วิชา ยานยนตท์ หาร
สาหรบั นักเรยี นนายสบิ ทหารบก
หลกั สูตรศึกษา ณ รร.นส.ทบ. 1 ปี
หมายเลข ชกท.111
กองการศึกษา โรงเรยี นนายสบิ ทหารบก
คา่ ยโยธินศกึ ษามหามงกฎุ
พ.ศ.2564
คานา
โรงเรียนนายสิบทหารบก เป็นสถาบันการศึกษาของกองทัพบก มีหน้าท่ีให้การฝึกศึกษาแก่นักเรียน
นายสิบทหารบก เพื่อผลิตกาลังพลนายทหารชั้นประทวนของกองทัพบกที่มีคุณภาพมาตรฐาน มีสมรรถนะและขีด
ความสามารถตามความต้องการของกองทัพบก
โรงเรยี นนายสบิ ทหารบก ได้ดาเนินการจดั ทาคมู่ ือการสอนหลักสูตรนักเรียนนายสิบทหารบก เพื่อใช้
เป็นเอกสารประกอบการจัดการศึกษาหลักสูตรนักเรียนนายสิบทหารบก ซ่ึงการดาเนินการดังกล่าว โรงเรียนนายสิบ
ทหารบกได้ทาการรวบรวมรายละเอียดเน้ือหาวิชาจากตารา คู่มือการฝึก และเอกสารอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้อง มาปรับปรุง
พัฒนาและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับหลักสูตรนักเรียนนายสิบทหารบก เพื่อให้การจัดการฝึกศึกษา
หลกั สูตรนายสบิ ทหารบกเป็นไปด้วยความเรียบรอ้ ย มีคณุ ภาพมาตรฐาน
โรงเรียนนายสิบทหารบก หวังเป็นอย่างยิงว่า คู่มือการสอนหลักสูตรนักเรียนนายสิบทหารบก จะ
เป็นส่วนสาคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนนายสิบทหารบก ให้เป็นไปตามความมุ่งหมายและ
ตอบสนองนโยบายการศึกษาของกองทัพบกต่อไป
พนั เอก
(ประเสริฐ สนุ นั ทช์ ัยกุล)
ผู้อานวยการกองการศึกษาโรงเรยี นนายสิบทหารบก
ปรชั ญา
จงรกั ภกั ดี มคี วามรู้ อยใู่ นระเบียบวินยั คุณธรรม ลักษณะผนู้ าเดน่
วิสยั ทศั น์
โรงเรียนนายสิบทหารบก เปน็ องค์กรทม่ี คี วามมัน่ คงในการผลติ นายทหารประทวนให้กับกองทัพบก
ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ประสทิ ธผิ ล โดยมงุ่ เนน้ มาตรฐานความรู้ ควู่ ินัย อกี ท้งั มีเกียรติ ศักดศ์ิ รี
เป็นที่ยอมรับของหนว่ ยงานในกองทพั บก บุคลากร และหนว่ ยงานภายนอก
สารบญั
บทที่ หน้า
บทที่ 1 ประเภทยานยนตท์ หารทใ่ี ชใ้ นกองทัพบก
1. ประเภทรถยนตท์ หาร.................................................................................................. 1
2. คณุ ลกั ษณะทส่ี าคัญของรถยนต์ทหาร......................................................................... 1
3. แบง่ ตามลักษณะโครงสร้าง......................................................................................... 2
4. คุณลักษณะของรถยนต์ทหาร..................................................................................... 2
5. รถยนต์สายขนสง่ ........................................................................................................ 3
คาถามท้ายบท................................................................................................................. 5
บทที่ 2 ทา่ สญั ญาณจราจรและเครอื่ งหมายจราจร
1. เครื่องหมายจราจร...................................................................................................... 6
2. เคร่ืองหมายชนิดแผ่นปาู ย........................................................................................... 6
3. ทา่ สญั ญาณจราจร...................................................................................................... 24
คาถามท้ายบท................................................................................................................ 27
บทที่ 3 เทคนคิ ยานยนตล์ อ้ และการปรนนิบตั บิ ารงุ
1. เทคนคิ ยานยนตล์ ้อ.................................................................................................... 28
2. การปรนนิบัติบารงุ ในหน้าทพี่ ลขับ............................................................................ 29
คาถามท้ายบท............................................................................................................... 37
บทที่ 4 การฝกึ ขบั รถเบ้ืองตน้
1. กลา่ วนา.................................................................................................................... 38
2. การฝึกขบั รถเบ้ืองต้น................................................................................................ 38
คาถามทา้ ยบท............................................................................................................... 42
บทที่ 5 การฝกึ ขบั ในสนามฝกึ
1. การฝกึ ออกรถและจอดรถ......................................................................................... 43
คาถามทา้ ยบท............................................................................................................... 44
สารบญั (ตอ่ )
บทท่ี หนา้
บทท่ี 6 การฝกึ ขบั รถในเสน้ ทาง
1. การออกรถ การเลยี้ วรถและการกลับรถ.................................................................... 45
2. การหยดุ หรอื จอดรถ................................................................................................... 45
3. การเปล่ยี นเกยี ร.์ ......................................................................................................... 46
4. การใชค้ วามเรว็ ........................................................................................................... 47
5. สทิ ธิการใชท้ าง........................................................................................................... 47
คาถามท้ายบท................................................................................................................ 50
บทท่ี 7 หลกั เกณฑก์ ารขอมีใบอนญุ าตขบั ขรี่ ถยนตแ์ ละการทดสอบ
1. การขอใบอนญุ าตขับขี่รถยนต.์ ................................................................................... 51
2. ขัน้ ตอนการปฏบิ ตั ิการขบั รถยนต.์ .............................................................................. 51
3. การทดสอบเพ่ือขอรบั ใบอนุญาตพิเศษสาหรบั รถยนต์ทหาร..................................... 53
คาถามท้ายบท................................................................................................................ 58
บทที่ 1
ประเภทยานยนตท์ หารทใี่ ชใ้ นกองทพั บก
1.ประเภทรถยนตท์ หาร
ตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยรถยนตย์ ามปกติ (2480) แบง่ ประเภทรถยนต์ทหารออกเปน็ 2 ประเภท คอื
1.1 รถยนต์ประเภทสงคราม คือ รถท่ีจัดข้ึนเพื่อใช้ในสงคราม รถประเภทนี้แผ่นปูายทะเบียนพื้นสีขาว
ตัวอักษรสีแดง (สพ.ทบ.) และแบ่งออกเป็น รถรบและรถชว่ ยรบ
1) รถรบ ได้แก่ รถถงั , รถเกราะ, รถปนื
2) รถชว่ ยรบ ได้แก่ รถนั่ง, รถยนต์บรรทุก 2 1/2 ตนั , 5 ตัน, 10 ตนั
1.2 รถยนต์ประเภทปกติ หมายถึง รถยนต์ซ่งึ จัดไว้ใช้ในราชการปกติ แผ่นปูายทะเบียนพื้นสีดา ตัวอักษรสี
ขาว (ขส.ทบ.) รถยนตป์ ระเภทปกติ ไดแ้ ก่ รถยนต์น่ัง, รถยนตบ์ รรทุก, รถยนต์โดยสาร, รถยนต์เฉพาะกาล
2.คุณลักษณะทส่ี าคญั ของรถยนตท์ หาร
2.1 น้าหนักรถ หมายถึง น้าหนักรถทั้งคัน ที่มีเคร่ืองประกอบพร้อมและทางานได้รวมทั้งน้ามันเช้ือเพลิง
นา้ มันหล่อล่ืน นา้ เวน้ พลประจารถและสง่ิ บรรทุก
2.2 น้าหนักบรรทุก หมายถึง น้าหนักส่ิงของ หรือจานวนผู้โดยสารที่จะบรรทุกได้บนรถรวมทั้งพลประจา
รถ ซง่ึ สามารถขนไปได้โดยปลอดภยั
2.3 น้าหนักรวมท้งั สนิ้ หมายถงึ น้าหนกั รถรวมกบั น้าหนกั บรรทุก
2.4 ความสูงใต้ท้องรถ หมายถึง ระยะท่ีวัดจากพื้นดินขึ้นไปจนถึงจุดท่ีต่าที่สุดท่ีอยู่ใต้รถ เช่น เฟืองท้าย
หรือ เฟืองเพลาขับล้อหนา้
2.5 รศั มีวงเลี้ยว หมายถึง รัศมีของโค้งที่รถยนต์เลี้ยวได้แคบที่สุด โดยถือโค้งท่ีเกิดจากจุดก่ีงกลางของล้อ
หน้าทอ่ี ยวู่ งนอกคิดเป็นฟุต
2.6 ความสามารถในการลุยข้ามน้า หมายถึง ความลึกของน้าที่รถยนต์สามารถลุยข้ามน้าได้โดยเรียบร้อย
ณ ความเร็วต่าทสี่ ดุ ของรถคดิ เปน็ นวิ้
2.7 ระยะทางทาการ หมายถงึ ระยะทางที่รถยนตส์ ามารถวง่ิ ไปไดท้ ้ังสน้ิ ดว้ ยการเติมน้ามันเต็มถังเพียงคร้ัง
เดยี วท้ังนี้ โดยอาศัยอัตราการสิน้ เปลืองที่ทางราชการกาหนดไว้เปน็ เกณฑใ์ นการคดิ
2.8 การลอยตัว หมายถึง จานวนน้าหนักที่กดลงบนพ้ืนท่ี ๆ รองรับหน้ายางหรือสายพานรถ โดยเฉลี่ยต่อ
หนึ่งตารางนิว้ หนว่ ยความดนั ลอยตัวสาหรบั รถใชล้ อ้ ย่อมจะมคี ่าเทา่ กบั ความดันลมยางรถน้ันเอง
2.9 ความยาวช่วงรถ หมายถึง ระยะเป็นนิ้วจากกึ่งเพลากลางหน้ารถถึงกึ่งเพลากลางหลัง หากเป็นรถที่มี
เพลาหลงั คู่ ใหถ้ ือกึง่ กลางระหวา่ งเพลาคนู่ ้นั
2.10 มุมข้ึนลาด หมายถงึ มมุ ทเ่ี กิดจากเส้นระดับพื้นดินตดั กนั เสน้ ทีล่ ากสัมผัสหน้ายางล้อหน้าไปยังส่วนท่ี
ยื่นไปข้างหนา้ และตา่ สุดของรถ ไดแ้ ก่ กนั ชนหน้าหรือกวา้ น
2.11 มมุ ลงลาด หมายถึง มมุ ท่เี กิดจากเส้นระดับพื้นดินตัดกับเส้นที่ลากสัมผัสหน้ายางของล้อหลังผ่านจุด
ทยี่ ่ืนออกไปขา้ งทา้ ยและจุดต่าสดุ ของรถ ได้แก่ กนั ชนทา้ ยหรือขอพวงท้าย
2.12 ตัวเลขแสดงล้อในการเรียกชื่อและแบบของรถน้ัน จะต้องมีตัวเลขแสดงไว้ด้วย กล่าวคือ มีตัวเลข
สองตวั คูณกัน เชน่ 6 x 6, 4 x 2, 4 x 4 เปน็ ตน้ ตวั เลขตัวแรก หมายถึง จานวนล้อรับน้าหนักทั้งหมดของรถ เลขตัวที่
สอง หมายถึง จานวนล้อกาลงั ท่สี ามารถออกแรงขับได้ สาหรับล้อทใ่ี ช้ยางคถู่ อื ว่าเปน็ เพยี งลอ้ เดยี ว
3. แบง่ ตามลักษณะการสรา้ ง
3.1 รถใช้งานทั่วไป (General Purpose Vehicle) คือ รถยนต์ท่ีสร้างขึ้นเพ่ือให้ใช้ได้ทั้งการเคล่ือนย้าย
กาลังพล สิ่งอุปกรณ์ หรือยุทธภัณฑ์โดยไม่ต้องดัดแปลงตัวรถ หรือตัวถัง เพื่อให้เหมาะสาหรับใช้งานในการขนส่ง
โดยทว่ั ไป เช่น รถนั่ง รถโดยสาร รถบรรทกุ
3.2 รถเคร่ืองมือพิเศษ (Special Eguipment Vehicle) คือ รถซ่ึงมีตัวรถเหมือนกับรถใช้งานท่ัวไปแต่มี
ตัวถังพิเศษ หรือเครื่องมือพิเศษติดตั้งอยู่ เช่น รถโรงงาน รถซ่อม และรถอื่น ๆ ท่ีดัดแปลงเพ่ือให้ใช้งานในหน้าที่หรือ
บริการพิเศษ
3.3 รถใช้งานพิเศษ (Special Purpose Vehicle) คือ รถที่ออกแบบสร้างให้สนองความต้องการเป็น
พิเศษ และไม่สามารถดัดแปลงจากตัวรถใช้งานท่ัวไปได้ เช่น รถดับเพลิง รถบรรทุกน้ามัน รถซ่อมทาง รถลาก รถ
สะเทิ้นน้าสะเทิ้นบก ฯลฯ
3.4 รถรบ (Combat Vehicle) คือ รถที่ใช้งานพิเศษซ่ึงอาจจะมีหรือไม่มีเกราะ และ/หรือ อาวุธ ซ่ึงสร้าง
ขนึ้ เพ่อื ทาหนา้ ทใ่ี นการรบโดยเฉพาะ เช่น รถลาดตระเวน รถเกราะ รถก่งึ สายพาน รถปนื และรถถงั
3.5 รถพ่วง (Trailers) คือ รถที่ออกแบบสร้างให้ต้องทาการลากจูงและมีคานหรือห่วงสาหรับเกาะกับ
เครอื่ งลากจงู ของรถทใ่ี ช้ลาก หรือมตี าขอเก่ยี วกบั รถลาก
3.6 รถก่ึงพว่ ง (Semitrailer) คือ รถทอ่ี อกแบบสร้างให้ตอ้ งทาการลากจงู ใหบ้ างส่วนของมันรองรับด้วยรถ
ลากจูงโดยใชแ้ ท่นพ่วง (Fifth Wheel) หรอื เครื่องลากจูงแบบเดยี วกนั หรอื มเี ดือ่ งเก่ยี วกับรถลาก
4. คุณลักษณะของรถยนตท์ หาร
รถยนต์ทหารนั้นได้ออกแบบสร้างขึ้นเพ่ือให้มีคุณลักษณะต่างๆ ท่ีจะให้มีความสามารถเต็มตัวในการ
ปฏิบัติงานในสภาพต่างๆ ได้ทุกแง่ความสามารถของรถยนต์ท่ีจะปฏิบัติงานในภูมิประเทศยากลาบากได้นั้นขึ้นอยู่กับ
ผลของการออกแบบสร้างและคุณลักษณะของกาลังเครื่องยนต์ การเข้าใจทราบถึงคุณลักษณะต่างๆ ท่ีสัมพันธ์กัน
เหลา่ น้จี ะช่วยให้ใช้ได้ถกู ตอ้ งและเหมาะสมในสภาพต่างๆ
4.1 การไต่ลาด คือ ความสามารถของรถท่ีจะขึ้นลาดอันหน่ึงขณะท่ีบรรทุกน้าหนักเต็มตัวตามอัตราที่
กาหนดและขบั ดว้ ยเกียร์เดินหนา้ ตา่ สุด
4.2 การเกาะถนน คือ ความสามารถของล้อตา่ งๆ หรือสายพานของรถทจ่ี ะเกาะติดถนน
4.3 การลุยข้าม คอื ความสามารถของรถทีจ่ ะลยุ ไปในนา้ ไดล้ กึ ณ ความลกึ หนง่ึ โดยท่ีเครื่องยนตไ์ มด่ บั
4.4 การลอยตัว คือ ความสามารถของล้อ หรือสายพานท่ีต้านทานการจมลงไปยังพื้นรองรับ
ความสามารถน้ีจะเพ่มิ มากข้นึ ถ้าพ้นื ท่ีแตะดนิ มมี ากขนึ้ คิดเป็นปอนด์/น้าหนัก และจะลดลงตามแรงกดท่ีพื้นดิน ซ่ึงวัด
เป็นปอนด์/ตร.นิ้ว
4.5 แรงเฉื่อย คือ พลังงานท่ีสะสมไว้โดยน้าหนักของรถในขณะเคล่ือนที่ จะเพิ่มขึ้นตามความเร็วของรถ
และนา้ หนักของรถกับนา้ หนกั บรรทุก
4.6 กาลัง คือ กาลังของเคร่ืองยนต์ที่กาเนิดข้ึนและถ่ายทอดไปยังล้อหรือสายพานเพื่อทาให้เกิดการ
เคลอ่ื นที่ กาลงั ของเครอ่ื งยนตเ์ บน็ ซินจะเกิดข้ึนโดยตรง กับการรักษาความเร็วที่ถูกต้องและเหมาะสม การเปลี่ยนเป็น
เกยี ร์ตา่ จะช่วยให้ได้กาลงั ดีขึน้ แตก่ จ็ ะทาให้ความเร็วลดลงตามสว่ น
4.7 คณุ ลกั ษณะอน่ื ๆ คือ คุณลกั ษณะทจี่ ากัด หรือขีดความสามารถการใชร้ ถในสภาพตา่ งๆ เชน่
1) ความสูงใตท้ อ้ งรถ คอื ระยะวัดจากพ้ืนดนิ ถงึ ส่วนทต่ี ่าทสี่ ุดของรถ
2) มมุ ขนึ้ ลาด คอื มมุ ระหว่างเส้นตรงทลี่ ากผ่านจุดสมั ผัสของลอ้ หนา้ หรอื สายพานตอนหน้ากับพื้นดิน
ไปยงั สว่ นอน่ื ท่ียื่นออกไปขา้ งหน้าทสี่ ดุ ของรถกับผิวพ้นื ดนิ
3) มุมลงลาด คือ มมุ ระหว่างเสน้ ตรงท่ีลากผ่านจุดสัมผัสของล้อหลัง หรือสายพานตอนหลังไปยังส่วน
ทย่ี ่ืนออกไปขา้ งหลังสุดของรถกับผวิ พ้นื ดิน
4) วงเล้ยี ว คอื มุมหรอื ระหว่างแนวเพลาหลงั กบั เส้นต้งั ฉากของแนวลอ้ เมอื่ ทาการเล้ียว
5) น้าหนักบรรทุก คือ อัตราบรรทุกใช้งานของรถคิดเป็นตันที่บรรทุกได้ในตัวถัง เช่น ¼ ตัน, ¾ ตัน,
2 ½ ตัน คิดเป็นคนไม่รวมพลขับ และผู้ช่วยพลขับ คิดเป็นแกลลอน หรือลิตร 7.6 น้าหนักบรรทุกท้ังสิ้น คือ น้าหนัก
รวมของนา้ หนักรถ และนา้ หนักบรรทุก
5. รถยนต์สายขนส่ง
หมายถึง รถยนต์ทุกชนิดและทุกประเภทที่กาหนดไว้ว่าเป็นรถยนต์ท่ีอยู่ในความรับผิดชอบ ของกรมการ
ขนส่งทหารบก ตามระเบียบ ทบ. ว่าด้วยความรับผิดชอบในสิ่งอุปกรณ์ พ.ศ. 2535 ทั้งน้ีให้หมายรวมถึง
รถจักรยานยนต์ดว้ ย
5.1 ประเภทรถยนต์สายขนสง่ แบ่งออกเปน็ 6 ประเภท
1) รถยนตบ์ รรทกุ ปกติ
2) รถยนตโ์ ดยสาร
3) รถยนต์นัง่
4) รถยนตเ์ ฉพาะการ
5) รถจกั รยานยนต์
6) รถจกั รยาน 2 ล้อ
5.2 การเรยี กนามรถยนต์สายขนสง่
1) รถยนตบ์ รรทกุ ปกติ แบง่ ตามลกั ษณะการบรรทุกไว้ 3 ขนาด โดยเรยี กนาม ดงั น้ี
1.1) รถยนตบ์ รรทกุ ปกติขนาดเลก็ (รยบ.ปกติขนาดเล็ก) คือ รถยนต์บรรทุกท่ีมีเกณฑ์การบรรทุก
ไดไ้ ม่เกิน 2 ,000 กก.
