The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chitipat2558, 2022-03-04 12:03:34

การปลูกมอนสเตอร่าในน้ำ

รายงานโครงงานวิชาชีพภูมิทัศน์










เรื่อง





การปลูกมอนสเตร่าในน้ำ



Growing Monstera in Water






โดย





นาย ชิติพัทธ พรมหาร


รหัส 6119101301



สาขาเทคโนโลยีภูมิทัศน์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม

มหาวิทยาลัยแม่โจ้



2564

รายงานโครงงานวิชาชีพภูมิทัศน์




เรื่อง

การปลูกมอนสเตร่าในน้ำ



Growing Monstera in Water






































สาขาเทคโนโลยีภูมิทัศน์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม

ชื่อโครงงาน การปลูกมอนสเตร่าในน้ำ


Growing Monstera in Water












































มหาวิทยาลัยแม่โจ้


ปีการศึกษา 2564







อนุมัติโครงงาน

ชื่อโครงงาน การปลูกมอนสเตร่าในน้ำ



ชื่อผู้เขียน นาย ชิติพัทธ พรมหาร




สาขาวิชา เทคโนโลยีภูมิทัศน์


คณะมหาวิทยาลัย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม

ปีการศึกษา มหาวิทยาลัยแม่โจ้


1/2564



ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์รมย์ชลีรดา ด่านวันดี




ลงนาม .................................................

ชื่อผู้เขียน นาย ชิติพัทธ พรมหาร

สาขาวิชา เทคโนโลยีภูมิทัศน์
ปีการศึกษา 1/2564






บทคัดย่อ


มอนสเตอร่า เดลิซิโอซ่า เป็นไม้ใบฟอกอากาศที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน สามารถปลูกในน้ำได้

ดังนั้นจึงทำการทดลองปลูกมอนสเตอร่าในน้ำ เปรียบเทียบกับการปลูกในดิน โดยแบ่งการจัดวางในห้องและ

นอกห้อง โดยวัดการเติบโตในด้านความสูงต้น จำนวนใบ และความกว้างใบ ผลการทดลองพบว่า การปลูกใน

ดินนอกห้อง ทำให้มอนสเตอร่ามีการเติบโตดีที่สุด โดยมีความสูง 22.3 เซนติเมตรจากเดิม 17.7 และจำนวนใบ

ที่เพิ่มขึ้นเป็น 4 ใบจากเดิม 2


คำสำคัญ : การปลูก มอนสเตอร่า น้ำ การเติบโต

Abstract


Monstera deliciosa is a popular air purifier today. It can be planted in water. Therefore,

an experiment was made to grow monstera in water compared to planting in the soil by
dividing the arrangement in the room and outside the room the growth in terms of plant

height, number of leaves, and leaf width. The results showed that planting in the soil outside

the room gave the best growth of monstera with a height of 22.3 centimeters from the original

17.7 and the number of leaves increased to 4 from the original 2.


Keywords: planting, monstera, water, growth

กิตติกรรมประกาศ


โครงการงานวิชาชีพภูมิทัศน์ เรื่อง การปลูกมอนสเตอร่าในน้ำ ได้รับความอนุเคราะห์คำแนะนำจาก

รองศาสตราจารย์รมย์ชลีรดา ด่านวันดี ที่ทำให้การทดลองนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี และผู้วิจัยขอขอบคุณ ภาควิชา

เทคโนโลยีภูมิทัศน์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม ที่อำนวยความสะดวก และบริการ

จัดการเพื่อให้การดำเนินการทดลองสามารถบรรลุผลได้อย่างดี


นาย ชิติพัทธ พรมหาร

10 พฤจิกายน 2564

สารบัญ





เรื่อง หน้า

บทคัดย่อ
กิตติกรรมประกาศ

สารบัญ ก

สารบัญรูปภาพ ข
สารบัญตาราง ค

โครงงานเรื่อง โครงการการปลูกมอนสเตอร่าในน้ำ
Growing Monstera in Water

บทที่ 1 บทนำ 1

หลักการและเหตุผล 1
วัตถุประสงค์ 1

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2
สมมุติฐานของการศึกษาโครงงาน 2

บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม 3


2.1 กรณีศกษา 3
2.1.1 การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน (Soilless Culture) 3

2.1.2 ความหมาย 4

2.1.3 ทำไมพืชจึงเติมโตได้โดยไม่ต้องใช้ดิน 5
2.2.4 การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินขัดต่อธรรมชาติหรือไม่? 6

2.1.5 การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponic) 7
2.2 องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง 9

2.2.1 พืชที่นำมาเลือกใช้ 9

2.2.2 หน้าที่ของธาตุอาหารและอาการขาดธาตุอาหาร 9
2.2.3 การสังเคราะห์ด้วยแสง 12

2.2.4 โรคต่างๆ 16
2.2.5 การลำเลียงสารของพืช 18

บทที่ 3 วิธีการศึกษาโครงงาน 22

3.1 ขอบเขตของการศึกษาโครงงาน 22
3.1.1 ขอบเขตด้านงบประมาณ 22

3.1.2 ขอบเขตด้านการทดลอง 22

สารบัญ (ต่อ)





เรื่อง หน้า

3.1.3 ขอบเขตด้านพื้นที่ 22

3.2 ขั้นตอนวิธีดําเนินงานศึกษาโครงงาน 23
3.2.1 วางแผนการการทดลอง 23

3.2.2 ความพร้อมเรื่องสถานที่ และอุปกรณ์ต่าง ๆ 23
3.3 วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือที่ใช้ 28

3.3.1 วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ หรือ ห้องปฏิบัติการ 28

3.3.2 วัสดุอุปกรณ์สำนักงาน 28
บทที่ 4 ผลการศึกษาและการอภิปรายผล 29

4.1 ผลการศึกษา 29

4.2 การอภิปรายผล 42
บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา 45

5.1 สรุปผลการศึกษา 48

5.2 ข้อจำกัดของการศึกษา 48
5.3 การประยุกต์ผลการศึกษา 48

5.4 ข้อเสนอแนะ 49
บรรณานุกรม 50

ประวัติผู้ศึกษา 51

สารบัญรูปภาพ





หน้า

ภาพที่ 1 องค์ประกอบการปลูกพืชโดยไมใช้ดินแบบปลูกในน้ำ (hydroponics) 5

ภาพที่ 2 องค์ประกอบของการสังเคราะห์แสง 12
ภาพที่ 3 รูปภาพแสดงตำแหน่งและองค์ประกอบของคลอโรพลาสต์ในพืช 13

ภาพที่ 4 การดูดแสงสีต่างๆ ของคลอโรพลาสต์ 14
ภาพที่ 5 กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชประกอบด้วย 15

ปฏิกิริยาที่ต้องใช้แสงและวัฏจักรเคลวิน


ภาพที่ 6 กระบวนการทางเคมีของการสังเคราะห์แสง 15

ภาพที่ 7 ภาพขยายของรากพช 18

ภาพที่ 8 กระบวนการลำเลียงน้ำ 19

ภาพที่ 9 ความแตกต่างระหว่าง ไซเลมและโฟเอม 20
ภาพที่ 10 ภาพตัดรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่ 21

ภาพที่ 11 ภาพตัดลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่ 21
ภาพที่ 12 สถานที่ทดลองนอกห้อง 23

ภาพที่ 13 สถานที่ทดลอง นอกห้อง 24
ภาพที่ 14 อปกรณ์การวัดที่ได้มาตรฐาน และสมุดจดบันทึก 24

ภาพที่ 15 monstera deliciosa ที่พึ่งส่งมาถึงเตรียมพร้อมปลูก 25

ภาพที่ 16 monstera deliciosa 25
ภาพที่ 17 การทำความสะอาดวัสดุปลูกต่างๆ ด้วยแอลกอฮอลและน้ำร้อน 26


ภาพที่ 18 อปกรณ์การปลูกและดินที่ผสมแล้ว 26
ภาพที่ 19 ต้นที่ 1 27

ภาพที่ 20 ต้นที่ 2 27

ภาพที่ 21 ต้นที่ 3 27
ภาพที่ 22 ต้นที่ 4 27

ภาพที่ 23 ต้นที่ 5 27
ภาพที่ 24 ต้นที่ 6 27

สารบัญรูปภาพ (ต่อ)





