่ยวข้องกบั บทเรียนออนไลน์
5. เอกสารที่เก่ยี วข้องกับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
6. เอกสารท่ีเกยี่ วข้องกับความพึงพอใจ
7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุงพุทธศักราช 2560)
กลุ่มสาระการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์

สาระสาคัญของกลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จัดเป็น 3 สาระ ได้แก่ จานวนและพีชคณิตการวัดและ

เรขาคณิต และสถติ แิ ละความนา่ จะเปน็
✧ จานวนและพีชคณิต เรียนรู้เก่ียวกับ ระบบจานวนจริง สมบัติเก่ียวกับจานวนจริง

อัตราส่วน ร้อยละ การประมาณค่า การแก้ปัญหาเก่ียวกับจานวน การใช้จานวนในชีวิตจริง มุม
ความสัมพันธ์ ฟังก์ชนั เซต ตรรกศาสตร์ นิพจน์ เอกนาม พหนุ าม สมการ ระบบสมการ อสมการ กราฟ
ดอกเบ้ีย และมูลค่า ของเงิน ลาดับและอนุกรม และการนาความรู้เกี่ยวกับจานวนและพีชคณิตไปใช้ใน
สถานการณต์ า่ งๆ

✧ การวัดและเรขาคณิต เรียนรเู้ กยี่ วกบั ความยาว ระยะทาง น้าหนัก พื้นที่ ปริมาตรและ
ความจุ เงินและเวลา หน่วยวัดระบบต่างๆ การคาดคะเนเกี่ยวกับการวัด อัตราส่วนตรีโกณมิติ รูป
เรขาคณิต และสมบัติของรูปเรขาคณิต การนึกภาพ แบบจาลองทางเรขาคณิต ทฤษฎีบททางเรขาคณิต
การแปลงทางเรขาคณิตในเรื่องการเล่ือนขนาน การสะท้อน การหมุน และการนาความรู้เก่ียวกับการ
วดั และเรขาคณติ ไปใชใ้ นสถานการณ์ตา่ งๆ

✧ สถติ ิและความน่าจะเป็น เรียนรู้เก่ียวกับ การตั้งคาถามทางสถิติ การเก็บรวบรวมข้อมูล
การคานวณค่าสถิติ การนาเสนอและแปลผลสาหรับข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ หลักการนับ

6

เบอื้ งตน้ ความนา่ เปน็ การใช้ความร้เู กีย่ วกบั สถติ ิและความนา่ จะเปน็ ในการอธิบายเหตุการณต่าง ๆ และ
ชว่ ยในการตดั สินใจ

✧แคลคูลัส ลิมิตและความต่อเน่ืองของฟังก์ชัน อนุพันธ์ของฟังก์ชันพีชคณิต ปริพันธ์ของ
ฟังกช์ นั พชี คณติ และนาความรเู้ กี่ยวกบั แคลคลู ัสไปใชใ้ นสถานการณต์ า่ งๆ

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 จานวนและพชี คณติ
มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจานวน ระบบจานวน การ

ดาเนนิ การของจานวน ผลที่เกิดขน้ึ จากการดาเนินการ สมบตั ขิ องการดาเนินการ และนาไปใช้
มาตรฐาน ค 1.2 เข้าใจและวิเคราะห์มุมความสัมพันธ์ ฟงก์ชัน ลาดับและอนุกรม

และนาไปใช้
มาตรฐาน ค 1.3 ใช้นิพจน์ สมการ และอสมการ อธิบายความสมั พนั ธ์หรือช่วย

แกป้ ญั หาที่กาหนดให้
สาระท่ี 2 การวัดและเรขาคณติ
มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพน้ื ฐานเกย่ี วกบั การวดั วัดและคาดคะเนขนาดของสิ่งที่

ตอ้ งการวัดและนาไปใช้
มาตรฐาน ค 2.2 เข้าใจและวิเคราะหร์ ปู เรขาคณิต สมบตั ขิ องรูปเรขาคณิต

ความสมั พันธร์ ะหวา่ งรปู เรขาคณติ และทฤษฎีบททางเรขาคณิต และนาไปใช้

สาระท่ี 3 สถติ ิและความนา่ จะเป็น
มาตรฐาน ค 3.1 เขา้ ใจกระบวนการทางสถิติและใช้ความร้ทู างสถติ ิในการแก้ปญั หา
มาตรฐาน ค 3.2 เข้าใจหลักการนับเบ้ืองตน้ ความนา่ จะเปน็ และนาไปใช้

สาระท่ี 4 แคลคูลสั
มาตรฐาน ค 4.1 เข้าใจลิมิตและความต่อเนื่องของฟงั ก์ชัน อนุพนั ธข์ องฟังกช์ ัน

และปริพนั ธข์ องฟงั ก์ชัน และนาไปใช้

ทกั ษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์
ทักษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์เปน็ ความสามารถที่จะนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการ

เรียนรู้สิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะ
และกระบวนการทางคณิตศาสตร์ในท่ีนี้ เน้นท่ีทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จาเป็น และ
ตอ้ งการพฒั นาให้เกดิ ขึ้นกบั ผูเ้ รยี น ได้แก่ความสามารถต่อไปนี้

7

1. การแก้ปัญหา เปน็ ความสามารถในการทาความเข้าใจปญั หา คิดวเิ คราะห์
วางแผนแก้ปัญหา และเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสม โดยคานึงถึงความสมเหตุสมผลของคาตอบพร้อมท้ัง
ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง

2. การส่อื สารและการส่อื ความหมายทางคณิตศาสตร์ เป็นความสามารถในการใช้รูปภาษา
และสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ในการส่ือสารส่ือความหมาย สรุปผลและนาเสนอได้อย่าง ถูกต้อง
ชดั เจน

3. การเช่ือมโยง เป็นความสามารถในการใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์เป็นเคร่ืองมือในการ
เรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์เนอ้ื หาตา่ งๆหรอื ศาสตร์อ่ืนๆและนาไปใชใ้ นชวี ิตจรงิ

4. การให้เหตุผล เป็นความสามารถในการให้เหตุผล รับฟังและให้เหตุผลสนับสนุนหรือ
โต้แย้งเพื่อนาไปสกู่ ารสรปุ โดยมขี ้อเทจ็ จริงทางคณติ ศาสตร์รองรบั

5. การคิดสร้างสรรค์ เปน็ ความสามารถในการขยายแนวคิดที่มีอยู่เดิม หรือสร้างแนวคิดใหม่
เพ่อื ปรับปรงุ พัฒนาองค์ความรู้

คณุ ภาพผู้เรยี น จบชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6
1. มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับจานวนจริง ความสัมพันธ์ของจานวนจริงสมบัติของ จานวน

จรงิ และใชค้ วามรคู้ วามเขา้ ใจน้ใี นการแก้ปัญหา ในชวี ติ จริง
2. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกับอตั ราส่วน สัดส่วน และร้อยละ และใช้ความรู้ความเข้าใจนี้ใน

การแกป้ ัญหา ในชวี ติ จรงิ
3. มคี วามรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกบั เลขยกกาลงั ท่ีมีเลขช้ีกาลงั เป็นจานวนเต็มและใช้ความรู้ ความ

เข้าใจนี้ในการแกป้ ญั หา ในชวี ิตจริง
4. มีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร และอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว

และใช้ความรูค้ วามเข้าใจนีใ้ นการแกป้ ญั หา ในชีวิตจริง
5. มคี วามร้คู วามเข้าใจเก่ียวกับค่อู ันดับ กราฟของความสัมพันธ์และฟงก์ชันกาลังสอง และใช้

ความรู้ความเขา้ ใจน้ีในการแกป้ ัญหา ในชีวิตจริง
6. มีความรู้ความเข้าใจทางเรขาคณิตและใช้เคร่ืองมือ เช่น วงเวียนและสันตรง รวมท้ัง

โปรแกรม TheGeometer’s Sketchpad หรือโปรแกรมเรขาคณิตพลวัตอื่นๆ เพื่อสร้างรูปเรขาคณิต
ตลอดจนนาความรเู้ ก่ียวกับการสรา้ งน้ีไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปญั หา ในชวี ติ จรงิ

7. มีความรู้ความเข้าใจและใช้ความรู้ความเข้าใจนี้ในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรู ป
เรขาคณิตสองมติ ิและรปู เรขาคณิตสามมิติ

8. มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องพ้ืนท่ีผิวและปริมาตรของปริซึม ทรงกระบอก พีระมิด กรวย
และทรงกลม และใชค้ วามรูค้ วามเขา้ ใจนี้ในการแกป้ ญั หาในชีวติ จรงิ

9. มีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกบั สมบัติของเส้นขนาน รูปสามเหลี่ยมท่ีเท่ากันทุกประการ รูป
สามเหลย่ี มคล้าย มุมและบทกลบั และนาความรคู้ วามเขา้ ใจนี้ไปใช้ในการแก้ปญั หาในชีวติ จริง

8

10. มีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองการแปลงทางเรขาคณิตและนาความรู้ความเข้าใจนี้ไปใช้ใน
การแก้ปญั หาในชีวิตจริง

11. มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องอัตราส่วนตรีโกณมิติและนาความรู้ความเข้าใจนี้ไปใช้ในการ
แก้ปัญหาในชีวิตจรงิ

12. มคี วามรคู้ วามเข้าใจในเรื่องทฤษฎีบทเกี่ยวกับวงกลมและนาความรู้ความเข้าใจนี้ไปใช้ใน
การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์

13. มีความรู้ความเข้าใจทางสถิติในการนาเสนอข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และแปลความหมาย
ข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับแผนภาพจุด แผนภาพต้น-ใบ ฮิสโทแกรม ค่ากลางของข้อมูล และแผนภาพกล่อง
และใช้ความรูค้ วามเข้าใจน้ี รวมท้งั นาสถติ ไิ ปใช้ในชีวติ จรงิ โดยใชเ้ ทคโนโลยที ่เี หมาะสม

14. มคี วามรูค้ วามเข้าใจเก่ยี วกบั ความน่าจะเป็นและใชใ้ นชีวิตจรงิ

ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

สาระท่ี 1 จานวนและพีชคณติ
มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจานวน ระบบจานวน การดาเนินการของ

จานวน ผลที่เกดิ ข้นึ จากการดาเนนิ การ สมบัตขิ องการดาเนินการ และนาไปใช้

ชัน้ ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ป.2 1. บอกจานวนของส่งิ ตา่ ง ๆ แสดงสิ่งตา่ ง ๆ จานวนนบั ไมเ่ กิน 1,000 และ 0
ตามจานวนที่กาหนด อ่านและเขยี นตัวเลข - การนับทีละ 2 ทีละ 4 ทีละ 10และทละ 100
ฮินดอู ารบิก ตวั เลขไทยตวั หนังสอื แสดง - การอ่านและการเขียนตัวเลขฮนิ ดูอารบกิ ตวั เลข
จานวนนบั ไม1เกนิ ไทย และตวั หนังสือแสดงจานวน

2. เปรียบเทียบจานวนนบั ไม่เกิน 1,000 - หลัก คา่ ของเลขโดดในแต่ละหลกั และ การเขียน
และ 0 โดยใชเ้ ครอ่ื งหมาย = * > < ตัวเลขแสดงจานวนในรูปกระจายการเปรยี บเทียบ
3. เรยี งลาดบั จานวนนบั ไมเ่ กิน 1,000 และ และเรียงลาตับจานวน
0 ตง้ั แต่ 3 ถึง 4 จานวนจาก สถานการณ์
ต่าง ๆ

9

4. หาคา่ ของตัวไม1ทราบคา่ ใน ประโยค การบวก การลบ การคูณ การหาร จานวนนับไม่
สญั ลกั ษณ์แสดงการบวก และประโยค เกนิ 1,000 และ 0
สัญลักษณ์แสดงการลบ ของจานวนนับไม่ - การบวกและการลบ
เกนิ 1,000 และ 0 - ความหมายของการคูณ ความหมายของ
5. หาค่าของตัวไม1ทราบค่าใน ประโยค การหาร การหาผลคณู การหาผลหาร และเศษ
สญั ลกั ษณแ์ สดงการคูณ ของจานวน 1 และความสัมพนั ธข์ องการคณู และการหาร
หลักตับจานวนไมเ่ กนิ 2 หลัก - การบวก ลบ คณู หารระคน
6. หาค่าของตัวไม1ทราบคา่ ใน ประโยค - การแก้โจทย์ปญั หาและการสรา้ ง โจทย์ปัญหา
สัญลกั ษณ์แสดงการหาร ทต่ี ัวตง้ั ไมเ่ กนิ 2 พรอ้ มทง้ั หาคาตอบ
หลัก ตวั หาร 1 หลัก โดยทีผ่ ลหารมี 1 หลกั
ทง้ั หารลงตัว และหารไมล่ งตวั
7. หาผลลพั ธ์การบวก ลบ คณู หารระคน
ของจานวนนับ ไม่เกนิ 1,000 และ 0
8. แสดงวธิ ีหาคาตอบของโจทยป์ ญั หา
2 ข้นั ตอนของจานวนนบั ไม1เกิน
1,000 และ 0

สาระที่ 1 จานวนและพชี คณติ

มาตรฐาน ค 1.2 เขา้ ใจและวเิ คราะหแ์ บบรปู ความสัมพันธ์ พงี กช์ ัน ลาดบั และอนกุ รม และนาไปใช้

ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ป.2 (มีการจดั การเรยี น การสอน เพอ่ื เปน็ แบบรูป
พ้ืนฐาน แตไ่ ม1วดั ผล) - แบบรูปของจานวนท่ีเพ่ิมขนึ้ หรอื ลดลง ทลี ะ 2 ที
ละ 5 และทลี ะ 100แบบรปู ซ้า

สาระที่ 2 การวดั และเรขาคณติ

มาตรฐาน ค 2.1 เขา้ ใจพืน้ ฐานเกี่ยวกบั การวัด วดั และคาดคะเนขนาดของสิ่งทต่ี อ้ งการวัด และ

นาไปใช้

ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ป.2 1. แสดงวธิ ีหาคาตอบของโจทยป์ ัญหา เวลา
- การบอกเวลาเปน็ นาฬิกาและนาที (ช่วง 5 นาท)ี
เกีย่ วกบั เวลาท่มี หี น่วยเด่ยี วและ เปน็ หน่วย - การบอกระยะเวลาเปน็ ชว่ั โมง เปน็ นาที
เดยี วกัน - การเปรยี บเทยี บระยะเวลาเป็นชว่ั โมง เป็นนาที

- การอา่ นปฏิทนิ
การแกโจทยป์ ญั หาเก่ยี วกบั เวลา

10

2. วัดและเปรียบเทยี บความยาวเป็นเมตร ความยาว
และเซนตเิ มตร - การวดั ความยาวเปน็ เมตรและเซนติเมตร
3. แสดงวธิ ีหาคาตอบของโจทยป์ ัญหา การ - การคาดคะเนความยาวเปน็ เมตร
- การเปรียบเทียบความยาวโดยใช่ ความสัมพนั ธ์
บวก การลบเก่ยี วกับความยาวที่มี หน่วย ระหว่างเมตรกบั เซนติเมตรการแกโจทย์ปญั หา
เปน็ เมตรและเซนตเิ มตร เกย่ี วกับความยาว ท่ีมีหนว่ ยเป็นเมตรและ

เซนติเมตร
4. วดั และเปรยี บเทยี บน้าหนักเปน็ กิโลกรมั น้าหนกั
และกรัม กโิ ลกรมั และขีด - การรัดนา้ หนกั เปน็ กิโลกรัมและกรัม กโิ ลกรมั และ
5. แสดงวิธีหาคาตอบของโจทยป์ ็ญหา การ ขีด
บวก การลบเกี่ยวกับนา้ หนักที่มี หน่วยเปน็ - การคาดคะเนน้าหนักเป็นกิโลกรมั
กโิ ลกรัมและกรมั กิโลกรัม และขดี - การเปรียบเทยี บน้าหนักโดยใช้ความสมั พนั ธ์

ระหวา่ งกโิ ลกรัมกับกรมั กิโลกรัมกับขดี
การแกโจทยป์ ญ็ หาเก่ยี วกับน้าหนกั ท่ีมี หน่วยเปน็
กโิ ลกรมั และกรัม กิโลกรมั และขีด
6. รดั และเปรยี บเทียบปรมิ าตรและความจุ ปริมาตรและความจุ
เปน็ ลติ ร - การรดั ปรมิ าตรและความจโุ ดยใชห้ น่วย ที่ไม1ใช่
หนว่ ยมาตรฐาน
- การรดั ปรมิ าตรและความจุเป็นช้อนซา ช้อนโตะ๊
ถ้วยตวง ลิตร
- การเปรยี บเทียบปริมาตรและความจุเป็น ช้อนซา
ช้อนโตะ๊ ถ้วยตวง ลติ ร
การแก้โจทย์ปญ็ หาเกี่ยวกับปริมาตรและ ความจุ ท่ี
มีหน่วยเปน็ ช้อนซา ช้อนโตะ๊ ถ้วยตวง ลติ ร

สาระที่ 2 การวัดและเรขาคณิต

มาตรฐาน ค 2.2 เขา้ ใจและวิเคราะห์รูปเรขาคณิต สมบัตขิ องรูปเรขาคณิต ความสมั พันธร์ ะหวา่ ง

รปู เรขาคณติ และทฤษฎบี ททางเรขาคณิต และนาไปใข้

ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ป.2 1. จาแนกและบอกลักษณะของ รปู หลาย รปู เรขาคณิตสองมิติ
- ลักษณะของรูปหลายเหลยี่ ม วงกลม และวงรี และ
เหลี่ยมและวงกลม
การเขียนรปู เรขาคณิตสองมิติ โดยใชแ้ บบของรูป

สาระที่ 3 สถติ แิ ละความนา่ จะเปน็

มาตรฐาน ค 3.® เขา้ ใจกระบวนการทางสถิติ และใชค้ วามร้ทู างสถิตใิ นการแก้ปีญหา

ช้นั ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

ป.2 1. ใชข้ อ้ มลู จากแผนภมู ริ ปู ภาพในการหา การนาเสนอข้อมูล
คาตอบ ของโจทย์ปูญหาเมื่อกาหนดรูป 1
- การอา่ นแผนภูมิรูปภาพ
รูป แทน 2 หนว่ ย 5 หนว่ ย หรือ 10 หน่วย

11

คาอธบิ ายรายวิชาพ้นื ฐาน คณติ ศาสตร์

รหสั วิชา ค12101 รายวชิ า คณติ ศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นร้คู ณติ ศาสตร์
ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 2 เวลา 200 ช่วั โมง

ศึกษาเกี่ยวกับการบอกจานวนของส่ิงต่างๆ แสดงสิ่งต่างๆ ตามจานวนที่กาหนด การอ่านและ
เขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทย ตัวหนังสือแสดงจานวนนับไม่เกิน 1,000 และ 0 การเปรียบเทียบ
จานวนนับไม่เกิน 1,000 และ 0 โดยใช้เครื่องหมาย = ≠ > < การเรียงลาดับจานวนนับไม่เกิน 1,000
และ 0 ต้ังแต่ 3 ถึง 4 จานวน จากสถานการณ์ต่างๆ การหาค่าของตัวไม่ทราบค่าในประโยคสัญลักษณ์
แสดงการบวก และประโยคสัญลักษณ์แสดงการลบ ของจานวนนับไม่เกิน 1,000 และ 0 การหาค่าของ
ตัวไม่ทราบค่าในประโยคสัญลักษณ์แสดงการคูณ ของจานวน 1 หลัก กับจานวนไม่เกิน 2 หลัก การหา
ค่าของตัวไม่ทราบค่าใน ประโยคสัญลักษณ์แสดงการหาร ที่ตัวต้ังไม่เกิน 2 หลัก ตัวหาร 1 หลัก โดยท่ี
ผลหารมี 1 หลักท้ังหารลงตัว และหารไม่ลงตัว การหาผลลัพธ์การบวก ลบ คูณ หารระคน ของจานวน
นับ ไม่เกิน 1,000 และ 0 การแสดงวิธีหาคาตอบของโจทย์ปัญหา 2 ขั้นตอนของจานวนนับไม่เกิน
1,000 และ 0 แบบรูปของจานวนที่เพ่ิมข้ึนหรือลดลง ทีละ 2 ทีละ 5 และทีละ 100 แบบรูปซ้า การ
แสดงวิธีหาคาตอบของโจทย์ปัญหา เกี่ยวกับเวลาที่มีหน่วยเดี่ยวและเป็นหน่วยเดียวกัน การวัดและ
เปรียบเทียบความยาวเป็นเมตร และเซนติเมตร การแสดงวิธีหาคาตอบของโจทย์ปัญหา การบวก การ
ลบเก่ียวกับความยาวท่ีมี หน่วยเป็นเมตรและเซนติเมตร การวัดและเปรียบเทียบน้าหนักเป็นกิโลกรัม
และกรัม กิโลกรัมและขีด การแสดงวิธีหาคาตอบของโจทย์ปัญหา การบวก การลบเกี่ยวกับน้าหนักท่ีมี
หนว่ ยเปน็ กโิ ลกรัมและกรมั กโิ ลกรมั และขีด การวัดและเปรียบเทียบปริมาตรและความจุ เป็นลิตร การ
จาแนกและบอกลักษณะของ รูปหลายเหล่ียมและวงกลม การใช้ข้อมูลจากแผนภูมิรูปภาพในการหา
คาตอบ ของโจทยป์ ญั หาเมอ่ื กาหนดรปู 1 รปู แทน 1 หน่วย 5 หนว่ ย หรือ 10 หน่วย

