รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า โดย นางสาวอารีฟา บินมือลี รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรีสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา ปีการศึกษา 2565
รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า โดย นางสาวอารีฟา บินมือลี รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรีสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา ปีการศึกษา 2565
ชื่อวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า ผู้วิจัย นางสาวอารีฟา บินมือลี สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะกรรมการที่ปรึกษา .....................................................................กรรมการ (อาจารย์พูรกอนี สาและ) (อาจารย์นิเทศก์ประจ าหลักสูตร) .....................................................................กรรมการ (นางสาวมุสซีนีน มาซอ) (ครูพี่เลี้ยง) รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรีสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา ปีการศึกษา 2565
ก ชื่อวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อ การเรียนรู้บัตรค า ผู้วิจัย นางสาวอารีฟา บินมือลี สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า ตาม เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า 3) เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตร ค า 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้ บัตรค า ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้ บัตรค า โรงเรียนอนุบาลระแงะ จังหวัดนราธิวาส จ านวน 1 ห้องเรียน รวม 27 คน ซึ่งได้มาวิธีการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่องสิ่งมีชีวิตรอบตัว เรา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อ การเรียนรู้บัตรค า ผู้วิจัยได้ใช้การทดลองแบบ one group pretest-posttest design สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล คือ t-test for dependent simples ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า (E1/E2) มีค่าเท่ากับ 80.37/80.74 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนการ จัดการเรียนรู้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา มีคะแนนเฉลี่ยทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ4) นักเรียนมี ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้ บัตรค า อยู่ในระดับมาก (̅ = 2.79, S.D. = 0.46) ค าส าคัญ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์, ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์, สื่อการเรียนรู้บัตรค า
ข Title Improving the academic achievement and scientific process skills of 1st graders through collaborative learning management (TGT) in combination with word card learning materials. Author Arifa Binmelee Degree Program General Science Academic Year 2022 Abstract The objectives of this research are to 1 ) create and determine the effectiveness of word card learning materials in accordance with benchmark 8 0/ 8 0, 2 ) to compare pre- and post-school achievement with technical cooperative learning management (TGT) in combination with word card learning materials, 3 ) to study students' scientific process skills before and after classes with technical cooperative learning management (TGT) with word card learning materials, 4) to study the satisfaction of being managed with cooperative learning (TGT) in combination with word card learning materials. To develop the academic achievement and scientific process skills of 1st graders, kindergarten, by organizing cooperative learning with techniques (TGT) in combination with word card learning materials. There are 1 classroom in Narathiwat, a total of 27 students, which has been obtained purposive sampling. About the creatures around us. A test to measure academic achievement on the creatures around us. Scientific process skills test and Satisfaction assessment for cooperative learning management (TGT) in combination with word card learning materials We used a one-group pretest-posttest design trial, a statistic used to analyze the data, namely a t-test for dependent simples. The results showed that 1 ) the effectiveness of word card learning materials (E1/E2 ) was equal to 80.37/80.74, which is within the set threshold of 80/80 2) students who received cooperative learning management (TGT) in combination with word card learning materials on the creatures around us. Post-school achievement was statistically significantly higher than before learning management at a level of .05 3) Students who received technical cooperative learning (TGT) management in combination with word card learning materials, subjects, creatures around us. (He had a statistically significantly higher post-school scientific process skills average than before learning management at the .05 and 4 levels.) Students are satisfied
ค with learning management as well. Technical cooperative learning management (TGT) in combination with word card learning materials is at a very high level (x̅= 2.79, S.D. = 0.46). Keywords: Science Achievement, Scientific Process Skills, Word Card Learning Materials.
ง กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้ส าเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์ช่วยเหลืออย่างดีจาก อาจารย์โรซวรรณา เซฟโฆลาม อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยที่กรุณาให้ค าแนะน า ค าปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ผู้วิจัยตระหนักถึงความตั้งใจจริงและความทุ่มเทของอาจารย์และขอขอบคุณ เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบคุณโรงเรียนอนุบาลระแงะ จังหวัดนราธิวาส ที่ได้ให้ความร่วมมือในการวิจัยในครั้งนี้ และ ขอขอบคุณคณะครูและนักเรียนโรงเรียนอนุบาลระแงะที่ให้ความมือ ผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยฉบับบนี้จะมี ประโยชน์อยู่ไม่น้อย จึงขอมอบส่วนดีทั้งหมดที่มีให้แก่ครูทุกท่านที่ได้ให้ความรู้ท าให้ผลงานวิจัยเป็นประโยชน์ ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ขอขอบคุณ ครูไตรทิพย์ รัตนเสถียร ครูวรรดี ชินไชยชนะ ครูอมานี หะยีหะซา ครูมุสซีนีน มาซอ ครู ประจ ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ครูยามีละห์ สุกี ครูหัวหน้าฝ่ายวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิที่กรุณาให้ค า แนะ ที่มอบความรู้ตลอดจนให้ค าแนะน าและข้อคิดเห็นต่าง ๆอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการท าวิจัย อีกทั้งยัง ช่วยปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการด าเนินงานวิจัยอีกด้วย ผู้วิจัยตระหนักถึงความตั้งใจ และทุ่มเทของอาจารย์ตลอดจนผู้ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนและให้ความคิดเห็นในด้านต่าง ๆ ในการท าวิจัย ครั้งนี้ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ อารีฟา บินมือลี กันยายน 2565
จ สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ข กิตติกรรมประกาศ ง สารบัญ จ สารบัญตาราง ฉ ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3 1. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3 2. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 11 วิธีด าเนินการวิจัย 14 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 14 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 14 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 17 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 18 ผลการวิจัย 21 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 24 1. สรุปผลการวิจัย 25 2. อภิปรายผลการวิจัย 26 3. ข้อเสนอแนะ 28 บรรณานุกรม ช ภาคผนวก 29 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 30 ภาคผนวก ข รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ 72 ภาคผนวก ค คุณภาพของเครื่องมือวิจัย 74 ภาคผนวก ง ภาพแสดงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 88 ประวัติผู้วิจัย 91
ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา (E1/E2) 21 2 การเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อนและ หลังเรียนการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อ การเรียนรู้บัตรค า 22 3 การเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนและ หลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการ เรียนรู้บัตรค า 23 4 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความพึงพอใจของนักเรียนต่อ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการแบบเรียนรู้ บัตรค า 23 5 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความเหมาะสมของสื่อการเรียนรู้ แบบบัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา โดยผู้เชี่ยวชาญ 75 6 ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับสื่อการ เรียนรู้บัตรค า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 76 7 ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ของแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับสื่อการ เรียนรู้บัตรค า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 78 8 ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC และผลการพิจารณาของแบบวัดความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 79 9 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิต รอบตัวเรา (E1/E2) 80 10 ค่าความยากง่าย (P) และค่าอ านาจจ าแนก (r) การแปลผล และผลการ พิจารณาของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 82 11 ค่าความยากง่าย (P) และค่าอ านาจจ าแนก (r) การแปลผล และผลการ พิจารณาของแบบทดสอบ วัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 83
ช สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 12 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 84 13 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อน เรียนและหลังเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 86
1 1.ที่มาและความส าคัญของปัญหา วิทยาศาสตร์มีบทบาทส าคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์ เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตประจ าวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีในการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้เพื่ออ านวยความสะดวกในชีวิตและการท างานเหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะส าคัญในการค้นคว้า มี ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์ พยานที่ตรวจสอบได้ (ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2551) ทุกคนจ าเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้ มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถน าความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผลสร้างสรรค์และมีคุณธรรม จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริงฝึกการปฏิบัติให้ท าได้ คิดเป็นท าเป็น (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552) จากสภาพปัจจุบันระบบการเรียนการสอนยังคงมีปัญหา เรื่องที่ไม่อาจน าเอาความฉลาด สติปัญญาของนักเรียนมาใช้ในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์การเรียนการสอนส่วนใหญ่มักมีการโน้มเอียง ไปทางบีบบังคับให้คล้อยตามหรือเลียนแบบความรู้เดิมมากกว่าเรียนตามกรรมวิธีของการสร้างสรรค์ ความรู้ไม่ค่อยได้รับการฝึกฝนให้เป็นคนช่างคิด จากการประเมินคุณภาพทางการศึกษาของกรมวิชาการ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,2551,ออนไลน์) พบว่าคะแนนจากการทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนต่ าโดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์และความสามารถในการแก้ไขปัญหาวิทยาศาสตร์การจัดการ เรียนการสอนจ าเป็นต้องยึดหลักว่านักเรียนทุกคนมีความส าคัญ เป็นกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนที่มุ่งเน้นนักเรียนให้เกิดความรู้ โดยได้จากการคิด การค้นคว้า การทดลองตามความสามารถของ นักเรียนและสามารถสรุปองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจะต้องสอน ตามความต้องการของนักเรียน (สุจินต์ ใจกระจ่าง, 2553) ผู้วิจัยมีความเข้าใจในปัญหาการเรียนการสอนของรายวิชาวิทยาศาสตร์ และได้ตระหนักถึง การแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT จึงได้ศึกษาแนวคิดในการจัดกิกรรมการเรียนรู้ซึ่งมี นักจิตวิทยาในกลุ่มปัญญานิยมเจ้าของทฤษฎีพัฒนาการทางปัญญา (Cognitive Development Theory) คือ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น เพราะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในสภาพปัจจุบัน ปัญหาและ ความส าคัญที่กล่าวข้างตน ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะน าวิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้รูปแบบ กลุ่มตามผลสัมฤทธิ์และรูปแบบกลุ่มเกมแข่งขัน เรียนรู้และท างานร่วมกันเป็นกลุ่ม โดยมีจุดหมายเดียวกัน คือ ช่วยกันภายในกลุ่ม ผู้ที่เรียนเก่งช่วยเหลือผู้ที่เรียนอ่อนกว่า และต้องยอมรับซึ่งกันและกันเสมอ ความส าเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคนในกลุ่ม การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ไม่ เหมือนกับการแข่งขันทางการเรียนแบบอื่น ที่มักเน้นแต่นักเรียนที่แก่งเท่านั้น แต่ในวิธีการจัดการเรียนรู้