หน้า

ภาพที่ 25 รายละเอียดต้นที่ 1 29
ภาพที่ 26 รายละเอียดต้นที่ 2 29

ภาพที่ 27 รายละเอียดต้นที่ 3 29

ภาพที่ 28 รายละเอียดต้นที่ 4 29
ภาพที่ 29 รายละเอียดต้นที่ 5 29

ภาพที่ 30 รายละเอียดต้นที่ 6 29
ภาพที่ 31 ต้นหมายเลข 5 ที่เริ่มเหี่ยว 31

ภาพที่ 32 ภาพรากที่เน่าเปื่อย 31

ภาพที่ 33 ลักษณะใบที่ผิดปกติที่เกิดกับต้นที่ปลูกในน้ำ 45
ภาพที่ 34 ภาพรวมลักษณะที่ผิดปกติที่เกิดกับต้นที่ปลูกในน้ำ 45

ภาพที่ 35 ลักษณะลำต้นที่ผิดปกติที่เกิดกับต้นที่ปลูกในน้ำ 46
ภาพที่ 36 ตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่บริเวณภาชนะ 47


ภาพที่ 37 ต้นหมายเลข 4 ที่เติบโตได้ดีและมีใบเพิ่มขึ้นมาอกด้วย 47
ภาพที่ 38 ต้นหมายเลข 3 ที่ทำการปลูกในน้ำและนำมาไว้ในห้อง มีการเติบโตที่ดีและไม่มี 48
อาการ

สารบัญตาราง


หน้า


ตารางที่ 1 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 1 32
ตารางที่ 2 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 2 33

ตารางที่ 3 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 3 34


ตารางที่ 4 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 4 35

ตารางที่ 5 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 5 36
ตารางที่ 6 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 6 37


ตารางที่ 7 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 7 38
ตารางที่ 8 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 8 39

ตารางที่ 9 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 9 40

ตารางที่ 10 การเก็บข้อมูลในสัปดาห์ที่ 10 41

ตารางที่ 11 พัฒนาการของต้นที่ 4 42

ตารางที่ 12 พัฒนาการของต้นที่ 2 42-43
ตารางที่ 13 พัฒนาการของต้นที่ 3 43

ตารางที่ 14 พัฒนาการของต้นที่ 6 44

บทที่ 1


บทนำ




หลักการและเหตุผล



มอนสเตอร่า (Monstera) เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดจากเขตร้อนชื้นตามป่าดิบเขาและหมู่เกาะของทวีปอเมริกา
โดยชื่อ Monstera มาจากภาษาละติน Monstrous ที่แปลว่า “ผิดแปลก” เนื่องมาจากลักษณะรูปทรงของใบที่มี

ขนาดใหญ่และมีรอยฉีกขาดเป็นลายสวยราวกับได้รับการฉลุอย่างประณีตทำให้ต้นมอนสเตอร่ากลายเป็นไม้

ประดับที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในหมู่นักจัดดอกไม้และนักแต่งบ้านรูปทรงของใบและสีเขียวเข้มที่สวย

ของมันยังถูกนำไปทำเป็นต้นไม้ปลอมหรือลวดลายวอลเปเปอร์ผนังบ้าน อีกทั้งยังนิยมตัดก้านใบไปเสียบแจกัน

ประดับแทนดอกไม้

เนื่องด้วยในปัจุบันได้เริ่มมีกระแสในการปลูกต้นในบ้านที่ทำงานอันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่

เอื้ออำนวยถึงการท่องเที่ยวธรรมชาติในระยะหลัง เช่น สถานการโควิด 19 ฝุ่น PM2.5 ผู้คนจึงเริ่มหันมาสนใจ

ปลูกต้นไม้เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นโดยไม่ต้องออกจากบ้านไปไหนและเนื่องด้วยตัวผู้จัดทำเองก็เป็น

คนที่ชอบต้นไม้อยู่แล้ว จึงเห็นปัญหากับตัวเองคือการปลูกแบบปกติอาจมีค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ย แถมยังดูแลได้

ยากกว่าเพราะดินมาพร้อมกับปัญหาต่าง ๆ เช่น เชื้อรา แต่หากปลูกด้วยน้ำแล้วจะมีความยืดหยุ่นกว่าและ

สามารถปลูกได้หลากหลายรูปแบบมากกว่าด้วย

วัตถุประสงค์


1.เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ ให้สามารถมีความสุขกับการปลูกต้นไม้และลดความยุ่งยาก ทำ

ให้การปลูกต้นไม้ในพื้นที่ขนาดเล็กเช่น บ้านเช่า คอนโด เป็นไปได้ง่ายมากขึ้น


2.เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตของมอนสเตอร่าในน้ำ

2


สมมุติฐานของการศึกษาโครงงาน


แนวคิดนี้นำมาจากหลักการที่ว่าในเมื่อ การปลูกผักไฮโดรโพนิค นั้นสามารถทำให้ผักเจริญเติบโตจากการ
ให้น้ำและปุ๋ยโดยปราศจากดิน การปลูกพืชพรรณไม้ใบประดับเช่น มอนสเตร่านั้นก็อาจสามารถทำได้





ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ


1.ด้านภูมิทัศน์จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคพืชที่มาจากดินโดยสิ้นเชิง ลดการดูแล ลดการให้น้ำ


2.ด้านการศึกษาจะสามารถศึกษาระบบราก การเจริญเติบโตของราก สรีวิทยาของต้นไม้ได้ง่ายมากขึ้น


3.ด้านสุนทรียภาพ การปลูกแบบไม่ใช้ดินในสภาพแวดล้อมจำกัดก็จะทำให้พื้นที่ดูสะอาดน่าใช้งาน

บทที่ 2


การทบทวนวรรณกรรม




2.1 กรณีศึกษา


2.1.1. การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน (Soilless Culture)


การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในโลกมานานกว่า 30 ปีแล้วซึ่งนิยมนำมาใช้ปลูกพืชกัน


แพร่หลายในประเทศเขตกึ่งหนาวและหนาวที่ต้องมีการปลูกพชในโรงเรือนสำหรับประเทศไทยการปลูกพชโดย

ไม่ใช้ดินเพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จักกันเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาและขณะนี้ธุรกิจการปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์หรือ
การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากปี 2541 ซึ่งเป็นปีแรก ๆ ที่มีผักไฮโดรโพนิ

คส์ออกจำหน่ายในท้องตลาดและมีฟาร์มปลูกผักไฮโดรโพนิคส์เพียงไม่ถง 20 แห่ง



จนถึงปัจจุบันมีฟาร์มปลูกผลิตผักในระบบไฮโดรโพนิคส์นี้ถึงมากกว่า 150 แห่งทั่วประเทศคิดเป็นพ้นที่
ปลูกประมาณ 800 ไร่ในแต่ละวันมีผักสดและผลิตภัณฑ์ผักจากการปลูกแบบไฮโดรโพนิคส์วางจำหน่ายในเขต

กรุงเทพมหานครประมาณ 20 ตันต่อวันและทั่วประเทศประมาณ 80 -100 ตันต่อวันซึ่งหมายความว่าผัก

ประเภทนี้กำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภคคนไทยเราสามารถพบเห็นผลิตภัณฑ์จากไฮโดรโพนิคส์ส่วนหนึ่งวาง
จำหน่ายอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไปในโซนขายผักปลอดสารพิษบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามในราคาที่

สูงกว่าผักทั่วไปอีกส่วนหนึ่งถูกจำหน่ายโดยตรงให้กับภัตตาคารสายการบินและโรงแรมที่ต้องการใช้


แต่ผักที่มีคุณภาพดีส่วนหนึ่งและยังมีบางส่วนที่ส่งออกไปยังต่างประเทศอีกด้วยวางขายตามตลาดสด

ระดับกลางและระดับสูงจากการตอบรับจากผู้บริโภคและการตลาดที่ค่อนข้างดีเช่นนี้ธุรกิจปลูกผักแบบไฮโดรโพ

นิกส์จึงกลายเป็นที่สนใจของคนจากหลากหลายอาชีพทั้งคนในวงการหรือนอกวงการเกษตรที่ต้องการหาอาชีพ

ใหม่หรือหาอาชีพเสริมจึงทำให้มีคำถามต่างๆมากมายเกี่ยวกับ "ไฮโดรโพนิคส์” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิธีการปลูกการ
เลือกเทคนิคการปลูกต้นทุนการผลิตการเตรียมสารละลายธาตุอาหารการแก้ไขปัญหาต่างๆ ฯลฯ