1.2) รถยนต์บรรทุกปกติขนาดกลาง (รยบ.ปกติขนาดกลาง) คือ รถยนต์บรรทุกที่มีเกณฑ์การ
บรรทุกไดม้ ากกวา่ 2,000 กก. แต่ไมเ่ กิน 6,000 กก.
1.3) รถยนต์บรรทุกปกติขนาดใหญ่ (รยบ.ปกติขนาดใหญ่) คือ รถยนต์บรรทุกท่ีมีเกณฑ์การ
บรรทุกได้มากกว่า 6,000 กก. ขนึ้ ไป
2) รถยนตโ์ ดยสาร แบง่ ตามความจขุ องผโู้ ดยสารไว้ 3 ขนาด โดยเรียกนาม ดังน้ี
2.1) รถยนต์โดยสารขนาดเล็ก (รดส.ขนาดเล็ก) คือ รถยนต์โดยสารที่มีเบาะพนักพิงและจุ
ผโู้ ดยสารได้ไม่เกนิ 15 ที่น่งั
2.2) รถยนต์โดยสารขนาดกลาง (รดส.ขนาดกลาง) คือ รถยนต์โดยสารท่ีมีเบาะพนักพิงและจุ
ผ้โู ดยสารไดม้ ากกว่า 15 ท่ีน่ัง แต่ไม่เกิน 40 ที่นง่ั
2.3) รถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ (รดส.ขนาดใหญ่) คือ รถยนต์โดยสารที่มีเบาะพนักพิงและจุ
ผู้โดยสารไดม้ ากกว่า 40 ที่น่ังขนึ้ ไป
3) รถยนตน์ ่งั แบ่งตามลักษณะการใช้ และขนาดของเคร่ืองยนต์ และเรยี กนาม ดังนี้
3.1) รถยนต์นั่งประจาหน่วย (รยน.ประจาหน่วย) คือ รถยนต์น่ังที่มีปริมาตรกระบอกสูบไม่เกิน
1.300 ซ.ี ซ.ี
3.2) รถยนตน์ ง่ั ประจาตาแหน่ง (รยน.ประจาตาแหนง่ ) คือ รถยนต์น่ังที่มีปริมาตรกระบอกสูบเกิน
1,300 ซี.ซ.ี ถึง 2,000 ซี.ซี.
3.3) รถยนตน์ ั่งพิเศษ (รยน.พิเศษ) คอื รถยนต์นั่งทม่ี ีปรมิ าตรกระบอกสูบเกนิ กวา่ 2,000 ซ.ี ซี.
4) รถยนตเ์ ฉพาะการ คือ รถท่ีจัดไว้สาหรับหน้าท่ีใดหน้าที่หน่ึงโดยเฉพาะการเรียกนามให้เรียกตาม
หน้าที่นั้นๆ เช่น รถยนต์บรรทุกน้า ขนาด 6,000 ลิตร, รถบรรทุกน้ามนั , รถพยาบาล, รถป้นั จน่ั ฯลฯ เปน็ ตน้
5) รถจักรยานยนต์ เรียก รถจกั รยานยนต์
6) รถจักรยาน 2 ล้อ เรยี ก รถจักรยาน 2 ลอ้
คาถามทา้ ยบท
ประเภทยานยนตท์ หารที่ใชใ้ นกองทัพบก
1. คาว่า “รถยนต์ทหาร” ตาม พรบ.รถยนต์ทหาร พทุ ธศักราช 2476 มคี วามหมายวา่ อย่างไร
2. การแบง่ ประเภทของรถยนตท์ หาร แบ่งตามลักษณะการใช้งานมกี ีป่ ระเภท อะไรบา้ ง
3. รถท่ีจดั ไวส้ าหรับเดนิ ขา่ ว คาสงั่ ตดิ ตอ่ ฯลฯ คือรถอะไร
4. การแบง่ ประเภทของยานยนต์ทหาร แบ่งตามลักษณะการสร้างมกี ป่ี ระเภท อะไรบา้ ง
5. รถซึง่ มีตัวรถเหมือนกบั รถใช้งานทั่วไป แต่มตี วั ถังพิเศษ และไมส่ ามารถดัดแปลงจากตัวรถใชง้ านทัว่ ไปได้
คือรถประเภทอะไร
6. รถยนต์สายขนส่ง แบง่ ออกเป็นก่ีประเภท อะไรบา้ ง
7. รถยนต์บรรทุกปกติ แบง่ ตามลักษณะการบรรทกุ ไวก้ ่ีขนาด อะไรบา้ ง
8. รถปคิ อัพ คือรถยนตบ์ รรทุกขนาดใด มชี ือ่ ย่อวา่ อยา่ งไร
9. รถบสั ท่บี รรจุผู้โดยสารไดม้ ากกวา่ 40 ทนี่ งั่ คอื รถโดยสารขนาด มีชอื่ ย่อว่าอย่างไร
10. โดยปกตแิ ล้วพลขับประจาตัว ผบช.จะขบั รถยนตน์ ัง่ ประเภทใดให้ ผบช.นัง่
บทท่ี 2
ท่าสญั ญาณจราจรและเครอื่ งหมายจราจร
1. เครือ่ งหมายจราจร
สภาพการจราจรอันหนาแน่นในปัจจุบัน ทาให้ผู้ขับข่ีจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของผู้
รว่ มใชถ้ นนคนอน่ื ๆ และถอื วา่ เป็นหน้าท่ีท่ีจะต้องทาให้เกิดความปลอดภัย ผู้ขับข่ีและผู้ใช้รถจะต้องเข้าใจเครื่องหมาย
จราจร เคร่ืองหมายจราจรอาจอยใู่ นรปู แบบของตวั อักษรหรือสัญลกั ษณ์ต่างๆ ท่ีสามารถมองเหน็ ได้อย่างชัดเจน เข้าใจ
ง่ายและปฏิบัติตามได้อย่างปลอดภัย ซึ่งส่วนมากจะเป็นสัญลักษณ์ เพราะเข้าใจและจาได้ง่าย เครื่องหมายจราจร
อาจจะแสดงบนแผ่นปูายบนถนนหรือใช้สัญญาณไฟต่างๆ ซึ่งมีความสาคัญมากต่อระบบจราจร เครื่องหมายจราจรจะ
บอกให้ผ้ขู ับขี่และผู้ใชร้ ถใชถ้ นนท่ัวไปเกี่ยวกับกฎต่างๆ ทผ่ี ขู้ ับขีต่ ้องปฏิบัติตาม เปน็ การเตือนให้ทราบเก่ียวกับอันตราย
ที่อาจพบบนถนนข้างหน้า เครื่องหมายจราจรที่ดีนั้น ต้องมีความหมายชัดเจนและต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
เพ่ือให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เข้าใจได้ดี และปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย เครื่องหมายจราจรมัก
เป็นสัญลักษณม์ าตรฐานท่ใี ชก้ นั อยูโ่ ดยทวั่ ไป ซ่ึงมักจะพบเหน็ ได้ในลักษณะ รปู ทรง และสีตา่ งๆ ดงั นี้
2. เครอื่ งหมายชนดิ แผน่ ปูาย
เครื่องหมายจราจรชนดิ แผน่ ปูายเป็นเคร่ืองหมายทแี่ สดงถึงสัญลักษณ์ หรือข้อความบนแผ่นปูายให้ผู้ขับขี่
รถยนต์หรือผู้ใช้ถนนเข้าใจสญั ลกั ษณ์ตา่ งๆ แบ่งออกได้เปน็
2.1 เครอื่ งหมายแผ่นปูายประเภทบงั คบั เปน็ เคร่ืองหมายจราจรทพ่ี บเหน็ อยู่บนถนนและทางหลวงที่
บังคับให้ผู้ขับขี่ปฏบิ ัติตามเมอ่ื เห็นเครอื่ งหมาย ดังนี้
1) "หยุด"
ความหมาย รถทุกชนิดต้องหยุด เมอื่ เหน็ วา่ ปลอดภัยแลว้ จึงใหเ้ คลื่อนรถตอ่ ไปได้ดว้ ยความ
ระมดั ระวงั
2) "ใหท้ าง"
ความหมาย รถทกุ ชนดิ ต้องระมดั ระวงั และให้ทางแกร่ ถและคนเดินเท้าในทางขวางหน้าผ่านไป
ก่อน เมื่อเหน็ วา่ ปลอดภัย และ ไม่เป็นการกีดขวางการจราจรท่บี รเิ วณทางแยกนนั้ แลว้ จึงใหเ้ คล่ือนรถต่อไปไดด้ ้วย
ความระมัดระวัง
3) "ให้รถสวนทางมาก่อน"
ความหมาย ให้ผู้ขบั รถทุกชนดิ หยุดรถตรงปูาย เพ่ือใหร้ ถที่กาลังแลน่ สวนทางมาก่อน ถ้ามีรถ
ขา้ งหนา้ หยุดรออยู่ก่อนกใ็ ห้หยุดรถรอถัดต่อกันมาตามลาดับ เมื่อรถทสี่ วนทางมาได้ผ่านไปหมดแล้ว จงึ ใหร้ ถท่หี ยดุ รอ
ตามปูายน้เี คลื่อนไปได้
4) "ห้ามแซง"
ความหมาย ห้ามมใิ ห้ขบั รถแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นในเขตทางทต่ี ดิ ตง้ั ปาู ย
5) "ห้ามเขา้ "
ความหมาย หา้ มมใิ หร้ ถทุกชนดิ เข้าไปในทางท่ีติดต้งั ปูาย
6) "ห้ามกลับรถไปทางขวา"
ความหมาย ห้ามมิให้กลับรถไปทางขวาไมว่ ่าดว้ ยวิธีใดๆ ในเขตทางทต่ี ดิ ตง้ั ปาู ย
7) "หา้ มกลับรถไปทางซ้าย"
ความหมาย ห้ามมิให้กลบั รถไปทางซา้ ยไมว่ ่าด้วยวิธใี ดๆ ในเขตทางที่ตดิ ตง้ั ปูาย
8) "ห้ามเล้ียวซ้าย"
ความหมาย ห้ามมใิ หเ้ ลย้ี วรถไปทางซา้ ย
9) "ห้ามเลีย้ วขวา"
ความหมาย หา้ มมิใหเ้ ลีย้ วรถไปทางขวา
10) "ห้ามรถยนต"์
ความหมาย หา้ มรถยนตท์ ุกชนิดผา่ นเข้าไปในเขตทางท่ีตดิ ต้ังปูาย
11) “หา้ มรถสามลอ้ ”
ความหมาย ห้ามรถสามล้อผ่านเข้าไปในเขตทางท่ีติดตั้งปาู ย
12) “หา้ มรถจักรยาน”
ความหมาย ห้ามรถจักรยานผ่านเข้าไปในเขตทางที่ตดิ ตง้ั ปาู ย
13) “ห้ามรถจกั รยาน รถสามล้อ รถจักรยานยนต์”
ความหมาย ห้ามรถจักรยาน รถสามลอ้ รถจกั รยานยนต์ ผา่ นเขา้ ไปในเขตทางทต่ี ดิ ตั้งปาู ย
14) “หา้ มคน”
ความหมาย หา้ มคนผ่านเข้าไปในเขตทางทีต่ ดิ ต้ังปูาย
15) “จากัดความเร็ว”
ความหมาย ห้ามมใิ หผ้ ู้ขับรถทุกชนิดใช้ความเรว็ เกินกว่าทก่ี าหนดเป็นกโิ ลเมตรตอ่ ชัว่ โมง ตาม
จานวนตวั เลขในแผน่ ปูายนนั้ ๆ ในเขตทางทตี่ ดิ ตั้งปาู ย จนกวา่ จะพน้ ทสี่ ดุ ระยะทจ่ี ากัดความเรว็ น้นั
16) “ห้ามรถหนักเกินกาหนด”
ความหมาย หา้ มมใิ ห้รถทุกชนดิ ทมี่ นี า้ หนักเกนิ กวา่ ท่ีกาหนดหรือเม่ือรวมน้าหนักรถกับ น้าหนกั
บรรทุก เกนิ กว่าที่กาหนดไวเ้ ป็น “ตนั ” ตามจานวนเลขในเครอ่ื งหมายนัน้ ๆ เข้าไปในเขตทางทีต่ ิดตั้งปาู ย
17) “หา้ มรถกว้างเกินกาหนด”
ความหมาย ห้ามมใิ ห้รถทกุ ชนดิ ทม่ี ขี นาดกวา้ งเกินกาหนดเป็น “เมตร” ตามจานวนเลขใน
เครือ่ งหมายนั้น เขา้ ไปในเขตทางท่ีติดต้ังปูาย
18) “ทางเดินรถทางเดียวไปทางซา้ ย”
ความหมาย ให้ขบั รถไปทางซา้ ยแตท่ างเดียว
19) “ใหช้ ิดขวา”
ความหมาย ให้ขับรถผ่านไปทางขวาของปาู ย
20) “ให้เลยี้ วซ้าย”
ความหมาย ใหข้ บั รถเล้ียวไปทางซ้ายแตท่ างเดียว
21) “ให้เลี้ยวขวา”
ความหมาย ให้ขบั รถเลย้ี วไปทางขวาแตท่ างเดยี ว
22) “ให้เลีย้ วซา้ ยหรือเล้ยี วขวา
ความหมาย ใหข้ บั รถไปทางซา้ ย หรอื ไปทางขวา
23) “ให้ไปทางซา้ ยหรือทางขวา”
ความหมาย ให้ขับรถผา่ นไปทางด้านซา้ ยหรอื ทางด้านขวาของปูาย
24) “วงเวียน”
ความหมาย ให้รถทกุ ชนดิ เดินวนทางซา้ ยของวงเวียนและรถท่ีเริ่มจะเขา้ สู่ทางรว่ มบรเิ วณวงเวียน
ต้องหยุดให้สิทธิแก่รถที่เล่นอยู่ในทางรอบวงเวียนไปก่อน ห้ามขับรถแทรกหรือตัดหน้ารถท่ีอยู่ในทางรอบบริเวณวง
เวียน
25) “สุดเขตบงั คบั ”
ความหมาย พ้นสุดระยะทีบ่ ังคบั ตามความหมายของปูายบงั คับทีต่ ดิ ต้งั ไว้ก่อน
26) “ห้ามหยุดรถ”
ความหมาย ห้ามมใิ ห้หยุดรถทุกชนิดตรงแนวน้ันเปน็ อั้นขาด
27) “หา้ มจอดรถ”
ความหมาย ห้ามมใิ หจ้ อดรถทุกชนดิ ระหว่างแนวน้ัน เวน้ แตก่ ารรับ – สง่ คน หรือสิ่งของช่ัวขณะ
ซ่ึงตอ้ งกระทาโดยมชิ ักช้า
28) “ใหร้ ถตรงไป”
หมายความ ว่าผู้ขับขต่ี อ้ งขบั รถตรงไปตามทศิ ทางทปี่ าู ยกาหนด เปน็ ทางเดนิ รถทางเดยี วเท่านน้ั
หา้ มมิให้ไปทางซ้ายหรอื ไปทางขวา
29) “ทางเดินรถทางเดยี วไปทางขวา”
หมายความวา่ ทางขา้ งหนา้ เป็นทางบงั คบั ใหเ้ ดนิ รถทางเดยี วไปทางขวาเท่านนั้ ห้ามมใิ หข้ ับรถไป
ทางซา้ ย
30) “ให้ชิดซา้ ย”
หมายความว่า ให้ขบั รถไปทางดา้ นซ้ายของเคร่ืองหมาย
31) “ให้ชิดขวา”
หมายความว่า ให้ขับรถไปทางดา้ นขวาของเคร่ืองหมาย
32) “ให้เลีย้ วขวา”
หมายความว่า ใหข้ ับรถเล้ียวไปทางขวาแตท่ างเดียว
33) “ใหเ้ ลี้ยวซา้ ยหรือเล้ียวขวา”
หมายความว่า ให้ขบั รถไปทางซา้ ย หรือไปทางขวา
34) “ใหต้ รงไปหรือเลยี้ วขวา”
หมายความวา่ ผขู้ บั ขีต่ อ้ งขับรถตรงไปหรือเลีย้ วไปทางขวาเท่านั้น
35) “วงเวยี น”
หมายความว่า ให้รถทุกชนิดเดินวนทางซ้ายของวงเวียน และรถที่เร่ิมจะเข้าสู่ทางร่วมบริเวณวง
เวียนตอ้ งหยุด ให้สทิ ธิแก่รถท่เี ล่นอยู่ในทางรอบวงเวยี นไปก่อน หา้ มขบั รถแทรกหรือตัดหน้ารถที่อยู่ในทางรอบบริเวณ
วงเวียน
36) “ช่องเดินรถประจาทาง”
หมายความว่า ช่องเดนิ รถทต่ี ิดตัง้ ปาู ยเป็นบรเิ วณที่กาหนดให้เป็นชอ่ งเดนิ รถประจาทาง
37) “ชอ่ งเดินรถมวลชน”
หมายความว่า ช่องเดนิ รถทีต่ ดิ ต้ังปูายเปน็ บรเิ วณที่กาหนดใหเ้ ปน็ ชอ่ งเดินรถมวลชน และให้ใช้ได้