2 แบบร่วมมือเทคนิค TGT นั้น จะมีทั้งนักเรียนที่เก่ง และไม่เก่งที่ร่วมทีม ต่างต้องแข่งขันและได้รับค า ชมเชยในผลส าเร็จเท่าเทียมกัน สื่อการสอนแบบบัตรค า (Flashcards) บัตรค า (Flashcards) คือ ชุดบัตรที่มีข้อมูลเป็นค า หรือ ตัวเลขด้านเดียวหรือทั้งสองด้าน ซึ่งใช้ในการฝึกในห้องเรียนหรือการศึกษาด้วยตัวเอง ครูสามารถ แสดง ค าถามและค าตอบบนบัตรได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาทักษะค าศัพท์ของผู้เรียน (Hussain et al., 2016) นอกจากนี้บัตรค าเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้สอนและผู้เรียน และจากงานวิจัยที่ผ่านมาหลายชิ้น ให้ผล การศึกษาตรงกันคือบัตรค ามีประสิทธิผลช่วยให้ผู้เรียนจ าค าศัพท์ได้และสามารถกระตุ้นความสนใจ ของ ผู้เรียนได้มากกว่ารายการค าศัพท์(Mohammadnejad et al., 2012; Sitompul, 2013) จากความส าคัญดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะน ากิจกรรมการเรียนรู้แบบแบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค าซึ่งเป็นเทคนิคที่ส าคัญ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีมีอิสระ ในการคิด การค้นคว้าหาความรู้ ส่งผลต่อการเรียนรู้และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนน ามา จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์วิชา วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สิ่งมีชีวิต รอบตัวเรา โรงเรียนอนุบาลระแงะ 2.วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า 3. เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการ เรียนรู้บัตรค า 3. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ได้แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2. นักเรียนได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ท าให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้น สนใจในสิ่งรอบตัว และสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง 3. เป็นแนวทางส าหรับครูในการน าแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบร่วมมือด้วย เทคนิค (TGT) ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาของ นักเรียน
3 4. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ 4.1 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 4.1.1. การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค (Teams–Games–Tournament: TGT) 1) ความหมายของเทคนิค TGT ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553, หน้า 208) กล่าวถึงการเรียนแบบทีมแข่งขัน (Team Games Tournament: TGT) ว่าเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียน ได้รวมกลุ่ม เพื่อท างานร่วมกันและ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สมาชิกในแต่ละทีมจะประกอบด้วย สมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกน คือ ความสามารถสูง ปานกลาง และต่ ามารวมกลุ่มกันในอัตราส่วน 1: 2: 1 ซึ่งสมาชิกของทีมจะได้แข่งขันกันในเกม เชิงวิชาการโดยความส าเร็จ ของทีมจะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคลเป็นส าคัญ Slavin (อ้างใน วิรัตน์ ทองตาล่วง, 2545, หน้า 13-14) ได้กล่าวถึงกิจกรรมการเรียน แบบ กลุ่มแข่งขันว่า เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Slavin และคณะเป็นการเรียนที่เน้น ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในเนื้อหาหลังจากที่เรียนจบแต่ละ บท โดยในการเรียนจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แต่ละกลุ่มจะมีผู้เรียนที่มีความสามารถ แตกต่างกัน การจัดกลุ่มอาจจะดูจากผลการเรียน โดยเน้นให้สมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกันได้ช่วยกันใน การเรียน ครูผู้สอนเป็นผู้เลือกวิธีสอนตามความเหมาะสมของเนื้อหา หลังจากจบบทเรียนแต่ละกลุ่มจะได้รับ บัตร งานหรือแบบฝึกเพื่อน าไปศึกษาร่วมกันมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซักถามเพื่อความเข้าใจ ผู้ที่มี ความรู้ความเข้าใจดีแล้ว จะช่วยอธิบายเนื้อหาให้สมาชิกในกลุ่ม และมีการแข่งขันตอบ ค าถามในแต่ละเนื้อหา ศึกษาโดยส่งตัวแทนกลุ่มที่ไม่ซ้ ากันเข้าท าการแข่งขัน คะแนนที่ได้จากการแข่งขันจะน ามารวมเป็นคะแนนของ กลุ่ม มีการประกาศคะแนน ถ้ากลุ่มใดได้คะแนน เฉลี่ยถึงเกณฑ์ จะมีรางวัลให้ ดังนั้นทุกคนในกลุ่มต้องร่วมมือ ช่วยเหลือกันในการเรียนและ รับผิดชอบต่องานกลุ่มร่วมกัน มุ่งเน้นผลประโยชน์และความส าเร็จของกลุ่ม สิ่งที่ ทุกคน ต้องค านึงถึงมี 3 ประการคือ 1. ความส าเร็จของกลุ่มและรางวัลที่จะได้รับเมื่อกลุ่มท าคะแนนเฉลี่ยได้ถึงเกณฑ์ที่ก าหนด 2. ความรับผิดชอบรายบุคคล หมายถึง สมาชิกทุกคนต้องเข้าใจเนื้อหาเป็นอย่างดี สมาชิกที่เข้าใจดี ต้องอธิบายให้ทุกคนในกลุ่มเข้าใจด้วย เพราะเมื่อมีการแข่งขันสมาชิกต้องท า ด้วยตนเองไม่มีการช่วยเหลือกัน แต่คะแนนที่ได้จะน ามารวมแล้วเฉลี่ยเป็นคะแนนกลุ่ม ถ้าสมาชิกแต่ละคนท าคะแนนได้ดีคะแนนกลุ่มก็จะสูง แต่ถ้าสมาชิกคนใดคนหนึ่งท าคะแนน ได้น้อยเมื่อน ามาเฉลี่ยแล้วคะแนนของกลุ่มก็จะลดลงด้วย 3. โอกาสความจ าเป็นที่เท่าเทียมกัน หมายถึงสมาชิกทุกคนในกลุ่มมีโอกาสที่จะท าดีที่สุด และประสบ ผลส าเร็จเท่าเทียมกัน เพราะแต่ละคนจะมีโอกาสได้เป็นตัวแทนของกลุ่ม ในการเข้าแข่งขันตอบค าถาม จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า เทคนิคกลุ่มแข่งขัน หมายถึงกิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่ง ของการเรียนแบบร่วมมือ โดยการเรียนจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยสมาชิกที่ มีความสามารถแตกต่างกัน ค่อยช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการเรียนรู้ เมื่อเรียนจบในแต่ละเรื่องหรือแต่ละ บทเรียน สมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องแข่งขัน ตอบค าถามกับสมาชิกกลุ่มอื่นที่มีความสามารถระดับเดียวกัน คะแนนที่ได้จากการแข่งขัน แต่ละคนจะน ามารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม
4 2) องค์ประกอบของเทคนิคกลุ่มแข่งขัน Slavin (อ้างใน วิรัตน์ ทองตาล่วง, 2545, หน้า 14-17) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิคเกมแข่งขัน หรือ ทีจีที ว่ามีองค์ประกอบส าคัญ 5 ประการสรุปได้ ดังนี้ 1. การสอนในชั้นเรียน (Class Presentation) นักเรียนจะได้รับเนื้อหา ซึ่งครูเป็นผู้สอนส่วนใหญ่จะ เป็นการบรรยาย อภิปราย หรืออาจจะมีการใช้สื่อการเรียนรู้อื่น ๆ ประกอบด้วยก็ได้ ครูต้องเน้นให้นักเรียน ทราบว่า นักเรียนต้องให้ความสนใจในเนื้อหาสาระ ที่ครูสอนอย่างจริงจัง เพราะจะช่วยให้ทีมประสบ ความส าเร็จในการแข่งขัน 2. การจัดทีม (Team) แต่ละทีมหรือแต่ละกลุ่มประกอบด้วยนักเรียน 4-5 คน สมาชิกในกลุ่มมีความ แตกต่างกันในเรื่องความส าเร็จในการเรียน และเพศ หน้าที่ส าคัญของกลุ่มคือ เตรียมตัวสมาชิกให้พร้อมเพื่อ การเล่นเกมและการแข่งขันหลังจากการเรียน การสอนในชั้นเรียนสิ้นสุดลง แต่ละกลุ่มต้องช่วยกันท า แบบฝึกหัด เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแกไขข้อผิดพลาดของสมาชิกในกลุ่ม จุดเน้นในกลุ่มคือท าให้ดี ที่สุด เพื่อชัยชนะของทีม และช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมให้มากที่สุด 3. เกม (Games) ในการเล่นเกมนักเรียนจะได้ตอบค าถามเกี่ยวกับเนื้อหาสาระที่ได้ศึกษาไปแล้วจาก ชั้นเรียน และจากการท าแบบฝึกหัดกับเพื่อนในกลุ่ม ในการเล่นเกมนักเรียน แต่ละคนในกลุ่มต้องออกมา แข่งขันตอบค าถามที่โต๊ะแข่งขันกับสมาชิกกลุ่มอื่น ค าถามที่ถาม จะเขียนหมายเลขค าถามไว้ นักเรียนต้องหยิบ บัตรหมายเลขและพยายามตอบค าถามตาม หมายเลขที่จับได้ การเล่นเกมของแต่ละโต๊ะจะอนุญาตให้ผู้เล่นท้า ทายคนอื่นในการตอบค าถาม ถ้าเห็นวาคนที่ตอบค าถามนั้นให้ค าตอบที่ไม่ถูกต้อง 4. การแข่งขัน (Tournament) การแข่งขันจะจัดขึ้นปลายสัปดาห์หรือหลังจากที่ครูได้สอนเนื้อหาจบ แล้ว และแต่ละกลุ่มได้ฝึกตอบค าถามจากแบบฝึกหัด ซึ่งจะเป็นค าถาม เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนมาแล้ว การ แข่งขันท าโดยนักเรียนที่มีความสามารถระดับเดียวกันจะแข่งขันกัน ในเกมการแข่งขันจะจัดโต๊ะแข่งขันตาม ระดับความสามารถของผู้แข่งขัน เช่น โต๊ะที่ 1 เป็นโต๊ะแข่งขันที่มีสมาชิกมีความสามารถสูง (เรียนเก่ง) โต๊ะที่ 2-3 เป็นโต๊ะแข่งขัน ที่มีสมาชิกมีความสามารถรองลงมา (เรียนปานกลาง) และโต๊ะที่ 4 เป็นโต๊ะแข่งขันที่มี สมาชิก มีความสามารถต่ า (เรียนอ่อน) ดังภาพ 1 กลุ่ม ก ก-1 เก่ง ก-2 ปานกลาง ก-3 ปานกลาง ก-4 อ่อน โต๊ะ 1 โต๊ะ 2 โต๊ะ 3 โต๊ะ 4 ข – 1 เก่ง ข –2 ปานกลาง ข – 3 ปานกลาง ข – 4 อ่อน ค – 1 ค – 2 ค – 3 ค -4 เก่ง ปานกลาง ปานกลาง อ่อน
5 กลุ่ม ข กลุ่ม ค ภาพ 1 แสดงการจัดนักเรียนประจ าโต๊ะแข่งขัน นักเรียนจะต้องเปลี่ยนโต๊ะแข่งขันในการแข่งขันครั้งต่อไป โดยดูจากผลการแข่งขัน ผู้ชนะแต่ละโต๊ะ แข่งขันจะต้องเลื่อนไปแข่งขันโต๊ะที่มีอันดับสูงกว่า ส่วนผู้ที่ได้คะแนนต่ าสุด จะเลื่อนลงไปแข่งขันโต๊ะที่อยู่ใน ระดับต่ ากว่าเดิม ยกเว้นผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดของโต๊ะที่ 1 และผู้ที่ได้คะแนนต่ าสุดของโต๊ะที่ 4 ส าหรับผู้ที่ได้ คะแนนรองยังแข่งขันอยู่โต๊ะเดิม จะเห็นว่าแม้ในครั้งแรกนักเรียนอาจจะไม่ได้แข่งขันที่โต๊ะเหมาะส มกับ ความสามารถก็ตาม แต่ในที่สุดจะได้เลื่อนไปยังโต๊ะที่เหมาะสมกับตน ดังภาพ 2 ภาพ 2 แสดงการเลื่อนโต๊ะแข่งขัน 5. การตระหนักถึงความส าเร็จของกลุ่ม (Teams Recognition) การที่กลุ่มจะได้รับ รางวัลหรือใบ ประกาศนียบัตรก็ต่อเมื่อกลุ่มได้คะแนนเฉลี่ยสูงถึงเกณฑ์ที่ก าหนด สรุปได้ว่า การเรียนโดยใช้เทคนิคกลุ่มแข่งขันหรือทีมแข่งขันประกอบด้วย องค์ประกอบส าคัญ 5 ประการคือ การสอนในชั้นเรียน การจัดกลุ่มนักเรียนหรือการจัดทีมเกมส าหรับแข่งขัน การแข่งขันเกม และ การตระหนักถึงความส าเร็จของกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่ม จะมีสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกนคือ เก่ง ปาน กลาง และอ่อน 3) ขั้นตอนของเทคนิคกลุ่มแข่งขัน ทิศนา แขมมณี (2552, หน้า 68-69) ได้อธิบายขั้นตอนกระบวนการเรียนการสอน ของ รูปแบบ ที.จี.ที. (TGT) ไว้ว่า “TGT” ย่อมาจาก “Team Games Tournament” ซึ่งมีการด าเนินการ ดังนี้ 1. จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่งกลางอ่อน) กลุ่มละ 4 คนและนักเรียน กลุ่มนี้วากลุ่ม บ้าน ของเรา (Home Group) 2. กลุ่มบ้านของเราได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาร่วมกัน 3. สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราแยกย้ายกนเป็นตัวแทนกลุ่มไปแข่งขันกับกลุ่มอื่น โดยจัดกลุ่มแข่งขัน ตามความสามารถ คือคนเก่งในกลุ่มบ้านเราแต่ละกลุ่มไปรวมกัน และ คนอ่อนไปรวมกับคนอ่อนของกลุ่ม กลุ่ม ใหม่ที่รวมกันนี้เรียกว่ากลุ่มแข่งขัน ก าหนดให้มีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน 4. สมาชิกในกลุ่มแข่งขัน เริ่มแข่งขันกันดังนี้ 4.1 แข่งขันกันตอบค าถาม 10 ค าถาม สูง รอง รอง ต่ า โต๊ะที่ 1 โต๊ะที่ 2 โต๊ะที่ 3 โต๊ะที่ 4