โดยใช้กระบวนการทางคณิตศาสตร์ในการบอกจานวน จาแนก วัด เปรียบเทียบ เรียงลาดับ
จานวน หาค่าของตัวไม่ทราบค่า หาผลลัพธ์การบวก ลบ คูณ หารระคน แสดงวิธีหาคาตอบ ระบุ
จานวนทห่ี ายไปในแบบรูป และใชข้ ้อมูลจากแผนภูมริ ปู ภาพในการหาคาตอบ บูรณาการกระบวนการคิด
สร้างสรรค์ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม กระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการสร้างความ
ตระหนัก การให้เหตุผลอิงหลักการ การฝึกปฏิบัติ ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการระหว่างกลุ่ม
สาระ

เพ่อื ให้ผู้เรียนมที กั ษะในการสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ในสถานการณ์ต่างๆ มีความสามารถ
ในการคิดแก้ปัญหา ใฝุเรียนรู้ มุ่งมั่นในการทางานทางคณิตศาสตร์ และนาทักษะทางคณิตศาสตร์ไปใช้
ในชีวติ ประจาวัน

12

ตวั ชี้วัด
ค 1.1 ป.2/1, ป.2/2, ป.2/3, ป.2/4, ป.2/5, ป.2/6, ป.2/7, ป.2/8
ค 2.1 ป.2/1, ป.2/2, ป.2/3, ป.2/4, ป.2/5, ป.2/6
ค 2.2 ป.2/1
ค 3.1 ป.2/1

รวม 16 ตวั ชี้วดั

เอกสารทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั คณิตศาสตร์
1. ความหมายของคณิตศาสตร์
วันดี นิลพิมาย (2550 : 19) ได้ให้ความหมายของคณิตศาสตร์ว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่

เกี่ยวข้องกับการคานวณท่ีใช้ตัวเลขและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ในการส่ือความหมายเพ่ือพัฒนา
ความรู้ความคิด ความเข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ เป็นเคร่ืองมือท่ีแสดงความคิดออกมาอย่างมีระเบียบ
มีเหตผุ ลและนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั

นงเยาว์ ศรีทอง (2553 : 13) ได้กล่าวว่า คณิตศาสตร์หมายถึง กลุ่มวิชาต่าง ๆ ท่ีว่าด้วย
การคิดคานวณ การใช้กระบวนการคิดเป็นพ้ืนฐานของวิทยากรทุกสาขา สามารถนาวิชาคณิตศาสตร์ไป
ใชก้ บั วชิ าอน่ื ได้ และสาามารถแสดงความเป็นเหตุเป็นผล เป็นระเบียบ มีวิธีการ และหลักการท่ีแน่นอน
ใชส้ ัญลักษณ์ในการส่อื ความหมาย เปน็ เครงื่ อมอื ที่ช่วยให้ผูเ้ รยี นคิดอยา่ งมเี หตผุ ล มีความคิดริเร่ิม ดังน้ีน
การเรยี นการสอนคณิตศาสตรจ์ ะต้องสมั พนั ธ์ และเดย่ี วขอ้ งกับชวี ิตประจาวนั

คณิตศาสตร์ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2554 (ราชบัณฑิตยสถาน.
2554 : 99) ได้ให้ความหมายว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยการคิดคานวณซึ่งมีความหมายท่ีทาให้
เรามองเหน็ คณิตศาสตร์ อยา่ งแคบ มไิ ด้รวมถึงขอบข่ายของคณิตศาสตร์ซ่งึ เรายอมรับกันในปัจจบุ ัน

จากความหมายของคณิตศาสตร์ สรุปได้ว่าคณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่มีโครงสร้าง คณิตศาสตร์
จะเร่ิมต้นด้วยเร่ืองง่ายก่อน เช่น เริ่มต้นด้วยการบวก การลบ การคูณ การหาร เร่ืองง่ายๆ นี้จะเป็น
พน้ื ฐานนาไปสเู่ รือ่ งอืน่ ๆ ตอ่ ไป เช่น เรอื่ งเศษสว่ น ทศนิยม ร้อยละ เป็นตน้

2. ความสาคัญของคณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์เป็นวชิ าทม่ี คี วามสาคัญเปน็ อยา่ งยง่ิ วิชาหนงึ่ ซงึ่ มีความจาเป็นตอ่ ชีวติ ความเปน็ อยู่ของ
มนุษย์ และเปน็ เครือ่ งมอื สาคญั ในการปลกู ฝงั อบรมใหน้ ักเรยี น ได้มคี วามละเอียดรอบคอบ รูจ้ กั คิดอย่างมี
เหตุผล เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้วชิ าตา่ ง ๆ ในอันที่จะดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และส่ิงท่ี
สาคญั ทส่ี ดุ คอื เปน็ มรดกทางวัฒนธรรมทส่ี บื ทอดตอ่ มาจนถงึ เยาวชนรุ่นหลงั ฉะนน้ั การวาง รากฐานทาง
คณิตศาสตร์ในระดับช้นั ประถมศึกษา จึงนับว่ามคี วามสาคัญมากเพราะจะช่วยให้เด็กดารงชีวิตไดอ้ ยา่ งมี
ความสุขในสงั คมปัจจบุ นั
วันดี นิลพิมาย (2550 : 23) กล่าวว่า คณิตศาสตร์มีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตของ
คนเราเป็นอย่างมาก ท้ังน้ีเพราะคณิตศาสตร์ช่วยพัฒนาความคิดของผู้เรียนให้สามารถคิดได้อย่างมี
ระบบและนาเสนอผลการคิดนัน้ อยา่ งมขี น้ั ตอน พร้อมทั้งฝึกให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่มีจิตใจท่ีละเอียดอ่อน ช่วย
พฒั นาคุณภาพชีวติ ใหด้ ีข้นึ

13

ทิศนา แขมมณี (2550 : 69) คณิตศาสตร์น้ันมีความสาคัญกับชีวิตประจาวันเพ่ือการดาเนิน
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ท่ีเกดิ ข้ึนเพอ่ื พฒั นาบุคคลในสังคมให้เกิดการแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ
ซอ้ื การขาย การคานวณสิ่งปลกู สร้าง ซ่งึ คณติ ศาสตร์เป็นพ้นื ฐานในการหาข้อสรุปเพื่อให้เกิดช้ินงานต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อสนองตอบต่อส่ิงท่ีบุคลต้องการให้เป็นไม่ว่าจะเป็นส่ิงก่อสร้าง ส่ิงอานวยความ
สะดวกสบายทเ่ี กดิ ขน้ึ จากข้อความขา้ งตน้ จะเสนอความสอดคล้องของคณติ ศาสตรก์ ับชวี ติ ประจาวัน

นงเยาว์ ศรีทอง (2553 : 15) กล่าวว่า คณิตศาสตร์ทาให้ผู้เรียนได้ฝึกวิธีการใช้ความคิด
พิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ ได้โดยการใช้เหตุผลด้วยความเป็นธรรมปราศจากการมีอคติในการแก้ปัญหา
ตา่ ง ๆ ผ้เู รียนไดเ้ รยี นไดพ้ ูดตามท่ีคิดอย่างเป็นระบบและวิธีการที่ถูกต้อง ใช้เป็นพื้นฐานในการประกอบ
อาชพี การดารงชีวิตและเป็นพื้นฐานในการเรียนรศู้ าสตร์อืน่ ๆ ไดอ้ ย่างตอ่ เนือ่ งตลอดชวี ิต

สรุปได้ว่า วิชาคณิตศาสตร์มีความสาคัญท้ังในด้านการพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักใช้ความคิด
เหตุผลเพื่อท่ีจะพัฒนาวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ และพัฒนาผู้เรียนให้เห็นคุณค่าของความงามใน
ระเบียบการใช้ความคิด โครงสร้างของวิชาที่จัดไว้อย่างกลมกลืน อันจะส่งผลถึงการสร้างจิตใจของ
มนษุ ยใ์ ห้มีความละเอียด รอบคอบ และสุขมุ เยอื กเยน็ เมื่อผู้เรียนได้ผา่ นการเรียนในวชิ าคณิตศาสตร์

3. ธรรมชาติของคณิตศาสตร์
วันดี นลิ พิมาย (2550 : 23) กล่าวว่า ธรรมชาติของคณิตศาสตร์เป็นวิชาท่ีมีลักษณะเน้ือหา
ทเี่ ป็นนามธรรมมคี วาม มคี วามคิดรวบยอด มีโครงสร้าง เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน สมบูรณ์ในตัวเอง
มีความเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์มากมาย ตลอดจนเป็นวิชาทักษะท่ีต้องอาศัยการฝึกฝน ดังน้ันในการ
จัดการเรียนการสอนจึงจาเป็นต้องจัดให้เป็นไปตามลาดับขั้นตอนของการเรียนรู้ โดยอาศัยพื้น
ฐานความรู้เดิมในการเรียนรู้เรื่องใหม่ เพื่อเป็นการสร้างความคิดความเข้าใจ วิธีการสอนแต่ละเร่ืองน้ัน
ต้องเร่มิ จากรปู ธรรม กงึ่ นามธรรม ไปสนู่ ามธรรม หรือสัญลักษณ์ เพือ่ เป็นการสร้างความคิด ความเข้าใจ
ให้เกิดขึน้ กับนกั เรยี น จากน้ันจงึ จดั ใหม้ ีการฝึกทักษะ เพ่ือใหเ้ กดิ ความสามารถทางการคิดอย่างเท่ียงตรง
แม่นยาและรวดเรว็
สมเดช บญุ ประจกั ษ์ (2551 : 8-10 ) กล่าววา่ โครงสรา้ งของคณิตศาสตร์ท่ีสมบูรณ์นั้นมีกาเนิดมาจาก
ธรรมชาติ จากปรากฏการณ์ในธรรมชาติที่มนุษย์สังเกตเห็น แล้วนามาสร้างเป็นแบบจาลองทางคณิตศาสตร์
เรียกว่าระบบคณิตศาสตร์ โดยมีเปูาหมายเพื่อแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนของธรรมชาติ ซึ่งแบบจาลองทางคณิตศาสตร์
ประกอบด้วยคาอนิยาม บทนิยาม และสัจพจน์ซ่ึงเป็นข้อตกลงเบ้ืองต้น จากน้ันใช้ความรู้เก่ียวกับ ตรรกศาสตร์
สรุปออกมาเป็นกฎหรือทฤษฎีบทแล้วนา กฎหรือทฤษฎี เหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ กับธรรมชาติต่อไป ซึ่งวิธี
ดงั กล่าวจะทาให้เราเข้าใจธรรมชาติได้ดยี งิ่ ขึน้ และนา ธรรมชาตไิ ปใช้ประโยชน์ได้
มาลินี อุ่นสี (2552 : 16) กล่าวว่า การเรียนรู้คณิตศาสตร์มีบทบาทสาคัญย่ิงต่อการพัฒนาความคิด
ของมนุษย์ ทาให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระเบียบ มีแบบแผน สามารถคิดแก้ปัญหา
และสถานการณ์ได้อย่าง ถี่ถ้วนรอบคอบ ทาให้สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ และแก้ปัญหาได้อย่าง
ถูกต้องเหมาะสม
สรุปได้ว่า คณิตศาสตร์มีลักษณะวิชาเป็นนามธรรมมีความคิดรวบยอด โครงสร้างเป็นเหตุเป็น
ผลต่อกันต้องเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ และเป็นวิชาทักษะช่วยให้นักเรียนเกิดความสามารถในการคิดคานวณ
แต่ต้องอาศัยการฝกึ ฝนบ่อย ๆ และควรฝกึ ภายหลังจากเข้าใจหลักการ และกระบวนการตา่ ง ๆ ดีแลว้

14

4. ประโยชนข์ องคณิตศาสตร์
พิสมัย ศรอี าไพ (2550 : 17) ไดก้ ล่าวถงึ ประโยชน์ของคณิตศาสตร์ ไว้ดังน้ี

1. ประโยชน์ของคณิตศาสตร์ในแง่ที่ใช้ในชีวิตประจาวันซ่ึงทุกคนทราบดี คือ ทาให้บวกลบ
คูณ หาร เป็นความสามารถท่ีใช้ในชีวิตประจาวันของคนทุกระดับช้ัน และทุกอาชีพบางคร้ังเราใช้ใน
ชวี ิตประจาวันโดยไม่ร้ตู ัว เช่น การดเู วลา การหาระยะทาง การซ้ือขาย การกาหนดรายรับรายจ่ายใน
ครอบครัว หรือแม้แต่การเล่นกีฬา เป็นต้น นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือปลูกฝังและอบรมให้
ผู้เรียนมที ัศนคติ และความสามารถทางสมอง เชน่ ความเป็นคนชา่ งสงั เกต การคิดอย่างมีเหตุและผล และ
แสดงความคดิ ออกมาอย่างเปน็ ระเบยี บและชัดเจนตลอดจนความสามารถในการวิเคราะห์ปญั หา เป็นต้น

2. ประโยชน์ในแง่ประเทืองสมอง ผู้ที่ศึกษาคณิตศาสตร์สูงข้ึนจะเห็นว่าเน้ือหาของ
คณิตศาสตรบ์ างตอน ไมส่ ามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้โดยตรงแต่เนื้อหาเหล่าน้ันเป็นสิ่งที่จะช่วยฝึกให้คน
เป็นคนฉลาดขึ้น คนเราได้ช่ือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะคนเรารู้จักคิดอย่างมีเหตุผลเหนือสัตว์
ท้งั ปวง และการทคี่ ดิ ได้อย่างถูกต้องอย่างมีเหตุผลมากน้อยเพียงใดน้ันขึ้นอยู่กับการฝึกฝนทางสมองวิชา
คณติ ศาสตร์เป็นวชิ าทเี่ ราจะหาประสบการณไ์ ด้ โดยการจัดเน้อื หาคณิตศาสตร์ในแต่ละพ้ืนฐานและจัดให้
สัมพนั ธก์ นั เนอ้ื หาทกี่ าหนดไว้ในแต่ละพ้ืนฐานเป็นเรื่องที่ต้องใช้หรือเก่ียวข้องกับชีวิตประจาวันเช่น เงิน เวลา
การชง่ั การตวง การวัดความยาว พื้นที่ แผนภูมิ การบวก ลบ คูณ หาร ฯลฯ การจัดเนื้อหาในแต่ละ
ระดับช้ันได้จัดให้สอดคล้องและเหมาะสมกับวัยและวุฒิภาวะของผู้เรียน เนื้อหาแต่ละเรื่องที่จัดไว้ในช้ัน
ตา่ ง ๆ จะมีลักษณะทบทวนเน้ือหาเดมิ ทเ่ี คยเรียนมาแล้วในชนั้ ก่อน ดังน้ัน การเรียน การสอนในแต่ละเรื่อง
มิได้เรียนเพียงครั้งเดียวแล้วยุติ แต่จะซ้าและทบทวนแล้วจึงเพ่ิมรายละเอียดของเนื้อหาน้ัน ๆ ให้
เหมาะสมกบั วัยและชน้ั เรียนทสี่ งู ข้นึ

สมเดช บุญประจกั ษ์ (2551 : 12 ) กลา่ วถงึ ประโยชนข์ องคณติ ศาสตรท์ ีส่ าคัญ ดังน้ี
1. ประโยชน์ในแงท่ ี่เป็นความรทู้ ี่นาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวัน การดารงชีวติ ประจาวัน

ของมนษุ ย์ ต้องอาศยั ความรู้ทางคณติ ศาสตรไ์ ม่ว่าจะเปน็ ความรู้เกยี่ วกับจานวนหรือตวั เลขการชง่ั
การตวง การวดั ความรู้ทางเรขาคณิต พชี คณิต สถิติ เวลา และเงนิ

2. ประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาชีพทุกอาชีพ ล้วนต้องใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ เช่น
วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ สถิติ ฯลฯ เพราะคณิตศาสตร์ จะเป็นเคร่ืองมือในการ
พฒั นาวชิ าชีพเหล่าน้นั ใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ยิ่งข้นึ ตวั อยา่ งความรู้คณิตศาสตรท์ ี่ที่นาไปใชใ้ นวชิ าชีพตา่ งๆ

3. ประโยชน์ในแง่ของการปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีงาม คณิตศาสตร์สามารถนามาฝึกและ
พัฒนาให้ผู้เรียนเป็นผู้มีนิสัย ทัศนคติหรือความสามารถทางสมองหลายประการ เช่นการเป็นคนช่าง
สังเกต การคิดวิเคราะห์และการสังเคราะห์การคิดอย่างมีเหตุผล การนาเสนอแนวคิดอย่างเป็นระบบ
ชดั เจนตรวจสอบไดแ้ ละนาแนวคิดทางคณติ ศาสตร์ไปใชไ้ ด้

4. ประโยชน์ในแง่การเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่ค้นพบจากคน
รุ่นหนึ่งสืบทอดไปยังคนรุ่นหลังๆ บางเร่ืองอาจศึกษาโดยไม่คานึงถึงผล ท่ีจะนาไปใช้แต่ศึกษา เพ่ือให้รู้
ระบบการคิด หรือเพื่อชื่นชมหรือสร้างความภูมิใจ ในผลงานของคณิตศาสตร์ท่ีมีต่อวัฒนธรรม และ
ความกา้ วหนา้ ของมนษุ ย์

15

มาลินี อุ่นสี (2552 : 18) กล่าวไว้ว่า คณิตศาสตร์มีประโยชน์ในการดารงชีวิตประจาวัน ใช้ใน
การประกอบอาชีพ เป็นเครื่องมือปลูกฝังและอบรมให้ผู้เรียนมีความสามาถทางสมองให้เป็นผู้มีความคิด
เฉลียวฉลาด สามารถตัดสินใจในการแกป้ ัญหาต่าง ๆ ได้อยา่ งมเี หตุผลและเป็นระเบียบชัดเจน

สรุปได้ว่า คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ท่ีมีลักษณะเป็นนามธรรม ต้องอาศัยกติกาหรือข้อตกลง
ในการศึกษาโดยยึดตามโครงสร้างที่กาหนด และข้อตกลงเพื่อนาไปสู่ข้อสรุป และระบบคณิตศาสตร์
สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง ท้ังในแง่ของการดาเนินชีวิตและใช้เป็นเคร่ืองมือ ใน
การศึกษาหาความรตู้ ่อไป

5. หลกั การสอนคณติ ศาสตร์
กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ คือ
การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิดและแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการ สื่อและ
เทคโนโลยีต่างๆ ตามความถนัดและสนใจ การจัดสาระการเรียนรู้ ผู้สอนจึงควรจัดให้มีหลากหลาย ผู้เรียนเลือก
เรยี นไดต้ ามความสนใจ รปู แบบของการจัดกจิ กรรมมคี วามหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ร่วมกันท้ังช้ัน เรียน
เปน็ กลุ่มยอ่ ย เรียนเป็นรายบคุ คล สถานทท่ี ี่จัดควรมีทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียน บริเวณสถานศึกษา มีการจัด
ให้ผู้เรียนได้ไปศึกษาค้นคว้าในแหล่งวิทยาการต่างๆ ที่อยู่ในชุมชนและในท้องถิ่นจัดให้สอดคล้องกับเน้ือหาวิชา
และความเหมาะสมของผู้เรียน ฝึกให้ผู้เรียนคิดเป็น ทาเป็น รู้จักการบูรณาการความรู้ต่างๆ เพ่ือให้เกิดองค์
ความรู้ใหม่ ท้ังทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมและลักษณะอันพึงประสงค์ ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักประเมินผลงานและ
ปรับปรุงงาน ตลอดจนสามารถนาความรู้และประสบการณ์ไปใช้ในชีวิตประจาวันและอยู่ในสังคมได้อย่างมี
ความสขุ
ชมนาด เชื้อสวุ รรณทวี (2552 : 15-26) ได้กล่าวถึง หลกั การสอนคณติ ศาสตร์ดังตอ่ ไปนี้