ในขณะเดียวกันก็มีประชาชนอกลุ่มหนึ่งที่มีคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตผลจากไฮโดรโพนิคส์
หรือไม่เห็นด้วยกับกรรมวิธีการผลิตที่คิดว่าไม่เป็นไปตามธรรมชาติดังนั้นข้อมูลต่อไปนี้จึงน่าจะเป็นประโยชน์ไม่

มากก็น้อยแก่ทุกๆคนที่กำลังสนใจเกี่ยวกับไฮโดรโพนิคส์ (ธรรมศักดิ, 2544)

4


2.1.2 ความหมาย


การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินหรือที่มักนิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า“ ไฮโดรโพนิคส์” (Hydroponics) หรือ

“ซอยเลสคัลเจอร์” (Soilless culture) หมายถึงการปลูกพืชโดยใช้วัสดุใด ๆ ที่ไม่ใช่ดินพืชจะได้รับน้ำและ

อาหารที่ต้องการจากสารละลายธาตุอาหารที่ผู้ปลูกเป็นผู้ให้กับพืชเท่านั้นดินในที่นี้หมายถึงดินชนิดต่างๆรวมถึง

อินทรีย์วัตถุทั้งหลายที่มีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์แก่พืชเช่นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักปุ๋ยพืชสดกากน้ำตาลกากของเสีย

บางชนิดจากโรงงาน ฯลฯ ส่วนวัสดุที่ไม่ใช่ดิน ได้แก่ วัสดุใดที่ไม่มีธาตุอาหารใด ๆ เจือปนอยู่มีทั้งวัสดุธรรมชาติ

เช่นทรายกรวดน้ำขุยมะพร้าวแกลบและวัสดุที่มนุษย์สร้างขึ้นเช่นแร่ใยหิน (rock wool) พูไมซ์ (pumice) เพอร์
ไรท์ (perlite) เวอร์มิคูไลท์(vermiculite) และเม็ดดินเผา (hydrotron) ดังนั้นการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินจึงเป็น

การปลูกพืชในลักษณะที่ผู้ปลูกเป็นผู้ควบคุมปริมาณน้ำและธาตุอาหารให้กับพืชได้อย่างสมบูรณ์


คำว่าซอยเลสคัลเจอร์ (Soilless culture) มักเป็นคำที่ใช้เรียกการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินโดยทั่วไปส่วนคำ

ว่า“ ไฮโดรโพนิคส์” (Hydroponics) จะหมายเฉพาะเจาะจงถึงการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินแบบให้รากพช

เจริญเติบโตอยู่ในน้ำสารละลายธาตุอาหารโดยตรงส่วนคำว่า“ ซับสเตรทคัลเจอร์” (Substrate culture) จะ

หมายถึงการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินด้วยวิธีการปลูกในวัสดุปลูก (Substrate) ที่ไม่ใช่ดินและมีการให้น้ำและธาตุ
อาหารแก่วัสดุปลูกผ่านไปยังรากพืชและสุดท้ายคำว่า“ แอโรโพนิคส์” (Aeroponics) จะหมายถึงการปลูกพช

แบบไม่ใช้ดินแบบที่มีการจับยึดลำต้นพืชไว้ในลักษณะที่ปล่อยให้รากพืชลอยอยู่ในอากาศโดยไม่สัมผัสสิ่งใดและมี

วิธีการให้น้ำและอาหารแก่รากพืชโดยการฉีดพ่นน้ำสารละลายอาหารไปที่รากพืชโดยตรงเป็นระยะ ๆ (ธรรม

ศักดิ, 2544)

5


2.1.3 ทำไมพืชจึงเติบโตได้โดยไม่ต้องพึ่งดิน?


เมื่อพืชเจริญเติบโตอยู่ในดินรากพืชได้รับสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต 4 ประการด้วยกันคือ

1) ที่ให้รากยึดเกาะเพื่อทรงต้นขึ้นเหนือดิน


2) น้ำ


3) แร่ธาตุอาหาร


4) ออกซิเจนหรืออากาศใช้หายใจของราก


ดังนั้นหากเราสามารถหาวิธีการที่จะจัดหาสิ่งจำเป็นทั้ง 4 ประการนี้ให้กับรากพืชได้เราก็สามารถจะปลูก

พืชลงในวัสดุใด ๆ ก็ได้โดยไมจำเป็นต้องพึ่งดิน แต่พียงอย่างเดียวซึ่งปรากฏว่าเทคโนโลยีการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน
เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราสามารถจัดหาสิ่งจำเป็นที่พืชต้องการทั้ง 4 ประการนี้ได้จึงทำให้เราไม่จำเป็นต้องพึ่งดิน

ในการปลูกพืชอีกต่อไปยิ่งไปกว่านั้นคือการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินยังช่วยให้ผู้ปลูกเป็นผู้ควบคุมปริมาณน้ำและธาตุ



อาหารที่พืชจะได้รับอย่างโดยสมบูรณ์ดังนั้นหากปฏิบัติและจัดการได้ดีและถกต้องแล้วพชจะได้รับสิ่งที่ต้องการใน
ชนิดปริมาณที่ไม่มากหรือน้อยไปและในเวลาที่เหมาะสมส่งผลให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ดีให้ผลผลิตสูงมีคุณภาพดี

ในเวลาที่รวดเร็วและประหยัดกว่าการปลูกในดินซึ่งยังไม่สามารถควบคุมปัจจัยได้ทุกอย่าง






















ภาพที่ 1 องค์ประกอบการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินแบบปลูกในน้ำ (hydroponics)


ที่มา: ธรรมศักดิ, (2544)

6


ในบรรดาวัสดุต่างๆทั้งหลายที่จะนำมาใช้ปลูกพชแทนดินนั้นกลายเป็นวัสดุที่เหมาะสมเพราะรากพชเอง


ต้องการน้ำอยู่แล้วและแร่ธาตุอาหารทั้งหลายที่พืชต้องการก่อนที่พืชจะดูดขึ้นไปใช้ได้นั้นต้องอยู่ในรูปที่ละลายใน
น้ำได้เท่านั้นออกซิเจนที่รากพืชต้องการในการหายใจนั้นก็สามารถที่แทรกตัวอยู่ในน้ำได้ด้วยและอันดับสุดท้าย

เรื่องของการให้ที่ยึดเกาะพยุงลำต้นแก่พืชนั้นน้ำยังสามารถพยุงต้นพืชขนาดเล็กให้ลอยอยู่เหนือน้ำได้และในการ

ปลูกเลี้ยงพืชบนวัสดุปลูกหรือในสารละลายอาหารนั้นเราสามารถจัดหาที่ยึดเกาะพยุงลำต้นให้ลอยอยู่เหนือน้ำ

เสริมให้กับพืชได้โดยไม่ยุ่งยากนัก (ธรรมศักดิ, 2544)





2.1.4 การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินขัดต่อธรรมชาติหรือไม?

นับจากมนุษย์รู้จักการทำการเกษตรปลูกพืชเลี้ยงวัตว์แทนการออกไปเก็บผักผลไม้และล่าสัตว์ในป่าเมื่อ

หลายพันปีก่อนเราก็ได้มีการพัฒนาการเกษตรเรื่อยมา แต่ไม่ว่าเราจะพัฒนาวิธีการปลูกพืชไปอย่างไรเราก็ไม่

สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของพืชได้พืชยังคงดำรงชีวิตอยู่ด้วยการอาศัยการดูดน้ำและอาหารในรูปของแร่

ธาตุที่เป็นประจุผ่านทางรากเช่นเดิมในการนำพืชมาปลูกเลี้ยงในดินนั้นมนุษย์ได้พยายามคิดค้นวิธีการที่จะให้

ปัจจัยต่างๆที่พืชต้องการอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดอาทิเช่นพัฒนาวิธีการใส่ปุ๋ยและให้น้ำที่เหมาะสมมากขึ้น
ในกรณีของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินก็เช่นกันเมื่อมนุษย์ได้เรียนรู้ธรรมชาติของพืชเกี่ยวกับความต้องการปัจจัย

ต่างๆในการเจริญเติบโตผ่านทางรากพืชแล้วมนุษย์จึงได้นำความรู้เรื่องนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการปลูกพชโดย

เตรียมสารละลายที่มีแร่ธาตุอาหารชนิดเดียวกับที่พืชต้องการจากดินและมีอากาศอยู่ด้วยให้แก่รากพืชโดยตรง