6 4.2 สมาชิกคนแรกจับค าถามขึ้นมา 1 ค าถาม และอ่านค าถามให้กลุ่มฟัง 4.3 ให้สมาชิกคนที่อยู่ซ้ายมือของผู้อ่านค าถามคนแรกตอบค าถามก่อนต่อไป จึงให้คนถัดไป ตอบจนครบ 4.4 ผู้อ่านค าถาม เปิดค าตอบ แล้วอ่านเฉลยค าตอบที่ถูกให้กลุ่มฟัง 4.5 ให้คะแนนค าตอบ ดังนี้ ผู้ตอบถูกเป็นคนแรกได้2 คะแนน ผู้ตอบถูกคนต่อไปได้ 1 คะแนน ผู้ตอบผิดได้0 คะแนน 4.6 ต่อไปสมาชิกกลุ่มที่สองจับค าถามที่ 2 และเริ่มเล่นตามขั้นตอนไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งค าถาม หมด 4.7 ทุกคนรวมคะแนนของตนเอง ผู้ได้คะแนนสูงสุด 1 ได้โบนัส 10 คะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุด 2 ได้โบนัส 8 คะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุด 3 ได้โบนัส 5 คะแนน ผู้ได้คะแนนสูงสุด 4 ได้โบนัส 4 คะแนน 5. เมื่อแข่งขันเสร็จแล้ว สมาชิกกลุ่มกลับไปกลุ่มบ้านของเราแล้วน าคะแนนที่ แต่ละคนได้รวมเป็น คะแนนของกลุ่ม การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มแข่งขัน มีขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1.ขั้นเตรียมเนื้อหา ประกอบด้วย 1.1 การจัดเตรียมเนื้อหาสาระ ผู้สอนจัดเตรียมเนื้อหาสาระหรือเรื่องที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ 1.2 การจัดเตรียมเกม ผู้สอนจะต้องจัดเตรียมค าถามง่าย ๆ ซึ่งเป็นค าถามจาก เนื้อหาสาระที่ ผู้เรียนเรียนรู้ วิธีการให้คะแนนโบนัสในการเล่นเกม รวมทั้งสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้ เช่น ใบงาน ใบความรู้ ชุด ค าถาม กระดาษค าตอบ กระดาษบันทึกคะแนน เป็นต้น 2. ขั้นจัดทีม ผู้สอนจัดทีมผู้เรียนโดยให้คละกันทั้งเพศ และความสามารถทีมละ ประมาณ 4 – 5 คน เช่น ทีมที่มีสมาชิก 4 คน อาจประกอบด้วยชาย 2 คน หญิง 2 คน เป็นคนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน เป็นต้น เพื่อเรียนรู้โดยการปฏิบัติกิจกรรม ตามค าสั่งหรือใบงานที่ก าหนดไว้ 3. ขั้นการเรียนรู้ 3.1 ผู้สอนแนะน าวิธีการเรียนรู้ 3.2 ทีมวางแผนการเรียนรู้และการแข่งขัน 3.3 สมาชิกในแต่ละทีมร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมตามค าสั่งหรือใบงาน 3.4 กลุ่มหรือทีมเตรียมความพร้อมให้กับสมาชิกในกลุ่มทุกคน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจใน บทเรียนและพร้อมที่จะเข้าสู้สนามแข่ง
7 3.5 แต่ละทีมท าการประเมินความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของสมาชิกในทีม โดยอาจตั้งค าถาม ขึ้นมาเองโดยให้สมาชิกของทีมทดลองตอบค าถาม 3.6 สมาชิกของทีมช่วยกันอธิบายเพิ่มเติมในประเด็นที่บางคนยังไม่เข้าใจ 4. ขั้นการแข่งขัน ผู้สอนจัดการแข่งขัน ประกอบด้วย 4.1 ผู้สอนแนะน าการแข่งขันให้ผู้เรียนทราบ 4.2 จัดผู้เรียนหรือสมาชิกตัวแทนของแต่ละทีมเข้าประจ าโต๊ะแข่งขัน 4.3 ผู้สอนแนะน าเกี่ยวกับเกม โดยอธิบายจุดประสงค์และกติกาของการเล่นเกม 4.4 สมาชิกหรือผู้เรียนทุกคนเริ่มเล่นเกมพร้อมกัน ด้วยชุดค าถามที่เหมือนกัน ผู้สอนเดินตาม โต๊ะการแข่งขันต่าง ๆ เพื่อตอบปัญหาข้อสงสัย 4.5 เมื่อการแข่งขันจบลงให้แต่ละโต๊ะตรวจคะแนน จัดล าดับผลการแข่งขัน และให้หาค่า คะแนนโบนัส 4.6 ผู้เข้าร่วมการแข่งขันกลับเข้าทีมเดิมของตัวเอง พร้อมด้วยคะแนนโบนัสของตนเอง 4.7 ทีมน าคะแนนโบนัสของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนรวมของทีม อาจจะหาค่าเฉลี่ย หรือไม่ก็ได้ ทีมที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมชนะเลิศ และรองชนะเลิศตามล าดับ 5. ขั้นยอมรับความส าเร็จของทีม ผู้สอนประกาศผลการแข่งขันและเผยแพร่สู่ สาธารณชนด้วยวิธีการ ต่าง ๆ เช่น ปิดประกาศที่บอร์ด ลงข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จดหมาย ข่าว ประกาศหน้าเสาธง เป็นต้น รวมทั้ง การมอบรางวัล ยกย่อง ชมเชย สรุปว่า การเรียนด้วยเทคนิค TGT เป็นการเรียนที่เปิดโอกาส ให้นักเรียนท างานร่วมกันเป็นกลุ่มย่อย โดยคละความสามารถและเพศ กิจกรรมการเรียนส่วนมากจะให้นักเรียนเป็นผู้ปฏิบัติค้นคว้าด้วยตนเองและเร้า ความสนใจด้วยเกมการแข่งขัน เพื่อให้ทุกคนในกลุ่มได้ร่วมมือกันท างานที่ได้รับมอบหมาย มีการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ และความคิดเห็นซึ่งกันและกัน รวมทั้งการเรียนรู้สภาพอารมณ์ การปรับตัว การมีปฏิสัมพันธ์ที่ ดีต่อกัน และการช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนให้ดีขึ้น ลดความตึงเครียด เกิดความสนุกสนานและมี ความภูมิใจในตนเองเพราะทุกคนช่วยกันเรียนช่วยกันท างาน ให้บรรลุเป้าหมาย ผู้เรียนมีโอกาสประสบ ความส าเร็จเท่าเทียมกันท าให้เกิดความมั่นใจในตนเอง และเป็นแนวทางในการน าไปใช้ให้เกิดประโยชน์ใน ชีวิตประจ าวัน 4.1.2 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1) ความหมายของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้มีผู้ให้ความหมายของทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไว้ ดังนี้ นิภา ตรีแจ่มจันทร์ (2562) ได้กล่าวว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง พฤติกรรมที่เกิดจากการคิดการปฏิบัติ การศึกษา ค้นคว้าทดลอง และการฝึกฝนในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล โดยการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ให้ได้มาซึ่งความรู้ วษุนี วรรณลือชา (2558) กล่าวว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง กระบวนการทางสติปัญญา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่างมีระบบ โดยใช้
8 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ทักษะการสังเกต การวัด การ จ าแนกประเภท ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา การจัดกระท า และสื่อความหมาย ข้อมูลการลงความเห็นจากข้อมูล การพยากรณ์ การตั้งสมมติฐาน การก าหนด นิยามเชิงปฏิบัติการ การก าหนด และควบคุมตัวแปร การทดลอง และการตีความหมายข้อมูลและ การลงข้อสรุป สามารถน าไปใช้ในการ แก้ปัญหาในชีวิตประจ าวันได้ทุกโอกาส สรุปได้ว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการคิดและการใช้สติปัญญา ในการค้นคว้าหา ความรู้และแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่าง สม่ าเสมอ โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการ คิดอย่างง่าย เช่น การสังเกต การวัด การจ าแนกประเภท เป็นต้น หรือการคิดที่มีกระบวนการซับซ้อน เช่น การตั้งสมมติฐาน การก าหนดและควบคุมตัวแปร และการทดลอง เป็นต้น ซึ่งสามารถน าไปใช้ใน การแก้ปัญหา ในชีวิตประจ าวันได้ทุกโอกาส 2) ประเภทของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ นักวิชาการและสถาบันทางการศึกษาได้จ าแนกประเภทของทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ไว้ ดังนี้ นิตยา ไพรสันต์ (2555) กล่าวว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 13 กระบวนการ สามารถ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. ทักษะพื้นฐาน 8 กระบวนการ ได้แก่ ทักษะการสังเกต ทักษะการวัด ทักษะ การค านวณ ทักษะการ จ าแนกประเภท ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา ทักษะการลงความเห็น จากข้อมูล ทักษะการจัดกระท าและสื่อความหมายข้อมูล และทักษะการพยากรณ์ 2. ทักษะขั้นผสมผสาน 5 กระบวนการ ได้แก่ ทักษะการตั้งสมมติฐาน ทักษะการก าหนดนิยามเชิง ปฏิบัติการ ทักษะการก าหนดและควบคุมตัวแปร ทักษะการทดลอง และทักษะ การตีความหมายข้อมูลและลง ข้อสรุป สม าคม อเม ริ กัน เพื่ อ ค วา ม ก้ า ว หน้ า ท าง วิท ย า ศ า ส ต ร์ ( American Association for the Advancement of Science-AAAS) ได้ ก าหนดทักษะทางวิทยาศาสตร์ไว้ 13 ทักษะ ประกอบด้วยทักษะขั้น พื้นฐาน (Basic science process skills) 8 ทักษะ และทักษะขั้นผสมหรือบูรณาการ (Integrated science process skill) 5 ทักษะ ดังนี้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน (Basic science process skills) 1 ทักษะการสังเกต (Observing) 2 ทักษะการวัด (Measuring) 3 ทักษะการค านวณหรือการใช้ตัวเลข (Using number) 4 ทักษะการจ าแนกประเภท (Classifying) 5 ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (Space/space relationship and space/time relationship)
9 6 ทักษะการจัดกระท าและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing data and communication) 7 ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล (Inferring) 8 ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) ทักษะขั้นผสมหรือบูรณาการ (Integrated science process skill) 9 ทักษะการตั้งสมมติฐาน (Formulating hypotheses) 10 ทักษะการก าหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining operationally) 11 ทักษะการก าหนดและควบคุมตัวแปร (Identifying and controlling variable) 12 ทักษะการทดลอง (Experimenting) 13 ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (Interpreting data and conclusion) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการน ามาใช้แสวงหา ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์และวิชาอื่น ๆ ตลอดจนการน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ปลูกฝังให้เกิดกับ นักเรียนทุกคน ส าหรับการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยต้องการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ผู้วิจัยจึงได้มีการ วิเคราะห์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้มีความสอดคล้อง กับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ในหน่วยที่ 2 เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา จากการวิเคราะห์ผู้วิจัยได้เลือกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จ านวน 2 ทักษะ ได้แก่ 1 ทักษะการสังเกต 2 ทักษะการจ าแนกประเภท ซึ่งในการประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ทักษะ จะใช้เป็นแบบทดสอบวัด ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา 4.1.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1) ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดความรู้ ทักษะหรือวัดความสามารถของ ผู้เรียนตามจุดมุ่งหมายและเนื้อหาของรายวิชาต่าง ๆ เช่น ภาษาไทย สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ สิริรัชต์ แก้วงาม (2561) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ความส าเร็จใน ด้านความรู้ ทักษะและสมรรถภาพด้านต่าง ๆของนักเรียน ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ของผู้เรียน สุทัศน์ รุ่งระวิวรรณ และคณะ (2559) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิด จากกระบวนการเรียนการสอนที่จะท าให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และ สามารถวัดได้โดยการ แสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ ทางด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับ ความรู้ ความสามารถ และทักษะต่าง ๆ ที่ ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ รวมถึงผลที่ เกิดจากการฝึกฝนของนักเรียน จนสามารถ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและพัฒนาตนให้ดีขึ้น โดยอาศัย เครื่องมือในการวัดผลหลังจากการเรียนหรือการฝึกฝน
10 เหล่านั้นแล้ว ซึ่งสามารถวัดได้จากพฤติกรรม 3 ด้าน ตามวัตถุประสงค์ของ Bloom คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิต พิสัย และด้านทักษะพิสัย ดังนั้นสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ในงานวิจัยนี้ หมายถึง ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา เป็นผลที่ได้จากการท าแบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวเรา สิ่งมีชีวิตที่อาศัย รอบตัวเรา บริเวณต่างๆในท้องถิ่นที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ความเหมาะสมต่อการด ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต และ สภาพแวดล้อมในบริเวณพืชและสัตว์อาศัยอยู่ หลังจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือด้วย เทคนิค (TGT) ซึ่งวัดได้จากพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยของบลูม ได้แก่ ความจ า ความ เข้าใจ และการ น าไปใช้ 4.1.4 ความพึงพอใจ 1) ความหมายของความพึงพอใจ จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับความพึงพอใจ มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมาย ของความพึงพอใจไว้ ดังนี้ คมสัน อินทเสน (2560) สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่ ได้รับการ ตอบสนองจากการปฏิบัติงานและได้รับผลตอบแทนจนท าให้เกิดความสุข ท าให้บุคคลเกิด ความรู้สึก กระตือรือร้น มีความมุ่งมั่นที่จะท างาน เกิดขวัญและก าลังใจ ส่งผลให้งานมีประสิทธิภาพ และประสบ ความส าเร็จ สมหมาย กลางหิน (2553) สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง แรงจูงใจและ ความรู้สึกเป็น สุขที่เกิดจากการปรับตัวของบุคคล จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลได้รับสิ่งที่ต้องการ สรุปได้ว่า ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ หมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคดีใน แง่ดีที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้าน เนื้อหา ด้านสื่อการเรียนรู้ และด้าน การวัดและการประเมินผล ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังผู้เรียนได้รับ การจัดการเรียนรู้ 2) ประเภทของความพึงพอใจ การวัดความพึงพอใจสามารถวัดได้หลายวิธี ดังนี้ ตามอมรลักษณ์ ปรีซาหาญ (อ้างถึงในนัสริ นทร์ บีอซา, 2558) 1. การสังเกต เป็นการวัดความพึงพอใจ โดยผู้สอบถามจะสังเกตพฤติกรรมของ บุคคล เป้าหมายไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางการพูด การแสดงออกทางกิริยาท่าทาง วิธีนี้ผู้สอบถาม ต้องอาศัยการ กระท าอย่างจริงจัง และการสังเกตอย่างมีระเบียบแบบแผน 2. การสัมภาษณ์ เป็นการวัดความพึงพอใจซึ่งต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการที่ดี ซึ่ง จะส่งผลให้ ผู้สอบถามได้รับข้อมูลที่เป็นจริงได้ 3. การใช้แบบสอบถาม เป็นการวัดความพึงพอใจโดยผู้สอบถามจะต้องออกแบบ สอบถาม เพื่อต้องการทราบความคิดเห็นจากบุคคลเป้าหมาย ซึ่งสามารถท าได้โดยรูปแบบได้แก่ ลักษณะที่ก าหนด
