วิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร

จ่ายยืม

วชิ า ภาษาองั กฤษเพอื่ การสือ่ สาร

สาหรับนกั เรียนนายสบิ ทหารบก
หลักสูตรศกึ ษา ณ รร.นส.ทบ. 1 ปี

หมายเลข ชกท.111
กองการศกึ ษา โรงเรยี นนายสิบทหารบก

คา่ ยโยธินศึกษามหามงกฎุ
พ.ศ.2564

คานา

โรงเรยี นนายสบิ ทหารบก เป็นสถาบันการศึกษาของกองทัพบก มีหน้าที่ให้การฝึกศึกษาแก่นักเรียน
นายสิบทหารบก เพื่อผลิตกําลังพลนายทหารช้ันประทวนของกองทัพบกที่มีคุณภาพมาตรฐาน มีสมรรถนะและขีด
ความสามารถตามความต้องการของกองทพั บก

โรงเรยี นนายสบิ ทหารบก ไดด้ าํ เนนิ การจัดทําคูม่ อื การสอนหลกั สูตรนกั เรยี นนายสิบทหารบก เพื่อใช้
เปน็ เอกสารประกอบการจดั การศกึ ษาหลักสูตรนักเรียนนายสิบทหารบก ซึ่งการดําเนินการดังกล่าว โรงเรียนนายสิบ
ทหารบกได้ทาํ การรวบรวมรายละเอียดเนื้อหาวิชาจากตํารา คู่มือการฝึก และเอกสารอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้อง มาปรับปรุง
พัฒนาและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับหลักสูตรนักเรียนนายสิบทหารบก เพื่อให้การจัดการฝึกศึกษา
หลกั สูตรนายสบิ ทหารบกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มคี ุณภาพมาตรฐาน

โรงเรียนนายสิบทหารบก หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือการสอนหลักสูตรนักเรียนนายสิบทหารบก จะ
เป็นส่วนสําคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนนายสิบทหารบก ให้เป็นไปตามความมุ่งหมายและ
ตอบสนองนโยบายการศึกษาของกองทพั บกตอ่ ไป

พนั เอก

(ประเสรฐิ สุนันทช์ ยั กลุ )
ผอู้ าํ นวยการกองการศึกษาโรงเรียนนายสิบทหารบก

ปรชั ญา

จงรักภกั ดี มีความรู้ อยใู่ นระเบยี บวนิ ยั คณุ ธรรม ลักษณะผู้นําเด่น

วิสยั ทศั น์

โรงเรยี นนายสบิ ทหารบก เป็นองคก์ รท่มี คี วามมัน่ คงในการผลิตนายทหารประทวนให้กับกองทัพบก
ได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ประสทิ ธิผล โดยมงุ่ เนน้ มาตรฐานความรู้ คู่วนิ ยั อกี ท้งั มีเกียรติ ศักดศ์ิ รี
เปน็ ท่ียอมรบั ของหน่วยงานในกองทพั บก บคุ ลากร และหน่วยงานภายนอก

สารบญั หนา้

บทที่ 1
17
บทที่ 1 หลักภาษาอังกฤษ 22
1. ประเภทของคาํ (Parts of Speech)
23
2. ประโยคและรูปประโยค (Sentence) 26
29
คําถามท้ายบท 30
บทที่ 2 การสนทนาภาษาอังกฤษ 32
37
1. การทักทายและการแนะนาํ ตัว (Greeting and Introduction) 39
2. ความร้สู ึก (Feelings) 40
3. ลมฟูาอากาศ (The Weather) 43
4. วนั และเวลา (Dates and Time) 46
5. การบอกทิศทาง (Direction)
6. ท่ีร้านอาหาร (At the restaurant) 47
7. ทีร่ า้ นคา้ (At the shop) 48
8. ท่สี นามบิน (At the airport) 49
9. ทโ่ี รงแรม (At the hotel) 52
คําถามทา้ ยบท 55
บทท่ี 3 ภาษาอังกฤษทางทหาร 67
1. ยศทหารบก ไทย-สหรฐั ฯ (Thai-US Army Ranks)
2. เหลา่ ทหารบกไทย (Royal Thai Army Corps)
3. คาํ บอกคําส่ัง (Military Order)
4. เครือ่ งแบบทหาร (Soldier Uniform)
5. คา่ ยทหาร (A Camp)
คาํ ถามท้ายบท

-1-

บทที่ 1
หลักภาษาอังกฤษ (grammar)

ประเภทของคา (Parts of Speech)

ประเภทของคําในประโยคภาษาอังกฤษ
1. Noun คาํ นาม คือคําท่แี ทนส่ิงตา่ งๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ เช่น pen, dog, work, music, town,
London, teacher, John
2. Pronoun คาํ สรรพนาม คอื คาํ เอาไว้พดู แทนคาํ นามทีพ่ ดู ไปแลว้ เช่น I, you, he, she, some
3. Verb คาํ กริ ิยา คือคําทแ่ี สดงการกระทาํ เชน่ (to) be, have, do, like, work, sing, can, must
4. Adjective คําคุณศัพท์ คือคําขยาย (บรรยาย) คํานาม เช่น a/an, the, some, good, big, red, well,
interesting (มักอยหู่ น้าคํานาม)
5. Adverb คําวิเศษณ์ คือคําขยาย Verb, Adjective หรือขยาย Adverb เอง มักลงท้ายด้วย -ly เช่น
quickly, silently, well, badly, very, really (มักอยูห่ นา้ verb หรืออยู่ทา้ ยประโยค)
6. Preposition คําบพุ บทคอื คาํ ท่ใี ช้เช่ือมความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคาํ ๆ หนึ่งกับคําอ่ืนในประโยค เช่น in, on,
at, to, after, under, over, from
7. Conjunction คําสันธาน เอาไว้เช่ือมประโยค หรือเช่ือมคํา เช่น and, but, or, nor, for, yet, so,
although, because, since, unless
8. Interjection การอุทาน คาํ พูดที่พูดออกไปด้วยอารมณ์ตา่ งๆ เพือ่ แสดงออกถึงความรู้สกึ ทเ่ี กดิ ขึ้น
ขณะนั้น เช่น Bravo! หมายถึง ไชโย!

Noun คานาม

คํานาม คือ คําที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ ส่ิงของ สถานที่ หรือความคิด โดยจะทําหน้าที่เป็นประธาน (Subject)
หรือ กรรม (Objective) ในประโยค

1. ประเภทของคานาม แบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท ดังน้ี
1.1 Common Noun หมายถึง คํานามที่เราใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ ท่ีอยู่รอบตัว เช่น girl, city, room,

food, dog, man, woman, father, son, king, teacher, doctor, student, car, pen, table, telephone,
window เปน็ ต้น

1.2 Proper Noun หมายถึง คํานามท่ีเป็นช่ือเฉพาะของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานท่ี ซึ่งเป็นคําที่
ประเภทท่ีต้องข้ึนต้นด้วยพยัญชนะตัวใหญ่ (Capital letter) ไม่ว่าจะอยู่ต้นประโยคหรือท้ายประโยค เช่น
Mr. Somchai, Thailand, November, Bangkok

1.3 Collective Noun หมายถึง คํานามที่รวมสิ่งต่าง ๆ ท่ีเป็นประเภทเดียวกันไว้ด้วยกัน โดยใช้
เหมือนนามนบั ไมไ่ ด้ เชน่ Family, Team, Class, Information, News

-2-

1.4 Abstract Noun หมายถึง คํานามท่ีเป็นนามธรรม มักจะขึ้นต้นด้วยคําว่า “การ” หรือ
“ความ” เช่น Organization, Development, Education, Knowledge, Beauty, Happiness

2. ชนิดของคานาม จะแบง่ ตามจาํ นวนออกเป็น 2 ชนดิ ดังน้ี
2.1 Countable Noun (นามนบั ได้) หมายถงึ คาํ นามทส่ี ามารถอยู่ในรูปเอกพจนห์ รอื รปู พหูพจน์
1) คน อาชพี หรอื ความสมั พนั ธ์ เชน่ father, boy, man, professor, student
2) สตั ว์ พชื แมลงสายพันธุ์ต่าง เช่น cat, tree, mosquito, whale
3) สงิ่ ของที่มีรปู คงที่แน่นอน ไม่ไดเ้ ปล่ยี นรปู ไปมา เชน่ television, chair, building
4) หนว่ ยวัดตา่ งๆ เช่น centimeter, inch, kilogram, dollar, degree
5) การแบ่งหน่วยทางสงั คมต่างๆ เช่น country, city, language, family, group
6) ความคิดหรือสงิ่ ของที่จับตอ้ งไม่ไดบ้ างชนดิ เช่น idea, plan, investigation
2.2 Uncountable Noun (นามนับไม่ได้) หมายถึง คํานามที่ไม่สามารถอยู่ในรูปเอกพจน์หรือรูป

พหพู จน์ ซึ่งเราจะถอื ว่านามนับไมไ่ ด้ทั้งหมดเป็นเอกพจน์
1) สง่ิ ของที่อยู่รวมๆ กนั เปน็ เนอ้ื เดยี วกนั เชน่ rice, sugar, hair, sand, soap
2) อาหารทอ่ี ยู่ในรปู ตา่ งๆ เช่น meat, bread
3) สสารท่ีมีรูปรา่ งไมค่ งท่แี นน่ อน เช่น water, ice, fire, rain, coffee, tea, iron, wood
4) กลมุ่ ของส่งิ ของที่มีความหลากหลาย เช่น clothing, cash, furniture, money
5) ภาษาต่างๆ เชน่ Thai, English, Japanese, Italian
6) พวกคาํ กริยาท่ีเปน็ gerund (เติมการข้างหน้า) เชน่ walking, eating, learning
7) แนวคดิ หรือสงิ่ ของท่จี บั ตอ้ งไม่ได้บางชนดิ (โดยมากมักจะลงทา้ ยด้วย -ness, -ity, ance)
เช่น effectiveness, darkness, integrity

3. การใช้คานาม
• คาํ นามนบั ไดเ้ ปน็ พหพู จน์ จะตอ้ งเติม s เช่น bags, cats, girls, trees เป็นตน้
• คํานามที่ลงท้ายด้วย s, z, ch, sh หรือ x ให้เติม es เช่น Taxes, Classes, Buses, kisses

ยกเวน้ ลงทา้ ยด้วย ch ออกเสียงเป็น (k) ให้เติมเพียงแค่ s เท่านน้ั เช่น Stomachs
• คาํ นามทล่ี งท้ายดว้ ย o และหนา้ o เปน็ พยัญชนะให้เติม es เช่น Heroes, Mangoes กรณีท่ีหน้า

o เปน็ สระ ใหเ้ ติม s หลัง o เชน่ Studios, Radios, Bamboos
• คํานามที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น copy –

copies กรณที ่ีหน้า y เป็นสระให้เติม s หลัง y เช่น day - days, boy – boys
• คํานามทลี่ งทา้ ยด้วย f หรอื fe ให้เปลยี่ นเป็น ves เชน่ knife - knives, life – lives
• คํานามท่ีมรี ูปเหมอื นกันท้งั เอกพจนแ์ ละพหพู จน์ เชน่ deer, swine, salmon, aircraft, species
• คาํ นามท่ีไม่เปลย่ี นรปู เมอ่ื มีจาํ นวนนบั มาประกอบ เช่น dozen, foot, million, hundred, score

-3-

• คํานามท่ีมีรูปเป็นเอกพจน์แต่มีความหมายเป็นพหูพจน์ เช่น people, police, fish ยกเว้น
ตอ้ งการช้ใี ห้เห็นว่ามีความแตกตา่ งกนั เช่น fishes แปลวา่ ปลามีหลายสายพนั ธุ์