เฉพาะรถที่มีจานวนคนบนรถไม่นอ้ ยกวา่ ตวั เลขทีร่ ะบุในปูาย
38) “ช่องเดินรถจกั รยาน”
หมายความวา่ ชอ่ งเดินรถทต่ี ิดตัง้ ปาู ยเป็นบริเวณท่ีกาหนดใหเ้ ป็นชอ่ งเดนิ รถจักรยาน
2.2 เครอ่ื งหมายแผน่ ปูายประเภทเตอื น เป็นเคร่อื งหมายทแี่ สดงเตือนให้ผู้ขบั ข่ีทราบเพือ่ ให้เกิดความ
ระมัดระวงั เพิ่มขนึ้ ดังน้ี
1) “ทางโคง้ ซ้าย”
ความหมาย ทางข้างหนา้ โค้งไปทางซ้าย ใหข้ ับรถใหช้ ้าลงพอสมควรและเดินรถชิดดา้ นซา้ ยดว้ ย
ความระมัดระวัง
2) “ทางโคง้ ขวา”
ความหมาย ทางข้างหนา้ โค้งไปทางขวา ใหข้ ับรถใหช้ ้าลงพอสมควรและเดินรถชดิ ดา้ นขวาดว้ ย
ความระมัดระวัง
3) “ทางโค้งรศั มีแคบเล้ียวซา้ ย”
ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรัศมแี คบไปทางซ้าย ให้ขบั รถให้ชา้ ลงพอสมควรและเดินรถชิด
ดา้ นซ้ายด้วยความระมัดระวงั
4) “ทางโค้งรัศมแี คบเล้ยี วขวา”
ความหมาย ทางข้างหนา้ โค้งรัศมีแคบไปทางขวา ให้ขบั รถใหช้ า้ ลงพอสมควรและเดนิ รถชิด
ด้านขวาด้วยความระมดั ระวัง
5) “ทางโค้งรัศมแี คบเรมิ่ ซา้ ย”
ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรศั มแี คบไปทางซา้ ยแล้วกลบั ให้ขับรถให้ชา้ ลงพอสมควรและเดนิ รถ
ชดิ ด้านขวาดว้ ยความระมดั ระวงั
6) “ทางโค้งรัศมีแคบเริ่มขวา”
ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางขวาแลว้ กลบั ใหข้ ับรถให้ชา้ ลงพอสมควรและเดนิ รถ
ชิดด้านขวาดว้ ยความระมัดระวัง
7) “ทางคดเค้ียวเริ่มซา้ ย”
ความหมาย ทางข้างหนา้ เป็นทางคดเค้ยี วโดยเริม่ ไปทางซ้าย ให้ขบั รถให้ชา้ ลงพอสมควรและเดนิ
รถชิดดา้ นซ้ายด้วยความระมัดระวงั
8) “ทางคดเค้ยี วเรม่ิ ขวา”
ความหมาย ทางขา้ งหน้าเป็นทางคดเคยี้ วโดยเรม่ิ ไปทางขวา ใหข้ ับรถให้ชา้ ลงพอสมควรและเดิน
รถชิดดา้ นซ้ายด้วยความระมัดระวงั
9) “ทางโทตดั ทางเอก”
ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางโทตัด ใหข้ บั รถด้วยความระมดั ระวัง
10) “ทางโทแยกทางเอกทางซา้ ยรูปตวั วาย”
ความหมาย ทางข้างหน้ามที างโทแยกจากทางเอกไปทางซ้ายเปน็ รูปตวั วาย ใหข้ บั รถดว้ ยความ
ระมัดระวงั
11) “ทางโทแยกทางเอกทางซ้าย”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ มที างแยกไปทางซา้ ยให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง
12) “ทางโทแยกทางเอกทางขวา”
ความหมาย ทางขา้ งหน้ามที างแยกไปทางขวาใหข้ ับรถด้วยความระมัดระวงั
13) “ทางโทแยกทางเอกเยอื้ งกันเร่ิมซ้าย”
ความหมาย ทางข้างหนา้ มีทางโทแยกไปทางซา้ ยและหลงั จากนนั้ มีทางโทแยกไปทางขวา ให้ขับ
รถด้วยความระมัดระวงั
14) “ทางโทแยกทางเอกเย้ืองกนั เรมิ่ ขวา”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ มีทางโทแยกไปทางขวาและหลังจากน้ันมที างโทแยกไปทางซ้าย ใหข้ ับ
รถด้วยความระมัดระวงั
15) “ทางโทเชือ่ มทางเอกจากซา้ ย”
ความหมาย ทางข้างหนา้ มที างโทเข้ามาเชือ่ มด้านซา้ ย ใหข้ ับรถดว้ ยความระมัดระวงั
16) “ทางโทเช่อื มทางเอกจากขวา”
ความหมาย ทางข้างหนา้ มีทางโทเข้ามาเชอ่ื มดา้ นขวา ให้ขับรถดว้ ยความระมดั ระวงั
17) “วงเวียนข้างหน้า”
ความหมาย ทางข้างหน้าจะเปน็ ทางแยกมวี งเวยี น ให้ขับรถให้ชา้ ลง และเดินรถด้วยความ
ระมัดระวัง
18) “ทางแคบลงทง้ั สองด้าน”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ แคบลงกว่าทางที่กาลงั ผ่านท้งั สองด้าน ผูข้ ับรถจะต้องขบั รถใหช้ า้ ลง
และเพ่ิมความระมัดระวังย่ิงข้ึน ขณะท่รี ถผ่านทางแคบผขู้ ับรถจะต้องระมดั ระวงั มใิ ห้รถชนหรอื เสียดสกี นั
19) “ทางแคบด้านซ้าย”
ความหมาย ทางขา้ งหน้าด้านซา้ ยแคบลงกว่าทางทก่ี าลังผ่าน ผู้ขบั รถตอ้ งขบั รถใหช้ า้ ลง และ
เพิ่มความระมัดระวังยิง่ ข้นึ
20) “ทางแคบดา้ นขวา”
ความหมาย ทางข้างหน้าด้านขวาแคบลงกวา่ ทางท่ีกาลังผา่ น ผู้ขบั รถต้องขับรถใหช้ ้าลง และเพิ่ม
ความระมัดระวงั ย่ิงข้ึนความ
21) “สะพานแคบ”
ความหมาย ทางข้างหน้ามีสะพานแคบ รถเดินหลีกกันไม่ได้ ให้ขับรถให้ช้าลงและระมัดระวัง
อนั ตรายจากรถทีจ่ ะสวนมา จากอกี ฝาุ ยหนง่ึ ของสะพาน ถ้ามปี ูายอื่นตดิ ตงั้ อยู่ ก็ให้ปฏบิ ตั ิตามปาู ยน้นั ๆ ดว้ ย
22) . “ทางข้ามทางรถไฟไม่มีเครื่องกั้นทาง”
ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางรถไฟตัดผา่ นและไมม่ เี ครื่องกน้ั ทาง ใหข้ ับรถให้ชา้ ลงให้มาก และ
สงั เกตดรู ถไฟท้งั ทางขวาและทางซ้าย ถ้ามีรถไฟกาลงั จะผ่านมาให้หยุดรถใหห้ ่างจากทางรถไฟอยา่ งน้อย 5 เมตร แลว้
รอคอยจนกว่ารถไฟนน้ั ผ่านพ้นไปและปลอดภัยแลว้ จงึ เคลื่อนรถต่อไปได้ ห้ามมิให้ขับรถตัดหนา้ รถไฟในระยะที่
อาจจะเกิดอันตรายไดเ้ ป็นอนั ขา
23) “ทางข้ามทางรถไฟมีเครือ่ งกั้นทาง”
ความหมาย หน้าท่ไี ดก้ นั้ ทาง หรอื มเี คร่อื งกน้ั ทางปดิ กั้น ถา้ มรี ถข้างหนา้ หยดุ รออยู่ก่อนกใ็ หห้ ยดุ
รถถดั ต่อมาตามลาดบั เมื่อเปิดเครอื่ งก้ันทางแลว้ ใหร้ ถที่หยุดรอเคล่ือนที่ตามกนั ได้
24) “ทางข้ึนลาดชัน”
ความหมาย ทางขา้ งหน้าเปน็ ทางลาดชันข้ึนเขาหรอื ข้นึ เนิน สันเขาหรือสันเนนิ อาจกาบงั สายตา
ไม่ให้มองเห็นรถที่สวนมา ให้ขบั รถใหช้ า้ ลงและเดนิ รถใกล้ขอบทางดา้ นซ้ายใหม้ าก กับใหร้ ะมัดระวังอันตรายจากรถท่ี
สวนทางมา
25) “ทางลงลาดชนั ”
ความหมาย ทางข้างหน้าเป็นทางลาดลงเขาหรือลงเนิน ให้ขับรถให้ช้าลงเดินรถใกล้ขอบทาง
ดา้ นซ้ายให้มาก และผขู้ บั รถไมค่ วรปลดเกยี รห์ รือดบั เครอ่ื งยนตเ์ ปน็ อนั ขาดในกรณีท่ีเป็นทางลง เขา หรือเนินท่ีชันมาก
ใหใ้ ช้เกียรต์ า่ เพอ่ื ความปลอดภัย
26) “เตือนรถกระโดด”
ความหมาย ทางขา้ งหน้าเปลย่ี นระดับอยา่ งกะทันหัน เชน่ บรเิ วณคอสะพาน ทางข้ามทอ่
ระบายน้า และคนั ชะลอความเร็วเปน็ ตน้ ให้ขบั รถให้ชา้ ลงและเพ่ิมความระมดั ระวงั
27) “ผิวทางขรุขระ”
ความหมาย ทางข้างหน้าขรุขระมากมหี ลุมมีบ่อ หรอื เปน็ สันติดตอ่ กนั ให้ขับรถให้ช้าลงและ
เพม่ิ ความระมัดระวัง
28) “ทางล่นื ”
ความหมาย ทางขา้ งหน้าลืน่ เมือ่ ผิวทางเปยี กอาจเกดิ อุบัติเหตุได้งา่ ย ให้ขับรถให้ช้าลงใหม้ าก
และระมัดระวังการลนื่ ไถล อยา่ ใชห้ า้ มลอ้ โดยแรงและทันที การหยดุ รถ การเบารถ หรือเลี้ยวรถในทางลน่ื ตอ้ งกระทา
ด้วยความระมดั ระวังเป็นพเิ ศษ
29) “ผิวทางรว่ น”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ มวี ัสดผุ ิวทางหลุดกระเด็นเมอื่ ขับรถดว้ ยความเร็วสูงใหข้ ับรถให้ ช้าลง
และระมดั ระวังอนั ตราย อนั อาจเกดิ จากวสั ดุผิวทาง
30) “สะพานเปิดได้”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ จะต้องผ่านสะพานทส่ี ามารถเปิดให้เรือลอด ใหข้ บั รถใหช้ ้าลงและ
ระมัดระวงั ในการหยุดรถ เมื่อเจ้าหน้าทจ่ี ะปิดก้นั ทางเพื่อเปิดสะพานให้เรือผ่านเพ่อื ไม่ให้เกดิ อันตรายต่อรถขา้ งหนา้
และรถข้างหลัง
31) “ทางรว่ ม”
ความหมาย ทางขา้ งหน้าจะมรี ถเข้ามาร่วมในทิศทางเดียวกนั จากทางซ้ายหรอื ทางขวาตาม
ลักษณะ สัญลักษณ์ในปาู ย ผู้ขับรถจะต้องขบั รถใหช้ า้ ลง และเดินรถด้วยความระมัดระวัง
32) “ทางคู่ขา้ งหนา้ ”
ความหมาย ทางข้างหน้าเปน็ ทางค่มู ีเกาะหรอื สิ่งอนื่ ใดแบ่งการจราจรออกเป็นสองทางไปทาง
หนง่ึ มาทางหนงึ่ ให้ขบั รถชิดไปทางด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง
33) “สิ้นสดุ ทางคู่”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ เปน็ ทางรว่ มท่ีไมม่ เี กาะหรือส่ิงอืน่ ใดแบ่งการจราจร ให้ขบั รถช้าลงและ
ชิดดา้ นซ้ายของทาง และเพ่ิมความระมัดระวงั ยง่ิ ขน้ึ
34) “จดุ กลบั รถ”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ จะมีที่กลับรถ
35) “สัญญาณจราจร”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ มีสญั ญาณไฟจราจร ให้ขับรถช้าลงและพร้อมท่จี ะปฏิบตั ิตามสญั ญาณ
ไฟจราจร
36) “หยดุ ข้างหน้า”
ความหมาย ทางขา้ งหน้ามีเครอ่ื งหมายหยุดติดต้ังอยู่ ใหผ้ ูข้ บั รถเตรียมพร้อมท่จี ะหยุดรถได้ทนั ที
เม่อื ขับรถถงึ ปูายหยุด
37) “ระวงั คนข้ามถนน”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ มที างสาหรบั คนข้ามถนนหรือมหี มบู่ ้านราษฎรอยูข่ า้ งทาง ซ่ึงมีคนเดนิ
ข้ามไปมาอยู่เสมอ ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและ ระมัดระวังคนข้ามถนน ถ้ามีคนกาลังเดนิ ขา้ มถนนใหห้ ยุดรถให้คน
เดนิ ขา้ มถนนไปได้โดยปลอดภัย
38) “ระวงั คนข้ามถนน”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ มีโรงเรียนตั้งอย่ขู ้างทาง ให้ขับรถใหช้ า้ ลงและระมัดระวังอุบตั ิเหตซุ ึง่
อาจจะเกดิ ขนึ้ แก่เด็กนักเรยี น ถา้ มีเด็กนกั เรียนกาลงั เดนิ ข้ามถนนใหห้ ยุดรถใหเ้ ดก็ นักเรยี นขา้ มถนนไปได้โดย
ปลอดภัย ถา้ เป็นเวลาที่โรงเรียนกาลังสอน ให้งดใชเ้ สียงสัญญาณและหา้ มทาใหเ้ กิดเสยี งรบกวนด้วยประการ ใด ๆ
39) “ระวังสตั ว์”
ความหมาย ทางข้างหนา้ อาจมีสัตวข์ า้ มทางให้ขบั รถให้ชา้ ลง และระมัดระวังอันตรายเปน็ พเิ ศษ
40) “ระวังอนั ตราย”
ความหมาย ทางข้างหน้ามอี นั ตราย เช่น เกดิ อบุ ัติเหตุ ทางทรุด เปน็ ตน้ ให้ขับรถให้ช้าลงใหม้ าก
และระมัดระวงั อันตรายเปน็ พิเศษ
41) “เขตหา้ มแซง”
ความหมาย ใชต้ ิดตัง้ ทางด้านขวาของทาง หมายความวา่ ทางชว่ งน้นั มรี ะยะมองเห็นจากดั ผขู้ ับ
รถไมส่ ามารถมองเหน็ รถท่ีสวนมาในระยะทจี่ ะแซงรถอน่ื ได้
42) “เคร่อื งหมายลกู ศรคู่”
ความหมาย มีเกาะหรือส่ิงกีดขวางอยู่กลางทางจราจร ยวดยานสามารถผ่านไปได้ทั้งทางซา้ ย
และทางขวาของปูาย
43) “อุบตั ิเหตุข้างหนา้ ”
ความหมาย ทางข้างหน้ามีอบุ ัติเหตเุ กดิ ขึ้น อาจมียวดยานหรือสิง่ อ่ืนกีดขวางทางจราจร