11 ค าตอบให้เลือก หรือตอบค าถามอิสระ โดยค าถามตังกล่าวอาจเป็นค าถาม ความพึงพอใจในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมงาน การบริการ และเงื่อนไขต่าง ๆ เป็นต้น สรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจนั้นผู้วัดสามารถเลือกวิธีการวัดได้ในรูปแบบใดก็ได้ตาม ความสามารถและความสะดวกของผู้วัด เพราะสิ่งส าคัญและสิ่งที่ผู้วัดต้องการนั้นคือความพึงพอใจที่แท้จริง ของบุคคลเป้าหมายที่ต้องการวัด ซึ่งมีเกณฑ์การเทียบระดับความพึงพอใจ ดังนี้ 4.51 - 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 3.51 - 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 2.51 - 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย 1.00 - 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อยที่สุด 4.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากการที่ผู้วิจัยได้มีการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีนักวิชาการ นักวิจัย และผู้สนใจ ศึกษาวิจัย เกี่ยวกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา โดยใช้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) มีดังนี้ สุนทรี ถาดครบุรี (2556) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ภาษาจรรโลงใจ และ พฤติกรรมการท างานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และพฤติกรรมการท างาน กลุ่มของนักเรียน มีความหน้าในทุกด้าน โดยด้านการแสดงความคิดเห็น ในการท างานกลุ่มมีความก้าวหน้า สูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการให้ความช่วยเหลือเพื่อน ด้านการ สร้างบรรยากาศในการท างานกลุ่ม และด้าน การรับผิดชอบงานของกลุ่ม ตามล าดับ วิทย์ สุวรรณชาติ (2559) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT กับการ จัดการเรียนรู้แบบปกติมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดินในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT กับการ จัดการเรียนรู้แบบปกติ และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2557 โรงเรียนวัดคลองชัน ต าบลลาดสวาย อ าเภอ ล าลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยการสุ่มอย่างง่าย จ านวน 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 34 คน แล้วจับฉลากให้ห้องที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุม ห้องที่ 2 เป็นกลุ่มทดลอง เครื่องมือที่ ใช้วิจัย คือ (1) แผนการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT และแผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างละ 9 แผน (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดินในท้องถิ่น (3) แบบวัดความพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่าที แบบ Independent Sample ผลการวิจัยพบว่า (1) นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปี ที่ 4 กลุ่มที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT มีคะแนน เฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชา
12 วิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียน กลุ่มที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (2) นักเรียนกลุ่มที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค TGT มีความพึงพอใจต่อการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ในภาพรวมอยู่ ในระดับมาก รัตนา บุตรอุดม. (2559) ได้ท าการวิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้ ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ภาษาถิ่นในชีวิตประจ าวัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนและแบบสังเกตพฤติกรรมการท างานกลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบแบบ t-test (Dependent Sample) ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงภาษาไทยของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ภาษาถิ่นในชีวิตประจ าวัน หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้ชุดฝึก ทักษะการอ่านและเขียน ภาษาไทยสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเขียนภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ภาษาถิ่นในชีวิตประจ าวัน หลังการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทยส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ภาษาถิ่นในชีวิตประจ าวันสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ภาษาถิ่นในชีวิตประจ าวันหลังการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย มีพฤติกรรมการท างานกลุ่มอยู่ในระดับสูงมาก พัชรีภรณ์ มณีเล็ก (2561) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนวัดดอนยอ ที่ เรียนด้วยกิจกรรมการใช้บัตรภาพ เรื่อง การจัดจ าแนกความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งมีชีวิต มีการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ตามผลการวิเคราะห์ค่าคะแนนด้วยค่าร้อยละ ปรากฏว่ามีผล การพัฒนาการร้อยละ 38.18 ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงอาจกล่าวได้ว่า กิจกรรมการใช้บัตรภาพ เรื่อง การจัด จ าแนกความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งมีชีวิต เป็นนวัตกรรมที่มีคุณค่าในการพัฒนาการเรียนรู พนิดา นิรมาณ และจุไรรัตน์ ลักษณะศิริ(2561) ได้เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ค ายืม ภาษาต่างประเทศในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถัมภ์ฯ ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT และวิธีสอนแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่อง ค ายืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่จัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการสอนด้วยวิธีการสอนแบบปกติอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ค ายืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ค ายืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ ได้รับ การสอนด้วยวิธีการสอนแบบปกติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อริยาภรณ์ ขุนปักษี. (2561) ได้ท าการวิจัยเชิงทดลองการพัฒนาชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้ เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 โดย มีเครื่องมือในการวิจัยทั้งหมด 4 อย่าง ได้แก่1) ชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 3 เรื่อง วัสดุและสาร
13 จ านวน 6 ชุด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมกลุ่มส าหรับ การเรียนรู้แบบร่วมมือ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ โดย ใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ สามารถส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 มี ประสิทธิภาพ 80/80 2) นักเรียนมีการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์และเทคนิค การเรียนรู้แบบร่วมมือของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 และร้อยละ 89 ของ คะแนนเต็ม และนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่า การใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = -9.88, Sig = .000) 3) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดกิจกรรม และการ เรียน แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD และเทคนิค TGT มีคะแนนหลังเรียนสูงกวาคะแนนก่อนเรียนอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เฉลิม เพิ่มนาม และสมพร ร่วมสุข. (2562) ได้ท าการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเขียนสะกดค า และทักษะทางสังคม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึก ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การเขียนสะกดค าของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกอยู่ในระดับมาก3) ความคิดเห็นของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึก ในภาพรวมอยู่ใน ระดับเห็นด้วยมาก ณฐพล อยู่เป็นสุข (2562) ได้ศึกษาการพัฒนาและวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT (Team Game Tournaments) ในรายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 113 คน โดยได้จาก การสุ่มแบบ เจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการ สอนแบบกลุ่ม ร่วมมือเทคนิค TGT (Team Game Tournaments) ในรายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นปรนัย รวมทั้งสิ้น 30 ข้อ ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการ สอนโดยใช้วิธีการ สอนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT (Team Game Tournaments) ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าคะแนน พัฒนาการของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และค่าความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ย 2 กลุ่ม ที่มีความสัมพันธ์กัน (T-test Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกลุ่ม ร่วมมือเทคนิค TGT (Team Game Tournaments) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และ มีค่าคะแนนพัฒนาการของนักเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 10 คะแนน
14 5. วิธีด าเนินการวิจัย 5.1ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 ห้อง จ านวน 83 คน โรงเรียนอนุบาลระแงะ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 ปีการศึกษา 2565 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/2 จ านวน 28 คน โรงเรียนอนุบาลระแงะ ที่ เรียนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง 5.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5.2.1 การสร้างและหาคุณภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า 1) ผู้วิจัยศึกษาเอกสารเกี่ยวกับสื่อการเรียนแบบบัตรค าและก าหนดรายละเอียดเกี่ยวกับตัว แปรที่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของการวิจัย เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า 2) ศึกษาศึกษาจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) และหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนอนุบาลระแงะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หนังสือเรียนและคู่มือครูเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างสื่อ การเรียนรู้แบบบัตรค า 3) วิเคราะห์เนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ ก าหนดเนื้อหาที่จะใช้ในการวิจัย ได้แก่ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 4) ศึกษาและท าความเข้าใจรายละเอียดของหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ด้านสาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้พฤติกรรมการเรียนรู้ เนื้อหาการจัดการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้สื่อ และ การวัดผลการเรียนรู้จากหนังสือเรียน และจากคู่มือการจัดการเรียนรู้ส าหรับครู 5) สร้างสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ซึ่งจะประกอบไปด้วย บัตรค า 3 ชุด ชุดละ 10 ค า ดังนี้ - บัตรค าชุดที่ 1 สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา - บัตรค าชุดที่ 2 แหล่งที่อยู่อาศัย - บัตรค าชุดที่ 3 สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป 6) น าสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า เรื่องสิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ เพื่อ พิจารณาความถูกต้องและความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ จากนั้นน ามาปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ชัดเจนและ เข้าใจง่าย 7) น าแบบวัดให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ประเมินความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อสื่อ การเรียนรู้แบบบัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา โดยหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามแต่ละข้อกับ