• คาํ นามทีม่ ีรูปเป็นพหพู จนแ์ ตม่ ีความหมายเป็นเอกพจน์ เช่น news, works, physics (ชอ่ื วิชา)
• คํานามทม่ี ีรปู เปน็ พหูพจนแ์ ละมคี วามหมายเป็นพหูพจน์ เชน่ clothes, goods
• เวลาใช้คํานามขยายคาํ นาม คาํ นามตัวหนา้ จะห้ามเติม s เด็ดขาด เชน่ Vegetable soup
• คาํ นามนับได้เอกพจน์ ถ้าไม่เจาะจงจะนําหน้าด้วย a (คําที่ตามหลังเป็นเสียงพยัญชนะ), an (คําที่
ตามหลงั เป็นเสยี งสระ ออกเสียง ออ-) หรือใช้ the ในกรณีท่ีเจาะจง หรือผู้ฟังรู้อยู่แล้วว่าพูดถึงอะไรอยู่ และสามารถ
นาํ หนา้ ดว้ ย one, each, every เป็นต้น
• คํานามนับได้พหูพจน์ สามารถนําหน้าด้วย two, both, a couple of, a few, many,
a number of เปน็ ต้น
• คํานามนบั ไม่ได้ จะถอื ว่าเป็นเอกพจน์เสมอ และไมม่ กี ารใช้ a/an แต่สามารถนําหน้าด้วย a little,
much, a great deal of เปน็ ตน้
• คําที่สามารถนําหน้าได้ทั้งคํานามนับได้และนับไม่ได้ ได้แก่ no, any, some, a lot of, lots of,
plenty of, most, all เปน็ ต้น
• คาํ นามเอกพจน์ จะตามด้วย is/am/has/does/Vเตมิ s,es เมื่อใช้ Present Simple
• คํานามพหูพจน์ จะตามด้วย are/have/do/V ไมเ่ ตมิ s,es เมอ่ื ใช้ Present Simple
• a few / a little เป็นคําในแง่ดี คือ พอมอี ยู่
• few / little เปน็ คาํ ในแง่ลบ คอื มีน้อยมาก
• other = อนั อื่น / another อกี อันหน่ึงจากสิ่งท่พี ูดถึง / the other(s) อันทเี่ หลือจากส่งิ ท่ีพูดถงึ

Pronoun คาสรรพนาม

คําสรรพนาม คือคําท่ีใช้แทนคํานามหรือคําเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึง
ซ้ําซาก หรือแทนสิ่งทร่ี ูก้ ันอยูแ่ ลว้ ระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง หรือแทนส่ิงของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร คําสรรพนาม
แบง่ ออกเปน็ 7 ชนิด คอื

1. Personal Pronoun (บรุ ษุ สรรพนาม) คือ สรรพนามทใี่ ช้แทนบคุ คลหรอื ส่งิ ของในการพดู สนทนา
• เป็นประธาน (Subjective) ไดแ้ ก่ I, you, we, he, she, it, they
• เป็นประธาน (Objective) ไดแ้ ก่ me, you, us, him, her, it, them
เช่น I saw a boy on the bus. He seemed to recognize me.

2. Possessive Pronoun (สรรพนามเจ้าของ) คือ สรรพนามท่ีใช้แทนคํานามเมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
ได้แก่ mine, yours, his, hers, its, theirs, ours มีความหมายเหมือน possessive adjectives แต่หลักการใช้
ต่างกนั

เช่น This book is mine. (mine ในประโยคนเี้ ป็น possessive pronoun)
This is my book. (my ในประโยคน้เี ป็น possessive adjective ขยาย book)

-4-

3. Reflexive Pronouns (สรรพนามตนเอง) คือ สรรพนามท่ีแสดงว่าได้กระทําด้วยตนเอง เป็นคําท่ีมี -

self ลงทา้ ย ได้แก่ myself, yourself, ourselves, himself, herself, themselves, itself

เชน่ They blamed themselves for the accident.

You can do it yourself.

4. Definite Pronoun (หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง) คือ สรรพนามที่บ่งชี้ชัดเจน

วา่ ใช้แทนสิ่งใด ไดแ้ ก่ this, that, these, those, one, such, the same

เช่น That is incredible!

I will never forget this.

5. Indefinite Pronoun (สรรพนามไม่เจาะจง) คือ สรรพนามท่ีใช้แทนนามได้ทั่วไป มิได้ช้ีเฉพาะเจาะจง

ไดแ้ ก่ all, some, any, somebody, something, someone

เชน่ Nobody will believe him.

One should always look both ways before crossing the street.

6. Interrogative Pronoun (สรรพนามคําถาม) คือ สรรพนามที่แทนนามสําหรับคําถาม ได้แก่ who,

whom, which, whose ,what, that

เช่น What did she say?

Whom do you think we should invite?

7. Relative pronoun (สรรพนามเชื่อมความ) คือ สรรพนามที่ใช้แทนคํานามท่ีกล่าวมาแล้วในประโยค

ข้างหน้า และพร้อมกันน้ันก็ทําหน้าที่เชื่อมประโยคทั้งสอง ให้เป็นประโยคเดียวกัน ได้แก่ who, whom, which,

that, whoever, whomever, whichever, whatever

เช่น The book that she wrote was the best-seller.

He's the man whose car was stolen last week.

ตารางแสดงชนิดของคาสรรพนาม

Subjective Objective Possessive Form Reflexive
Adjective Pronoun

I me my mine myself

you you your yours yourself

we us our ours ourselves

he him his his himself

she her her hers herself

it it its its itself

they them their theirs themselves

-5-

Verb คากริ ิยา

Finite Verb : กริยาแท้ หรือกริยาหลักของประโยค สามารถผันรูปได้ตาม subject, Tense, mood และ
voice แบง่ ออกเป็น

1. Transitive Verbs (สกรรมกริยา) เป็นคํากริยาที่ต้องการกรรมตรง (Direct Object) มารองรับ
เสมอ

เช่น I eat bread and drink coffee.
I bought a new phone.

2. Intransitive Verbs (อกรรมกริยา) เป็นคํากริยาท่ีไม่ต้องการกรรมตรงมารองรับ เนื่องจากมี
ความหมายสมบูรณ์ในตัวมันเอง หรือมักตามด้วยคําคุณศัพท์ (Adjective), คํากริยาวิเศษณ์ (Adverb), คําบุพบท
(Preposition) หรอื สว่ นขยายคาํ กรยิ า (Gerund หรอื Infinitive)

เชน่ She is sleeping.
I looked at him.
I walk slowly.

3. Linking verb เป็นคํากริยาท่ีบอกสภาพของประธาน ท่ีมักตามมาด้วย Adjective (ที่ทําหน้าที่
ขยายคํานามท่ีเป็นประธานของประโยค) นอกจากจะมี verb to be (is, am, are, was, were, been) แล้ว ยังมี
Verb ตัวอ่ืนท่ีสามารถใช้แทน Verb to be ได้เพื่อความหมายที่ดีข้ึน เช่น seem, look, sound, smell, stay,
remain, appear, become, get, feel

เช่น The children are tired.
Coffee tastes awesome.
Now, my dream becomes true.

Nonfinite Verb : กริยาไม่แท้ คือ กริยาท่ีจะไม่ผันตาม tense, subject, mood หรือ voice และจะทํา
หน้าที่อย่างอื่นในประโยค จะไม่ทําหนา้ ที่เปน็ กริยาโดยตรง ประกอบด้วย

1. Infinitive
1.1 Infinitive with to
(1) ทาํ หน้าที่เป็นคํานามซึง่ เปน็ ประธานของประโยค
เชน่ To listen English music is a good way to learn English.
(2) ใช้ตามหลงั คํากรยิ าแท้ (Main Verb) โดยทําหนา้ ท่ีเปน็ กรรมของประโยค
เชน่ Chanatip loves to play football.
(3) ใช้ตามหลังคําคุณศัพท์ (Adjective) บางคํา ทําหน้าที่เป็นเหมือนคํากริยาวิเศษณ์

(Adverb) เพอ่ื เป็นการบอกเหตผุ ล หรือ แสดงความคิดเหน็
เช่น She is lucky to have such good friends.
It was foolish of him to trespass against the law.

-6-

(4) ใช้ตามหลังคํานามหรือสรรพนาม โดยทําหน้าที่เป็นเหมือนคําคุณศัพท์ (Adjective)
ขยายคํานามหรอื สรรพนามนัน้ เชน่ The singer to watch is Ed Sheeran.

1.2 Infinitive without to
(1) ทําหน้าท่ีเป็นคํากริยาหลัก (Main Verb) โดยใช้ตามหลังกริยาช่วย (Auxiliary Verb)
verb to do หรอื Modal Verb (will, shall, would, should, can, could, may, might, must)
เช่น I can play the guitar.
(2) ใช้ตามหลังคํากริยาอื่น ๆ ท่ัวไปหรือเรียกว่า Special Verb ที่มีกรรมตรง (Direct
Object) และคํากริยาท่แี สดงถึงการยินยอมหรือใหเ้ หตุผล เช่น watch, see, feel, hear, help, let, make, see
เชน่ I watched them bake the bread.
(3) ใช้ตามหลังคําเหล่านี้ had better, need, dare, would rather, would sooner,
rather than, but, and, or, except
เช่น They had better be here before we start dinner.

I would sooner die than give up.
2. Gerund คอื คํากริยาเติม ing (V-ing) ท่ที าํ หนา้ ท่ีเปน็ คาํ นาม เรยี กกนั วา่ กรยิ านาม

2.1 Gerund ทาํ หน้าทีเ่ ป็นประธาน (Subject) ของประโยค
เชน่ Eating vegetables and fruits is good for your health.
2.2 Gerund ทาํ หนา้ ทเ่ี ปน็ กรรม (Object) ของประโยค
เชน่ He enjoys reading.

You can improve your English by using the internet
2.3 Gerund เปน็ สว่ นเตมิ เตม็ ของประโยค (Complement) มักตามหลงั Verb to be
เช่น The knowledge is learning something everyday.
3. Participle คือ คํากริยาที่ใช้เป็นคําคุณศัพท์ (adjective ขยาย N.) มี 2 รูปคือ รูปเติม –ing
เรียกวา่ Present Participle และ Past Participle (V3)
3.1 Present Participle คือ กริยาเติม ing ใช้ในประโยค Continuous Tense และใช้ทํา
หน้าท่ีเหมือนคําคุณศัพท์ (adjective)
เชน่ That is an exciting movie.

This book was very boring.
3.2 Past Participle คอื กริยาชอ่ ง 3 ไมว่ า่ จะเปน็ รูปเตมิ –ed หรอื เปลี่ยนรูปก็ตาม โดยใช้
ในประโยค perfect tenses และ passive voice และใชท้ ําหน้าท่เี หมอื นเปน็ คาํ คุณศัพท์ (adjective)
เชน่ The broken window was replaced.

The tired student fell asleep while writing in his journal.

-7-

Helping V. กริยาช่วย คือ คํากริยาท่ีเข้ามาเสริมกริยาหลักเพื่อขยายความให้กว้างข้ึน และยังช่วยในการ
สรา้ งประโยคปฏเิ สธและประโยคคําถามอกี ด้วย

1. V. to be, V. to do, V. to have
Verb to be ใช้เป็นกริยาช่วยในประโยค Continuous tense ใช้ในโครงสร้างประโยค

Passive Voice และใช้วางหน้าคาํ กริยา infinitive with to จะให้ความหมายวา่ “จะ, จะตอ้ ง”
เช่น Nid is eating a sandwich.
A house is built by father.
I’m to work in Tokyo next year.
Verb to Do ทาํ หน้าทเ่ี ป็นกริยาช่วย (Auxiliary Verb) โดยจะใช้ร่วมกับกริยาหลัก (Main

Verb) เพ่อื สรา้ งประโยคคําถาม, ประโยคปฏิเสธ หรือเพือ่ เน้นยํา้ ความสาํ คญั
เชน่ Do you come from England?
He doesn't like sport.
He does work hard.
Verb to have ทําหน้าที่เป็นกริยาช่วย โครงสร้างประโยค Present Perfect Tense,

Past Perfect Tense, Future Perfect Tense หรือใช้ have/has/had + to ในความหมายวา่ ต้อง
เช่น I have worked hard this week.
I have to get up early.