44) “ทางเบี่ยงซ้าย”
ความหมาย ทางข้างหนา้ มกี ารก่อสร้างทางหลวง การจราจรจะต้องเปลีย่ นแนวทางไปใชท้ าง
เบี่ยงหรือทางชั่วคราวทางด้านซา้ ย
45) “ทางเบ่ียงขวา”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ มีการก่อสรา้ งทางหลวง การจราจรจะต้องเปลย่ี นแนวทางไปใชท้ าง
เบ่ยี งหรอื ทางชัว่ คราวทางดา้ นขวา
46) “เครอ่ื งจักรกาลงั ทางาน”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ มีเครอ่ื งจกั รกาลังทางานอยู่ข้างทาง และล้าเขา้ มาในผิวจราจร หรอื ใกล้
ผิวจราจรเปน็ ครงั้ คราว
47) “คนทางาน”
ความหมาย ทางข้างหน้ามคี นงานกาลงั ทางานอยู่บนผิวจราจรหรอื ใกลช้ ิดกับผิวจราจร
48) “สารวจทาง”
ความหมาย ทางขา้ งหนา้ มีเจา้ หนา้ ท่ีกาลงั ทาการสารวจทางอยบู่ นผิวจราจรหรือใกล้ชิดกบั ผิว
จราจร
2.3 เครอื่ งหมายและขอ้ ความบนผิวจราจร
เป็นเคร่ืองหมายท่ีทาขึ้นบนพื้นผิวจราจร แสดงให้ผู้ขับขี่หรือผู้ใช้ถนนได้ทราบ รวมทั้งเคร่ืองหมาย
ต่างๆ ที่เขียนบนผิวถนนอย่างเดียวหรือใช้ร่วมกับเครื่องหมายบนเสาที่ปักไว้ข้างถนน ข้อดีของเครื่องหมายประเภทน้ี
คอื ผู้ขับข่ีหรอื ผู้ใช้ถนนเห็นได้ง่าย เมื่อเคร่ืองหมายจราจรอ่ืนๆ อาจถูกบดบังด้วยการจราจรบนถนนและยังใช้ได้อย่าง
ตอ่ เนื่อง เม่ือขบั ข่ไี ปตามถนน เคร่อื งหมายที่พบเหน็ อยโู่ ดยทวั่ ไปมีดัง่ น้ี
1) เส้นแบ่งทิศทางจราจรปกติ (เป็นเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร ยาว 200 เซนติเมตร
เว้นช่องหา่ ง 200 เซนตเิ มตร) ความหมาย ให้ขบั รถในด้านซ้าย เลยี้ วขวาหรอื แซงหนา้ รถคันอื่นไดเ้ ม่อื ปลอดภยั
2) เสน้ แบ่งทิศทางจราจรเตือน (เป็นเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร ยาว 300 เซนติเมตร
เว้นช่องห่าง 100 เซนติเมตร) ความหมาย ให้ทราบว่าจะถึงเขตทางข้าม แยก เขตห้ามแซง เว้นแต่จะเปลี่ยนเส้นทาง
เดินรถ หรือกลับรถ ขับข้ามเส้นได้แต่ต้องระวังเป็นพิเศษ (สังเกตดูจะเห็นว่าเส้นจะยาวกว่า เส้นแบ่งทิศทางจราจร
ปกติ)
3) เสน้ แบง่ ทิศทางจราจรหา้ มแซง (เส้นทึบสีขาว ขนาดกว้าง 15 เซนตเิ มตร) ความหมาย ห้ามแซง
หรือขับรถผา่ นคร่อมเส้นโดยเด็ดขาด
4) เส้นแบง่ ทิศทางจราจร คู่ (เส้นทึบคเู่ สน้ ประ) (เป็นเส้นทึบสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ขนาน
ไปกับเส้นประสีขาวขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 200 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 200 เซนติเมตร เส้นท้ังสองมี
ระยะห่างกัน 15 เซนติเมตร) ความหมายรถทางเสน้ ทึบห้ามแซง ขบั รถผ่าน หรือครอ่ มเสน้ โดยเด็ดขาด
5) เส้นแบง่ ทศิ ทางจราจร ห้ามแซงคู่ (เสน้ ทบึ คู)่ (เป็นเสน้ ทบึ สีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ขนาน
กันมีระยะห่างระหว่างเส้น 15 เซนติเมตร) ความหมาย ห้ามขับรถผ่าน ขับรถคร่อมเส้น ห้ามแซงโดยเด็ดขาดทั้ง
สองทิศทาง
6) เสน้ แบง่ ชอ่ งเดินรถปกติ (เปน็ เสน้ ประสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 100 เซนติเมตร เว้น
ช่องห่าง 300 เซนติเมตร ) ความหมาย ให้ขับรถในช่องเดินรถห้ามขับคร่อมเส้นหรือทับเส้นเว้นแต่จะเปล่ียนช่องเดิน
รถหรอื กลับรถ
7) เครื่องหมาย “เส้นแบ่งช่องเดินรถเตือน” หมายความว่า เส้นแบ่งช่องเดินรถประเภทเตือนเป็น
เส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 300 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 100 เซนติเมตร ความหมาย แสดงให้
ทราบว่าใกลจ้ ะถงึ เสน้ แบง่ ชอ่ งเดินรถหา้ มแซง หา้ มขับคร่อมเสน้ ชอ่ งเดนิ รถ เวน้ แต่จะเปลย่ี นชอ่ งเดนิ รถ
8) เสน้ แบ่งชอ่ งเดินรถหา้ มแซง (เปน็ เส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนตเิ มตร) ความหมาย หา้ มแซง
โดยเด็ดขาด ห้ามขบั รถผ่านหรือครอ่ มเส้น หรอื กลบั รถ
9) เสน้ ขอบทาง (เสน้ ประสขี าว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร เวน้ ชอ่ งห่าง 60
เซนติเมตร) ความหมาย ให้ขับรถในชอ่ งทางจราจรด้านขวาของเส้น
10) เสน้ แบ่งเดนิ รถประจาทาง (เสน้ ทึบสเี หลอื งขนาดกว้าง 20 เซนตเิ มตร) ความหมาย รถประจา
ทางหรอื รถบรรทกุ คนโดยสารทอ่ี ธิบดกี รมตารวจกาหนด ให้ใชช้ ่องทางเดินรถดา้ นซ้ายของเส้นนี้ รถประเภทอน่ื หา้ ม
ขับผ่านเข้าไปในชอ่ งน้ี
11) เส้นแบ่งภายในช่องเดนิ รถประจาทาง ความหมาย ให้รถประจาทางหรือรถทีก่ าหนดวง่ิ ใน
ช่องทางไดท้ ้งั 2 ช่อง ทัง้ ซ้ายและขวาของเส้นนี้
12) เส้นแบ่งช่องเดินรถประจาทางสามารถข้ามผ่านได้ (เส้นทึบสีเหลืองขนาดกว้าง 20 เซนติเมตร
ยาว 60 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 30 เซนติเมตร) ความหมาย รถประจาทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารท่ีอธิบดีกรม
ตารวจกาหนด ให้ใชช่ ่องเดินรถทางดา้ นซ้าย ของเสน้ นี้ รถประเภทอ่ืนให้ขับผ่านไดก้ รณีจะเข้าออกจากซอยหรือเลี้ยว
13) จุดเร่ิมต้นช่องเดินรถประจาทาง ความหมาย รถประจาทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารที่อธิบดี
กรมตารวจกาหนด ให้ผ่านเข้าไปในช่องเดินรถประจาทางหลังจุดน้ี รถประเภทอ่ืนห้ามขับเข้าไปในช่องเดินรถประจา
ทางหลงั จุดนี้
14) เส้นแนวหยดุ (เสน้ ขวางถนน เป็นเส้นทึบสีขาว ขนาดกว้าง 40 เซนติเมตร) ความหมาย ให้ผู้ขับ
รถหยุดรถก่อนถึงแนวเส้นขวางทุกคร้ังเพ่ือดูจังหวะรถว่างหรือรอให้คนข้าม ในทางข้ามข้างหน้าผ่านไปก่อนเม่ือ
ปลอดภยั จงึ ขบั รถผา่ นไป
15) เส้นให้ทาง (เส้นขวางถนน เป็นเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 40 เซนติเมตร ยาว 60 เซนติเมตร
เว้นชอ่ งหา่ ง 30 เซนตเิ มตร) ความหมาย เป็นเส้นประสีขาวข้ามถนนให้ผู้ขับข่ีขับรถให้ช้าลง แล้วดูให้รถอื่นที่ออกจาก
ทางร่วม หรือคนเดนิ เท้าในทางขา้ มทขี่ วางหนา้ ผ่านไปกอ่ น เหน็ ปลอดภัยแล้วจงึ ขับรถผ่านไป
16) เส้นทแยงสาหรับทางแยก (เป็นเส้นทึบสีเหลืองขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร ลากทแยงตัดกันทา
มมุ 45 องศา ห่างกัน 200 เซนตเิ มตร ภายในกรองเสน้ ทบึ สเี หลือง ขนาดกวา้ ง 20 เซนตเิ มตร) ความหมาย เป็นเส้น
ทบึ สเี หลืองลากทแยงมุม ห้ามหยดุ รถทุกชนดิ ภายในกรอบเสน้ ทแยงนี้
3. ทา่ สญั ญาณจราจร
ท่าทางที่ผู้ควบคุมการใช้ยวดยานเส้นทางนั้นๆปฏิบัติเพ่ือให้ผู้ใช้เส้นทางน้ันปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
จะพบเหน็ ได้บอ่ ยครง้ั คือ ตารวจจราจร จราจรหา้ งสรรพสนิ ค้า สนามบิน หรือที่ต่างๆ เพ่ือจัดระเบียบยวดยานท่ีอยู่ใน
เส้นทางน้ันๆใหเ้ ปน็ ระเบียบ ซ่งึ จะยกตวั อยา่ งให้ดู 5 ทา่ สญั ญาณ
3.1 หา้ มรถทางด้านหน้า
ใช้สาหรับห้ามรถหรือหยุดทางด้านหน้า ลักษณะ ยืนแยกเท้าซ้ายไปด้านข้างประมาณครึ่งก้าว
แขนขวาเหยียดตึงไปทางขวามือของตัวเองในแนวขนานกับพื้น แล้วหักข้อศอกข้ึนให้ตั้งฉาก นิ้วท้ังห้าเรียงชิดติดกัน
หันฝาุ มอื ออกไปทางดา้ นหนา้ แขนซ้ายไขว้ไว้ทางดา้ นหลงั (ตามรปู )
3.2 ห้ามรถทางดา้ นขวา
ใช้สาหรับห้าม หรือ หยุดรถ ทางด้านขวา ลักษณะ ยืนแยกเท้าซ้ายไปทางด้านข้างประมาณคร่ึงก้าว
แขนขวาเหยียดตึงไปทางขวามือของตัวเองในแนวขนานกับพ้ืน หักข้อมือข้ึนให้ต้ังฉาก น้ิวทั้งเรียงชิดติดกัน หันฝุามือ
ออกไปทางขวา แขนซา้ ยไขว้ไว้ทางดา้ นหลัง (ตามรปู )
3.3 หา้ มรถทางดา้ นหลงั
ใช้สาหรับห้าม หรือ หยุดรถที่อยู่ด้านหลัง ลักษณะ ยืนแยกเท้าซ้ายไปทางด้านข้างประมาณครึ่งก้าว
แขนซา้ ยเหยียดตงึ ไปทางซา้ ยมอื ของตวั เอง ในแนวขนานกับพ้ืน หันฝุามือออกไปทางด้านหน้า นิ้วท้ังห้าเรียงชิดติดกัน
แขนขวาไขวไ้ วท้ างด้านหลัง (ตามรูป)
3.4 ห้ามรถทางดา้ นซ้ายและด้านขวา
ใชส้ าหรบั หยุกดรถทั้ง 2 ทาง คอื ทางซา้ ยและขวา ลกั ษณะ ยืนแยกเทา้ ซา้ ยไปทางดา้ นข้างประมาณ
คร่ึงก้าว แขนท้ังสองขา้ งกางออกไปทางซ้ายและขวาเหยียดให้ตึงในแนวขนานกับพื้น หักข้อมือทั้งสองให้ตั้งฉาก น้ิวท้ัง
ห้าเรยี งชิดตดิ กัน หนั ฝุามอื ท้ังสองออกทางด้านขา้ ง (ตามรูป)
3.5 หา้ มรถทางดา้ นหนา้ และดา้ นหลัง
ใชส้ าหรับหา้ มรถ หรือ หยดุ ทัง้ สองทาง คอื ทางด้านหน้าและทางด้านหลัง ลักษณะ ยืนแยกเท้าซ้าย
ไปทางด้านข้างประมาณคร่ึงก้าว แขนขวาเหยียดตึงไปทางขวามือของตัวเองในแนวขนานกับพื้นแล้วหักข้อศอกขึ้นให้
ตั้งฉาก นว้ิ ท้งั ห้าเรยี งชิดติดกัน หันฝาุ มอื ออกไปทางด้านหนา้ แขนซ้ายเหยียดตึงไปทางซ้ายมือของตัวเองในแนวขนาน
กับพืน้ หนั ฝาุ มือออกไปทางดา้ นหน้า น้ิวทัง้ ห้าเรยี งชิดตดิ กนั (ตามรปู )
ยงั มีท่าสญั ญาณอีกหลายทา่ และ ปูายจราจรอกี หลายปาู ยท่ไี ม่ไดน้ ามาให้ นนส.ศึกษา แต่ส่ิงเหล่านี้เรามักพบ
เห็นในชีวิตประจาวันบอ่ ยๆ เราควรทาความเข้าใจกบั ปูายจราจรและท่าสญั ญาณท่ีเราพบเห็น จะได้ไม่ทาผิดกฎจราจร
เมอ่ื ได้ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั
คาถามทา้ ยบท
ทา่ สญั ญาณจราจรและเคร่ืองหมายจราจร
1. พ.ร.บ.จราจรทางบก ห้ามมใิ ห้ผขู้ บั ข่ตี ามหลงั “รถฉกุ เฉิน” อย่างน้อยระยะเทา่ ใด
2. เมือ่ ขับรถมาถึงวงเวยี นโดยไม่มีไฟสญั ญาณจราจร ผขู้ บั ข่ีตอ้ งปฏิบัตอิ ยา่ งไร
3. ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก “การจราจร” หมายความวา่ อย่างไร
4. ผู้ขับข่ยี านพาหนะ ต้องขับข่ีใหห้ า่ งคนั ข้างหน้า ประมาณเท่าใด
5. หา้ มผขู้ บั ข่ี ขับแซงรถคนั อื่นเพื่อข้นึ หนา้ เมอื่ มี หมอก ฝนุ หรอื คัน จนไมส่ ามารถมองเห็นข้างหนา้ ได้ใน
ระยะเท่าใด
6. ในการขบั รถ ผ้ขู บั ข่ีต้องขับรถในทางเดินรถด้านซ้าย และต้องไมล่ ้าเสน้ กลางของทางเดนิ รถ เว้นแต่
