หนังสอื เรยี นวชิ าเลอื ก สาระการพัฒนาสังคม
รายวิชา การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์สมยั สุโขทยั (3)
รหัส สค13014
ระดบั ประถมศึกษาศึกษา
หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551
สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั สุโขทัย
สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย
สํานักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ
หนังสอื เรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทัย(3) รหสั สค13014
คํานาํ
สํานกั งาน กศน.จงั หวดั สโุ ขทยั ได้จัดทําหนงั สอื เรยี นรายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ มยั สโุ ขทัย
ระดับประถมศกึ ษา เปน็ รายวชิ าเลอื ก จาํ นวน 3 หน่วยกติ หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั
การศึกษาข้นั ฐานพุทธศกั ราช 2551 สําหรบั นกั ศึกษาไดใ้ ช้ประกอบการเรียนข้ึน ซ่ึงมรี ายละเอียด
เกย่ี วกบั เนอ้ื หา และกจิ กรรมการเรียนรู้ สาํ หรับให้นกั ศกึ ษาได้ทํากิจกรรม หรือแบบฝึกปฏิบัตทิ ี่
กําหนดใหค้ รบถ้วน จะทาํ ให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจ และความสามารถตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั
ของหลักสตู ร
คณะผู้จัดทําหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือฉบับน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษา ครู และผู้สนใจ ใน
การเรยี นตามหลกั สตู รการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษาศึกษา ทั้งนี้ขอขอบคุณ
ผ้มู สี ่วนร่วมจดั ทาํ หนังสือเรยี นฉบับนีใ้ หส้ ําเร็จด้วยดีไวใ้ นโอกาสน้ดี ้วย
(นายสังวาลย์ ชาญพิชติ )
ผอู้ าํ นวยการสาํ นักงาน กศน.จงั หวัดสโุ ขทยั
หนังสือเรียนวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหสั สค13014
สารบัญ
คาํ นาํ หน้า
คําแนะนําในการใช้หนงั สือเรยี น
แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรียน 1
2
บทที่ 1 ความเปน็ มาของประวัตศิ าสตรส์ มัยสุโขทยั 3
เร่ืองท่ี 1. ยคุ กอ่ นราชอาณาจกั รสุโขทัย (กอ่ นปี พ.ศ.1761 ) 6
เรื่องที่ 2. ยุคอาณาจักรสโุ ขทยั ตอนต้น (พ.ศ.1761-1921)
เรอ่ื งท่ี 3. ยคุ อาณาจกั รสโุ ขทัยตอนปลาย (พ.ศ.1921-1981) 10
10
บทที่ 2 พระมหากษัตริย์องคส์ าํ คญั สมัยสุโขทัย 11
เรื่องท่ี 1. พอ่ ขนุ ศรนี าวนาํ ถม 11
เรื่องท่ี 2. พ่อขนุ ผาเมอื ง 12
เรอื่ งท่ี 3. พ่อขุนศรอี นิ ทราทติ ย์ 13
เรอ่ื งท่ี 4. พอ่ ขุนรามคาํ แหงมหาราช
เรื่องที่ 5.พระมหาธรรมราชาลิไท (พระมหาธรรมราชาท่ี 1) 20
20
บทที่ 3 กาํ เนดิ ลายสอื ไทย 21
เรอ่ื งที่ 1 ความเป็นมาของลายสือไทย 23
เร่อื งที่ 2 มหี นงั สอื ไทยเดมิ กอ่ นลายสอื ไทยหรือไม่
เร่ืองที่ 3. ลกั ษณะพเิ ศษของลายสือไทย 28
28
บทที่ 4 ศลิ าจารกึ 30
เร่อื งท่ี 1. ศิลาจารึกพอ่ ขุนรามคาํ แหง 32
เรื่องที่ 2. ศลิ าจารกึ วดั ศรีชมุ 33
เรื่องท่ี 3. ศลิ าจารึกนครชุม 34
เรือ่ งที่ 4. ศิลาจารกึ วดั ป่ามว่ ง 34
เรื่องที่ 5. ศิลาจารกึ วดั อโสการาม 36
เรอ่ื งที่ 6. ศลิ าจารึกวัดบรู พาราม
เรือ่ งท่ี 7. คําอ่านศิลาจารกึ พอ่ ขนุ รามคําแหง
หนังสือเรียนวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหัส สค13014 44
44
บทที่ 5 วรรณกรรมและตาํ นานสมัยสุโขทยั 46
เรือ่ งที่ 1. ไตรภูมิพระรว่ ง 47
เรอื่ งที่ 2. สุภาษิตพระรว่ ง 49
เรือ่ งที่ 3. ไม้ชําระพระร่วง 50
เรอื่ งท่ี 4. ปลากา้ งพระร่วง 51
เรอ่ื งท่ี 5. ตํานานพระรว่ งนางคํา 51
เร่ืองที่ 6. ตาํ นานพระร่วง พระลอื
เร่อื งท่ี 7. พระรว่ งสว่ ยน้าํ
แบบทดสอบหลังเรียน
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน
คณะผูจ้ ัดทาํ
หนงั สอื เรยี นวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหัส สค13014
คําแนะนาํ การใช้หนังสือเรยี น
รายวชิ า แฟ้มสะสมงาน รหัส ทร02015
หนังสอื เรียนสาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าเลือก สค13014 การศกึ ษาประวัติศาสตรส์ มยั สุโขทยั (3)
เปน็ หนังสอื เรียนที่จดั ทําข้ึนสําหรับผู้เรียนนอกระบบในการศกึ ษาหนงั สือเรยี นสาระการพัฒนาสังคม
รายวิชาเลือก สค13014การศกึ ษาประวัตศิ าสตร์สมัยสุโขทัย(3) ผเู้ รยี นควรปฏิบตั ิดังนี้
1. ศกึ ษาโครงสรา้ งรายวชิ าให้เข้าใจในหัวขอ้ และสาระสาํ คัญ ผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวังและขอบขา่ ย
เน้ือหาของรายวชิ าน้นั ๆโดยละเอียด
2. ศึกษารายละเอียดเนอ้ื หาของแตล่ ะบทอยา่ งละเอียดและทํากิจกรรมทก่ี าํ หนด แลว้ ทาํ ความ
เขา้ ใจก่อนทจ่ี ะศกึ ษาเรือ่ งต่อไป
3. ปฏิบัตกิ ิจกรรมท้ายเรอื่ งของแตล่ ะเร่ือง เพอื่ ใช้ในการสรุปความรู้ ความเข้าใจของเน้อื หาในเร่อื ง
น้นั ๆ อกี คร้งั และการปฏิบัตกิ ิจกรรมแต่ละเนอ้ื หาแตล่ ะเร่อื งผูเ้ รยี นสามารถนาํ ไปตรวจสอบกับครูและ
เพ่อื นๆท่ีรว่ มเรียนในรายวชิ าและระดับเดียวกนั ได้
4.หนงั สือเรยี นนี้มีท้ังหมด 5 บท
บทที่ 1 ความเปน็ มาของประวตั ศิ าสตร์สมยั สโุ ขทยั
บทที่ 2 พระมหากษัตรยิ ์องคส์ าํ คญั สมยั สโุ ขทยั
บทท่ี 3 กําเนิดลายสอื ไทย
บทที่ 4 ศิลาจารกึ
บทที่ 5 วรรณกรรมและตาํ นานสมัยสุโขทัย
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทัย(3) รหัส สค13014
โครงสรา้ งรายวชิ า
การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ มัยสุโขทัย(3)
สาระสาํ คญั
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เก่ยี วกับประวัติศาสตรส์ มยั สโุ ขทยั เปน็ การจดั กจิ กรรมทเ่ี ปดิ โอกาสให้
ผเู้ รียนได้บูรณาการทกั ษะต่างๆ ไปพรอ้ มกบั การปฏิบัตจิ ริงในการเรยี นรูอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ โดยมคี รเู ป็นผู้ให้
คําปรึกษา โดยใหผ้ เู้ รยี นได้เรยี นรู้เกีย่ วกับประวตั ิศาสตรส์ มัยสุโขทัย และผเู้ รยี นมเี จตคติที่ดีตอ่ การเรียนรู้
ด้วยตนเองทีท่ ําให้การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองประสบความสาํ เร็จ และนาํ ความร้ไู ปใช้ในวิถชี ีวติ ใหเ้ หมาะสมกับ
ตนเอง และชมุ ชน สงั คม
ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั
1. เพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นตระหนักและเหน็ ความสาํ คญั ของประวัติศาสตรส์ มยั สโุ ขทัย
2. เพื่อให้ผเู้ รียนเหน็ ความสาํ คญั ของสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ไทยสมยั สโุ ขทัย
3. เพ่อื ให้ผู้เรยี นรู้และเขา้ ใจความเปน็ มา ลักษณะพิเศษของลายสอื ไทย และทราบความหมาย
ของศลิ าจารกึ หลักที่ 1 มรดกแหง่ ความทรงจําของโลก
4. เพ่อื ให้ผู้เรยี นได้ศึกษาวรรณกรรมและตาํ นานสมัยสุโขทยั
ขอบขา่ ยเน้ือหา
บทที่ 1 ความเป็นมาของประวตั ิศาสตรส์ มัยสุโขทัย
1. ยุคก่อนราชอาณาจักรสโุ ขทัย (กอ่ นปี พ.ศ.1761)
2. ยุคอาณาจกั รสโุ ขทัยตอนต้น (พ.ศ.1761-1921)
3. ยุคอาณาจกั รสุโขทัยตอนปลาย (พ.ศ.1921-1981)
บทท่ี 2 พระมหากษัตริยอ์ งคส์ ําคญั สมยั สโุ ขทัย
1. พ่อขนุ ศรีนาวนาํ ถม
2. พอ่ ขนุ ผาเมือง
3. พ่อขุนศรอี ินทราทิตย์
4. พอ่ ขนุ รามคําแหงมหาราช
5. พระมหาธรรมราชาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ 1)
บทที่ 3 กาํ เนิดลายสือไทย
1. มหี นังสือไทยเดมิ กอ่ นลายสือไทยหรอื ไม่
2. ลักษณะพเิ ศษของลายสอื ไทย
หนงั สอื เรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหสั สค13014
บทท่ี 4 ศิลาจารกึ
1. ศลิ าจารึกพอ่ ขนุ รามคําแหง
2. ศิลาจารกึ วัดศรชี มุ
3. ศิลาจารึกนครชมุ
4. ศลิ าจารึกวัดป่ามว่ ง
5. ศิลาจารึกวัดอโสการาม
6. ศลิ าจารึกวดั บูรพาราม
7. คาํ อ่านศลิ าจารึกพอ่ ขุนรามคาํ แหง
บทที่ 5 วรรณกรรมและตาํ นานสมยั สุโขทยั
1. ไตรภมู พิ ระร่วง
2. สุภาษิตพระร่วง
3. ไม้ชําระพระร่วง
4. ปลาก้างพระร่วง
5. ตาํ นานพระร่วงนางคํา
6. ตาํ นานพระรว่ ง พระลอื
7. พระร่วงส่วยน้ํา
กิจกรรมการเรียนรู้
1. แบบดสอบกอ่ น-หลงั เรยี น
2. ศึกษาหนงั สือเรียนแต่ละบท
3. ทาํ กจิ กรรมท้ายบท
4. ตรวจสอบความรู้จากเฉลยและแนวทางการตอบท้ายเล่ม
5. ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ จากแหล่งการเรียนรูเ้ พิม่ เติม
การวดั และประเมนิ ผลการเรยี น
1. การทํากจิ กรรมทา้ ยบท
2. ทดสอบหลังเรียน
หนังสือเรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทัย(3) รหัส สค13014
แบบทดสอบกอ่ นเรียน
1. อาณาจักรสโุ ขทัยมอี าณาเขตกวา้ งขวางทส่ี ุดในสมัยกษัตรยิ ์พระองค์ใด
ก. พอ่ ขนุ ผาเมือง
ข. พ่อขนุ ศรอี ินทราทติ ย์
ค. พ่อขนุ รามคาํ แหง
ง. พระมหาธรรมราชาท่ี 1 (พญาลิไทย)
2. กษตั ริยท์ ี่สนพระทัยด้านศาสนาและทํานุบาํ รงุ เรอื่ งศาสนามากทส่ี ดุ ของสุโขทยั คือใคร
ก. พอ่ ขนุ ผาเมอื ง
ข. พอ่ ขุนศรีอนิ ทราทิตย์
ค. พ่อขุนรามคาํ แหง
ง. พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลไิ ทย )
3. ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยนิยมแบง่ ยคุ สมัยตาข้อใด
ก. แบง่ ตามเครอ่ื งมือเครื่องใช้
ข. แบง่ ตามยคุ ของอารยธรรม
ค. แบง่ ตามอาณาจักรหรือราชธานี
ง. แบง่ ตามเหตุการณ์สงครามโลกคร้ังที่ 1-2
4. ยคุ สมยั ประวตั ศิ าสตร์ไทยเริม่ สมัยใด
ก. สมัยอยธุ ยา
ข. สมัยสุโขทยั
ค. สมัยธนบรุ ี
ง. สมยั ทวารวดี
5. หลกั ศลิ าจารึกมคี ณุ คา่ ทางประวตั ศิ าสตร์อย่างไร
ก. มอี ายหุ ลายร้อยปี
ข. บนั ทกึ เรอื่ งราวตา่ งๆ ในอดตี
ค. จัดทําดว้ ยฝมี ือประณีต
ง. เป็นท่ีเคารพของคนสมยั โบราณ
6. คาํ วา่ “สรีดภงส”์ ในสมยั สุโขทัย มีความสมั พันธ์กบั สงิ่ ใดมากทสี่ ดุ
ก. การหัตกรรม
ข. การเลย้ี งสตั ว์
ค. การชลประทาน
ง. การปอ้ งกันศตั รรู กุ ราน
หนังสอื เรียนวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหสั สค13014
7. พระสถปู รูปทรงใดที่เปน็ ลกั ษณะเฉพาะของสมยั สุโขทยั
ก. ทรงระฆังควํ่ายอ่ มมุ แบบลา้ นนา
ข. ทรงกลมแบบลงั กา
ค. ทรงสงู แบบปรางค์ของ
ง. ทรงพุ่มข้าวบณิ ฑ์
8. ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรสุโขทยั กบั รัฐอ่นื มวี ัตถุประสงค์หลายประการ ยกเวน้ ข้อใด
ก. ความสัมพนั ธแ์ บบถว่ งดลุ อาํ นาจ
ข. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมิตรประเทศ
ค. ความสัมพนั ธ์ในฐานะประเทศคคู่ า้
ง. ความสมั พันธ์ในฐานะรฐั บรรณาการ
9. สโุ ขทัยถกู ผนวกเข้าเป็นดินแดนเดยี วกบั อยธุ ยาในสมัยใด
ก. สมเดจ็ พระบรมราชาท่ี 1
ข. สมเด็จพระบรมราชาที่ 2
ค. สมเด็จพระราเมศวร
ง. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
10. ข้อใดเปน็ ข้อด้อยทางเศรษฐกจิ ของอาณาจกั รสโุ ขทัย
ก. ไม่เก็บภาษผี า่ นแดนทาํ ใหม้ รี ายไดน้ อ้ ย
ข. มพี ืชเศรษฐกิจอย่างเดยี วคือขา้ ว
ค. ไกลจากทะเลทําให้ค้าขายกบั ตา่ งประเทศไมส่ ะดวก
ง. ราษฎรไม่มีกรรมสิทธใิ์ นทด่ี นิ ทาํ ให้ขาดการทํานบุ าํ รงุ พื้นท่ีเพาะปลูก
11. จากขอ้ ความ “สรา้ งปา่ หมากพลูทัว่ เมอื งทกุ แห่ง ป่าพรา้ วก็หลายในเมอื งน้ี หมากมว่ งก็หลายในเมืองน้ี
หมากขามก็หลายในเมืองน้ี ใครสรา้ งไดไ้ ว้แกม่ ัน” ขอ้ ความน้แี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ส่ิงใด
ก. สง่ เสรมิ การเพาะปลกู โดยให้กรรมสทิ ธใิ์ นทด่ี นิ ทาํ กิน
ข. สง่ เสรมิ ให้ประชากรมอี าชีพเพาะปลูก
ค. ส่งเสรมิ การปลกู เพือ่ นําผลผลิตไปขาย
ง. สง่ เสรมิ การเพาะปลูกเพือ่ เพ่มิ จาํ นวนประชากร
12. การทํายุทธหัตถีครง้ั แรกสุดของผ้นู าํ ไทยคือขอ้ ใด
ก. พ่อขุนผาเมือง – ขอมสมาดโขลญลาํ พง
ข. พอ่ ขุนศรีอินทราทิตย์ – ขุนสามชน
ค. พ่อขุนรามคาํ แหง – ขนุ สามชน
ง. พระนเรศวร – พระเจ้าอโนรธามังช่อ
หนงั สอื เรียนวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทัย(3) รหัส สค13014
13. มหาธรรมราชาลิไทยพยายามฟ้นื ฟูความมั่นคงของสโุ ขทยั ดว้ ยวิธีใด
ก. ยกกองทพั ไปทําสงครามกบั อยุธยา
ข. ยกกองทัพไปทาํ สงครามกับเชยี งใหม่
ค. กระชับไมตรีกับน่านและหลวงพระบาง
ง. เสริมสร้างให้สุโขทยั เปน็ ศนู ยก์ ลางของศาสนาวัฒนธรรม
14 การปกครองของสโุ ขทัยแตกต่างจากอยธุ ยาในหลกั การใด
ก. กษัตรยิ เ์ ป็นจอมทัพนาํ ไพร่พลออกทําสงคราม
ข. กษตั รยิ ์เปน็ พอ่ เมืองคุ้มครองประชาชน
ค. ชายมหี นา้ ท่เี ป็นทหารป้องกันบ้านเมือง
ง. กษตั รยิ ป์ กครองราษฎรดว้ ยความยตุ ิธรรม
15. ขอ้ ใดเปน็ ภยั ต่อความมน่ั คงของอาณาจกั รสโุ ขทยั มากทส่ี ดุ
ก. การแผอ่ ํานาจของอยธุ ยา
ข. การแผอ่ ํานาจของขอม
ค. การแผ่อํานาจของลา้ นนา
ง. การแผ่อํานาจของสุพรรณภมู ิ
16. เพราะเหตุใดการปกครองแบบพอ่ ปกครองลกู จงึ มีความเหมาะสมกบั อาณาจักรสโุ ขทยั
ก. เพราะพระมหากษตั รยิ ์ตอ้ งการแสดงความหว่ งใยตอ่ ราษฎร
ข. เพราะพระมหากษัตรยิ ต์ ้องการแสดงความใกลช้ ดิ กับราษฎร
ค. เพราะอาณาจกั รสุโขทยั มพี น้ื ท่ีไมก่ ว้างขวางและคนยงั มจี าํ นวนนอ้ ย
ง. เพราะพระมหากษัตริย์มคี วามเป็นเครือญาติกบั ราษฎร
17. เพราะเหตุใดอาณาจกั รสโุ ขทัยจงึ ถูกผนวกเข้ากบั อาณาจกั รอยธุ ยา
ก. มอี าณาจักรอนื่ ร่วมมือกับกรุงศรีอยธุ ยาโจมตสี ุโขทัย
ข. พระมหากษัตริยส์ ุโขทยั ฝกั ใฝ่พระพทุ ธศาสนามากเกินไป
ค. อาณาจกั รอยุธยามกี าํ ลงั แสนยานภุ าพท่แี ข็งแกรง่ กวา่
ง. กษตั ริย์อยุธยาอา้ งสทิ ธสิ ืบทอดจากชนนีชาวสุโขทัย
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทัย(3) รหสั สค13014
บทท่ี 1
ความเป็นมาของประวัติศาสตร์สมยั สุโขทัย
ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เริ่มนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็น
ต้นมา หากแต่ในอาณาเขตประเทศไทย พบหลักฐานของมนุษย์ซ่ึงมีอายุเก่าแก่ท่ีสุดถึงห้าแสนปี ทั้งยังมี
หลกั ฐานของอารยธรรมและรฐั โบราณในอาณาเขตดังกลา่ วเปน็ จาํ นวนมาก
อาณาจักรสุโขทัยซึ่งก่อต้ังขึ้นในปี พ.ศ. 1781 ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อ
ขุนรามคําแหงมหาราช นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระองค์ยังมี แต่เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลง
ภายหลังการสวรรคตของพระองค์ อาณาจักรอยุธยาก่อตั้งข้ึนใน พ.ศ. 1893 มีความย่ิงใหญ่กว่าอาณาจักร
สุโขทัยเดิม เนื่องจากมีการติดต่อกับชาติตะวันตก ก่อนจะล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงใน พ.ศ. 2310 พระยา
ตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมาอยู่ท่ีกรุงธนบุรี ต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟา้ จุฬาโลกทรงสถาปนากรงุ รัตนโกสินทร์ขึ้นเมอ่ื วันท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2325
การลงนามในสนธสิ ัญญาเบาว์รงิ ทาํ ให้ชาตติ ะวนั ตกหลายชาตเิ ขา้ มาทําสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม
อกี หลายฉบับ ตอ่ มา แมจ้ ะมกี ารเสยี ดินแดนหลายครั้งให้แก่ฝร่ังเศสและอังกฤษ แต่อาณาจักรสยามก็ไม่ตก
เปน็ อาณานคิ มของชาติตะวันตก กุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทําให้ไทยเข้าร่วม