2. Modal (can/could, will/would, shall/should, may/might, must/have to/ought
to/need)

คอื กริยาชว่ ย ทีม่ ีความพเิ ศษตรงนี้มีความหมายในตัวมันเอง (ปกติกริยาช่วยมีหน้าที่ทําให้
ประโยคสมบูรณแ์ ต่ไมม่ คี วามหมาย)

2.1 สามารถทําเป็นประโยคปฏเิ สธหรอื ประโยคคาํ ถามไดเ้ ลยโดยไม่ตอ้ งใชก้ รยิ าช่วยตัวอื่น
เช่น Students can’t enter this room.

Can you pass me the sugar?
2.2 ใช้ Modal Verbs ตามด้วย infinitive verbs
เชน่ I should arrive by lunch time.

You must study hard.

Adjective คาคณุ ศพั ท์

คําคุณศัพท์ในภาษาองั กฤษ เรียกกนั วา่ Adjective หรือยอ่ วา่ Adj. ทาํ หนา้ ที่ขยายคํานามหรือสรรพนามที่อยู่
ในประโยค คํานามหรือสรรพนามก็คือ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ น่ันเอง ทําหน้าที่ขยายในท่ีน้ีเพื่อบอกให้รู้ว่าคํานาม
หรอื สรรพนามเหลา่ นัน้ มลี กั ษณะอยา่ งไร เช่น สงู ตํา่ ดาํ ขาว ใหญ่ เลก็ เลว ดี ฯลฯ

-8-

1. ประเภทของคําคุณศัพท์ จําแนกได้เป็นประเภทต่าง ๆ ท้ังหมด 8 ประเภท ดังต่อไปนี้
1.1 คําคุณศัพท์บอกลักษณะ (Descriptive Adjective) เช่น good, bad, fat, thin, red, white,

smart, poor
1.2 คุณศัพท์บอกสัญชาติ (Proper Adjective) เช่น Thai, Japanese, Chinese, German,

English
1.3 คําคุณศัพท์บอกปริมาณ (Quantitative Adjective) เช่น much, little, some, any, all
1.4 คําคุณศัพท์บอกจํานวน (Numeral Adjective) เช่น one, two, three, first, second, third,

single, double, triple
1.5 คําคุณศัพท์แบ่งแยก (Distributive Adjective) เช่น each, every, either, neither
1.6 คําคุณศัพท์บอกคําถาม (Interrogative Adjective) เช่น What, Which, Whose
1.7 คําคุณศัพท์ช้ีเฉพาะ (Demonstrative Adjective) เช่น this, that, these, those
1.8 คาํ คณุ ศพั ทแ์ สดงความเปน็ เจ้าของ (Possessive Adjective) เชน่ my, your, our, his, her

2. การใช้คําคุณศพั ท์ จะใช้วางอยใู่ นส่วนตา่ ง ๆ ในประโยคดงั ต่อไปน้ี
2.1 วางขยายหนา้ คาํ นามนั้น ๆ
เชน่ She wants a red rose from her boyfriend.
I saw a fat boy yesterday.
She is a good girl.
2.2 วางไว้หลัง Verb to be (be, is, am, are, was, were, been)
เชน่ The rose is beautiful.
I am bored.
She was happy yesterday.
2.3 วางไวห้ ลังกรยิ าเชื่อม (Linking Verb) เชน่ look, sound, taste, feel
เช่น You look beautiful in this dress.
The soup tastes good.
I feel bad today.

Adverb คําวิเศษณ์

คือส่วนของประโยคท่ีทาํ หน้าท่ีขยายการกระทําน้ัน ๆ ว่ามีการกระทําด้วยลักษณะอย่างไร เมื่อไร ท่ีไหน ใน
ระดับความเขม้ ขน้ แคไ่ หน และบ่อยเพยี งไรน่ันเองค่ะ ซึง่ ก็ทําให้ทราบถึงลักษณะการกระทาํ ของประธานในประโยคได้
ละเอยี ดชัดเจนยง่ิ ข้นึ

-9-

1. หนา้ ที่หลักของ Adverb หรอื ทเ่ี ราเรียกโดยยอ่ ว่า Adv. มดี ังตอ่ ไปน้ี
1.1 ขยายกริยาในประโยค
เช่น He can play a piano well.
He walks carefully.
I always go to school with my friends.
1.2 ขยายคําคณุ ศพั ท์ในประโยค
เชน่ The statue is very elegant.
Weather in Siberia is extremely cold.
1.3 ขยายคาํ กรยิ าวิเศษณ์ (Adv.) ดว้ ยกันเอง
เช่น He speak too fast.
He is studying Japanese quite hard.

2. การแบ่งประเภทของ Adverb
การสังเกตคําที่เป็น Adv. น้ัน จะสังเกตท่ีส่วนท้ายของคําที่ลงท้ายด้วย – ly และมักจะผันมาจาก

Adj.เช่น beautiful → beautifully, happy → happily (แต่ Adv. หลาย ๆ คาํ ก็ไมไ่ ด้ลงไดด้ ้วย – ly)
2.1 Adverb of manner (คํากริยาวิเศษณ์บอก คุณภาพ อาการ สถานะ ท่าทาง ลักษณะต่าง ๆ

ของการกระทํา) เป็น Adv. ที่บอกว่ากริยานั้นกระทําด้วยลักษณะอย่างไร เช่น carefully, quickly, simply,
sincerely, suddenly

2.2 Adverb of time (คํากรยิ าวเิ ศษณ์บอกเวลา) เปน็ Adv. ที่บอกว่ากริยาน้ันกระทําเกิดข้ึนเม่ือไร
นานเท่าใด และบ่อยเพยี งไร เชน่ today, yesterday, before, after, all day, often, never, always

2.3 Adverb of place (คํากริยาวิเศษณ์บอกสถานที่) เป็น Adv. ที่บอกว่ากริยาน้ันเกิดข้ึนท่ีไหน
เชน่ here, away, nearby, under, above, around, near

2.4 Adverb of degree (คํากรยิ าวิเศษณบ์ อกระดบั ) เปน็ Adv. ท่บี อกวา่ กริยานนั้ เกดิ ขึ้นระดับไหน
เชน่ very, too, quite, almost, entirely, fully

2.5 Adverb of frequency (คาํ กริยาวเิ ศษณ์บอกความถี)่ เปน็ Adv. ท่ีบอกว่ากริยานั้นเกิดข้ึนบ่อย
เพยี งใด เชน่ always, often, usually, sometimes, never

Preposition คาบุพบท

คาํ บุพบท คอื คําท่ีใชเ้ ช่อื มความสมั พนั ธร์ ะหว่างคาํ ๆ หนึ่ง กับคําอ่นื ในประโยค แบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท
ดังต่อไปนี้

1. Preposition of Time (คาํ บพุ บทบอกเวลา) เช่น In, On, At, Since, For, Until, During เปน็ ตน้
In ใช้กับ เดือน ฤดู ปี เช่น My sister’s birthday is in December.
On ใชก้ บั วันและเทศกาล เช่น He will be at here on next Monday.
At ใชก้ บั เวลาท่เี ฉพาะเจาะจง เช่น I will go to the market at 6 p.m.

- 10 -

Since หมายถึง ตงั้ แต่ เชน่ Karaket fall in love with KhunPee since first met.
For หมายถึง เป็นเวลา เชน่ KhunPee had to go to France for two years.
2. Preposition of Place (คาํ บพุ บทบอกสถานท่ี) เช่น In, On, At, Above, Below, Over, Under เป็นตน้
In หมายถงึ ขา้ งใน ใชก้ ับ เมือง ประเทศ และสิง่ ของ/พน้ื ท่ีท่มี ีขอบเขต

เชน่ Prick is dancing in the kitchen room.
On หมายถงึ บน (อยบู่ นบางสงิ่ ) ใชก้ บั ชื่อถนนและพืน้ ผวิ ของสิง่ ตา่ ง ๆ

เชน่ My sister puts Joy’s photo on the wall.
At หมายถงึ ท่ี ใช้กบั สถานท่ที ่ีเจาะจง

เช่น I wait for KhunPee at the tent every day.
Above หมายถงึ เหนอื (อย่ดู ้านบนแบบไม่เจาะจง)

เชน่ She attaches the picture above the TV.
Below หมายถึง ใต้ (อยู่ด้านลา่ งแบบไม่เจาะจง)

เช่น It is ten degrees below zero now.
Over หมายถงึ ขา้ งบน (ตรง ๆ)

เช่น The kid jumps over my purse.
Under หมายถงึ ขา้ งใต้ (ตรง ๆ)

เช่น Yam hides herself under the bed.
3. Preposition of Movement (คําบุพบทบอกการเคล่ือนไหว) เชน่ To, Onto, Into, Toward เป็นตน้

To หมายถึง ถึง, ไปถงึ , ท่ี (จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหน่ึง) เชน่ He runs to the train station.
Onto หมายถงึ ข้ึนไปยงั (ไปข้างบนถงึ จดุ หน่งึ ) เชน่ He climbs onto the tree.
Into หมายถึง เขา้ ไปข้างใน เชน่ Pin is walking into the rest room.
Toward หมายถึง ไปยัง (แต่ไม่เจาะจง) เชน่ I am walking toward the school.
4. คาํ บพุ บทแบบซับซอ้ น (มีคําเป็นค่)ู เช่น apart from, as well as, instead of และ in spite of เป็นต้น
Apart from หมายถึง นอกเสยี จาก

เช่น All my cats are white apart from this little one, it is black.
As well as หมายถงึ เชน่ เดยี วกันกับ

เช่น She always reads book as well as watch TV in the same time.
Instead of หมายถงึ แทนท่จี ะ

เช่น Would you like to eat instead of exercise?
In spite of หมายถึง ทัง้ ๆ ที่

เช่น She still loves him in spite of his bad habit.