7. เมื่อผ้ขู บั ขข่ี บั รถมาถึงทางแยกพร้อมกนั และไม่มีเคร่ืองหมายจราจรบอกทางเอก ทางโท ผ้ขู บั ข่ีตอ้ ง
ปฏบิ ัตอิ ย่างไร
8. การขับรถเพื่อเลย้ี วซ้ายหรอื เล้ียวขวา ผู้ขบั ข่ีต้องให้สัญญาณไฟ ไม่นอ้ ยกว่า
9. เมื่อต้องการกลบั รถหรือเลีย้ วรถทางขวา ในทางเดนิ รถทีร่ ถว่ิงสวนกันได้ ตอ้ งกลบั รถหรือเลีย้ วขวา ใน
เมอ่ื มี รถว่งิ สวนมา ในระยะไม่น้อยกวา่
10. คาว่า “ทาง” ตามความหมายของ พ.ร.บ.จราจรทางบก คือ
บทท่ี 3
เทคนคิ ยานยนตแ์ ละการปรนนบิ ตั บิ ารงุ
1. เทคนิคยานยนตล์ อ้
รถยนต์บรรทุก ขนาด 2 ตัน แบบ FTS 33 H2E ย่ีห้อ อีซูซุ เป็น รยบ. ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก
ทบ. เพ่ือใช้เป็นมาตรฐานสาหรับการจัดหายุทโธปกรณ์มาใช้ใน ทบ. ซึ่ง รยบ.ขนาด 2 ตัน เป็น รยบ. ท่ีมีคุณลักษณะ
ตามความต้องการของกองทัพบก เหมาะสาหรับใช้ในการลาเลียงพลพร้อมสัมภาระทางทหารไม่น้อยกว่า 12 นาย
รวมท้ังสามารถลากจูงยุทโธปกรณ์ โดยขับเคลื่อนได้พร้อมกันท้ัง 4 ล้อ ลงน้าลึกได้ 80 เซนติเมตร ทาให้มีความ
คล่องแคล่วในการเคล่ือนท่ีท้ังบนทางราบและทางในภูมิประเทศ สะดวกต่อการซ่อมบารุง โดยยานยนต์ประเภทน้ีจะ
แจกจ่ายให้กับหน่วยงานในสังกัดกองทัพบกที่ยังขาดอัตราการจัด และทดแทนยุทโธปกรณ์เดิมทีมีอายุการใช้งานมา
นานข้อมูลทางเทคนิค รถยนต์บรรทุก ขนาด 2 ½ ตัน แบบ 4X4 ล้อเดี่ยว ย่ีห้อ อีซูซุ รุ่น เอฟทีเอส พลประจารถ 2
นายระบบขับเคล่ือน ส่งกาลังขับเคลื่อนทุกล้อ(4X4)ทั้งการใช้งานในย่านความเร็วสูงและย่านความเร็วต่าขนาดตัวรถ
(ยาวxกว้างxสูง) 7,220x2,490x3,145 มิลลิเมตรน้าหนักรถรวมน้าหนักบรรทุก 12,200 กิโลกรัมน้าหนักบรรทุกทาง
ราบ 5,000 กโิ ลกรมั
นา้ หนกั บรรทุกในภูมปิ ระเทศ 2,500 กโิ ลกรัมเครอื่ งยนต์ เครอื่ งยนต์ดีเซล อีซูซุ รุ่น 6 เอชเค 1 – ทีซีเอ็น
เทอร์โบชาร์จอินเตอรคูลเลอร์, 6 กระบอกสูบ, ความจุ 7,790 ซีซี, ขนาดกระบอกสูง 155x125 มิลลิเมตรอัตราส่วน
กาลังอัดในกระบอกสูบ 17.5 ต่อ 1แรงบิดสูงสุด 706 นิวตันเมตร (72 กก.-ม.) ที่ความเร็วรอบ 1,450 รอบ/นาที
แรงม้า 240 แรงม้า(177 กโิ ลวตั ต)์ /รอบต่อนาที
ความจุถงั น้ามันเชือ้ เพลงิ 200 ลติ รระบบสง่ กาลัง แบบทางกล 6 ความเร็วเดินหน้า และ 1 ความเร็วถอย
หลังระบบคลัตช์ แห้งแผน่ เดยี ว มสี ปริงตวั หนอน ควบคุมแบบไฮดรอลิกพร้อมหม้อลมดันขนาดล้อและยาง กระทะล้อ
ขนาด 11.00x20 นอ๊ ตลอ้ 10 ตวั ยางชนดิ ไม่ใชย้ างใน
แบตเตอร่ี จานวน 2 ลกู ๆ ละ 12 โวลต์ 88 แอมแปร์ ระบบเบรก แบบแอร์โอเวอรไ์ ฮดรอลิก พร้อมวาล์ว
ปรบั ความดันลมเบรกตามนา้ หนักบรรทุก วงจรคู่แยกหน้า-หลัง เบรกมือ แบบกลไกขนายตัวด้านใน บังคับเพลากลาง
ติดตงั้ อยูท่ ้ายเกียร์ระบบบังคับเล้ียว แบบลูกปืนหมุนวนรอบตัว มีเพาเวอร์ช่วย ชนิดปรับสูงต่าได้รัศมีวงเล้ียว 9 เมตร
ระยะปฏบิ ัตกิ าร 800 กิโลเมตร
ความเรว็ สงู สุด 97 กิโลเมตร/ชวั่ โมง เม่อื บรรทุกน้าหนักตามอัตราพิกัดระยะสูงพน้ พ้นื ตา่ สดุ ใต้ท้องรถ 255
มิลลิเมตร ความสามารถในการไต่ลาดสูง 60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบรรทุกน้าหนักตาม อัตราพิกัดความสามารถในลงน้าลึก
80 เซนติเมตรโดยไมใ่ ชช้ ดุ ประกอบการลงน้าความสามารถในการลากจูงลากจูงสมั ภาระน้าหนัก 3,000 กโิ ลกรมั
2. การปรนนบิ ตั บิ ารงุ ในหนา้ ทพ่ี ลขบั
ความมุ่งหมาย ในการที่จะรักษาเคร่ืองกลไกต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลาน้ัน จาเป็นจะต้องมี
ระบบการตรวจสภาพรถประจาวันและประจาสปั ดาห์ ท้งั นี้ เพือ่ ให้สามารถตรวจพบข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆ ซ่ึงเพิ่งเร่ิม
เกิดข้ึน แลว้ ดาเนนิ การแกไ้ ขใหท้ นั ทว่ งที ก่อนทจ่ี ะลกุ ลามจนชารดุ เสียหายมากขึน้ ไป จงึ ไดก้ าหนดระยะเวลาซ่ึงกระทา
โดยพลขับหรอื พลขับประจาวนั นน้ั ได้แก่ การปรนนบิ ตั ิบารุงก่อนใช้งาน การปรนนิบัติบารุงขณะใช้งาน การปรนนิบัติ
บารุงขณะหยุดพกั การปรนนบิ ัติบารงุ หลังใช้งาน และการปรนนบิ ัติบารุงประจาสปั ดาห์
2.1 การปรนนิบตั บิ ารุงก่อนใชง้ าน
ความมงุ่ หมายหลกั ของการปรนนิบัติบารุงก่อนใช้งานน้ี เป็นการตรวจสอบเพื่อให้เป็นท่ีแน่นอนว่า รถ
ไม่ได้ชารุดเสียหายหรือถูกลอบก่อวินาศกรรม หลังจากท่ีได้ทาการตรวจสอบในขณะท่ีได้ทาการปรนนิบัติบารุงหลังใช้
งาน สถานการณ์ทางยุทธวิธีอาจจะทาให้ไม่ปลอดภัยในการทาการปรนนิบัติบารุงตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายหรือ
ไม่ แต่ไมว่ ่าสถานการณท์ างยุทธวธิ ีจะคับขนั สกั เท่าใด พลขบั จะละเวน้ การปรนนิบัตบิ ารงุ เสียทงั้ หมดไมไ่ ด้เป็นอนั ขาด
รายการที่ 1 การชารุดและการบุบสลาย ตรวจยานยนต์และส่วนประกอบต่างๆ ว่าชารุดเพราะถูก
กระแทกหรือทับหรือไม่ ตรวจดูภายในห้องเครื่องว่ามีอาการชารุดและหลวมคลอนของส่วนประกอบเคร่ืองยนต์ หรือ
สายพานพัดลม นา้ มนั เชอ้ื เพลิง ทอ่ น้ามนั และท่อนา้ ข้อต่อคันบังคบั ตา่ งๆ หลุดหรือขาด
รายการที่ 2 เครอ่ื งดบั เพลงิ ตรวจดูว่ายึดติดแนน่ เรยี บรอ้ ย หวั ฉีดไมผ่ กุ ร่อน ลิ้นไม่รัว่
รายการที่ 3 น้ามันเชอื้ เพลงิ น้ามนั เคร่ืองและน้า ตรวจดนู ้ามนั เชอ้ื เพลิงในถัง ตรวจระดับน้ามันเคร่ือง
ในห้องเพลาข้อเหว่ียง ตรวจระดับน้าในหม้อน้า เติมน้ามันเชื้อเพลิงให้พอท่ีจะปฏิบัติงานได้ หรือพอที่จะแล่นไปถึง
ตาบลจ่ายนา้ มนั ถดั ไป เติมน้าและนา้ มนั เคร่อื งใหร้ ะดบั ถกู ต้อง
รายการท่ี 4 สว่ นประกอบของเครอ่ื งยนต์ และสายพานพัดลม ตรวจดูคาร์บูเรเตอร์เคร่ืองกาเนิดไฟฟูา
สวิทช์ควบคุมเครื่องกาเนิดไฟฟูา มอเตอร์หมุนเครื่องยนต์ พัดลม หม้อกรอง น้ามันเครื่อง และหม้อกรองน้ามัน
เชอ้ื เพลงิ วา่ อยูใ่ นสภาพเรียบร้อย ไม่หลวมคลอนและชารุด ตรวจสภาพการปรับสายพานพัดลม (ต้องหย่อนตามคู่มือ
กาหนด เมอื่ ใช้นว้ิ กด)
รายการท่ี 5 รอยทั่วไป ตรวจบริเวณใต้ท้องรถและภายในห้องเครื่องยนต์ เพ่ือตรวจหารอยรั่วของ
น้ามันเช้อื น้ามันหลอ่ ลืน่ นา้ น้ามนั เฟือง น้ามันห้ามล้อ หากพบรอยร่ัวให้ค้นหาคาตอบที่ร่ัวให้ได้แล้วดาเนินการแก้ไข
หรือรายงานผ้บู ังคบั บัญชาทราบ
รายการที่ 6 ลิ้นปรับอากาศ ติดเครื่องยนต์ให้ตรวจสอบการทางานของล้ินปรับอากาศว่าถูกต้อง
หรือไม่
รายการท่ี 7 การอุ่นเคร่ืองรถยนต์ ติดเครื่องแล้วสังเกตว่าเคร่ืองยนต์ติดง่ายหรือไม่ มอเตอร์เครื่อง
สามารถหมนุ เครอื่ งยนต์ให้มีความเรว็ ตามสมควรได้และสามารถทางานได้โดยไม่มีเสียงดังผิดปกติ ต้ังปุมเร่งน้ามัน คือ
ให้เคร่ืองยนต์เดินด้วยคามเร็วปานกลาง ตั้งลิ้นปรับอากาศให้เครื่องยนต์เดินเรียบสนิท และเพื่อปูองกันมิให้ส่วนผสม
หนาเกินไป
รายการที่ 8 เคร่ืองวัด เครื่องวัดความดันน้ามันเครื่อง ต้องแสดงความดันน้ามันเคร่ืองตามกาหนดใน
ค่มู ือ เครอื่ งวัดกระแสไฟ ถา้ แบตเตอร่ีมีไฟประจุเค็ม และไม่ได้เปิดไฟดวงโคมและเคร่ืองใช้อุปกรณ์ไฟฟูาต่างๆท้ังหมด
เขม็ เครื่องวดั กระแสต้องชเี้ หนือบวก (+) เล็กนอ้ ย ในเมอื่ เคร่อื งยนตเ์ ดินด้วยความเร็วปานกลาง เคร่ืองวัดกระแสไฟฟูา
อาจแสดงการประจุสูงตอนที่เคร่ืองยนต์ติดใหม่ๆ จนกระท่ังเครื่องกาเนิดไฟฟูา ได้ประจุไฟชดเชยกระแสไฟฟูาที่ใช้ไป
ในการหมุนเคร่ืองยนต์แล้ว แต่ถ้าความจุของแบตเตอร่ีต่าหรือเปิดไฟใช้อุปกรณ์ไฟฟูาในรถแล้ว อัตราประจุจะสูงอยู่
เปน็ เวลานาน
เครือ่ งวดั อุณหภูมิ ในระยะเวลาอุ่นเครื่อง อุณหภูมิจะค่อยๆ สูงข้ึนทีละน้อยจนกระทั่งอุณหภูมิใช้งาน
ตามปรกติ ถ้าอณุ หภูมิสูงเกินกาหนดและวา่ เกดิ ขอ้ บกพร่องในระบบการระบายความร้อน ให้ดับเคร่ืองยนต์และค้นหา
ขอ้ บกพร่องให้ได้
เครื่องวัดน้ามันเชื้อเพลิง สังเกตว่าเคร่ืองวัดน้ามันเช้ือแสดงปริมาณน้ามันเช้ือเพลิงในถังถูกต้อง โดย
ปกตกิ ารปรนนิบัติบารงุ หลังใช้งานน้ัน จะต้องเติมนา้ มนั ไวเ้ ต็มถังเสมอ
รายการที่ 9 แตรและเคร่ืองปัดน้าฝนให้ทดลองการทางานของแตร ตรวจการทางานของเคร่ืองปัด
น้าฝนวา่ ทางานถกู ต้องใบปดั น้าฝนสมั ผสั กระจกบังลมเต็มใบ ก้านปัดน้าฝนหมุนสดุ ระยะหมนุ ตรวจการชารุดเสียหาย
รายการที่ 10 กระจกและกระจกมองหลัง ทาความสะอาดกระจกท้ังหมดและตรวจว่าไม่มีรอยชารุด
เสยี หาย ปรบั กระจกมองหลงั และตรวจวา่ แน่นยึดแน่นไมห่ ลวมคลอน
รายการที่ 11 แหนบและระบบแขวนลอย ตรวจแหนบ และเคร่ืองผ่อนการสะเทือนแปูนเกลียว และ
ควงเกลยี วตา่ งๆ ขันแนน่ ไม่หลวมคลอน เคร่ืองผอ่ นอาการสะเทอื นไม่ร่วั
รายการที่ 12 ข้อต่อบังคับเลี้ยว ตรวจควงยึดห้องเฟืองพวงมาลัย ข้อต่อบังคับเล้ียวต่างๆ ว่าไม่หลวม
คลอนหรือชารุด นา้ มนั เฟืองในห้องเฟืองพวงมาลัยไมร่ ่วั
รายการที่ 13 ลอ้ และดมุ ล้อ แปูนเกลียวยดึ ลอ้ ควงยึดดุมล้อมีครบและขันแน่น
รายการท่ี 14 ยาง ตรวจดูว่ามีความดันถกู ตอ้ ง ยางไม่ชารดุ และสกึ หรอมากเกนิ เกณฑ์ส่งคืน แคะสิ่งท่ี
ตาอยใู่ นร่องยางหรอื ดอกยางออก
รายการที่ 15 ขอลากจูง ตรวจเครอื่ งอปุ กรณใ์ นการลากว่าหลอมคลอนหรือชารุด ขอลากจูงทางานได้
สะดวก และกลอนขอลากจูงขนั แนน่
รายการที่ 16 ตวั ถัง–ส่งิ บรรทกุ และผ้าใบหลัง ตัวถังไม่หลวมคลอน ส่งิ ท่ีบรรทุกไม่ชารุดเสียหาย เฉล่ีย
น้าหนกั ถูกต้องผ้าใบอยู่ในสภาพเรยี บร้อย เชือกผูกผ้าใบหลังคาผูกติดกับขอได้ถูกต้อง
รายการท่ี 17 โคมไฟ สัญญาณเลี้ยวและกระจกสะท้อนแสง ให้ลองเปิดและปิดสวิทช์ไฟฟูาดูว่าดวง
โคมไฟจะทางานถกู ตอ้ งหรือไม่ ทัง้ นร้ี วมท้งั ไฟหยดุ ไฟพรางและสัญญาณไฟเล้ยี วด้วย
รายการท่ี 18 บังโคลนและกันชน ตรวจวา่ กันชน บงั โคลนและบันไดไมห่ ลวมคลอนและชารดุ
รายการที่ 19 เครื่องทาลายล้างไอพษิ ตรวจดวู า่ มีครบ ประจุน้ายาเตม็ และตดิ ตัง้ ม่ันคง