สงครามโลกครั้งท่ีหน่ึง โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายพันธมิตร ทําให้สยามได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ
อนั นาํ มาซ่ึงการแก้ไขสนธสิ ญั ญาอนั ไม่เป็นธรรมทงั้ หลาย
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ทํา
ให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกคร้ังท่ีสอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็น
พันธมิตรทางทหารกับญ่ีปุ่น ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยได้ดําเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับ
สหรัฐอเมริกา โดยมีนโยบายต่อตา้ นการขยายตวั ของคอมมวิ นสิ ตใ์ นภูมิภาค
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการในทางปฏิบัติอยู่
หลายทศวรรษ ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และได้มีการสืบทอดอํานาจของ
รัฐบาลทหารผ่านการก่อรัฐประหารหลายสิบคร้ัง อย่างไรก็ดี หลังจากน้ันได้มีเหตุการณ์เรียกร้อง
ประชาธิปไตยคร้ังสําคัญในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศเริ่มมีความม่ันคงย่ิงข้ึน
ปจั จบุ นั ประเทศไทยกําลังเกิดวกิ ฤตการณก์ ารเมือง ซ่งึ เรมิ่ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2548
หนังสอื เรียนวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหสั สค13014 2
เร่ืองที่ 1 ยคุ ก่อนราชอาณาจักรสุโขทยั (ก่อนปี พ.ศ.1761)
จากการศึกษารอ่ งรอยทางโบราณและโบราณวตั ถุ ศลิ าจารกึ และตํานานพงศาวดา
ท้องถ่ินหลายฉบับทําให้เข้าใจว่า ระยะก่อนปี พ.ศ. 1761 น้ัน ปรากฏว่าอํานาจของอาณาจักรเขมรรุ่งเรือง
มากในดินแดนสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะต้ังแต่ประมาณ ปี พ.ศ. 1600 เป็นต้นมา จนถึงสมัย
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7
อาณาจักรเขมรมีศูนย์กลางอํานาจทางลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาอยู่ท่ีเมืองละโว้ (ลพบุรี)
อาณาจักรเขมรมีการปกครองแบบประชาธิปไตย กษัตริย์จะส่งขุนนางมาปกครองเมืองบริวาร โดยเมือง
บริวารจะต้องส่งส่วยเป็นเครื่องราชบรรณาการให้แก่นครหลวง ขณะเดียวกับบางท้องถ่ินอาจเป็นอิสระมี
อํานาจปกครองตนเอง กลุ่มชนมีขนาดไม่ใหญ่โต ผู้ปกครองเป็นผู้ท่ีได้รับการยกย่องจากกลุ่มชนให้เป็น
ผู้ปกครอง ไม่มีความซับซ้อนในการปกคอรงเพราะประชาชนยังมีน้อย บริเวณที่มีความสําคัญในบริเวณ
ภาคเหนือตอนลา่ ง คอื
1. บริเวณเมืองศรีเทพ ลุม่ แม่นาํ้ ปา่ สกั ซง่ึ มซี ากโบราณสถานเปน็ ปรางคท์ ี่สรา้ งด้วยศลิ า
แลงและอฐิ รวมท้งั เทวรูปศิลาหลายองค์ ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นศลิ ปกรรมแบบเขมร
2. บริเวณเมืองสองแคว (พษิ ณโุ ลก) ซึ่งปรากฏมีโบราณสถานเป็นศิลปกรรมแบบเขมร
ได้แก่ พระปรางคว์ ัดจุฬามณี ซ่งึ กอ่ สร้างด้วยศลิ าแลง
3. บรเิ วณเมอื งสุโขทัย และเมอื งศรสี ชั นาลยั ซ่ึงมโี บราณสถานที่เป็นศิลปกรรมแบบเขมร
คือ พระปรางค์วัดเจ้าจันทร์ พระปรางค์ 3 องค์วัดพระพายหลวง ศาลตาผาแดง และฐานพระปรางค์วัด
ศรีสวาย เมืองเกา่ สุโขทยั ปรางค์เขมรแบบบาปวนทีเ่ ขาป่จู ่า ต.นาเชิงคีรี เปน็ ตน้
สโุ ขทยั ในฐานะทเ่ี ปน็ แควน้ ทางการปกครองอยา่ งเป็นเอกเทศ ไดป้ รากฏรูปร่างข้นึ มาเมอ่ื
พุทธศตวรรษที่ 18 เม่ือวีรบุรุษไทย 2 คน คือ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดและพ่อขุนบางกลางหาวเจ้า
เมืองบางยาง สหายท้ัง 2 ท่าน ได้ร่วมมือกันยึดเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัยคืนมาจากข้าศึกที่ช่ือว่า
“ขอมสบาดโขลญลาํ พง”
เมืองสุโขทัยเดมิ พญาศรนี าวนําถมเป็นเจ้าเมืองครองอยู่ แตค่ ร้ังเมอ่ื พญาศรนี าวนาํ ถมถงึ
แก่กรรมลง ได้เกดิ เรือ่ งยุ่งยากขึ้น โดยต้องตกอยู่ในอํานาจปกครองของขอมสบาดโขลญลําพง ดังนั้น พ่อ
ขุนผาเมืองผู้เป็นโอรส จึงได้ร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาวยึดอํานาจคือ สําหรับพ่อขุนผาเมืองน้ันนอกจาก
เป็นโอรสของเจ้าเมืองสุโขทัยเก่าและเป็นเจ้าเมืองราดแล้ว ยังดํารงฐานะเป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์
เขมร และได้รับมอบนามเกียรติยศคือ “ศรีอินทราบดินทราทิตย์” กับพระขรรค์ชัยศรีจากกษัตริย์เขมร
ดว้ ย
หนงั สือเรียนวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหสั สค13014 3
เมื่อทงั้ สองยึดเมอื งศรีสชั นาลัยกบั สโุ ขทยั ไดแ้ ลว้ พ่อขุนผาเมอื งจึงได้มอบเมอื งสุโขทัยให้
สหายตนครอบครอง พร้อมทั้งนามเกียรติยศตนให้แก่สหาย ส่วนตัวเองกลับไปครองเมืองราดเช่นเดิม
ด้วยเหตุนี้ พ่อขุนบางกลางหาวจึงได้เป็นที่รู้จักกันภัยหลังในนามว่า “ศรีอินทราบดินทราทิตย์” หรือ
“ศรอี นิ ทราทิตย์”
เรอื่ งที่ 2. ยุคอาณาจักรสุโขทัยตอนต้น (พ.ศ.1761-1921)
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ครอบครองสุโขทัยเป็นศูนย์กลางมีอํานาจอยู่แถบบริเวณลุ่ม
แม่น้ํายมและแม่น้ําปิงตอนล่าง ทรงมีโอรสที่ปรากฏนามอยู่สองพระองค์ คือ พ่อขุนบานเมือง ผู้พี่และ
พอ่ ขนุ รามราชผู้นอ้ ง
ในขณะนนั้ บ้านเมืองยังอยใู่ นความไม่สงบ ยงั มผี ้นู ําของกลุ่มชนอสิ ระอยู่อีกหลายกลุม่ ทีค่ ิดจะ
ต้ังตัวเป็นใหญ่ ดังนั้น ในการรวบรวมกลุ่มชนต่าง ๆ เหล่านั้นเข้าด้วยกันจึงต้องมีการทําสงครามต่อสู้กัน
ดังเช่นคร้ังหนึ่งเมื่อพ่อขุนรามราช อายุได้ 19 ปี ประมาณปี พ.ศ. 1800 ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดตีเมือง
ตาก ซึ่งเป็นเมืองอยู่ในอาณาเขตปกครองของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครั้งนั้นพ่อขุนรามราชได้ช่วยพระราช
บดิ าออกส้รู บด้วย และสามารถชนช้างชนะขุนสามชนได้ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงเฉลิมพระนามพ่อขุนราช
ราชวา่ “พระรามคาํ แหง”
เมื่อขุนศรีอินทราทิตย์ส้ินพระชนม์พ่อขุนบานเมือง ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา แต่อยู่ในช่วง
ระยะสั้น ๆ ไม่ปรากฏเหตุการณ์สําคัญทางประวัติศาสตร์ เม่ือพ่อขุนบานเมืองสิ้นประชนม์ ในปี
พ.ศ. 1822 พอ่ ขนุ รามคาํ แหง จงึ ได้ครองราชยต์ ่อมาและไดท้ รงเปน็ มหาราชพระองค์แรกของชนชาติไทย
ในสมัยพ่อขุนรามคําแหงมหาราชถือได้ว่าเป็นยุคทองของสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรือ
กวา่ ในรชั กาลใด ๆ ในราชวงศพ์ ระร่วง ราชอาณาจกั รแผ่ขยายไปอย่างกวา้ งขวาง
ทิศเหนือ อาณาเขตถงึ เมืองหลวงพระบาง โดยมีเมอื งตา่ ง ๆ คอื เมอื งแพร่ เมอื งนา่ น เมอื งปวั
ทศิ ใต้ อาณาเขตถึงฝงั่ ทะเลสุดเขตมาลายู โดยมเี มอื งตา่ ง ๆ คือ เมืองคนที
เมืองพระบาง เมืองแพรก เมอื งสุพรรณภมู ิ เมอื งเพชรบุรี และเมืองนครศรีธรรมราช
ทิศตะวนั ออก อาณาเขตถงึ เมืองเวยี งจันทน์ และเมืองเวยี งคาํ โดยมเี มอื งสระหลวง
เมืองสองแคว เมืองลุมบาจาย และเมอื งสคา
ทศิ ตะวนั ตก อาณาเขตถึงเมืองฉอด และเมอื งหงสาวดี
ในรัชสมัยของพ่อขุนรามคําแหงมหาราช บ้านเมืองอยู่อย่างสงบ มีความร่วมเย็นเป็นสุข
ดังท่ีปรากฏในหลักศิลาจารึกว่า “ในนํ้ามีปลา ในนามีข้าว” การพาณิชย์เจริญก้าวหน้า พระองค์ได้ทรง
วางระเบียบปกครองบ้านเมือง ท้ังยังประดิษฐ์อักษรไทยข้ึนเมื่อปี พ.ศ. 1826 กับทั้งทรงดูแลการเพิ่ม
ผลผลิตของประชากร เพื่อความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ ของอาณาจักร
หนังสือเรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหสั สค13014 4
พระราชโอรสพระองคห์ นง่ึ ของพ่อขนุ รามคําแหงมหาราช คือ พญาเลอไท ซ่งึ สันนษิ ฐาน
ว่าเป็นพระมหาอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัย ในขณะท่ีพ่อขุนรามคําแหงมหาราชครองราชสมบัติอยู่
เมือพ่อขุนรามคําแหงมหาราชสวรรคตในราว พ.ศ. 1842 เมืองต่าง ๆ ที่เคยอยู่ในอํานาจของอาณาจักร
สโุ ขทัย ไดแ้ ตกแยกกนั ออกเป็นอสิ ระทาํ ให้เสถยี รภาพของอาณาจักรสุโขทยั อยใู่ นฐานะท่ีคับขนั กษัตรยิ ์ท่ี
ครองราชสมบัติสืบต่อจากพ่อขุนรามคําแหง คือ พญาไสสงคราม การที่เมืองต่าง ๆ พยายามแยกตัว
ออกเป็นอิสระ รวมท้ังเมืองท่ีอยู่ใกล้กับเมืองหลวงพยายามแยกตัวออกไป แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่เกิดความ
ยุ่งยากในราชวงศ์ก็ขึ้นอยู่กับการปกครองเป็นสําคัญ เพราะการปกครองในสมัยนั้นเป็นแบบนครรัฐ คือ
แตล่ ะเมืองกม็ ผี ูป้ กครองนครเปน็ อิสระเขา้ มารวมกันได้ก็เพราะศรทั ธาในกษตั ริยอ์ งค์เดยี วกนั เทา่ น้ัน
หลังจากรัชกาลของพญาไสสงครามแล้ว พญาเลอไทได้ครองราชสมบัติต่อมาราว
พ.ศ. 1866 ซ่ึงน่าจะต้องดําเนินนโยบายในการพยายามรวบรวมอาณาจักรเข้ามาอีกคร้ังหน่ึง ตลอด
ระยะเวลา 18 ปี ท่ีพระองค์ครองราชสมบัติอยู่นั้นไม่มีรายละเอียดปรากฏอยู่มากนัก พระองค์สวรรคต
ราวปี พ.ศ. 1884
ต่อจากรชั กาลพญาเลอไทย มีกษัตรยิ ท์ ีอ่ อกพระนามในศลิ าจารึกอีกพระองค์หน่ึง คอื
พญางวั นําถม ในฐานะพระอนชุ าแต่เปน็ โอรสของพ่อขนุ บานเมือง ได้ข้ึนครองเมืองสโุ ขทัยและได้โปรดให้
พญาลิไท ผู้เปน็ โอรสของพญาเลอไทไปครองเมอื งศรีสชั นาลยั ในฐานะอปุ ราชครองเมืองลูกหลวง เมอื่ พญา
งัวนําถมสวรรคตในราว พ.ศ. 1890 เกดิ ความเปลี่ยนแปลงภายในราชสาํ นกั กรุงสโุ ขทัยท่ีไมช่ อบตาม
ขนมธรรมเนียม บรรดาหวั เมืองต่าง ๆ แสดงตัวอยา่ งเปิดเผยถึงการดํารงอย่อู ยา่ งอสิ ระ ไม่ยอมขึ้นกบั
สว่ นกลางพญาลไิ ทยจึงลอยเสดจ็ ยกทัพจากเมอื งศรีสัชนาลยั ใชก้ าํ ลังเขา้ ขดึ เมอื งไวไ้ ด้ แลว้ ปราบดาภิเษก
เปน็ กษตั รยิ ก์ รุงสโุ ขทยั ทรงพระนามว่า “ศรสี ุริพงศ์รามมหาธรรมราชาธริ าช” เมืองครองกรงุ สโุ ขทยั แล้ว
ทรงปราบปรามเจา้ เมอื งตา่ งๆ ภายในเขตแคว้นแลว้ แต่งตง้ั พระบรมวงศานวุ งศ์ทีไ่ วว้ างพระราชหฤทัย ไป
ปกครองรวมอาํ นาจไว้ท่ศี นู ยก์ ลาง คือ กรุงสโุ ขทยั บ้านเมอื งจึงอยู่ด้วยความสงบเรียบร้อยอกี ครงั้ หนึ่ง
ความพยายามของพระมหาธรรมราชาลิไท ภายหลังขึ้นครองราชสมบัติแล้ว คือ ความ
มุ่งหวังท่ีจะรวบรวมเมืองต่าง ๆ ที่แตกแยกกันออกไปให้กลับเข้ามารวมในอาณาจักรเดียวกันอีก และมี
ความหวงั ว่าจะใหม้ อี าณาเขตใหญ่โตเทา่ กบั สมยั พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราช จนถึงกับเสด็จไปยังเมืองต่าง ๆ
เพ่ือเผยแพร่และกระทํากิจทางศาสนา ซึ่งขณะเดียวกันก็แสดงให้เมืองต่าง ๆ ท่ีพระองค์เสด็จไปเห็นว่า
พระองค์มีแสนยานภุ าพและมีพระราชอํานาจเต็มในกิจการต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ เช่นในปี
พ.ศ. 1902 พระองค์เสด็จยกทัพไปตีเมืองแพร่ กวาดต้อนครัวเรือนมาเป็นข้าพระทีวัดป่าแดงศรีสัชนาลัย
และในปีนั้นกไ็ ดป้ ระดษิ ฐร์ อยพระพทุ ธบาทจาํ ลองท่เี ขาสุมนกฎู เมืองสุโขทัย
หนงั สือเรียนวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหสั สค13014 5
ในฐานะผู้ครอบครองแคว้นสุโขทัย พระมหาธรรมราชาลิไท ทรงพยายามดําเนินรอยตามเบ้ือง
พระยุคลบาท พ่อขุนรามคําแหงมหาราช คือ เป็นทั้งนักปราชญ์ผู้สนพระทัยในทางศาสนา โดยให้ความ
อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระพุทธศาสนายังที่ต่าง ๆ ที่พระองค์ต้องการเป็น
พันธมิตรด้วย เช่น เมืองน่าน หลวงพระบาง และกรุงศรีอยุธยา แต่ขณะเดียวกันก็ได้แสดงบทบาทของ
การเปน็ นกั รบทีพ่ ยายามขยายอํานาจของแคว้นสุโขทัยให้กว้างขวางย่ิงขึ้น ในสมัยของพระองค์ นอกจาก
จะได้ยกทัพไปตีเมืองแพร่ทางทิศเหนือแล้ว ทางทิศตะวันออก ได้พยายามขยายขอบเขตออกไปถึงเมือง
ลุ่มแม่นํ้าป่าสัก จากบทบาทการเป็นนักรบของพระองค์ท่ีขยายพระราชอํานาจไปยังเมืองลุ่มแม่น้ําป่าสัก
น้ีเอง ทําให้กระทบกระท่ังกับกรุงศรีอยุธยา ท่ีมีความเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองแถบนั้น สมเด็จพระ
รามาธบิ ดีที่ 1 (พระเจา้ อูท่ อง) จึงเสด็จลอบยกทพั มายดึ เมอื งสองแควไว้ได้ และได้โปรดให้ขุนหลวงพ่อง่ัว
พระเชษฐาของพระมเหสี ซ่ึงขณะนั้นครองเมืองสุพรรณบุรี มาปกครองเมืองสองแคว ทําให้พระมหา
ธรรมราชาลิไท ต้องถวายบรรณาการเป็นอันมาก ในที่สุดสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จึงทรงมอบเมืองสอง
แควคอื และโปรดใหข้ ุนหลวงพ่อง่วั ไปครองเมอื งสพุ รรณบุรดี ังเดมิ
ในการคืนเมืองสองแควน้นั สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีที่ 1 ทรงต้งั เงือ่ นไขวา่ พระมหาธรรมราชาลไิ ท
ต้องเสด็จไปประทบั ทเี่ มืองสองแคว จงึ เป็นเหตใุ หแ้ คว้นสุโขทัยทเี่ รมิ่ จะรวมตัวกนั ได้ต้องสนั่ คลอน เมอื่
พระมหาธรรมราชาลิไทเสดจ็ ไปประทับอยเู่ มอื งสองแควได้โปรดใหพ้ ระอนชุ าปกครองเมืองสุโขทัยแทน
ในปี พ.ศ. 1912 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 สวรรคต สมเด็จพระราเมศวรข้ึนครองราชสมบัติ
เม่ือพระมหาธรรมราชาลิไททรงทราบ จึงคาดสถานการณ์ว่า ทางกรุงศรีอยุธยาต้องมีเหตุไม่เรียบร้อยขึ้น
แน่ พระองค์จึงรวบรวมพลจากเมืองต่าง ๆ ในแคว้นสุโขทัยที่เจ้าเมืองยังคงจงรักภักดีต่อพระองค์ เสด็จ
ยกพลมายงั กรงุ สโุ ขทยั การเสดจ็ กลับคืนสุโขทัยในครั้งน้ี หลังจากท่ีต้องทรงประทับอยู่ท่ีเมืองสองแควถึง
7 ปี จึงเป็นการเตรียมการท่ีจะใช้ตําแหน่งของเจ้าเมืองสุโขทัย อันเป็นบัลลังก์ที่บรรพบุรุษของพระองค์
ได้สั่งสมอํานาจไว้นั้น เพ่ือเป็นศูนย์กลางในการระดมกําลังก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยมีฐานะม่ันคงสืบไป
พระองค์ทรงเริ่มบทบาทโดยการเป็นพันธมิตรกับแคว้นล้านนา ซ่ึงขณะน้ันมีพระเจ้ากือนา เป็นกษัตริย์
ปกครอง โดยพระองค์ไดส้ ่งพระสุมนะเถระเป็นสมณะทตู ขึ้นไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาทเ่ี มอื งเชียงใหม่
ในปี พ.ศ. 1913 ขุนหลวงพอ่ ง่วั ซึ่งขน้ึ ครองเมอื งสุพรรณบุรี ไดเ้ ห็นความเคลอ่ื นไหวของพระ
มหาธรรมราชาลิไทท่ีกรุงสุโขทัย พระองค์จึงเข้ายึดอํานาจกรุงศรีอยุธยาด้วยความยินยอมของสมเด็จ
พระราเมศวร ซึ่งได้ทรงกลับไปครองเมืองลพบุรีตามเดิม ขุนหลวงพ่อง่ัวเสด็จขึ้นครองราชย์ทรงพระนาม
ว่า “สมเด็จพระบรมราชาธริ าชที่ 1”
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทัย(3) รหัส สค13014 6
เรอื่ งท่ี 3. ยุคอาณาจกั รสโุ ขทัยตอนปลาย (พ.ศ.1921-1981)
พระมหาธรรมราชาลิไท เสด็จสวรรคตเม่ือปีใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอยู่
ในระหว่าง พ.ศ. 1913-1916 หลังจากนั้นอาณาจักรสุโขทัยเกิดความแตกแยกเนื่องจากขาดผู้นํา
อาณาจักรท่ีเป็นท่ียอมรับของญาติพ่ีน้องท่ีครองเมืองต่าง ๆ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 จึงเสด็จ
ขึ้นมายึดอาณาจักรสุโขทัยได้ทั้งหมด หากแต่ยังโปรดให้เช้ือพระวงศ์ทางสุโขทัยปกครองตนเอง โดยขึ้น
ตรงกับอาณาจักรอยุธยา คือพระมหาธรรมราชาที่ 2 ซึ่งในสมัยของพระองค์ อาณาจักรสุโขทัยอยู่ใน
ฐานะเปน็ รัฐกนั ชนระหว่างอาณาจกั รเชยี งใหมก่ บั อาณาจกั รอยุธยา ซงึ่ ต่างก็แสดงความเคล่อื นไหวในการ
ที่จะผนวกเอาดินแดนของอาณาจักรสุโขทัยตลอดเวลา ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาพระบรมราชาธิราชท่ี 1
(ขุนหลวงพ่องั่ว) พระองคท์ รงเกรงวา่ อาณาจกั รสุโขทยั จะมไี มตรกี บั อาณาจกั รเชยี งใหม่เพราะหากทัง้ สอง
อาณาจักรร่วมมือกันแล้วจะทําให้อาณาจักรอยุธยาอยู่ในฐานะลําบาก จึงทรงยกทัพมาปราบปราม
หัวเมืองชายแดนที่ติดต่อกับอาณาเขตของสุโขทัย และหาเหตุเข้าโจมตีเมือง ในอาณาจักรสุโขทัยด้วย
ตามพงศาวดารอยุธยากล่าววา่
พ.ศ. 1914 สมเด็จพระบรมราชาธริ าช (ขนุ หลวงพ่องว่ั ) มชี ยั ชนะตอ่ หัวเมอื งเหนอื ทง้ั ปวง
พ.ศ. 1915 อยธุ ยายกทัพไปตเี มืองนครพงั คา และเมืองแสงเชรา
พ.ศ. 1916 อยธุ ยายกทัพไปตีเมืองชากังราว พญาไสแกว้ กับพญาคาํ แหงสู้รบป้องกนั เมอื ง
พญาไสแก้วเสยี ชวี ติ ในทีร่ บ พญาคาํ แหงถอยทัพกลบั เขา้ เมืองได้
พ.ศ. 1918 อยุธยายกทัพไปตีเมืองพิษณุโลก ขุนสามแก้ว เจ้าเมืองพิษณุโลกถูกจับได้
ทพั อยธุ ยาได้เมืองและกวาดตอ้ นผู้คนจากเมอื งพิษณุโลกกลับมามาก
พ.ศ. 1919 อยุธยาไปตีเมืองชากังราวครั้งท่ีสอง คราวน้ีกองทัพพญาผากองเจ้าเมืองน่านมา
ชว่ ยรบรว่ มกับพญาคาํ แหงดว้ ย แตก่ ็ไมส่ ามารถสู้กองทัพอยุธยาได้ พญาผาเมอื งยกกองทพั หนไี ป กองทัพ
อยธุ ยาตามจบั ตวั แมท่ พั นายกองไดม้ าก
พ.ศ. 1921 อยุธยายกกองทัพไปตีเมอื งชากังราว เป็นคร้ังท่ี 3 พระมหาธรรมราชา ยกกองทพั
ออกมาป้องกันเมืองด้วยพระองค์เอง แต่ก็ต้อยยอมพ่ายแพ้แก่กองทัพอยุธยา จนถึงกับต้องยอมถวาย
บังคมอ่อนน้อมต่ออาณาจักรอยุธยา
เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 2 ยอมถวายบังคมต่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชแห่งอยุธยาแล้ว
เสถยี รภาพทางการเมืองของสุโขทัยยิ่งลดน้อยลงตามลําดับ ทั้งนี้เพราะถูกอาณาจักรอยุธยาจํากัดอํานาจ
ลงกับรวมท้ังการทีก่ ษตั รยิ ์สโุ ขทัยย้ายท่ปี ระทบั อย่ทู ีเ่ มอื งสองแควดว้ ย
หนังสอื เรียนวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหัส สค13014 7
พระมหาธรรมราชาท่ี 2 สวรรคตราว พ.ศ. 1942 และพญาไสลือไทยขนึ้ ครองราชสมบตั ิตอ่ มา
ทรงพระนามว่า “พระมหาธรรมราชาที่ 3” อาจกล่าวได้ว่าภายหลังที่ทางอาณาจักรอยุธยาตัดกําลังหัว
เมืองต่าง ๆ ของของสุโขทัยลงแล้ว เสถียรภาพทางการเมืองของอาณาจักรสุโขทัยก็ทรุดลงและยากที่จะ
แก้ไขให้ม่ันคงข้ึนได้ เนื่องจากอาณาจักรอยุธยาสามารถขยายตัวออกไปได้อย่างกว้างขวางแต่ถึงกระน้ัน
พระมหาธรรมราชาที่ 3 ก็ได้ทรงกู้เสถียรภาพทางการเมืองของสุโขทัย โดยได้ทรงยกองทัพออกไป
ปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ให้อยู่ในอํานาจแม้จะไม่ได้มากเท่ากับครั้งพญาลิไทก็ตาม แต่พระองค์ก็ได้ทํา
สงครามหลายคร้ัง รวมท้ังเคยยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ เม่ือ พ.ศ. 1945 ด้วย ซึ่งแม้จะไม่ได้ผลทางชัย
ชนะเลยก็ตาม แต่เป็นการแสดงถึงความพยายามในการสร้างอาณาจักรให้มีเสถียรภาพมาย่ิงข้ึนกว่าการ
เป็นรัฐกนั ชนขนาดเล็กทีอ่ าจถูกผนวกไปอย่กู ับดนิ แดนของอาณาจกั รใดอาณาจักรหนึ่งได้
พญาไสลอื ไท ทรงมพี ระราชโอรสสองพระองค์ คอื พญาบาล และพญาราม หลงั จากทพ่ี ญาไส
ลอื ไทเสด็จสวรรคต ในปี พ.ศ. 1962 ก็เกิดจลาจลแย่งชิงราชสมบัติสมเด็จพระนครินทรราชาธิราช (พระ
อินทราชาธิราช) กษัตริย์อยุธยาต้องยกทัพมาปราบจลาจลโดยยกทัพไปถึงพระบาง (นครสวรรค์) พญา
บาล และพญาราม ตอ้ งออกมากราบบงั คมตอ่ สมเดจ็ พระนครนิ ทราชาธิราชจึงโปรดให้สถาปนาพญาบาล
ครองเมืองพษิ ณุโลก ทรงพระนามว่าพระเจ้าศรี
สุริยวงศบ์ รมปาลมหาธรรมราชาธิราช และพญารามโปรดให้ครองเมอื งสโุ ขทัย
พระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาลครองราชสมบัติอยู่19 ปี จึงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1981
การสวรรคตของพระเจ้าสุริยวงศ์บรมปาล (พระมหาธรรมราชาที่ 4) นักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นการ
สิน้ สุดยุคอาณาจกั รสโุ ขทัยด้วย
เมื่อพระเจ้าสุริยวงศ์บรมปาลสวรรคตสมเด็จพระบรมราชาท่ี 2 (เจ้าสามพระยา) จึงโปรดให้
สถาปนาพระราเมศวรราชโอรสซึ่งประสูติจากเจ้าหญงิ สุโขทยั พระองคห์ นึ่ง ซึง่ ขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง
7 พรรษา เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองสองแคว ท้ังนี้เพราะทรงเห็นว่าเป็นพระราชโอรสท่ีมีเชื้อสาย
ทางเจ้านายฝ่ายสุโขทัย คงจะเข้ากับทางราชวงศ์สุโขทัยได้ดี และเท่ากับเป็นการผนวกดินแดนของ
อาณาจักรสโุ ขทัยในตัวไปด้วย
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เสด็จสวรรคตเมือปี 1991
พระราเมศวรอุปราช จึงเสด็จจากเมืองสองแควไปครองกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรม
ไตรโลกนารถ ส่วนที่เมืองสองแควโปรดให้พระยุษธิฐิระ โอรสของพญารามเป็นเจ้าเมือง แต่ก็ทรงรวม
อํานาจจาการบริหารราชการแผ่นดินเข้าสู่ส่วนกลางท่ีกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายพระยุษธิฐิระไม่พอใจอย่างมาก
ที่เป็นเพียงเจ้าเมืองสองแคว จึงหันไปผูกมิตรกับพระเจ้าติโลกราชเมืองเชียงใหม่ ทําให้เกิดการสู้รบ
ยืดเย้ือระหว่างอาณาจักรอยุธยาและอาณาจักรเชียงใหม่ ตลอดรัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
และเพ่ือแก้ปัญหาเก่ียวกับกลุ่มหัวเมืองเหนือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงเสด็จขึ้นมาครองเมืองสอง
แคว และโปรดให้พระอินทราชาครองกรุงศรีอยุธยาแทนพระองค์ ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตร
โลกนาถ ไดท้ รงเปล่ยี นแปลงฐานะของเมอื งต่าง ๆ ทอี่ ยู่ในอาณาจักรสุโขทยั เดมิ เสียใหม่คอื
หนังสอื เรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทัย(3) รหัส สค13014 8
1. เมอื งทอี่ ยู่ในฐานะหวั เมอื งช้นั เอก คอื เมอื งสองแคว
2. เมืองที่อยู่ในฐานะหัวเมืองช้ันโท คือ เมืองศรีสัชนาลัย เมืองสุโขทัย เมืองชากังราว
และเมอื งเพชรบรู ณ์
3. เมอื งที่อยใู่ นฐานะหวั เมืองช้นั ตรี ได้แก่ เมืองพชิ ยั เมืองสระหลวง และเมอื งพระบาง
จะเห็นได้ว่าในบรรดาหัวเมืองในอาณาจักรสุโขทัยเดิม เมืองสองแควนับว่าเป็นเมืองท่ีสําคัญท่ีสุด
ขณะเดียวกนั เมืองสโุ ขทยั เมอื งศรสี ัชนาลัย อยูใ่ นฐานะหวั เมอื งช้ันโทไดล้ ดความสําคัญลง
เมืองสุโขทัยยังคงมีประชาชนอาศัยอยู่สืบมา จนกระท่ังในสมัยราชกาลสมเด็จพระมหา
ธรรมราชา แต่อยู่ในฐานะท่ีต้องส่งส่วยอากรและผลผลิตให้แก่อยุธยาบ้าง เก็บผลประโยชน์ให้พม่าบ้าง
ตามเหตุการณ์ของสงคราม จวบจนกระท่ังสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพไม่ยอมอยู่
ภายใต้การปกครองของพม่าท่ีเมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127 พระองค์ได้โปรดให้กวาดต้อนคนจากหัวเมือง
เหนือลงไปไว้เมอื งอยุธยาท้งั หมด เนื่องจากกรุงศรีอยุธยามกี าํ ลงั น้อย และเพอ่ื เปน็ การปอ้ งกันมิให้พม่าใช้
กําลังจากหวั เมอื งเหนอื เปน็ ฐานในการสนบั สนนุ ส่งกําลังบํารุง ทาํ ใหส้ ุโขทยั ตอ้ งกลายเป็นเมืองอ่อนกําลังลง
การที่สุโขทัยอ่อนกําลังลงเช่นน้ี เป็นผลให้บรรดาส่ิงก่อสร้าง ปราสาทราชวังวัดวาอาราม
คูเมือง กําแพงเมือง และระบบชลประทานต่าง ๆ ถูกภัยธรรมชาติทําลายให้เสียหาย พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเห็นว่าศิลปโบราณวัตถุทางศาสนา เช่น เทวรูปและพระพุทธรูปท่ี
งดงามถูกทอดท้ิงจึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายประติมากรรมลํ้าค่าเหล่าน้ัน ไปประดิษฐานตามวัดวาอารามต่าง
ๆ ในกรุงเทพมหานคร ศิลปกรรมของเมืองสุโขทัยส่วนหนึ่ง จึงเก็บรักษาอยู่ในกรุงเทพมหานครสืบมา
จนกระทงั่ บัดนี้ ส่งิ ทเี่ หลอื เป็นอนสุ รณข์ องความยิ่งใหญ่ของเมืองในอดีตมีเพียงแต่ซากของสถาปัตยกรรม
ท่ปี รักหกั พงั เพียงอย่างเดียวเท่าน้ัน
หนงั สือเรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหัส สค13014 9
กิจกรรมทา้ ยบท
คาํ ชแี้ จง จงตอบคาํ ถามต่อไปนี้
1.จงอธบิ ายประวตั ิศาสตร์สมัยสุโขทยั ยุคกอ่ นอาณาจักรสโุ ขทยั (ก่อนปี พ.ศ. 1761)พอสังเขป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….………
2.จงอธบิ ายประวตั ิศาสตรส์ มยั สโุ ขทัยยคุ อาณาจักรสโุ ขทยั ตอนต้น(พ.ศ.1761-1921)พอสังเขป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……..............................................................................................................................................................
3.จงอธิบายประวัติศาสตร์สมัยสโุ ขทัยอาณาจักรสโุ ขทยั ตอนปลาย(พ.ศ.1921-1981)พอสงั เขป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………….………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
หนังสอื เรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหัส สค13014 10
บทที่ 2
พระมหากษัตรยิ อ์ งค์สาํ คญั สมัยสโุ ขทยั
สุโขทยั เปน็ นครหลวงแหง่ แรกของประชาชนเชือ้ สายไทย สงั คมไทยในยคุ นีม้ ีลักษณะ
เป็นสังคมเผา่ มคี วามเกี่ยวพนั และผูกพนั กนั อยา่ งหนาแน่นในสายโลหติ อาณาเขตของสุโขทัยในสมัย
พ่อขุนศรีอนิ ทราทติ ยซ์ ่ึงเปน็ ปฐมกษัตรยิ ์ประกอบด้วยเมืองสโุ ขทัยและศรสี ชั นาลยั เท่านัน้
ตอ่ มาได้ขยายกวา้ งขวางขึน้ ในสมยั พ่อขุนรามคาํ แหง ความสัมพนั ธ์ของประชาชนก็มี
ลักษณะเป็นความสมั พันธท์ างใจอนั เกดิ จากความรู้สกึ กว่าเปน็ คนสายเลอื ดเดยี วกนั และอยู่ภายใตก้ าร
ปกครองโดย “พ่อขนุ ” องค์เดียวกนั ตามหลักฐานศลิ าจารกึ ของพ่อขนุ รามคําแหงมหาราช
แนวคดิ เกีย่ วกบั พระราชอาํ นาจของพระมหากษัตริยใ์ นสมยั สุโขทยั นี้ทรงเป็นผคู้ รองนคร
ซงึ่ เปน็ ผู้ทรงสทิ ธิเหนอื อาณาประชาราษฎร์ทงั้ ปวง สิทธิการเป็นพระมหากษัตริยส์ ืบทอดโดยการสืบ
สนั ตตวิ งศ์ ประชาชนมสี ิทธเิ ขา้ ถงึ ตัวผปู้ กครองแผน่ ดนิ พระมหากษตั ริย์คงเป็นของชาวพุทธแทๆ้ ไม่มี
คตนิ ิยมแบบพราหมณ์เขา้ มาปะปน พอสิน้ รัชกาลพ่อขนุ รามคาํ แหงจนถงึ รชั กาลกษัตรยิ ์องคต์ อ่ ๆ มา
เช่น พระมหาธรรมราชาลิไท อทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณ์เร่ิมเข้ามา กษตั ริย์เร่ิมเปน็ เทพยดา แต่กย็ ัง
ยึดศาสนาพทุ ธอยู่ จึงเปน็ แค่ “ธรรมราชา” ซึง่ เปน็ คําในศาสนาพุทธ เหมอื นที่ใช้เรียกพระเจา้ อโศก แต่
หลังจากน้ันเร่ิมเปน็ “รามาธิบด”ี
พ่อขนุ ศรนี าวนําถม
ศลิ าจารึกสโุ ขทัยหลักท่ี 2 ทีม่ าของประวตั ศิ าสตร์สุโขทยั ก่อนอาณาจกั รสโุ ขทัย กลา่ วว่า
ดนิ แดนสุโขทัยและศรีสชั นาลยั กอ่ นสมยั พอ่ ขนุ ศรอี ินทราทติ ย์ นั้น มีชุมชนอยเู่ ปน็ หลักแหลง่ เปน็ แควน้
นครรัฐ มีที่ตง้ั ศูนย์อํานาจการปกครองที่ถาวร เชื่อกนั ว่าศนู ย์อํานาจการปกครองทสี่ ุโขทัยต้งั อยบู่ ริเวณ
ใกลว้ ัด พระพายหลวงเมอื งเกา่ สุโขทยั สว่ นทศ่ี รีสชั นาลยั นา่ จะอยบู่ รเิ วณวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ
(วดั พระปรางค์) ตาํ บลศรีสัชนาลัย อําเภอศรสี ชั นาลัย แคว้นหรอื นครรัฐทง้ั 2 แห่งน้ี ปกครองโดยพ่อขนุ
ศรีนาวนําถม พอ่ ขนุ ศรนี าวนําถมจะเป็นคนสโุ ขทยั หรอื มีท่ีมาจากแหง่ อืน่ ใด ไมม่ หี ลกั ฐานกลา่ วถึง แต่
นักประวตั ิศาสตรห์ ลายทา่ นเชอื่ ว่า ทา่ นเป็นผูน้ ํากลุ่มชนทสี่ โุ ขทยั ราว ๆ กลางพทุ ธศตวรรษที่ 18 และ คง
เปน็ กษตั ริย์ท่มี อี าํ นาจ แพร่หลายออกไปกว้างไกล จนเป็นที่ยอมรับของแคว้นใกลเ้ คยี ง จนกษัตริยข์ อมยก
ธิดาใหอ้ ภเิ ษกกับโอรสองคห์ น่งึ พอ่ ขนุ ศรนี าวนาํ ถมมีโอรส 2 องค์ คือ พ่อขนุ ผาเมอื ง และพระยาคาํ แหง
พระราม เม่อื สิน้ รชั สมัยของพอ่ ขุนศรีนาวนําถมแลว้ สโุ ขทัยเกดิ ความไมส่ งบในการสบื ราชบลั ลงั ก์ จนพ่อ
ขุนผาเมอื งและพอ่ ขนุ บางกลางหาวต้องใชก้ ําลงั ทหารเข้าจดั การและเมื่อเหตกุ ารณ์สงบลงแลว้ พ่อขนุ ศรี
อินทราทติ ย์กข็ น้ึ ครองราชสมบตั ิ เปลีย่ นเปน็ ราชวงศ์พระรว่ ง พ่อขนุ ศรนี าวนําถมจึงถูกลมื ไปเสยี สนทิ ว่า
แม้จรงิ แลว้ ทรงเป็นกษัตริยส์ ุโขทยั มากอ่ นพ่อขุนศรอี นิ ทราทิตย์
หนงั สือเรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหัส สค13014 11
พอ่ ขุนผาเมือง
เชน่ เดยี วกับพ่อขนุ ศรอี นิ ทราทติ ย์ ชีวติ ในปฐมวยั ของผ้นู ําไทยคนสําคัญผู้นไี้ มม่ ีกลา่ วไว้ในท่ี
ใด ทราบจากศลิ าจารึกหลักท่ี ๒ เพียงวา่ ท่านเป็นโอรสพ่อขุนศรนี าวนําถม ผู้นําสโุ ขทัยกอ่ นราชวงศ์พระ
รว่ ง ได้เปน็ เจ้าเมืองราดและคงจะอยใู่ นฐานะรัชทายาทของเมืองสุโขทัย จึงไดอ้ ภเิ ษกกับเจ้าหญงิ แห่ง
อาณาจกั รขอม ชื่อนางสขิ รมหาเทวี ไดร้ บั มอบพระขรรค์ไชยศรี และนามศรอี ินทรบดนิ ทราทิตย์จากกษัตริยข์ อม
พอ่ ขุนผาเมอื งเป็นบุคคลท่มี คี วามสาํ คญั ที่สดุ ผ้หู น่งึ ในการก่อตง้ั อาณาจักรสุโขทัย เจ้าชายผู้
น้เี ป็นผูพ้ ิชติ ศกึ ทสี่ ุโขทยั รบชนะขอมสบาดโขลญลําพง และยึดเมืองไว้ได้กอ่ นท่ีพอ่ ขนุ บางกลางหาวจะนํา
ทพั ผ่านศรสี ชั นาลยั มาถงึ สุโขทัย โดยแทจ้ รงิ แล้วเมอื งสโุ ขทยั ขณะนัน้ เปน็ สิทธิโดยชอบธรรมของพ่อขนุ ผา
เมือง แต่เกิดเหตุการณไ์ มป่ กติ และตอ้ งร่วมมือกับสหายคอื พอ่ ขุนบางกลางหาวเขา้ ปราบปรามแลว้ แทน
จะใช้สทิ ธิน์ น้ั เขา้ ครอบครองสโุ ขทยั กก็ ลบั ยกให้สหายพรอ้ มอภิเษกและมอบนามศรีอินทราบดินทราทิตย์
ใหด้ ว้ ย ดงั ความในศลิ าจารกึ หลกั ท่ี 2 ตอนหนง่ึ กล่าววา่ “...พ่อขนุ ผาเมอื ง...ขอมสลาดโขลญลําพง...พาย
พง พอ่ ขนุ ผาเมืองจึงยงั เมืองสโุ ขทัยเข้าได้ เวินเมืองแก่พอ่ ขนุ บางกลางหาว พอ่ ขุนบางกลางหาวมิสู่เข้า
เพื่อเกรงแกม่ ติ รสหาย พ่อขุนผาเมอื งจึงเอาพลออก พอ่ ขนุ บางกลางหาวจงึ เข้าเมืองพ่อขนุ ผาเมืองอภิเษก
พ่อขุนบางกลางหาวเจา้ เมืองสุโขทยั ใหท้ ง้ั ชอื่ ตนแก่พระสหาย เรยี กช่ือศรีอนิ ทราทิตย์ นามเดมิ กมรเตง็ อญั
ผาเมอื ง เมอ่ื ก่อนผฟี า้ เจา้ เมอื งศรโี สธรปุระ ใหล้ ูกสาวช่อื นางสิขรมหาเทวี กบั ขันไชยศรี ใหน้ ามเกยี รตแิ ก่
พอ่ ขนุ ผาเมือง เทียมพ่อขุนบางกลางหาว ไดเ้ ชอื่ ศรีอินทราบดินทราทิตย์ เพ่อื พ่อขุนผาเมอื งเอาช่ือตน
ให้แก่พระสหาย...”
เม่อื ทาํ การอภเิ ษกมอบนามใหเ้ มืองแกพ่ ระสหายแล้ว พอ่ ขุนผาเมอื งกค็ งจะอยชู่ ว่ ยราชการที่
สโุ ขทัย อยู่จนสถานการณ์เขา้ ส่ปู กติแลว้ จึงเดนิ ทางกลบั เมอื งราด แลว้ ช่ือของบคุ คลสาํ คญั ผนู้ ี้กห็ ายไป
อยา่ งไม่มรี ่องรอยให้สืบเคา้ ไดอ้ ีกเลย
พ่อขนุ ศรีอนิ ทราทติ ย์
ชวี ติ ในเยาวว์ ยั ของผ้สู ถาปนากรุงสโุ ขทัย อนั เป็นองค์ปฐมกษตั รยิ ์ราชวงศพ์ ระรว่ งพระองค์นี้
ไมเ่ ป็นท่ีปรากฏชัด ณ ทแี่ หง่ ใด ในศิลาจารกึ ตํานาน พงศาวดารและจดหมายเหตตุ า่ ง ๆ ก็ไมไ่ ดก้ ลา่ วถึง
ปฐมวยั ของผู้นําคนไทยผู้นีไ้ ว้ท่ใี ด คงมีเพียงหนงั สอื ชนิ กาลมาลปี กรณ์ ซ่ึงพระเถระแห่งลา้ นนาไทย ชอื่
พระรตั นปัญญาเถระ แตง่ ขึ้นเพอ่ื ประมาณ ปี พ.ศ. 2061 – 2071 พดู ถึงอยา่ งยอ่ ๆ วา่ “...เมอื่ พระ
สัมมาสมั พทุ ธปรินิพพานแลว้ ได้ 1800 ปี จลุ ศักราช 618 มกี ษัตรยิ ์องค์หน่งึ ทรงพระนามวา่ โรจราช
ครองราชสมบตั อิ ยู่ในเมืองสโุ ขทยั ประเทศสยาม ด้านทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ของชมพทู วีป...