- 11 -

คาทใ่ี ช้คกู่ บั คาบพุ บท (Preposition)
คํากริยา (Verbs), คาํ คุณศพั ท์ (Adjectives) และคาํ นาม (Nouns) มกั ใชค้ วบคกู่ ับคําบพุ บท

(Prepositions) ซึง่ การจําควบคกู่ ันนน้ั จะชว่ ยใหเ้ ราใชภ้ าษาองั กฤษได้อยา่ งถูกตอ้ ง
การใช้ Verb + Preposition
Verb + Preposition ‘in’
arrive / believe / dressed / interested / participate / succeed
Verb + Preposition ‘for’
account / care for / exchange / forgive / pay / search / work
Verb + Preposition ‘to’
adapt / belong / consent / explain / get used / happen / object
Verb + Preposition ‘on’
agree / base / comment / decide / plan
Verb + Preposition ‘of’
accuse / consist / dream / hear
Verb + Preposition ‘with’
agree / bored / content / deal / familiar / provide
Verb + Preposition ‘about’
dream / forget / hear / learn / speak / warn
Verb + Preposition ‘at’
angry / laugh / shout
Verb + Preposition ‘from’
borrow / graduate / hear / keep / recover
Verb + Preposition ‘of’
accuse / consist / dream / think
การใช้ Adjective + Preposition
Adjective + Preposition ‘of’
afraid / aware / bored / careful / characteristic / fond / full / proud / tired
Adjective + Preposition ‘for’
famous / prepared / qualified / ready / responsible / sorry
Adjective + Preposition ‘with’
angry / associated / bored / connected / content / familiar / friendly /

gentle / impressed / involved / patient / pleased / satisfied

- 12 -

Adjective + Preposition ‘to’
beneficial / limited / opposed / polite / sensitive

Adjective + Preposition ‘about’
angry / certain / excited / happy / puzzled / serious / sorry / worried

Adjective + Preposition ‘by’
amazed / puzzled / shocked

Adjective + Preposition ‘in’
experienced / interested / involved / successful in หมายถึง ประสบผลสําเรจ็

Adjective + Preposition ‘from’
derived / different / free / safe / tired

Adjective + Preposition ‘at’
amazed / annoyed / experienced / skillful

Adjective + Preposition ‘on’
based / keen

การใช้ Noun + Preposition
Nouns + Preposition ‘to’

access / approach / change / concern / desire / reason / transition / visit
Nouns + Preposition ‘for’

case / credit / cure / love / order / recipe / request / room / search
Nouns + Prepositions ‘with

concern / connection / contrast / difficulty / link / meeting / trouble
Nouns + Preposition ‘of’

awareness / benefit / example / experience / knowledge / memory /
method / price / problem / risk / way

Nouns + Preposition ‘in’
belief / change / difference / difficulty / experience / lesson / participation /

place / success
Nouns + Prepositions ‘on’
attack / effect / expert / tax
Nouns + Prepositions ‘by’
bill
Nouns + Prepositions ‘between’
contact / difference

- 13 -

Conjunction สนั ธาน

คําสนั ธานคอื คาํ ที่ใชเ้ ชอ่ื มคํา วลี หรอื ประโยคเข้าดว้ ยกัน
1. Coordinate Conjunction

คือ คําสันธานทใ่ี ช้เช่ือม 2 ประโยคเข้าด้วยกันในลักษณะเสมอกัน คอื ถ้าแยกแตล่ ะข้อความออกจาก
กนั ยงั มีความหมายเปน็ ทีเ่ ข้าใจได้

And และ
เชน่ He is tall and handsome.

And also และยงั อกี ด้วย
เช่น Jim is tired and also hungry.

And…too และ… ด้วย
เชน่ Ladda was beautiful and wise too.

As well as เชน่ เดยี วกัน
เช่น Dang as well as Somsak are the leaders.

And…also และยัง… อกี ด้วย
เช่น I am tired and sleepy also.

Both…and ทั้ง… และ
เช่น Suriya likes to eat both rice and bread.

Not only…but also ไมเ่ พียงแต่ แต่ยงั …อกี ด้วย
เช่น Jane can speak not only English but also Japanese.

But แต่
เชน่ Aran likes football but his wife likes tennis.

Yet แม้กระน้นั
เชน่ He never worked hard yet he gained all prize.

While ในขณะที่
เชน่ You like Pepsi while I like coke.

Still แตก่ ระนัน้
เช่น The pain was bad, still she didn’t complain.

Whereas ในขณะนี้
เช่น I like Pepsi, whereas the others hate it.

Nevertheless แมก้ ระนั้น
เช่น Suda had no income; nevertheless she went on working.

Or หรอื
เชน่ Would you like tea or coffee?

- 14 -

Or else มฉิ ะน้ัน
เช่น The man must breathe, or else he will die.

Either…or ไม่…ก็
เช่น You can take either this book or that one.

Neither…. Nor ไม่ท้ัง…และ
เช่น I like neither Ladda nor Lalita.

So ดังน้นั
เช่น You look tired so you should stop working.

For เพราะว่า
เช่น She is very sad, for she has no money.

Therefore ดงั น้ัน
เช่น He had a toothache, therefore he didn’t go to work.

Accordingly ดงั นั้น
เช่น I was sick, accordingly I didn’t go to school.

2. Subordinate Conjunction
คอื สนั ธานทใ่ี ช้เชอ่ื ม 2 ประโยคท่มี ีความสําคัญไมเ่ ทา่ กนั ประโยคท่ีอยหู่ ลังคาํ สันธานชนิดนีจ้ ะเปน็

ประโยครอง ไมส่ ามารถแยกไปอยู่ตามลําพงั ได้
Where ที่ซึ่ง
เชน่ He will go to the school where his son learns.
wherever ทีใ่ ดกต็ าม
เช่น Araya will live wherever he lives.
After หลงั
เช่น She slept after you have left her home.
Before ก่อน
เชน่ Poke finished homework before you saw him.
During ระหว่าง
เชน่ Vicha is sleeping during you are swimming.
Until จนกระท่ัง
เชน่ He would be there until she gets home.
When เม่ือ
เช่น I was swimming when he was shot.
Whenever
เช่น เมื่อใดกต็ าม She will cry whenever you leave her.

- 15 -

As long as ตราบเท่าที่
เช่น I will love you as long as you love me.

Since ตงั้ แต่
เช่น Somsri was sick since she has stayed here.

Because เพราะว่า
เช่น He had a stroke because he didn’t relax.

Since เนอ่ื งจาก
เช่น She was sick since she has worked too hard.

Though ถึงแม้ว่า
เชน่ I won’t love her though she is beautiful.

Although ถึงแมว้ า่
เช่น Ladda won’t help although he requests her.

Why เพราะเหตุใด
เชน่ I don’t know why she hates me.

How อย่างไร
เช่น She knows how he loves her.

If ถ้า หรอื หาก
เชน่ Dang won’t praise her if he knows the truth.

Whether หรอื ไม่
เชน่ He doesn’t know whether she will come.

That เพือ่ วา่
เช่น He works hard that she would love him.

So that เพือ่ ท่วี ่า
เชน่ I tried hard so that I will past the exam.

In order that เพื่อทีว่ ่า
เช่น She came here in order that she might see me.

As ตามที่
เชน่ He will do as she has told him.

As if ราวกบั วา่
เช่น He acted as if he were the Prime Minister.

Lest ด้วยเกรงว่า
เชน่ Dang took care of June lest she would suicide.

- 16 -

3. Correlative conjunction
คอื สนั ธานท่ีใช้เชอื่ มประโยค Independent clause ทีม่ ีความหมายสอดคลอ้ งและเท่าเทยี มกนั
not only … but also … ไม่เพียงแต่... แตอ่ กี ด้วย
เชน่ Mark can play not only the guitar but also the piano.
either … or … ไม่ ... ก็ (ใหเ้ ลือกอยา่ งใดอย่างหน่ึง)
เช่น You can either stay here or come with us.
neither … nor … ไม่...และ (ไมท่ ั้งสองอยา่ ง)
เชน่ Brian neither watches TV nor reads newspaper.
as ... as … เท่ากัน
เช่น The world’s biggest bull is as big as a small elephant.
both … and … ทัง้ ...และ
เชน่ She speaks both English and Arabic.

Interjection อทุ าน

การอุทาน (Interjection) คอื คาํ พูดทพ่ี ดู ออกไปด้วยอารมณ์ตา่ งๆ เพอื่ แสดงออกถงึ ความร้สู กึ ที่เกิดขึน้

ขณะน้นั เชน่ ดีใจ เสียใจ หรอื โกรธ เปน็ ต้น

รปู แบบของการอทุ าน มี 2 ชนดิ คอื

1. การอุทานท่เี ปน็ คาเดยี วโดดๆ หรอื เปน็ กล่มุ คา (วลี) เช่น

Oh! หมายถงึ โอ! ออ! โอโ้ ฮ! Wow! หมายถงึ โอ้โฮ!

Alas! หมายถงึ โอย! ตายจริง! Ah! หมายถงึ อา! โอย!

Alack! หมายถึง อนจิ จา! Hurrah! หมายถึง ไชโย!

Ha! หมายถงึ ฮา! Bravo! หมายถึง ไชโย!

Ugh! หมายถึง ทุด! ถยุ ! Dam! หมายถงึ สมนํ้าหน้า!

Bosh! หมายถึง เหลวไหล! Hark! หมายถึง ฟงั !

Hush! หมายถงึ อย่าทําเสยี งดัง! Ho! หมายถึง ฮา้ !

Well done! หมายถงึ เยย่ี มไปเลย!

Just my luck! หมายถงึ โชคของผมแท้ๆ!

O dear me! หมายถึง โอ่ ได้โปรดเถอะ!

2. การอุทานทอี่ อกมาในรปู แบบของประโยค

What a pity! หมายถงึ ช่างน่าสงสารอะไรอยา่ งนนั้

What a mess! หมายถึง มันชา่ งสบั สนอะไรอยา่ งนน้ั

What a fool he is! หมายถึง เขาช่างโง่อะไรอย่างนน้ั !

What a shame you can’t come! หมายถึง ช่างนา่ อานอะไรอย่างนนั้ ท่ีคุณมาไมไ่ ด้!

- 17 -

What an awful noise! หมายถึง มันช่างเสียงดงั อะไรอย่างนั้น!
What a nuisance! หมายถงึ มนั ช่างนา่ ราํ คาญอะไรอย่างน้นั
What a shame! หมายถึง ชา่ งน่ายอายอะไรอย่างนน้ั !
What a pretty girl! หมายถงึ เธอชา่ งนา่ รกั อะไรอยา่ งนน้ั !
What an expensive dress! หมายถงึ ชดุ อะไรชา่ งแพงอยา่ งนนั้ !
What a large room! หมายถึง หอ้ งอะไรช่างใหญอ่ ย่างนนั้ !
What lovely children! หมายถึง ช่างเป็นเดก็ ท่ีน่ารักอะไรอย่างนน้ั
What delicious food it is! หมายถงึ มนั ช่างเป็นอาหารท่อี ร่อยอะไรอย่างนั้น!
How nice of you to come! หมายถึง ช่างดเี หลือเกนิ ทคี่ ณุ มาได้!
How cold this room is! หมายถึง หอ้ งน้ีชา่ งหนาวะไรอย่างนั้น!
How strong he is! หมายถึง เขาช่างแขง็ แรงอะไรอยา่ งนน้ั !
How quickly the time passes! หมายถึง เวลาชา่ งผ่านไปรวดเร็วอะไรอยา่ งนั้น!
How heavy it rains! หมายถึง ฝนชา่ งตกหนักอะไรอย่างนัน้ !
Away you go! หมายถงึ แกออกไปซะ!
Here it comes! หมายถึง มาน่ีแล้วไง
There they are! หมายถงึ พวกเขาอย่ทู ีน่ ั่นเอง
There goes the bus! หมายถึง รถโดยสารไปโนน่ แล้ว

ประโยคและรูปประโยค (Sentence)

Sentence (ประโยค) เปน็ กลุม่ คําท่ีมาประกอบกันให้มเี นอื้ ความสมบูรณ์ บอกการกระทํา ความเป็นอยู่
หรือ ความเปน็ ไป ของสงิ่ หนึง่ ส่งิ ใด โดยทว่ั ไปประโยคจะมี 2 ภาคคอื subject (ภาคประธาน) และ predicate
(ภาคแสดง) เชน่ He lives in Bangkok.