15 จุดประสงค์หรือเนื้อหา (Index of Item-Objective Congruence หรือ IOC) โดยคัดเลือกแบบทดสอบที่ ค านวณได้ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 8) น าสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ที่ผ่านการประเมินและปรับปรุง แก้ไขเรียบร้อยแล้วไปใช้จริงในกลุ่มตัวอย่าง 9) น าคะแนนที่ได้จากการไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่างมาหาค่าประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้ แบบบัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ตามเกณฑ์มาตรฐานที่ 80/80 5.2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ซึ่งเป็นข้อสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จ านวน 2 ฉบับ ซึ่งฉบับที่ 1 เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน จ านวน 20 ข้อ และฉบับที่ 2 เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียน จ านวน 20 ข้อ ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างและหาคุณภาพตามขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนอนุบาลระแงะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 2. ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์จากเอกสาร ต ารา งานวิจัย 3. วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนที่คาดหวังและเนื้อหา โดยให้ครอบคลุมใน หน่วยการเรียนรู้เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา พิจารณาจุดประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้ได้ท าการวัดความสามารถของนักเรียนในด้าน ความรู้ ความเข้าใจ และการน าไปใช้ 4. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ จ านวน 2 ฉบับ ฉบับละ 20 ข้อ เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก 5. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ที่สร้างขึ้นเสนอต่อคณะกรรมการที่ ปรึกษาวิจัยพิจารณาตรวจสอบ ลักษณะการใช้ค าถาม ตัวเลือก ตัวลวง พฤติกรรมที่ต้องการวัดและความ ถูกต้องของภาษา แล้วน ามาปรับปรุงแก้ไข 6. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ให้ผู้เชี่ยวชาญ ด้าน การสอนทางวิทยาศาสตร์ 3 คน ตรวจพิจารณาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence หรือ IOC) ด้านความครอบคลุมคุณลักษณะที่ต้องการวัด ตลอดจนภาษาในการสื่อความหมาย โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 7. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้ กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งก าลังเรียนเรื่องนี้ จ านวน 1 ห้อง
16 8. น าข้อมูลจากการทดสอบไปวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) และค่าอ านาจจ าแนก (r) เป็นรายข้อ โดยก าหนดค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 และค่าอ านาจจ าแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2556) 9. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ จ านวน 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เป็น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อนเรียน จ านวน 20 ข้อ ฉบับที่ 2 เป็นแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียน จ านวน 20 ข้อ ไปค านวณหาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน ก าหนดค่าความเชื่อมั่นตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไป 5.2.3 การสร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1. ผู้วิจัยศึกษาเอกสาร และก าหนดรายละเอียดเกี่ยวกับตัวแปรที่เหมาะสม สอดคล้องกับ บริบทของการวิจัย และเพื่อเป็นแนวทางในการก าหนดข้อค าถาม รวมถึงศึกษาวิธีการสร้างข้อค าถาม และ เครื่องมือส าหรับการวิจัย 2. สร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบ (test blue print) เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา เพื่อด าเนินการ ออก ข้อสอบได้ครอบคลุมตามสิ่งที่ต้องการวัด 3. สร้างแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จ านวน 15 ข้อ (ใช้จริง 10 ข้อ) 4. น าแบบทดสอบให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ เพื่อพิจารณาความถูกต้องและ ความ เหมาะสมของข้อค าถาม ตัวเลือกและตัวลวง ภาษาที่ใช้ จากนั้นน ามาปรับปรุงแก้ไขข้อค าถามให้ถูกต้อง ชัดเจนและเข้าใจง่าย 5. หลังจากได้ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว น าแบบวัดให้ ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ประเมินความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแบบทดสอบวัดทักษะ กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ โดยหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามแต่ละข้อกับจุดประสงค์ หรือเนื้อหา (Index of Item-Objective Congruence หรือ IOC) โดยคัดเลือกแบบทดสอบที่ ค านวณได้ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 6. น าแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการปรับปรุงแล้วไปทดลอง ใช้ (Try out) กับนักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่าง 7. น าคะแนนที่ได้จากการทดลองใช้ มาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) และค่าอ านาจ จ าแนก (r) โดยที่ค่าความยากง่าย (p) ที่ใช้ได้ควรมีค่าอยู่ระหว่าง 0.20 - 0.80 และค่าอ านาจจ าแนก (r) ที่ใช้ได้ ควรมีค่าอยู่ระหว่าง 0.20 - 1.0 (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2556) 8. น าคะแนนที่ได้ไปหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ โดยใช้สูตรของคูเดอร์และริชาร์ดสัน (Kuder and Richardson: KR20) 9. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 5.2.4 การสร้างและหาคุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน 1. ผู้วิจัยศึกษาเอกสาร และก าหนดรายละเอียดเกี่ยวกับตัวแปรที่เหมาะสม สอดคล้องกับ บริบทของการวิจัย และเพื่อเป็นแนวทางในการก าหนดข้อค าถาม รวมถึงศึกษาวิธีการสร้างข้อค าถาม และ เครื่องมือส าหรับการวิจัย
17 2. สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) โดยใช้มาตรวัดประเมินค่า 3 ระดับ (Rating scale) ที่ประกอบไปด้วยข้อความเชิงบวก โดยมีเกณฑ์การ ให้คะแนน ดังนี้ พึงพอใจมาก ให้คะแนน 3 คะแนน พึงพอใจปานกลาง ให้คะแนน 2 คะแนน พึงพอใจน้อย ให้คะแนน 1 คะแนน 3. น าแบบสอบถามความพึงพอใจให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ เพื่อพิจารณาความ ถูกต้อง และความเหมาะสมของข้อค าถาม จากนั้นน ามาแก้ไขปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา 4. น าแบบสอบถามความพึงพอใจให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ประเมินความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามแต่ละข้อ กับ จุดประสงค์หรือเนื้อหา (Index of Item-Objective Congruence หรือ IOC) โดยคัดเลือก แบบทดสอบที่ ค านวณได้ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 5. น าคะแนนที่ได้จากแบบสอบถามความพึงพอใจมาหาความเชื่อมั่น โดยใช้วิธีหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟาตามวิธีของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) 6. น าแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผ่านการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงแก้ไข แล้ว น าไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 5.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้กรอบแนวคิดเกี่ยวกับการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า ก่อน เรียนและหลังเรียน โดยคณะผู้วิจัยเป็นผู้ทดลองสอนด้วยตนเอง มีล าดับขั้นตอน การด าเนินการ ดังนี้ 5.3.1 ผู้วิจัยติดต่อขอความอนุเคราะห์จากโรงเรียนอนุบาลระแงะ เพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูล การวิจัยกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ โดยประสานงานผ่านผู้บริหาร โรงเรียนและคณะครูรวมถึงชี้แจงนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ จังหวัดนราธิวาส ภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวนนักเรียน 28 คน ได้รับทราบขั้นตอนการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า และการปฏิบัติกิจกรรมอย่างถูกต้อง 5.3.2 จัดเตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) สื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และแบบประเมิน ความพึงพอใจของนักเรียน 5.3.3 น าเครื่องมือที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วมาใช้ในการเก็บข้อมูลวิจัยกับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ โดยมีล าดับขั้นตอนการเก็บข้อมูล ดังนี้
18 1) น านักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมาท าแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา โดย ก าหนดเวลา 30 นาที จากนั้นผู้วิจัยจึงท าการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ของนักเรียนและบันทึกคะแนนตามเกณฑ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น บันทึกผลการ สอบไว้เป็นคะแนนทดสอบก่อนเรียน 2) ด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า โดยด าเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 10 ชั่วโมง 3) เมื่อเสร็จสิ้นการจัดการเรียนรู้แล้วให้นักเรียนท าแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัว เรา อีกครั้งโดยก าหนดเวลา 30 นาที จากนั้นคณะผู้วิจัยจึงท าการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ของนักเรียนและบันทึกคะแนนตามเกณฑ์ที่ ผู้วิจัยสร้าง ขึ้น บันทึกผลการสอบไว้เป็นคะแนนทดสอบหลังเรียน 4) นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า โดยใช้แบบสอบถามความพึงพอใจ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จ านวน 4 ข้อ 5) น าข้อมูลที่ได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา มาวิเคราะห์ผลด้วยวิธีการทางสถิติต่อไป 5.4 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้น าข้อมูลมาวิเคราะห์ ดังนี้ 1) การหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบัตรค า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน อนุบาลระแงะ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 ท าการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ค่าร้อยละประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) 2) วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเราระหว่างก่อนและหลังการ ใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ท าการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า Ttest 3) วิเคราะห์เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ท า การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า T-test 4) การหาค่าระดับความพึงพอใจต่อการการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อ การเรียนรู้บัตรค า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 3 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยน าแบบสอบถามความพึงพอใจมาตรวจให้คะแนน
19 ค่าเฉลี่ย 2.50-3.00 หมายถึง ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 1.50-2.49 หมายถึง ระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.00-1.49 หมายถึง ระดับน้อย ผู้วิจัยได้ท าการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติดังนี้ 5.4.1 สถิติพื้นฐาน 1) ค่าเฉลี่ย โดยใช้สูตร x n x เมื่อ x คือ ค่าเฉลี่ยของคะแนน n คือ ผลรวมของคะแนน n คือ จ านวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 2) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สูตร 1 ( ) . . 2 n x x S D เมื่อ S.D. คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (x x) คือ ผลรวมคะแนนลบด้วยคะแนนเฉลี่ย n 1 คือ จ านวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 5.4.2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคุณภาพเครื่องมือ 1) ค่าดัชนีความสอดคล้องการหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามแต่ละข้อกับ จุดประสงค์หรือเนื้อหา(Index of Item-Objective Congruence หรือ IOC) โดยใช้สูตร (IOC) โดย ใช้สูตร N R IOC เมื่อ IOC คือ ดัชนีความสอดคล้อง R คือ ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N คือ จ านวนผู้เชี่ยวชาญ โดยพิจารณาน้ าหนักคะแนน ดังนี้ +1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์นั้นวัดเนื้อหาตรง ตามจุดประสงค์ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์นั้นวัด
20 เนื้อหาตรงตามจุดประสงค์ -1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์นั้นวัด เนื้อหาไม่ตรงตามจุดประสงค์ 2) ค่าความยากง่ายของข้อสอบ (Difficulty) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดย ใช้สูตร N R P เมื่อ P คือ ค่าความยากของค าถามแต่ละข้อ R คือ จ านวนคนที่ตอบถูกในแต่ละข้อ N คือ จ านวนผู้เข้าสอบทั้งหมด 3) ค่าอ านาจจ าแนก (Discrimination) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร 2 N R R r u e เมื่อ r คือ ค่าอ านาจจ าแนกเป็นรายข้อ Ru คือ จ านวนนักเรียนที่ตอบถูกในข้อนั้นในกลุ่มเก่ง Re คือ จ านวนนักเรียนที่ตอบถูกในข้อนั้นในกลุ่มอ่อน N คือ จ านวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 5.4.3 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน 1) การหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E 1 ) สามารถหาได้จากสูตร เมื่อ แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ แทน คะแนนที่ได้ระหว่างเรียนรวมกัน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกระหว่างเรียนรวมกัน N แทน จ านวนนักเรียนทั้งหมด 2) การหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E 2) สามารถหาได้จากสูตร