ได้ยนิ วา่ ท่ีตาํ บลบ้านโค ยังมีชายคนหนึง่ รปู งาม มกี าํ ลงั มากท่องเทีย่ วอยู่ในปา่ มนี าง
เทพธิดาองค์หน่งึ เหน็ ชายคนนัน้ แล้วใครจ่ ะรว่ มสงั วาสด้วย จงึ แสดงมายาหญิง ชายคนน้นั กร็ ่วมสงั วาส
กับนางเทพธิดาองคน์ นั้ เนือ่ งจากการร่วมสังวาสของเขาทง้ั สองนั้นจึงเกดิ บุตรชายคนหนงึ่ และบตุ รชาย
คนน้นั มีกาํ ลงั มาก รปู งาม เพราะฉะน้ันชาวบ้านทงั้ ปวงจึงพรอ้ มใจกันทําราชาภเิ ษกบตุ รชายคนนน้ั
หนังสอื เรียนวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทัย(3) รหสั สค13014 12
บุตรชายซง่ึ ครองราชสมบัติในเมอื งสโุ ขทยั นั้น ปรากฏพระนามในครงั้ นั้นว่า โรจราชภายหลงั ปรากฏพระ
นามวา่ พระเจา้ ลว่ ง...” ศาสตราจารย์ ร.ต.ท. แสงมนวฑิ รู ผแู้ ปลหนงั สือเร่ืองนี้ใหค้ าํ อธบิ ายว่าพระเจา้
โรจราชสมยั พ.ศ. 1800 นนั้ คอื พอ่ ขุนบางกลางหาว ปฐมกษตั ริย์ราชวงพระร่วง ในศลิ าจารึกเรยี กว่า
ศรีอนิ ทราทิตย์ บา้ นโคน้ันอาจเปน็ บ้านโคนหรือเมอื งบางคนทีในเขตจังหวดั กําแพงเพชร พระเจา้ ลว่ ง
กค็ ือ พระรว่ ง
แมจ้ ะเปน็ หลักฐานทค่ี อ่ นข้างเลอื่ นลอย ไมว่ า่ ระยะเวลา สถานท่ีหรือตวั บคุ คลแตช่ นิ กาล
มาลีปกรณ์ เขยี นข้นึ หลงั เหตกุ ารณน์ นั้ ประมาณ 200 ปี ซึง่ ไม่ใช่ระยะเวลาทหี่ า่ งจนเกนิ ไปนกั จงึ น่าจะมี
เค้าความเป็นจรงิ ปะปนอยบู่ า้ ง แมอ้ าจไม่ใช่ท้ังหมด พ่อขนุ ศรีอนิ ทราทติ ย์ ปรากฏชัดในประวตั ศิ าสตร์
สโุ ขทัย หลายหลกั โดยเฉพาะหลกั ที่ 2 หรือหลกั วดั ศรชี มุ กลา่ ววา่ ก่อนท่ีจะได้เป็นกษัตรยิ ค์ รองสุโขทัย
นั้น ไดเ้ ป็นผนู้ ําคนไทยกลมุ่ หน่ึงมีช่ือว่าพอ่ ขนุ บางกลางหาว และเมอ่ื ระหวา่ งปี พ.ศ. 1762-1781 ได้
รว่ มมือกบั พ่อขุนผาเมือง ผนู้ าํ คนไทยทีส่ ําคญั อีกคนหนงึ่ นํากําลงั ทหารเขา้ ยดึ เมอื งสโุ ขทัย จากขอมสบาด
โขลญลาํ พง แลว้ สถาปนาสโุ ขทัยเปน็ อาณาจกั รของคนไทย
เช่ือกันว่า อาณาเขตของอาณาจกั รสโุ ขทัยในรชั สมยั น้ี ทางทศิ เหนือจดเมืองแพร่ทิศใตจ้ ด
นครสวรรค์ (พระบาง) ทิศตะวันตกจดเมืองตาก ทิศตะวันออกจดจงั หวดั เพชรบรู ณ์ พอ่ ขุนศรีอินทราทติ ย์
สวรรคตในปใี ดไม่ปรากฏหลักฐานแนช่ ดั
พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราช
พ่อขนุ รามคําแหงมหาราช ได้ทรงเลา่ พระราชประวัติของพระองค์ดว้ ยพระองค์เองว่า “พอ่ กู
ชอื่ ศรอี ินทราทติ ย์ แม่กชู ่ือนางเสอื ง พก่ี ชู อ่ื บานเมือง กมู ีพ่ีนอ้ งทอ้ งเดียวกันหา้ คน ผูช้ ายสามผู้หญงิ โสง พี่
เผือ่ ผ้อู า้ ยตายจากเผอื เตยี ม แต่ยังเลก็ ...” ข้อความดังกล่าวไม่ระบวุ ่าทรงพระราชสมภพเมือ่ ใด นัก
ประวัติศาสตร์ไดส้ นั นษิ ฐานว่า พระองค์พระราชสมภพประมาณปีจอ จลุ ศกั ราช 600 (พ.ศ. 1781) หรือปี
กลุ จลุ ศกั ราช 601 (พ.ศ. 1782) เพราะตามพงศาวดารเมืองเหนอื เช่น พงศาวดารโยนกกล่าววา่ พ่อขุน
รามคําแหงมหาราชเปน็ พระสหายรุ่นราวคราวเดยี วกับ พ่อขนุ มังราย เจ้าเมืองเชยี งใหม่และพอ่ ขุนงาํ เมือง
เจา้ เมืองพะเยา และเปน็ ศษิ ย์รว่ มอาจารย์เดยี วกัน คอื ทรงศึกษาอย่ใู นสํานกั สุกกทันตฤษี ณ เมืองละโว้
(ลพบุร)ี พงศาวดารและจดหมายเหตุเมอื งเหนือระบุวา่ พ่อขุนมงั รายสมภพในปีกนุ จุลศกั ราช 601 (พ.ศ.
1782) และพ่อขุนงาํ เมืองสมภพในปจี อจุลศักราช 600 (พ.ศ. 1781)
พ่อขุนรามคําแหงมหาราช ทรงมีพระนามเดิมว่าขุนรามราช เมื่อทรงพระชนมายุได้ ๑๙ ปี
ได้ช่วยพระราชบิดาออกสู้รบในการสงครามกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ซึ่งยกทัพมาตีเมืองตาก ทรงเป็น
นักรบที่เข้มแข็งสามารถเข้าชนช้างชนะขุนสามชนพวกเมืองฉอดจึงแตกพ่ายไป พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึง
ให้พระนามแก่ขุนรามราช “พระรามคําแหง” ซึ่งหมายความว่า “พระรามผู้เข้มแข็ง” หรือ “เจ้ารามผู้
เข้มแข็ง” ดังข้อความความในตอนหน่ึงในศิลาจารึกหลักที่ 1 ที่ว่า “...เม่ือกูข้ึนใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสาม
ชนเจ้าเมืองฉอดมาที่เมืองตาก พ่อกูไปรบ ขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกล่ือน
หนังสือเรียนวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทัย(3) รหัส สค13014 13
เข้าไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู หนีญญ่ายพายจแจ๋น กูบ่หนี กูข่ีช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุน
สามชน ตนกพ็ งุ่ ชา้ งขุนสามชนตัวชอื่ มาสเมืองแพ้ ขนุ สามชนพา่ ยหนีพ่อกจู ึงขึ้นชือ่ กูพระรามคําแหง...”
พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราช ทรงเป็นกลุ บุตรทดี่ ีอยู่ในโอวาทของพระราชบดิ า พระราชมารดา
และทรงเปน็ พระอนุชาทีจ่ งรักภักดีตอ่ ขุนบานเมืองพระเชษฐา ดังข้อความในศลิ าจารกึ หลักท่ี ๑ ที่วา่ “...
กูบาํ เรอพอ่ กู กบู าํ เรอแก่แมก่ ู กไู ด้ตัวเนื้อปลา กเู อามาแกพ่ อ่ กู กไู ดห้ มากส้มหมากหวานอนั ใดกนิ อรอ่ ย
กินดี กเู อามาแก่พ่อกู กูไปทบ่ ้านทเ่ มอื ง ไดช้ ้างไดง้ วง ไดป้ ่ัวไดน้ างไดเ้ งือนไดท้ องกูเอามาเวนแก่พ่อกู พ่อกู
ตาย ยงั พ่กี ู กพู ราํ่ บาํ เรอแก่พ่ีกู...”
พ่อขนุ รามคําแหงมหาราช เสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบตั ิ เป็นรชั กาลที่ ๓ แหง่ ราชวงศ์พระร่วงใน
ราวปี พ.ศ. 1822 รัชสมยั ของพระองค์ บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองยิง่ กว่ารัชกาลใด ๆ ในราชวงศ์พระ
รว่ งราชอาณาเขตแผข่ ยายไปอย่างกว้างขวางประชาชนได้รบั ความร่มเย็นเป็นสขุ ท่ัวหนา้ ท่ีเรียกกันว่า
“ไพร่ฟ้าหนา้ ใส” การพาณชิ ย์เจริญก้าวหน้าทรงทํานุบาํ รุงศิลปวิทยาการใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งหลายประการ
พระมหาธรรมราชาลไิ ท (พระมหาธรรมราชาท่ี 1)
พระมหาธรรมราชาลไิ ท เปน็ โอรสของพ่อขนุ เลอไท และเปน็ นดั ดาของพอ่ ขนุ รามคาํ แหง
มหาราช พระราชประวตั ิในช่วงปฐมวัย ไมป่ รากฏ ณ ทใ่ี ด แตเ่ ม่อื ทรงพระเจรญิ วยั แลว้ ศลิ าจารกึ สโุ ขทยั
หลายหลกั กลา่ วถึงเรอ่ื งราวของพระองค์แม้จะไม่สมบรู ณแ์ ตก่ ็พอทราบเร่ืองราวได้ว่า พระมหากษตั ริย์
พระองค์นไ้ี ดท้ รงศึกษาศลิ ปศาสตรแ์ ขนงต่าง ๆ ทผ่ี ้ปู กครองในขณะนั้นต้องเรยี นต้องศึกษาไดอ้ ย่าง
แตกฉาน และชํานชิ ํานาญย่งิ และทรงปกครองเมืองศรสี ชั นาลยั ในฐานะองค์อุปราชหรือรชั ทายาทเมือง
สุโขทยั เมือ่ ปี พ.ศ. 1882 และขณะทดี่ าํ รงพระราชอสิ ริยยศเป็นรัชทายาท ที่เมืองศรสี ัชนาลัยนเ่ี อง ได้
ทรงพระราชนิพนธ์ เร่ืองไตรภมู ิพระรว่ ง วรรณคดชี น้ิ แรกของประเทศไทย เมอื่ ปี พ.ศ. 1888 หนงั สือเรื่อง
น้แี ม้ผรู้ จนาไดก้ ลา่ วไว้ในบางแผน่ วา่ เพือ่ จะเทศนาแกพ่ ระมารดาของพระองค์ แตเ่ ป็นประกาศนียบัตรท่ี
แสดงถงึ พระปรชี าสามารถในความรอบร้เู รอื่ งพระพทุ ธศาสนาอย่างยอดเยี่ยมเป็นวทิ ยานพิ นธ์ทกี่ ้าวล้าํ
หนา้ สมบูรณแ์ บบ เพราะที่มีข้ออ้างอิงทีเ่ ป็นระบบโดยทรงคน้ คว้ามาจากคมั ภีร์ต่าง ๆ ทางพทุ ธศาสนา ถงึ
34 เรื่อง ไตรภมู ิพระร่วง นอกจากจะให้เน้อื หาสาระทางพระพทุ ธศาสนา อนั เปา้ หมายของผู้รจนาแลว้
ยงั ให้ความรทู้ างด้านภูมิศาสตร์ รัฐศาสตร์ และเศรษฐกจิ โดยเฉพาะภมู ิศาสตรข์ องโลกทค่ี นไทยร้จู ักกนั ใน
สมัยนน้ั ถอื การแบง่ ทวีปท้งั 4 อันมี ชมพูทวปี บุพวิเทหะ อุตรกรุ แุ ละกมรโคยานี
หลงั จากทรงเป็นรัชทายาทครองเมอื งศรสี ชั นาลยั อยู่ 8 ปี จึงเสดจ็ มาครองสโุ ขทยั เมอื่ ปี
พ.ศ. 1890 โดยตอ้ งใช้กาํ ลังทหารเข้ามายึดอาํ นาจเพราะท่สี โุ ขทัยหลงั สนิ้ รัชกาลพอ่ ขนุ งัวนําถมแล้วเกิด
การกบฏการสืบราชบัลลงั กไ์ มเ่ ปน็ ไปตามครรลองครองธรรม เมอื่ กลับมาครองราชสมบัติสุโขทัยแล้ว พระ
ราชกรณียกิจทสี่ าํ คญั ของพระมหากษตั รยิ พ์ ระองคน์ ้ี คอื การทํานบุ ํารุงพระพุทธศาสนาศนู ย์รวมจติ ใจ
ของคนในชาติ เพราะสุโขทัยหลงั รชั สมยั พ่อขนุ รามคําแหงมหาราชแล้วบา้ นเมอื งแตกแยกแควน้ หลาย
แควน้ ในราชอาณาจักรแยกตวั ออกห่างไป ไมอ่ ยใู่ นบังคบั บัญชาสุโขทัยตอ่ ไป
หนงั สือเรยี นวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหัส สค13014 14
พญาลิไททรงคดิ จะรวบรวมใหก้ ลบั คืนดังเดมิ แตก่ ท็ รงทําไมส่ าํ เรจ็ นโยบายการปกครองท่ี
ใชศ้ าสนาเปน็ หลกั รวมความเปน็ ปกึ แผ่นจงึ เป็นนโยบายหลกั ในรัชสมัยนี้ ทรงสร้างเจดีย์ทน่ี ครชุม (เมอื ง
กําแพงเพชร) สร้างพระพุทธชินราชทีพ่ ิษณุโลก และเมอื่ พ.ศ. 1905 ทรงออกผนวช การทที่ รงออกผนวช
นบั วา่ ทําความมั่นคงใหพ้ ุทธศาสนามากข้ึน ดงั กล่าวแลว้ ว่า หลังรัชสมยั พอ่ ขนุ รามคําแหงมหาราชแลว้
บ้านเมืองแตกแยก วงการสงฆ์เองก็แตกแยก แตล่ ะสํานักแต่ละเมืองก็ปฏิบัตแิ ตกตา่ งกันออกไป เมือ่ ผู้นาํ
ทรงมีศรทั ธาแรงกลา้ ถึงขั้นออกบวช พสกนกิ รท้ังหลายกค็ ล้อยตามหนั มาเลอื่ มใสตามแบบอย่างพระองค์
กติ ติศัพทข์ องพระพุทธศาสนาในสโุ ขทยั จงึ เลอ่ื งลือไปไกล พระสงฆช์ ้ันผู้ใหญ่หลายรปู ได้ออกไปเผยแพร่
ธรรมในแควน้ ต่าง ๆ เชน่ อโยธยา หลวงพระบาง เมืองนา่ น พระเจา้ กอื นา แหง่ ล้านนาไทย ไดน้ ิมนต์พระ
สมณะเถระไปจากสุโขทัย เพอื่ เผยแพรธ่ รรมในเมืองเชียงใหม่
พระมหาธรรมราชาท่ี 1 หรอื พญาลิไท มมี เหสีชื่อพระนางศรีธรรม ทรงมโี อรสสืบพระราช
บัลลงั ก์ตอ่ มาคือ พระมหาธรรมราชาท่สี อง ปสี วรรคตของกษัตริย์พระองค์น้ีไมเ่ ป็นที่ทราบแนช่ ดั แต่คง
อย่ใู นระยะเวลาระหวา่ งปี พ.ศ. 1921-1927
หนังสอื เรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหัส สค13014 15
กจิ กรรมทา้ ยบท
เร่ือง พระมหากษัตริยส์ มัยสุโขทยั
กจิ กรรมท่ี 1
1. ผูท้ ่ีขับไลข่ อมแล้วตัง้ อาณาจกั รสุโขทัยขึน้ คอื ใคร
ก. พอ่ ขนุ มังราย และพ่อขุนผาเมือง
ข. พอ่ ขุนรามคําแหง และพอ่ ขุนผาเมือง
ค. พอ่ ขนุ ผาเมอื ง และพ่อขนุ บางกลางหาว
ง. พ่อขนุ บางกลางหาว และพอ่ ขุนรามคําแหง
2. กอ่ นหนา้ ที่จะมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั อาณาจักรใดเคยเจรญิ รุ่งเรอื งมาก่อน
ก. ขอม ข. นา่ น
ค. ศรวี ชิ ัย ง. ล้านนา
3. กษัตรยิ ์พระองค์แรกของอาณาจักรสุโขทยั คอื ขอ้ ใด
ก. พ่อขนุ ผาเมอื ง ข. พอ่ ขนุ เมง็ ราย
ค. พ่อขุนศรนี าวนาํ ถม ง. พ่อขนุ บางกลางหาว
4. พอ่ ขนุ ผาเมอื ง มคี วามสําคัญอย่างไร
ก. เป็นผสู้ รา้ งเมืองสโุ ขทยั ข. เป็นผูเ้ กล้ียกลอ่ มพวกขอม
ค. เปน็ ผู้รบชนะกษตั ริย์ขอม ง. เปน็ ผู้นาํ กลมุ่ คนไทยขับไลข่ อม
5. ข้อใดกล่าวถกู ต้องเก่ยี วกับพ่อขุนบางกลางหาว
ก. ทรงเปน็ ปฐมกษตั รยิ ์ของสโุ ขทยั
ข. คอื พระองคเ์ ดยี วกบั พ่อขุนผาเมือง
ค. คอื พระองค์เดียวกับพ่อขุนรามคาํ แหง
ง. ทรงเป็นพระสหายของพ่อขนุ ศรนี าวนาํ ถมุ
6. เมอื งทร่ี ชั ทายาทแห่งสโุ ขทัยมกั ไปปกครองกอ่ นข้ึนครองราชยค์ ือเมอื งใด
ก. แพร่ ข. อยุธยา
ค. ลพบรุ ี ง. ศรีสชั นาลยั
7. พระมหากษัตริยแ์ ห่งอาณาจกั รสุโขทยั พระองคใ์ ด ท่ีเคยผนวช ขณะครองราชย์ คอื
ก. พระยางัว่ นําถม ข. พระยาลิไทย
ค. พระยาเลอไทย ง. พ่อขุนรามคาํ แหง
8. หลักการปกครองของพ่อขนุ ศรีอินทราทติ ย์ คือขอ้ ใด
ก. ปอ้ งกันประเทศเปน็ หลกั ข. ขยายอาณาเขต เปน็ หลัก
ค. เผยแพร่พระพทุ ธศาสนาเปน็ หลัก ง. สรา้ งความเจริญทางศลิ ปกรรมเปน็ หลกั
หนงั สือเรียนวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหัส สค13014 16
9. พ่อขุนรามคาํ แหงโปรดใหส้ รา้ งแทน่ หินไว้กลางดงตาลเพอ่ื ใช้ในการใด (เขา้ ใจ)
ก. วา่ ราชการ ข. พระสงฆแ์ สดงธรรมในวันพระ
ค. จารกึ เรอื่ ง ราวของสโุ ขทยั ง. ราษฎรที่มาร้องเรยี น
10. ปญั หาสาํ คญั ทางด้านการปกครองในสมยั ของพระมหาธรรมราชาท่ี 1 คือเหตุการณใ์ ด (เข้าใจ)
ก. ลาวแข็งเมือง
ข. คนไทยแตกแยกเป็นก๊กเปน็ เหลา่
ค. แพรแ่ ละน่านรวมกันเปน็ อาณาจักรล้านชา้ ง
ง. สพุ รรณภมู ิและเมืองละโวร้ วมกนั ประกาศอิสรภาพจากสุโขทัย
11. พระราชกรณียกิจทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ ของพอ่ ขนุ ศรอี นิ ทราทติ ยค์ ือขอ้ ใด
ก. รวมขอมเขา้ ไวใ้ นราชอาณาจกั รไดส้ าํ เร็จ
ข. ทํานบุ ํารุงพระศาสนาใหเ้ จรญิ รุ่งเรือง
ค. ตัง้ อาณาจักรไทยเป็นเอกราช
ง. การตดิ ตอ่ คา้ ขายกับตา่ งประเทศเจริญสงู สุด
12. พระราชกรณียกจิ ของพ่อขนุ รามคําแหงในขอ้ ใดท่ีเป็นรากฐานสาํ คญั ทางวัฒนธรรมของไทย ด้านการสอื่ สาร
ก. การประดษิ ฐ์อกั ษร
ข. การอปุ ถมั ภห์ วั เมืองต่าง ๆ
ค. การเปน็ องคพ์ ทุ ธศาสนปู ถัมภก
ง. การแขวนกระดิ่งไว้หนา้ ประตูวงั
13. การกระทาํ เชน่ ใดของพอ่ ขุนรามคาํ แหงที่ชว่ ยทําใหก้ ารค้าของสโุ ขทยั ขยายตวั ได้อย่างรวดเร็ว
ก. ใหข้ ายสินคา้ กนั อยา่ งเสรี
ข. สรา้ งตลาดข้นึ ทกุ มมุ เมือง
ค. ออกทนุ ให้พอ่ ค้าลว่ งหนา้
ง. ไมเ่ ก็บภาษสี ินคา้ บางชนิด
14. การปกครองแบบปติ ุราชาธิปไตยสมัยสุโขทยั เริม่ มขี น้ึ ในรัชสมยั ของกษัตรยิ พ์ ระองคใ์ ด
ก. พระยาลิไทย
ข. พ่อขนุ บานเมอื ง
ค. พอ่ ขุนรามคาํ แหง
ง. พ่อขุนศรอี นิ ทราทิตย์
หนงั สอื เรยี นวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหสั สค13014 17
15. นักเรียนคิดวา่ พระมหาธรรมราชาท่ี 1 ทรงเปน็ แบบอย่างในการปกครองโดยใช้หลกั ธรรมทาง
พระพทุ ธศาสนา โดยสง่ เสริมใหป้ ระชาชนยดึ มนั่ ในพระพุทธนาศาสนาสง่ ผลดี ต่อคนไทย อย่างไร
ก. ทําให้มฐี านความเป็นอยทู่ ดี่ ีขน้ึ
ข. เป็นการปพู ้ืนฐานการปกครองแบบประชาธปิ ไตย