Clause (อนปุ ระโยค) เปน็ กลมุ่ คําทม่ี ี subject และ predicate เหมือนประโยค (sentence) แต่ไม่มี
ความหมายสมบรู ณ์ จะต้องมี Clause (อนปุ ระโยค) 2 ประโยคมารวมกนั จงึ จะมีความหมายที่สมบูรณ์

เช่น Jack did not come to work because he had a bad cold.
clause 1 : Jack did not come to work.
clause 2 : because he had a bad cold.
Phrase (วล)ี เป็นกลุ่มคําซ่งึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ประโยคที่ไม่มี subject หรือ predicate
เช่น Sitting in the chair. (วล)ี
The woman sitting in the chair is my mother.
ประโยคแบ่งออกเปน็ 4 ชนดิ คือ
1. Simple Sentence หมายถึง ประโยคทีม่ ีกริยาแทห้ รอื กริยาสาํ คญั เพยี งตวั เดียว
เชน่ That girl cooks her breakfast by herself.

- 18 -

2. Compound Sentence หมายถงึ ประโยคใหญ่ท่ีประกอบขน้ึ ดว้ ยประโยค เล็กของ Simple
Sentence ต้ังแต่ 2 ประโยคขึน้ ไป โดยอาศัย Conjunction (and, or, so, but) เปน็ ตัวเชือ่ ม

เช่น He opens the door and walked into the room.
3. Complex Sentence หมายถงึ ประโยคใหญท่ ่ปี ระกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยค
โดย 2 ประโยคน้ีมีความสําคัญไม่เทา่ กัน นนั่ คือประโยคหลกั Main Clause ท่ีมใี จความสมบูรณ์ และ ประโยครอง
Subordinate Clause ที่ต้องอาศยั ประโยค Main Clause จงึ จะได้ใจความสมบรู ณ์

เชน่ This is the house that I bought last year.
4. Compound Complex Sentence หมายถงึ ประโยคใหญต่ ัง้ แต่ 2 ประโยคขน้ึ ไปมารวมกนั อยู่ โดยอกี
ประโยคใหญ่ทอ่ นหนึ่งนนั้ จะมีประโยคเล็กแทรกซอ้ นอยภู่ าย

เช่น I couldn’t remember what his name is, but I will ask him.

การสร้างประโยคคาถาม

ให้นําเอา Verb ช่วย ทม่ี ีในประโยคบอกเลา่ มาสลับไวห้ นา้ ประโยค แตถ่ ้าในประโยคบอกเล่าไมม่ ี Verb ชว่ ย
ใหเ้ อา V พวก Do มาใช้เป็น Verb ช่วย และหลงั จากใช้ Verb ชว่ ยแล้ว Verb จะตอ้ งไม่ผันตามประธาน เชน่

• He watches TV everyday. => Does he watch TV everyday?
• He is doing his homework. => Is he doing his homework?
• She can speak Thai. => Can she speak Thai?

การสรา้ งประโยคปฏเิ สธ

ให้เตมิ Not หลงั Verb ชว่ ย แตถ่ า้ ไมม่ ี Verb ช่วยให้ใช้ V พวก Do มาชว่ ย เช่น
• He watches TV everyday. => He does not watches TV everyday.
• He is doing his homework. => He is not doing his homework.
• She can speak Thai. => She can not speak Thai.

ประโยคเง่อื นไข If Clause

ประโยคเงื่อนไขมอี ยู่ 4 รปู แบบ คอื
• เหตกุ ารณท์ เี่ ปน็ จริงท่ัวไป :
If + present simple, present simple : If + S + V1, S + V1

เชน่ If you go to the park, you can see Jo.
• เหตกุ ารณท์ เ่ี ปน็ เหตเุ ปน็ ผลในอนาคตตอ่ ไป :
If + present simple, future simple : If + S + V1, S + will/may + V1

เชน่ If I study hard, I will pass the exam.

- 19 -

• เหตกุ ารณส์ มมตใิ นอดตี ท่ไี มเ่ กิดข้นึ จริง :
if + past simple, would + infinitive : If + S + V2, S + would + V1

เช่น If I won the lottery, I would buy a big house.
• เรื่องท่เี ปน็ ไปไมไ่ ดต้ รงขา้ มกับความจรงิ ในในอดตี :
if + past perfect, would have + past participle : If + S + had + V3, S + would have + V3

เช่น If I had studied hard, I would have passed the test.

กาลเวลา Tense

รูปแบบประโยคท่ีเรียกว่า Tense (กาลเวลา) เปน็ แสดงเวลาในกรณตี ่างๆ กนั โดยจะทําใหส้ ่วนของ Verb
นัน้ เปล่ยี นรปู แบบไป (ซึ่ง verb ท่ีเปลีย่ นไปตาม Tense คอื Verb แท้ของประโยค) รปู แบบของ Tense แบ่งตาม
กาลเวลา ไดเ้ ปน็ 3 รูปแบบ คือ

1. ปัจจุบัน Present = V1(s)
2. อดีต Past = V2
3. อนาคต Future = Will + V1
โดยแต่ละกาลเวลาจะแบง่ ออกเป็น 4 รปู แบบย่อย รวมเป็น 12 Tense คอื
1. Simple = S + V (เปน็ จรงิ ท่วั ๆไป) ได้แก่

Present Simple = S + V1(s ผันตามประธาน)
เช่น He watches TV everyday.

Past Simple = S + V2
เชน่ I walked to school yesterday.

Future Simple = S + will + V1
เชน่ It will snow tomorrow.

2. Continuous = S + be + Ving (กาํ ลังทาํ ) ได้แก่
Present Continuous = S + is/am/are + Ving
เชน่ I am doing my homework.
Past Continuous = S + was/were + Ving
เชน่ He was sleeping when I arrived.
Future Continuous = S + will + be + Ving
เช่น He will be sleeping when we arrive.

3. Perfect = S + have + V3 (เกดิ ก่อนอีกอนั เสรจ็ สน้ิ ไปแล้ว) ได้แก่
Present Perfect = S + has/have + V3
เช่น I have already seen that movie.

- 20 -

Past Perfect = S + had + V3
เชน่ I had already eaten when they arrived.

Future Perfect = S + will + have + V3
เชน่ I will have already eaten when you arrive.

4. Perfect Continuous = S + Have + been + Ving (เกิดกอ่ นอีกอนั ยังดาํ เนนิ ต่อไป) ได้แก่
Present Perfect Con = S + has/have + been + Ving
เช่น He has been playing piano for 2 years.
Past Perfect Con = S + had + been + Ving
เช่น I had been waiting for 2 hours before they arrived.
Future Perfect Con = S + will + have + been + Ving
เชน่ I will have been studying English for ten months next month.

Active & Passive Voice

ประโยคในภาษาอังกฤษ สามารถเขียนได้ 2 รปู แบบ คอื แบบ Active (เน้นท่ผี ้กู ระทา) และแบบ Passive

(เนน้ ท่ีสง่ิ ที่ถกู กระทา) โดยจะใชร้ ูป be + V3 เมื่อนาํ มาผสมกบั Tense จะไดร้ ูปแบบของ Tense ที่อยู่ในรูป

Passive Voice ได้ เช่น

Active : Mary helped the boy (S + V2 + O)

Passive : The boy was helped by Mary (S + was/were + V3 + O)

การเปลย่ี นรปู แบบของ Tense ทอ่ี ย่ใู นรปู Passive Voice

1. Simple = S + V (เป็นจรงิ ทั่วๆไป)

Present Simple Active : S + V1(s)

Passive : S + is/are + V3

Past Simple Active : S + V2

Passive : S + was/were + V3

Future Simple Active : S + will + V

Passive : S + will + be + V3

2. Continuous = S + be + Ving (กาํ ลังทํา)

Present Continuous Active : S + is/am/are + Ving

Passive : S + is/are + being + V3

Past Continuous Active : S + was/were + Ving

Passive : S + was/were + being + V3

Future Continuous Active : S + will + be + Ving

Passive : S + will + be + being + V3

- 21 -

3. Perfect = S + have + V3 (เกิดกอ่ นอีกอัน เสร็จสิ้นไปแลว้ )

Present Perfect Active : S + has/have + V3

Passive : S + has/have + been + V3

Past Perfect Active : S + had + V3

Passive : S + had + been + V3

Future Perfect Active : S + will + have + V3

Passive : S + will + have + been + V3

4. Perfect Continuous = S + Have + been + Ving (เกิดก่อนอกี อนั ยังดาํ เนนิ ตอ่ ไป)

Present Perfect Con Active : S + has/have been + Ving

Passive : S + has/have been + being + V3

Past Perfect Con Active : S + had been + Ving

Passive : S + had been + being + V3

Future Perfect Con Active : S + will have been + Ving

Passive : S + will have been + being + V3

- 22 -

คาถามท้ายบท

จงเลอื กคาตอบที่ถูกต้องมากที่สุด

1. I want …….. pen in your hand.

a. a b. an c. the d. no article

2. Liz will sit between you and …….

a. I b. my c. mine d. me

3. That is a man ……. you saw yesterday.

a. who b. whom c. which d. that

4. The book …….. is on the top shelf is very interesting.

a. which b. who c. whom d. whose

5. We ……. to attend the seminar last week.

a. were called b. called

c. have called d. have been called

6. While I …… along the road, I saw an accident

a. walked b. have walked c. are walking d. was walking

7. A lazy boy ……. studies hard.

a. never b. always c. seldom d. often

8. Our teacher leaves ……. New York tomorrow.

a. for b. in c. on d. to

9. She was very tired ……..she didn’t take a rest.

a. or b. and c. but d. so

10. ……. he is rich, he is unhappy.

a. Although b. Even c. Since d. If

- 23 -

บทท่ี 2
การสนทนาภาษาอังกฤษ (Conversation)

Greeting and Introduction (การทักทายและการแนะนาตวั )

Greetings in English: How do you say Hello in English?

Here are some common greeting expressions that you can use when you meet someone.

Greeting (การทักทาย)

สวสั ดี Hello ไม่ไดเ้ จอกนั ต้ังนาน

Good morning, Good afternoon, Good evening Long time no see.

Hi, Hey (ใชก้ บั ผู้ทมี่ ีความสนิทสนมกัน) I’m so happy to see you again.

How do you do. (พบเจอกนั ครง้ั แรก) Wow, it’s so good to see you again!

สบายดีมยั้ Fine, Good, Alright. กด็ ี

How are you? Not bad. ไม่เลว

How are you doing? So-so. เรอ่ื ยๆ

เปน็ อยา่ งไรบ้าง สบายดี

How’s it going? I’m fine, thank you.

How have you been? I’m very well, thanks.

What’s going on? Pretty good, thank you.

What’s new? I’m going well.

What’s up? (ใช้กับผู้ที่มคี วามสนทิ สนมกัน) ผมไมส่ บาย

How’s everything? not good. / I’m not fine. / I’m not OK.

How are things? I’m not very well.

How’s life? ชวี ติ เปน็ อยา่ งไรบ้าง แล้วคณุ ละ่ สบายดีมย้ั

How’s your day? วันนีเ้ ป็นอย่างไร Thank you. How about you?

Nice to meet you. ยินดที ร่ี จู้ กั Thank you. And you?

Self Introduction (การแนะนาตัวเอง) Saying Goodbye (การกลา่ วลา)

Let me introduce myself. ผมขอแนะนาํ ตัวเองนะ Good bye / Bye / See you!

May I introduce myself. ขออนญุ าตแนะนาํ ตัวเองนะ See you soon! / See you later!

Hello. I’m Michael. / Hi. I’m Michael. Talk to you later!

My name is Michael. / I am Michael. ผมชอื่ ไมเคิล I hope to see you soon.

Please call me Mike. / You can call me Mike. See you next time.

I have to go now. Take care!

- 24 -

Introductions Dialogue 1 B: I'm James.
A: Hi. My name is Tom. And you? B: Yes, I am. I'm from Brazil.
A: Are you a new student?
A: I'm from Thailand. And where are you from?
B: Nice to meet you. A: Nice to meet you too.