21 เมื่อ แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบหลังเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จ านวนนักเรียนทั้งหมด 3) การหาค่า T-test โดยใช้สูตรดังนี้ สามารถหาได้จากสูตร เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการพิจารณา D แทน ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ N แทน จ านวนคู่ของคะแนนหรือจ านวนนักเรียน D แทน ผลรวมทั้งหมดของผลต่างของคะแนนก่อนและหลัง แทน ผลรวมของก าลังสองของผลต่างของคะแนนก่อนและหลัง 6. ผลการวิจัย ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า ผู้วิจัยน าเสนอผลการวิจัยข้อมูลไว้ดังนี้ 6.1 ผลการศึกษาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า ตามเกณฑ์มาตรฐานที่ 80/80 6.2 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 6.3 ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 6.4 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อ การเรียนรู้บัตรค า 6.1 ผลการศึกษาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า ตามเกณฑ์มาตรฐานที่ 80/80 ผู้วิจัยได้น าสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ไปใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/2 จากนั้นน าสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า มาหาค่าประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิต รอบตัวเรา (E1/E2) โดยได้ผลการวิเคราะห์ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา (E1/E2)
22 รายการประเมิน จ านวนนักเรียน ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) การแปลผล คะแนนระหว่างเรียน (E2) 27 80.37 มีประสิทธิภาพ คะแนนทดสอบหลังเรียน (E1) 27 80.74 มีประสิทธิภาพ จากตารางที่ 1 ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า (E1/E2) มีค่าเท่ากับ 80.37/80.74 ซึ่งอยู่ ในเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า สามารถน าใช้ได้ 6.2. ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ผู้วิจัยได้น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ไปใช้กับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/2 ก่อนและหลังเรียนการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า จากนั้นน าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์มาตรวจให้คะแนน และท าการวิเคราะห์ โดยผลการวิเคราะห์ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังเรียนการใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า การทดสอบ N คะแนนเต็ม ̅ S.D. t p ก่อนเรียน 27 10 5.30 1.59 10.19 .000 หลังเรียน 27 10 7.59 1.28 **P<.05 จากตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า เรื่องสิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 5.30 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ1.59 และ หลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.59 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ 1.28 เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 6.3 ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ผู้วิจัยได้น าแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ไปใช้กับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียนการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า จากนั้นน าแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาตรวจให้ คะแนนและท าการวิเคราะห์ โดยผลการวิเคราะห์ดังตารางที่ 3
23 ตารางที่ 3 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า การทดสอบ N คะแนนเต็ม ̅ S.D. t p ก่อนเรียน 27 10 5.44 1.50 9.40 .000 หลังเรียน 27 10 7.81 1.39 **P<.05 จากตารางที่ 3 แสดงให้เห็นว่าคะแนนเฉลี่ยแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้ บัตรค าเรื่องสิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 5.44 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ 1.50 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับเท่ากับ 7.81 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ 9.40 เมื่อ เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัว เรา สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 6.4 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการ เรียนรู้บัตรค า การศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการแบบ เรียนรู้บัตรค า ผู้วิจัยได้ให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ประเมินความพึงพอใจหลังจากการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เมื่อพิจารณาเป็นรายประเด็นความพึงพอใจ สามารถ น าเสนอได้ดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการแบบเรียนรู้บัตรค า รายการ ̅ S.D. ระดับความ พึงพอใจ 1.นักเรียนสามารถแยกแยะสิ่งมีชีวิกับสิ่งไม่มีชีวิตได้ถูกต้อง ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตร ค า 2.78 0.42 มาก 2.นักเรียนรู้สึกอยากเรียนเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 2.67 0.48 มาก
24 3.นักเรียนชอบท ากิจกรรมการเรียนการสอนเมื่อใช้เทคนิค การเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 2.81 0.40 มาก 4.การจัดกิจกรรมด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับ สื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา เป็นวิธีที่ น่าสนใจ 2.74 0.45 มาก 5.ครูคอยอ านวยความสะดวก และช่วยเหลือเมื่อนักเรียนมี ข้อสงสัยและมีปัญหา 2.59 0.57 มาก ภาพรวมความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ เฉลี่ย 2.72 0.46 มาก จากตารางที่ 4 แสดงให้เห็นว่าโดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า อยู่ในระดับมาก (̅ = 2.79, S.D. = 0.46) เมื่อพิจารณาในแต่ละข้อ โดยเรียงล าดับจากความพึงพอใจมากไปยังความพึงพอใจน้อยดังนี้ o ครูคอยอ านวยความสะดวก และช่วยเหลือเมื่อนักเรียนมีข้อสงสัยและมีปัญหา มีความพึง พอใจในระดับมาก (̅ = 2.59, S.D. = 0.57) o นักเรียนรู้สึกอยากเรียนเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.67, S.D. = 0.48) o การจัดกิจกรรมด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิต รอบตัวเรา เป็นวิธีที่น่าสนใจ มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.74, S.D. = 0.45) o นักเรียนสามารถแยกแยะสิ่งมีชีวิกับสิ่งไม่มีชีวิตได้ถูกต้อง ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.78, S.D. = 0.42) o นักเรียนชอบท ากิจกรรมการเรียนการสอนเมื่อใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการ เรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.81, S.D. = 0.40) 7.สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การด าเนินการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อ การเรียนรู้แบบบัตรค า ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า 3. เพื่อศึกษาทักษะ
25 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า สามารถสรุปสาระส าคัญของการวิจัยได้ดังนี้ 7.1 สรุปผลการวิจัย จากการศึกษาค้นคว้า สรุปได้ดังนี้ 1) ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า (E1/E2) มีค่าเท่ากับ 80.37/80.74 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ ที่ตั้งไว้80/80 แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า มี ประสิทธิภาพ สามารถน ามาใช้ได้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 5.30 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ1.59 และ หลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.59 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ 1.28 เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้ บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค าเรื่องสิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา ก่อน เรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 5.44 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ1.50 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับเท่ากับ 7.81 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ 9.40 เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยแบบทดสอบวัด ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า อยู่ในระดับมาก (̅ = 2.79, S.D. = 0.46) เมื่อพิจารณาในแต่ละข้อ โดย เรียงล าดับจากความพึงพอใจมากไปยังความพึงพอใจน้อยดังนี้ o ครูคอยอ านวยความสะดวก และช่วยเหลือเมื่อนักเรียนมีข้อสงสัยและมีปัญหา มีความพึง พอใจในระดับมาก (̅ = 2.59, S.D. = 0.57) o นักเรียนรู้สึกอยากเรียนเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.67, S.D. = 0.48)
26 o การจัดกิจกรรมด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิต รอบตัวเรา เป็นวิธีที่น่าสนใจ มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.74, S.D. = 0.45) o นักเรียนสามารถแยกแยะสิ่งมีชีวิกับสิ่งไม่มีชีวิตได้ถูกต้อง ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.78, S.D. = 0.42) o นักเรียนชอบท ากิจกรรมการเรียนการสอนเมื่อใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการ เรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.81, S.D. = 0.40) 7.2 อภิปรายผลการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลระแงะ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับ สื่อการเรียนรู้บัตรค า สามารถอภิปรายผลได้ ดังนี้ 1.ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้แบบบัตรค า (E1/E2) มีค่าเท่ากับ 80.37/80.74 ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 แสดงให้เห็นว่านักเรียนนักเรียนท าคะแนนระหว่างเรียน (E1) ได้ดีกว่าแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์เนื่องจากนักเรียนมีความสนใจต่อการเรียนในรูปแบบสื่อการ เรียนรู้บัตรค าจึงท าให้ผลงานออกมาดี ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพัชรีภรณ์ มณีเล็ก (2561) นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนวัดดอนยอ ที่เรียนด้วยกิจกรรมการใช้บัตรภาพ เรื่อง การ จัดจ าแนกความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งมีชีวิต มีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของคะแนนก่อนเรียนและ หลังเรียน ตามผลการวิเคราะห์ค่าคะแนนด้วยค่าร้อยละ ปรากฏว่ามีผลการพัฒนาการร้อยละ 38.18 ด้วย เหตุผลดังกล่าวจึงอาจกล่าวได้ว่า กิจกรรมการใช้บัตรภาพ เรื่อง การจัดจ าแนกความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งมีชีวิตและสิ่งมีชีวิต เป็นนวัตกรรมที่มีคุณค่าในการพัฒนาการเรียนรู้ 2.จากผลการวิจัยพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยของสวยสม ปั้นสุข (2559) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง หน่วยของ สิ่งมีชีวิต ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดเทคนิค LT กับ เทคนิค TGT พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องหน่วยของสิ่งมีชีวิตของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องสวยสม ปันเกตุ (2561) ได้ศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เรื่องหน่วยของสิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคLT กับเทคนิคTGT 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT กับเทคนิคTGT 3) ความพึงพอใจต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT กับเทคนิคTGT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัย ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จ านวน