1. สอนโดยการส่ือความหมาย ต้องรูจ้ ักตีความ และสามารถอธิบายให้ผู้เรยี นเข้าใจได้
2. สอนโดยการนาเขา้ สู่บทเรียน ก่อนทจ่ี ะเริ่มดาเนินการสอน ผู้สอนกระตุน้ ควรให้
ผู้เรียนสนใจ ให้มีความพรอ้ มทจี่ ะรม่ กจิ กรรมการเรียนการสอน การนาเขา้ ส่บู ทเรยี นทาได้หลายวิธี เช่น
ทบทวนเนื้อหาที่เรียนไปแล้วซึ่งสัมพันธ์กับเน้ือหาใหม่ท่ีกาลังจะเรียน การสนทนาซักถาม ตั้งปัญหาให้
อภปิ ราย เล่าเร่ือง ใชส้ ่ือการสอน ดูภาพของจริง ฯลฯ
3. สอนโดยใช้คาถาม เป็นสิ่งท่สี าคญั มากในการสอนคณติ ศาสตรไ์ มว่ ่าครจู ะเลือก
วธิ กี ารสอนใด กจ็ ะต้องใชก้ ารตั้งคาถามสอดแทรกอยูต่ ลอดเวลา
4. สอนโดยยกตัวอย่าง ชว่ ยให้นักเรียนเขา้ ใจเร่ืองที่เป็นนามธรรมให้ชดั เจนมากขน้ึ
5. ส่อื การสอน ข้ึนอยู่กับการเลือกใช้ส่ือและวิธกี ารใช้สอื่ ซึ่งจะชว่ ยให้การเรียน
การสอนดาเนินไปด้วยความรวดเร็ว ประหยัดเวลาและเรยี นเขา้ ใจง่ายขึน้
6. สอนใหผ้ ้เู รียนคานวณได้อย่างมรี ะบบถกู ต้องตามโครงสร้างทางคณติ ศาสตร์
การท่ีผู้เรยี นแตล่ ะคนจะสามารถคานวณไดอ้ ยา่ งถูกต้องรวดเร็ว แม่นยา ข้นึ อยู่กับระดบั สตปิ ญั ญา
ความรพู้ ้นื ฐานเดิม และความสามารถของแตล่ ะบุคคล ซึ่งครูจะมีส่วนช่วยนกั เรียนได้ โดยการสอนให้
นักเรยี นได้มโี อกาสฝึกคิดอยา่ งมรี ะบบตามลาดับข้นั ตอน
7. สอนโดยการใหแ้ รงจูงใจและเสรมิ กาลังใจ แรงจูงใจ และกาลงั ใจเป็นสิง่ สาคัญ
ทีจ่ ะนาผูเ้ รียนไปสู่ความสาเร็จในการเรียนคณติ ศาสตร์

16

8. สอนโดยการให้ผูเ้ รยี นสรุปบทเรยี นจะทาใหผ้ สู้ อนได้ทราบว่านักเรียนสามารถ
ทาความเข้าใจได้อย่างถูกต้องหรือไม่ และเป็นการย้าให้ชัดเจนย่ิงข้ึน ถ้ามีข้อบกพร่องผู้สอนจะ
สามารถแกไ้ ขได้

9. สอนโดยการแกป้ ัญหาในชน้ั เรียนการควบคมุ ชนั้ เรยี นให้ดาเนนิ กจิ กรรมอยา่ ง
ราบรื่น ใหผ้ ูเ้ รียนมีส่วนร่วมในกจิ กรรม ให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นร้เู ป็นสง่ิ สาคัญมากในการเรยี นการสอน

ทิวาพร สกุลฮูฮา (2552 : 18 - 20) ได้ทาการวิจัยเร่ือง การพัฒนากิจกรรมการแก้โจทย์ปัญหา
คณติ ศาสตร์ เรื่อง บทประยุกต ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ท่ีเน้นกระบวนการ
แก้ปัญหาของโพลยา ผลการวิจัยพบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ต้องเข้าใจธรรมชาติการ
เรียนรู้ของนักเรียนในแต่ละช่วงวัย และจัดการเรียนจากสิ่งท่ีเป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมให้มากท่ีสุด เรียง
เนื้อหาจากง่ายไปส่เู นอ้ื หาทยี่ าก พยายามใหน้ ักเรียนไดไ้ ด้เช่อื มโยงส่งิ ท่ีเรยี นไปสู่สิง่ ท่ีมีอยใู่ นชวี ิตประจาวัน และการ
จดั การเรยี นทเ่ี น้นทกั ษะเรียนร้มู ากกว่าการท่องจา จากหลักการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตรร์ ะดบั
ประถมศกึ ษาดงั กลา่ ว พอสรปุ เป็นเปน็ หลักกากรจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ดังน้ี

1) ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรคานึงถึงความแตกต่างของนักเรียน ไม่ว่าจะ
เปน็ ความพรอ้ มทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สตปิ ญั ญา ความต้องการ ความสามารถ และความถนดั
ของผู้เรียนเป็นสาคญั

2) การจัดกิจกรรม ต้องจดั ให้มคี วามยากง่าย เหมาะสมกับวัยของนักเรยี น ถ้ากจิ กรรม
ยากจนเกนิ ไป จะทาใหน้ ักเรยี นไมส่ ามารถบรรลุจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ แตถ่ ้ากจิ กรรมงา่ ยเกินไป
จะทาให้นักเรยี นไม่เกดิ ทักษะการเรยี นรู้

3) กิจกรรมท่ีจัดควรเป็นกิจกรรมที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการศึกษาค้นคว้า หรือหาข้อสรุป
ร่วมกนั

4) การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนที่ดี ควรเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นมสี ่วนรว่ มในการ
วางแผนรว่ มกับครูผูส้ อน เพราะจะเป็นไปตามความสนใจและความถนดั ของผู้เรียน

5) กิจกรรมหรือเนื้อหาที่สอน ครูควรใช้ของจริงหรือสอนจากรูปธรรมไปหานามธรรมให้
มากท่ีสุด เรียงเนื้อหาจากง่ายไปหายาก เพ่ือท่ีจะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยความเข้าใจและง่ายต่อการ
เรียนรู้

6) การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนควรประกอบด้วยทักษะทักษะท่ีสาคัญ ได้แก่ ทักษะ
การเชื่อมโยง การแกป้ ัญหา การให้เหตผุ ล การส่อื สาร การนาเสนอ และความคิดรเิ รมิ่ สร้างสรรค์

7) ฝึกให้นักเรียนไดเ้ ชื่อมโยงประสบการณ์ จากการเรยี นรไู้ ปสู่การดาเนินชีวิต
ประจาวัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2553 : 3 – 6) ปัญหาทางชคณิต
ศาสตร์ เปน็ สถานการณ์หรอื คาถามท่ีต้องการคาตอบซึ่งบุคคลต้องใชส้ าระความรู้ และประสบการณ์ทาง
คณิตศาสตร์มากาหนดแนวทางหรือวิธีการในการหาคาตอบ บางสถานการณ์เป็นปัญหาสาหรับบางคน
แต่อาจไม่เป็นปัญหาสาหรับคนอ่ืนๆ ก็ได้ ซึ่งการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็นการหาวิธีการเพื่อให้ได้
คาตอบของปัญหา ซ่ึงผู้แก้ปัญหาจะต้องใช้ความรู้ ความคิดทางคณิตศาสตร์ท่ีมีอยู่มาผสมผสานกับ
ข้อมูลต่าง ๆ ที่กาหนดในปัญหาเพื่อกาหนดวิธีการหาคาตอบของปัญหา กระบวนการแก้ปัญหาทาง
คณติ ศาสตรซ์ ่งึ เป็นท่ยี อมรับและนามาใช้กัน อย่างแพร่หลาย คือกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของ

17

โพลยา ประกอบด้วยขั้นตอนสาคัญสี่ข้ันตอนที่เรียกว่า กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา มี
สาระสาคญั ดังน้ี

1. ทาความเข้าใจปัญหา เป็นการมองไปที่ตัวปัญหาพิจารณาว่าปัญหาต้องการอะไร
ปัญหากาหนดอะไรบ้าง มีสาระความรใู้ ดท่เี กย่ี วข้องบา้ ง คาตอบของปญั หาจะอยใู่ นรูปแบบใด
การทาความเข้าใจปัญหาอาจใช้วิธีการต่างๆ ช่วย เช่น การเขียนรูป เขียนแผนภูมิ การเขียนสาระของ
ปญั หาดว้ ยถอ้ ยคาของตนเอง

2. วางแผน เป็นข้ันตอนสาคัญที่ต้องพิจารณาว่าจะแก้ปัญหาด้วยวิธีใดจะแก้ปัญหา
อย่างไร ปัญหาที่กาหนดให้น้ีมีความสัมพันธ์กับปัญหาท่ีมีประสบการณ์ในการแก้มาก่อนหรือไม่ข้ันวางแผน
เป็นข้ันตอนท่ีผู้แก้ปัญหาพิจารณาความสัมพันธ์ของส่ิงต่างๆในปัญหาผสมผสานกับประสบการณ์ในการ
แกป้ ัญหาทผี่ แู้ กป้ ัญหามอี ยูก่ าหนดแนวทางในการแก้ปัญหา และเลือกยทุ ธวิธีแกป้ ัญหา

3. ดาเนินการตามแผน เป็นข้ันตอนที่ลงมือปฏิบัติตามแผนท่ีวางไว้โดยเร่ิมจากการ
ตรวจสอบความเป็นไปได้ของแผน เพ่ิมเติมรายละเอียดต่างๆ ของแผนให้ชัดเจน แล้วลงมือปฏิบัติ
จนกระทงั่ สามารถหาคาตอบได้ หรือค้นพบวิธีการแกป้ ญั หาใหม่

4. ตรวจสอบเป็นขั้นตอนที่ผู้แก้ปัญหามองย้อนกลับไปที่ข้ันตอนต่างๆที่ผ่านมาเพื่อ
พิจารณาความถูกต้องของคาตอบ และวิธีการแก้ปัญหา พิจารณาว่ามีคาตอบ หรือมีวิธีการแก้ปัญหาอย่าง
อื่นอีกหรอื ไมพ่ ิจารณาปรบั ปรุงแก้ไขวธิ แี กป้ ัญหาให้กะทัดรดั ชดั เจน เหมาะสมข้ึนกว่าเดิม

จะเห็นได้วา่ ในการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ครูต้องคานึงถึงทฤษฎีการสอนคณิตศาสตร์ควบคู่ไป
กับจติ วทิ ยาในการเรยี นการสอนดว้ ยจงึ จะตอบสนองความต้องการของเด็กได้

6. วิธีสอนคณิตศาสตร์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546 : 30) นอกจากแนวการจัดการ
เรียนรู้และแนวการพฒั นาทักษะ กระบวนการต่างๆ ผู้สอนยังต้องคานึงถึงขั้นตอนการเรียนรู้ของผู้เรียน
การจดั การเรียนการสอนในแต่ละเน้ือหาทอ่ี าจแสดงเป็นขั้นตอนใหญๆ่ สรปุ เป็นขน้ั ตอนไดด้ งั น้ี

ขน้ั ที่ 1 ทบทวนพ้นื ฐานความร้เู ดิม เป็นการเตรียมความพร้อมของผู้เรียนว่ามีความพร้อม
ที่จะเรียนเรือ่ งใหมห่ รอื ยัง และยังเปน็ การทบทวนความร้ใู นสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วเพ่ือให้สอดคล้อง
เช่อื มโยงต่อเนื่องกับเนือ้ หาใหม่ ซ่ึงจะทาให้ผเู้ รยี นเข้าใจเนอื้ หาใหมง่ ่ายขึน้

ข้ันที่ 2 สอนเนื้อหาใหม่ เป็นการสอนเนื้อหาใหม่ท่ีเตรียมมา ซ่ึงในการจัดการเรียนการ
สอนควรพิจารณาวิธีสอน ส่ือการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และเหมาะสมกับเน้ือหา
ของแตล่ ะเร่อื ง และจดั ให้เรยี นรูจ้ ากของจริง รูปภาพ และใชส้ ัญลักษณต์ ามลาดับ

ขั้นท่ี 3 สรุปเป็นวิธีลัด ก่อนการสรุปเป็นวิธีลัดควรเข้าใจว่าผู้เรียนเข้าใจวิธีการหรือ
ความคิดรวบยอดในเรื่องนั้นดีแล้ว ถ้าพบว่าผู้เรียนยังไม่เข้าใจ อาจจะสอนเน้ือหานั้นซ้าหรือทบทวน
ความรเู้ ดิมใหมแ่ ล้วแต่ความเหมาะสม

ข้ันท่ี 4 ฝึกทักษะจากหนังสือเรียน บทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เม่ือผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจในเน้อื หาท่สี อนใหมแ่ ล้วควรจดั ใหผ้ ูเ้ รียนไดฝ้ กึ ทักษะ โดยใช้โจทย์แบบฝึกหัดในหนังสือเรียน
ใบงาน หรืโจทย์ท่ีครูสร้างขึ้นเอง ควรเป็นโจทย์ที่มีความยากง่ายพอเหมาะ ในการฝึกทักษะ ครูควรมี
การพิจารณาปริมาณของงานท่ีจะให้ผู้เรียนไปทาเป็นการบ้าน และสาหรับผู้เรียนท่ีทาแบบฝึกหัดผิด
เลก็ นอ้ ย ครอู าจพิจารณาใหผ้ ู้เรยี นแก้ไขข้อผิดพลาดในข้อทที่ าผดิ นนั้ ๆ

18

ข้ันท่ี 5 นาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน โดยให้ผูเรียนได้ทาโจทย์ปัญหาท่ีเกี่ยวข้องกับ
ชีวิตประจาวันหรืออาจให้นักเรียนแต่งโจทย์ปัญหาข้ึนเอง ซึ่งเก่ียวข้องกับชีวิตประจาวันแล้วหาคาตอบ
หรือครูอาจจัดกจิ กรรมท่ีผเู้ รียนไดป้ ระสบอยูเ่ สมอในชวี ิตจรงิ ก็ได้

ข้ันที่ 6 ประเมินผล เป็นการทดสอบว่าผูเ้ รยี นมคี วามร้ใู นเรื่องทสี่ อนไปหรือไมอ่ าจ
ทดสอบโดยใหผ้ ู้เรียนปฏบิ ตั หิ รอื อาจใช้ขอ้ สอบก็ได้ ทัง้ น้ใี ห้พจิ ารณาตามความเหมาะสมของเนื้อหา ถ้าผู
เรยี นสอบไม่ผ่านตามเกณฑ์การประเมินผลรายจุดประสงค์ครูต้องจดั การสอนซ่อมเสรมิ สาหรบั
จดุ ประสงคท์ ี่ไม่ผา่ นน้นั ถ้าผู้เรยี นสอบผ่าครูกส็ อนเนอ้ื หาใหม่ต่อไป

วิธีสอนแบบวรรณี การสอนคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษา โดยวิธีสอนแบบวรรณีเป็น
วธิ กี ารสอนทม่ี ีข้ันตอนละเอยี ดท่ีสุด ซง่ึ มี 8 ขนั้ ตอน ดังนี้

ขั้นตอนท่ี 1 เร้าความสนใจและการฝึกสมาธิ เป็นขั้นเร้าความสนใจของนักเรียนเพ่ือให้
ตน่ื เต้น กระตอื รอื รน้ และอยากเรยี นรู้ในบทเรียน เพราะความสนใจของเด็กเป็นรากฐานของความต้ังใจ
เรียนอย่างแท้จริง ผู้สอนต้องพยายามใช้กิจกรรมปลุกเร้าความสนใจให้ผู้เรียนด้วยความสนุกสนาน ร่า
เรงิ เรยี นด้วยความสนุกและมสี มาธิไปด้วยพร้อมๆกนั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความพร้อมทีจ่ ะเรียน

ขัน้ ตอนท่ี 2 ขัน้ ทบทวนความรเู้ ดมิ เป็นขนั้ ทบทวนความรู้ หรอื ทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์
ที่มีอยู่เดิมและท่ีมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาใหม่ท่ีจาเป็น เพ่ือนาไปสู่เน้ือหาใหม่และเป็นการเช่ือมโยง
ความรู้เดิมเข้ากับความรู้ใหม่ให้มีส่วนสนับสนุนซ่ึงกันและกัน ครูอาจใช้เกม นิทาน ปัญหา สถานการณ์
การคิดในใจ และกจิ กรรมอ่นื ๆ พร้อมทง้ั ใชส้ ่ือการสอนหรอื วสั ดุอปุ กรณแ์ สดงประกอบ

ขน้ั ตอนที่ 3 ข้ันสอน เป็นข้ันท่ีครูนาเสนอบทเรียนใหม่หรือเน้ือหาใหม่ ซึ่งควรแบ่ง
ออกเป็นตอนๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายโดยเฉพาะเด็กเล็กควรแบ่งเป็นตอนส้ันๆ เม่ือผู้เรียนเข้าใจดีแล้วก็
จาเป็นจะต้องให้ฝึกปฏิบัติตามบทเรียนทุกๆตอนเหล่าน้ันด้วย ข้ันตอนน้ีมีความสาคัญมากและมักใช้
ขั้นตอนมากกว่าขั้นอ่ืนๆเพื่อเป็นข้ันที่ทาให้เกิดแนวคิดมโนมติ โดยครูควรใช้ของจริงหรือของจาลอง
รูปภาพ และสัญลักษณ์ พร้อมทั้งยกตัวอย่างกิจกรรมประกอบเน้ือหาสั้นๆ เพื่อนาไปสู่การคิดวิเคราะห์
การคิดสรา้ งสรรค์ การสื่อสาร การคาดคะเน การแก้ปญั หา และการคดิ คานวณไดด้ ีในที่สดุ

ขน้ั ตอนท่ี 4 ขัน้ สรุป ขัน้ สรุปนี้มที ้ังสรุปความเข้าใจ สรุปวิธีทา และสรุปวิธีแก้ปัญหา เพ่ือ
ตอ้ งการให้ผเู้ รียน ช่วยกันสรุปมโนมติ หลักการ วิธีแก้ปัญหาและประโยคสัญลักษณ์ การคิดคานวณ วิธี
ลัด ข้อควรสังเกต สูตรและกฎ โดยครูอาจใช้คาถามเพื่อถามนาทั้งตัวคาตอบและวิธีการที่จะได้คาตอบ
น้ันๆ มาด้วยการใช้เทคนิคการถามหลายๆแบบ และให้ทุกๆ คนได้มีส่วนร่วมรวมท้ังควรจะยกย่อง
ชมเชยหรอื ให้แรงเสรมิ และกาลงั ใจไปพร้อมๆกนั

ขั้นตอนที่ 5 ข้ันสร้างเจตคติ การสร้างเจตคติในที่นี้ควรเร่ิมด้วยการจัดสภาพแวดล้อมท่ี
เอ้อื อานวยตอ่ การเรียนรู้การสร้างสัมพนั ธภาพดว้ ยมิตรไมตรีและความเป็นกันเองการสร้างบรรยากาศท่ี
มีสุนทรียภาพและถูกสุขลักษณะ รวมท้ังบุคลิกภาพและสุขภาพทางอารมณ์ของครู และพฤติกรรมการ
สอนหรือการควบคุมชั้นเรียนก็มีส่วนร่วมด้วยเป็นอย่างมาก ท้ังนี้เนื่องจากผู้เรียนมิใช่เรียนโดยการใช้
สมองหรือสติปญั ญาเท่านั้น แต่เขาต้องเรียนดว้ ยร่างกาย จติ ใจอารมณ์ และสังคมไปด้วยพร้อมๆกัน

ข้นั ตอนที่ 6 ขน้ั นาไปใช้ ในการสอนวิชาคณติ ศาสตร์น้นั นอกจากควรจะสอนให้ผู้เรียนคิด
เป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเป็นแล้ว ครูยังควรจะต้องช่วยให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้และประสบการณ์

19

ทางดา้ นคณิตศาสตรไ์ ปใชใ้ ห้เกิดในชีวิตประจาวันได้อย่างแท้จริงด้วยโดยเฉพาะอย่างย่ิงการนาความรู้ท่ี
ได้รับไปใช้ไดท้ นั ทจี ะเกิดความประทับใจและเปน็ การเรียนร้ทู ีม่ ีความคงทนไดน้ านมาก