Personal Information (ข้อมลู ส่วนบคุ คล)

Personal Information Questions

1. What’s your name? My name is Michael.
2. Where are you from? (City, Country) I’m from Thailand.
3. Where do you live? I live in Hua Hin.
4. What’s your address? It’s 8 Petchkasem Road Nong Kae subdistrict
Hua Hin District Prachuap Khiri Khan Province
5. When is your birthday? Thailand 77110
6. Where were your born? My birthday is on 12th November 2000.
7. How old are you? I was born in Bangkok.
8. What do you do? / What is your job? I am 20 years old.
9. Where do you study? I am a soldier.
I’m study at Army Non-Commissioned Officer
10. What’s your nationality? School. (NCO academy)
11. What’s your marital Status? My nationality is Thai.
12. What’s your ID number? (identification) I am single. (married, divorced, widowed)
13. What’s your email? It is 3760500528986.
14. What’s your phone number?
My email is [email protected].
* Could I get your number? My phone number is +66840508966.
* Are you on Facebook?

(WhatsApp, Line ……..)

- 25 -

Let me introduce myself (การแนะนาตัว)

• Hi, my name’s ............................................
• I’m from ................................... (country)
• I live in ........................... (city)
• I’m .............. years old.
• My birthday is on ...........................................
• I’m a student at .............................................
• My favorite subject is ...................................
• My favorite sport is .......................................
• There are ................. people in my family.
• They are ..........................................................
• I would like to be a ........................ because ....................................
• My hobby is .....................................
• In my free time, I also like ..............................................................
• I don’t like ...........................................................................................
• My favorite food is ............................................................................
• My favorite drink is ............................................................................
• My favorite day of the week is ............ because ....................................
• My favorite singer (or band) is ...............................................
• I like ............................ (movies).
• My favorite place is .................... I like it because ..................................
• I (don’t) like travelling. I have been to ....................................................
• The most beautiful place in my country is ............................................
• I study English because ...............................................................................

Months February March April May June July
January September October November December
August

Movies comedy romantic comedy horror movie
action movie war movie thriller animated cartoons
sci-fi movie

- 26 -

Hobbies – Free time activities playing computer games surfing the Internet
reading, painting, drawing going to the cinema playing with friends
collecting stamps/coins/… going to the park/beach/… listening to music
playing with my dog travelling, camping, hiking
shopping, singing, dancing

Jobs policeman doctor nurse builder architect
teacher engineer social worker secretary businessman shop assistant
civil servant fire fighter shopkeeper cleaner postman waiter/waitress
manager

Because…
… I like it a lot.
… I think it’s important.
… there are many things to see and do.
… I have to.
… I can relax there.
… it’s relaxing/popular/nice/…
… it’s the last day of the week.
… I’m good at English/math/…

Feeling - (ความรูส้ กึ )

feel (v) รสู้ ึก feeling (n) ความรู้สกึ I am good. I feel good.

Asking about Feelings: Expressing Feelings:

How are you feeling? I’m very happy right now.
Are you Ok? I feel a little sad.
Is everything alright? It’s been a difficult day.
What’s wrong? I’m mad at his behavior.
What’s the matter? I feel very depressed today.
Do you want to talk about it? I’ve got a headache and I feel terrible.

- 27 -

Do you know the difference between bored and boring : An adjective that ends -ED is
used to describe: a feeling (or how a person feels) or an emotion. An adjective that ends in -ING is
used to describe: the characteristic of a person, a thing or a situation.

-ing E: a boring event (สถานการณ์ นา่ เบ่ือ) P: a boring place (สถานท่ีนา่ เบ่ือ)
O: a boring object (ส่งิ ของทน่ี ่าเบือ่ ) P: boring person (คนท่นี ่าเบ่อื )

: Example sentences of adjectives ending in -ED and -ING
My girlfriend is bored. (รสู้ ึก....) (My girlfriend feels bored)
My girlfriend is boring. (น่า…) (My girlfriend is a boring person)

- This grammar lesson is boring. I am bored reading all about these grammar rules.
- I am tired right now. My flight was tiring (because it was a twelve-hour flight).
- Public toilets are usually disgusting. I am disgusted by the smell in some of them.
- Your speech was very inspiring. I am now inspired to do wonderful things with my life.

Adjectives ending in -ED and -ING

Annoyed - Annoying Relaxed - Relaxing
Confused - Confusing Satisfied - Satisfying
Depressed - Depressing Shocked - Shocking
Disappointed - Disappointing Surprised - Surprising
Disgusted - Disgusting Terrified - Terrifying
Embarrassed - Embarrassing Threatened - Threatening

Excited - Exciting Tired - Tiring
Frightened - Frightening Troubled - Troubling
Interested – Interesting Worried - Worrying

Vocabulary - Feelings

Positive feelings (+) Negative feelings (-)

happy (adj.) มีความสขุ sorry (adj.) เสยี ใจ

Contented พอใจ sad เสยี ใจ, เศร้า

Joyful เบิกบานใจ depressed หดหู่

Cheerful สดช่นื upset อารมณ์เสีย

Satisfied พอใจ homesick คิดถึงบ้าน

Glad ยนิ ดี gloomy เศรา้

- 28 -

Pleasant เพลิดเพลิน, สขุ ใจ hopeless สิ้นหวัง
Fine ดี lazy ขเ้ี กยี จ
ยนิ ดี เหนด็ เหนอ่ื ย
Pleased tired, exhausted อกหกั
Relieved ผอ่ นคลาย broken-hearted โกรธ
Relaxed ผ่อนคลาย บา้ , คลงั่ ไคล้
Delighted ช่นื ใจ, ยนิ ดี angry, mad หวิ
Proud crazy ผิดหวัง
ภูมใิ จ hungry ทอ้ แท้, อดึ อัดใจ
Fun สนกุ งง, สับสน
Funny ตลก disappointed สบั สน
Hopeful มีความหวงั frustrated เหงา
Calm สงบ confused ราํ คาญ
Surprised ประหลาดใจ mixed up กังวล
Excited ต่นื เต้น ประหม่า
Confident ม่นั ใจ lonely รู้สกึ ผดิ
Lucky โชคดี annoyed ละอายใจ
Warm อบอนุ่ worried อจิ ฉา,ข้ีหงึ
Comfortable สบายใจ nervous เขิน, อาย
Wonderful ดีเย่ยี ม รงั เกยี จ
Healthy แขง็ แรง guilty ตกใจ
Warm อบอนุ่ ashamed ชอ็ ค!, สะดงุ้ ตกใจ
Strong หนกั แนน่ ,เดด็ เดีย่ ว jealous เบื่อหน่าย
Playful ขีเ้ ลน่ , รา่ เรงิ , แจ่มใส embarrassed
Inspired ยอดเยี่ยม, แรงบันดาลใจ disgusted
frightened
shocked
bored

HOW DO YOU FEEL? I feel cold.

terrible ill bad good great tired
dizzy sick / nauseous
exhausted better worse

drowsy

- 29 -

WHAT’S WRONG? I have a toothache.
Examples of Sentence

I feel relaxed. ฉนั รูส้ กึ ผ่อนคลาย
I feel better. ฉันร้สู ึกดีขึ้น
I feel excited to meet him again. ฉันรู้สกึ ต่ืนเตน้ ท่ีได้พบกบั เขาอกี ครัง้
I felt proud of myself. ฉนั รู้สกึ ภมู ิใจในตวั เอง
I’m proud of you. ฉันภมู ิใจในตวั เธอ
He made me feel angry. เขาทําให้ฉันโกรธ
I’m in a good mood. ฉันกําลังอารมณด์ ี
The rainy day puts me in a lonely mood.
My mother feels worried about me.
I’m quite confused about your question. ฉนั ค่อนขา้ งสับสนเกี่ยวกับคาํ ถามของคณุ
I’m getting bored with this job. ฉนั กาํ ลงั เบื่อกับงานนี้
I’m afraid of darkness. ฉันกลัวความมืด
I feel embarrassed. ฉนั รู้สึกเขิน
I’m sad to hear this news. ฉนั เสียใจที่ไดย้ นิ ข่าวนี้
He feels guilty for cheating on his girlfriend. เขารูสกึ ผิดที่นอกใจแฟน

The Weather - (ลมฟา้ อากาศ)

Vocabulary – The weather

weather สภาพอากาศ sunny แดดจา้ sunrise / sunset พระอาทิตย์ข้นึ /ตก
แสงอาทติ ย์
forecast พยากรณ์อากาศ cloudy เมฆมาก sunshine ฟูาแลบ,ฟาู ผ่า
ฟูารอ้ ง
temperature อุณหภูมิ windy ลมแรง lightning นํา้ ทว่ ม
พายฝุ นฟาู คะนอง
spring ฤดูใบไมผ้ ลิ rainy ฝนตก thunder พายุโซนรอ้ น
พายุไต้ฝุน
summer ฤดูรอ้ น snowy หิมะตก flood

autumn, fall ฤดูใบไมร้ ว่ ง foggy หมอกลง thunderstorm

winter, cool ฤดหู นาว droughty แหง้ แล้ง tropical storm

rainy season ฤดูฝน stormy พายุ typhoon

dry season ฤดูแลง้

- 30 -

Examples of Sentence
How is the weather today? / What’s the weather like?วนั นีส้ ภาพอากาศเป็นอย่างไรครบั
The weather is good today.วนั นอี้ ากาศดี
How is the weather in Italy now?ตอนนอ้ี ากาศที่อิตาลเี ปน็ อยา่ งไรครบั
It is cold and windy.หนาวและมีลมแรงครบั
The sky is overcast.ท้องฟาู มเี มฆปกคลมุ
Did you bring an umbrella?เธอเอาร่มมาหรือเปล่า
Is the weather hot there? It is very hot here.ท่นี ั่นอากาศรอ้ นไหมครับ -ท่นี ี่อากาศร้อนมาก
Did you watch the weather forecast?คณุ ไดด้ พู ยากรณ์อากาศหรอื เปล่าครบั
Yes, I did. It said the storm is coming here in few days.อีกสองสามวันพายุจะเข้าที่นี่
What is the temperature in London?ในลอนดอนอุณหภมู เิ ท่าไร
It is 12 degrees Celsius. 12 องศาเซลเซียสครบั
The temperature has risen from 24 to 28 degrees Celsius.อณุ หภูมิเพมิ่ จาก 24 เปน็ 28 เซลเซยี ส
The temperature has dropped to 5 degrees Celsius.อณุ หภมู ลิ ดลงไปท่ี 5 เซลเซยี ส
What season is it now? It is summer.ตอนน้คี อื ฤดูอะไร - ฤดรู อ้ นครบั
How many seasons are there in Thailand?ประเทศไทยมกี ฤี่ ดูครบั
There are 3 seasons in Thailand. ในประเทศไทยมี 3 ฤดู
That is summer, rainy, and the cool season.นน่ั คอื ฤดรู อ้ น ฤดูฝน และฤดหู นาว
What happened in the East?เกิดอะไรข้นึ ทางทิศตะวันออก
A tsunami damaged the shore.คลนื่ สึนามิทําลายชายฝ่งั ครับ
Why is it raining heavily?ทาํ ไมฝนตกหนกั จงั คะ
Because a depression is traveling across our city.เพราะวา่ พายุดีเปรสช่นั กาํ ลงั พดั ผา่ นเมอื งของเรา

Dates and Time - (วันและเวลา)

การบอกวนั ที่ สามารถบอกได้ 2 แบบ คอื
1. The + วนั ที่ + of + เดอื น + comma (,) + ปี เช่น Today is the 1st of January, 2018
2. เดอื น + วันท่ี + comma (,) + ปี เชน่ I was bond on December 19th, 1984