นั่นเอง


Dalton and Smith (1999) ผู้แต่งตำรา, Hydroponic Crop Production ได้กล่าวไว้ว่า“ We do not

change the course of nature, rather, we wish to exploit these natural functions to our own
advantage” ซึ่งแปลว่าในการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินนั้นเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติ แต่อย่างใด แต่เราพยายาม

ื่
ใช้บทบาทของธรรมชาติเพอประโยชน์ของเราเอง) อย่างไรก็ตามมุมมองว่าอะไรเป็นหรือไม่เป็นธรรมชาติแค่ไหน

อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่ด้วยความจริงของวิธีการดำรงชีวิตของพืชที่ชี้ให้เห็นข้างต้นแล้วจึงน่าจะเพยง
พอที่จะตัดสินได้ว่าการนำความรู้จากธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในกรณีของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินนี้จริงๆ

แล้วเป็นเรื่องผิด (ธรรมชาติ) หรือไม่ (ธรรมศักดิ, 2544)

7


2.1.5 การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponic)


เป็นการปลูกพืชแบบหนึ่งที่นิยมมากในปัจจุบันเนื่องจากการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์นั้น จะเป็นการ
ปลูกพืชแบบไร้ดินทำให้สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่ไม่เอื้ออานวยต่อการปลูกพืชแบบทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น

สภาพดินปลูกที่ไม่เหมาะสม สภาพอากาศแปรปรวน รวมไปถึงขนาดของพื้นที่ในการปลูก เป็นต้น ซึ่งการควบคุม

ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมได้อย่างถูกต้องและแม่นยําจะส่งผลให้พืชมีผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพสูงขึ้น ข้อดีสำหรับ

การปลูกพืชไร้ดิน คือ เกษตรกรสามารถปลูกพืชใน สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชได้ซึ่งสามารถ

ปลูกพืชได้ตลอดปี สามารถลดค่าใช้จ่ายในการเตรียมดินปลูกและลดภาระในการกําจัดวัชพืช

นอกจากนี้พืชจะเจริญเติบโตเร็วและให้ผลผลิตที่มากกว่าการปลูกแบบธรรมดา ยิ่งไปกว่านี้เกษตรกรยัง

สามารถใช้น้ำและธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกันข้อเสียของการปลูกพืชแบบ ไฮโดรโปนิกส์คือ

การใช้ต้นทุนในการผลิตสูงอีกทั้งยังต้องมีผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้วัสดุปลูกบางชนิดยังย่อยู่สลายยาก เช่น ไนเตรท ซึ่งอาจจะส่งผลกับคุณภาพน้ำได้โดยทั่วไปพืชจะ

พยายามใช้เอมไซด์ในพืชมาเร่งปฏิกิริยาเพื่อเปลี่ยนไนเตรทให้เป็นแอมโมเนียและกรดอะมิโนซึ่งกระบวนการนี้จะ

มีแสงแดดเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ซึ่งถ้าควบคุมอากาศให้เหมาะสมจะทำให้ไนเตรทของพืชลดน้

อยู่ลง สำหรับผักที่นิยมปลูกแบบไร้ดิน แบ่งเป็นหลายกลุ่ม อาทิเช่น

กลุ่มผักสลัดไฮโดรโปนิกส์ เช่น บัตเตอร์เฮด กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค กรีนิคอส เรดคอรอล เป็นต้น และกลุ่ม

ผักสวนิครัว เช่น ผักคะน้า ผักบุ้งจีน กวางตุ้ง ผักกาดขาวไดโตเกียว ผักกาดฮ่องเต้ผักโขม เป็นต้น ปัจจัยที่ทำให้

พืชเจริญเติบโตได้ดีนั้นมีหลายปัจจัย เช่น แสง น้ำ ธาตุอาหาร อุณหภูมิความเป็นกรดด่าง ออกซิเจน และ

คาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งการปลูกพืชบนดินจะมีปัจจัยเหล่านี้ครบแต่ดินในแต่ละพื้ี่นที่จะมีคุณสมบัติไม่แน่นอนทำ

ให้ปัจจัยที่กล่าวมาสามารถเปลี่ยนแปลงได้สำหรับการปลูกพืชไร้ดินั้นนพืชจะได้รับสารละลายที่มีธาตุอาหารที่

จําเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งพืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันทีเพราะมีการปรับค่าการนําไฟฟ้าและความ
เป็นกรดด่างให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้วสารละลายนี้เรียกว่า “สารละลายธาตุอาหารพืช” ที่เป็นการละลายมา

จากปุ๋ยเคมีในน้ำ ส่วนการปลูก


พืชโดยทั่วไปจะมีสารอาหารในน้ำและในดินผสมกันจะเรียกว่า “สารอาหารในดิน” รากของพืชจะสัมผัส

ื่
กับสารละลายดังกล่าวเพอดูดเอาไปใช้ในการเจริญเติบโตสำหรับการจัดการสารละลายในการปลูกพืชแบบไฮโดร
ื่
โปนิกส์จำเป็นต้องมีการควบคุมค่าการนําไฟฟา (Electrical conductivity) และความเป็นกรดด่าง (pH) เพอให้

พืชสามารถดูดซึม 7 สารอาหารได้อย่างเหมาะสม ยิ่งไปกว่านี้ยังต้องควบคุมอณหภูมิและออกซิเจนในสารละลาย

ธาตุอาหารอีกด้วย กรณีที่ค่าความเป็นกรดด่างสูงหรือต่ำเกินไปจะทำให้เกิดตะกอน ซึ่งหากสารละลายมีความ

เป็นกรดมากสารมารถปรับสมดุลได้โดยใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)

8


โซเดียมไบคาร์บอเนต(NAHCO3) แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ (NH4OH) เป็นต้น หากสารละลายมีความเป็นด่าง

มาก ใช้กรดซัลฟูริก (H2SO4) กรดไนตริก (HNO3) กรดไฮโดรคลอริก (HCI) กรดฟอสฟอริก (H3PO4) กรดอซิ
ติก (CH3COOH) เป็นต้น


ในส่วนของการควบคุมค่าการนําไฟฟ้าของสารละลายนั้น ต้องคำนึงถึงระยะการเติบโตของพืช โดยที่พช

อยู่ในระยะแรกของการปลูกจะมีความต้องการค่าการนําไฟฟ้าต่ำ และจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีความเจริญเติบโต ซึ่ง

พืชแต่ละชนิดจะมีความต้องการด้านการนําไฟฟ้าต่างกัน เช่น ผักสลัดต้องการ


สารละลายธาตุอาหารที่มีค่าการนําไฟฟ้าอยู่ระหว่าง 0.5 – 2.0 เป็นต้น นอกจากนี้ค่าการนําไฟฟ้าใน


สารละลายจะเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิกล่าวคือ เมื่ออุณหภูมิสูงจะทำให้ค่าการนำไฟฟ้าสูงขึ้น

ระบบที่ใช้ในการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์มี 5 ระบบ คือ


1) NFT (Nutrient Film Technique) เป็นการปลูกแบบระบบให้สารละลายธาตุอาหารไหลผ่านรากพช

เป็นแผ่นบาง ๆ เหมือนแผ่นฟิล์มซึ่งจะไหลบนรางปลูกอย่างต่อเนื่อง


2) NFLT (Nutrient Flow Technique) การปลูกแบบระบบให้สารละลายธาตุอาหารไหลผ่านรากพช

แบบแผ่นหนาอย่างต่อเนื่อง รากพืชจะได้รับออกซิเจนขณะน้ำไหลผ่าน

3) DFT (Deep Flow Technique) เป็นระบบที่ปลูกพืชโดยรากแช่อยู่ในสารละลายลึกประมาณ 15

เซนติเมตร ถึง 20 เซนติเมตร โดยจะมีการปลูกพืชบนแผ่นโฟมหรือวัสดุที่สามารถลอยู่น้ำได้ซึ่งระบบนี้จะต้องใช้

ปั๊มน้ำในการดูดสารละลายแบบหมุนเวียนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจน


4) DRFT (Dynamic Root Floating Technique) เป็นการปลูกพืชโดยให้รากแช่อยู่ในสารละลาย และ

ให้อากาศไหลวนผ่านรากพืชที่ระดับความลึกประมาณ 4 เซนติเมตร ซึ่งสารละลายจะไหลลงถังบรรจุและจะ