ข้ันตอนที่ 7 ข้ันฝึกทักษะ เป็นข้ันฝึกความรู้และความเข้าใจให้เกิดเป็นทักษะ การคิด
คานวณทักษะการแก้ปัญหาและเกิดความคงทนในการเรียนรู้ เพ่ือนาไปใช้ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
และแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน รวมท้ังนาไปใช้ในการเรียนวิชาอื่นๆ ด้วยโดยให้ผู้เรียนฝึกทแบบฝึกหัด
จากแผนภูมิ บัตรงาหนังสือเรียน และแบบฝึกหัดเสริมทักษะ ซึ่งกิจกรรมท่ีจัดข้ึนควรจะมีทั้งกิจกรรม
รายบุคคลและแบบท่ที าร่วมกัน

ข้ันตอนท่ี 8 ข้ันประเมนิ ผล เปน็ ข้นั สุดท้ายของกระบวนการสอน มจี ดุ ม่งุ หมายเพื่อสารวจ
ตรวจสอบผลการเรียนรู้ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบทเรียนหรือไม่อย่างไร โดยครูจะทาการ
ประเมินผลตามสภาพความเป็นจริงที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดเวลา ครูอาจใช้วิธี
วัดผลต่างๆเช่น การสังเกตการณ์ตอบคาถามหรือการถามคาถามทุกขั้นตอนการสอนที่ผ่านมา สังเกต
การณป์ ฏิบัตกิจกรรมการเรียนและมีการสว่ นรว่ ม รวมทั้งการตรวจผลงาน การทดสอบย่อยและทดสอบ
รวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใชค้ าถามของครูเพือ่ ให้ไดค้ าตอบที่ชดั เจน แน่นอน และถูกต้องจากเด็กนั้น
นบั ว่าเป็นสง่ิ สาคัญมากสาหรบั การเรียนการสอน ครูผ้สู อนจาเปน็ ตอ้ งมีเทคนคิ หรือศิลปะทดี่ ีในการถาม

แผนการจดั การเรียนรู้
1. ความหมายของแผนการสอนหรอื แผนการจดั การเรียนรู้
ชนาธิป พรกุล (2551 : 54) ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้คือ แผนการสอนที่

ผู้สอนเคยทาเป็นรายชั่วโมงหรือครั้ง ในหลักสูตรใหม่เรียกช่ือใหม่แต่ยังคงสาระเหมือนเดิม และมี
จุดมุง่ หมายเหมือนเดิม

มาลินี อุ่นสี (2552 : 30) แผนการจัดการเรียนรู้หมายถึงแนวดาเนินการหรือเอกสาร
หลกั ฐานเพอื่ เตรียมการสอนล่วงหน้า เพ่ือใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้เกิดประสบการณ์ มีทักษะการปฏิบัติ และเรียนรู้ได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้ ซึ่งสอดคล้อง
กับเปูาประสงคข์ องหลกั สตู ร และความตอ้ งการของผูเ้ รยี น

วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 249) ให้ความหมายของแผนการสอนไว้ว่า แผนการสอนเป็น
แ ผ น ซ่ึ ง ก า ห น ด ขั้ น ต อ น ก า ร ส อ น ที่ มุ่ ง ห วั ง จ ะ ใ ห้ ผู้ เ รี ย น เ กิ ด พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น รู้ ใ น เ นื้ อ ห า แ ล ะ
ประสบการณ์หนว่ ยใดหน่วยหน่งึ ตามวตั ถุประสงคท์ ่ีกาหนดไว้

สมคิด ลุนบุดดา (2556 : 34) กล่าวว่าแผนการจัดการเรียนรู้หมายถงการวางแผจัดเตรียม
รายละเอียดของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบเป็นลายลั กษณ์อักษรไว้ล่วงหน้า
เพ่ือให้ผู้สอนทราบว่าจะสอนเน้ือหาใดเพื่อจุดประสงค์ใดสอนอย่างไรใช้ส่ืออะไร และวัดผลประเมินผล
โดยวิธีใดซึ่งจะเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์การ
เรียนรู้และจุดมุ่งหมายของหลกั สตู รไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพโดยนาไปจัดการเรียนการสอนให้แก่นักเรียน
เปน็ รายคาบหรือรายชัว่ โมง

สรุปได้ว่า แผนการสอนหรือแผนการจัดการเรียนรู้จึงเป็นหลักฐาน เอกสารแสดงถึงความ
เช่ยี วชาญในการจัดการเรียนการสอน ซ่ึงเป็นหน้าท่ีของครูผู้สอน แผนการสอนจะเป็นเครื่องมือที่แสดง
การเตรียมความพร้อมของครูผู้สอน เป็นการเตรียมความพร้อมในการสอนไว้ล่วงหน้า ทั้งในด้าน

20

กิจกรรม ส่ือ อุปกรณ์ การวัดและประเมินผล จะต้องสัมพันธ์สอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ การจัดทา
แผนการสอนจึงเป็นภาระ หน้าท่ีอันสาคัญยิ่งของครูผู้สอน และเป็นส่ิงสาคัญในการบ่งบอกถึงการนา
หลกั สตู รไปใชใ้ นช้นั เรียน เพอื่ ให้ เกดิ ประโยชนส์ ูงสุดกบั ผ้เู รยี น

2. ความสาคัญของแผนการจดั การเรยี นรู้
สุวิทย์ มูลคา และคณะ (2550 : 58) ให้ความหมายของความสาคญั ของแผนการจดั การ
เรียนรู้ไว้ ดงั นี้

1. ทาให้เกดิ การวางแผนวธิ ีสอนทด่ี ี ท่เี กิดจากการผสมผสานความรู้ และจิตวิทยา
การศึกษา

2. ช่วยให้ครผู ูส้ อนมีคู่มือการจัดการเรียนรูท้ ที่ าไว้ลว่ งหน้าด้วยตนเอง และทาใหค้ รู
มคี วามมนั่ ใจในการเรียนรู้ไดต้ ามเปาู หมาย

3. ชว่ ยใหค้ รผู ูส้ อนได้ทราบวา่ การสอนของตนได้เดนิ ไปในทิศทางใด หรอื ทราบวา่
จะสอนอะไร ดว้ ยวิธใี ด สอนทาไม สอนอย่างไร จะใช้สื่อแหล่งเรียนรูอ้ ะไร จะวัดและประเมนิ ผล
อยา่ งไร

4. สง่ เสรมิ ให้ครผู สู้ อนใฝศุ กึ ษาหาความรูท้ ั้งเร่ืองหลักสตู ร วิธจี ดั การเรียนรู้ จัดหาและใช้
สอื่ แหลง่ เรยี นรู้ ตลอดจนการวัดและประเมนิ ผล

5. ใช้เปน็ คู่มอื สาหรับครูท่ีมาสอนแทนได้
6. แผนการจัดการเรียนรู้ท่นี าไปใชแ้ ละพัฒนาแลว้ จะเกดิ ประโยชน์ตอ่ วงการศึกษา
7. เปน็ ผลงานทางวิชาการที่แสดงถึงความชานาญ และความเช่ียวชาญของครูผสู้ อน
สาหรบั ประกอบการประเมินเพือ่ ขอเลื่อนตาแหนง่ และวทิ ยฐานะครใู ห้สูงขึน้
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 249-250) กล่าวถึงความสาคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ว่า
เปรียบได้กับได้พิมพ์เขียวของวิศวกรหรือสถาปนิกท่ีใช้เป็นหลักในการควบคุมงานก่อสร้างวิศวกรหรือ
สถาปนกิ จะขาดพมิ พเ์ ขยี วมไิ ด้ฉนั ใด ผเู้ ป็นครกู ข็ าดแผนการสอนมิได้ฉันน้ัน ยิ่งผู้สอนได้ทาแผนการสอน
ดว้ ยตนเองกย็ ิ่งไดป้ ระโยชน์แกต่ นเองมากเพยี งน้นั ซ่ึงสรปุ ได้ดงั น้ี
1. ทาใหเ้ กิดการวางแผนวธิ ีสอนวิธีเรียนทมี่ คี วามหมายยงิ่ ขึ้นเพราะเป็นการทา
อยา่ งมหี ลักการที่ถูกต้อง
2. ชว่ ยให้ครูมีสอื่ การสอนที่ทาดว้ ยตนเอง ทาให้เกดิ ความสะดวกในการจดั การ
เรียนการสอน ทาให้สอนไดค้ รบถว้ นตามหลักสูตร และสอนไดท้ ันเวลา
3. เป็นของวชิ าการ ทีส่ ามารถเผยแพร่เป็นตวั อย่างได้
4. ชว่ ยให้ความสะดวกแก่ครูผ้สู อนแทนในกรณีที่ผสู้ อนไม่สามารถเขา้ สอ
สมคิด ลุนบุดดา (2556 : 35) กล่าวถึงความสาคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ว่า เป็น
เครอ่ื งมือครูในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูให้บรรลุตามจุดประสงค์ สร้างความม่ันใจให้กับ
ครูผสู้ อนตลอดจนเป็นการวดั ผลประเมินผลและเป็นหลักฐานทางการสอนทาให้สามารถตรวจสอบได้
สรปุ ได้ว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความสาคัญคือ เป็นแนวทางในการกาหนด การ
พฒั นา การเรียนรู้อย่างมีรูปแบบ ชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทาให้ผู้สอน
จดั กิจกรรมการเรยี นการสอนไดอ้ ยา่ งม่ันใจ

21

3. องค์ประกอบของแผนการจดั การเรยี นรู้
ชนาธปิ พรกุล (2551 : 87) กลา่ วถงึ แผนการจดั การเรียนรปู้ จั จุบนั มอี งคป์ ระกอบสาคัญอยู่
7 ประการไดแ้ ก่

1. เรอื่ งเวลาที่ใช้สอน
2. ผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวงั / จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3. สาระสาคญั
4. เนอ้ื หา (สาระ)
5. กจิ กรรมการเรียนรู้ ( กจิ กรรมการเรียนการสอน )
6. ส่อื การเรยี นรแู้ ละแหล่งการเรยี นรู้ (สื่อการเรยี นการสอน)
7. การวัดผล ประเมนิ ผล
อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2553 : 216 – 218) ได้กลา่ วถงึ องค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนรู้ ไว้
ดังน้ี
1. มาตรฐานการเรียนรู้
2. ตวั ช้วี ัดชนั้ ปี
3. สาระสาคัญ
4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
5. สาระการเรียนรู้
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
7. การวดั ผลประเมินผล
8. ส่ือและแหลง่ เรียนรู้
9. บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้
วิมลรตั น์ สนุ ทรโรจน์ (2554 : 109 – 111) ได้กล่าวถงึ องค์ประกอบแผนการจดั การเรยี นรไู้ ว้
ดังนี้
1. สาระการเรยี นรู้ หนว่ ยทีจ่ ัดการเรยี นรแู้ ละสาระสาคญั (ความคดิ รวบยอด) ของเร่ือง
2. จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม
3. สาระการเรยี นรู้
4. กจิ กรรมการเรียนรู้
5. สื่อการจัดการเรยี นรู้
6. การวัดผลประเมนิ ผล
สมคิด ลุนบุดดา (2556 : 37) ได้กล่าวว่า แผนการจัดการเรยนรู้ควรมีองค์ประกอบที่ครบ
ประกอบไปด้วยชือ่ วิชา และระดับชนั้ ชอ่ื เรือ่ งท่จี ะสอน ระยะเวลาท่ีใชส้ อน ช่ือหัวเรื่อง สาระการเรียนรู้
วัตถุประสงค์ เน้ือหา กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อการสอน การวัดประเมินผล บันทึกหลังการจัด
กิจกรรม
สรุปได้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ควรมีองค์ประกอบครบถ้วนทุกองค์ประกอบ มีความ
สอดคล้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม ผู้สอนสามารถตรวจสอบความถูกต้องและความ
สอดคล้องขององค์ประกอบตา่ งๆ ได้ด้วยตนเอง

22

ความถูกต้อง หมายถึง ข้อความในแต่ละองค์ประกอบมีความถูกต้องตามลักษณะของ
องค์ประกอบนัน้

ความสอดคล้องหมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบท่ีมีความเกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
สมเหตุสมผลเปน็ เร่ืองเดียวกัน

การสอนในชีวิตประจาวันหากผู้สอนเขียนรายละเอียดของทั้ง 7 องค์ประกอบ และการสอน
ได้บรรลจุ ดุ ประสงคไ์ ด้เพียงพอแลว้ ไม่จาเปน็ ตอ้ งเพม่ิ องคป์ ระกอบอืน่ ๆ เวน้ แตม่ ีจุดประสงคอ์ ย่างอื่น

4. ขน้ั ตอนการจดั ทาแผนการจัดการเรยี นรู้
สวุ ทิ ย์ มูลคา (2550 : 8) ไดก้ ล่าวถึงขั้นตอนการจดั ทาแผนดังน้ี

1. ศึกษาหลกั สูตร เพอ่ื การทาแผนการจัดการเรียนรู้จะต้องศึกษาหลักการโครงสร้าง
จดุ มุ่งหมายหลักสูตร จุดประสงคร์ ายวชิ า และคาอธบิ ายรายวิชา เพ่ือจะวเิ คราะหจ์ ุดประสงคก์ าร
เรยี นรู้ และเปน็ กรอบทิศทางในการจัดการเรยี นการสอน

2. ทาความเข้าใจกับคาอธบิ ายรายวิชา ซง่ึ โดยส่วนใหญ่จะประกอบดว้ ย 3 ส่วน คอื
2.1 กิจกรรม ขอ้ ความส่วนนหี้ ลกั สตู รจะวางแนวทางใหค้ รผู สู้ อนจดั กจิ กรรมให้

นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองเพ่ือนาไปสู่การเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กาหนดข้อความนี้มักข้ึนต้น
กรยิ าเพอ่ื แสดงอาการกระทา เช่น ศึกษา ปฏิบัติ ทดลอง สังเกต รวบรวม อภิปราย บันทึกเปรียบเทียบ
ฯลฯ

2.2 เนอ้ื หา ข้อความในสว่ นนี้หลักสตู รจะวางใหค้ รผู สู้ อนทราบเน้อื หาหลกั หรอื
เรอ่ื งท่ีผสู้ อนจะนาไปจดั การเรียนการสอนให้นักเรียนได้เรียนรู้ซ่ึงครูผู้สอนจะต้องนาไปวิเคราะห์ร่วมกับ
กิจกรรม/จุดประสงค์ในคาอธิบายรายวิชาเสียก่อนจึงจะทาให้ครูได้เนื้อหาย่อยในการเรี ยนรู้ต่อไป
สว่ นมากสว่ นนม้ี กั จะขนึ้ ตน้ ด้วยคาว่า การ หรอื เรื่องราวเก่ยี วกับหรอื เก่ยี วกบั หรือเขียนเปน็ กิจกรรม

2.3 จุดประสงค์ ขอ้ ความในสว่ นน้จี ะอยู่ทา้ ยสุดของคาอธิบายรายวชิ ามักจะขนึ้ ต้น
ด้วยคาว่า เพ่ือ ซ่ึงจุดประสงค์ในคาอธิบายรายวิชาแต่ละวิชาจะเป็นจุดประสงค์ปลายทางของแผนการ
จดั การเรียนรู้แตล่ ะแผนด้วย และจะครอบคลุมทักษะการเรยี นรู้ทั้ง 3 ดา้ น

2.3.1 ด้านปญั ญา (พุทธิพสิ ยั ) เป็นจุดประสงคท์ ี่มุ่งเนน้ ความสามารถทาง
ความคิดของสมอง มักใช้คาว่าเพ่ือให้มีความรู้ความเข้าใจ ซึ่งครูควรพัฒนาให้ให้ครบทั้ง 6 ระดับ คือ
ความรู้ ความจา ความเขา้ ใจ การประยุกต์ใช้ การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมินคา่

2.3.2 ดา้ นจิตใจ (จิตพสิ ยั ) เป็นจดุ ประสงค์ทีม่ ุ่งเน้นให้ผ้เู รียนมีคณุ ลักษณะ
ทางจิตใจมักใช้คาว่า เพื่อให้มีเจตคติท่ีดี ชื่นชม เห็นคุณค่า ตระหนัก ซ่ึงครูควรพัฒนาให้ครบท้ัง 5
ระดบั คอื การรับรู้ ตอบสนอง การสร้างคุณคา่ การจัดระบบคุณค่า การสร้างลักษณะนิสัย

2.3.3 ดา้ นทักษะ (ทกั ษะพิสยั ) เปน็ จดุ ประสงคท์ ่ีมงุ่ เน้นให้ผูเ้ รียนได้ลงมอื
ปฏบิ ตั มิ ักใชค้ าว่า ปฏบิ ัติตน สาธิต ทดลอง แก้ปัญหา คิดคานวณ เป็นต้น ซ่ึงครูควรพัฒนาให้ครบทั้ง 5
ระดับ คือการเลียนแบบ การทาตามแบบ การทาอย่างถูกต้อง การทาอย่างต่อเน่ือง การทาเองโดย
เหมือนธรรมชาติ

3. วิเคราะห์จดุ ประสงค์ปลายทาง เพ่ือเขียนเป็นจุดประสงค์นาทาง เพราะจุดประสงค์

23

นาทางจะเปน็ สิ่งทที่ าให้ครผู ูส้ อนร้วู า่ จะสอนเนื้อหาอะไรบ้าง ในการกาหนดจุดประสงคน์ าทางนน้ั มี
ความสาคัญมาก เพราะจะต้องนาไปใช้ในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน และการวดั ผลประเมินผล
ดังนน้ั เม่อื กาหนดจุดประสงค์นาทางแลว้ ครูผู้สอนต้องวเิ คราะห์นาทาง

3.1 ทาให้บรรลุจุดประสงค์ปลายทางแลว้ หรอื ยงั
3.2 จุดประสงคน์ าทางเป็นไปตามลาดับขัน้ ตอนหรือกระบวนการเรยี นรู้หรอื ไม่
3.3 จุดประสงค์นาทางนนั้ ระบุพฤติกรรมทีส่ ามารถวัดหรอื ประเมินได้หรือไม
4. กาหนดระยะเวลาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึง การกาหนด
คาบสอนใหส้ อดคล้องกบั เน้ือหา และจุดประสงค์ปลายทางว่าในแต่ละจุดประสงคจ์ ะใช้เวลาสอน
กี่คาบท้ังน้เี พื่อจะได้ว่างแผน/โครงการสอนไดอ้ ย่างถูกต้องเหมาะสมกับเนื้อหาและจุดประสงค์
5. กาหนดเทคนิค/กระบวนการทใ่ี ช้ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน โดยเฉพาะ
การเน้นให้ผู้เรียนฝึกค้นคว้า สังเกต รวบรวมข้อมลู วเิ คราะห์ข้อมูล วเิ คราะห์ตัวอยา่ งทีห่ ลากหลาย
สร้างสรรค์และสามารถสร้างองค์ความรดู้ ว้ ยตนเอง รวมทัง้ การกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นรจู้ ักศกึ ษาหาความรู้และ
แสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง
6. การเขียนรายละเอียดหรอื เนอื้ หาสาระของแผนการจดั การเรียนรูต้ ามส่วนประกอบ
ของแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยมีคาแนะนาดงั น้ี
6.1 การเขียนสาระสาคัญ ต้องคานงึ ถึงวา่ เร่อื งที่จะนามาให้เรียนรู้นัน้ คืออะไร
ดอี ย่างไร หรือส าคัญอยา่ งไร และเรยี นแล้วจะได้อะไร ต้องสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การเรยี นรู้และ
เนอ้ื หาสาระท่ปี รากฏในแผนการจดั การเรยี นรนู้ ้นั ๆ
6.2 จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรไู้ ด้แก่ จุดประสงค์การเรียนรู้ปลายทางนาทางให้นามา
จากข้อ 3 ไดเ้ ลย
6.3 เน้ือหา เพ่ือใหผ้ ้เู รยี นเกิดการเรียนรูต้ ามจุดประสงคน์ าทางที่กาหนดไว้ ควร
ระบุวา่ ควรเรยี นรเู้ รอื่ งอะไรบ้างตามจุดประสงค์นาทาง และควรเขียนเป็นเนื้อหาโดยสรปุ หรืออาจเขียน
เปน็ ขอ้ ๆ สว่ นเน้ือหาโดยละเอียดควรเขียนไวใ้ นสว่ นของภาคผนวก เช่น ใบความรหู้ รือเอกสาร
ประกอบการเรียน ตามความเหมาะสมเพม่ิ เติมได้
6.4 กิจกรรมการเรียนการสอน การทจี่ ะใหฝ้ ึกการเรียนร้จู ดุ ประสงค์นาทางจะนาวิธี
ใดมาใหเ้ กดิ การเรยี นรู้อยา่ งไรบ้าง และต้องเขยี นลาดบั ข้ันตอน ตงั้ แตเ่ ร่มิ ต้นสอนจนกระทัง่ สน้ิ สุด
กระบวนการสอนในแผนนั้นๆ เพื่อให้มองเหน็ พฤติกรรมการสอนจรงิ ท้ังบทบาทของครผู ู้สอนและ
ผู้เรยี นโดยเน้นผูเ้ รียนเป็นศูนยก์ ลาง ผเู้ รยี นเกิดความสนใจปฏิบตั ิง่าย และเกดิ ความคิดสรา้ งสรรคข์ อง
ผู้จดั ทาแผนการจัดการเรยี นรู้เอง โดยทวั่ ไปควรมี 3 ขัน้ ตอน คอื ขัน้ นาเขา้ สบู่ ทเรยี น ขั้นดาเนินการสอน
และขนั้ สรุป โดยเทคนิค/กระบวนการท่นี ามาใชจ้ ะแทรกอยูใ่ นขั้นดาเนนิ การสอน
6.5 สอ่ื การเรยี นการสอน ในการเรียนการสอนที่จะทาใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ได้นนั้ ต้อง
ใชส้ ื่ออปุ กรณอ์ ะไรบ้าง และส่ือท่นี ามาใช้ต้องให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรตู้ ามจุดประสงค์ โดยใชเ้ วลาสั้น หา
ง่าย ประหยัด และน่าสนใจ ถูกต้องตามหลักวชิ าการ เหมาะสมกบั เน้ือหา และลักษณะของผู้เรียน
6.6 การวัดผลและประเมินผล ในการวัดผลจะตอ้ งรู้ก่อนว่า จะวดั อะไร (ซึ่งได้
กาหนดไว้แล้วที่จุดประสงค์นาทาง) ด้วยเครื่องมืออะไร ควรระบุเคร่ืองมือวดั ผลจะใชว้ ธิ ีใด เมอื่ ใด และมี
เกณฑ์การประเมนิ อยา่ งไร ตามวตั ถุประสงค์นาทางข้อใด เชน่ สงั เกตพฤติกรรม การปฏิบตั งิ านกลุ่ม