ค. ทาํ ให้คนไทยมพี ้นื ฐานทางจิตใจท่ดี งี าม รกั ความสงบ
ง. ทําใหค้ นไทยมีความกลา้ หาญพร้อมท่ีจะรบ
16. วฒั นธรรมที่เปน็ แนวปฏิบัตขิ องชาวสุโขทัย สว่ นใหญไ่ ด้มาจากงานนิพนธ์ของใคร
ก. พ่อขุนบานเมือง
ข. พ่อขนุ ศรอี นิ ทราทิตย์
ค. พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราช
ง. พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย)
17. การมีอกั ษรไทยใชเ้ ปน็ ของตนเองช่วยสรา้ งความเจรญิ ด้านใดใหแ้ กส่ งั คมสมัยสโุ ขทยั
ก. จติ รกรรม ข. วรรณกรรม
ค. ประตมิ ากรรม ง. สถาปตั ยกรรม
18. ปัจจยั ท่ที าํ ให้เกดิ การสร้างสรรค์ภูมปิ ญั ญามอี ยู่ ยกเว้น ขอ้ ใด (ความเขา้ ใจ)
ก. เพอ่ื ใหส้ ังคมสงบสขุ
ข. เพ่อื ให้อาณาจักรเกดิ ความม่ันคง
ค. เพอ่ื แกป้ ญั หาทเ่ี กิดจากธรรมชาติ
ง. เพื่อเปน็ เกยี รติประวัตแิ ก่คนรนุ่ หลงั
19. ถา้ นกั เรียนได้มีโอกาสได้ไปชมศิลปะ สมัยสุโขทัยในสถานท่ีจริง นกั เรียนควรปฏบิ ัตเิ ชน่ ไรจึงจะถอื ว่า
เหมาะสม
ก. นําวตั ถุทม่ี ีคา่ กลบั มาเพอ่ื เป็นที่ระลึก
ข. จดบันทึกข้อมลู ทสี่ ําคัญ และถา่ ยภาพประกอบ
ค. เขยี นสลักช่ือตนเองเพ่อื แสดงให้เหน็ ว่าได้เดินทางมาแลว้
ง. ชวนเพื่อนว่งิ เล่นอยา่ งสนุก สนานเพอื่ ให้คนทกุ คนมคี วามสุข
20. นักเรยี นจะมสี ว่ นช่วยในการอนุรกั ษ์ ศิลปวฒั นธรรมสมัยสโุ ขทยั ไดอ้ ยา่ งไร ทจี่ ดั ว่าเหมาะสม
ก. ศึกษาข้อมูลประวัติสุโขทัยรว่ มกับนักประวัติศาสตร์
ข. ขอรอ้ งใหพ้ ่อแมบ่ ริจาค เงนิ เพอ่ื เปน็ ทุนในบูรณะอทุ ยานประวัติสุโขทยั
ค. จัดป้ายนเิ ทศ เพือ่ แสดงศิลปะสมยั สุโขทัย ให้เพ่ือน ๆ ในโรงเรียนได้ทราบ
ง. ร่วมเดินขบวนประทว้ งให้ยกยอ่ งอทุ ยานประวตั ศิ าสตร์สโุ ขทยั เป็นมรดกโลก
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหสั สค13014 18
กิจกรรมท้ายบท
เร่อื ง พระมหากษัตรยิ ส์ มัยสุโขทยั
กจิ กรรมท่ี 2
คําสั่ง ใหน้ ักศกึ ษาตอบคําถามดงั ตอ่ ไปนี้
ข้อที่ 1. นกั ศกึ ษาคิดว่าพระมหากษัตริยส์ มยั สุโขทยั มีความสําคัญต่อประเทศไทยอยา่ งไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ข้อที่ 2. นกั ศกึ ษามีความประทบั ใจหรอื ช่นื ชอบพระมหากษตั ริยส์ มัยสุโขทัยพระองค์ใด พร้อมท้งั ใหเ้ หตผุ ล
ประกอบ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขอ้ ท่ี 3. อทุ ยานประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทยั มอี นสุ าวรียข์ องพระมหากษัตรยิ ์พระองคใ์ ดและมีความสําคญั อย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
หนังสอื เรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหสั สค13014 19
ขอ้ ที่ 4. ในสมยั สุโขทยั คาํ ว่า “พ่อปกครองลกู หมายถึงอะไร”และนกั ศึกษามคี วามคิดเห็นอยา่ งไรเกยี่ วกับ
การปกครองแบบนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
หนงั สอื เรยี นวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหัส สค13014 20
บทท่ี 3
กาํ เนิดลายสอื ไทย
1. ความเปน็ มาของลายสอื ไทย
พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราชทรงประดิษฐล์ ายสอื ไทยหรือตวั หนังสอื ไทยข้นึ เม่ือ
มหาศักราช 1205 (พุทธศกั ราช 1826) นับมาถึงพุทธศักราช 2526 ได้ 700 ปีพอดี ในระยะเวลาดังกล่าว
ชาติไทยได้สะสมความรู้ทั้งทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ และได้ถ่ายทอดความรู้เหล่าน้ันสืบ
ต่อกันมา โดยอาศัยลายสือไทยของพรองค์ท่านเป็นส่วนใหญ่ ก่อนสมัยสุโขทัย ชาติไทยเคยรุ่งเรืองอยู่ที่
ไหนอยา่ งไร ไม่มหี ลักฐานยืนยนั ให้ทราบแน่ชัด แต่เมอ่ื พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราชทรงประดิษฐ์ลายสือไทย
ข้ึนแล้ว มีศิลาจารึกและพงศาวดารเหลืออยู่เป็นหลักฐานยืนยันว่า ชาติไทยเคยรุ่งเรืองมาอย่างไรบ้างใน
ยุคสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ในโอกาสครบรอบ 700 ปีน้ี คนไทยทุกคนจึงควรน้อมรําลึก
ถงึ พระมหากรุณาธิคณุ และพระปรชี าสามารถของพระองคท์ า่ นโดยพรอ้ มเพรยี งกนั
ศลิ าจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคําแหงมหาราช มขี อ้ ความปรากฏวา่ “เม่อื ก่อนลายสื
ไทนี๋บ่มี 1205 สก ปีมะแมพ่อขุนรามคําแหงหาใคร่ใจในใจแล่ใศ่ลายสืไทน๋ี ลายสืไทน๋ี จ่ีงมีเพ่ือขุนผู๋น๋นน
ใศ่ไว๋” หา แปลว่า ด้วยตนเอง (ไทยขาวยังใช้อยู่) ใคร่ในใจ แปลว่า คํานึงในใจ (จากพจนานุกรมไทย
อาหม) ข้อความท่ีอ้างถึงแสดงว่าพ่อขุนรามคําแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์ตัวหนังสือไทยแบบที่จารึกไว้ใน
ศิลาจารกึ หลกั ท่ี 1 ข้ึนเมอ่ื พ.ศ. 1826
ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ ไดก้ ลา่ วไวใ้ นตํานานอักษรไทย ซง่ึ ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2468 วา่
คําทใ่ี ช้ในจารกึ มีคาํ น้ี อยู่ต่อคํา ลายสือ ทกุ แห่ง (สามแห่ง) หมายความว่า หนังสือไทยอยา่ งนไี้ มม่ อี ยู่
กอ่ น มิได้ประสงคจ์ ะทรงแสดงวา่ หนังสือของชนชาตไิ ทยพงึ่ มีขึน้ ตอ่ เม่ือ พ.ศ. 1826 เซเดส์ ยงั เห็นวา่
พวกไทยนอ้ ยซ่งึ มาอยู่ทางลํานํา้ ยม ชน้ั แรกเหน็ จะใชอ้ กั ษรไทยซึง่ ได้แบบมาจากมอญ ตอ่ มาขอมมี
อํานาจปกครองสุโขทัย พวกไทยคงจะศกึ ษาอกั ษรขอมหวัดทใี่ ช้ในทางราชการ แล้วจงึ แปลอกั ษรเดมิ ของ
ไทยมาเปน็ รปู คล้ายตวั อกั ษรขอมหวัด ถ้าประสงคจ์ ะสมมติว่าอกั ษรไทยเดิมเป็นอย่างไร ควรจะถอื เอา
อักษรอาหม (ใชใ้ นอสั สมั ) กบั อกั ษรไทยนอ้ ย (ใชใ้ นอีสานและประเทศลาว) นเี้ ปน็ หลัก นายฉาํ่ ทองคาํ
วรรณ ไดเ้ ขยี นเรอื่ ง “สนั นิษฐานเทยี บการเขียนอักษรไทยกบั อกั ษรขอมในสมัยพ่อขุนรามคาํ แหง” ไว้
และไดส้ นั นษิ ฐานวา่ อกั ษรพอ่ ขุนรามคําแหงทกุ ตัวดดั แปลงมาจากอกั ษรขอมหวัด
หนังสอื จินดามณเี ลม่ 1 ของหอสมดุ แหง่ ชาตเิ ลขที่ 11 เป็นสมุดไทยดํา มขี ้อความ
เหมือนกบั จินดามณีฉบบั พระเจา้ บรมโกศ ซึ่งนายขจร สขุ พานิช ไดม้ าจากกรุงลอนดอน แตค่ ลาดเคลอื่ น
นอ้ ยกวา่ มขี อ้ ความวา่ “อนึ่งมใี นจดหมายแตก่ อ่ นว่า ศกราช 645 มแมศก พญาร่วงเจ้า ไดเ้ มืองศรสี ัชนา
ไลยได้แต่งหนังสือไทย แล จ ได้แต่งรปู ก็ดี แตง่ แมอ่ ักษรกด็ มี ไิ ด้วา่ ไวแจ้ง อน่งึ แม่หนงั สือแต่ ก กา กน ฯลฯ
หนงั สือเรียนวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทัย(3) รหัส สค13014 21
ถึงเกอยเมอื งขอมกแ็ ตง่ มอี ย่แู ลว้ เหน็ วา่ พญารว่ งเจา้ จะแต่งแต่รปู อักษรไทย” แทจ้ รงิ พอ่ ขุนรามคําแหง
มไิ ดท้ รงแต่งแต่รูปอักษรไทยเทา่ นั้น แต่ยังได้ทรงเปล่ียนอักษรวธิ กี ารเขียนภาษาไทยใหด้ ขี ึ้นกวา่ เดมิ อีก
หลายประการ
2. มีหนังสอื ไทยเดิมก่อนลายสือไทยหรอื ไม่
ถา้ ลายสือไทยน้ีบ่มี หมายความว่า หนังสือไทยชนิดนี้ไม่มี แต่คงจะมีหนังสือไทยแบบอ่ืน
อยู่ก่อนแล้ว ในจารึกหลักเดียวกันนี้ได้กล่าวถึงเมืองสุโขทัย 14 คร้ัง ทุกคร้ังใช้คํา เมืองสุโขทัยนี้ จะ
ตีความวา่ มีเมืองสุโขทัยอยู่ก่อนแล้ว แล้วจึงมาต้ังเมืองสุโขทัยขึ้นใหม่กระน้ันหรือ “น้ี”เป็นแต่คําชี้เฉพาะ
ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษก็คงจะตรงกับ the เท่านั้น มิได้หมายความว่า this เพราะฉะน้ัน ที่ว่า ลายสือ
ไทยนี้บ่มี คงมิได้หมายความว่ามีลายสือไทยอ่ืนอยู่แล้ว แต่อาจจะมีหนังสือของไทยอาหมเกิดข้ึน
ทางอัสสัมในเวลาใกลเ้ คียงกับการก่อกําเนิดตวั หนงั สอื ในสุโขทัยกเ็ ปน็ ได้
ประวตั ไิ ทยอาหมปรากฏอยใู่ นหนังสือบรู าณยี คําว่า ยี อาจจะตรงกบั สือ ในลายสือ หรือ
รากศัพท์เดียวกับ จ่ือ ซึ่งใช้อยู่ในภาคเหนือและภาคอีสาน แปลว่า จดจํา เช่นได้จ่ือจําไว้ บูราณยีบอก
ประวัติผู้ครองราชย์มาต้ังแต่ยุคท่ีนิยมแต่งตํานานเป็นเทพนิยายลงมา ศักราชแรกที่กล่าวถึง คือ พ.ศ.
1733 ส่วนใหญ่เผ่าอ่ืนเร่ิมมีประวัติเป็นหลักเป็นฐานไม่เก่าไปกว่ายุคไทยอาหม หากเก่ากว่านั้นข้ึนไป จะ
เป็นเร่ืองเทพนิยายแบบพงศาวดารเหนือหรือตํานานเก่า ๆ ของเรา ซ่ึงเก่ียวกับปาฏิหาริย์เป็นส่วนมาก
ประวัติศาสตร์ไทยทุกเผ่ามาเริ่มจดเป็นหลักเป็นฐานในยุคพ่อขุนรามคําแหงมหาราชนี้ ตัวหนังสือไทยคง
จะเกดิ ข้ึนต้นยุคสุโขทัยนเี้ อง เมอ่ื มตี วั หนังสอื ใช้แลว้ กอ็ าจจะจดเร่อื งราวยอ้ นหลงั ขึน้ ไปไดอ้ กี สองสามช่วั คน
อีกประการหนึ่ง ไม่เคยมีผู้พบจารึกภาษาไทยก่อนยุคสุโขทัยขึ้นไปเลย จริงอยู่เป็นไปได้
ว่า คนไทยอาจจะมีตัวอักษรอ่ืนใช้อยู่ก่อนแล้ว แต่เผอิญจารึกหายไปหมด หรืออาจจะเขียนไว้บนไม้ไผ่
หรือส่ิงอ่ืนท่ีผุพังไปได้ง่ายก็เป็นได้ แต่ถ้ามีตัวอักษรอื่นอยู่ก่อนแล้ว ตัวอักษรแบบนั้นก็น่าจะปรากฏข้ึนท่ี
ใดท่ีหน่ึง เพราะดินแดนตั้งแต่อัสสัมถึงเวียดนามและจีนตอนใต้ถึงมลายูมีคนไทยอาศัยอยู่ทั่วไป ทําไมจึง
ไมป่ รากฏตัวอักษรแบบดังกล่าวเลย ไม่ว่าจะจารึกไวใ้ นรูปลักษณะใด ๆ ทัง้ สิน้
ตัวหนังสือของพ่อขุนรามคําแหงมหาราชแพร่หลายเข้าไปในล้านนา ดังปรากฏในศิลา
จารึกหลักที่ 62 วัดพระยืนว่า พระมหาสุมนเถรนําศาสนาพุทธนิกายรามัญวงศ์ หรือนิกายลังกาวงศ์เก่า
เข้าไปในล้านนา เม่ือ พ.ศ. 1912 และได้เขียนจารึกด้วยตัวหนังสือสุโขทัยไว้เม่ือ พ.ศ. 1914 ต่อมา
ตัวหนังสือสุโขทัยนี้ได้เปลี่ยนรูปร่าง และอักขรวิธีไปบ้างกลายเป็นตัวหนังสือฝักขาม และล้านนายังใช้
ตวั หนังสอื ชนดิ นม้ี าจนถึงสมยั ต้นกรุงรัตนโกสนิ ทร์
เชียงตุงและเมืองที่ใกล้เคียงในพม่ามีศิลาจารึกอักษรฝักขาม ซ่ึงดัดแปลงไปจากลายสือ
ของพ่อขุนรามคําแหงมหาราชอยู่กว่า 10 หลัก เร่ิมแต่ศิลาจารึกวัดป่าแดง พ.ศ. 1994 เป็นต้นมา
นอกจากนยี้ งั มีจารกึ ทีเ่ จดีย์อานันทะในพกุ ามเขยี นด้วยตวั หนงั สอื สโุ ขทยั ประมาณ พ.ศ. 1910–1940 อยู่
หลักหนง่ึ
หนังสอื เรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทัย(3) รหสั สค13014 22
ในประเทศลาวมีจารึกเขียนไว้ทผ่ี นังถํ้านางอนั ใกลห้ ลวงพระบางด้วยตวั อกั ษรสโุ ขทัย ซงึ่
มลี กั ษณะใกล้เคียงกับตัวหนงั สอื สมัยพระเจ้าลไิ ทย (พ.ศ. 1890–1911)
ไทยขาว ไทยดํา ไทยแดง เจ้าไทยในตังเก๋ีย ผู้ไทยในญวน และลาวปัจจุบันน้ียังใช้
ตัวอักษรทกี่ ลายไปจากลายสือของพ่อขุนรามคาํ แหงมหาราช
ถ้าคนไทยมีตัวอักษรไทยเดิมอยู่แล้ว ก็คงจะไม่ยอมรับลายสือไทยเข้าไปใช้จนแพร่หลาย
กว้างขวางไปในหลายประเทศดังกล่าวมาแล้ว เพราะการเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากของท่ีเคยชินแล้วทําได้
ยากมาก เป็นต้นว่า เราเคยเขียนคําว่า “นํ้า” บัดน้ีออกเสียเป็น “น้าม” แต่ก็มิได้เปลี่ยนวิธีเขียนให้ตรง
กับเสียง
ในช้ันแรกเมอื่ คนไทยมไิ ด้เปน็ ชนช้นั ปกครอง ก็จาํ เป็นจะตอ้ งเรียนตวั หนงั สือทที่ าง
ราชการบ้านเมืองใช้อยู่ เพื่ออ่านประกาศของทางราชการให้เข้าใจ ถ้าจะประดิษฐ์ตัวหนังสือขึ้นใช้เอง จะ
ไปบังคับใครให้มาเรียนหนังสือดังกล่าว เม่ือใดคนไทยได้เป็นชนชั้นปกครองขึ้น ก็น่าจะดัดแปลง
ตวั หนงั สือ ท่ีใช้กันอยใู่ นถิ่นนนั้ มาเป็นตัวหนังสอื ของไทย เช่น คนไทยในเมืองจีนคงดัดแปลงตัวหนังสือจีน
มาใช้ คนไทยในล้านนาคงจะดัดแปลงตัวหนังสือมอญซ่ึงนิยมใช้กันในถิ่นน้ีมาก่อน ส่วนพ่อขุนรามคําแหง
มหาราชก็น่าจะดัดแปลงตัวหนังสือขอมซ่ึงนิยมใช้กันอยู่แถวลุ่มนํ้าเจ้าพระยามาแต่เดิม หากมีตัว
อักษรไทยเดิมอยู่แล้ว พ่อขุนรามคําแหงมหาราชคงจะทรงใช้ตัวอักษรไทยเดิม หรือทรงดัดแปลงจากนั้น
บา้ งเล็กน้อยแทนที่จะดัดแปลงจากอักษรขอมเป็นส่วนใหญ่ แท้จรงิ นนั้ มีเคา้ เงอื่ นอยใู่ นพงศาวดารเหนือว่า
พ่อขุนรามฯ ได้ทรงอาศัยนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่เช่ียวชาญตัวหนังสือชาติต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงไทย
ยกเว้นแต่จีนเพราะจีนใช้หลักการเขียนหนังสือเป็นรูปภาพผิดกับหลักการเขียนเป็นรูปพยัญชนะและสระ
แบบของไทย รูปอักษรของพ่อขุนรามคําแหงคล้ายตัวหนังสือลังกา บังคลาเทศ ขอม และเทวนาครี ฯลฯ
เปน็ ต้นว่า ตวั จ ฉ หนั หนา้ ไปคนละทางกับอักษรขอม แต่หันไปทางเดยี วกบั ตัวอักษรลังกาทีม่ ใี ชอ้ ยกู่ อ่ นแล้ว
สมัยพ่อขุนรามคําแหงยังไม่มีไม้หันอากาศ แต่ใช้พยัญชนะตัวเดียวกันหรือวรรคเดียวกัน
เขยี นตดิ กนั เชน่ อนน แทน อนั และ อฏฐ แทน อฏั ฐ
พ่อขุนรามคําแหงทรงประดิษฐ์ลายสือไทยข้ึน โดยมิได้ทรงทราบว่ามีตัวหนังสือไทยเดิม
อยู่ก่อน ข้อพิสูจน์ข้อหลังคือ ไทยอาหมและไทยคําท่ี (ขําต้ี) ออกเสียงคํา อัน คล้ายกับคํา อาน แต่เสียง
สระสั้นกว่า และออกเสียง อัก-อาก อังอาง อัด-อาด อับ-อาบ เหมือนกับตัวหนังสือของเราโดยออกเสียง
คาํ ตนส้ันกว่าคําหลังในคู่เดียวกัน แต่ออกเสียง อัว ว่า เอา เพราะถือหลักการที่กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า อัว
คอื อาว ท่เี สยี งสระสน้ั ลง พอ่ ขุนรามคําแหงทรงใช้ อาว (คืออัว) เป็นสระ อัว แทนที่จะเป็นสระ เอา หาก
คนไทยเคยอ่าน อัว เป็น เอา ซ่ึงถูกตามหลักภาษาศาสตร์มาแต่เดิมแล้วคงยากท่ีจะเปล่ียนแก้ให้อ่านเป็น
อวั ซง่ึ ขดั กบั ความเคยชนิ ฉะนนั้ จงึ น่าเช่ือว่า พ่อขุนรามคาํ แหงทรงประดิษฐต์ ัวหนงั สอื ไทยขน้ึ โดยมิได้ทรง
ทราบว่ามีตวั หนงั สอื ไทยเดิมอยกู่ อ่ นแล้ว
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหสั สค13014 23
พ่อขุนมังรายมหาราช (เป็นพระนามที่ถูกต้องของพระยาเม็งราย) คงจะได้ดัดแปลง
ตัวอักษรมอญมาใช้เขียนหนังสือไทยในเวลาใกล้เคียง ดังตัวอย่างอักษรในจารึกลานทองสุโขทัย พ.ศ.