ไหลเวียนขี้นมาที่ถาดปลูก ขณะที่สารละลายไหลเวียนขึ้นมาจะผ่านหัวพ่นอากาศเพื่อใช้สําหรับเติมอากาศลง
สารละลาย


5) FAD (Food and Drain) เป็นการปลูกพืชที่เป็นการผสมระหว่างระบบ NFT และระบบ DFT โดยให้

สารละลายธาตุอาหารท่วมภาชนะปลูกและรากพืชอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นจึงระบายออก ตามช่วงเวลาสลับกัน

ไปเรื่อยู่ ๆ (เกษตรโฟกัส, 2558)

9


2.2 องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง


2.2.1 พืชที่นำมาเลือกใช้


มอนสเตร่า มอนสเตอรา (Monstera) ชื่อสามัญ : Herricane plant, Swiss cheese plant, Window

plant ชื่อวิทยาศาสตร์ : Monstera deliciosa Liebm
.วงศ์ : Araceae

มอนสเตร่า เป็นพันธุ์ไม้ที่มีรูปทรงสมชื่อ ราชินีแห่งใบไม้ มีถิ่นกำเนิดจากเขตร้อนชื้นตามป่าดิบเขาและหมู่เกาะ
ของทวีปอเมริกา มอนสเตร่า มีลักษณะใบสวยเป็นมัน ขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นแฉกฉลุบนพื้นใบ ซึ่งเป็นลักษณะ

เด่นเฉพาะตัวของพืชในตระกูลนี้ พืชชนิดนี้เป็นไม้เลื้อยู่ ทอดยาวไปตามพื้นดินหรือหลักที่เราทำขึ้นเพอค้ำพยุงต้น
ื่
มีรากทุกข้อปล้อง ขยายพันธุ์ค่อนข่างง่าย เป็นพืชอายุยืนนานหลายปี



ด้านการตลาดไม้ตัดใบ มอนสเตร่ามีศักยภาพในการจำหน่ายสูง เพราะไม่เพยงพอกับความต้องการของ
ตลาด ใบมีเอกลักษณเฉพาะตัว ราคาค่อนข้างสูง จำหน่ายง่าย อีกทั้งเป็นพืชที่ปลูกค่อนข้างง่าย ต้องการการเอา

ใจใส่ปานกลาง แข็งแรง ทนทานต่อโรคและแมลง อายุการปลูกนาน มีปริมาณผลผลิตตลอดทั้งปี มอนสเตร่ามี
สายพันธุ์ต่างๆมากถึง 50 สายพันธุ์ แต่ที่ได้รับความนิยมคือ มอนสเตร่า เดลิซิโอซ่า (Monstera Deliciosa) ซึ่ง

เป็นสายพันธุ์พืชดอกพื้นเมืองของป่าเขตร้อนของภาคใต้ของเม็กซิโกทางใต้ สู่ปานามา มอนสเตร่า ช่วยกำจัดสาร

พวกฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde หรือ CH2O เป็นก็าซไม่มีสีจัดเป็นพิษที่ปนเปื้อนในอากาศและเป็น

อันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว) จึงปลูกในห้องนอน ห้องนั่งเล่นได้ (Morton, 2530)




2.2.2 หน้าที่ของธาตุอาหารและอาการขาดธาตุอาหาร


ธาตุอาหารพืชแต่ละธาตุ ต่างมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชในด้านต่าง ๆ และเมื่อพืชได้รับธาตุอาหาร

ไม่เพียงพอ มักปรากฏอาการหรือร่องรอยู่ของความเจ็บป่วยจากการขาดแคลนธาตุอาหารที่จำเป็นเหล่านี้

ตัวอย่างเช่น


2.2.2.1 กลุ่มธาตุอาหารหลัก


ไนโตรเจน (N) คือ ธาตุที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยเฉพาะในการสร้างกรดอะมิโน
(Amino Acids) กรดนิวคลีอิก (Nucleic Acids) โปรตีน และฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงการมีความ

เกี่ยวพันโดยตรงต่อกระบวนการสังเคราะห์แสง ซึ่งไนโตรเจนเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของ

คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ที่ทำให้พืชมีสีเขียว

10


ในสภาวะขาดแคลน :สีใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองขนาดของใบเล็กลงลำต้นแคระแกร็นและมีผลผลิตต่ำ



ฟอสฟอรัส (P) คือ ธาตุอาหารที่กระตุ้นและเร่งการเจริญเติบโตของรากพช เป็นธาตุที่ส่งผลต่อ
การควบคุมการออกดอก ออกผล และการสร้างเมล็ด อีกทั้ง ยังมีความสำคัญต่อกระบวนการต่าง ๆ ไม่

ว่าจะเป็นการสังเคราะห์แสง การกักเก็บและถ่ายโอนพลังงาน และกระบวนการหายใจของพืช


ในสภาวะขาดแคลน : ระบบรากของพืชไม่สามารถเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ใบแก่จะมีการ

เปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีม่วงแล้วกลายเป็นสีน้ำตาลและหลุดร่วง ลำต้นแคระแกร็น และไม่ผลิดอกออก

ผล


โพแทสเซียม (K) คือ ธาตุอาหารที่มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์น้ำตาล แป้ง และโปรตีน ส่งเสริม
กระบวนการเคลื่อนย้ายน้ำตาล แป้ง และน้ำมัน รวมถึงประสิทธิภาพการใช้น้ำของพืชและการให้ผล

ผลิต อีกทั้ง ยังช่วยส่งเสริมพืชในการต้านทานโรคและแมลงบางชนิด


ในสภาวะขาดแคลน : ลำต้นไม่แข็งแรง การเจริญของดอกและผลไม่สมบูรณ์ ผลผลิตมีคุณภาพ

ต่ำ โดยเฉพาะผลผลิตที่เน้นด้านรสชาติและสีสัน


2.2.2.2 กลุ่มธาตุอาหารรอง


แคลเซียม (Ca) คือ ธาตุอาหารที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของการเจริญเติบโตของพช ซึ่งมี

ส่วนช่วยในการแบ่งเซลล์ การผสมเกสร การงอกของเมล็ด การเจริญของใบและราก


ในสภาวะขาดแคลน : มีการเจริญของใบใหม่ที่ไม่สมบูรณ์ ตายอดไม่เจริญ อาจมีจุดดำที่เส้นใบ

รากสั้น และให้ผลผลิตคุณภาพต่ำ


แมกนีเซียม (Mg) คือ ธาตุที่องค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ช่วยสังเคราะห์กรดอะมิโน

วิตามิน ไขมัน และน้ำตาล ทำให้สภาพกรดด่างในเซลล์เหมาะสมและช่วยส่งเสริมในการงอกของเมล็ด
นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังมีส่วนส่งเสริมการดูดซึมและนำการฟอสฟอรัสมาใช้ประโยชน์อีกด้วย


ในสภาวะขาดแคลน : มีการเจริญของใบไม่สมบูรณ์ ใบแก่จะเปลี่ยนสีและร่วงโรยในเวลาอันรวดเร็ว



กำมะถัน (S) คือ ธาตุที่องค์ประกอบสำคัญของกรดอะมิโน โปรตีน และวิตามินในพช มีส่วนใน
การสร้างคลอโรฟิลล์และการผลิตเมล็ด นอกจากนี้ กำมะถันยังเป็นองค์ประกอบของสารระเหยที่สร้าง

กลิ่นเฉพาะตัวในพืชบางชนิดอีกด้วย


ในสภาวะขาดแคลน : มีการเจริญของใบและลำต้นไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ลำต้นอ่อนแอ

11


2.2.2.3 กลุ่มธาตุอาหารเสริม


โบรอน (B) คือ ธาตุที่ทำหน้าที่ช่วยให้พืชสามารถดูดซึมแคลเซียมและไนโตรเจนได้ดียิ่งขึ้น มี
ส่วนช่วยในการออกดอกและการผสมเกสรของพืช นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนย้าย

น้ำตาลมาสู่ผล การเคลื่อนย้ายฮอร์โมน และการแบ่งเซลล์ของพืชอกด้วย ในสภาวะขาดแคลน : มีการ


เจริญของตายอด การแตกกิ่งและการออกผลไม่สมบูรณ์ ลำต้นแคระแกร็น ลักษณะของใบจะออนและ
บางลง


ทองแดง (Cu) คือ หนึ่งในธาตุที่มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างคลอโรฟิลล์ เป็นหนึ่งในตัวเร่ง
ปฏิกิริยาหรือตัวกระตุ้นในกระบวนการต่าง ๆ ของพืช เช่น กระบวนการหายใจ การทำงานของเอนไซม์