24

หรอื การตรวจผลการปฏิบัติงาน ทดสอบผลสมฤั ทธ์ิเครื่องมือวัดใช้เครอื่ งมอื อะไร เช่น แบบสังเกต
พฤติกรรม แบบทดสอบ แบบตรวจผลการปฏิบัตงิ าน เปน็ ตน้ เมอ่ื วดั ผลแลว้ จะนาข้อมูลนั้นไป ทาอะไร
โดยมเี กณฑ์การประเมนิ กาหนดไว้

6.7 การเขยี นบันทึกหลังสอน เปน็ การประเมินผลการสอนว่า ครูผ้สู อนนั้นสอน
เป็นอยา่ งไร สอนแล้วผูเ้ รยี นได้รบั ผลอยา่ งไร โดยสว่ นใหญ่จะเขยี นตามวธิ ีการวดั ผลประเมนิ ผล

อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2553 : 5) กลา่ วเกีย่ วกบั การจัดทาแผนการจดั การเรยี นรแู้ บง่ ได้เปน็ 2
ขนั้ ตอน ขน้ั ตอนแรกคือ การทากาหนดการสอน ขนั้ ตอนที่สอง คอื การทาแผนการจดั การเรยี นรู้ การ
ทากาหนด การสอนทาโดยวเิ คราะห์สาระจากคาอธิบายรายวชิ า แลว้ จงึ กาหนดเนอ้ื หาสาระสาคัญ
จานวนคาบ เวลา และสัปดาห์ทีส่ อนไวต้ ลอดภาคเรยี นหรือตลอดปีการศึกษา

สุวมิ ล สุวรรณจนั ดี (2554 : 12) กล่าวว่า ขนั้ ตอนการเขยี นแผนการจัดการเรยี นรโู้ ดยสรุป
ครผู ้สู อนจะต้องดาเนินการต่อไปนีศ้ กึ ษาหลกั สูตร วิเคราะห์ตวั ช้ีวดั จัดทาหนว่ ยการเรียน จดั กิจกรรม
การเรียนการสอน วัดผลประเมินผล บนั ทกึ หลงั การสอนเพ่ือนาไปปรับปรุงแก้ไขจดุ บกพร่องต่อไป

ชนาธปิ พรกุล (2557: 232-234) กล่าววา่ การวเิ คราะหเ์ นื้อหาอาจทาโดยการเขยี นแผนภาพ
แสดงหวั ขอ้ ใหญ่ หวั ข้อยอ่ ย ความสมั พนั ธ์ ความครอบคลุมและความเพยี งพอจากน้ันครูสามารถมอง
ทะลไุ ปถึงวธิ ีการสอนที่เหมาะสมกบั เนอื้ หาแต่ละประเภทโดยพจิ ารณาถึงทฤษฎกี ารเรยี นรู้ รูปแบบการ
สอนและเทคนคิ การสอน เลือกมาใชใ้ หเ้ หมาะกบั เนอ้ื หา เวลา และผูเ้ รียน
และนามาเป็นแนวทางในการจดั ทาแผนการจัดการเรยี นรซู้ ่ึงเปน็ ข้นั ตอนทส่ี องโดยการเขียนใหค้ รบ
ทกุ องคป์ ระกอบและให้ถูกตอ้ งตามหลกั การ

ดังนนั้ การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ จะต้องเริ่มตน้ ดว้ ยการศึกษาหลักสตู ร ศึกษาและ
วเิ คราะหผ์ ลการเรียนร้ทู ่ีคาดหวัง สาระการเรยี นรู้ กระบวนการจดั การเรียนรู้ กระบวนการวดั ผล
และประเมินผล แล้วจึงเร่ิมเขียนแผนการจดั การเรยี นรู้ตามกระบวนการท่ไี ดว้ ิเคราะห์ให้ครบถ้วน
ทกุ ด้าน

เอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั บทเรยี นออนไลน์
แนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับบทเรียนออนไลน์ บทเรียนออนไลน์เป็นส่ือการเรียนการสอนที่เริ่ม

นามาใช้ในการศึกษากันอย่างแพร่หลาย ถือ เป็นบทเรียนออนไลน์โฉมหน้าใหม่ของการสร้างส่ือในการ
เรยี นการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ โดยน า บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนผนวกกับความสามารถของการ
เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารในเครือข่าย อินเทอร์เน็ต เป็นการนาเอาประสิทธิภาพของเทคโนโลยี
คอมพิวเตอรม์ าผสมผสานกบั เทคโนโลยี การศกึ ษาและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต บทเรียนออนไลน์มีความ
เกี่ยวขอ้ งกับเรอื่ งต่างๆ (พพิ ฒั น์ คง สัตย์,2546:8-43)

บทเรียนออนไลน์ หมายถึงบทเรียนที่จัดทาขึ้นเป็นส่ือการสอน ผ่านระบบเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต ประกอบไปด้วยโครงสร้างหลักสูตร คาอธิบายรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ การวางแผนการ
จัดการเรียนรู้ เน้ือหา แบบทดสอบ บทเรียนออนไลน์เพื่อให้นักเรียนและผู้ท่ีสนใจศึกษา สามารถ
ศกึ ษาคน้ ควา้ ความรู้ ไดด้ ว้ ยตนเอง โดยออกแบบไว้ ให้โตต้ อบกบั ผู้เรียนได้

25

การเรียนการสอนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในรูปแบบดังกล่าวข้างต้นนี้ ได้มีผู้จัดทา
มาแล้วเป็นจานวนมาก โดยอาจใช้ชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น เว็บไซต์ช่วยสอน บทเรียนผ่าน
เครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต หรอื อื่นๆ ซ่ึงล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่บนพ้ืนฐาน เดียวกันคือ เป็นส่ือการสอน ประเภท
เวบ็ ไซต์ชว่ ยสอน แสดงผลผ่านระบบเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ต ข้นึ อยกู่ บั ผจู้ ดั ทาจะพฒั นาไปในรปู แบบใด

จากการศกึ ษาและสืบค้นเกีย่ วกับบทเรียนออนไลน์ ขา้ พเจ้าพบวา่ การใช้บทเรียนออนไลน์ใน
การจดั การเรียนการสอนมปี ระโยชนห์ ลายประการเชน่
1. เหมาะกบั การเรียนรตู้ ามความสนใจของแตล่ ะคน
2. มเี อกสารสาหรบั การเรยี นรู้หลากหลาย
3. เป็นการเรียนรู้สองทาง
4. ง่ายตอ่ การสารวจความก้าวหนา้
5. เป็นการเรียนรูไ้ ด้ทุกสถานท่ีและทกุ เวลา
6. คา่ ใช้จ่ายในการเรียนของผูเ้ รียนตา่ ลง
7. สรา้ งโอกาสในการแลกเปลี่ยนในการเรียนรกู้ ับบุคคลอ่นื
8. ประสทิ ธิภาพของการเรยี นเพ่มิ ขนึ้
9. การส่ง (แลกเปลย่ี น) เอกสารในการสอนรวดเรว็

แตอ่ ย่างไรก็ตามการจัดการเรียนการสอนผ่านบทเรียนออนไลน์กย็ งั มีขดี จากดั เชน่ ผู้สอนและ
ผู้เรียนขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ครูผู้สอนไม่สามารถสอดแทรกเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมให้กับ
ผู้เรียนได้โดยตรง อกี ท้งั การใช้บทเรียนออนไลน์เหมาะสมกับผู้เรียนและสถานศึกษาท่ีมีความพร้อมด้าน
เทคโนโลยี

Google Classroom
Google Classroom เปดิ ให้บริการสาหรบั ทกุ คน ถูกออกแบบมาเพ่อื ช่วยให้อาจารย์สรา้ งและ

เกบ็ งานโดยไมต่ ้องใช้กระดาษ และยังสามารถชว่ ยประหยัดเวลา เช่น ความสามารถในการทาสาเนาของ
Google ใหก้ ับนกั ศึกษาแต่ละคน นอกจากน้ียังสร้างโฟลเดอร์สาหรับแต่ละกนั และแตล่ ะคนเพ่ือความ
เป็นระเบียบของขอ้ มลู นักศกึ ษาสามารถติดตามงานต่างๆ ทไ่ี ด้รบั มอบหมายว่ามอี ะไรครบกาหนดบา้ ง
อาจารย์สามารถตดิ ตามการทางานของนกั ศกึ ษาไดว้ า่ ใครยงั ไม่เสรจ็ และอาจารยย์ งั สามารถแสดงความ
คิดเหน็ เกย่ี วกบั งานและใหค้ ะแนนกับงานที่นกั ศึกษาสง่ มาได้อย่างรวดเรว็ วิธีการเข้า Class แตล่ ะคร้งั ก็
ไมย่ ุ่งยาก อาจารยส์ ามารถเพิ่มนกั ศึกษาได้โดยตรง หรอื แคแชรร์ หัสเพ่อื ให้นักศกึ ษาเข้าห้องเรียนได้ การ
ตง้ั คา่ รหสั ใช้เวลาเพียงแค่ครู่เดียว ประโยชน์ของการใชง้ าน Google Classroom จะช่วยให้
ประหยัดเวลา ตรวจงานไดง้ า่ ยมากขึ้นเปน็ ระเบียบ และปลอดภยั เพราะ Classroom จะไม่นาเนื้อหา
หรือข้อมูลของนกั ศึกษาไปโฆษณา Google Classroom เป็นแอปพลเิ คชันทง่ี ่ายต่อการใช้งานฟงั กช์ นั
ไมซ่ ับซ้อน เมนูไม่ย่งุ ยาก รองรับไดห้ ลากหลายอปุ กรณ์ชว่ ยประหยดั เวลาในการศึกษาเรยี นรสู้ ง่ เสรมิ การ
เรียนรู้ท่ีไมจ่ ากดั ว่าต้อง อยใู่ นห้องเรยี น ผูเ้ รียนสามารถใช้เวลาว่างเข้าไปทบทวนหรือศึกษาได้ดว้ ย
ตัวเอง เหมาะแก่สถานศึกษา ทุกระดับ

เรียนรแู้ ละตัว Google Classroom ยังไมม่ ีคา่ ใช้จ่ายใดๆ ในการดาเนนิ การ เพราะทางบรษิ ทั
Google มนี โยบายสง่ เสริมด้านการศึกษาอยู่แลว้ จงึ เปดิ ให้บรกิ ารฟรีแกส่ ถาบนั การศึกษาทกุ ประเภท

26

เอกสารทเ่ี ก่ยี วข้องกบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
1. ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
ทิศนา แขมมณี (2550 : 45) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ คือ การทาให้สาเร็จหรือประสิทธิภาพ

ทางดา้ นการกระทาในทักษะท่ีกาหนดใหห้ รือด้านความรู้ สว่ นผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน หมายถึง การเข้าถึงความรู้
การพัฒนาทักษะในการเรียน ซ่ึงอาจพิจารณาจากคะแนนสอบที่กาหนดให้คะแนนที่ได้จากงานท่ีครูมอบให้
หรือทัง้ สองอยา่ ง

ทองเตียง พรหมทอง (2553 : 35) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการ
เข้าถึงความรู้(Knowledge Attained) การพัฒนาทักษะในการเรียนโดยอาศัยความพยายามจานวน
หน่ึงและแสดงออกในรูปความสาเร็จ ซึ่งสามารถสังเกตและวัดได้โดยอาศัยเครื่องมือทางจิตวิทยาหรือ
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนทัว่ ไป

บุญชม ศรีสะอาด (2554 : 54) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหมายถึง
แบบทดสอบท่ีใชว้ ัดความรคู้ วามสามารถของบคุ คลในด้านวิชาการ ซ่ึงเปน็ ผลจากการเรียนรู้เนื้อหาสาระ
และตามจุดประสงค์ของวิชาหรือเนื้อหาท่ีสอบน้ัน โดยท่ัวไปจะวัดผลสัมฤทธ์ิในวิชาต่าง ๆ ที่เรียนใน
โรงเรียน วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั หรือสถาบันการศกึ ษาต่าง ๆ

สมคดิ ลนุ บุดดา (2556 : 37) กลา่ ววา่ ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน หมายถึง คุณลักษณะความรู้
ความสามารถและประสบการณ์การเรียนรู้ที่บุคคลได้รับการเรียนการสอนเป็นผลทาให้บุคคลเกิดการ
เปล่ยี นแปลงพฤติกรรมในดา้ นตา่ ง ๆ ซงึ่ สามารถตรวจสอบได้ จากการวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน

จากความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดังกล่าว สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หมายถึง ผลของการเรียนการสอนท่ีรวมถึงความรู้ ความสามารถในการเรียนเข้าไว้ด้วยกัน และแสดง
ออกเปน็ พฤติกรรมท่สี ามารถวดั ได้ทั้ง 3 ด้าน ไดแ้ ก่ ด้วยพทุ ธิพสิ ยั จติ พิสยั และทกั ษะพสิ ยั

2. ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
พิชิต ฤทธ์ิจรูญ (2551 : 96) กล่าวว่าโดยทั่วไปแบบทอสอบวัดผลสัมฤทธ์ิแบ่งออกเป็น 2
ประเภท คอื

1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง หมายถึงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเฉพาะ
คนที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบท่ีครูใช้กันท้ังไปในสถานศึกษา จะมีลักษณะเป็นแบบทดสอบข้อเขียน
แบ่งออกเปน็ 2 ชนิด คอื

1.1 แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่กาหนดคาถามหรือปัญหาไว้แล้ว ให้
ผตู้ อบเขยี นหรอื แสดงความรู้ ความคดิ เจตคติ ไดอ้ ย่างเต็มท่ี

1.2 แบบทดสอบปรนัย หรือแบบให้ตอบสั้น ๆ หรือมีคาตอบให้เลือกแบบจากัด
คาตอบ เป็นแบบทดสอบท่ีกาหนดให้ผู้สอบเขียนตอบส้ัน ๆ หรือมีคาตอบให้เลือกตอบแบบจากัด
คาตอบ ผู้ตอบไม่มีโอกาสแสดงความรู้ ความคดิ ไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง เหมือนแบบทดสอบอัตนยั

2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนท่ัว ๆ ไป ซึ่ง
สร้างโดยผู้เช่ียวชาญ มกี ารวิเคราะห์ และมกี ารปรับปรุงกันอย่างดีจนมีคุณภาพ มีมาตรฐาน กล่าวคือ มี
มาตรฐานในการดาเนินการสอบ วิธกี ารให้คะแนนและแปลความหมายของคะแนน

สมนึก ภัททยิ ธนี (2551 : 73-82) กล่าวว่า แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
หมายถงึ แบบทดสอบที่วดั สมรรถภาพสมองด้านตา่ ง ๆ ท่นี กั เรยี นไดร้ ับการเรียนรูผ้ ่านมาแลว้

27

แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น แบง่ ได้เปน็ 2 ประเภท คอื แบบทดสอบท่ีครูสรา้ งขน้ึ กับ
แบบทดสอบมาตรฐาน

1. แบบทดสอบทคี่ รูสรา้ งข้ึน ทนี่ ิยมใช้มี 6 แบบ ดงั น้ี
1.1 ข้อสอบแบบอัตนยั หรอื ความเรยี ง (Subjective or Essay Test) เปน็ ข้อสอบ

ที่มีเฉพาะคาถาม แลว้ ให้นักเรียนเขยี นตอบอย่างเสรี เขยี นบรรยายตามความร้แู ละขอ้ คิดเห็นของแต่
ละคน

1.2 ขอ้ สอบแบบกาถูกกาผิด (True-false Test) เป็นขอ้ สอบแบบเลือกตอบทม่ี ี
2 ตัวเลอื ก แต่ตัวเลอื กดังกล่าวเป็นแบบคงท่ี และมคี วามหมายตรงกันขา้ ม เช่น ถกู -ผิด ใช่–ไม่ใช่
จรงิ –ไมจ่ ริง เหมอื นกัน–ต่างกัน เปน็ ต้น

1.3 ข้อสอบแบบเตมิ คา (Completion Test) เปน็ ขอ้ สอบทปี่ ระกอบด้วยประโยค
หรอื ข้อความทย่ี งั ไมส่ มบรู ณ์ แลว้ ใหเ้ ติมคา หรอื ประโยค หรือขอ้ ความลงในช่องว่างทเี่ ว้นไว้นน้ั
เพอื่ ใหม้ ีใจความสมบูรณ์และถูกต้อง

1.4 ข้อสอบแบบตอบสน้ั ๆ (Short Answer Test) ขอ้ สอบประเภทนีค้ ลา้ ยกับ
ข้อสอบแบบเติมคา แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ เขียนเป็นประโยคคาถามสมบูรณ์ (ข้อสอบ
เติมคาเป็นประโยค หรือข้อความท่ียังไม่สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเป็นคนเขียนตอบ คาตอบท่ีต้องการจะ
สนั้ และกะทดั รดั ได้ใจความสมบรู ณ์ ไมใ่ ชเ่ ป็นการบรรยายแบบขอ้ สอบอัตนยั หรือความเรียง

1.5 ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) เป็นขอ้ สอบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมคี า
หรือข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่งๆ (ตัวยืน)
หรอื ข้อความใดในอกี ชุดหนงึ่ (ตวั เลือก) ซงึ่ มีความสมั พันธ์อยา่ งใดอยา่ งหนึ่งตามที่ผ้ทู าข้อสอบกาหนดไว้

1.6 ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) คาถามแบบเลือกตอบ
โดยทว่ั ไปจะประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนาหรือคาถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือก
น้ี จะประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคาตอบถูกและตัวเลือกท่ีเป็นตัวลวงปกติจะมีคาถามท่ีกาหนดให้
นกั เรียนพจิ ารณา แลว้ หาตัวเลอื กที่ถกู ตอ้ งมากที่สดุ เพียงตวั เลอื กเดียวจากตัวเลือกอื่นๆและคาถามแบบ
เลือกตอบที่ดนี ยิ มใชต้ วั เลอื กทใี่ กลเ้ คยี งกัน ดูเผนิ ๆจะเหน็ วา่ ทกุ ตัวเลอื กถูกหมดแต่ความจริงมีน้าหนักถูก
มากน้อยต่างกนั

2. แบบทดสอบมาตรฐาน เป็นแบบทดสอบท่ีมีคุณลักษณะความเป็นมาตรฐาน 2
ประเภท คือ

2.1 มาตรฐานในวิธีดาเนินการสอบ หมายถึง ไม่ว่าจะนาแบบสอบน้ีไปใช้ที่ไหน
เมอ่ื ไร ต้องดาเนินการในการสอบเหมือนกนั หมด แบบสอบน้จี ะมีคู่มือ ซ่ึงจะบอกว่าในการใช้แบบสอบนี้
ตอ้ งทาอยา่ งไรบา้ ง