1919
ส่วนไทยอาหมคงสร้างตวั หนงั สือขน้ึ ในระยะเวลาใกลเ้ คยี งกับตัวหนงั สือสุโขทัย ทั้งน้ี
เพราะคนไทยเร่ิมจะสร้างอาณาจักรเป็นปึกแผ่นกว้างขวางออกไปในระยะน้ัน อย่างไรก็ดี นักอ่านศิลา
จารึกหลายทา่ นเชื่อว่า รปู ตวั อักษรของไทยอาหมชี้ให้เห็นว่า อักษรไทยอาหมพึ่งเกิดใหม่หลังอักษรพ่อขุน
รามคาํ แหงเป็นระยะเวลานานทีเดียว
3. ลกั ษณะพเิ ศษของลายสอื ไทย
3.1. ลายสือไทยของพ่อขุนรามคําแหงมหาราชมีลักษณะพิเศษกว่าตัวอักษรของชาติ
อ่ืนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของชาวอินเดียวกล่าวคือ ชาติอื่นขอยืมตัวหนังสือของอินเดียมาใช้โดยมิได้ประดิษฐ์
พยัญชนะ และสระเพิ่มข้ึนให้พอกับเสียงพูดของคนในชาติ ยกตัวอย่างเช่น เขมรโบราณ เขียน เบก อ่าน
ออกเสียงเป็น เบก แบก หรือ เบิก ก็ได้ ไทยใหญ่เขียน ปีน อ่านออกเสียเป็น ปีน เป็น หรือ แปน ก็ได้
เวลาอา่ นจะตอ้ งดคู วามหมายของประโยคกอ่ น จึงจะอ่านออกเสียให้ถูกตอ้ ง
พ่อขุนรามคําแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ตัวพยัญชนะสระอีกท้ังวรรณยุกต์ขึ้น เป็นต้น
ว่าได้เพ่ิม ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ สระอึ อือ แอ เอือ ฯลฯ ไม้เอก ไม้โท (ในรูปกากบาท) จนทําให้สามารถ
เขียนคาํ ไทยไดท้ กุ คํา
3.2. อักขรวิธีที่ใช้ สามารถเขียน ตาก-ลม แยกออกไปจากตา-กลม ทําให้อ่าน
ข้อความไดถ้ กู ต้องไม่กํากวม กล่าวถือ ถา้ เป็นอกั ษรควบกลา้ํ ให้เขียนติดกัน ส่วนตัวสะกดให้เขียนแยกห่าง
ออกไป เชน่ ตา-กลม เขยี นเปน็ ตา กลํ สว่ น ตาก-ลม เขยี นเป็น ตา ก ลํ
3.3. ตัวหนังสือแบบพ่อขุนรามฯ ยังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหน่ึง คือ นําสระมาเรียง
อยู่ระดับเดียวกับพยัญชนะแบบเดียวกับตัวหนังสือของชาติตะวันตกท้ังหลาย น่าเสียดายที่สระเหล่าน้ัน
ถูกดึงกลับไปไว้ข้างบนตัวพยัญชนะบ้าง ข้างล่างบ้างในสมัยต่อมา ท้ังนี้เพราะคนไทยเคยชินกับวิธีเขียน
ข้างบนข้างล่างตามแบบขอมและอินเดีย ซึ่งเป็นต้นตําหรับดั้งเดิม ถ้ายังคงเขียนสระแบบพ่อขุนรามฯ อยู่
เราจะประหยัดเงินค่ากระดาษลงได้หนึ่งในสามทีเดียว เพราะทุกวันนี้จะต้องท้ิงช่องว่างระหว่างบรรทัดไว้
เพ่ือเขียนส่วนล่างของ ฏ ฐ สระ อุ อู วรรณยุกต์ และสระอือ รวมเป็นช่องว่างท่ีต้องเตรียมไว้ส่ีส่วนให้
เขียนได้ไม่ซ้อนกัน ยิ่งมาถึงยุคคอมพิวเตอร์ การเก็บข้อมูล และการค้นหาข้อมูลจะประหยัดท้ังเวลาและ
ค่าใช้จ่ายได้มหาศาล แต่ตัวอักษรไทยในปัจจุบันบรรทัดเดียวคอมพิวเตอร์จะต้องกวาดผ่านตลอดบรรทัด
ไปถึง ๔ ครงั้ กลา่ วคอื คร้งั แรกกวาดพวกวรรณยุกต์ คร้ังทีส่ องกวาดพวกสระบน เช่น สระอี อึ ครั้งท่ีสาม
กวาดพวกพยัญชนะและคร้ังที่ส่ีกวาดพวกสระล่าง คือ สระ อุ อู จึงทําให้เสียเวลาเป็นสี่เท่าของตัวอักษร
ของอังกฤษ ซ่ึงเครื่องคอมพิวเตอร์จะกวาดเพียงบรรทัดละคร้ังเดียว ถ้าใช้อักขรวิธีแบบของพ่อขุน
หนังสือเรยี นวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทัย(3) รหสั สค13014 24
รามคําแหงมหาราช เครื่องคอมพิวเตอร์จะกวาดเพียงบรรทัดละสองครั้ง ลดเวลาและค่าใช้จ่ายลงได้กว่า
คร่ึง ถา้ ยิ่งดัดแปลงใหว้ รรณยุกต์ไปอยู่บรรทดั เดียวกบั พยัญชนะเสียดว้ ย กจ็ ะลดคา่ ใช้จ่ายลงไดก้ วา่ สีเ่ ทา่
3.4. ลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งของตัวหนังสือพ่อขุนรามคําแหงมหาราช คือ
พยัญชนะทุกตัวเขียนเรียงอยู่บรรทัดเดียวกัน ไม่มีตัวพยัญชนะซ้อนกันเหมือนตัวหนังสือของเขมร มอญ
พม่า และไทยใหญ่ เช่น เขียน อฏฐ แทนท่ีจะเป็น อฏฐ เซเดย์ได้กล่าวไว้ว่า การท่ีพระองค์ได้ทรงแก้ไข
ตัวอักษรของชาวสุโขทัยให้เรียงเป็นแนวเดียวกันได้นั้นเป็นการสําคัญยิ่ง แลควรท่ีชาวสยามในปัจจุบันน้ี
จะรู้สึกพระคุณ และมีความเคารพนับถือท่ีพระองค์ได้ทรงจัดแบบอักษรไทยให้สะดวดข้ึน ข้อนี้ให้มาก
อนึ่ง ในสยามประเทศทุกวันนี้การคิดแบบเคร่ืองพิมพ์ดีดและการพิมพ์หนังสือได้เจริญรุ่งเรือง เป็น
ประโยชน์ยิ่งในวิชาความรู้แลทางราชการนับว่าเพราะพ่อขุนรามคําแหง ได้ทรงพระราชดําริเปลี่ยน
รูปอักษรขอมและเรียงพยัญชนะเป็นแนวเดียวกันให้สะดวกไว้ ส่วนบรรดาประเทศท่ียังใช้วิธีซ้อนตัว
พยัญชนะ เช่นประเทศเขมรและประเทศลาว การพิมพ์หนังสือของประเทศเหล่าน้ันเป็นการยาก ไม่สู้
จาํ เรญิ แลยังไมม้ ีผใู้ ดในชาตนิ นั้ ๆ ได้คิดจะออกแบบพิมพ์ดดี สําหรับตวั อกั ษรของตน ๆ เลย (พ.ศ. 2468)
3.5. ตวั อักษรทุกตวั สงู เทา่ กัน หางของ ศ ส ก็ขีดออกไปข้าง ๆ แทนท่จี ะสงู ขั้นไปกวา่
อักษรตัวอื่น ๆ หางของ ป และ ฝ สูงกว่าอักษรตัวอื่น ๆ เพียงนิดเดียว สระทุกตัวสูงเท่ากับพยัญชนะ
รวมท้ังสระ โอ ใอ และ ไอ ตัวอักษรแบบน้ีเมื่อตีพิมพ์หางตัว ป และสระข้างล่าง ข้างบนจะไม่หักหายไป
อยา่ งปัจจบุ นั ไม่ตอ้ งคอยตรวจซอ่ มกันอยตู่ ลอดเวลา
3.6. พ่อขนุ รามคาํ แหงมหาราชทรงประดษิ ฐ์รูปแบบตัวอักษรไทยให้เขียนไดง้ ่าย
และรวดเรว็ พยญั ชนะแต่ละตวั ตอ่ เป็นเสน้ เดียวตลอด ในขณะทต่ี ัวหนงั สอื ขอมตอ้ งเขยี นสองหรอื สามเสน้
ต่อพยญั ชนะตัวหนึ่ง
3.7. ประการสดุ ท้าย พอ่ ขุนรามคําแหงมหาราชทรงประดษิ ฐร์ ปู วรรณยุกตข์ ้นึ ทาํ
ใหส้ ามารถอ่านความหมายของคําไดถ้ ูกต้องโดยไม่ตอ้ งดขู ้อความประกอบทัง้ ประโยค สมมตวิ า่ เราเขา้ ใจ
ภาษาไทยใหญเ่ ปน็ อยา่ งดี แต่ถา้ จะอ่านภาษาไทยใหญ่ เขาเขียน ปีน คาํ เดียวอาจจะอ่านเปน็ ปีน ป่ีน ปนี้
ปี๊น ปี๋น เปน็ เป่น เป้น เป๊ เปน๋ แปน แป่น แปน้ แปน๊ และ แป๋น รวมเปน็ 15 คํา ถ้าไม่อ่านข้อความ
ประกอบจะไม่ทราบวา่ คําทถี่ ูกตอ้ งเป็นคําใดกันแน่ แตต่ วั หนังสอื ของพ่อขุนรามคาํ แหงมหาราช อา่ นได้
เป็น ปีน แต่อย่างเดยี ว
หนังสอื เรียนวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหสั สค13014 25
กิจกรรมท้ายบท
เรือ่ ง กําเนดิ ลายสือไทย
1.คําช้ีแจง จงกาเคร่อื งหมาย x ทับขอ้ ที่ถกู ตอ้ ง
1 .ใครเปน็ คนประดษิ ฐล์ ายสอ่ื ไทย
ก. พ่อขนุ ศรอี ินทราทติ ย์
ข. พระมหาธรรมราชาลไิ ท
ค. พอ่ ขนุ รามคําแหง
ง. พอ่ ขุนศรนี าว
2. ตรงกับอักษรไทยตัวใดในปจั จุบัน
ก. ก
ข. ข
ค. ค
ง. ง
3. ตรงกบั อกั ษรไทยตัวใดในปัจจุบัน
ก. ษ
ข. บ
ค. น
ง. ป
4. ข้อใดไมเ่ ป็นลกั ษณะพเิ ศษของลายสือไทย
ก. ตวั เลขดัดแปลงมาจากตวั เลขขอม
ข. นาํ สระมาเรยี งอยรู่ ะดับเดยี วกบั พยัญชนะ
ค.ตัวอักษรทกุ ตัวมสี ูงบางตํา่ บ้าง
ง. พยญั ชนะทกุ ตัวเขยี นเรียงอยบู่ รรทดั เดียวกัน
หนงั สอื เรยี นวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหัส สค13014 26
5. อนน เขียนแทนอะไรในสมยั พ่อขุนรามคาํ แหง
ก. อานนท์ ข. อนั
ค. อะนน ง. อนน
6. การเขยี นตวั อกั ษรในสมยั รัชกาลพญาลไิ ทเป็นอยา่ งไร
ก. รูปสระ อิ อี อื อยู่บนพยัญชนะ อุ อู อยลู่ า่ ง
ข. เพ่ิมตวั ฤา ฦา
ค. รปู สระ ใ ไ โ สูงขึ้นเกนิ พยัญชนะ
ง. ถกู ทกุ ข้อทก่ี ลา่ วมา
7. สระออื สระออ เม่ือไมม่ ตี วั สะกดใช้ อ เคยี ง ใชส้ มยั ใด
ก. พ่อขุนรามคําแหง
ข. พญาลไิ ท
ค. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ง. พอ่ ขนุ ศรีอนิ ทราทิตย์
8. สมยั พ่อขนุ รามคาํ แหงใช้วรรณยุกตอ์ ะไร
ก. ไมเ้ อก
ข. ไม้โท
ค. จตั วา
ง. ถูกทง้ั ขอ้ ก และ ข
9.พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราชทรงประดษิ ฐอ์ ักษรไทยข้นึ เปน็ ครัง้ แรกเม่ือปี พ.ศ. ใด
ก. พ.ศ.1825 ข. พ.ศ.1826
ค. พ.ศ.1827 ง. พ.ศ.1828
10. ปจั จุบนั ประเทศไทยมพี ยญั ชนะกี่ตัว สระกีต่ วั ลวั รรณยกุ ต์ก่ตี วั
ก. พยัญชนะ 44 ตัว สระ 21 ตวั และวรรณยกุ ต์ 4 ตวั
ข พยญั ชนะ 44 ตัว สระ 25 ตวั และวรรณยกุ ต์ 5 ตวั
ค. พยัญชนะ 44 ตวั สระ 28 ตัว และวรรณยุกต์ 4 ตวั
ง. พยัญชนะ 44 ตวั สระ 23 ตวั และวรรณยุกต์ 4 ตวั
หนงั สอื เรยี นวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหสั สค13014 27
2. คาํ ช้แี จง จงตอบคาํ ถามตอ่ ไปน้ี
1.จงอธบิ ายลักษณะพเิ ศษของลายส่อื ไทยทีพ่ ่อขุนรามทรงประดิษฐ์
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
หนงั สือเรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทัย(3) รหัส สค13014 28
บทท่ี 4
ศลิ าจารึก
ศลิ าจารกึ เป็นส่ิงทใ่ี ห้ความร้ใู นด้านภาษาศาสตร์ อกั ษรศาสตร์ และนิรกุ ตศิ าสตร์ เปน็ สว่ นใหญ่
ในส่วนของเน้อื หาสาระ ถือเป็นเอกสารประวตั ิศาสตร์ ท่ีแสดงวัฒนธรรมของชนชาตเิ จ้าของจารกึ วา่ มี
ความเปน็ มาอย่างไร
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ครัง้ ยังดํารงพระอสิ รยิ ยศ เป็นสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ
เจา้ ฟา้ มงกฏุ ขณะทรงผนวชไดเ้ สด็จจารกิ ไปยังท้องถิ่นตา่ ง ๆ ทรงคน้ พบศลิ าจารกึ สุโขทยั หลกั ท่ี 1 อนั
เปน็ หลักลายสอื ไทยของพอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช ณ ตําบลเมืองเก่า อาํ เภอเมอื งสุโขทยั เมือ่ ปี พ.ศ.
2376 จากนั้นก็ได้มกี ารศึกษาค้นควา้ เรอื่ งราวของศลิ าจารึกอกี หลายหลกั ท่ีกล่าวถึงเหตกุ ารณใ์ นสมยั
สุโขทยั
ศลิ าจารึกท่สี ลกั ข้ึนในสมยั สโุ ขทยั ที่มกี ารชาํ ระ และแปลแลว้ นํามาพมิ พ์รวบรวมไวใ้ น ประชมุ
จารกึ สยามภาคที่ 1 พ.ศ.2467 มีจํานวน 15 หลกั จากน้นั ไดม้ ีการศึกษาเพ่มิ เติม และจดั พิมพ์เผยแพร่
โดยมีหอสมดุ แหง่ ชาติเปน็ หน่วยหลักหลายครัง้ เฉพาะที่เปน็ จารกึ สมัยสุโขทยั ได้มีการรวบรวมจัดพมิ พ์
อีกในหนงั สือจารกึ สมยั สโุ ขทยั โดยกรมศลิ ปากร เน่อื งในโอกาสฉลอง 700 ปี ลายสือไทย พ.ศ.2526 ได้
จัดกลุ่มจารึกสโุ ขทยั ตามลกั ษณะของตัวอกั ษร จําแนกไวเ้ ปน็ 5 กลมุ่ คอื
- จารกึ ทีใ่ ช้อกั ษรไทยสุโขทยั
- จารึกท่ใี ช้อักษรขอมสโุ ขทยั
- จารกึ ที่ใชอ้ ักษรไทยขึน้ ต้น และตอ่ ดว้ ยอักษรขอมสโุ ขทัย
- จารึกทีใ่ ช้อักษรขอมขน้ึ ต้น และตอ่ ดว้ ยอกั ษรไทยสโุ ขทยั
- จารึกท่ีใชอ้ ักษรไทยสุโขทัยขนึ้ ต้น และต่อด้วยอักษรธรรมลา้ นนา
จารกึ สุโขทัยทีพ่ บและอา่ นแลว้ มีจาํ นวนไมน่ อ้ ยกว่า 100 หลัก ทส่ี าํ คัญมี ดงั น้ี
1. ศิลาจารกึ พอ่ ขนุ รามคาํ แหง ทาํ จากหนิ ทรายแปง้ ลักษณะเปน็ หลักส่ีเหลยี่ มด้านเท่าทรง
กระโจม หรอื ทรงยอ กว้างด้านละ 35 เซนตเิ มตร สงู 111 เซนตเิ มตร จารึกอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ปี
พ.ศ.1835 เรยี กศิลาจารึกหลกั นี้ว่า จารึกหลกั ที่ 1 ปัจจุบนั อยู่ทพ่ี ิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ
เม่อื ปี พ.ศ.2376 พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว ครงั้ ดาํ รงพระอสิ ริยยศ สมเด็จพระเจา้
หนังสอื เรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหสั สค13014 29
นอ้ งยาเธอเจา้ ฟา้ มงกุฎ ขณะทรงผนวชไดเ้ สดจ็ จารกิ หัวเมืองฝา่ ยเหนือถงึ เมอื งเก่าสโุ ขทยั ทรงพบศิลาจารกึ
หลักนพ้ี ร้อมพระแท่น มนงั คศลิ าบาตร ณ โคกปราสาทรา้ ง จึงไดโ้ ปรดใหน้ ําเขา้ กรุงเทพ ฯ ในขนั้ แรก
เก็บรักษาไวท้ ว่ี ัดราชาธิวาส เพราะทรงประทับอยู่ ณ ทว่ี ดั นั้น ต่อมาเมือ่ ทรงย้ายไปประทบั ที่วดั บวรนเิ วศ
วิหาร จึงโปรดใหย้ ้ายไปไว้ท่วี ดั บวร ฯ
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ ทรงอา่ นศิลาจารึกหลักนไ้ี ดเ้ ปน็ พระองคแ์ รก เม่อื ปี พ.ศ.2379
และหอสมดุ วชิรญาณไดจ้ ัดพิมพ์เปน็ คร้งั แรก เมอ่ื ปี พ.ศ.2440
เม่ือไมน่ านมานี้ได้มผี ู้ทถี่ กู เรียกกันว่าเปน็ นักวชิ าการบางคน และพรรคพวกท่ีมีความเห็นอย่าง
เดยี วกัน บางพวกไม่เชื่อวา่ เป็นศลิ าจารกึ ท่ีพอ่ ขุนรามคาํ แหงสรา้ งขนึ้ ไวเ้ มื่อประมาณ เจด็ รอ้ ยปีกอ่ น จึงไดม้ ี
การพิสจู น์ทางด้านวทิ ยาศาสตร์ ตามที่สมเด็จพระเจ้าพีน่ างเธอ เจา้ ฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธวิ าส
ราชนครนิ ทร์ ทรงเสนอแนะไวใ้ นคราวประชุมใหญ่ ฯ เม่ือวันท่ี 4 มีนาคม พ.ศ.2532 โดยมอบหมายให้
นักวทิ ยาศาสตร์ ประจํากรมศลิ ปากร และกรมทรพั ยากรธรณี ทาํ การวจิ ยั เรือ่ ง การพสิ ูจน์ศลิ าจารึกหลกั ท่ี
1 ดว้ ยวิธีวทิ ยาศาสตร์ โดยนาํ ศลิ าจารกึ ท่ที าํ ด้วยหินทรายแป้ง ชนดิ เดียวกับศลิ าจารึกหลกั ที่ ๑ และถูกทงิ้
กรําแดดกราํ ฝน คอื ศิลาจารกึ วดั พระบรมธาตนุ ครชุม เมอื งกําแพงเพชร (จารกึ หลกั ที่ 3) ศิลาจารึกวัด
มหาธาตุ (จารกึ หลักที่ 45) พระแทน่ มนังคศลิ าบาตร และจารึกชผี ้าขาวเพสสนั ดรวดั ข้าวสารมา
เปรยี บเทียบกนั ผู้วิจัยไดใ้ ช้แว่นขยายรงั สอี ัลตรา้ ไวโอเลต และรงั สีอนิ ฟราเรด กลอ้ งจลุ ทรรศน์อเิ ลคตรอน
เปน็ เครอ่ื งมอื สําคญั ในการตรวจพสิ ูจน์ เม่อื เปรียบเทียบวิเคราะห์หลาย ๆ จดุ บนตวั อยา่ งแตล่ ะตัวอย่างแลว้
หาค่าเฉลย่ี พบวา่ ความแตกตา่ งขององค์ประกอบทผ่ี ิวกบั สว่ นทอ่ี ยขู่ ้างในของศิลาจารึกหลักที่ 1 หลกั ท่ี 3
และหลักที่ 45 มีสัดส่วนใกล้เคยี งกนั จึงสรปุ ผลการพิสูจนว์ า่
"ผลปรากฏว่าผิวของหินตรงร่องท่ีเกิดจากการจารกึ ตัวอักษรมีปริมาณแคลไซด์ ลดลงมากใกลเ้ คียง
กับผวิ สว่ น อน่ื ๆ ของศลิ าจารึกหลักที่ 1 จนสามารถมองเหน็ เปน็ ชั้นท่ีมคี วามแตกต่างได้ชดั เจน แสดงว่า
เปน็ การจารึกในช่วงเวลาเดียวกัน หรอื ใกล้เคียงกันกับการสกัดก้อนหินออกมาเปน็ แทง่ แลว้ ขัดผวิ ให้เรยี บ