การสร้างอาหารและกระบวนการสืบพันธุ์ ซึ่งส่งผลต่อการผลิดอกออกผลของพืช ในสภาวะขาดแคลน :

มีการเจริญของตายอดและลำต้นไม่สมบูรณ์ มีการเปลี่ยนสีของใบอ่อนเป็นสีเหลือง เส้นใบเปลี่ยนสีเป็นสี


ชมพูขาวจาง ลักษณะใบเหี่ยวเฉาและร่วงโรยได้งาย

เหล็ก (Fe) คือ หนึ่งในธาตุที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีน ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการ

สังเคราะห์แสงและการผลิตอาหารของพืช มีบทบาทในการกระตุ้นกระบวนการหายใจ และการ
เจริญเติบโตให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ในสภาวะขาดแคลน : ใบออนมีสีขาวหรือเหลืองซีด ในขณะที่ใบที่

เจริญแล้วไม่แสดงอาการเจ็บป่วย


แมงกานีส (Mn) คือ ธาตุอาหารที่มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสงและการทำงานของ

เอนไซม์ มีผลต่อการเจริญของใบ ดอกและการออกผล นอกจากนี้ แมงกานีสยังมีบทบาทในการควบคุม

กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการนำธาตุเหล็กและไนโตรเจนมาใช้ประโยชน์อีกด้วย ในสภาวะขาดแคลน

: ใบอ่อนของพืชจะมีสีเหลืองและสีอ่อนจาง ในขณะที่เส้นใบยังคงมีเขียวสด ซึ่งส่งผลต่อการเหี่ยวเฉาและ
ร่วงโรยของใบพืชในเวลาต่อมา


โมลิบดินัม (Mo) คือ ธาตุอาหารที่มีส่วนช่วยแบคทีเรียและจุลินทรีย์ในดินสำหรับการตรึง

ไนโตรเจนจากอากาศ ซึ่งส่งผลต่อการสังเคราะห์โปรตีนและการทำงานของไนโตรเจนในพืช อีกทั้ง ยังมี


บทบาทในการสร้างคลอโรฟิลล์ และการเปลี่ยนรูปของสารประกอบฟอสฟอรัสอกด้วย ในสภาวะขาด
แคลน : ใบของพืชจะมีลักษณะโค้งงอหรือม้วนลง มีสีเหลืองส้มและสีอ่อนจาง มีจุดประขนตามแผ่นใบ มี
ึ้
ดอกและผลแคระแกร็น จากการเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ (Rebecca, 1992)

12





2.2.3 การสังเคราะห์ด้วยแสง

กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) เป็นกระบวนการที่ประกอบด้วย ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นอย่าง

ต่อเนื่องกันเป็นลำดับในิคลอโรพลาสต์ในเซลล์พืช โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ เปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออก

ไซด ์และไฮโดรเจนจากน้ำ หรือแหล่งไฮโดรเจนอื่น ๆ ให้กลายเป็นสารประกอบประเภทคาร์โบไฮเดรตและมีแก๊ส

ออกซิเจนเกิดขึ้น


กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง และการหายใจในเซลล์จะทำงานร่วมกันอย่างสมดุล โดยกระบวนการ

หายใจสลายอาหารได้ พลังงานและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงจะสร้าง
คาร์โบไฮเดรตและมีแก๊สออกซิเจนเกิดขึ้นเป็น วัฏจักรแก๊สออกซิเจนประมาณ 85% เกิดขึ้นในมหาสมุทร

เนื่องมาจากการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืช (phytoplankton)อีก 10% มาจากสิ่งมีชีวิตบนพื้นดิน และ

5% มาจากแหล่งน้ำจืด










































ภาพที่ 2 องค์ประกอบของการสังเคราะห์แสง


ที่มา: Martin,( 2554)

13


คลอโรพลาสต์ (chloroplast ) เป็นออร์แกเนลล์ชนิดหนึ่งในเซลล์พืช ภายในิคลอโรพลาสต์มีคลอโรฟิลล์

เป็นองค์ประกอบ ซึ่งสามารถดูดกลืนพลังงานจากแสงอาทิตย์มาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง คลอโรพ
ลาสต์ในพืชชั้นสูงจะมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือกลมรี ขนาดยาวประมาณ 5 ไมครอน กว้างประมาณ 2 ไมครอน หนา

ประมาณ 1-2 ไมครอน มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น ภายในประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ สโตรมา (stroma) และ ลา

เมลลา (lamella)





- สโตรมา เป็นของเหลวใส มีเอนไซม์หลายชนิดที่นำไปใช้ในปฏิกิริยาที่ไม่ต้องใช้แสง


- ลาเมลลา เป็นส่วนหนึ่งของเยื่อหุ้มชั้นในที่ยื่นเข้าไปในิคลอโรพลาสต์ มีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ ซ้อนกัน
ประกอบด้วยโปรตีน ไขมัน คลอโรฟิลล์และรงควัตถุ แผ่นลาเมลลาซ้อนกันหลาย ๆ ชั้นเรียกว่า กรานา (grana)

แผ่นลาเมลลาแต่ละแผ่นที่ซ้อนอยู่ในกรานาเรียกว่า ไทลาคอยู่ด์ (thylakoid) เป็นแหล่งรับพลังงานจากแสงซึ่ง

ประกอบด้วยกลุ่มของรงควัตถุระบบ 1 และรงควัตถุระบบ 2
































ภาพที่ 3 รูปภาพแสดงตำแหน่งและองค์ประกอบของคลอโรพลาสต์ในพืช


ที่มา: Martin, (2554)

14


รงควัตถุ คือ สารที่สามารถดูดกลืนแสง รงควัตถุแต่ละชนิดจะดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่นต่างกัน

คลอโรฟิลล์ เป็นรงควัตถุ ที่พบในใบไม้สามารถดูดกลืนแสงสี ม่วง น้ำเงิน แดงซึ่งอยู่ในช่วงความยาวคลื่น 400-
700 nm ได้ดีแต่สะท้อนแสงสีเขียว จึงทำให้เราเห็นใบไม้เป็นสีเขียว
































ภาพที่ 4 การดูดแสงสีต่างๆ ของคลอโรพลาสต์


ที่มา: Martin, (2554)

การสังเคราะห์ด้วยแสงประกอบด้วยขั้นตอนใหญ่ๆ 2 ขั้นตอนต่อเนื่องกัน คือขั้นตอนปฏิกิริยาที่ต้องใช้

แสงที่เปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานเคมี และขั้นตอนปฏิกิริยาที่ไม่ต้องใช้แสงซึ่งเป็นขั้นตอนของการสังเคราะห์

น้ำตาล (ที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า วัฏจักรเคลวิน )

15



























ภาพที่ 5 กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชประกอบด้วยปฏิกิริยาที่ต้องใช้แสงและวัฏจักรเคลวิน


ที่มา: Martin, (2554)

สรุปได้ว่า


กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) เป็น กระบวนการสร้างอาหารของพืชสีเขียว โดย

มีคลอโรฟิลล์ทำหน้าที่ดูดพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์แล้วเปลี่ยนสารวัตถุดิบคือน้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

ให้เป็น น้ำตาลกลูโคส น้ำ และ แก๊สออกซิเจน


องค์ประกอบและสมการ (Martin, 2554)











ภาพที่ 6 กระบวนการทางเคมีของการสังเคราะห์แสง

ที่มา: Martin, (2554)

16


2.2.4 โรคต่างๆ


2.2.4.1 โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose)

โรคแอนแทรคโนสเป็นโรคพืชที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพมีเชื้อ

ราที่มีความสําคัญ เป็นสาเหตุ ของโรคแอนแทรคโนส อยู่ในจีนัส Colletotrichum ทำให้เกิดความ


สูญเสียกับพืชเศรษฐกิจ มีพืชอาศัยมากถง 470 สกุล ทั้งพืชตระกูล ถั่ว หญ้า ผัก ไม้ผลและไม้ประดับ ทำ
ให้ผลผลิตเน่าเสียอายุการเกบเกี่ยวสั้น ไม่สามารถขนส่งระยะไกลได้ การระบาดของโรคเกิดขึ้นนรวดเร็ว