2.2 มาตรฐานการให้คะแนน แบบสอบประเภทน้ีมีเกณฑ์ปกติไว้สาหรับใช้ใน
การเปรียบเทียบคะแนน เพื่อจะบอกว่าการที่ผู้สอนได้คะแนนอย่างหน่ึงอย่างใด หมายถึง ว่ามี
ความสามารถอยา่ งไรกรอบแนวคดิ ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน

บุญชม ศรีสะอาด (2556: 122) กล่าวว่าแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ เป็นแบบทดสอบทใ่ี ชว้ ัดผลการเรียนรู้
ในเนื้อหาและจดุ ประสงค์ในรายวชิ าตา่ งๆทีเ่ รียนในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่างๆ เป็นเครื่องมือหลักของการ
วัดผล

28

สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนควรคานึงถึงจุดมุ่งหมายทางการเรียนครอบคลุม
พฤติกรรมในการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมาย มีการวิเคราะห์ข้อสอบเพ่ือหาค่าความยากง่าย คาอานาจจาแนก
เพื่อปรับปรงุ แก้ไขตามผลวเิ คราะห์แลว้ จึงจัดทาแบบทดสอบเพ่ือนาไปใชจ้ ริง

3. ขั้นตอนการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
บุญชม ศรีสะอาด (2556 : 56-58) ได้กล่าวถึงการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นโดยดาเนนิ การตามข้นั ตอนต่อไปน้ี

1. วิเคราะห์จุดประสงค์เนื้อหาวิชาและทาตารางกาหนดลักษณะข้อสอบข้ันแรกสุดต้อง
ทาการวิเคราะห์ว่าวิชาหรือหัวข้อที่สร้างข้อสอบวัดผลนี้มีจุดประสงค์ของการสอนหรือจุดประสงค์การ
เรียนรู้อะไรบ้างทาการวิเคราะห์เนื้อหาวิชาว่ามีโครงสร้างอย่างไรจัดเขียนหัวข้อใหญ่หัวข้อย่อยทุกหั ว
ข้อพิจารณาความเก่ียวโยงความสัมพันธ์ระหว่างเน้ือหาเหล่านั้นจากนั้นก็จัดทาตารางกาหนดลักษณะ
ข้อสอบหรือท่ีเรียกว่าตารางวิเคราะห์หลักสูตรตารางนี้มี 2 มิติคือด้านเนื้อหากับสมรรถภาพที่ต้องการ
วัดเขียนหัวข้อเนื้อหาท่ีเป็นหัวข้อเรื่องใหญ่ๆตามหลักสูตรวิชานั้นลงไปในแ ต่ละแถวของตารางตาม
ลาดับส่วนด้านบนจะเป็นสมรรถภาพซ่ึงได้จากการวิเคราะห์จุดประสงค์และในการทาตารางกาหนด
ลักษณะของข้อสอบนั้นขั้นแรกสุดพิจารณาว่าจะออกข้อสอบท้ังหมดกี่ข้อเขียนจานวนข้อลงในช่องรวม
ช่องสุดท้ายจากน้ันพิจารณาว่าหัวข้อเรื่องใดสาคัญมากน้อยเขียนลาดับความสา คัญลงไปแล้วกาหนด
จานวนข้อสอบที่จะวัดในแต่ละหัวข้อตามอันดับความสาคัญจากนั้นกาหนดจานวนข้อในแต่ละช่อง
จานวนข้อสอบที่จะวัดในแต่ละช่องขึ้นอยู่กับว่าเรื่องน้ันต้องการให้เกิดสมรรถภาพในด้านใดมากน้อย
กวา่ กันการวิเคราะหจ์ ุดประสงค์ในการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแนวความคิดในการวัดท่ี
นิยมกันได้แก่การเขียนข้อสอบวัดตามการจัดประเภทจุดประสงค์ทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัย
(Cognitive) ซ่ึงจาแนกจุดประสงค์ทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยออกเป็น 6 ประเภทได้แก่วัดด้านความรู้
ความจา (Knowledge) วัดด้านความเข้าใจ (Comprehension) วัดด้านการนาไปใช้ (Application)
วดั ด้านการวเิ คราะห์ (Analysis)วดั ดา้ นสงั เคราะห์ (Synthesis) และด้านประเมนิ ค่า (Evaluation)

2. กาหนดแบบของข้อคาถามและศกึ ษาวธิ ีการเขียนข้อสอบทาการพิจารณาและตัดสินใจ
ว่าจะใช้ข้อคาถามรูปแบบใดศึกษาวิธีการเขียนข้อสอบศึกษาวิธีการเขียนข้อ สอบหลักการเขียนคาถาม
สมรรถภาพตา่ งๆศึกษาเทคโนโลยใี นการเขยี นขอ้ สอบเพ่ือนามาใชเ้ ป็นหลักในการเขียนข้อสอบ

3. เขียนข้อสอบโดยใช้ตารางกาหนดลักษณะของข้อสอบท่ีจัดทาไว้ข้ันท่ี 1 เป็นกรอบซ่ึง
จะทาให้สามารถออกข้อสอบวัดได้ครอบคลุมทุกหัวข้อเนื้อหาและทุกสมรรถภาพส่วนรูปแบบ และ
เทคนิคในการเขียนข้อสอบยดึ ตามทศ่ี ึกษาในขน้ั ที่ 2

4. ตรวจทานขอ้ สอบนาข้อสอบที่ได้เขียนไว้ในข้ันท่ี 3 มาพิจาณาทบทวนอีกคร้ังหนึ่งโดย
พจิ ารณาความถูกตอ้ งตามตารางกาหนดลักษณะข้อสอบหรือไม่ภาษาที่ใช้เขียนมีความชัดเจนเข้าใจง่าย
เหมาะสมดีแล้วหรือไม่ตัวถูกตัวลวงเหมาะสมกับเข้ากับหลักเกณฑ์หรือไม่หลังพิจารณาข้อบกพร่องแล้ว
นาเอาขอ้ วิจารณน์ น้ั มาพจิ ารณาปรบั ปรุงแกไ้ ขให้เหมาะสมยิ่งขึน้

5. พิมพแ์ บบทดสอบฉบับทดลองนาข้อสอบท้ังหมดมาพิมพ์เป็นแบบทดสอบโดยพิมพ์คา
ชแ้ี จงหรอื คาอธิบายวิธกี ารทาแบบทดสอบไว้ทปี่ กของแบบทดสอบอย่างละเอียดและชัดเจนการจัดพิมพ์
รูปแบบให้เหมาะสม

29

6. ทดลองใช้วิเคราะห์คุณภาพและปรับปรุงนาแบบทดสอบไปทดลองกับคนที่คล้ายกัน
กบั กลุม่ ตวั อย่างทจ่ี ะสอบจรงิ ซึง่ ได้เรียนในวิชาเนื้อหาท่ีจะสอบแล้วนาผลการสอบมาตรวจให้คะแนนทา
การวิเคราะห์คุณภาพคัดเลือกเอาข้อท่ีมีคุณภาพเข้าเกณฑ์ตามจานวนที่ ต้องการถ้าข้อท่ีเข้าเกณฑ์มี
จานวนมากกว่าท่ีต้องการก็ตัดข้อท่ีมีเน้ือหามากกว่าที่ต้องการซ่ึงเป็นข้อสอบที่มีอานาจจาแนกต่าสุด
ออกตามลาดับนาเอาผลการสอบทีค่ ิดเฉพาะขอ้ สอบเขา้ เกณฑ์เหลา่ นนั้ มาคานวณหาค่าความเช่ือม่ัน

7. พมิ พ์แบบทดสอบฉบับจริงนาข้อสอบที่มีอานาจจาแนกและระดับความยากเข้าเกณฑ์
ตามจานวนที่ต้องการในข้ันตอนท่ี 6 มาพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับที่จะใช้จริงซึ่งจะต้องมีคาชี้แจงวิธีทา
ด้วยและในการพิมพน์ อกจากใชร้ ปู แบบทีเ่ หมาะสมแลว้ ควรคานงึ ถึงความประณตี ความถูกต้องซ่ึงจะต้อง
ตรวจทานใหด้ ี

สมนึก ภัททิยธนี (2551 ข : 97) ได้กล่าวสรุปถึงการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรยี นไวว้ ่า

1. ครูผู้สอนควรทาความเข้าใจข้อสอบแต่ละชนิดและทุกคร้ังท่ีจะออกข้อสอบชนิดใด
ควรคานงึ ถงึ หลกั การออกข้อสอบชนดิ นัน้ ๆด้วย

2. ข้อสอบชนิดใดก็ตามหากมีคุณสมบัติเป็นไปตามคุณลักษณะของแบบทดสอบท่ีดี
หลายประการก็เป็นข้อสอบท่ีดมี ากเทา่ นน้ั

3. ปัจจุบนั นักเรยี นมจี านวนมากการพิมพแ์ ละการตรวจข้อสอบสามารถใช้เคร่ืองจักรกล
แทนการตรวจดว้ ยคนจงึ ควรใช้ขอ้ สอบแบบเลือกตอบ

4. โดยทั่วไปในการสอบแตล่ ะครง้ั น่าจะใช้ขอ้ สอบเพียง 2 ชนิดก็มีประสิทธิภาพเพียงพอ
แล้วไดแ้ ก่ขอ้ สอบอตั นัยหรอื ความเรียงกบั ข้อสอบแบบเลือกตอบส่วนข้อสอบชนิดอื่นๆน่าจะใช้เป็นเพียง
แบบฝกึ หัดหรืออาจจะใช้งานทดสอบย่อยเพื่อย่ัวยุจูงใจให้นักเรียนสนใจในวิชาท่ีกาลังสอนและสามารถ
พฒั นาใหเ้ ปน็ ข้อสอบ 2 ชนิดนี้กล่าวคอื

4.1 ถา้ เปน็ ขอ้ สอบแบบกาถกู –กาผดิ ควรพฒั นาให้เป็นขอ้ สอบแบบเลอื กตอบ
4.2 ถ้าเป็นข้อสอบแบบจับคู่ควรพัฒนาให้เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิดตัวเลือก
คงที่
4.3 ถ้าเปน็ ขอ้ สอบเติมคาหรอื ตอบสัน้ ๆควรพัฒนาให้เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบ (ถ้า
ให้ตอบส้ันๆ) หรือแบบอตั นัย (ถา้ ใหต้ อบยาวๆ)
กล่าวโดยสรุปได้ว่า แบบทดสอบเป็นเครื่องมือวัดผลที่สาคัญ เพราะเป็นสิ่งที่ให้ข้อสนเทศแก่
ครแู ละผู้ทีม่ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งกับการจัดการศึกษาว่าการสอนบรรลุเปูาหมายของการจัดการศึกษามากน้อย
เพียงใด และสะท้อนถึงการจัดการเรียนการสอนว่ามีคุณภาพ ประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด และต้อง
ปรับปรุงแก้ไข หรือไม่อย่างไร เพราะฉะน้ันแบบทดสอบท่ีใช้จะต้องมีคุณภาพในทุกๆ ด้าน จึงจะ
สามารถใชผ้ ลการสอบเพ่อื การตัดสินใจไดอ้ ยา่ งถูกต้องและแมน่ ยา

เอกสารที่เก่ียวข้องกับความพงึ พอใจ
การปฏิบัติงานจะเกิดความพึงพอใจต่อการทางานน้ันมากน้อยข้ึนอยู่กับสิ่งจูงใจในการทางานท่ีมี

อยู่ การสร้างส่ิงจูงใจหรือสิ่งกระตุ้นเพ่ือให้การปฏิบัติงานนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้มีนัก
การศึกษาในหลายสาขาไดท้ าการศกึ ษาคน้ คว้าเก่ยี วกบั ความพึงพอใจ ไวด้ งั นี้

30

1. ความหมายของความพงึ พอใจ
นกั วชิ าการและนักการศึกษา ไดใ้ ห้ความหมายของคาว่า ความพึงพอใจ ไวด้ ังน้ี
กรองแก้ว อย่สู ุข (2550 : 29) ไดส้ รุปความหมายของความพงึ พอใจว่า ความพึงพอใจ
หมายถึง ทัศนคติหรือระดับความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อกิจกรรมต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพ
ของกจิ กรรมนนั้ ๆ โดยเกดิ จากพื้นฐานของการรับรู้ ค่านิยมและประสบการณ์ท่ีแต่ละบุคคลได้รับระดับ
ของความพึงพอใจจะเกิดขึ้นเม่ือกิจกรรมนัน้ ๆ สามารถตอบสนองความตอ้ งการแก่บุคคลนน้ั ได้
จันทนา สัสดี (2553 : 56) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดหรือเจตคติของบุคคลท่ี
มตี ่อการปฏิบัติงานหรือปฏบิ ตั ิกจิ กรรมในเชิงบวก มีความสุขในการปฏิบัติกิจกรรมในการเรียนการสอน
จนประสบความสาเร็จ
ระพินทร์ โพธ์ิศรี (2553 : 80) ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจ คือ ความรู้สึกชอบ
หรือไมช่ อบของบคุ คลแตล่ ะคนท่ีมีต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เป็นความรู้สึกที่อาจดารงอยู่ได้นานพอสมควร
และอาจมากหรือน้อยกไ็ ด้
นนั ทา กมุ ภา (2554 : 45) ไดส้ รปุ ความหมายของความพงึ พอใจวา่ ความพึงพอใจ
หมายถึง ความรูส้ กึ ของบุคคลต่อสิง่ หนึง่ สิ่งใด หรอื ความรู้สึกต่อการทางาน เช่น พอใจ ชอบใจ และมีผล
ทาให้การทางานบรรลุผลดังท่ีต้ังไว้ บุคคลจะมีความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจสิ่งใดสิ่งหน่ึง ข้ึนอยู่กับการ
ตอบสนองตอ่ ส่งิ เร้าท่แี ตกต่างกนั ออกไป
สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดของบุคคลในด้านความพอใจ หรือทัศนคติของ
บุคคลทีม่ ตี ่อการปฏิบตั งิ าน ซง่ึ สามารถเป็นได้ท้ังทางบวกและทางลบ ถ้าเป็นทางบวกก็จะทาให้เกิดผลดี
ต่อการปฏิบัตงิ านทท่ี า แต่ถ้าเป็นในทางลบกจ็ ะเกิดผลเสยี ต่อการปฏบิ ตั งิ านนั้นได้ ดังนั้นความพึงพอใจ
ในการเรียน จึงเป็นความรู้สึกหรือเจตคติที่ดีของผู้เรียนท่ีมีต่อการเรียนหรือร่วมปฏิบัติหรือได้รับ
มอบหมายใหป้ ฏบิ ตั ิ และความเป็นรู้สึกท่ีเกดิ ขึ้นเม่ือผ้เู รยี นไดร้ ับผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายในการเรียน
2. ทฤษฎีที่เกยี่ วขอ้ งกบั ความพงึ พอใจ
มนี ักวิชาการและนักการศกึ ษาได้ให้ความคดิ เหน็ เกีย่ วกบั ทฤษฎีความพึงพอใจ ไวด้ งั นี้
มาสโลว์ (Maslow. 1970 ; 68 – 80 ; อ้างถึงใน ศรานนท์ วะปะแก้ว. 2547 : 52) เสนอ
ทฤษฎีลาดับขั้นของความต้องการโดยสมมุติฐานไว้ว่า “มนุษย์เรามีความต้องการอยู่แสมอไม่มีที่ส้ินสุด
เม่ือความต้องการได้รับการตอบสนอง หรือพึงพอใจอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว ความต้องการอ่ืน ๆ ก็จะ
ตามมาอีก ความต้องการของคนเราอาจเกิดขึ้นซ้าซ้อนกัน ความต้องการอย่างหนึ่งยังไม่หมด ความต้องการอีก
อยา่ งหน่งึ เกดิ ข้ึนได้” ความตอ้ งการของมนษุ ยม์ ีลาดับขน้ั ดงั นี้

1. ความต้องการทางดา้ นร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการพ้ืนฐานของ
มนุษย์ เน้นส่ิงท่ีจาเป็นในการดาเนินชีวิต ได้แก่ อาหาร อากาศ ที่อยู่อาศัย เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค
ความตอ้ งการทางเพศ

2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) ความม่ันคงในชีวิตท้ังที่เป็นแหล่งปัจจุบัน
และอนาคต ความเจรญิ ก้าวหนา้ อบอุน่ ใจ

3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เป็นสิ่งจูงใจท่ีสาคัญต่อการเกิดพฤติกรรมต้องการให้
สงั คมยอมรับตนเขา้ เป็นสมาชิก ตอ้ งการความเป็นมิตร ความรักจากเพอื่ น

31

4. ความต้องการมีฐานะ (Esteem Needs) ความอยากมีช่ือเสียงการยกย่อง สังคม อยากมี
อสิ รภาพ

5. ความต้องการความสาเร็จในชีวิต (Self - Actualization Needs) เป็นความต้องการในระดับสูง
ตอ้ งการความสาเร็จทุกอยา่ งในชวี ิต

อารี พันธ์มณี (2548 : 203) กล่าวถึง แนวทางการสร้างความพึงพอใจในการเรียนรู้ให้กับ
ผ้เู รียน สรปุ ไดด้ ังนี้

1. สรา้ งความสนใจใหก้ ับผูเ้ รยี น โดยการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้ อยากเห็นจัด
สถานการณ์ในห้องเรียน ให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเสาะแสวงหาความรู้ หรือคาตอบที่ต้องการ และ
เกดิ พฤติกรรมการเรียนร้ขู ้ึนได้ ซึง่ ความพึงพอใจของผู้เรียนจะมีผลตอ่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน

2. ส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนมีความร่วมมือใน
การเรียนรแู้ ละเกิดความสามัคคใี นกลุ่ม

3. มุ่งใหร้ างวัลและหลีกเล่ยี งการลงโทษ อาจจูงใจในลักษณะท่ีเป็นนามธรรม ภาษาหรือ
สัญลักษณ์ ครูผู้สอนควรช้ีแนะข้อบกพร่อง ถา้ ผเู้ รยี นพบว่าผลงานของตนเองไม่เป็นที่พอใจ

4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนประสบความสาเร็จในการเรียนรู้ จะทาให้ผู้เรียนเกิดความภูมิใจใน
ความสามารถของผู้เรียน นอกจากนี้การจัดเน้ือหาสาระตามระดับความสามารถผู้เรียน จะทาให้ผู้เรียน
เกิดความพงึ พอใจตอ่ การเรยี นรู้

5. ครูผู้สอนควรชว่ ยใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรถู้ ึงระดบั ความสามารถของผู้เรียนให้สอดคล้องกับ
สภาพความเป็นจริง และหาทางช่วยยกระดับความสามารถของผู้เรียนให้สูงขึ้น ตามพัฒนาการของ
ผเู้ รยี น

ธอร์นไดค์ (Thorndike. 1975 : 56 - 57 ; อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี. 2550 : 51) มีความ
เชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซ่ึงมีหลายรูปแบบ บุคคลจะมี
การลองผิดลองถูก ปรับเปลี่ยนไปเร่ือย ๆ จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองท่ีสามารถให้ผลที่พึง
พอใจมากท่ีสุดเม่ือเกิดการเรียนรู้แล้วบุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสมเพียง รูปแบบเดียว
และจะพยายามใช้รูปแบบนั้นเช่ือมโยงกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ กฎของ ธอร์นไดค์ สรุปได้
ดังนี้

1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้เรียนมี
ความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ

2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) การฝึกหัดหรือการกระทาบ่อย ๆ ด้วย
ความเข้าใจ จะทาให้การเรียนรู้นั้นคงทนถาวร ถ้าไม่ได้กระทาซ้าบ่อย ๆ การเรียนรู้น้ันจะไม่คงทน
ถาวรและในท่สี ุดอาจลมื ได้

3. กฎแหง่ การใช้ (Law of Use and Disuse) การเรยี นรู้เกิดจากการเช่ือมโยงระหว่าง
ส่ิงเรา้ กับการตอบสนอง ความมั่นคงของการเรียนรู้จะเกิดข้ึนหากได้มีการนาไปใช้บ่อย ๆ หากไม่มีการ
นาไปใช้อาจมีการลืมเกดิ ข้ึนได้

4. กฎแห่งผลท่ีพึงพอใจ (Law of Effect) เมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจย่อมอยากจะ
เรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจจะไม่อยากเรียนรู้ ดังนั้นการได้รับผลท่ีพึงพอใจจึงเป็นปัจจัย
สาคญั ในการเรยี นรู้