มิใชเ่ ปน็ การนําแท่งหินทข่ี ัดผวิ ไว้เรยี บร้อยในสมัยสุโขทยั แล้วนาํ มาจารึกขน้ึ ใหมใ่ นสมยั รตั นโกสินทร์ "
จากความจริงทพ่ี สิ จู น์ได้ทางวทิ ยาศาสตร์ดังกล่าว แสดงวา่ ศลิ าจารกึ หลกั ท่ี 1 ไดผ้ ่านกระบวนการ
สกึ กร่อนผุสลายมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ใกลเ้ คียงกับศลิ าจารึก หลกั ที่ 3 หลักที่ 45 และหลกั ทีก่ ล่าวถงึ
ชีผา้ ขาวเพสสันดร จงึ เป็นอันยตุ ิวา่ ศิลาจารกึ หลกั ที่ 1 เปน็ ของดงั้ เดิม มิใช่ทําขน้ึ ใหม่ อยา่ งท่ีกลุ่มคนบาง
จาํ พวกยกเปน็ ประเดน็ ขนึ้ มา สาระสําคัญของศิลาจารกึ หลักท่ี 1 เบอื้ งต้นเป็นการบอกเลา่ พระราช
ประวตั ิพ่อขนุ รามคาํ แหง ซงึ่ ทรงบอกเลา่ ดว้ ยพระองคเ์ อง ตัง้ แตท่ รงพระเยาวจ์ นถึงขึ้นครองราชย์ แสดงให้
เหน็ ถึงความอุดมสมบูรณข์ องสโุ ขทยั และวิถชี วี ติ ของคนไทยในสมยั สโุ ขทยั ทอ่ี ยรู่ ่วมกนั ด้วยน้ําใจไมตรี
หนังสอื เรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหสั สค13014 30
เคารพในสทิ ธเิ สรภี าพของกันและกัน ความมใี จบญุ สญุ ทาน เอื้ออาทรกัน ใหท้ านและรกั ษาศีลกันเปน็
ประจํา
ในจารกึ ใหข้ ้อมลู ว่า พอ่ ขุนรามคาํ แหงทรงคิดประดษิ ฐ์อกั ษรไทยขน้ึ ในปีมหาศกั ราช 1205 ซง่ึ ตรง
กับ ปี พ.ศ.1826 ต่อมาในปี มหาศักราช 1214 (พ.ศ.1835) พ่อขนุ รามคาํ แหงทรงใหช้ ่างนาํ หินทรายแป้ง
มาทําพระแท่นชอ่ื พระแทน่ มนงั คศลิ าบาตร ตัง้ ไว้ที่กลางดงตาล ในวนั พระแปดคา่ํ สิบหา้ คํา่ จะนมิ นตพ์ ระ
เถระข้นึ นั่งบนพระแทน่ แลว้ แสดงธรรมใหล้ กู จ้าวลกู ขนุ ไพรฟ่ า้ ข้าไท ท่วยปงั่ ท่วยนางทัง้ หลายได้สดบั
ตรบั ฟัง ในวันธรรมดาพอ่ ขุนรามคําแหง ทรงขน้ึ ประทบั นัง่ วา่ ราชการงานเมือง และตัดสนิ คดีความทีไ่ พร่ฟา้
หน้าปกมารอ้ งทุกข์ ทรงโปรดใหแ้ ขวนกระดงิ่ ไว้ เพื่อให้ผูท้ มี่ ีความทุกข์รอ้ นมาสั่นกระดงิ่ รอ้ งทุกข์
ดา้ นการพระพุทธศาสนา พ่อขนุ รามคาํ แหงทรงอาราธนาพระภิกษุสงฆฝ์ า่ ยลงั กาวงศ์ จาก
นครศรีธรรมราชมารว่ มกบั ภิกษสุ งฆ์ฝ่ายเถรวาทเดมิ ผู้สืบทอดมาแตพ่ ระโสนะเถระ และพระอุตรเถระให้มา
อบรมสงั่ สอนชาวสุโขทยั ปรากฏว่าพระภิกษุสงฆฝ์ ่ายคามวาสี และอรัญวาสอี ยา่ งชดั เจน มกี ารตง้ั สมณศักด์ิ
เป็นป่คู รู เถระ มหาเถระ แกพ่ ระภิกษผุ ดู้ ํารงตาํ แหนง่ ในทางปกครอง คนสุโขทยั ในสมยั นนั้ จึงทรงศลี เมือ่
พรรษาทกุ คน โดยวันธรรมดารกั ษาศีลห้า ในวนั ธรรมสวนะ หรือวนั พระรกั ษาศลี แปด หรอื ศีลอโุ บสถ
ตามแต่ศรทั ธา
ในคนื วันเพ็ญเดอื นสิบสอง มีงานนักขัตฤกษ์เผาเทียนเลน่ ไฟ อันเปน็ ท่ีมาของงานประเพณีลอย
กระทงเผาเทียนเลน่ ไฟ ซง่ึ เปน็ งานทีย่ ง่ิ ใหญข่ องชาวสุโขทัย มชี ื่อเสยี งไปทวั่ โลก
ด้านการปกครอง จารึกไว้ว่ามีอาณาเขตกวา้ งใหญ่ไพศาล ทศิ ตะวันออกตง้ั แต่สรลวงสองแคว
(พษิ ณโุ ลก) เลย จากลมุ บาจายสะคาไปถงึ เวียงจนั ทน์ ทิศใตต้ ง้ั แต่สุพรรณบุรี ราชบรุ ี เลยนครศรธี รรมราช
ไปสดุ แผน่ ดินจดทะเลมหาสมทุ ร ทิศตะวันตกเลยเมืองฉอด ไปถงึ เมืองหงสาวดีมมี หาสมทุ รเป็นแดน ทศิ
เหนอื ถงึ แพร่ น่าน ขา้ มฝ่งั โขงไปถึงเมืองหลวงพระบาง
2. ศลิ าจารกึ วดั ศรชี ุม เรียกวา่ ศลิ าจารึกหลกั ที่ 2 ทําดว้ ยหนิ ดินดานเป็นรปู ใบเสมา กวา้ ง 67
เซนตเิ มตร สงู 275 เซนติเมตร หนา 8 เซนตเิ มตร ดา้ นทห่ี นง่ึ จารกึ อกั ษรไทยสุโขทยั ภาษาไทย มี 107
บรรทัด ดา้ นทส่ี องมี ตถ บรรทัด มอี ายปุ ระมาณ ปี พ.ศ.1880 - 1910 นายพลโท พระยาสโมสรสรรพการ
เม่ือคร้งั เป็นท่หี ลวงสโมสรพลการ พบท่อี โุ มงคว์ ัดศรีชุม เมอื งเก่าสุโขทัย เมอื่ ปี พ.ศ.2430 ปจั จุบนั อยู่ท่ี
พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาตพิ ระนคร
สาระสําคัญของจารกึ หลกั นี้ สมเดจ็ พระมหาเถรศรศี รทั ธาราชจุฬามุนีศรีรตั นลงั กาทปี มหาสามี
เปน็ เจา้ ได้ให้ศิษยข์ องท่าน จารทําบอกเลา่ ให้เราใหท้ ราบเรือ่ งของคนไทยสมยั กอ่ นพอ่ ขุนศรีอนิ ทราทติ ย์
ครองกรงุ สโุ ขทยั ทรงเล่าไวว้ ่า ท่านเกิดในนครสรลวงสองแคว (พษิ ณโุ ลก) เปน็ โอรสพระยาคาํ แหงพระราม
หนงั สือเรียนวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทัย(3) รหัส สค13014 31
เปน็ หลานป่พู อ่ ขนุ นาวนําถม หรอื พระยาศรนี าวนําถม ซ่ึงเสวยราชยใ์ นนครสองอนั อันหน่ึงชื่อ นครสุโขไท
อกี อันหน่ึงชื่อ นครสรีเสชนาไล (ศรสี ชั นาลัย) ภายหลงั ประทับอยทู่ ่นี ครสโุ ขทัยแห่งเดียว สว่ นนครศรสี ชั นา
ลัยน้นั ทรงตง้ั ขุนยี่ คอื อปุ ราชปกครอง โอรสองค์โตชอื่ ขนุ ผาเมอื ง ใหไ้ ปครองเมอื งราด เมอื งลุม เปน็ ราช
บตุ รเขยของผีฟา้ เจ้าเมอื งศรีโสธรปุระ (พระเจา้ ชัยวรมันทแ่ี ปด) และดาํ รงตาํ แหน่งยุวราชแหง่ ศรโี สธรปรุ ะ
ดว้ ย โอรสอกี องคห์ นง่ึ ช่อื พระยาคําแหงพระราม (พระบิดาสมเด็จพระมหาเถรศรีศรทั ธา ฯ) ให้ครองนคร
สรลวงสองแคว
เมอื่ สนิ้ พอ่ ขุนนาวนําถมแล้ว ขอมสบาดโขลนลาํ พง ยดึ อาํ นาจการปกครอง พ่อขุนบางกลางหาว
ซ่ึงดํารงตําแหนง่ ขุนยคี่ รองนครศรสี ชั นาลัย จึงขึ้นไปเมอื งบางยาง ได้รวบรวมพลร่วมกบั พ่อขนุ ผาเมอื งผ้เู ปน็
สหาย โดยจดั ทัพแยกกันเปน็ สองทาง ขนุ บางกลางหาวยกกาํ ลงั เข้ายดึ ศรีสัชนาลยั คนื ไดแ้ ล้ว ก็นํากําลงั มา
รวมกบั กาํ ลงั ของขุนผาเมอื งท่ีเมืองบางขลงั แตแ่ ตง่ กลอุบายใหข้ อมสบาดโขลนลาํ พงยกกําลังไปรบกบั ขนุ
บางกลางหาว แลว้ ขุนผาเมอื งก็ยกกําลงั เข้ายดึ สุโขทัยได้ ขอมสบาดโขลนลําพงเสียรแู้ ตกกลับไป
ขุนผาเมอื งเชิญขุนบางกลางหาวเขา้ เมอื งสุโขทยั แล้วอภิเษกใหค้ รองเมอื งสโุ ขทัย พร้อมทั้งให้นาม
เกียรติของตนท่ไี ดจ้ ากผฟี ้าเจา้ เมอื งศรโี สธรปุระวา่ ศรอี ินทรบดินทราทติ ย์ ขุนบางกลางหาวจงึ มพี ระนามวา่
พ่อขุนศรีอนิ ทราทิตย์
สมเดจ็ พระมหาเถรศรศี รทั ธา ฯ ไดเ้ ล่าเรอื่ งของท่านเองตง้ั แต่เยาว์จนถึงหนุ่ม ไดอ้ อกรบเคียงบ่าเคยี งไหล่กับ
พระยาคําแหงพระรามผเู้ ป็นบิดา คร้งั สดุ ท้ายรบชนะขนุ จัง แลว้ มองเห็นความทุกขค์ วามไม่เท่ยี งในโลกยี ์วิสัย จึงสละ
สมบัติออกบวชแลว้ เดนิ ธุดงค์ไปเทยี่ วทุกแหง่ เขา้ ไปสู่อนิ เดียตอนใต้ แล้วไปถึงลงั กาทวปี พบเห็นมหยิ งั คณะมหาเจดยี ์
ทป่ี ระดิษฐานพระทันตธาตขุ องพระพทุ ธเจ้า ปรักหักพงั เกดิ ศรทั ธา จงึ ได้ทําการบูรณปฏิสงั ขรณ์ขึน้ ใหม่ เม่อื พระองค์
ได้กระทําสกั การบูชาพระมหาธาตุเจดยี ์ กเ็ กิดปาฏิหาริย์เป็นที่ประจักษ์แก่พระองค์และชาวสิงหล พระองคจ์ ึงได้รบั
การยกยอ่ งเทิดทูนจากชาวสงิ หล สถาปนาข้ึนเป็น สมเด็จพระศรีศรทั ธา ฯ พระองค์ประทับอยทู่ ี่ลงั กาเป็นเวลา
พอสมควรแลว้ จึงเดินทางกลบั สุโขทัย และไดอ้ ญั เชิญพระบรมสารรี ิกธาตุพร้อมก่ิงพระศรมี หาโพธิมาด้วย เม่ือมาถึง
สโุ ขทยั กไ็ ดอ้ ญั เชญิ พระบรมสารีริกธาตุ และก่ิงพระศรีมหาโพธิ ประดิษฐาน ณ นครสโุ ขทยั บางขลงั ศรีสัชนาลัย
เพอ่ื ใหเ้ ป็นเมืองธรรมจึงได้ก่อพระเจดยี ์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ปลูกต้นพระศรมี หาโพธิ สร้างพิหารเจ้าอาวาส สร้าง
พระพทุ ธรูปอันงามพจิ ติ ร
ทา่ นไดไ้ ปเทีย่ วโปรดสตั ว์ ไปพบพระมหาธาตุเจดีย์ปรกั หกั พังอยู่กึง่ กลางนครพระกรสิ จงึ อธิษฐานบารมีจน
พบแหล่งปนู ท่านได้นาํ มาก่อสร้างพระมหาธาตเุ จดยี ์ จากเดิมท่ีสงู 95 วาไม้ เมอื่ เสร็จสมบรู ณแ์ ลว้ ได้ความสงู 102
วา พระมหาธาตเุ จดียอ์ งค์นขี้ อมเรียกวา่ พระธม ส่วนปนู ท่ีเหลอื ท่านได้นําไปซ่อมแซมพระพทุ ธรูปเป็นจาํ นวนมาก
หนังสอื เรียนวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศึกษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทัย(3) รหสั สค13014 32
3. ศิลาจารึกนครชมุ เรยี กว่า จารึกหลกั ที่ 3 ทําด้วยหินทรายแปง้ เปน็ รูปใบเสมา กว้าง 47
เซนติเมตร สูง 193 เซนติเมตร หนา 6 เซนตเิ มตร จารึกอกั ษรไทยสุโขทยั ภาษาไทยดา้ นท่หี น่ึงมี 78
บรรทัด ด้านท่ีสองมี 58 บรรทัด สนั นษิ ฐานว่า สร้างข้นึ เมอ่ื ปี พ.ศ.1900 สมเด็จ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุ
ภาพ ทรงพบท่ีวัดบรมธาตนุ ครชุม เมืองกาํ แพงเพชร เมือ่ ปี พ.ศ.2464 ปจั จุบันอยู่ที่หอสมุดวชริ ญาณ กอง
หอสมดุ แห่งชาติ กรงุ เทพ ฯ
สาระสําคญั ของจารกึ หลกั นี้ บอกให้ทราบในเบ้ืองต้นวา่ พระยาลอื ไทยโอรสพระยาเลอไทย พระ
นดั ดาพระยารามราช เสวยราชที่เมอื งศรีสัชนาลยั สโุ ขทัย ประมาณปี พ.ศ.1890 เมื่อเสวยราชย์แลว้ ทา้ ว
พระยาทัง้ หลายแต่งกระยาดงวาย ของฝากหมากปลามาไหว้อนั ยัดยัญอภเิ ษก เป็นทา้ วเป็นพระญา ชอ่ื ศรีสุ
รยิ พงศม์ หาธรรมราชาธิราช ทรงไดพ้ ระบรมสารรี ิกธาตุพรอ้ มกง่ิ พระศรมี หาโพธิ จากลงั กาทวปี ใน ปี พ.ศ.
1900 จงึ ทรงนาํ ไปประดิษฐานในเมืองนครชุม และทรงจารึกไว้ว่า "...ผิผใู้ ดไดไ้ หวน้ บกระทําบูชาพระศรีรตั นมหาธาตุ และ
พระศรมี หาโพธนิ ี้ว่าไซร้ มีผลอานิสงส์พรา่ํ เสมอดังได้นบตนพระเปน็ เจ้าบ้างแล..."
พระมหาธรรมราชาลิไททรงเช่ือว่าพระพุทธศาสนา จะมีอายดุ ํารงอยใู่ นโลกน้ีไดห้ า้ พนั ปี จึงทรง
จารึกไว้วา่ "...ผิมคี นมาถามศาสนาพระเปน็ เจา้ ยังเท่าใดจกั ส้นิ อน้ั ใหแ้ กว่ ่าดังนี้ แต่ปอี นั สถาปนาพระ
มหาธาตนุ เ้ี มือ่ หน้าได้สามพนั เก้าสิบเกา้ ปจี ึงจกั สิ้นพระศาสนาพระเปน็ เจา้ ..." และยงั ไดต้ รสั ถึงสทั ธรรม
อันตรธานห้าประการ คือ ประมาณพระพุทธศาสนายุกาลได้ 1999 ปี พระไตรปฎิ กจักหาย หาคนรู้แทม้ ไิ ด้
มีคนรเู้ พียงเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ เทา่ นัน้ พระธรรมเทศนามหาชาตหิ าคนสวดมิได้ ชาดกมตี น้ หาปลายมไิ ด้ พระ
อภธิ รรมนัน้ พระปัฏฐานและพระยมกหายไปกอ่ น เม่ือพระพทุ ธศาสนายุกาลประมาณได้ 2999 ปี "...ฝูง
ภกิ ษสุ งฆ์จาํ ศลี คงสิกขาบทสี่อนั ยงั มสี กิ ขาบทอันหนักหนาหามไิ ด้เลย " เมอื่ พระพทุ ธศาสนายุกาลประมาณ
ได้ 3999 ปี "...ฝงู ชีจักทรงผ้าจวี รหามิได้เลย เท่ายงั มีผ้าเหลอื งน้อยหนึง่ เหนบ็ ใบหู และรู้จกั ศาสนาพระเป็น
เจา้ ดายุ..." เมือ่ พระพุทธศาสนายกุ าลประมาณได้ 4999 ปี "...อันวา่ จักรู้จกั ผา้ จีวรจักรจู้ กั สมณะน้อยหนึ่งหา
มไิ ดเ้ ลย..." เมอื่ สิน้ อายุพระศาสนาน้นั ทรงพรรณาไวว้ า่
"...เมอ่ื ปอี นั จักสิ้นศาสนา พระพทุ ธเปน็ เจา้ ทสี่ ุดทง้ั หลายอั้น ปีชวด เดอื นหก บรู ณมี วนั เสาร์ วนั
ไทยวันระรายสันวันไพสาขฤกษ์ เถิงเมือ่ วันดงั น้ัน แตพ่ ระธาตทุ ั้งหลายอันมีในแผ่นดินนี้กด็ ี ในเทพโลกกด็ ี
ในนาคโลกกด็ ี เหาะไปในกลางหาว และไปประชุมกันในลังกาทวปี แล้วจกั เหาะไปอยูใ่ นต้นพระศรีมหาโพธิ
ท่ีพระพทุ ธเจ้าตรัสแก่สรรเพชญตญาณ เปน็ พระพทุ ธแตก่ ่อนอน้ั จงึ จกั กาลไฟไหมพ้ ระธาตุทัง้ อัน้ ส้ินแล
เปลวไฟพลุ่งข้ึนคงุ พรหมโลกศาสนาพระพทุ ธจักส้นิ ในวันดงั กล่าวอ้ันแล "
หนังสือเรียนวิชาเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทัย(3) รหสั สค13014 33
4. ศลิ าจารกึ วดั ปา่ ม่วง เป็นภาษาไทยสองหลัก เปน็ ภาษาบาลีหน่ึงหลกั จารกึ ภาษาไทยหลักท่ี
1 เรยี กว่า จารกึ หลักที่ 5 ทําดว้ ยหินทราย หลกั เปน็ รูปส่เี หลี่ยมทรงกระโจม หรอื ทรงยอ กว้างด้านละ 28 เซนตเิ มตร
สองดา้ น กวา้ งด้านละ 29 เซนตเิ มตรสองดา้ น สงู 115 เซนตเิ มตร พระยาโบราณราชธานินทร (พร เดชะคุปต)์ พบท่ี
วดั ใหม่ (ปราสาททอง) อําเภอนครหลวง จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา เมอ่ื ปี พ.ศ.2448 จารึกดว้ ยอักษรไทยสโุ ขทยั เมื่อ
ปี พ.ศ.1904 ปจั จุบันอยู่ที่พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาตพิ ระนคร
ขอ้ ความทจ่ี ารกึ บอกให้ทราบว่าบริเวณวดั ปา่ มะมว่ ง เป็นรมณยี สถานทพ่ี อ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช
ทรงปลกู มะมว่ งไว้เปน็ จาํ นวนมาก ต่อมาเม่อื ปี พ.ศ.1904 ไดเ้ ปน็ ทีป่ ระทบั ของสมเด็จพระสังฆราช และเป็น
พัทธสมี าท่ีทรงผนวชของสมเด็จพระศรสี ุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธริ าช กอ่ นถงึ กาลทรงผนวชไดก้ ล่าวถงึ
อดตี ว่า เมอ่ื พระยาลไิ ท ผรู้ ู้พระไตรปฎิ กข้ึนเสวยราชย์ ทา้ วพระยาทง้ั หลายอภเิ ษกขน้ึ ช่ือ ศรีสรุ ยิ พงศร์ าม
มหาราชาธิราช เสวยราชย์ชอบด้วยทศพธิ ราชธรรม ในปี พ.ศ.1904 ทรงอาราธนาพระมหาสามสี ังฆราช
ลังกาวงศ์ จากนครพนั มาจาํ พรรษา ณ กรงุ สุโขทยั ทรงหลอ่ พระพุทธรปู ดว้ ยเนื้อทองสําริดองคใ์ หญ่
ประดษิ ฐานดา้ นตะวนั ออกองค์มหาธาตุเจดียก์ ลางเมอื งสุโขทยั เม่อื ออกพรรษาแล้วทรงสมาทานทศศลี เป็น
ดาบส... หนา้ พระพทุ ธรูปทอง อนั ประดษิ ฐานไว้เหนอื ราชมณเฑยี ร อาราธนาพระมหาสามพี ร้อมคณะสงฆ์
ข้ึนสูร่ าชมณเฑยี ร ทรงบรรพชาเปน็ สามเณร แลว้ เสดจ็ ไปทรงผนวช ณ พัทธสมี าวัดป่ามะมว่ งในทีส่ ุด
จารึกภาษาไทยหลกั ที่ 2 เรียกว่า จารึกหลักท่ี 7 ทําด้วยหนิ ทรายแปร หลักเปน็ รูปสเี่ หลยี่ ม
กวา้ งดา้ นละ 28 เซนติเมตรสองดา้ น กวา้ งด้านละ 12.5 เซนติเมตรสองด้าน สงู 132 เซนตเิ มตร พระยา
รามราชภักดี (ใหญ่ ศรลมั พ์) ผู้ว่าราชการจังหวดั สโุ ขทยั พบทว่ี ดั ปา่ มะมว่ ง เมอื งเกา่ สุโขทัย เมือ่ ปี พ.ศ.