วนั นีเ้ ปน็ วนั อะไร
What day is it today? วนั นี้เป็นวันอะไรครบั
It is Monday. (มนั เปน็ ) วนั จนั ทร์ครับ
What day was it yesterday? เม่อื วานเป็นวันอะไรครบั
It was Sunday. (มนั เป็น) วนั อาทติ ยค์ รบั
What day is it tomorrow? พรุ่งน้ีเป็นวนั อะไรครับ

- 31 -

It is Tuesday. (มนั เปน็ ) วนั องั คารครบั
Is today Monday? วันนว้ี ันจนั ทร์ใชไ่ หมครบั

Yes, it is. ใชค่ รบั / No, it is Friday. ไม่ใชค่ รับ
Was yesterday Sunday? เมือ่ วานเป็นวันอาทติ ย์ใชไ่ หม

Yes, it was. ใช่ครบั / No, it was Saturday.
Is tomorrow Tuesday? พรุ่งนีเ้ ปน็ วนั อังคารใชไ่ หมครับ

Yes, it is. ใช่ครบั / No, it is Wednesday.
What day were you born? คุณเกดิ วนั อะไรครบั

I was born on Thursday. ผมเกิดวนั พฤหัสครบั
What day do you have English class? คุณมีเรยี นวิชาภาษาองั กฤษวันไหนครับ

I have English class on Monday and Tuesday.
What day is your day off? วันหยุดของคณุ คอื วนั อะไร

My day off is Sunday. วันหยดุ ของผมคือวันอาทติ ย์
วันนวี้ ันทีเ่ ทา่ ไร

What is the date today? วนั น้ีวนั ท่เี ท่าไรครบั
It is March 5th, 2018 วันนี้วันท่ี 5 ม.ี ค. ปี 2018 ครบั

Is today the 2nd of May? วันน้ีคือวันท่ี 2 พ.ค ใช่ไหม
Yes, it is. / No, it is the 3rd of May

What date is Halloween? วันฮาโลวนี คือวนั ท่เี ทา่ ไร
It is the 31st of October. วนั ที่ 31 ตค. ครบั

When will you go to America? คุณจะไปอเมริกาเม่ือไร
I will go to America on December 7th. ฉันผมจะไปเอรกิ าวนั ท่ี 7 ธันวาคมค่ะ

การบอกเวลา
1. กรณีไม่มเี ศษนาที ให้บอกเลขช่ัวโมงแล้วตามด้วย
o’clock เช่น It’s 2 o’clock (มนั เปน็ เวลา 2 โมงตรง)
2. ถา้ มีเศษนาทใี ห้ตัดคําว่า o’clock ออก และบอกเลขนาทีตามหลงั เลขชวั่ โมงไปไดเ้ ลย เชน่
It’s 2:45. (มนั เป็นเวลา 2 โมง 45 นาที)
3. การระบุช่วงเวลาให้ชดั เจน เช่น
It’s 2:45 in the morning. (มันเปน็ เวลาตี 2:45 นาที)
It’s 2:45 in the afternoon. (มนั เป็นเวลาบา่ ย 2:45 นาท)ี
4. การระบุเวลาใหช้ ัดเจนและเป็นทางการใช้ a.m. และ p.m. ตอ่ ท้ายเลขเวลา ใช้ a.m. ต้ังแต่เวลาเท่ยี งคนื

ถงึ กอ่ นเที่ยงวัน และใช้ p.m. ต้ังแตเ่ วลาเทย่ี งวนั ถึงกอ่ นเที่ยงคืน เช่น
The exam will start at 8:30 a.m. (การสอบจะเริ่มเวลา 8 นาฬกิ า 30 นาที)

- 32 -

The exam will start at 8:30 p.m. (การสอบจะเร่ิมเวลา 20 นาฬิกา 30 นาที)
5. เวลาเที่ยงวนั นยิ มใชค้ ําวา่ at noon และเวลาเทย่ี งคืน นิยมใช้คําว่า at midnight มากกวา่ บอกเวลา
ตวั เลขเป็นช่ัวโมงตามปกติ เช่น

The concert will end at midnight. (คอนเสิร์ตจะเลิกตอนเทย่ี งคนื )
The opening ceremony will be held at noon. (พิธีเปิดจะเร่มิ ตอนเทย่ี งวนั )
เวลาก่ีโมงแล้ว
What time is it? กี่โมงแลว้ ครับ
It is 8 o’clock. (8 โมงค่ะ) / It is 2 o’clock. (บา่ ย 2 โมง)
What is the time? กี่โมงแล้วครับ
It is 7:30. (7 โมง คร่ึงครับ)
What does the supermarket open? ซูเปอร์มารเ์ ก็ตเปดิ กี่โมง
It opens at 9 o’clock. (มนั เปิด 9 โมงครับ)
What time does the bank close? ธนาคารปิดกีโ่ มงครับ
It closes at 4 p.m. (มนั ปดิ ตอน 16 นาฬิกาครบั )
When will you arrive at the party tonight?
I will arrive at the party around 8 o’clock. (ผมจะไปถงึ งานเลี้ยงประมาณ 2 ทุ่ม ครับ)

Directions - (การบอกทิศทาง)

Prepositions of Place (คาบพุ บทบอกตาแหน่งทต่ี ั้ง)

- 33 -

Vocabulary – Directions เลยี้ วซา้ ย
เลี้ยวขวา
turn left ทางซา้ ย
turn right ทางขวา
on the left ตรงไป
on the right ข้างหน้า
go straight ข้างหลงั
in front of ตรงกนั ข้าม
behind อยูร่ ะหว่าง
opposite ติดกบั
between อยขู่ ้าง
next to ก่อน
beside ใกล้
before ไกล
near ขึน้ รถ
far ลงรถ
get on กลับรถ
get off ข้ามถนน
make a U-turn อยอู่ กี ฝั่งของถนน
cross the road อยตู่ รงหวั มมุ
on the other side of the road อยูส่ ดุ ทางของถนน
at the corner ผ่าน…
at the end of the road เดินทะลุผ่าน
go past the… ไปตามแมน่ ้าํ
go through …. อยบู่ น
go along the river ถนนใหญ่
on top of ถนนในเมอื ง
main road ตรอก ซอย ถนนแคบๆ
street, avenue ทางด่วน
alley ทางเทา้
toll way, express way สะพาน, สะพานลอย
sidewalk / footway
bridge, footbridge

- 34 -

zebra crossing ทางมา้ ลาย
crosswalk ทางข้าม
roundabout วงเวียน
tunnel อุโมงค์
traffic การจราจร
traffic lights สัญญาณไฟจราจร
signpost ปาู ยบอกสัญลกั ษณ์
bus stop ปูายรถประจาํ ทาง
intersection / junction สี่แยก
crossroad / crossway ทางแยก
railway ทางรถไฟ
sky train รถไฟฟาู
subway รถไฟใตด้ นิ
fare คา่ โดยสาร
bus number หมายเลขรถ
take the left / right เลี้ยวซ้าย / เลย้ี วขวา
take the first left. เลย้ี วซ้ายแยกแรก
take the stairs / lift ใช้บนั ได / ลฟิ ท์
past ท่ผี ่านมา, อดีต

Asking For Directions

Excuse me, how do I get to ….?

Excuse me, is there a …. near here?

Excuse me, where is the ……?
Excuse me, can you tell me the way to…?

To ask about directions use these questions
How can I get to…from here?
How do I get to …?
Can you show me the way to…?
Can you tell me how to get to…?
Where is…?
What’s the best way to get to…?

- 35 -

Can you give me directions to the…?
How do you get to the …?
Where can I find the…?
Is there…near here?
Is there a… around here?
What’s the quickest way to get to…from here?
What’s the easiest way to get to the…from here?
If you don’t know the way, you can say
I don’t know what to advise, I’m sorry.
I wish I could suggest something, but I can’t.
I wish I could help.
I’m afraid I can’t really help you.
I’m sorry, I’m not from here.
Sorry, I don’t know my way around here.
You could ask the bus driver.

Giving Directions
To give directions use these expressions

- Go+ direction (right, left, down, up, through)
- Turn left/right
- Take the first (turning) to the left/right.
- Go past the restaurant/school…
- The … is beside/in front of/next to…the…
- The easiest way is to…
- The quickest way is to…
- The best way is to…
- Take + road name
- Stay on + road name for + distance or time
- It’s on + street name…
- It’s across from…
- It’s opposite…
- It’s near…
- It’s around the corner from…

- 36 -

- Turn right at the next street.
- Get in the left lane.
- Go one more block. Then turn right.
- At the next traffic lights turn…
- It’s going to be on your right.
- Follow me. I’ll show you the way.
- Do you want me to draw you a map?
Conversations 1
Jane: Excuse me! Can you tell me the way to the museum?
Mike: It’s this way. Go straight ahead at the traffic lights.
Turn right. Go along the street. Walk past the park, and
keep going straight until you see the sign for the museum.
Jane: Great! Thanks for your help.
Mike: You’re welcome.

Conversations 2
Kate: Excuse me! How do I get to the post office?
Mary: Sorry, I’m not from around here.
Kate: Do you know where the closest bank is?
Mary: If you cross the street, you’ll find a bank there!
Kate: Thank you.
Mary: Don’t mention it

- 37 -

AT THE RESTAURANT - (ทีร่ ้านอาหาร)

Do you know what to say when you are eating out?
WAITER / WAITRESS
Taking notes about the order

 Would you like to order?
 Can I help you?
 Are you ready to order?
Offering Food
 Would you like a / an / some…?
 What about a / an / some…?
 Can I get you a / an / some…?
Asking about drinks
 What would you like to drink?
 Anything to drink?

Ordering a meal
 Excuse me, I’d like to order.
 I’d like a / an / some…and…
 Please bring me a / an / some…
 Can I have …..

To accept / refuse the offer
 Yes, please.
No, thanks. I’d like/ prefer a / an / some…

Asking about the bill
 Can I have the bill, please?
 Could you bring me the bill, please?

- 38 -

การจองโต๊ะ
I would like to make a reservation for 6 people this evening. (ผมตอ้ งการจองโต๊ะสําหรบั 6 คน เย็นน้ี)
A table for three, please. (ขอโตะ๊ สาํ หรับ 3 ทนี่ ั่งครับ)
I have a reservation. (ผมจองไวแ้ ลว้ ครบั )
I don’t have a reservation. (ผมไม่ได้จองเอาไวค้ รับ)
Do you have any tables free? (มโี ต๊ะวา่ งหรอื เปลา่ )
I have a table for two people. (มสี ําหรบั 2 คน)
How long do I have to wait? (ต้องคอยนานแค่ไหน)
Please wait a minute (กรณุ ารอสกั ครู่นะครบั )

คุณชอบอาหารประเภทไหน
What is your favorite food?
What kind of food do you like?
I like vegetarian food. (ผมชอบอาหารมังสวริ ัตคิ รบั )
I don’t eat meat. (ผมไม่กนิ เนือ้ ครบั )
I’m allergic to seafood (ผมแพ้อาหารทะเลครบั )

การสงั่ อาหาร
What would you like to order? (จะรบั อะไรดี)
Are you ready to order? (พรอ้ มท่จี ะสง่ั อาหารหรอื ยัง)
What about the main course?
What would you like to drink? (จะด่ืมอะไรดีครบั )
What would you like for dessert?
What would you recommend?
Can I have a plate of salad? (ผมขอสลดั 1ที่ ครับ)
I’ll have a cup of coffee. (ผมขอกาแฟถ้วยหน่ึง)
I would like this and this. (ผมเอาอันนแ้ี ละกอ็ ันน้)ี
Do you have Tom Yum Kung?