รายการท่ี 20 การทางานของเคร่ืองยนต์ ก่อนที่จะขับรถเคล่ือนที่ออกไปจะต้องรอให้อุณหภูมิข้นถึง
50 ซ.ม. ซ่ึงเป็นอุณหภูมิท่ีเคร่ืองยนต์จะสามารถทางานได้โดยปลอดภัย และเม่ือเปิดเคร่ืองล้ินปรับอากาศเต็มที่แล้ว
เครื่องยนต์จะเดินเบาสนิท ลองเร่งหรือเบาเคร่ืองยนต์แล้วคอยฟังว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ ในขณะขับรถไปก็คอย
สงั เกตการณท์ างานทผี่ ดิ ปกติ และควนั ท่ีออกทางท่อไอเสยี มากเกินสมควรหรอื ไม่
รายการท่ี 22 ใบอนุญาตขับข่ีและเอกสารประจารถ พลขับจะต้องมีใบอนุญาตขับข่ียานยนต์ทหาร
นอกจากนนั้ ยังจะตอ้ งมแี บบพิมพ์รายงานอุบัติเหตุ คู่มือเทคนิคประจารถ คาส่ังการหล่อล่ืน ซองประวัติยุทธภัณฑ์อยู่
ในสภาพเรยี บร้อยและเก็บถูกต้อง
2.2 การปรนนบิ ตั ิบารุงขณะใชง้ าน
ในขณะทีร่ ถว่ิงอยใู่ ห้คอยฟงั เสียงผดิ ปกติ เช่น เสียงสนั่ สะเทอื น เสียงเคาะ เสยี งเสยี ดสีหรือครวญคราง
ซึ่งแสดงให้เห็นอากาศผิดปกติ คอยตรวจส่ิงผิดปกติของระบบระบายความร้อนและควันที่เกิดข้ึน ณ ส่วนใดส่วนหน่ึง
ของรถ คอยระวังสังเกตกลิ่นไหม้ของเคร่ืองกาเนิดไฟฟูา ห้ามล้อหรือคลัท ไอของน้ามันเชื้อเพลิงซึ่งเกิดขึ้นจากการ
รว่ั ไหลในระบบเช้อื เพลิงควันร่ัวจากท่อไอเสียและระบบผิดปกติอ่ืนๆ ทุกคร้ังที่ห้ามล้อหรือเปลี่ยนเกียร์หรือเลี้ยวรถให้
ถอื วา่ เป็นการทดสอบไปดว้ ยในตวั และคอยสงั เกตการณ์ทางานที่ไม่ได้ผลหรือผิดปกติคอยหม่ันดูเครื่องวัดต่างๆ เสมอ
จนสามารถสังเกตการณ์การผิดปกติของเคร่ืองวัด ซ่ึงแสดงว่าจะเกิดข้อบกพร่องในส่วนต่างๆ ที่เครื่องวัดนั้นวัดอยู่ได้
ทันที
รายการท่ี 1 หา้ มลอ้ จะตอ้ งสามารถหยุดรถได้ผลเรียบร้อย ไม่กระตุกหรือสะบัดโดยใช้แรงเหยียบตาม
ธรรมดา เม่อื รถหยุดแลว้ จะตอ้ งเหลอื ระยะพอที่จะเหยียบคันห้ามล้อลงไปได้อีก และเม่ือปล่อยคันห้ามล้อแล้วคันห้าม
ล้อจะต้องเขา้ ทเ่ี ดิมทันที คนั ห้ามล้อจะต้องมีระยะเคลื่อนที่ก่อนทางานตามคู่มือ ความสูงของคันห้ามล้อเม่ือปล่อยเท้า
แล้วจะต้องอยู่ในระยะตามคู่มือ ขอคันห้ามล้อจะต้องไม่ขันแน่นไม่หลวมตัว และห้ามล้อจะต้องสามารถห้ามมิให้รถ
จอดอยบู่ นลานซึ่งไมส่ ูงชันนักไหลไปเองได้ โดยยงั เหลอื ระยะทีจ่ ะดึงได้อีก 1 ใน 3 ของระยะทัง้ หมด
รายการท่ี 2 คลัท คลัทจะต้องปลดออกจากล้อตุนกาลังโดยสมบูรณ์ เพื่อให้เข้าเกียร์ได้ง่าย ต้องไม่สั่น
หรอื มีอาการเสยี ดสี คลัทไมล่ ืน่ คลัทตอ้ งมีระยะเคลื่อนที่กอ่ นทางานตามกาหนดในคมู่ อื
รายการท่ี 3 หอ้ งเฟอื งสง่ กาลัง เขา้ เกียร์ ไม่มเี สยี งดงั เกยี รไ์ ม่หลดุ ออกมาได้เอง
รายการท่ี 4 หอ้ งเฟืองชว่ ย สงั เกตการทางานของหอ้ งเฟืองช่วยเช่นเดยี วกบั ห้องเฟอื งส่งกาลัง
รายการที่ 5 เครื่องยนต์และเคร่ืองบังคับการทางานของเคร่ืองยนต์ พลขับจะต้องคอยสังเกต
ข้อบกพร่องในการทางานของเครือ่ งยนต์อยูต่ ลอดเวลา ตอนเชา้ เครื่องยนต์ไม่มีกาลัง ติดไม่ครบสูบหรือเคร่ืองยนต์เดิน
กระตุกเสียงผดิ ปกติ สงิ่ บอกเหตทุ เ่ี เสดงวา่ เครอื่ งยนตร์ ้อนจดั หรือมคี วนั ออกทางท่อไอเสียจนมากเกินไป สังเกตว่าการ
ทางานของเครื่องยนต์เป็นไปตามเคร่ืองบังคับหรือไม่ เครื่องบังคับการทางานของเครื่องยนต์ปรับถูกต้องอยู่ในสภาพ
เรียบรอ้ ยไมห่ ลวมคลอน
รายการที่ 6 เครือ่ งวัดตา่ งๆ หมั่นสังเกตเคร่ืองวดั ตา่ งๆ อยูต่ ลอดเวลา เพ่ือให้เป็นท่ีเเน่นอนว่าเคร่ืองวัด
น้นั ๆ ได้แสดงการทางานตามปกติของส่วนตา่ งๆ ทีใ่ ชว้ ัดนนั้ ๆ วัดอยู่
รายการท่ี 7 เฟื่องบังคับเลี้ยว สังเกตการผิดปกติของเฟืองบังคับเล้ียว อันได้แก่ หลวมคลอนไปทางใด
ทางหนึง่ สา่ ยหรอื ส่นั สะเทือน หรอื เสยี งผิดปกติ
รายการที่ 8 เฟอื่ งต่างๆ สังเกตการทางานหรือเสียงผิดปกติจาก ล้อ เพลาล้อ ระบบเเขวนโยงซ่ึงแสดง
การหลวมคลอน ชารุดหรือสูบยางออ่ นเกนิ ไป
รายการที่ 9 ตัวถัง สังเกตเสียงหรืออาการผิดปกติซ่ึงแสดงอาการของเครื่องตัวถัง ผ้าใบหลังคาหย่อน
ประตูหลวมคลอน พ้ืนรถหรือส่ิงอื่นๆ ท่ีติดตั้งอยู่บนตัวรถชารุด ตรวจให้เป็นท่ีแน่นอนว่า ผ้าใบหลังคา ม่านหลังคา
และม่านขา้ งของผา้ ใบผกู แน่น
2.3 การปรนนิบตั ิบารุงขณะหยุดพกั
การปรนนิบัติบารุงขณะหยุดพัก ได้แก่การค้นหาสาเหตุข้อขัดข้องซึ่งสังเกตพบในขณะใช้งาน และการ
ตรวจสภาพของส่วนต่างๆ ตามรายการเเละวิธีข้างล่างนี้ การแก้ไขส่ิงบกพร่องท่ีตรวจพบ ในเม่ือไม่สามารถจะแก้ไข
ข้อบกพร่องที่ตรวจพบได้ พลขับจะรายงานให้ผบู้ ังบัญชาทราบทันที
รายการท่ี 1 น้ามันเชื้อเพลิง น้ามันเครื่องและน้า ตรวจน้ามันเชื้อเพลิงให้เป็นที่เเน่ใจ ว่ามีพอที่จะว่ิงไป
ถึงตาบลจ่ายน้ามันข้างหน้าถัดไป ถ้าเครื่องยนต์ร้อนจัดให้ค่อยๆ เติมน้าช้าๆ โดยติดเคร่ืองยนต์และเดินด้วยความเร็ว
ปานกลาง ตรวจดูว่ารูระบายอากาศทฝ่ี าถงั นา้ มนั ไมต่ ัน
รายการที่ 2 อณุ หภมู ิ ดุมลอ้ จานห้ามลอ้ หอ้ งเฟอื งช่วยและเพลา ใช้มือแตะดุมล้อเพื่อตรวจดูว่า ไม่ร้อน
หรือเยน็ เกนิ ไป
รายการที่ 3 จุกระบายความดันของเพลา และห้องเฟ่ืองช่วย ตรวจห้องเฟื่องส่งกาลังห้องเฟื่องช่วยและ
เพลา ว่าไม่ร้อนจัดเกินไปและไม่มีรอยน้ามันร่ัว เช็ดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้สะอาดแล้วตรวจดูว่าจุกระบายความดันไม่ตัน
หรือชารุด จุกระบายดนั นจ้ี ะต้องเปดิ อยเู่ สมอ
รายการท่ี 4 เพลาขับ ตรวจเพลาขับและข้อต่อก่อนว่าไม่หลวมคลอน ชารุดหรือมีรอยร่ัวของ
น้ามันหล่อลื่น ถ้าหากมีสง่ิ ใดตดิ พนั อยู่กับเพลาขบั ให้เอาออกให้หมด
รายการท่ี 5 แหนบและเคร่ืองแขวนโยง ตรวจดูว่าใบแหนบไม่เคล่ือนหรือหัก สาแหรกแหนบโตงเตงหู
แหนบ เหล็กรัดแหนบ เคร่ืองผ่อนอาการสะเทือน และข้อต่อต่างๆ ไม่ชารุดหรือหลวมคลอน น้ามันเครื่องผ่อนอาการ
สะเทือนไม่รัว่
รายการท่ี 6 ข้อต่อบังคับเลี้ยว ตรวจเคร่ืองกลไกในการบังคับเลี้ยวท้ังหมด รวมทั้งแขนบังคับเล้ียวและ
ข้อต่อบังคบั เลี้ยวต่างๆ ไมว่ ่าหลวมคลอนหรือชารุด ค้นหาสาเหตุท่ที าใหเ้ กิดอาการผดิ ปกตขิ ณะใชง้ าน
รายการท่ี 7 ลอ้ และแปูนเกลยี วยดึ หน้าจานปลายเพลา ตรวจ แปูนเกลียวยึดล้อและแปูนเกลียวยึดหน้า
จานปลายเพลาหมนุ ล้อ มีครบและยึดแน่น
รายการที่ 8 ยาง ตรวจยางว่ามีความดันถูกต้องและไม่มีรอยชารุด แคะเอาสิ่งที่ตาติดอยู่ในยางออก สูบ
ยางอะไหล่ให้มคี วามดนั ถูกตอ้ งและยางอะไหลข่ ันแนน่ ตดิ กับทต่ี ิดยางอะไหล่
รายการท่ี 9 รอยรั่วทั่วๆ ไป ตรวจบริเวณใต้ท้องรถ และในห้องเครื่องว่าไม่มีรอยรั่วของน้ามันเช้ือเพลิง
นา้ มนั เครอ่ื ง น้ามันห้ามลอ้ หรือน้า ถ้าหากพบรอยรวั่ ให้ค้นหาตาบลที่ร่ัวแล้วดาเนินการรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
เมอื่ เกนิ ความสามารถ
รายการท่ี 10 ส่วนประกอบและสายพานพัดลม ตรวจส่วนประกอบของเครื่องยนต์ว่าอยู่ในสภาพ
เรียบร้อย ไมห่ ลวมคลอน ความตงึ ของสายพานถกู ตอ้ ง
รายการท่ี 11 หมอ้ กรองอากาศ ถา้ หากใชง้ านทๆี่ มีฝุนหรือทรายมาก ให้ตรวจหม้อกรองอากาศ และฝา
ระบายความดนั หอ้ งเพลาขอ้ เหวย่ี งว่ามีฝนุ ทรายมากเกินไปหรือไม่ ถ้าสกปรกให้ทาความสะอาด แลว้ เตมิ น้ามนั ใหม่
รายการท่ี 12 บังโคลนและกันชน ตรวจดวู ่าขันแนน่ และไมช่ ารุด
รายการที่ 13 เคร่อื งลากจงู ตรวจดวู ่าไมห่ ลวมคลอนหรือชารดุ กลอนขอลากจงู ไมห่ ลวมคลอนและชารดุ
รายการที่ 14 ตวั ถังสิง่ บรรทุกผ้าใบหลงั คา ตรวจว่าห้องพลขับตัวถังหรือสิ่งบรรทุกไม่เคลื่อนท่ีจากท่ีและ
ไมช่ ารุด และผ้าใบหลงั คาผูกถกู ต้อง
รายการท่ี 15 กระจกต่างๆ ทาความสะอาดกระจกบังลม กระจกมองหลัง ดวงโคมกระจกสะท้อนแสง
และตรวจว่าไมช่ ารดุ เเละเสยี หาย
2.4 การปรนนบิ ัตบิ ารุงหลงั ใช้งานและประจาสัปดาห์
ในการทาการปรนนิบัติบารุงหลังใช้งานและประจาสัปดาห์ พลขับจะต้องจดจาอาการผิดสังเกตซ่ึง
ปรากฏในขณะท่ีทาการปรนนิบัติบารุงก่อนใช้งาน ขณะใช้งานและขณะหยุดพัก การปรนนิบัติบารุงหลังใช้งาน
ประกอบด้วย การตรวจสภาพตามรายการและวิธีท่ีกาหนดไว้ตามบัตรการใช้รถประจาวัน (สพ.110) รายการใดที่มี
เคร่ืองหมาย (*) จะต้องได้รับการปรนนิบัตรบารุงประจาสัปดาห์เพิ่มเติมอีกด้วยตามวิธีท่ีได้ดังกล่าวในวิธีปรนนิบัติ
บารงุ ประจาสัปดาห์ (ส.) ของการปรนนิบตั ิบารุงหลังใช้งาน
รายการท่ี 1 การทางานของเครื่องยนต์ ลองเร่งและเบาเคร่ืองยนต์และสังเกตการทางานท่ีผิดปกติ เช่น
ติดไม่ครบสูบ หรือสาลัก สังเกตเสียงหรืออาการสั่นที่ผิดปกติ สังเกตว่าท้องไอเสียมีควันมากผิดปกติหรือไม่ ค้นหา
สาเหตุขอ้ บกพรอ่ งดาเนนิ การแกไ้ ข หรือรายงานใหผ้ บู้ งั คับบัญชาทราบ
รายการท่ี 2 เครื่องต่างๆเคร่ืองวัดต่างๆว่าเคร่ืองยนต์ทางานถูกต้องเครื่องวัดต่างๆไม่ชารุดหรือหลวม
คลอน
รายการที่ 3 นา้ มนั เชื้อเพลงิ น้ามนั เครอื่ งและน้า ระดบั น้ามันเคร่ืองในห้องเพลาข้อเหว่ียง เติมน้ามันให้
อยู่ในระดับที่ถูกต้อง ถ้าเติมน้าหรือน้ามันเช้ือเพลิงให้เต็มปรี่ เหลือท่ีไว้สาหรับการขยายตัวบ้าง อย่าเติมน้าในขณะท่ี
เครื่องยนตร์ ้อนจัดเกินไป ในภูมิประเทศทอ่ี ากาศหนาวจดั จนเป็นน้าแข็ง ถ้าหากเติมน้าแล้วให้ตรวจดูคุณสมบัติของยา
กันแขง็ ด้วย เติมน้ามันเชอ้ื เพลงิ ในถงั น้ามันอะไหลใ่ ห้เตม็
รายการท่ี 4 แตรและเครื่องปัดนา้ ฝน ตรวจดูว่าติดตั้งมั่นคง และไม่ชารุด ตรวจการทางานและเสียงของ
แตร
รายการท่ี 5 กระจกและกระจกมองหลัง ทาความสะอาดและตรวจดูว่าไม่ชารุดเสียหายตดิ ตงั้ มั่นคง
รายการท่ี 6 ดวงโคมไฟสัญญาณไฟเล้ยี วและกระจกสะทอ้ นเเสง ตรวจวา่ ไมห่ ลวมคลอนหรือชารุด ตรวจ
การทางานของสวิทช์และดวงโคมสญั ญาณเลี้ยว ทาความสะอาดเลนส์ ดวงโคมและกระจกสะทอ้ นแสง
รายการท่ี 7 ถังดับเพลิง ตรวจดูว่าไม่หลวมคลอนหรือชารุดมีน้ายาบรรจุเต็ม ถ้าได้ใช้เคร่ืองดับเพลิงไป