32

สรุปได้ว่า ความพึงพอใจเมื่อนามาใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้รางวัลหรือผลตอบแทน
ภายในเป็นผลต่อความรู้สึกของผู้เรียน ถ้าผู้เรียนสามารถเอาชนะความยุ่งยากต่าง ๆ และสามารถดาเนินงาน
ภายใต้ความยุ่งยากทั้งหลายสาเร็จ ก็จะทาให้เกิดความภูมิใจ ความม่ันใจ ตลอดจนได้รับการยกย่องจาก
บุคคลอื่น ส่วนผลการตอบแทนภายนอก จะเป็นรางวัลที่ผู้อ่ืนจัดหาให้มากกว่าท่ีตนเองหาด้วยตนเองเช่น
การได้รับคายกย่องจากครูผูส้ อน พ่อแม่ ผปู้ กครอง หรอื คะแนนทางการเรียนในระดับทีน่ ่าพอใจ

3. การวดั ความพงึ พอใจ
มนี กั วชิ าการและนกั การศกึ ษาใหค้ วามคดิ เหน็ เกี่ยวกับวธิ กี ารวัดความพงึ พอใจ ไวด้ ังน้ี
ชวลิต ชกู าแพง (2550 : 112 – 116) อธบิ ายถึงการวดั จิตพิสัยสามารถทาได้หลายวิธี
ซึง่ วธิ ีที่นิยมทาในปัจจบุ ัน คือ

1. การสงั เกต (Observation) สงั เกตการพูด การกระทา การเขยี นของนักเรียนทมี่ ี
ต่อส่ิงใดสิง่ หนึ่งท่ีครตู ้องการวดั

2. การสัมภาษณ์ (Inerview) เป็นการพูดคุยกับนักเรียนในประเด็นท่ีครูอยากรู้ ซ่ึง
อาจเป็นทัศนคติของนักเรียน เพื่อนาส่ิงที่นักเรียนพูดออกมาแปลความหมายเกี่ยวกับลักษณะจิตพิสัย
ของนักเรียน

3. การใช้แบบวัดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) เป็นการสร้างเคร่ืองมือ
ขึ้นมาเพื่อวัดทัศนคติ วัดความสนใจ วัดคุณธรรมจริยธรรม ถ้าเป็นการวัดทัศนคติ วัดความสนใจจะมี
รูปแบบการวัด 3 รปู แบบ คือ แบบของลเิ คิร์ท แบบของเธอรส์ โตน แบบของออสกูด

ประภาพันธ์ พลายจันทร์ (2551 : 6) ได้กล่าวไว้ว่า การวัดความพึงพอใจนั้นสามารถทาได้
หลายวิธีดงั ตอ่ ไปน้ี

1. วิธีการใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ถามเพ่ือต้องการทราบความคิดเห็นซ่ึง
สามารถกระทาได้ในลักษณะกาหนดคาตอบให้เลือก หรือตอบคาถามอิสระ คาถามดังกล่าวอาจจะถามความ
พงึ พอใจในด้านต่าง ๆ

2. วธิ กี ารสมั ภาษณ์ เปน็ วิธกี ารวดั ความพึงพอใจทางตรง ซ่ึงต้องอาศัยเทคนิค และวิธีการที่
ดี จงึ จะไดข้ อ้ มลู ทเี่ ปน็ จริง

3. วธิ กี ารสงั เกต เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเปูาหมายไม่
ว่าจะแสดงออกจากการพูดจา กริยาท่าทาง วิธีนี้ต้องอาศัยการกระทาอย่างจริงจัง และสังเกตอย่างมี
ระเบยี บแบบแผน

Shelly (1975) แนวคิดเก่ียวกับความพึงพอใจว่าเป็นความรู้สึกสองแบบของมนุษย์คือ
ความรู้สึกในทางบวกและความรู้สึกในทางลบ ความรู้สึกในทางบวกเม่ือเกิดขึ้นแล้วทาให้มีความสุข
ความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากความรู้ทางบวกอ่ืนๆ กล่าวคือเป็นความรู้สึกที่มีระบบ
ย้อนกลับ และความรู้สึกน้ีทาให้เกิดความสุขหรือความรู้สึกทางบวกเพ่ิมขึ้นได้อีก ดังน้ันจะเห็นได้ว่า
ความรู้สึกท่ีสลับซับซ้อนและความรู้สึกนี้จะมีผลต่อบุคคลมากกว่าความรู้สึกในทางบวกอื่นๆ ดังนั้น
ความรู้สึกในทางบวกความรู้สึกในทางลบ และความสุขมีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนและระบบ
ความสัมพันธ์ของความรู้สึกทั้งสามน้ี เรียกว่า ระบบความพึงพอใจ โดยความพึงพอใจเกิดขึ้นเม่ือระบบ
ความพึงพอใจมคี วามรู้สึกทางบวกมากกว่าทางลบ

33

ทฤษฎีอีอาร์จี ( ERG Theory ) ของ Clayton Alderfer (2554 : 20) ได้พัฒนามาจาก
ทฤษฎีความต้องการของ้ Maslow ไดแ้ บง่ ความตอ้ งการของคนออกเปน็ 3 อย่าง ดงั นี้

1. ความต้องการมีชีวิต (Existence Need) ความต้องการมีความเป็นอยู่ที่ดีทั้ทางร่าง
กายและวตั ถุ

2. ความต้องการความสัมพันธ์ (Relatedness Need) ความต้องการมีความสัมพันธ์
ระหวา่ งบคุ คลทีด่ ี

3. ความตอ้ งการความเจริญเติบโต (Growth Need) ตอ้ งการเจริญเติบโตและการพัฒนา
ทางจติ ใจอย่างต่อเน่อื ง

สรุปไดว้ า่ การวัดความพึงพอใจสามารถใช้เคร่ืองมือวัดได้หลายแบบ เช่น วิธีการสังเกตการ
สัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม ซึ่งในการศึกษาครั้งน้ีผู้ศึกษาใช้แบบสอบถามความพึงพอใจชนิดมาตราส่วน
ประมาณค่า (Rating Scale) กาหนดเกณฑ์การให้คะแนน 5 ระดับ ในการวัดความพึงพอใจของ
นกั เรยี น

งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง
ลัดดาวรรณ์ สมณะช้างเผือก (2558 : ออนไลน์) ได้รายงานผลการใช้บทเรียนออนไลน์

คณิตศาสตร์ เรื่องเวลา ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย สานักงานเขต
พ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 34 โดยมีกลมุ่ ตัวอย่าง คอื นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ห้องท่ี 5 ภาค
เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จานวน 48 คน โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย อาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 34 ซ่ึงได้จากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random
Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม ผลการศึกษาพบว่า ประสิทธิภาพ (E1/E2) ของบทเรียน
ออนไลน์คณิตศาสตร์ เรื่องเวลา กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 ห้องท่ี 5
เท่ากับ 88.36/81.40 ซึง่ สูงกวา่ เกณฑ์ 80/80 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่
2 ห้องท่ี 5 ที่เรียนโดยใช้บทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เรื่องเวลา มีคะแนนเฉล่ียก่อนเรียน เท่ากับ
7.14 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 24.42 และคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 และสูงกวา่ เกณฑท์ ี่โรงเรียนกาหนด และความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการ
เรียนรู้ โดยใช้บทเรยี นออนไลน์คณติ ศาสตร์ เร่ืองเวลา โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก

วันทนา โพธ์ิแก้ว (2558 : ออนไลน์) ได้รายงานผลการใช้บทเรียนออนไลน์ เรื่องเวลา
รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค 22102) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคือ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2/2 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนบ้านผ้ึงวิทยาคม อาเภอ
เมือง จังหวัดนครพนม สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 22 จานวน 32 คน ซึ่งได้มาจาก
การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการศึกษาพบว่า บทเรียนออนไลน์ เรื่อง ทฤษฎีบท
พีทาโกรัส รายวิชาคณิตศาสตร์พ้ืนฐาน (ค 22102) ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 มีประสิทธิภาพ (E1/ E2)
เท่ากับ 81.12/ 80.43 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ คือ 80/ 80 โดยบทเรียนออนไลน์ทั้ง 5 ชุด มี
ประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ทุกชุด ส่งผลให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยม
ศึกษาปีท่ี 2 ท่ีเรียนโดยใช้บทเรียนออนไลน์ เรื่องเวลา รายวิชาคณิตศาสตร์พ้ืนฐาน(ค 22102) ช้ัน
ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 หลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียน อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดบั .01และนักเรียนมีความ

34

พงึ พอใจตอ่ การจัดการเรยี นร้โู ดยใช้บทเรียนออนไลน์ เรอื่ งเวลา รายวชิ าคณิตศาสตร์พืน้ ฐาน (ค 22102)
ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยภาพรวมอยใู่ นระดับมาก (= 3.97, S.D. = 0.67)

สุขสันต์ บุญเล็ก (2559 : ออนไลน์) ได้รายงานการพัฒนาบทเรียนออนไลน์ เร่ืองเวลา
สาหรบั นักเรยี นระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นแมอ่ ายวิทยาคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้ง
น้ีเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จานวน 30 คน ซ่ึงกาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2559 โรงเรียนแม่อายวิทยาคม อาเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบการวิจัยแบบ One Group
Pretest – Posttest Design ใช้ระยะเวลาทดลอง 12 ชั่วโมง ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพของ
บทเรียนออนไลน์ เรื่องเวลา สาหรับนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 81.68/80.57
ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์ มีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และความพึงพอใจของ
นักเรียนท่ีมีต่อบทเรียนออนไลน์ โดยพิจารณาทั้งภาพรวมและเป็นรายข้อนักเรียนมีความพึงพอใจใน
ระดบั มาก

นงลักษณ์ เชื้อสาวะถี (2560 : 8) ได้ทาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ เร่อื งเวลา โดยใช้บทเรียนออนไลน์ ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนสิริรัตนาธร
โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2564 โรงเรยี นสิริรัตนาธร จานวน 2 หอ้ ง เป็นคนทเ่ี รียนโดยใช้บทเรียนออนไลน์ จานวน 50
คนและคนทเ่ี รียนปกติ จานวน 50 คน ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา ของ
นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 81.37/80.20 และทาให้ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน เร่ืองเวลา ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้บทเรียนออนไลน์สูงกว่าการจัด
กจิ กรรมการเรียนแบบปกติ แตกต่างกันอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05

จันคณา ยางงาม และคณะ (2560 : 113) ได้ทาการพัฒนาบทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์
และส่งเสริมเจตคติ เรื่องเวลา ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างในการพัฒนาครั้งนี้เป็นนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นมารีย์นิรมา สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1
จานวน 34 คน ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์และส่งเสริมเจตคติ เรื่องเวลา ชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.19/85.60 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่ต้ังไว้ ทาให้
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนบทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์และส่งเสริมเจตคติ เร่ืองเวลา ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และเจตคติของนักเรียนต่อ
การเรยี นคณิตสาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 อยู่ในระดบั ดมี าก

35

บทท่ี 3

วธิ ีดาเนนิ การศึกษา

ในการศึกษาบทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรับนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผู้
ศกึ ษาได้กาหนดวธิ กี ารดาเนินการ ไวด้ งั นี้

1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
2. เครอื่ งมือท่ีใชใ้ นการศึกษา
3. การสร้างเครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการศกึ ษา
4. วิธีดาเนนิ การศกึ ษาและเก็บรวบรวมข้อมลู
5. การวเิ คราะหข์ ้อมูล
6. สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู

ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
ประชากรท่ใี ช้ในการศึกษาคร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 2 ปีการศึกษา 2564

สงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาเชยี งใหม่ เขต 5 รวมทั้งสนิ้ 21 คน
กลุ่มตัวอยา่ งท่ีใชใ้ นการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนบา้ นนาฟอุ น.

สังกัดสานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 5 ทก่ี าลังศึกษาในภาคเรียนท่ี 2 ปี
การศกึ ษา 2564 จานวน 21 คน ซ่ึงได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการศึกษา
1. บทเรียนออนไลน์คณติ ศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ท่ผี ้ศู ึกษาได้

จัดทาขน้ึ เพอ่ื ประกอบกิจกรรมการเรยี นการสอน
2. แผนการจดั การเรียนรู้ เรื่องเวลา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 2 จานวน 16 ชว่ั โมง
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของบทเรยี นออนไลนค์ ณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรับ

นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ซึ่งเป็นแบบปรนัยเลอื กตอบชนิด 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ข้อ ขอ้ ละ 1
คะแนน รวม 20 คะแนน

4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นทมี่ ีต่อการเรียนรโู้ ดยใช้บทเรยี นออนไลน์คณิตศาสตร์
เรื่องเวลา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 เปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดับ (Likert
Scale) จานวน 10 ข้อ

การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ
ผศู้ ึกษาไดด้ าเนินการสร้างเคร่ืองมือท่ใี ช้ประกอบการศกึ ษาค้นคว้า ตามลาดบั ขนั้ ตอนดังน้ี
1. แผนการจัดการเรยี นรู้ เร่อื งเวลา สาหรบั นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 ครงั้ นผี้ ู้ศกึ ษาได้

สรา้ งขน้ึ เองโดยมีขนั้ ตอนการสรา้ งและการหาประสิทธภิ าพดงั น้ี

36

1.1 ศกึ ษาหลักการ แนวคดิ และทฤษฎีเกี่ยวกบั การสอนคณิตศาสตร์ศกึ ษาหลักสตู ร
โรงเรียนบ้านนาฟอุ น พุทธศักราช 2560 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช
2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ศึกษาคูม่ ือสาระ
การเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2

1.2 วเิ คราะห์หลกั สตู รโรงเรียนบา้ นนาฟุอน กลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์
ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 2 กาหนดหน่วยการเรยี นร้เู รื่อง เวลา ทนี่ กั เรยี นมปี ญั หาในการเรยี นในกลุ่มสาระ
การเรียนร้คู ณติ ศาสตร์

1.3 เขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้ เรือ่ งเวลา กลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ให้
ครอบคลุมเน้ือหาท่ีนามาเขยี นแผนการจัดการเรียนรู้

1.3 นาแผนการจดั การเรยี นรู้ เร่อื งเวลา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 2 เสนอตอ่
ผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ทา่ น ตรวจสอบด้านเทคนิควธิ ีการสอน และดา้ นการวัดผลประเมินผลเพ่ือ
ตรวจสอบความสอคล้องขององคป์ ระกอบต่าง ในแผนการจัดการเรยี นรู้

1.4 นาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องเวลา สาหรบั นกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2 ทผี่ ่าน
การตรวจสอบจากผเู้ ช่ียวชาญไปปรับปรุงแกไ้ ข

1.5 จัดพิมพแ์ ผนการจัดการเรียนรูฉ้ บบั สมบรู ณเ์ พ่อื นาไปใช้ในกลุม่ ตัวอย่างต่อไป
ซ่งึ สามารถสรปุ ชัน้ ตอนในการสร้างแผนการจัดการเรยี นรู้ เรอื่ งเวลา สาหรับนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปี
ที่ 2

2. บทเรยี นออนไลน์คณิตศาสตร์ เรื่องเวลา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2
การสร้างบทเรยี นออนไลนค์ ณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2 ที่ผู้
ศึกษาได้จดั ทาขน้ึ มีข้นั ตอนในการสร้าง ดังน้ี

2.1 ศกึ ษาหลกั การเรียนรู้ จิตวทิ ยาการเรยี นรู้ ทฤษฎีการเรยี นร้ทู ่เี กี่ยวขอ้ งกบั
คณิตศาสตร์ ราชบณั ฑติ ยสถาน (2546 : 641)

2.2 ศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง ในการสรา้ งบทเรียนออนไลน์ มวลทรพั ย์
ปาละวงศ์ (2555 : 62) กลา่ ววา่ บทเรยี นออนไลน์ หมายถึงแบบฝกึ หดั ท่ีครูสรา้ งขึ้นเพือ่ ทจี่ ะใชเ้ ป็น
เครอ่ื งมอื หรือสื่อการเรยี นการสอนในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ช่วยแก้ปญั หาความบกพร่อง
ทางการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น

2.3 วเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์ระหวา่ งสาระการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชว้ี ดั
และจุดประสงค์การเรยี นรู้ สมหมาย ศภุ พินิ (2551 : 36) กล่าวว่า บทเรยี นออนไลน์มีประโยชน์เป็น
เครอื่ งมือท่ีมคี วามสาคัญและมคี วามจาเปน็ ต่อการเรียนอย่างมาก เพราะช่วยให้นักเรยี นเขา้ ใจบทเรียน
ไดด้ ียง่ิ ข้นึ แล้วดาเนินการสร้างบทเรยี นออนไลน์

2.4 นาบทเรยี นออนไลน์คณติ สาสตร์ เรอื่ งเวลา รายวชิ าคณิตศาสตรพ์ น้ื ฐาน สาหรับ
นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 เสนอต่อผเู้ ชย่ี วชาญจานวน 3 ท่าน ชุดเดิมกับทป่ี ระเมนิ แผนการจดั การ
เรยี นรู้ เรื่องเวลา เปน็ ผู้ประเมินความสอดคล้องเหมาะสมของบทเรียนออนไลน์กบั จดุ ประสงคใ์ นการ
จดั ทาบทเรยี นออนไลน์และความชัดเจนของเน้ือหาใน บทเรยี นออนไลน์ความเหมาะสมของเนื้อหาใน
แผนการจัดการเรยี นรู้กจิ กรรม การใช้ภาษา การพิมพ์ รปู เลม่ และความสะดวกในการนาบทเรียน

37

ออนไลน์ไปใชโ้ ดยกาหนดเกณฑ์การประเมินความเท่ยี งตรงเชิงเนอื้ หา มีลกั ษณะเปน็ มาตราสว่ น
ประมาณค่า (Raing Scale) ตามวิธีของ ลิเคอร์ท (Likert)
(บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 103) ซงึ่ มี 5 ระดบั ดงั นี้

5 หมายถึง เหมาะสมมากทสี่ ุด
4 หมายถงึ เหมาะสมมาก
3 หมายถงึ เหมาะสมปานกลาง
2 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย
1 หมายถงึ เหมาะสมน้อยทีส่ ุด
นาผลการประเมนิ บทเรยี นออนไลน์โดยผ้เู ชย่ี วชาญทงั้ 3 ทา่ น มาหาค่าเฉลี่ยเป็นเกณฑ์การ
ตดั สนิ ใจในการประเมนิ ความเหมาะสมของบทเรยี นออนไลน์คณิตศาสตร์ เรื่องเวลา รายวชิ า
คณิตศาสตร์พื้นฐาน สาหรับนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2556 : 166)
ผลการประเมนิ ความเท่ยี งตรงเชงิ เนื้อหาของบทเรยี นออนไลนค์ ณิตศาสตร์ เรื่องเวลา
รายวิชาคณิตศาสตร์พน้ื ฐาน สาหรบั นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่าภาพรวมบทเรียนออนไลน์
คณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา มีความสอดคล้องมีค่าเฉล่ียเทา่ กบั 4.55 ระดับมากที่สดุ
2.5 นาบทเรยี นออนไลนค์ ณติ ศาสตร์ เรอ่ื งเวลา รายวิชาคณิตศาสตร์พน้ื ฐาน สาหรบั
นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 2 ทผี่ า่ นการตรวจสอบจากผู้เชีย่ วชาญไปปรบั ปรงุ แกไ้ ข
2.6 นาบทเรยี นออนไลน์คณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา กลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ช้นั
ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 มาตรวจสอบความเรียบร้อย แลว้ นามาจัดพิมพ์ เพื่อนามาใช้กบั กลุ่มตวั อย่างต่อไป

3. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ผูศ้ ึกษาได้ดาเนินการสรา้ งแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อมขี ั้นตอนการสรา้ ง
และหาคุณภาพ ดังนี้

3.1 ศึกษาการสร้างแบบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากทฤษฏี หลักการ
และค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องบุญชม ศรีสะอาด (2556 : 122) ได้กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนเปน็ แบบทดสอบท่ใี ช้วัดผลการเรียนรู้ในเน้อื หา และจดุ ประสงค์ในรายวิชาต่างๆ ที่เรียนมา
ในโรงเรยี นและสถานศึกษาตา่ งๆ เปน็ เครอื่ งมอื หลักของการวัดผล

3.2 ศึกษาเน้ือหาและจุดประสงค์การเรียนรู้จากหนังสือคู่มือครูรายวิชาคณิตศาสตร์
พน้ื ฐาน ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 2 หน่วยการเรียนรสู้ มการและการแกส้ มการ

3.3 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และจุดประสงค์การเรียนรู้
จากคมู่ ือครวู ชิ าคณติ ศาสตร์และเอกสารท่เี ก่ียวข้อง

3.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นแบบปรนัย 4 ตัวเลือกจานวน 20 ข้อ
3.5 นาแบบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบความตรง
ตามเนื้อหา (IOC) จานวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบว่าข้อสอบแต่ละข้อ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิง
พฤตกิ รรมตามตารางวิเคราะหเ์ นอื้ หาการวัดหรือไม่ โดยวธิ ีของ Rovinelli and Hambeton
(บุญชม ศรสี ะอาด. 2556 : 35-63) โดยกาหนดคะแนนความคิดเหน็ ดงั น้ี