Can I take it home? (ผมนํากลับบ้านดว้ ยได้ไหม)

เกบ็ เงนิ ดว้ ย
Check, please. / Bill, please (คดิ เงินด้วยครับ)
How much is it? (ราคาเทา่ ไรครบั )
It’s 45 dollars altogether. (ท้ังหมด 45 ดอลลารค์ รบั )

- 39 -

AT THE SHOP - (ท่ีรา้ นค้า)

Mr. Black I’d like some apples, please.
Shop assistant What apples would you like: green, red or yellow?
Mr. Black Green, please.
Shop assistant How many apples would you like?
Mr. Black Can I have five apples?
Shop assistant Of course.
Customer I want a loaf of bread, please.
Shop assistant Here you are.
Customer Thank you.
Shop assistant Do you want anything else?
Customer Yes. I’d like a bottle of milk, a packet of sugar and two cans of Cola-Cola.
How much is all that?
Shop assistant 55 dollars, please.
Customer Here’s 60 dollars.
Shop assistant This’s 5 dollars change. Thank you very much and come again.

At the Clothes Department

Shop assistant Can I help you?
Customer Yes, please. I’m looking for a shirt.
Shop assistant What kind of shirt would you like?
Customer The one like those on display in the shop window.
Shop assistant What about this one?
Customer It’s just what I wanted. May I try it on?
Shop assistant Yes, please. How is it?
Customer It’s nice. How much is it?
Shop assistant 200 dollars.
Customer Oh, it’s very expensive. Have you got anything cheaper?
Shop assistant Certainly, look at this one, please. It costs 100 dollars.
Customer I’ll take it.

- 40 -

At the airport - (ทีส่ นามบิน)

Vocabulary - At the airport

airport สนามบนิ

airplane, aircraft, plane เครอ่ื งบนิ

information counter เคานเ์ ตอรบ์ รกิ ารสอบถาม

terminal อาคารผูโ้ ดยสาร

departures ฝงั่ ขาออก

arrivals ฝง่ั ขาเข้า

domestic การเดินทางภายในประเทศ

international เดนิ ทางระหวา่ งประเทศ

gate ประตขู ึ้นเคร่อื ง

bag claim, baggage claim จุดรบั กระเป๋า

currency exchange ทีแ่ ลกเปล่ียนเงนิ ตรา

aisle seat ท่นี ่งั รมิ ทางเดิน

window seat ท่ีนัง่ รมิ หน้าตา่ ง

luggage, baggage สัมภาระ

suitcase กระเปา๋ เดินทาง

destination จดุ หมายปลายทาง

airfare คา่ โดยสาร

passport หนังสอื เดินทาง

boarding pass บตั รผา่ นข้ึนเคร่ือง

boarding time เวลาขึ้นเครื่อง

economy class ชน้ั ประหยดั

business class ชั้นธรุ กิจ

first class ชน้ั หนึง่

direct flight เท่ยี วบนิ ไมจ่ อดแวะ

round trip, return เดินทางไปกลับ-

flight number หมายเลขเท่ียวบนิ

transfer การเปลี่ยนตอ่ เท่ยี วบิน

transit การพกั เคร่ือง

arrivals board กระดานผู้โดยสารขาเขา้

delayed ล่าช้า

landing ลงจอด

- 41 -

last call เรียกครัง้ สดุ ท้าย
check-in counter เคานเ์ ตอร์เชก็ อนิ
Immigration ด่านตรวจคนเขา้ เมอื ง

At the check in counter
What is your destination ? ไปทีไ่ หนครับ
I would like to reserve an air tickets to Paris.
May I have your passport, please?
Could I have your name, please? ขอทราบชอื่
Is it a round-trip ticket or a one-way ticket? ต๋วั ไป-กลับ หรอื วา่ ต๋ัวเที่ยวเดียวครบั
Would you like a window or an aisle seat? คุณตอ้ งการน่ังติดหนา้ ต่างหรอื นง่ั ติดทางเดิน
When will you depart? จะออกเดินทางเมื่อไรครบั
Please put your luggage to weigh here. กรุณายกกระเป๋าของคุณมาช่งั นา้ํ หนกั ตรงน้คี รับ
Here are your air tickets and boarding pass.

On the plane (บนเครอื่ งบนิ )
May I see your boarding pass, please?
Will you show me to my seat, please?
Please fasten your seatbelt?กรณุ าคาดเข็มขัดนิรภยั ด้วย
May I recline this seat? ขอปรับเอนเกา้ อ้ลี งไดไ้ หมครบั
Can I have a blanket? ผมขอผ้าหม่ หน่อยไดไ้ หมครบั

At the immigration counter
May I see your passport? ผมขอดูหนงั สือเดนิ ทางครบั
Where will you stay?/Where are you going to stay?
How long are you going to stay? พักอยนู่ านแคไ่ หน
What’s your purpose of visit? จดุ ประสงคก์ ารเดนิ ทางคอื
Do you have anything to declare?คณุ มีอะไรจะแจง้ อกี มย้ั
Which is your luggage? / Please open your luggage.

- 42 -

Ground staff: Sample dialogue at the check in counters
Passenger:
Ground staff: Good morning, sir/madam.
Passenger: Hello. I’d like to check in, please.
Ground staff: Certainly, may I have your name and surname.
Passenger: Yes, it’s John Travis.
Ground staff: And where are you travelling to?
Passenger: I’m going to Buenos Aires.
Ground staff: Can I have your flight number?
Passenger: It’s flight AA 799.
Ground staff: Perfect. Can I see your ticket and passport, please?
Passenger: Yes, here you are.
Ground staff: Thank you. Would you like a window or an aisle seat?
Passenger: I’d like a window seat, please.
Ground staff: Okay. Seat number 18A. Have you got any luggage to check in?
Passenger: Yes, I’ve got one suitcase.
Ground staff: Have you got any hand luggage?
Passenger: Yes, just this trolley bag. What gate is the flight departing from?
Ground staff: Your plane is boarding at gate number 22.
Passenger: At what time?
Ground staff: At 9.30 a.m. Here’s your boarding card.
Thank you. Goodbye.
Goodbye.

- 43 -

Vocabulary - At the hotel At the hotel - (ท่โี รงแรม)
reception
receptionist แผนกตอ้ นรบั
manager พนกั งานต้อนรบั
guest ผจู้ ดั การโรงแรม
bellboy แขก, ผ้มู าเยือน
door man พนักงานยกกระเป๋า
housekeeper, maid พนักงานเปิดประตู
reservation พนักงานทําความสะอาด
booking จองโรงแรมลว่ งหน้า
baggage, luggage การจองห้องพัก
check in กระเป๋าเดนิ ทาง
check out เข้าพัก
facility คนื ห้องพกั
laundry ส่ิงอาํ นวยความสะดวก
wake-up Call บรกิ ารซกั รดี
room service บรกิ ารโทรปลกุ
single room บรกิ ารอาหารในห้องพกั
double room หอ้ งเตียงเดี่ยว
twin room ห้องนอนเตยี งคู่
deluxe room หอ้ งเตียงเดีย่ ว เตยี ง 2
suite (ซวีท) ห้องดีลกั ซ์
vacancy หอ้ งชดุ
change ห้องวา่ ง
cash เงนิ ทอนแลกเปลี่ยน ,
เงนิ สด

- 44 -

Examples of Sentence ผมไดจ้ องห้องพักเอาไว้ในช่อื เดวดิ
I have a reservation under the name David. ผมจองห้องเตียงคู่เอาไว้ครับ
I have booked a double room. วนั เขา้ พักวนั ท่ี พฤษภาคม 23
Check-in date is May 23 มีหอ้ งวา่ งไหมครบั
Do you have a vacant room? มีหอ้ งเตียงเดยี่ วว่างไหมครบั
Is there a single room available? ผมต้องการหอ้ งเตยี งคสู่ ําหรบั คืนน้คี รบั
I would like a double room for tonight. ค่าหอ้ งเทา่ ไรคะ
How much is the rate of the room? รวมคา่ อาหารเช้าดว้ ยไหมครับ
Is breakfast included? กรุณากรอกแบบฟอร์มลงทะเบยี นดว้ ยครับ
Please fill the registration form. สวัสดคี รับ หอ้ งหมายเลข มปี ัญหาครบั 403
Hello, room number 403 has a problem. ฝกั บัวนาํ้ ไม่ไหลครบั
The shower doesn’t work. หอ้ งผมสกปรกมาก กรณุ ามาทาํ ความสะอาดดว้ ย
My room is very dirty. Please clean my room. ผมขอเปลีย่ นหอ้ งไดไ้ หมครับ.
May I change the room? คนื หอ้ งพักด้วยครบั ผมขอคนื หอ้ งพกั ตอนนไี้ ด้ /
Check out, please. / Can I check out now? ผมต้องออกจากหอ้ งพักตอนก่โี มงครับ
What time do I have to check out? ผมต้องการคืนกุญแจหอ้ งพักครับ
I want to return the key of my room.

At the hotel - (ที่โรงแรม)

Check list Facilities for guests to use.
: Information you require Swimming pool Spa Sauna Conference
Name / Passport / ID room Wi-Fi Bar
Address Gym/Fitness Health club
cell phone number Shuttle bus Limited parking
email Restaurant Free coffee and tea
Date of arrival Garden and children’s play area
Duration of stay
Kind of room required

- 45 -

Check-in

Receptionist: Good morning sir/madam. Can I help you?

Guest: I would like to check-in please.

Receptionist: Certainly sir/madam. Do you have a reservation?

Guest: Yes. My name is ………….

Receptionist: Ah yes. Mr./Mrs./Ms… Can I have your credit card please?

Guest: Sure. Is Visa card okay?

Receptionist: Yes, that's fine thank you. How long will you be staying?

Guest: Three nights. Here is my credit card.

Receptionist: Thank you. You are in room 2508. Please sign here. Here is your key.

The bell-boy will help you with your luggage and show you to your room.

Guest: Thank you. Oh, by the way, what time is breakfast?

Receptionist: Breakfast is from 7 to 9 in the restaurant on the 3rd floor.

Guest: Thank you, and what time is check-out?

Receptionist: Check-out is at 10am.

Guest: Thank you.

Receptionist: Have a pleasant stay sir/madam.

Check-out

Receptionist: Good morning sir/madam. How can I help you?

Guest: I want to check-out please.

Receptionist: Certainly sir/madam. Room number?

Guest: Room number 2508. Here is the key.

Receptionist: Thank you. Just a minute, please. (check the computer and calls housekeeping)

You had some drinks and snacks from the mini-bar. That comes to $35 please.

How would you like to pay?

Guest: Cash please. Here's $35.

Receptionist: That's fine thank you and here is your receipt.

Guest: Thanks. Can I have a taxi for the airport please?

Receptionist: Certainly sir/madam. The doorman will order one now.

Guest: Thanks. Bye.

Receptionist: Please come back and stay again. Have a safe journey.

- 46 -

คาถามทา้ ยบท

Let me introduce myself (การแนะนาตัว)

• Hi, my name’s ............................................
• I’m from ................................... (country)
• I live in ........................... (city)
• I’m .............. years old.
• My birthday is on ...........................................
• I’m a student at .............................................
• My favorite subject is ...................................
• My favorite sport is .......................................
• There are ................. people in my family.
• They are ..........................................................
• I would like to be a ........................ because ....................................
• My hobby is .....................................
• In my free time, I also like ..............................................................
• I don’t like ...........................................................................................
• My favorite food is ............................................................................
• My favorite drink is ............................................................................
• My favorite day of the week is ............ because ....................................
• My favorite singer (or band) is ...............................................
• I like ............................ (movies).
• My favorite place is .................... I like it because ..................................
• I (don’t) like travelling. I have been to ....................................................
• The most beautiful place in my country is ............................................
• I study English because ...............................................................................