2458 จารกึ ด้วยอักษรไทยสุโขทัย เมอื่ ปี พ.ศ.1904 ปัจจุบันอยทู่ ี่พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติพระนคร จารกึ
หลกั น้ชี าํ รดุ มาก ดา้ นทีห่ น่ึงกบั ด้านทีส่ ามอ่านจบั ความไม่ได้ ด้านทีส่ องกบั ด้านทสี่ ีพ่ ออา่ นไดบ้ ้าง เปน็ การ
จารึกเรือ่ งราวของการสร้างถาวรวตั ถุตา่ ง ๆ ในปา่ มะม่วง เช่น กฎุ ี พิหาร สมี ากระลาอโุ บสถ และการทรง
ผนวชของสมเด็จพระศรีสรุ ิยพงศร์ ามมหาธรรมราชาธิราช
จารึกภาษาเขมร เรยี กว่า จารึกหลักที่ 4 ทําด้วยหินแปร เป็นหลักส่เี หล่ยี มกระโจม หรอื ทรง
ยอ กว้าง 30 เซนติเมตร สงู 200 เซนติเมตร หนา 29 เซนติเมตร พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั
ทรงพบที่โคกปราสาทรา้ งเม่ือคราวเสด็จถึงสุโขทัย เม่อื ปี พ.ศ.2376 จารึกด้วยอักษรไทย ภาษาเขมร เมอื่ ปี
พ.ศ.1904 ปัจจบุ ันอยทู่ ีห่ อสมุดวชิรญาณ ภายในหอสมุดแห่งชาตพิ ระนคร
ขอ้ ความในจารกึ เป็นเรอื่ งราวคลา้ ยจารกึ วัดป่ามะม่วงภาษาไทยหลักท่ีหนงึ่ คอื พระยาลิไทยทรง
อาราธนาสมเด็จพระมหาสามสี งั ฆราช จากนครพนั มาสโุ ขทัย เพ่อื ทรงเปน็ พระอปุ ชั ฌายใ์ นการทรงผนวชของพระองค์
และเล่าเรอื่ งพระยาลิไท ยกพลจากศรสี ชั นาลยั มายึดสโุ ขทยั ขน้ึ เสวยราชย์ตามสทิ ธิอนั ชอบธรรม
หนังสือเรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหสั สค13014 34
จารกึ ภาษาบาลี เรยี กว่า จารกึ หลักท่ี 6 ทาํ ดว้ ยหนิ แปรรปู สี่เหลีย่ มทรงกระโจม หรือทรง
ยอ กวา้ งด้านละ 33 เซนตเิ มตรสองด้าน กว้างด้านละ 27 เซนติเมตรสองด้าน สงู 130 เซนตเิ มตร จารกึ
ดว้ ยอักษรขอมสุโขทยั ภาษาบาลีเม่ือปี พ.ศ.1904 พระยารามราชภักดี (ใหญ่ ศรลัมพ)์ ผวู้ ่าราชการจังหวดั
สุโขทยั พบทวี่ ดั ป่ามะม่วง เมอ่ื ปี พ.ศ.2451 ปัจจุบนั อยทู่ พ่ี ิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร
ขอ้ ความที่จารึกเป็นพระนิพนธข์ องสมเด็จพระมหาสามสี งั ฆราช พระอุปัชฌายข์ องพระ
มหาธรรมราชาลไิ ท มขี อ้ ความสรรเสรญิ พระมหาธรรมราชา ทที่ รงผนวชดว้ ยพระราชศรัทธาอยา่ งแรงกลา้
ในพระพทุ ธศาสนา
5. ศลิ าจารึกวดั อโสการาม เรยี กว่า ศิลาจารึกหลกั ท่ี 93 ทาํ ดว้ ยหนิ แปร เป็นแผน่ รูปใบ
เสมา กวา้ ง 54 เซนตเิ มตร สงู 134 เซนติเมตร หนา 15 เซนติเมตร ดา้ นที่หนง่ึ มี 47 บรรทดั จารึกดว้ ย
อกั ษรไทยสโุ ขทัย ภาษาไทย ดา้ นทส่ี องมี 51 บรรทดั จารกึ ด้วยอักษรขอมสุโขทยั ภาษาบาลี เมอ่ื ปี พ.ศ.
1942 กองโบราณคดี กรมศลิ ปากรพบทวี่ ดั อโสการามเมอื งเกา่ สโุ ขทยั เมอื่ ปี พ.ศ.2498 ปจั จบุ ันอยู่ท่ี
หอสมดุ วชิรญาณ หอสมดุ แหง่ ชาติพระนคร
ข้อความในจารกึ มีว่า สมเด็จพระราชเทพศี รจี ุฬาลักษณ์อคั รราชมเหสีเทพธรณีโลกรัตน...
เปน็ ชายาแดส่ มเด็จมหาธรรมราชาธริ าช กอร์ปดว้ ยปัญจพธิ กลั ยาณีมีศลี พระ...
6. ศิลาจารกึ วดั บูรพาราม เรยี กวา่ ศิลาจารึกหลกั ที่ 286 ทําด้วยหนิ ชนวนสเี ขียว รูป
ใบเสมา สว่ นลา่ งชาํ รดุ หักหาย มขี นาดกว้าง 59 เซนติเมตร สงู 146 เซนตเิ มตร หนา 12 เซนติเมตร ดา้ น
ท่หี น่งึ มี 55 บรรทัด จารึกด้วยอกั ษรไทยสโุ ขทยั ดา้ นทส่ี องมี 56 บรรทดั จารึกด้วยอักษรขอม ภาษา
บาลี เมอ่ื ปี พ.ศ.1955 พระครปู ลดั สนธิ จติ ตฺ ปญโฺ ญ วดั ศาลาครนื เขตจอมทอง กรุงเทพ ฯ ถวายแด่
สมเด็จพระเทพรัตน ฯ เมื่อปี พ.ศ.2532 ซ่ึงไดพ้ ระราชทานใหก้ รมศลิ ปากรจัดแสดงเพ่ือการศกึ ษา ณ
อาคารหอสมุดวชิรญาณ หอสมดุ แหง่ ชาติ พระนคร
จารึกวัดบูรพารามระบวุ ่า สมเดจ็ พระราชเทวศี รีจฬุ าลกั ษณอ์ คั รราชมหดิ ิเทพยธรณดี ลิ ก
รตั นบพิตร เป็นเจ้า ผู้เป็นบาทบริจาริการัตนชายา แดส่ มเด็จพระมหาธรรมราชา กอร์ปดว้ ยปญั จพธิ
กลั ยาณี มีศลิ พริ ยิ ะปรีชา...
จารึกวัดบูรพารามบอกเล่าพระราชประวตั ิ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระราช
สามี สมเด็จพระราชเทวศี รจี ฬุ าลกั ษณ์ เริ่มตงั้ แต่ประสูติจากพระครรภ์ สมเด็จพระศรธี รรมราชมาดา เม่อื
ประมาณปี พ.ศ.1911 ทรงสาํ เร็จการศึกษาเม่อื พระชนมพรรษาได้ 16 ปี ได้เสวยราชยเ์ มื่อปี พ.ศ.1939
และเสดจ็ สวรรคตเมอื่ ปี พ.ศ.1951 ในปี พ.ศ.1955 สมเดจ็ พระราชเทวีศรจี ุฬาลกั ษณ์ จึงทรงสร้างวัด
หนังสือเรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทยั (3) รหสั สค13014 35
บรู พาราม ก่อพระเจดีย์บรรจพุ ระบรมสารรี ิกธาตุ
ในจารึกหลกั น้ี สมเด็จพระราชเทวี ฯ ทรงระบสุ ายสมั พันธร์ าชสกุล ตามลําดบั พระราช
อิสริยยศ คอื
- สมเดจ็ มหาธรรมราชาธริ าช พระราชโอรสสมเดจ็ พระศรธี รรมราชมาดา
- สมเดจ็ พระศรธี รรมราชมาดา
- สมเดจ็ พระราชเทวศี รีจฬุ าลกั ษณ์
- สมเดจ็ พระรามราชาธริ าช พระราชโอรสสมเด็จพระราชเทวี ฯ
- ศรธี รรมาโศกราช พระราชโอรสสมเดจ็ พระราชเทวี ฯ
การสรา้ งวดั กอ่ พระเจดยี ์บรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตุ และการทาํ บญุ ตา่ ง ๆ น้ัน สมเดจ็
พระราชเทวี ฯ ทรงอทุ ิศแดส่ มเดจ็ ปู่พระญา พอ่ ออก แมอ่ อก สมเด็จมหาธรรมราชาธริ าช พระศรธี รรม
ราชมารดา และทรงอธษิ ฐานวา่ ขอให้ได้เกิดเป็นผชู้ ายในอนาคตกาล ขอให้ได้สดบั ตรบั ฟงั ธรรมอัน
ประเสรฐิ ของพระพุทธเมตไตรย ขอพระพทุ ธเมตไตรยดาํ รสั สรรเสรญิ พระนางทา่ มกลางพทุ ธบรษิ ทั ขอ
อย่าให้ผ้อู ื่นเทยี มทันพระนางด้วยบญุ สมภารดว้ ยรปู ด้วยยศ ด้วยสมบตั ิในทกุ ภพทกุ ชาตไิ ป
นอกจากศิลาจารกึ หลกั ตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วแลว้ ยงั มีศลิ าจารกึ สาํ คัญ ๆ ของสโุ ขทยั ทใี่ ห้
ความรูใ้ นเรือ่ งประวตั ศิ าสตร์โบราณคดี ภาษา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณขี องสุโขทยั ในอดีตอกี มากมาย
เชน่ ศลิ าจารกึ เขาสุมนกูฎ จารึกวดั พระยนื จารึกวดั สรศักดิ์ จารกึ กฎหมายลกั ษณะโจร จารกึ ปู่สบถ
จารกึ วัดเขากบ จารกึ วัดเขมา จารกึ วัดปา่ แดง จารกึ พระธรรมกาย จารึกพระอภธิ รรม จารึกวัดตาเถรขึ้
หนัง จารกึ วัดกาํ แพงงาม จารกึ วัดพระเสด็จ จารึกนายศรโี ยธาราชออกบวช จารกึ ภาพชาดกในอโุ มงคว์ ดั
ศรีชุม 48 ภาพ กับจารกึ อนื่ ๆ อีกเป็นจํานวนมาก ลว้ นเป็นหลกั ฐานสาํ คัญของชาตไิ ทย ให้ร้วู ่าไทยเป็น
ประเทศเอกราชมีเอกลกั ษณข์ องตนเอง และเจริญรุ่งเรอื งเป็นปึกแผน่ ตดิ ต่อกันมานานไม่น้อยกว่า 700 ปี
มาแลว้
หนงั สือเรียนวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ โุ ขทัย(3) รหสั สค13014 36
คาํ อ่านหลักศลิ าจารึกพอ่ ขนุ รามคาํ แหง
ด้านที่ ๑
พ่อกู ชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูช่ือนางเสือง พี่กูช่ือบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม
ผู้ญีงโสง พเี่ ผอื ผู้อ้ายตายจากเผือเตยี มแตย่ ักเล็ก เมือ่ กูขึน้ ใหญไ่ ด้ สบิ เกา้ เขา้ ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด
มาท่เมืองตาก พอ่ กูไปรบ ขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหวั ขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใส
พอ่ กู หนีญญา่ ยพายจแจ๋น กบู ห่ นี กูข่ีชา้ ง เบกพล กขู บั เข้าก่อนพ่อกู กตู อ่ ชา้ งดว้ ยขนุ สามชน
ตนกพู ุ่งช้าง ขนุ สามชนตวั ชอ่ื มาสเมือง แพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พอ่ กจู ึงขึ้นชื่อกู ชื่อพระรามคาํ แหง เพื่อกู
พ่งุ ช้างขุนสามชนเมื่อช่ัวพ่อกู กบู าํ เรอแก่พ่อกู กบู ําเรอแกแ่ ม่กู กไู ด้ตวั เน้อื ตัวปลา กเู อามาแก่พ่อกู กูได้
หมากส้มหมากหวาน อนั ใดกนิ อร่อยกนิ ดี กเู อามาแก่พอ่ กู กไู ปตีหนงั วังช้างได้ กูเอามาแกพ่ ่อกู กูไปท่
บา้ นทเ่ มอื ง ได้ชา้ งได้งวงไดป้ ั่วไดน้ าง ไดเ้ งอื นได้ทองกูเอามาเวนแก่พอ่ กู พอ่ กูตายยงั พ่อกู กพู ร่าํ บาํ เรอแก่
พ่กี ู ดงั่ บําเรอแกพ่ อ่ กู พี่กตู าย จึงไดเ้ มอื งแก่กูทัง้ กลม เม่ือช่วั พ่อขุนรามคาํ แหง เมอื งสโุ ขทยั นด้ี ี ในนา้ํ มี
ปลา ในนามขี า้ ว เจ้าเมอื งบเ่ อาจกอบในไพร่ลทู า่ งเพ่ือนจงู วัวไปคา้ ขมี่ ้าไปขาย ใคร่จกั ใคร่ค้าช้าง คา้ ใคร
จักใครค่ า้ มา้ คา้ ใครจักใครค่ า้ เงือนคา้ ทองค้า ไพรฟ่ ้าหนา้ ใส ลูกเจ้าลกู ขนุ ผูใ้ ดแล้ ลม้ ตายหายกว่าเหย้า
เรือนพ่อเช้อื เส้ือคํามัน ช้างขอลูกเมยี เยยี ข้าว ไพร่ฟา้ ขา้ ไท ป่าหมากพลูพอ่ เชือ้ มัน ไว้แก่ลกู มันสน้ิ ไพร่ฟา้
ลูกเจา้ ลูกขุน ผแิ ลผิดแผกแสกวา้ งกัน สวนดูแท้แล้ จง่ึ แลง่ ความแกข่ าดว้ ยซือ้ บเ่ ขา้ ผู้ลกั มกั ผซู้ ่อน เหน็ ข้าว
ทา่ นบใ่ ครพนี เห็นสนิ ท่านบ่ใครเดอื ด คนใดขี่ชา้ งมาหา พาเมอื งมาสชู่ อ่ ยเหนือเฟือ้ กู้ มันบ่มชี ้างบ่มมี า้ บ่มี
ปัว่ บ่มนี าง บ่มีเงอื นบ่มีทอง ให้แกม่ ัน ช่อยมนั ตวงเป็นบ้านเป็นเมอื ง ได้ข้าเสอื ก ขา้ เสือ หัวพุ่งหัวรบก็ดี บ่
ฆ่าบ่ตี ในปากประตมู กี ระดิง่ อนั ณง่ื แขวนไว ้ห้ัน ไพรฟ่ ้าหนา้ ปก กลางบา้ นกลางเมือง มีถอ้ ยมีความ เจ็บ
ทอ้ งขอ้ งใจ มนั จกั กลา่ วเถิงเจ้าเถิงขุนบไ่ ร้ ไปลัน่ กะดงิ่ อนั ท่านแขวนไว้ พอ่ ขุนรามคําแหงเจา้ เมอื งได้
หนงั สือเรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหัส สค13014 37
ด้านที่ ๒
ยินเรียกเมือถาม สวนความแก่มันด้วยซ่ือ ไพร่ในเมืองสุโขทัยน้ีจ่ึงชม สร้างป่าหมากป่าพลูทั่ว
เมอื งน้ีทุกแห่ง ปา่ พร้าวก็หลายในเมืองน้ี ป่าลางกห็ ลายในเมอื งนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองน้ี หมากขามก็
หลายในเมืองน้ี ใครสร้างได้ไว้แก่มัน กลางเมืองสุโขทัยน้ี มีนํ้าตระพังโพยสี ใสกินดี ... ดั่งกินน้ําโขงเม่ือ
แล้ง รอบเมืองสุโขทัยน้ี ตรีบูร ได้สามพันสี่ร้อยวา คนในเมืองสุโขทันน้ี มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน
พ่อขุนรามคําแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ท้ังชาวแม่ชาวเจ้าท่วยป่ัวท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้ง
ผูช้ ายผูญ้ ีง ฝูงทว่ ยมศี รทั ธาในพระพทุ ธศาสน ทรงศลี เม่อื พรรษาทกุ คน เม่อื ออกพรรษากรานกฐิน เดือน
ณื่งจ่ิงแล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบ้ีย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนน่ังหมอนโนน บริพารกฐินโอย
ทานแลป่ แี ล้ญิบล้าน ไปสดู ญัติกฐนิ เถงื อรัญญิกพู้น เม่ือจักเขา้ มาเวียงเรียง กันแตอ่ ญญิกพูน้ เท้าหัวลาน
ดํบงดํกลองด้วยเสียงพาดเสียงพิณ เสียงเล้ือนเสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจัก
มกั เลื้อน เลอื้ น เมืองสุโขทัยนี้ มีสี่ปากประตูหลวง เท้ียรย่อมคนเสียดกัน เข้ามาดูท่านเผาเทียน ท่านเล่น
ไฟ เมืองสุโขทัยน้ี มีด่ังจักแตก กลางเมืองสุโขทัยนี้ มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารศ
มีพระพุทธรูป มพี ระพุทธรปู อนั ใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม มีปู่ครูนิสัยมุตก์ มีเถร
มีมหาเถร เบ้ืองตะวันตก เมืองสุโขทัยนี้ มีอไรญิก พ่อขุนรามคําแหงกระทํา โอยทานแก่มหาเถร สังฆราชปราชญ์
เรียนจบปิฎกไตรหลวก กว่าปู่ครูในเมืองน้ี ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา ในกลางอรัญญิก มีพิหารอันณ่ืงมน
ใหญ่ สูงงามแกก่ ม มพี ระอฏั ฐารศอนั ณงื่ ลุกยืน เบอ้ื งตะวันโอกเมอื งสโุ ขทยั น้ี มีพิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง มีป่า
หมากป่าพลู มไี ร่ มีนา มถี นิ่ ถาน มีบ้านใหญบ่ ้านเล็ก มีปา่ ม่วงมีป่าขาม ดูงามดังแกส้
หนงั สือเรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทัย(3) รหัส สค13014 38
ดา้ นที่ ๓
เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีตลาดปสาน มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว ป่าหมา
กลาง มีไร่ มีนา มีถ่ินถาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก เบ้ืองหัวนอนเมืองสุโขทัยน้ี มีกุฎีพิหาร ปู่ครูอยู่ มีสรดีภงส
มปี า่ พร้าวปา่ ลาง มีปา่ มว่ ง ปา่ ขาม มีนํ้าโคก มีพระขพุง ผีเทพดาในเขาอันน้ัน เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองน้ี
ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เท่ียง เมืองน้ีดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอ้ันบ่คุ้มบ่เกรง
เมืองน้ีหาย ๑๒๑๔ ศก ปีมะโรง พ่อขุนรามคําแหงเจ้าเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัยน้ี ปลูกไม้ตาลน้ี ได้สิบส่ี
เข้า จึงให้ชั่งพันขดานหิน ต้ังหว่างกลางไม้ตาลน้ี วันเดือนดับ เดือนโอกแปดวัน วันเดือนเต็ม เดือนบ้าง
แปดวัน ฝูงปู่ครู เถร มหาเถร ขึ้นน่ังเหนือขดานหินสูดธรรมแก่อุบาสก ฝูงท่วยจําศีล ผิใช่วันสูดธรรม พ่อ
ขุนรามคาํ แหง เจา้ เมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัย ขึ้นน่ังเหนือขดานหิน ให้ฝูงท่วยลูกเจ้าลูกขุน ฝูงท่วยถือบ้าน
ถือเมือง ครั้นวันเดือนดับเดือนเต็ม ท่านแต่งช้างเผือกกระพัดลยาง เท้ียรย่อมทองงา... (ซ้าย) ขวา ชื่อรู
จาครี พ่อขุนรามคาํ แหง ขนึ้ ขไ่ี ปนบพระ (เถงิ ) อรญั ญกิ แล้วเข้ามา จารกึ อนั ณ่งื มใี นเมอื งชเลยี ง สถาบกไว้
ด้วยพระศรีรัตนธาตุ จารึกอันณื่ง มีในถํ้ารัตนธาร ในกลวงป่าตาลน้ี มีศาลาสองอัน อันณ่ืงชื่อศาลาพระ
มาส อันณื่งชอ่ื พุทธศานา ขดานหินนี้ ช่ือมนังศิลาบาตร สถาบกไวน้ ี่ จง่ึ ทงั้ หลายเหน็
หนังสอื เรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการศกึ ษาประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั (3) รหัส สค13014 39
ดา้ นที่ ๔
พ่อขุนพระรามคําแหง ลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นขุนในเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัย ท้ังมาก
กาวลาว แลไทยเมืองใต้หล้าฟ้าฎ... ไทยชาวอูชาวของมาออก ๑๒๐๗ ศกปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออก
ท้ังหลายเห็น กระทําบูชาบําเรอแก่พระธาตุได้เดือนหกวัน จ่ึงเอาลงฝังในกลางเมืองศรีสัชชนาลัยก่อพระ
เจดีย์เหนือหกเข้าจ่ึงแล้ว ต้ังเวียงผาล้อมพระมหาธาตุ สามเข้าจ่ึงแล้ว เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี
๑๒๐๕ ศกปีมะแม พ่อขุนรามคําแหง หาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยน้ี ลายสือไทยน้ีจ่ึงมีเพ่ือขุนผู้น้ันใส่
ไว้ พอ่ ขนุ รามคําแหงนั้นหา เป็นทา้ วเปน็ พระยาแก่ไทยทัง้ หลาย หาเป็นครูอาจารย์สั่งสอนไทยทั้งหลายให้
รู้บุญรู้ธรรมแท้ แต่คนอันมีในเมืองไทยด้วย รู้ด้วยหลวก ด้วยแกล้วด้วยหาญ ด้วยแคะ ด้วยแรง หาคนจัก
เสมอมิได้ อาจปราบฝูงข้าเสีก มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันออก รอด สรลวง สองแคว ลุมบา
จาย สคา เท้าฝ่ังของเถีงเวียงจันทน์เวียงคําเป็นที่แล้ว เบ้ื(อ)งหัวนอน รอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณ
ภูมิ ราชบุรี เพรชบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมุทรเป็นที่แล้ว เบ้ืองตะวันตก รอดเมืองฉอด เมือง...น หง
สาวดี สมุทรหาเปน็ แดน เบอื้ งตนี นอน รอดเมืองแพร่ เมอื งมา่ น เมืองน... เมืองพลัว พ้นฝั่งของเมืองชวา
เปน็ ทแ่ี ลว้ ปลูกเลยี้ ง ฝูงลกู บ้านลูกเมอื งน้ัน ชอบด้วยธรรมทกุ คน