27 89 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559โรงเรียนสิงห์บุรี อ าเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ได้มาโดยการสุ่มแบบ กลุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT 2) แผนการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่าความเชื่อมั่น 0.843 4) แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีค่าความเชื่อมั่น 0.741 5) แบบวัดความพึงพอใจ ต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติทดสอบ นอกจากนี้อาจเกิดจากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้น นักเรียนเป็นส าคัญ โดยกิจกรรมเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ร่วมกิจกรรมที่มีเกมการแข่งขันเข้ามาเกี่ยวข้อง ร่วมกันท าความเข้าใจภายในกลุ่ม และได้ตอบค าถามด้วยตัวเอง จึงท าให้นักเรียนเกิดความสนใจ และมี ความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมกิจกรรม ท าให้ครูบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ ซึ่งสอดคล้องกับ มัลลิกา มานันที (2558) ที่กล่าวว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ นักเรียนมีโอกาสเข้าร่วมถึงกิจกรรมการสอนอย่างทั่วถึง จากกิจกรรมตามขั้นตอน การเตรียมเนื้อหาของ ครูขั้นเตรียม ขั้นการเรียนรู้ ขั้นแข่งขัน และขั้นยอมรับความส าเร็จของทีม การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT เช่นนี้ เป็นการกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจ สนุกสนาน ได้ท ากิจกรรมด้วยตนเอง มี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลและบุคคลอยู่เสมอและต่อเนื่อง ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่งผลให้นักเรียนมี ความมั่นใจในตนเองมากขึ้น ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สูงขึ้นตามไป ด้วย 3.ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า พบว่าก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า ก่อนเรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เฉลี่ยเท่ากับ 5.44 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ1.50 แต่หลังเรียนมีทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์เฉลี่ยเท่ากับเท่ากับ 7.81 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ 9.40 ซึ่งแตกต่างกันอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้อาจเกิดจากกิจกรรมที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นมุ่งพัฒนานักเรียนด้านทักษะ ทางวิทยาศาสตร์ และกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการกลุ่ม ให้นักเรียนได้แสดงศักยภาพของ ตนเองได้อย่างเต็มที่ เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน กิจกรรมเกมตอบปัญหา เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะทางวิทยาศาสตร์ที่ง่าย และมีความสนุกสนาน และยังเป็นการฝึกทักษะให้ นักเรียนได้เรียนรู้เป็นรายบุคคล จึงท าให้ผลการเรียนรู้ด้านทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูง ยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ นันตพร วดีศิริศักดิ์ และคณะ (2556) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT และการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้7 ขั้น ต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช กลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการ จัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งการจัดการเรียนรู้ด้วย กลุ่มแบบ TGT เป็นรูปแบบการสอนที่มีกิจกรรมที่ฝึกให้นักเรียนได้พัฒนาทางสติปัญญารู้จักคิดอย่างมี
28 เหตุผล สามารถท างานร่วมกับเพื่อนในกลุ่มได้อย่างดี การจัดการเรียนรู้การสอน TGT มีการเปลี่ยนกลุ่มไป เรื่อยเพื่อให้กลุ่มแพ้มีโอกาสชนะท าให้นักเรียนมี คะแนนระหว่างเรียนและคะแนนทดสอบหลังเรียน เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายถึง มีผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้น (นันตพร วดีศิริศักดิ์ และคณะ : 2556) 4. การศึกษาระดับความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (TGT) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า อยู่ในระดับมาก (̅ = 2.79, S.D. = 0.46) เมื่อพิจารณาในแต่ละข้อ โดยเรียงล าดับจากความพึงพอใจมากไปยังความพึงพอใจน้อยดังนี้ครูคอยอ านวยความสะดวก และ ช่วยเหลือเมื่อนักเรียนมีข้อสงสัยและมีปัญหามีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.59, S.D. = 0.57) นักเรียนรู้สึกอยากเรียนเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.67, S.D. = 0.48) การจัดกิจกรรมด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา เป็นวิธีที่น่าสนใจ มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.74, S.D. = 0.45) นักเรียนสามารถแยกแยะสิ่งมีชีวิกับสิ่งไม่มีชีวิตได้ถูกต้อง ด้วยเทคนิคการเรียนรู้ แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.78, S.D. = 0.42) นักเรียน ชอบท ากิจกรรมการเรียนการสอนเมื่อใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา มีความพึงพอใจในระดับมาก (̅ = 2.81, S.D. = 0.40) 7.3 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ครูควรศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า ให้ เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ต่อผู้นักเรียนมากที่สุด 1.2 การสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า ควร จัดการเรียนการสอนให้ต่อเนื่องกัน ซึ่งจะท าให้นักเรียนสามารถท ากิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง 1.3 ขณะที่นักเรียนปฏิบัติกิจกรรม ครูควรดูแลช่วยเหลือ แนะน านักเรียนเมื่อเกิดปัญหาคอย กระตุ้นให้ก าลังใจ คอยควบคุมเรื่องเวลาและพฤติกรรมของนักเรียน เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ มาขึ้น 1.4 ควรจัดท าชุดกิจกรรมในหัวข้อเรื่องที่หลากหลาย เพื่อจะได้แสดงให้ทราบว่าผลการ ด าเนินการเรียนการสอนมีความแตกต่างกันอย่างไร 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGTร่วมกับสื่อการเรียนรู้บัตรค า กับตัวแปรอื่นๆ เช่น เจคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ เป็นต้น 2.2 ควรศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT กับนักเรียนในระดับชั้นอื่นๆ เนื้อหา รายวิชาอื่นๆ และกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ เพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียน
ช บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2544). หลักสูตรการวัดและประเมินผล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กังวล เทียนกัณฑ์เทศน์. (2550). การวัดการวิเคราะห์การประเมินผลทางการศึกษาเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพฯ. กาญดาร์ สงดวง. (2554). ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคการแข่งระหว่างกลุ่มด้วยเกม (TGT) ร่วมกับวิธีการสอนการแก้ปัญหาแบบเอสเอสซีเอส (SSCS) ที่มีต่อความสามารถ ใ น การแก้โจทย์ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ทาง คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น ป ร ะ ถ ม ศึ ก ษ า ปี ที่ 3 . วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอนมหาวิทยาลัยทักษิณ. จง จิ ต ร แ ก้ ว พ า . (2552). ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ . [เ ว็ บ บ ล็ อ ค]. เ ข้ า ถึงไ ด้ จ า ก : https://www.gotoknow.org/posts/306599%20%5B10. [22 กันยายน 2563] เจนจิรา สีนวล, เชษฐ์ ศิริสวัสดิ์และนพมณี เชื้อวัชรินทร์. (ตุลาคม 2560). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ทักษะการท างานกลุ่ม และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เรื่อง ระบบประสาทและอวัยวะ รับความรู้สึกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน (TGT) กับการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 7 ขั้น. วารสารศึกษาศาสตร์. 21(4) :107 - 120. เฉลิม เพิ่มนาม และสมพร ร่วมสุข. (มกราคม 2562). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การ เขียนสะกดค า และทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึก. วารสารสังคมศาสตร์วิจัย. 10(1) : 69 - 84. ชาตรี เกิดธรรม. (2556). เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ. ปทุมธานี : มหาวิทยาลัย ร า ช ภัฎวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ชิตพล ชื่นตา. (2560). วิธีการออกแบบและการจัดการเรียนรู้. นครพนม : มหาวิทยาลัยนครพนม. นันตพร วดีศิริศักดิ์, ดร.มนตรี อนันตรักษ์และ ดร.สุเทพ ทองประดิษฐ์. (มกราคม 2556). ผลการ จัดการเรียนรู้ด้วยกลุ่มแบบ TGT และการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นต่อ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วารสาร มหาวิทยาลัยนครพนม. 3(1) : 73 -78.
ซ บรรณานุกรม (ต่อ) นราวดี จ้อยรุ้ง. (2559). การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาชีววิทยาและทักษะกระบวนการกลุ่ม ของ นักเรียนสายวิทยาศาสตร์พเิศษ ช้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ไดร้ิบการจัดการเรียนรู้แบบ ร่ ว ม มื อ เทคนิค TGT. วิทยานิพนธการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนวิทยาศาสตร์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. ปิยบุตร ทรัพย์สุคนธ์ และ ทัศนีย์ ปัญจานนท์. (2562). การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้วยการ จัดการเรียนร้ิแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคกล่ิมแข่งขัน เรื่องโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอกใน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการสอนวิทยาศาสตร์ วิทยาลัยครูสุริย เทพ. พนิดา นิรมาณ และจุไรรัตน์ ลักษณะศิริ. (2561). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องค ายืม ภาษาต่างประเทศในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ใน พระราชูปถัมภ์ฯระหว่างวิธีสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต ส า ข า ก า ร สอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยรามค าแหง. พิมพัน ธ์ เตชะคุปต์ . (2548). กา รเ รียนกา รสอนที่เน้นนักเ รี ยนเป็น ศูนย์ กล า ง. ก รุงเทพฯ : เดอะมาสเตอร์กรุ๊ป แบเนจเม็นท์. ภารดี กล่อมดี. (มกราคม 2561). ผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานในร ะ ดั บ ชั้ น ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้(5E). วารสาร Veridian E-Journa. 11(1) : 2004 -2020. มัลลิกา มานันที. (2558). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง วั ฒ น ธ ร ร ม ประเทศตะวันตกที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) กับ กา รจัดกา รเ รี ยน รู้ แบบปกติ ส าหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ศูนย์อ านวยการเครือข่าย กุสุม า ล ย์ 2. วิทย านิพน ธ์ การศึกษามหาบัณฑิต คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญญบุรี. รัตนา บุตรอุดม. (2559). ผลการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT โดยใชชุดฝกทักษะการอานและ เขียนภาษาไทยส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1 ที่ใชภาษาถิ่นในชีวิตประจ าวัน. วิทยานิพนธ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะ ศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยบูรพา. มัลลิกา มานันที. (2558). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง วั ฒ น ธ ร ร ม ประเทศตะวันตกที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) กับ กา รจัดกา รเ รี ยน รู้ แบบปกติ ส าหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ศูนย์อ านวยการเครือข่าย กุสุม า ล ย์ 2. วิทย านิพน ธ์ การศึกษามหาบัณฑิต คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญญบุรี.
ฌ บรรณานุกรม (ต่อ) รัตนา บุตรอุดม. (2559). ผลการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT โดยใชชุดฝกทักษะการอานและ เขียนภาษาไทยส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1 ที่ใชภาษาถิ่นในชีวิตประจ าวัน. วิทยานิพนธ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะ ศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยบูรพา. ว ร า รั ต น์ ก า แ ปง . (2561). ค ว า ม ส า คัญ ข อ ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ . [เ ว็ บ บ ล็ อ ค]. เ ข้ า ถึงไ ด้จ า ก : https://wbscport.dusit.ac.th/view/view.php?id=114753. [22 กันยายน 2563] วินุรักษ สุขส าราญ (2553) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร และความสามารถในการ แกปญหา ทางวิทยาศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ที่ไดรับการจัดการเรียนรู้แบบรวมมือเทคนิค TGT. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ. วิไลวรรณ อินทร พันธ์ (2559) การศึกษาผลการจัดการเรียนรูแบบสืบเสาะหาความรูรวมกับการ จัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT ที่มีตอทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 กลุ่มโรงเรียน สหสัมพันธวังมวง จังหวัดสระบุรี. วิทยานิพนธการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ศิรประภา พบวันดี. (2558). การพัฒนาผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ขิงนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขา ศึกษาศาสตร์ สถาบัน ส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาสารคาม. สมศักดิ์ ศรีรุ่งเรือง และคณะ. (2554). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์บนเครือข่าย กลุ่มสาระการ เรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีการเรียนรู้แบบร่วมมือ. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. สวยสม ปั้นสุข (2559) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องหน่วยของสิ่งมีชีวิต ส าหรับ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT กับ เทคนิค TGT. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอนมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. สุกัญญา จันทร์แดง. (พฤษภาคม2555). ผลการจัดการเรียนด้วยชุดการสอนแบบร่วมมือที่มีต่อ ผ ล สั ม ฤ ท ธิ์ ทางการเรียนและความสามารถในการท างานร่วมกันวิชาวิทยาศาสตร์ของ นั ก เ รี ย น ชั้ น ประถมศึกษาปีที่ 6. วารสารวิชาการ Veridian E-Journal. 6(2) : 567 – 581.