ี่
และรุนแรงในเขตทมีอณหภูมิและความชื้นสูง เชื้อราสามารถเข้าทำลายได้ทุกส่วนของพืชตั้งแต่ลําต้น ใบ

ก้าน ดอก ผล และเมล็ด

ทำให้เปอร์เซ็นต์การงอกลดลงถ้าเกิดกับต้นกล้าจะทำให้ต้นกล้าแห้งตายได้ ซึ่งการเข้าทำลาย

ของในส่วน ราก และหัว ที่อยู่ใต้ดิน ทำให้เกิดโรคแอนแทรคโนสได้ โดยการเข้าทำลายของเชื้ออาจเป็นได้

ทั้งแบบมีเชื้อหลายสปีชีส์เข้าทำลายพืชชนิดเดียว หรือเชื้อสปีชีส์เดียวเข้าทำลายพืชหลายชนิดก็ได้ เชื้อ

รา Colletotrichum spp.สามารถเข้าทำลายเซลล์พชโดยตรงไม่ต้องผ่านช่องเปิดธรรมชาติหรือ

บาดแผลสามารถเข้าทำลายผลผลิต ตั้งแต่ระยะดอก ผลออน โดยยังไม่แสดงอาการของโรค จัดเป็นการ

เข้าทำลายแบบแฝง( quiescent infection) จะแสดงอาการชัดเจนเมื่อผลผลิตแก่หรือเริ่มสุก ดังนั้น การ

เข้าทำลายจะเริ่มตั้งแต่อยู่ในแปลงปลูก โรคนี้พบกระจายอยูทั่วโลกโดยเฉพาะในเขตร้อนชื้นจะพบการ

ระบาดอย่างรุนแรง การระบาดของเชื้ออาศัยลม ฝน หรือแมลงที่บินมาเกาะบริเวณแผลทำให้ สปอร์

แพร่กระจายไปยังที่ต่าง ๆ เมื่อถูกความชื้นก็สามารถงอกเจริญได้


2.2.4.2 โรครากเน่า โคนเน่า


เกิดจากเชื้อราพิเทียม Phytophthora parasitica Dastur โดยเชื้อราจะเข้าไปทำลายระบบ

รากฝอยู่ รากแขนง และตามโคนต้น ทำให้พืชไม่สามารถลำเลียงน้ำและสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ
ของพืชได้สังเกตอาการได้จากใบจะมีสีเหลืองซีด โดยเริ่มที่เส้นกลางใบกอนแล้วลุกลามไปเรื่อยู่ๆ จาก

โคนใบไปถึงยอด และใบจะม้วนงอ เมื่อโดนแดดจัด ๆ ในตอนกลางวัน หรือใบเหี่ยวคล้ายขาดน้ำ ใบจะ

ร่วง, กิ่งแห้ง, ผลมีสีเหลืองร่วงหล่นง่าย หากโรคลุกลามจะทำให้พืชนั้นยืนต้นตาย



โรครากเน่า โคนเน่า มักเกิดขึ้นในฤดูร้อน (เกิดได้ทั้งพืชที่ปลูกบนดินและพืชไร้ดิน) โดยพชไร้ดิน
เมื่อสารละลายธาตุอาหารที่ใช้เลี้ยงพืชมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะส่งผลทำให้ปริมาณออกซิเจนในสารละลาย


ลดลง จนเป็นเหตุให้รากพืชออนแอ และทำให้เชื้อราพิเทียมเข้าเล่นงานได้ง่ายขึ้น

17





2.2.4.2 โรคใบจุด

โรคใบจุดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกฤดู โดยเฉพาะฤดูที่มีความชื้นในอาการสูง เช่น ฤดูฝน แต่ในฤดู

ร้อนก็สามารถเกิดโรคใบจุดได้ โดยส่วนใหญ่มาจากการสเปรย์น้ำในแปลงปลูกมากเกินไป รวมถึงการ

ระบายอากาศในแปลงปลูกไม่ดีทำให้เกิดโรคใบจุดได้ โดยโรคใบจุดนั้นมีสาเหตุมาจากเชื้อรา 3 ชนิด

ได้แก ่


1) เชื้อ Alternaria spp.


พบได้ในผักทุกชนิดเช่น ผักสลัดชนิดต่างๆ, ผักกาดหอมห่อ, ผักกาดฮองเต้, คะน้ายอด,
ผักกาดขาวปลี แผลที่เกิดจากเชื้อราชนิดนี้ จะมีลักษณะเป็นวงสีน้ำตาลซ้อนกันหลายวง ในผักกาด

ต่างๆ จะเห็นได้ชัด บริเวณแผลอาจปรากฏจุดดำๆ ซึ่งก็คือสปอร์ของเชื้อรา ถ้าอาการรุนแรง เนื้อเยื่อ

ระหว่างเส้นใบจะแห้งตาย


2) เชื้อ Cercospora spp.


พบได้ใน ผักกาดหอมห่อ, ผักกาดขาวปลี, ปวยเล้ง ฯลฯ จุดแผลจะมีลักษณะต่างกันไป แล้วแต่


ชนิดพืช แต่ที่พบเห็นชัดเจนคือ ตรงกลางแผลจะมีสีเทาออน จนถึงขาว หรือสีน้ำตาลอ่อน-ขาว รอบ
แผลมีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลแดง คล้ายตากบ แผลที่เกิดจากจุด หากมีอาการมาก แผลจะต่อกัน ทำให้


เกิดอาการใบไหม้ได้ ถ้าเกดกับใบออน ทำให้เกิดอาการใบหงิกงอได้

3) เชื้อ Septoria spp.


พบได้ใน ผักกาดหอมห่อ, ปวยเล้ง, เซเลอรี่ อาการเริ่มจากจุดสีเหลืองเล็กๆ พอขยายใหญ่

แผลจะมีรูปร่างไม่แน่นอน สีของแผลเป็นสีน้ำตาลปนเขียวมะกอก มีจุดดำๆจำนวนมากบริเวณแผล ซึ่ง
ก็คือโครงสร้างที่บรรจุสปอร์จำนวนมาก ถ้าอาการรุนแรงมาก บริเวณแผลจะฉีกขาด ทำให้ใบขาดรุ่งริ่ง

เป็นมากพืชจะตาย


สำหรับโรคใบจุดในสลัดพันธุ์ต่างประเทศ และคื่นฉ่ายที่ปลูกในระบบปลูกพืชไม่ใช้ดิน ที่ได้

ตรวจพบในประเทศไทย ยังไม่ได้มีการยืนยันถึงเชื้อสาเหตุที่แน่ชัด แต่จากการตรวจสอบในเบื้องต้น

พบว่า เชื้อส่วนใหญ่ได้แก่ เชื้อ Cercospora spp.


การแพร่ระบาด เชื้อราทั้ง 3 ชนิดนี้ สามารถอาศัยอยู่ในซากพืช และในดินได้ดี หรือติดมากับ

เมล็ดพันธุ์ได้ สปอร์จะแพร่ระบาดได้ดีไปกับลม และน้ำฝน น้ำที่ใช้ในระบบพ่นฝอยู่ ช่วยให้โรคจะบาด

18


ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้วัชพืชที่อยู่รอบๆแปลงปลูก จะเป็นแหล่งหลบอาศัยของเชื้อได้เป็นอย่างดี (นิรนาม,

2559)

2.2.5 การลำเลียงสารของพช


คือ โครงสร้างและการทำงานของระบบลำเลียงน้ำและอาหารของพืชซึ่งประกอบด้วยระบบท่อลำเลียง

(Vascular Tissue System) ที่เป็นเนื้อเยื่อซึ่งเชื่อมต่อกันตลอดในลำต้น โดยทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุจาก

รากส่งต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (Photo Synthesis) ก่อนจะ

นำสารหรือน้ำตาลซึ่งเป็นผลผลิตจากกระบวนการดังกล่าว ส่งต่อไปยังเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ของพืช เพื่อนำไปใช้

ในกิจกรรมอื่น ๆ ของเซลล์ เช่น การหายใจ การสืบพันธุ์ และการเคลื่อนไหว และการเจริญเติบโตต่อไป



























ภาพที่ 7 ภาพขยายของรากพช


ที่มา: Martin, (2554)


น้ำ สารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ จะถูกลำเลียงไปในรูปของสารละลาย ตั้งแต่บริเวณปลายรากหรือที่