แล้ว ให้รายงานขอเติมน้ายาใหม่
รายการที่ 8 เครื่องทาลายล้างไอพษิ ตรวจวา่ ตดิ ตั้งแน่นไม่หลวมคลอน มีน้ายาบรรจุเต็ม ถ้าได้ใช้ไปแล้ว
หรอื น้ายาไม่เต็มใหร้ ายงานขอบรรจใุ หม่
รายการท่ี 9 แบตเตอรห่ี ลงั การใช้งาน ตรวจดูวา่ แบตเตอรี่สะอาด ไม่หลวมไม่ร่ัวหรือชารุดฝาปิดช่องเติม
นา้ กรด นา้ กล่นั ปิดแน่น
ประจาสปั ดาห์ ทาความสะอาดดา้ นบนของแบตเตอรี่ ตรวจดูว่าเปลือกหม้อไม่ร่ัวหรือบวม ขันปลายสาย
แบตเตอร่ใี ห้แน่น ตรวจระดบั น้ากรดและน้ากลั่นให้มรี ะดับถูกต้อง แท่นรองรับแบตเตอรี่ไม่หลวมคลอน การขันเหล็ก
รดั แบตเตอรี่นัน้ ใหร้ ะวังอยา่ ขนั จนกระทัง่ กดเปลือกหม้อแตก
รายการที่ 10 ส่วนประกอบของเครื่องยนต์และสายพานพัดลม ตรวจคาร์บูเรเตอร์หม้อกรองอากาศ
มอเตอร์หมุนเครื่องยนต์ เคร่ืองกาเนิดไฟฟูา สายพานพัดลม สูบน้า จานจ่ายไฟ และหม้อกรองน้ามันเครื่อง ว่าไม่
หลวมคลอนชารดุ หรือร่ัว ตรวจความตึงของสายพาน ปรับให้หย่อนได้ตามคู่มือกาหนด เม่ือใช้น้ิวกด ค้นหาสาเหตุของ
ข้อบกพรอ่ งซึ่งสงั เกตพบในขณะใช้งาน และแก้ไขรายงานให้ผูบ้ ังคับบญั ชาทราบ
รายการที่ 11 สายไฟต่างๆ ตรวจสายไฟ ว่าไม่หลวมคลอนหรือชารุด ฉนวนหุ้มสายไฟไม่ผุเป่ือย เช็ดไข
และความช้ืนออกจากสายไปให้หมด แล้วตรวจสายไฟในวงจรแรงต่าที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา ว่าไม่หลวมคลอน
หรอื ชารดุ ตรวจวา่ สายไฟทเี่ ดนิ ไปตามท่ีต่างๆ ไม่ขูดหรอื ถกู กบั ชน้ิ ส่วนอน่ื ๆ
รายการที่ 12 หม้อกรองอากาศหลังจากใช้งาน ตรวจดูว่าไม่หลวมคลอนหรือชารุด ตรวจน้ามันเคร่ืองว่า
สกปรกหรือไม่ ถ้าหากรถใช้ในท่ีๆ มีฝุนทรายมากให้ทาความสะอาดและถ่ายน้ามันเคร่ืองให้บ่อยขึ้นตามความจาเป็น
ตรวจใหเ้ ป็นทแี่ นน่ นอนวา่ ปะเก็นตา่ งๆสามารถกันรัว่ ได้ดี ขอ้ ต่อต่างๆ ขันแน่น ไมห่ ลวมคลอน
รายการท่ี 13 กรองนา้ มนั เช้ือเพลงิ หลงั การใชง้ าน ตรวจดูวา่ ไมห่ ลวมคลอนชารุดและรัว่
ประจาสัปดาห์ ไขจุกน้ามันออกเพ่ือปล่อยน้าและสิ่งโสโครกให้ไหลออกมาถ้าหากน้ามันไหลออกมา
แสดงว่ามีส่ิงสกปรกหรือน้ามากเกินสมควร ให้ถอดตะแกรงออกมาล้างด้วยน้ามันทาความสะอาด
(Dry cleaning solvent) โดยไม่ตอ้ งถอดแยกชนิ้ ส่วนของตะแกรงออก เปล่ียนปะเก็นท่ชี ารุดให้หมด
รายการที่ 14 เคร่ืองบังคับการทางานของเครื่องยนต์ ตรวจข้อต่อต่างๆ ว่าไม่หลวมคลอน ชารุดสึกหรอ
มากเกินไปและใหร้ บั การหล่อลนื่ เหมาะสม
รายการที่ 15 ยางหลงั จากใช้งาน ตรวจยางทกุ เส้นว่าไม่ชารุด หรือสึกหรอมากถึงเกณฑ์ท่ีจะหล่อดอกได้
แคะตะปู แก้ว หรอื หนิ ทตี่ าตดิ อย่ใู นดอกยาง หวั จุ๊บยางในอยู่ตาบลท่ีถกู ต้องฝาปิดหัวจุ๊บครบ ความดนั ยางถกู ต้อง
ประจาสปั ดาห์ เปล่ียนยางทสี่ กึ หรอถงึ เกณฑ์ส่งคืนหรือยางที่ชารุด ถ้าหากยางเส้นใดสึกมากผิดปรกติให้
ทาการสับเปล่ียนยาง เพ่ือให้ยางสึกเท่ากัน และตรวจค้นข้อบกพร่องของเครื่องกลไกท่ีทาให้ยางเส้นน้ันผิดปรกติแล้ว
รายงานให้ผบู้ งั คบั บัญชาทราบ
รายการท่ี 16 แหนบและเคร่ืองแขวนลอย ตรวจว่าไม่หลวมคลอนหรือชารุด แหนบไม่อ่อนล้า ใบแหนบ
ไม่เคล่ือนท่ี นา้ มันเครอื่ งผอ่ นการสะเทอื นไมร่ ั่ว คน้ หาสาเหตขุ องเสยี งผิดปรกติขณะใช้งาน
รายการที่ 17 ขอ้ ตอ่ บังคบั เลี้ยว ตรวจว่าไม่หลวมคลอนหรือชารุด หล่อลื่นถูกต้องค้นหาสาเหตุของเสียง
ผิดปรกตทิ เ่ี กดิ ขึ้นขณะใชง้ าน
รายการที่ 18 เพลาขบั ตรวจเพลาขบั และขอ้ ตอ่ กอ่ นวา่ ไมห่ ลวมคลอนหรอื ชารดุ ถ้าหากมีส่ิงใดพันอยู่กับ
เพลาขับหรือข้อต่ออ่อนอยู่ให้เอาออกใหห้ มด
รายการที่ 19 รอยรั่ว-ท่ัวไป บริเวณใต้ท้องรถและท้องเครื่องยนต์ เพื่อหารอยรั่วของน้ามันเชื้อเพลิง
นา้ มันเครือ่ ง น้ามันหา้ มล้อ
รายการท่ี 20 จุกระบายความดันเพลาและเฟืองช่วยหลังจากใช้งาน ตรวจว่าจุกระบายความดันมีครบ
อย่ใู นสภาพเรยี บรอ้ ย สะอาด ตรวจน้ามนั หล่อล่นื ไมร่ ัว่ ออกมาจุกระบายความดัน
ประจาสัปดาห์ ถอดจุกระบายความดันออกมาทาความสะอาดแลว้ ใส่กลบั คนื ที่เดิม
รายการที่ 21 นา้ มันเฟอื งหลังจากใชง้ าน ตรวจวา่ ไม่มีรอยร่ัว
ประจาสัปดาห์ ตรวจระดับน้ามันในห้องเฟืองทดเลี้ยว ห้องเฟืองช่วย ห้องเฟืองกาลัง และห้องเฟือง
พวงมาลัย สะบ่าเลี้ยว (Steering Knuckle) ระดับอันถูกต้องนั้นคือ น้ามันเฟืองท้ายจะต้องมีระดับต่ากว่าขอบรูเดิม
ประมาณ 13 มม. ในขณะเย็น ถ้าหากในขณะท่ีน้ามันอุ่นแล้วจะต้องมีระดับเท่ากับขอบรูเดิมพอดี ถ้าหากถึงกาหนดท่ี
จะต้องเปลีย่ นเพราะจาเป็น ใหถ้ า่ ยน้ามันออกแล้วเติมใหม่ตามคาสง่ั การหลอ่ ลนื่
รายการที่ 22 บงั โคลนและกันชน ตรวจบงั โคลนและกันชนวา่ ไม่หลวมคลอนหรือชารุด
รายการท่ี 23 เครื่องลากจูง ตรวจขอพ่วงและขอลากจูงให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและติดตั้งม่ันคง กลอน
ขอลากจูงทางานถกู ตอ้ งไมห่ ลวมคลอน
รายการท่ี 24 ตัวถังสิ่งบรรจุทุกและผ้าใบหลัง ตรวจห้องพลขับและตัวถังว่าไม่ชารุดและหลวมคลอน
แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งหรือรายงานถ้าเกินความสามารถ ตรวจผ้าใบหลังคาและผ้าม่านว่าไม่มีรอยขาดหรือชารุด ตรวจควง
ยึดกระบะวา่ ไมห่ ลวมคลอน เพ่ือปูองกันมิให้ตัวถังเล่ือนขยับไปมาอยู่บนโครงรถ ถ้าหากกระบะหลวมหรือหักให้ขันให้
แน่นหรือเปล่ียนใหม่ สิ่งบรรทุกจะต้องเฉลี่ยน้าหนัก ตรวจบานพับกระบะท้ายและสลักบานพับกระบะท้ายว่าอยู่ใน
สภาพเรียบร้อยและหลอ่ ลน่ื ถูกตอ้ ง
รายการที่ 25 กวา้ นหลังจากใช้งาน ตรวจกว้านว่าไม่หลวมคลอนหรือชารุด และไม่มีรอยน้ามันร่ัวท่ีห้อง
เฟื่อง สลักนิรภัยไมห่ ลวมคลอน คลทั เลอื่ นทางานไดค้ ลอ่ งและขดั กลอนได้มน่ั คง
ประจาสปั ดาห์ ถ้าใช้รถลุยน้าลึกๆ ให้เอาน้ามันเฟืองท้ายออกมาดูว่าจะมีน้าเข้าไปปนอยู่หรือไม่ ถ้ามีน้า
ปนให้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ใช้กว้านเกี่ยวกับลวดชันๆ แล้วทดลองดูว่ารถจะถอยหลังลงจากลวดหรือไม่ ถ้า
หากรถถอยหลังลงมาได้เพราะกวา้ นคลายตวั แสดงว่าต้องปรับห้ามกว้านใหม่ ถ้าลวดสลิงแห้งและม้วนไม่สม่าเสมอให้
คลายลวดสลงิ ออกจนหมดล้างดว้ ยน้ามนั กา๊ ด หรอื นา้ มนั ทาความสะอาดแล้วม้วนกลับเข้าที่ให้เรียบร้อยและสม่าเสมอ
ในขณะท่มี ว้ นเข้าท่ี ใชน้ ้ามนั เฟือง (Gear oil) ทาบางๆ ใชข้ อกวา้ นเก่ยี วกบั ขอพ่วงทก่ี ันชนหน้าใหต้ ึงพอดี
รายการท่ี 26 การขันแน่นหลังจากใช้งาน ถ้าตรวจพบว่ามีควงยึดส่วนต่างๆ ของรถที่มองเห็นได้จาก
ภายนอกหลวมคลอนใหข้ นั ใหแ้ น่น
ประจาสัปดาห์ แปนู เกลียวยึดล้อและหน้าจานดุมล้อ สาแหลกแหนบ โตงเตงหูแหนบปลอกรัดใบแหนบ
(Repound cilp) คานรับแรงบิด (Terdue rop) ข้อต่ออ่อนและเหล็กยึดข้อต่ออ่อน คานยึดตัวถัง ควงยึดแท่น
เครอื่ งยนตแ์ ละควงยดึ สว่ นประกอบของเคร่ืองยนต์ หรือเคร่ืองอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่บนรถ ควงยึดห้องเฟืองช่วย ควงยึด
ข้อตอ่ บงั คบั เลยี้ วต่างๆ เครื่องลากจูงหรือควงเกลียวท่ีมองเห็นจากภายนอก ซึ่งจากความชานาญท่ีแล้วมาปรากฏว่าท่ี
จาต้องขนั ให้เเน่นตามกาหนดเวลาหรือตามกาหนดระยะทาง
รายการที่ 27 หล่อลื่นตามความจาเป็นหลังจากใช้งาน ถ้าหากพบว่า สลักหูแหนบ บานพับยึดข้อต่อใน
การทางานหรือทจ่ี ุดใดๆกต็ าม ขาดการหล่อลื่น ให้หล่อล่นิ ให้ถกู ต้องและเท่าทจ่ี าเป็น
ประจาสัปดาห์ หล่อลน่ื ตามจุดต่างๆ ตามคาส่ังการหล่อลืน่ ได้บง่ ไว้วา่ ให้ทาการหล่อลนื่ ประจาสัปดาห์
รายการท่ี 28 ทาความสะอาดห้องเคร่ืองยนต์และรถยนต์หลังจากใช้งาน เช็ดสิ่งสกปรก ไข และ
น้ามันหล่อล่ืนที่หยดหรือเปรอะอยู่ภายในห้องพลขับ และห้องเคร่ืองให้หมด เช็ดฝุนหรือส่ิงสกปรกออกจากตัวรถให้
หมด
ประจาสัปดาห์ ถ้าสามารถทาได้ให้ล้างรถ ถ้าไม่สามารถล้างรถได้ให้เช็ดทาความสะอาดให้ท่ัวท้ังคัน
ตรวจสีและสีพรางว่าไม่เป็นสนิม หรือทาสีที่ไม่เป็นมันทาให้สะท้อนแสง เคร่ืองหมายต่างๆ ของรถ ต้องอ่านง่าย
นอกจากจาเปน็ ได้ปกปดิ เพ่อื เหตุผลทางยทุ ธวธิ ี
รายการที่ 29 เครื่องมืออุปกรณ์หลังจากใช้งาน ตรวจสอบเครื่องมือประจารถว่ามีครบ อยู่ในสภาพ
เรยี บรอ้ ย เกบ็ หรือติดตั้งท่ีถูกตอ้ ง
ประจาสัปดาห์ ทาความสะอาดเช็ดสนิมหรือสง่ิ สกปรกออกจากเครื่องมือและเครื่องอุปกรณ์ ชโลมน้ามัน
เพือ่ ปูองสนิมตามความจาเปน็ เคร่ืองมือมีคมตา่ งๆ มคี รบ และไดม้ ีการปูองกันมิให้คมกระแทกกับสิ่งอ่ืนๆ ตรวจว่าเก็บ
หรอื ตดิ ตง้ั เคร่ืองมืออุปกรณ์ตา่ งๆ ถูกต้อง
คาถามทา้ ยบท
เทคนคิ ยานยนตแ์ ละการปรนนบิ ตั ิบารงุ
1. ความมุ่งหมายหลักของการ ปบ.ก่อนการใชง้ าน คือ
2. ขอ้ ใดกล่าวถูกต้องเก่ียวกบั การ ปบ.กอ่ นการใชง้ าน
3. บตั รการใชร้ ถประจาวัน มีช่อื เรยี กอีกอย่างว่า
4. ข้อใดคือความม่งุ หมายของการปรนนบิ ตั บิ ารงุ
5. การปรนนิบตั ิบารุงโดยพลขับนนั้ พลขับจะต้องปฏิบัตติ ามรายการท่ีปรากฏอย่ใู นบตั รอะไร
6. ลมยางของยานพาหนะท่ีถูกต้อง จะต้องมีความดนั กี่ปอนด์/ตารางน้ิว
7. คอยฟังเสียงทีผ่ ดิ ปกติ การระบายความรอ้ นและควนั ท่ีอาจเกดิ ข้นึ เปน็ การ ปบ. ชนดิ ใด
8. หลกั การทีส่ าคัญในการ ปบ.ขณะใช้งาน คือ
9. การ ปบ. ขณะใช้งาน ควรทาอย่างไร
10. ตามบัตรการใช้รถประจาวนั การ ปบ.ขณะใช้งาน มีอะไรบ้าง
บทที่ 4
การฝกึ ขับรถเบอื้ งตน้
1. กลา่ วนา
ก่อนที่จะทาการฝึกทุกคร้ัง จะต้องตรวจยานพาหนะให้เรียบร้อย เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องยนต์ ตัวรถ และ
เครื่องประกอบต่างๆ ต้องอยู่ในสภาพท่ีเรียบร้อยก่อนใช้งาน ไม่มีการชารุดเสียหาย หลวมคลอน หรือไม่ถูกก่อ
วินาศกรรม ทั้งน้ีเพ่อื ใหแ้ น่ใจว่า ไดเ้ ตรยี มปอู งกันอปุ สรรคและอันตรายตา่ งๆ เปน็ อยา่ งดีแล้ว