ญ บรรณานุกรม (ต่อ) อนันท ศรีวรรณะ. (2551). ผลการจัดการเรียนรูวิทยาศาสตรแบบสืบเสาะโดยประยุกตใชเทคนิค TGT เรื่องแรงและการเคลื่อนที่ ชั้นมัธยมศึกษาป ที่ 1. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาศึกษาศาสตร์ หาวิทยาลัยมหาสารคาม. อรัญญา แวงดีสอน. (พฤษภาคม 2557). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่5 ในการเรียนกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์เรื่อง การค านวณเกี่ยวกับปริมาณ สารในปฏิกิริยาเคมี ระหว่างการสอนโดยใช้กลุ่มร่วมมือด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ TGT และแบบ STAD. วารส า ร มหาวิทยาลัยนครพนม. 4(2) : 80 – 87.
29 ภาคผนวก
30 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
31 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 สิ่งรอบตัวเรา จ านวน 10 ชั่วโมง เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา จ านวน 4 ชั่วโมง ครูผู้สอน นางสาวอารีฟา บินมือลี โรงเรียนอนุบาลระแงะ วันที่.......................................................... 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลง แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากรปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ป.1/1 ระบุชื่อ บรรยายลักษณะและบอกหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์สัตว์และพืช รวมทั้งบรรยายการท าหน้าที่ร่วมกันของส่วนต่างๆของร่างกายมนุษย์ในการท ากิจกรรมต่างๆจากข้อมูลที่ รวบรวมได้ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ ระบุชื่อพืชและสัตว์รอบตัวได้ บอกชื่อสิ่งมีชีวิตที่ได้จากการส ารวจบริเวณต่าง ๆ ได้ 2.2 ด้านทักษะ สังเกตและจัดจ าแนกสิ่งมีชีวิตรอบตัวตามเกณฑ์ที่ก าหนดได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ มีความมุ่งมั่นและรับผิดชอบ 3. สาระส าคัญ พืชและสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่รอบตัวเรา บริเวณต่าง ๆ ในท้องถิ่นอาจพบพืชและสัตว์หลายชนิดอาศัยอยู่ 4. สาระการเรียนรู้ สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา
32 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการท างาน 6. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะ/กระบวนการและทักษะในการด าเนินชีวิต 7. การจัดการเรียนรู้ (เทคนิค TGT) ชั่วโมงที่ 1-2 ขั้นน า 1.1 ครูสนทนากับนักเรียนโดยถามว่า นักเรียนทราบหรือไม่ว่า วันนี้จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไร จากนั้นให้ นักเรียนช่วยกันตอบค าถามแล้วครูแจ้งชื่อเรื่องที่จะเรียนรู้ และให้นักเรียนแต่ละคนท าแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อวัดความรู้เดิมของนักเรียน 1.2 ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวเรา ดังต่อไปนี้ - นักเรียนลองมองสิ่งรอบตัวนักเรียนว่ามีอะไรบ้าง - สิ่งใดบ้างที่เป็นสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต เราสามารถแยกจากอะไร 1.3 ครูน าภาพสวนสาธารณะกับสนามเด็กเล่นมาให้นักเรียนสังเกตและร่วมกันแสดงว่าคิดเห็นว่าในภาพมีสิ่งมีชีวิต อะไรบ้าง ตั้งค าถามดังนี้ - ภาพสวนสาธารณะมีสัตว์ชนิดใดบ้าง - ภาพสวนสาธารณะมีพืชชนิดใดบ้าง - ภาพสนามเด็กเล่นมีสัตว์ชนิดใดบ้าง - ภาพสนามเด็กเล่นมีพืชชนิดใดบ้าง 1.4 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายความรู้ที่จากค าตอบของนักเรียน เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่องความหมาย และลักษณะของสิ่งมีชีวิต 1.5 ครูอธิบายเชื่อมโยงให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา โดยใช้ภาพสถานที่ต่างๆ 1.6 ครูให้นักเรียนศึกษาความรู้ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.1 ชุดแม่บทมาตรฐาน Active Learning (อจท.) เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา แล้วแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน โดยใช้คละความสามรถ เก่ง ปานกลาง อ่อน แล้วให้แต่ละ กลุ่มปฏิบัติกิจกรรมในใบงานที่ 1 เรื่องสิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา
33 ขั้นสอน 1. ครูน าภาพสวนย่อมหน้าบ้านให้นักเรียนดู ภาพสวนย่อมหน้าบ้าน อธิบายเพิ่มเติมว่า สิ่งมีชีวิต หมายถึง สิ่งมีชีวิต หมายถึง สิ่งที่มีตัวตน สมารถเคลื่อนที่ได้ ต้องการอาหาร ต้องการที่อยู่ สามารถ ที่จะสืบพันธุ์ได้ และต้องใช้พลังงานในการด ารงชีวิต เมื่อเราสังเกตบริเวณต่าง ๆ ในท้องถิ่น จะพบพืชและสัตว์หลายชนิดที่อยู่ รวมกันในสภาพแวดล้อมบริเวณนั้น ๆ เช่นสภาพแวดล้อมในบริเวณที่แตกต่างกัน เราจะพบพืชและสัตว์ที่แตกต่างกัน เนื่องจาก สภาพแวดล้อมในแต่ละบริเวณจะมีความเหมาะสมต่อการด ารงชีวิตของพืชและสัตว์ที่ต่างกันในด้านต่าง ๆ ดังนี้
34 ชั่วโมงที่ 3-4 ขั้นจัดทีม 1. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียน ออกเป็นกลุ่มละ 4 คน โดยคละเพศคละความสามารถ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะประกอบด้วย เด็ก ที่มีความสารถ เก่ง ปานกลางง ต่ า ในอัตราส่วน 1:2:1 และเรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มบ้านเรา โดยใช้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนในภาคเรียนที่ผ่านมาน ามาจับกลุ่มนักเรียน 2. ครูชี้แจงการจัดกิจกรรมโดยเทคนิคกลุ่มแข่งขันตอบปัญหา (TGT) ซึ่งนักเรียนจะต้องท างานร่วมกันเป็นกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมมือกันเพื่อความส าเร็จของกลุ่ม 3. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ของสมาชิกที่ได้จากการศึกษา เรื่องสิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา เพื่อ เตรียมการแข่งขัน ขั้นการแข่งขันเกมทางวิชาการ 1. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ซึ่งมีความสามารถแตกต่างกันไป แยกย้ายไปตามกลุ่มที่จัดไว้ตามความสารถ 2. ด าเนินการแข่งขันตามขั้นตอน - ครูแจกกระดาส าหรับที่ใช้เขียน คนละ 1 แผ่น เพื่อใช้ในการตอบค าถาม โดยสุ่มนักเรียน 1 คนภายในกลุ่ม เป็นคนอ่านค าถามที่ครูได้เตรียมไว้ ตามล าดับ - ครูชี้แจงว่า เมื่อเพื่อนอ่านค าถามจากบัตรค าเสร็จ 1 รอบ ให้นักเรียนเขียนค าตอบลงบนกระดานทันที 3. เริ่มการแข่งขัน - ครูจะเป็นคนเปิดบัตรค าค าถามไว้ให้ตัวแทนกลุ่มที่สุ่ม อ่านค าถาม 1 ครั้ง - เมื่อเสร็จสิ้นการอ่านค าถาม ให้นักเรียนแข่งขันตอบค าถาม โดยให้ที่อยู่ซ้ายมือของผู้ถามตอบก่อนเขียน ค าตอบในกระดาษ คนที่ตอบค าถามถูกจะได้ 2 คะแนน คนตอบค าถามเสร็จตามล าดับถัดมาและถูกได้ 1 คะแนน ผู้ที่ตอบผิดได้ 0 คะแนน วนไปเรื่อยๆ ตามล าดับ จนครบจากนั้นให้แยกย้ายกลับไปที่กลุ่มเดิม - เมื่อเสร็จสิ้นทั้งหมด ให้แต่ละกลุ่ม รวมคะแนนของตนเอง โดยจะมีคะแนนพิเศษให้แตะละกลุ่มดังนี้ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดในแต่ละโต๊ะจะได้คะแนนโบนัส 5 คะแนน ผู้ได้คะแนนรองอันดับ 1 จะได้คะแนนโบนัส 4 คะแนน ผู้ที่ได้คะแนนรองอันดับ 2 จะได้คะแนนโบนัส 3 คะแนน ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลส าเร็จ 1. ให้นักเรียนที่ไปท าการแข่งขันกลับเข้ากลุ่มเดิม น าคะแนนการแข่งขันของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของ กลุ่ม แจ้งผลการแข่งขันโดยให้ตัวแทนที่ออกมาแข่งขันมาน าเสนอต่อสมาชิกพร้อมกับกล่าวชมกลุ่มที่ได้คะแนน สูงสุด 2. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อที่ได้เรียนมาว่า พืชและสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่รอบตัวเรา และบริเวณต่าง ๆ ในท้องถิ่นอาจพบพืชและสัตว์หลายชนิดอาศัยอยู่
35 8. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.1 ชุดแม่บทมาตรฐาน Active Learning (อจท.) 2. Power Point เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 3. ภาพสวนสาธารณะ 4. ภาพสนามเด็กเล่น 9. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 9.1 การวัดผล 9.1.1 ใบงาน เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการรายกลุ่ม 9.1.3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการท างาน 9.2 เครื่องมือการวัดและประเมินผล 9.2.1 ใบงาน เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเรา 9.2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมรายกลุ่ม 9.2.3 แบบประเมินบันทึกคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 9.3 เกณฑ์การประเมิน 9.3.1 ด้านความรู้ ใบงาน เรื่อง สิ่งมีชีวิตรอบตัวเราท าได้ถูกต้อง 60 % ขึ้นไป 9.3.2 ด้านทักษะกระบวนการ นักเรียนจะต้องผ่านเกณฑ์ ระดับคุณภาพ พอใช้ – ดี 9.3.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ นักเรียนจะต้องผ่านเกณฑ์ ได้ระดับคุณภาพ พอใช้ – ดี ค าถามจากบัตรค าในกิจกรรมการเรียนรู้เทคนิค TGT (ขั้นการแข่งขันทางวิชาการ) 1.ลักษณะของสิ่งมีชีวิตมีอะไรบ้าง ตอบ ต้องการอาหาร หายใจ มีการ เจริญเติบโต มีการเคลื่อนที่ 2.พืชและสัตว์ใดบ้างที่พบในบริเวณ ทุ่งหญ้า ตอบ หญ้า พุ่มไม้ วัว ควาย
36 3.ในบริเวณใต้ดิน เราสามารถพบสัตว์ ชนิดใดบ้าง ตอบ ไส้เดือน มด งู 4.ช้างเป็นสิ่งมีชีวิตเพราะเหตุใด ตอบ มีหู มีตา หายใจ 5.สิ่งมีชีวิตใดไม่สามารถเคลื่อนที่ได ้ ตอบ พืช 6.เครื่องบินเป็นสิ่งมีชีวิตหรือเป็น สิ่งไม่มีชีวิต ตอบ เป็นสิ่งไม่มีชีวิต 7.สัตว์ เป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ ตอบ เป็น 8.ลักษณะของสิ่งไม่มีชีวิตมีอะไรบ้าง ตอบ ไม่กินอาหาร ไม่หายใจ ไม่มีการ เจริญเติบโต ไม่มีการเคลื่อนที่ 9.สุนัขและแมวเป็นสิ่งมีชีวิตเพราะ เหตุใด ตอบ หารใจและกินอาหาร 10.ต้นไม้จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพราะเหตุใด ตอบ สร้างอาหารเองได้ เจริญเติบโตได้ สืบพันธุ์ได้ หายใจได้