ใหค้ ะแนน +1 เม่ือแน่ใจวา่ ข้อทดสอบนนั้ วัดตรงจุดประสงค์ข้อนนั้

38

ใหค้ ะแนน 0 เมือ่ ไมแ่ นใ่ จว่าขอ้ ทดสอบนั้นวดั ตรงจุดประสงคข์ ้อนน้ั
ให้คะแนน -1 เมอ่ื แนใ่ จว่าขอ้ ทดสอบนน้ั วดั วดั ตรงจดุ ประสงค์ข้อนั้น
3.6 นาผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญคานวณความตรงตามเน้ือหา (IOC) โดยกาหนด
ข้อทดสอบท่ีมีคา่ ตัง้ แต่ 0.50 ขึ้นไป เป็นข้อทดสอบทีม่ ีความตรงเชิงเน้ือหา ปรากฏว่าผลแบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีผู้ศึกษาสร้างข้ึนมีความตรงเชิงเน้ือหาอยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 พร้อมท้ัง
ปรับปรุงแก้ไขตัวเลือกในบางข้อตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญได้แบบทดสอบท่ีสอดคล้องกับ
วัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรมครบจานวน 10 ข้อ
3.7 นาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน ที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เช่ียวชาญไป
ทดสอบกับนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 2

4. แบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์
คณติ ศาสตร์ เรอ่ื งเวลา รายวิชาคณิตศาสตร์พืน้ ฐาน สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบมาตรา
ส่วนประมาณคา่ 5 ระดบั (Likert Scale) จานวน 10 ข้อ มีขัน้ ตอนการสรา้ งและ หาคุณภาพ ดังนี้

4.1 ศึกษาแนวคิด เอกสาร งานวจิ ัยท่ีเก่ยี วข้อง และลักษณะการสร้างแบบสอบถามของ
ประภาพนั ธ์ พลายจนั ทร์ (2546 : 6) เพ่อื กาหนดขอบข่าย เนอื้ หา และรปู แบบที่จะสารวจ

4.2 ศกึ ษาวตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา และกาหนดจดุ ม่งุ หมายในการสรา้ งแบบวัดความ
พงึ พอใจ

4.3 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ีต่อการเรียนรโู้ ดยใช้บทเรียนออนไลน์
คณิตศาสตร์ เรื่องเวลา รายวชิ าคณิตศาสตร์พืน้ ฐาน สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยพจิ ารณา
เก่ียวกับลักษณะของเนื้อหาและการผลิตส่ือตามวิธขี องลเิ คอร์ท(Likert) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณ
คา่ 5 ระดบั (Rating Scale) (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2556 : 102) คือ

5 หมายถงึ นักเรยี นมคี วามพึงพอใจในระดบั มากทส่ี ดุ
4 หมายถึง นักเรยี นความพึงพอใจในระดับมาก
3 หมายถึง นักเรยี นความพงึ พอใจในระดับปานกลาง
2 หมายถงึ นักเรยี นความพึงพอใจในระดับน้อย
1 หมายถึง นักเรยี นความพงึ พอใจในระดับนอ้ ยทส่ี ดุ
ผู้ศึกษาได้กาหนดเกณฑ์การสารวจระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดย
ใช้บทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 ไว้ดังนี้ (บุญชม ศรี
สะอาด. 2556 : 103)
4.51 - 5.00 หมายถึง นักเรียนมคี วามพึงพอใจต่อบทเรียนออนไลน์ระดับมากที่สดุ
3.51 - 4.50 หมายถงึ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรยี นออนไลน์ระดบั มาก
2.51 - 3.50 หมายถึง นกั เรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรยี นออนไลน์ระดบั ปาน
กลาง
1.51 - 2.50 หมายถงึ นกั เรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนออนไลน์ระดับน้อย
1.00 - 1.50 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนออนไลน์ระดับน้อยทสี่ ุด

39

4.4 นาแบบสอบถามที่สร้างข้ึนให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบให้ครอบคลุมประเด็นท่ี
ต้องการและความถูกต้องเหมาะสมผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน (ชุดเดิม) พิจารณาจากค่าดัชนีความ
สอดคล้อง (Index of Item Objective congruence : IOC) ระหว่างข้อคาถามกับพฤติกรรม (รัตนะ
บัวสนธ.์ 2551 : 41) โดยใช้เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดังน้ี

+ 1 หมายถงึ มคี วามเหน็ ด้วยวา่ ข้อความใช้ได้
0 หมายถึง ไมแ่ น่ใจว่าขอ้ ความใชไ้ ดห้ รือไม่
- 1 หมายถึง มีความเหน็ วา่ ข้อความใชไ้ ม่ได้
โดยข้อความแต่ละข้อความต้องมีค่า IOC มากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 เพราะถือว่าเป็นข้อท่ีมี
ความตรง เชิงเน้ือหา ส่วนข้อความที่มีค่า IOC น้อยกว่า 0.5 จะต้องดาเนินการปรับปรุงแก้ไขตามท่ี
ผู้เช่ียวชาญเสนอแนะซึ่งปรากฏว่ามีค่า IOC อยู่ท่ี 0.80 – 1.00 รวมเฉลี่ยค่า IOC เท่ากับ 0.92
(รายละเอยี ดภาคผนวก ฉ หนา้ 178)
3.4 ปรับปรุงและแก้ไขแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญและจัดทาเป็น
แบบสอบถามความพึงพอใจท่ีจะนาไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านนา
ฟุอน ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 21 คน ต่อไป

การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
ผรู้ ายงานดาเนินการทดสอบกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลนค์ ณิตศาสตร์ เรอ่ื ง

เวลา สาหรับนักเรยี น ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นนาฟอุ น ในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
1. แบบแผนการทดลอง
รปู แบบการทดลองในครง้ั น้ี เปน็ การวจิ ยั เชงิ ทดลอง (Experiment Research) โดยใช้

แบบแผนการวิจยั แบบกลุม่ เดียวสอบก่อนและหลังสอบ One group Pre-test Pose-test Desing
(ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. 2539 : 192 -193) โดยมแี บบแผนการทดลอง ในตารางท่ี 3.2 ดังนี้

ตารางท่ี 3.2 แสดงรปู แบบการทดลองใช้บทเรียนออนไลน์คณติ ศาสตร์ เร่ืองเวลา รายวิชาคณิตศาสตร์

พน้ื ฐาน สาหรับนกั เรยี น ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 2

การทดสอบก่อนเรียน การจดั กระทา การทดสอบหลังเรียน

T1 X T2

X = การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้บทเรยี นออนไลนค์ ณติ ศาสตร์ เรื่อง ความ
คล้าย รายวชิ าคณติ ศาสตร์พืน้ ฐาน สาหรบั นักเรยี น ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 2

T1 = การทดสอบก่อนเรียน Pre-test
T2 = การทดสอบหลังเรียน Post-teat

2. การดาเนินการทดลอง
ในการทดลองคร้ังนี้ ผู้ศึกษาไดด้ าเนนิ การตามขัน้ ตอน ดังนี้
2.1 จัดปฐมนเิ ทศเพื่อใหน้ ักเรยี นเข้าใจถึงวิธกี ารเรยี นรู้ บทบาทของนักเรียน

เปาู หมายของการเรียน จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และวิธวี ัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้

40

2.2 ทาการทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั
จากน้ันนากระดาษคาตอบของนักเรียนมาตรวจไห้คะแนนแลว้ บนั ทกึ คะแนนเกบ็ ไว้

2.3 ดาเนินการสอนตามขนั้ ตอน ในแผนการจัดการเรียนรู้โดยให้กลมุ่ ตัวอย่างเรียน
ดว้ ยกจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้บทเรยี นออนไลนค์ ณติ ศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรบั นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษา
ปที ี่ 2

2.4 เม่ือจดั กจิ กรรมเรียนร้ตู ามเนื้อหาครบทุกแผนแล้ว ทาการทดสอบดว้ ย
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ซึง่ เปน็ ชดุ เดยี วกนั กับทที่ ดสอบก่อนเรยี น

2.5 หลงั ทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียนแลว้ ให้นกั เรยี นทาแบบสอบถามความ
พงึ พอใจในการเรียนร้ทู ่ีมีตอ่ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ โดยใช้บทเรียนออนไลน์คณติ ศาสตร์ เร่อื งเวลา
สาหรบั นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 2

2.6 ตรวจให้คะแนนผลการทดสอบแล้วนาผลมาวเิ คราะห์ด้วยวิธที างสถิติ

การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
ในการวเิ คราะห์ข้อมูล ผู้รายงานดาเนนิ ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลดังตอ่ ไปนี้
1. เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 2 ทีไ่ ดร้ ับการ

สอนโดยใช้บทเรียนออนไลน์คณิตศาสตร์ เรอ่ื งเวลา รายวิชาคณติ ศาสตร์พ้ืนฐาน สาหรับนกั เรยี นชัน้
ประถมศึกษาปที ่ี 2 ระหว่างก่อนเรยี นและหลงั เรียน โดยใช้ t – test Dependent (บุญชม ศรสี ะอาด.
2556 : 112)

2. วเิ คราะหค์ วามพึงพอใจในการเรยี นรู้ของนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 2 ที่เรียนรูโ้ ดย
ใช้บทเรียนออนไลนค์ ณติ ศาสตร์ เรื่องเวลา สาหรับนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 2 โดยการหาคะแนน
เฉลี่ย (พชิ ิต ฤทธิ์จรญู , 2552 : 177) และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2556 : 103) ซึ่ง
กาหนดแปรผลตามระดบั ความพึงพอใจ 5 ระดับ

สถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล
ผศู้ กึ ษาดาเนนิ การวิเคราะหข์ ้อมูลโดยใชส้ ถติ ิ ดังน้ี
1. สถติ พิ ้นื ฐาน

1.1 ค่าเฉลี่ย บุญชม ศรีสะอาด (2556 : 103)

X = X

N

เมอื่ X แทน ค่าเฉลยี่
แทน ผลรวมของคะแนน
X
แทน จานวนข้อมลู ทงั้ หมด
N

41

1.2 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน n X2  ( X)2
S.D. =
n(n 1)

เมอ่ื S.D. แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน

 X 2 แทน ผลรวมของคะแนนยกกาลังสอง

( X )2 แทน กาลังสองของคะแนนผลรวม

n แทน จานวนขอ้ มลู ทัง้ หมด
1.3 ค่าร้อยละ (Percentage) ใชส้ ูตร บญุ ชม ศรสี ะอาด (2556 : 103) ดงั น้ี

P = f x 100

n

เม่ือ P แทน ร้อยละ
f แทน ความถท่ี ต่ี ้องการแปลงให้เปน็ ร้อยละ

n แทน จานวนความถ่ีทง้ั หมด

2. สถติ ิเพือ่ การตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการศึกษา
2.1 คา่ ความเทย่ี งตรงเชิงเน้ือหาของผู้เชย่ี วชาญที่มีต่อแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ

(IOC) ยุทธ ไกยวรรณ์ (2553 : 150) คานวณจากสตู ร

IOC =  R

N

เมื่อ IOC แทน คา่ ความเท่ยี งตรงเชงิ เน้ือหาระหว่างข้อสอบกับ
จุดประสงค์การเรยี นรู้
∑R แทน ผลรวมคะแนนความคดิ เหน็ ของผู้เช่ยี วชาญท้ังหมด
N แทน จานวนผเู้ ช่ียวชาญ

2.2 คา่ ความยากง่ายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิแบบอิงเกณฑ์โดยใชส้ ูตร P

บุญชม ศรสี ะอาด (2556 : 90) P= R ความยากง่ายของ
เมื่อ P แทน N

แบบทดสอบข้อท่ี

R แทน จานวนคนทีท่ าข้อสอบข้อน้นั ถูก

N แทน จานวนคนท่ที าข้อสอบนนั้ ทง้ั หมด

เกณฑ์ความยากง่ายท่ียอมรับอยู่ระหวา่ ง 0.20 - 0.80

42

2.3 ค่าอานาจจาแนก ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ยุทธ ไกยวรรณ์ (2553 :

145)
r = RU - RL
N

r คือ คา่ อานาจจาแนก

RU คือ จานวนนักเรียนในกล่มุ สงู ท่ีตอบถูก (กลุม่ สูงใช้ประมาณ
ร้อยละ 25ของนักเรยี นทั้งหมด)

RL คอื จานวนนกั เรยี นในกลุม่ ต่าทตี่ อบถูก (กลมุ่ ต่าใช้ประมาณ
ร้อยละ 25ของนกั เรยี นท้ังหมด)

N คอื จานวนนักเรยี นในกลมุ่ สูงหรือกลุ่มต่า

เกณฑ์อานาจจาแนกทีย่ อมรบั ได้จะมคี า่ อยู่ระหว่าง 0.20 – 1.00

2.4 ค่าความเช่ือมัน่ ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ วิธขี องโลเวท (Lovett)

บญุ ชม ศรสี ะอาด (2556 : 96)

rcc = 1  k xi   x 2
i

(k 1) (xi  c)2

เมือ่ rcc แทน คา่ ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
k แทน จานวนข้อของแบบทดสอบ
Xi แทน คะแนนของแต่ละคน
C แทน คะแนนเกณฑห์ รอื จุดตัดของแบบทดสอบ

2.5 การหาค่าประสทิ ธภิ าพของบทเรยี นออนไลน์ E1/E2 เผชิญ กจิ ระการ (2551: 49-51)
สูตรท่ี 1 การหาคา่ ประสิทธิภาพของกระบวนการ ใช้สตู รดังนี้

X

E1 = N 100
A

เม่ือ E1 แทน ค่าประสทิ ธิภาพของกระบวนการ
∑X
แทน คา่ คะแนนรวมจากบทเรียนออนไลน์

A แทน คะแนนเต็มของคะแนนทุกบทเรยี นออนไลน์

รวมกัน

N แทน จานวนนักเรยี น

สตู รที่ 2 การหาคา่ ประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์ ใช้สตู รดงั น้ี

F

E2 = N 100

B

43

เมอ่ื E2 แทน ค่าประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์
∑F แทน คะแนนรวมของการทดสอบหลงั เรียน
B แทน คะแนนเต็มของการทดสอบหลงั เรียน
N แทน จานวนนกั เรียนทีเ่ ข้าสอบ

2.5 การตรวจสอบสมมติฐาน โดยเปรยี บเทียบคะแนนผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนก่อน
เรียนและหลงั เรยี นใชส้ ตู ร

ดชั นีประสทิ ธผิ ล = ผลรวมของคะแนนหลังเรียนทุกคน – ผลรวมของคะแนนก่อนเรยี นทุกคน
(จานวนนกั เรยี น x คะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทกุ คน

E.I.  P2  P1
total  P1

โดยท่ี P1 แทน ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทกุ คน
P2 แทน ผลรวมของคะแนนหลงั เรยี นทุกคน
total แทน จานวนนักเรยี นคูณกับคะแนนเตม็

44

บทท่ี 4

ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู

การพฒั นาบทเรียนออนไลน์คณติ ศาสตร์ เรื่องเวลา สาหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2
ผศู้ ึกษาขอนาเสนอผลการศึกษา โดยแบง่ ออกเปน็ 2 ตอน ดังนี้

1. ผลการวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรยี นจากการใช้
บทเรียนออนไลนค์ ณติ ศาสตร์ เรื่องเวลา สาหรบั นักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2

2. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรยี นท่มี ตี ่อการเรียนร้โู ดยใช้บทเรยี นออนไลน์
คณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2

ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู

ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ผูศ้ ึกษาขอนาเสนอ ดงั นี้

1. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรยี นโดยใช้บทเรยี น

ออนไลน์เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์บทเรียนออนไลนค์ ณติ ศาสตร์เรื่องเวลา สาหรบั

นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 2 ผศู้ กึ ษาไดเ้ ปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอ่ นเรยี นและหลังเรยี นจาก

การใช้บทเรยี นออนไลน์เพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนคณติ ศาสตร์บทเรยี นออนไลนค์ ณติ ศาสตร์

เรื่องเวลา รายวิชาคณิตศาสตร์พนื้ ฐาน สาหรบั นกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2

ตอนที่ 1 แสดงผลการเปรยี บเทียบผลสมฤทธทิ์ างการเรียน กอ่ นและหลงั การใช้ บทเรียนออนไลน์

คณติ ศาสตร์เร่ืองเวลา สาหรับนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2

ตาราง การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาคณติ ศาสตร์ ก่อนและหลงั การเรยี นโดยใช้บทเรยี น

ออนไลน์ เรอื่ งเวลา ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 2

ที่ ชอ่ื -สกลุ คะแนน คะแนนพฒั นา

กอ่ นเรียน หลงั เรยี น (หลังเรยี น-
( 20คะแนน) ( 20คะแนน) กอ่ นเรียน

1 ด.ช.ชนกันต์ หล้าจู 6 10 4

2 ด.ช.ณเดช เมอื งมา 9 13 4

3 ด.ช.ดนพุ งษ์ เมืองมา 6 10 4

4 ด.ช.ธนกร คิวสา 10 14 4

5 ด.ช.ธนกฤต ต๊ะสา 594

6 ด.ช.ปรเมษฐ์ ขาวจนั ทรต์ า 8 12 4

7 ด.ช.ปณุ ณวชิ หนสู า 8 11 3

8 ด.ช.ศภุ กิจ เขยี วสา 10 14 4

9 ด.ช.อทิ ธพิ ล หนูสา 10 14 4

10 ด.ญ.อัญชษิ ฐา เขียวสา 6 10 4

11 ด.ญ.กัญญาณัฐ ปดฺุ คา 12 16 4

45

12 ด.ญ.เกวลิน ปดฺุ คา 11 15 4
13 ด.ญ.จิราภรณ์ จนั มา 10 15 5
14 ด.ญ.ชลทิชา หลา้ จู 11 16 5
15 ด.ญ.ณัฐรตั น์ หนูสา 12 15 3
16 ด.ญ.ภาวดิ า ปฺดุ คา 7 10 3
17 ด.ญ.รจณา จันมา 11 15 4
18 ด.ญ.รรลิ รัตน์ ปฺุดคา 12 16 4
19 ด.ญ.ศิรพิ รรณ แสนเมอื งมา 7 10 3
20 ด.ญ.โสภิตา จันต๊ะอนิ ทร์ 7 11 4
21 ด.ญ.อุรัสยา ปดฺุ คา 12 16 4
190 272 82
รวม 9.04 12.95 3.90
2.33 2.49 0.53
X 45.23 64.76 19.52

S.D.
ร้อยละ

จากตารางพบวา่ คะแนนทดสอบก่อนเรยี นและคะแนนทดสอบหลงั เรียนของนกั เรยี น
ท่ีเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เร่ืองเวลา ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าคะแนนเฉล่ียของการทดสอบก่อน
เรยี นเท่ากับ 9.04 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 2.33 คิดเป็นรอ้ ยละ 45.23 และคะแนนเฉล่ียของการ
ทดสอบหลังเรยี นเท่ากบั 12.95 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 2.49 คดิ เป็นรอ้ ยละ 64.76

ตอนท่ี 2 ผลการศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรยี นท่ีมีตอ่ การเรยี นรู้โดยใช้บทเรยี นออนไลนค์ ณิตศาสตร์ เรอ่ื ง
เวลา รายวชิ าคณติ ศาสตรพ์ ื้นฐาน สาหรบั นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2

ผศู้ กึ ษาไดป้ ระเมนิ ความพึงพอใจของนกั เรียนทมี่ ตี ่อการเรยี นรโู้ ดยบทเรียนออนไลน์
คณิตศาสตร์ เร่ืองเวลา สาหรบั นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ดังแสดงในตารางที่ 4.4

ตารางท่ี 4.4 แสดงผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรยี นท่มี ตี อ่ การเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์

คณิตศาสตร์ เร่อื งเวลา สาหรบั นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 2 ของกลุ่มตัวอยา่ ง

นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2 ท่ีกาลังศึกษาในภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564

โรงเรยี นบ้านนาฟอุ น จานวน 21 คน

n = 21

ขอ้ รายการ X S.D. ระดับ
ความพึงพอใจ

1 นกั เรียนเข้าใจเน้ือหามากข้ึนเมื่อได้ศึกษาเน้ือหาในบทเรียนออนไลน์ 4.55 0.60 มากทสี่ ุด

2 นกั เรยี นสามารถเรยี นรูเ้ น้ือหาได้สะดวกและรวดเรว็ กวา่ ตาราเรยี น 4.59 0.59 มากท่สี ุด


Click to View FlipBook Version