การตรวจสภาพความพร้อมของรถภายนอกทั่วๆไป ให้เดินตรวจ เริ่มจากด้านหน้าแล้วเดินวนไปทางขวา
มือ ใต้ท้องรถเร่มิ จาก หวั รถไปท้ายรถ
การตรวจสภาพความพร้อมของรถภายใน จะต้องเปิดฝาครอบเครื่องยนต์ออก และทาการตรวจ
ตามลาดับ ดังน้ี หม้อน้ารังผ้ึง–เคร่ืองยนต์–น้ามันหล่อล่ืน-น้ามันอุปกรณ์ (น้ามันเบรก น้ามันคลัท น้ามันเพาเวอร์
รวมถึง นา้ ฉดี กระจก)-น้ามนั เชอ้ื เพลิง
2. การฝกึ ขับรถเบ้ืองต้น
2.1 การนั่งประจาที่
ความมุ่งหมาย เพ่ือให้พลขับฝึกน่ัง และถือพวงมาลัยในท่าทางที่ถูกต้องเป็นแบบอย่างอันเดียวกัน
อกี ทง้ั การปฏิบัติในการ ขึน้ –ลง ดว้ ย
1) วิธีฝึก ครูฝึกช้ีแจงและอธิบายให้ผูเ้ ข้ารบั การฝึกทราบถึงคันบังคับต่างๆรวมถึงเคร่ืองวัดต่างๆพร้อม
ทัง้ แสดงตวั อยา่ งในการนง่ั ประจาท่ี ท่ถี กู ต้อง ใช้คาบอกวา่ “ประจาท”่ี
2) การปฏิบัติ ให้คนท่ีอยู่หัวแถวทาท่าตรง แล้วว่ิงไปข้ึนรถทางด้านที่มีพวงมาลัย ข้ึนรถ จัดท่าน่ัง
ปรับเบาะให้เหมาะสม ลาตัวตั้งตรงแต่ไม่เกร็ง ศีรษะตั้งตรง ตามองข้างหน้า จับที่พื้นถนน ห่างจากรถในระยะที่
ปลอดภัย อย่างน้อย 40 เมตร ขึ้นไป มือท้ังสองข้างจับพวงมาลัยในแนวระดับเส้นผ่าศูนย์กลาง หรือ 3 นาฬิกา
และ 9 นาฬิกา โดยประมาณ มือกาแนน่ พอประมาณ ไม่เกรง็ มอื เทา้ ซ้ายวางทพ่ี น้ื หน้าแปูนคลัท เท้าขวาวางที่พ้ืนหน้า
แปนู เบรก ไม่ล้าเข้าไปขา้ งใน
ครูพยายามเน้นให้เห็นถึงความสาคัญของสายตาที่มองไปข้างหน้าในระยะที่ปลอดภัย ไม่ก้มมาดู
มือและเท้า ในทุกกระบวนการในการฝึกขับรถ ทั้งนี้เพื่อให้สายตาท่ีมองไปข้างหน้า ได้ระมัดระวังอันตรายหรือ
อบุ ตั ิเหตทุ อ่ี าจจะเกิด เพื่อจะได้ปูองกันหรือแก้ไขปัญหาอุปสรรคได้ทันท่วงที การปฏิบัติการน่ังประจาที่ ให้หมุนเวียน
จนครบหมดทุกคน
2.2 การติดเครอ่ื งยนต์
ความมุง่ หมาย เพ่ือให้พลขบั เข้าใจวธิ ตี ดิ เครือ่ งยนต์ที่ถกู ตอ้ งตามข้ันตอนและเกิดความปลอดภัย (ถ้า
ไมป่ ฏบิ ตั ิตามขัน้ ตอน อาจเกดิ อันตรายหรอื อุบัติเหตุได)้
1) วิธีฝึก สาหรับการติดเครื่องยนต์น้ัน จะต้องเดินเครื่องยนต์รอบต่า (เดินเบา) เสมอ จนกระท้ังได้
อุณหภูมิใช้งาน ประมาณ 140 องศาฟาเรนไฮต์ (ถ้าเราเร่งเครื่องยนต์แรงๆ รอบสูง ในขณะท่ีอุณหภูมิของเคร่ืองยัง
เย็นอยู่ จะทาให้ช้ินส่วนภายในของเครื่องยนต์ชารุดสึกหรอ เพราะว่าน้ามันเคร่ืองยังไม่ขึ้นไปหล่อล่ืน ลูกสูบ, แหวน,
แบริ่ง, และกลไกล้นิ อยา่ งท่ัวถึง) ใช้คาบอกวา่ “ติดเครื่องยนต์”
2) การปฏิบตั ิติดเครื่องยนต์
2.1) ตรวจดใู หแ้ น่ใจวา่ คันห้ามลอ้ มือไว้
2.2) เท้าซา้ ยเหยียบแปนู คลัทจนสดุ ทงั้ น้ีเพอื่ ให้เบาแรงของมอเตอร์สตาร์ท เป็นการประหยัดการ
ใช้ไฟท่แี บตเตอรี่
2.3) ตรวจคันเกียรใ์ ห้อยู่ในตาแหน่งวา่ ง
2.4) เปดิ เมนสวิทย์ไปทีต่ าแหน่งหมายเลข 1 หรอื 2 เพือ่ เปิดวงจรไฟเครอ่ื งยนต์
2.5) หมนุ กญุ แจไปทลี่ ็อกแรก เพื่อเช็คระบบไฟทหี่ นา้ ปัด แล้วรอจนไฟรูปเครื่องยนต์ดบั
2.6) สตารท์ เครอื่ งยนต์ โดยเท้าขวาเหยยี บคันเรง่ เลก็ นอ้ ย เพ่อื ช่วยสง่ นา้ มนั ให้เร็วขน้ึ
2.7) เมื่อเครื่องยนต์ติดเรียบร้อยแล้ว ให้ค่อยๆถอนเท้าซ้ายออกจากแปูนคลัทจนสุด ส่วนเท้าขวา
ยังคงเร่งเครอ่ื งยนตเ์ บาๆ
ข้อควรระวังในการตดิ เครอื่ งยนต์ ถ้าเคร่ืองยนต์ไม่ติด ห้ามสตาร์ทนานเกิน 10 วินาที เพราะจะทา
ใหเ้ ปลอื งไฟแบตเตอรีม่ าก และจะต้องใหพ้ ักการสตารท์ เครือ่ งยนตส์ กั พักหน่ึง จงึ เรมิ่ ติดเครอ่ื งยนตใ์ หม่
3) การปฏิบัติการดบั เครอ่ื งยนต์
ใช้คาบอกว่า “ดับเคร่ืองยนต์” ปล่อยเท้าขวาออกจากคันเร่ง บิดกุญแจมาท่ีตาแหน่ง OFF
เครอ่ื งยนต์ดับแล้วใหป้ รับเมนสวิทช์ควบคมุ ไฟฟาู กลบั ไปที่เดมิ
2.3 การใชค้ ันเร่ง
ความมงุ่ หมาย เพื่อฝกึ ใหพ้ ลขับรู้จกั ใช้เทา้ เหยยี บคันเรง่ เพื่อเรง่ เครื่องยนต์ดว้ ยอาการนุม่ นวล ไมเ่ รง่
เครอ่ื งยนต์แรงจนเกนิ ไป สามารถควบคมุ และบังคับเท้าขวาเพอื่ เรง่ เคร่ืองยนต์ได้ขณะใชค้ วามเรว็ ตา่ งๆ กนั และปฏบิ ตั ิ
อยา่ งถูกต้องตามวธิ ี
1) วิธฝี กึ ครแู สดงตวั อยา่ งใหถ้ กู ต้อง คาบอกท่ใี ช้ “เรง่ เคร่ืองยนต์”
2) การปฏิบัติ
2.1) วางเท้าขวาลงบนแปูนคันเร่งให้ส้นเท้าติดพ้ืน กดคันเร่งลงไปด้วยปลายเท้า ในอาการที่
นุ่มนวล อย่าเร่งเครื่องยนต์แรงจนเกินไป ต้องบังคับเท้าขวาได้ ควรฝึกให้ผู้เข้ารับการรู้จักหัดสังเกต ใช้หูฟังเสียง
เครื่องยนต์ และเสียงผิดปกติต่างๆ พร้อมท้ังดูท่ีหน้าปัดว่ามีส่ิงผิดปกติหรือไม่ ท้ังนี้อย่าให้เสียการทรงตัวในท่าน่ัง
ประจาท่ี สายตาใชเ้ พียงแค่ชาเลืองเทา่ นั้น
2.2) เมื่อจะเบาเครื่องยนต์ให้ใช้คาว่า “เบา” ให้ผ่อนคันเร่ง โดยยกปลายเท้าขวาข้ึนอย่างช้าๆจน
สุด เท้ายงั คงอยู่ทีค่ ันเรง่
2.4 การใช้คลัทและเกียร์
ความมุ่งหมาย เพ่ือฝกึ ให้ผ้เู ขา้ รับการฝกึ คุ้นเคยต่อคันบงั คับต่างๆ “การเข้าเกียร์” และการ
เหยยี บคลทั ที่ถูกต้องตามข้นั ตอนและหลักการ
1) วิธีฝึก ครูช้ีแจงตาแหน่งของเกียร์ แสดงการเหยียบคลัทเข้าเกียร์ต่างๆ พร้อมประกอบคาอธิบาย
ว่า เมื่อเหยียบ คลัท ต้องเหยียบสุดทันที โดยใช้บริเวณปลายเท้า เพราะจะบังคับเท้าได้ง่ายและมีแรงกดได้ดี ในการ
ผ่อนคลัทนั้นต้องค่อยๆ ผ่อน เน่ืองจากในการปล่อยคลัทเป็นการปล่อยให้หน้าคลัทไปสัมผัสกับล้อช่วยแรง ถ้าเรา
ปล่อยคลัทเร็ว จะทาให้แผ่นคลัทชารุดได้ง่าย นอกจากน้ันเครื่องยนต์จะดับไปเลย สาหรับผู้ท่ีเข้ารับการฝึกใหม่ จะ
เสียเวลาในการปล่อยคลทั นม้ี าก คอื จะเกิดอาการพะวงวา่ เครื่องยนต์จะดับ เครอ่ื งยนต์จะกระตุก โดยปกติแล้วคลัทจะ
มีระยะฟรีประมาณ ครึ่งน้ิว (½) คือ ในตอนที่เราเริ่มต้นผ่อนคลัท อาจถอนเท้าออกมาโดยเร็วได้เฉพาะช่วงระยะฟรี
จากระยะน้ี จึงกดน้าหนกั เท้าบนแปูนคลัทไว้ขณะหนง่ึ แล้วจึงค่อยๆผ่อน โดยวธิ นี ี้ ผู้เข้ารับการฝึกจะขับระยะฟรีได้เร็ว
ขน้ึ ใช้คาบอกวา่ “เข้าเกยี ร์”
2) การปฏิบตั ิ
2.1) ใหใ้ ชเ้ ทา้ ซา้ ยเหยยี บคลัทจนสุด สว่ นเทา้ ขวาไม่ตอ้ งเร่งเคร่ือง เสร็จแล้วให้เข้าเกียรห์ น่งึ
ปลดห้ามล้อมือ เท้าท่ีเหยียบคลัท ก็ค่อยๆผ่อนขึ้นจนสุด ขณะเดียวกันเท้าขวาเร่งคันเร่งพอประมาณ เพื่อให้รถ
เคลือ่ นท่ไี ด้นุม่ นวลและเครื่องยนตไ์ ม่ดับ
2.2) การปฏิบตั ใิ นเกยี ร์ 2, 3, 4, 5 กใ็ หป้ ฏิบัติเช่นเดยี วกนั แต่การผอ่ นคลัท สามารถผ่อนได้เร็วขึ้น
กว่า เกียร์ 1และ2
2.3) การเปลยี่ นเกียรท์ ุกครัง้ จะต้องผ่อนคันเร่งใหส้ ดุ
2.4) การเปลี่ยนเกียร์จากเกียร์สูงลงมาต่า ความมุ่งหมาย อาจเน่ืองมาจากกาลังเคร่ืองยนต์ลดลง
จาเป็นจะต้องลดเกียร์ให้ต่า เพื่อให้เหมาะสมกับความเร็วของรถ และเพื่อให้รถมีกาลังงานฉุดลากวิ่งต่อไปได้ การ
เปลี่ยนเกยี รส์ ูงลงมาเกียร์ตา่ สามารถเปลี่ยนขา้ มเกียร์ได้ โดยสังเกตจากความเร็วของรถที่ว่ิงอยูใ่ นขณะน้นั
2.5) เมื่อไม่ต้องการใช้คลัท ห้ามวางเท้าไว้บนคลัท ถ้าวางเท้าไว้บนคลัท จะถือว่าเป็นการ
“ข่ีคลทั ”
2.6) การเหยยี บคลัทซ้อน หรอื ทีเ่ รยี กว่า “ดับเบ้ิลคลัท”ให้ทาแต่พอดี อย่าทิ้งระยะให้ห่างนานไป
หรือเร็วไป ในการฝกึ น้ีควรพยายามใชเ้ ท้าและมือ ใหม้ คี วามสมั พนั ธ์กัน ต่อเนื่องกนั ไปอย่างสมา่ เสมอ
2.5 การใชห้ า้ มล้อ
ความมุ่งหมาย เพื่อให้พลขับสามารถใช้หา้ มลอ้ ได้อย่างน่มุ นวลและถูกตอ้ งตามหลกั การ
1) วิธีฝึก ครูช้ีแจงและอธิบายพร้อมแสดงตัวอย่าง ในขณะฝึกขับหนุนล้อ คาบอก “ห้ามล้อ”
หมายถงึ การใชห้ ้ามล้อเท้าเทา่ นัน้
2) การปฏิบัติ
2.1) ปล่อยเท้าขวาจากคันเร่ง เล่ือนไปแตะที่แปูนห้ามล้อ ค่อยๆ กดลงไปอย่างช้าๆ เมื่อรู้สึกว่า
เครอื่ งยนต์เร่ิมกระตุก ให้เหยียบคลัททันที ขณะเดียวกัน เท้าขวายังคงเหยียบแปูนห้ามล้ออยู่ และค่อยๆเน้นลงไปจน
รถหยุดน่ิง เสร็จแลว้ ให้ปลดเกียรว์ ่าง จึงมาปล่อยคลัท และปล่อยห้ามล้อ (ถ้ามีคันห้ามล้อมือ ให้ดึงคันห้ามล้อมือก่อน
แล้วค่อยปลอ่ ยหา้ มลอ้ เทา้ )
2.2) ในการฝึกใช้ห้ามล้อเท้านั้น มีท้ัง การจอดรถด้วยเกียร์ต่า และการจอดรถด้วยเกียร์สูง การ
ปฏิบตั กิ ค็ ลา้ ยๆกัน ดังน้ี
ถ้าเป็นเกียร์ต่า ก็เบาเคร่ืองยนต์ก่อน โดยปล่อยเท้าจากคันเร่ง พอรถช้าลง ก็ใช้เท้าซ้าย
เหยียบคลัทให้สุด เท้าขวาละจากคันเร่ง เล่ือนไปเหยียบแปูนห้ามล้อ แล้วค่อยๆกดลงไปช้า ๆ เพื่อหยุดรถ เสร็จแล้ว
ปลดเกียร์วา่ ง ปล่อยคลัท แล้วคอ่ ยปลอ่ ยเบรก
ถ้าเป็นเกียร์สูง ก็เบาเคร่ืองยนต์ก่อน โดยปล่อยเท้าจากคันเร่ง เลื่อนไปเหยียบแปูนห้ามล้อ
คอ่ ยๆกดลงไปอยา่ งชา้ ๆ เมอ่ื รถรถชา้ ลงแลว้ ใหใ้ ชเ้ ท้าซ้ายเหยียบคลัท เพอ่ื ปูองกันรถกระตุก เสร็จแล้ว เท้าขวาก็ค่อยๆ
เนน้ หา้ มล้อเท้าลงไปเรือ่ ยๆจนรถหยดุ น่งิ จากนน้ั ให้ปลดเกียร์วา่ ง ปลอ่ ยคลัท แลว้ ค่อยปลอ่ ยเบรก
ขอ้ สงั เกต ในการใชห้ ้ามล้อ ทงั้ เกียร์ต่าและเกียร์สูง สิง่ ทป่ี ฏิบัตเิ หมอื นกนั คอื เมื่อรถหยุดนิ่งแล้ว
จงึ ทาการ ปลดเกียร์ว่าง–ปล่อยคลทั –ปล่อยห้ามลอ้ เท้า
คาถามทา้ ยบท
ฝกึ ขบั รถเบ้ืองต้น
1. การนัง่ ประจาท่ี ทถ่ี ูกต้อง คือ
2. เวลาขับรถสายตามองไปขา้ งหนา้ จับท่ีถนนห่างจากรถในระยะปลอดภัยอยา่ งน้อยก่เี มตร
3. เมอื่ ไดย้ นิ คาบอก “ตดิ เคร่อื งยนต์” ใหพ้ ลขบั ปฏบิ ตั ิอยา่ งไร
4. การตดิ เครื่องยนต์ ถ้าเคร่ืองยนต์ยงั ไม่ทางาน ไมค่ วรสตารท์ นานเกนิ ก่ีวินาที
5. การฝกึ ใช้คลทั และเกียร์ มีความมงุ่ หมายเพ่ืออะไร
6. โดยปกตแิ ล้ว คลทั จะมรี ะยะฟรีประมาณเท่าไร
7. ถ้าวางเทา้ ไวบ้ นคลัท เวลาขับรถจะถือวา่ เปน็ การขี่คลทั หรือไม่
8. การเหยยี บคลัทซ้อน หรอื เรียกอีกอย่างว่า
9. ความมุ่งหมายของการใช้ห้ามล้อ คือ
10. ในการใช้ห้ามล้อ ส่ิงที่ต้องปฏบิ ัติเหมือนกนั ท้งั เกยี ร์สงู และเกยี รต์ า่ คือ