เรียกว่า “ขนราก” (Root Hair) จำนวนมากของพืช ซึ่งดูดสารต่าง ๆ ขึ้นมาจากพื้นดินและนำส่งต่อไปยังระบบท่อ
ลำเลียงหรือกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า “มัดท่อลำเลียง” (Vascular Bundle) ที่ประกอบด้วยเนื้อเยื่อสำคัญ 2 กลุ่ม คือ


ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ หรือ “ไซเลม” (Xylem) คือ เนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุจากดิน

ผ่านรากขึ้นสู่ลำต้นไปยังใบและปลายยอดของพืช ประกอบด้วยเวสเซล (Vessel) และเทรคีด (Tracheid) ซึ่งเป็น

กลุ่มเซลล์ที่ตายแล้วเรียงต่อกัน ซึ่งจะสลายตัวไป เมื่อพืชเจริญเติบโตเต็มที่ ส่งผลให้ท่อลำเลียงหรือไซเลมมี

ลักษณะกลวงตลอดทั้งแนว โดยที่การลำเลียงน้ำและแร่ธาตุจะมีทิศทางการลำเลียงขึ้นสู่ปลายยอดของต้นไม ้

19


เท่านั้น ไม่มีการลำเลียงลงกลับด้านล่าง เป็นระบบที่อาศัยการแพร่แบบออสโมซิส (Osmosis) ตั้งแต่ในรากและ

แรงดึงตามธรรมชาติ เช่น

แรงดันราก (Root Pressure) คือ แรงดันที่ทำให้น้ำเคลื่อนที่ต่อเนื่องกันจากรากเข้าสู่ไซเลมและต่อไป

จนถึงปลายยอดของพืช เป็นแรงดันที่เกิดจากการออสโมซิสของน้ำในดิน



แรงคาพิลลารี (Capillary Force) คือ แรงดึงที่เกดจากการดึงดูดระหว่างโมเลกุลของน้ำด้วยกันเอง
(Cohesion) และแรงยึดติดของโมเลกุลน้ำกับพื้นผิวหรือผนังเซลล์ในท่อลำเลียง (Adhesion)



แรงดึงจากการคายน้ำ (Transpiration Pull) ที่ทำให้น้ำถูกดูดขึ้นไปจากราก เพื่อแทนที่ส่วนของน้ำที่พช
สูญเสียไป







































ภาพที่ 8 กระบวนการลำเลียงน้ำ


ที่มา: Martin, (2554)

20


ท่อลำเลียงอาหาร หรือ “โฟลเอม” (Phloem) คือ เนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหาร โดยเฉพาะ

“น้ำตาลกลูโคส” (Glucose) ที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงในรูปของสารละลาย นำส่งจากใบไปยัง
ส่วนต่าง ๆ ของพืชที่กำลังมีการเจริญเติบโต รวมถึงการนำไปเก็บสะสมไว้ที่ใบ รากและลำต้น การลำเลียงอาหาร

สามารถเกิดได้ในทุกทิศทาง โดยอาศย


การแพร่ (Diffusion) คือ การลำเลียงสารผ่านเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ จากเซลล์ของใบสู่เซลล์ข้างเคียงต่อกัน

เป็นทอด ๆ เป็นการกระจายอนุภาคของสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำการ

ลำเลียงแบบใช้พลังงาน (Active Transport) คือ การลำเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์จากบริเวณที่สารมีความเข้มข้น

ต่ำไปสู่บริเวณทมีความเข้มข้นสูง ซึ่งอาศัยพลังงานที่ได้จากการหายใจระดับเซลล์และโปรตีนตัวพาในการลำเลียง
ี่
การลำเลียงอาหารในโฟลเอมเกิดจากกลุ่มเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้ง ยังทำหน้าที่สร้างความแข็งแรงให้แก่ลำต้น


ของพืช การลำเลียงสารของพชมีความเกี่ยวข้องกบกระบวนการต่าง ๆ มากมาย เป็นการประสานงานกันระหว่าง

กลุ่มเนื้อเยื่อในมัดท่อลำเลียง เพื่อนำส่งน้ำ แร่ธาตุ และสารต่าง ๆ ไปยังเนื้อเยื่อเป้าหมายของพืช






















ภาพที่ 9 ความแตกต่างระหว่าง ไซเลมและโฟเอม


ที่มา: Martin, (2554)

2.2.5.1 ราก


พืชใบเลี้ยงเดี่ยว : ไซเลมเรียงตัวอยู่รอบพิธ (Pitch) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออยู่ตรงส่วนกลางของราก

ขณะที่โฟลเอมแทรกตัวอยู่ระหว่างไซเล


พืชใบเลี้ยงคู่ : ไซเลมเรียงตัวคล้ายดวงดาวหลายแฉก (2-5 แฉก) บริเวณกึ่งกลางของราก ส่วน

โฟลเอมแทรกอยู่ระหว่างไซเลม

21





















ภาพที่ 10 ภาพตัดรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่


ที่มา: (Martin, 2554)


2.2.5.2 ลำต้น


พืชใบเลี้ยงเดี่ยว : ไซเลมและโฟลเอมอยู่รวมกันอย่างกระจัดกระจายทั่วทั้งลำต้น

พืชใบเลี้ยงคู่ : ไซเลมและโฟลเอมรวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบรอบลำต้น โดยมี

โฟลเอมเรียงตัวอยู่ด้านนอกและไซเลมเรียงตัวอยู่ด้านใน มีเนื้อเยื่อแคมเบียม (Cambium)

แทรกอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างไซเลมและโฟลเอม






















ภาพที่ 11 ภาพตัดลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่


ที่มา: (Martin, 2554)

สำหรับลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่เนื้อแข็งหรือพืชที่มีอายุมาก โดยเฉพาะในกลุ่มของพืชยืนต้น กลุ่มเซลล์ตั้งแต่เนื้อเยื่อ

แคมเบียมออกไปจนถึงชั้นนอกสุด คือ ส่วนที่เรียกว่า “เปลือกไม้” ขณะที่กลุ่มเซลล์บริเวณถัดจากเนื้อเยื่อแคม

เบียมเข้ามาด้านในทั้งหมด คือ ส่วนของ “เนื้อไม้” หรือไซเลมนั่นเอง (เรณู, 2550)

บทที่ 3


วิธีการศึกษาโครงงาน




3.1 ขอบเขตของการศึกษาโครงงาน


3.1.1 ขอบเขตด้านงบประมาณ

ในการทำโครงงานเพื่อศึกษาการปลูกมอนสเตร่าในน้ำ จะมีข้อจำกัดด้านการเงิน ทำให้การหา

ตัวอย่างต้นมอนสเตอร่าไม่สามารถหาต้นที่จะนำมาทดลองในปริมาณมากได้



3.1.2 ขอบเขตด้านพื้นที่

ห้องปฏิบัติการ เป็นห้องที่ไม่สามารที่จะควบคุมสภาพอากาศ อุณหภูมิ และความดัน ได้เลย

และไม่สามารถควบคุมปริมาณแสงได้อีกด้วย



3.1.3 ขอบเขตด้านการทดลอง

1) กำหนดชนิดของพรรณไม้ที่จะนำมาทดลอง เป็นมอนสเตอร่า Monstera deliciosa

2) เวลาการดำเนินงานทดลองอยู่ในช่วงระหว่างวันที่15 สิงหาคม 64 ถึงวันที่ 20 ตุลาคม 64

3) เปรียบเทียบในขั้นตอนการทดลอง ระหว่างการปลูกในดิน กับการปลูกในน้ำ

4) โดยแบ่งการทดลอง 2 สถานที่คือบริเวณระเบียงของบ้านพัก และในห้องของนอนของผู้

ทดลอง

23


3.2 ขั้นตอนวิธีดําเนินงานศึกษาโครงงาน

3.2.1. วางแผนการการทดลอง


3.2.1.1 แบ่งตัวอย่างเป็น 2 แบบคือแบบปลูกในดินและปลูกในน้ำ


3.2.1.2 หลังจากแบ่งตัวอย่างให้นำ ตัวอย่างของแต่ละแบบ มาวางในห้องและนอกห้อง

- สภาพอากาศภายนอกห้องนั้นจะได้รับปริมาณแสงเต็มเวลา 12 ชั่วโมง แบ่งเป็นแดดในเวลาเช้า

4 ชั่วโมงตั้งแต่ 6.00 ถึง 10.00 น. เช้า สามารถรับลมได้ตลอดเวลาเนื่องจากไม่มีสิ่งก่อสร้าง

ใดๆบดบัง

- ในห้องมีสภาพอากาศแบบปิดรับแสงได้เฉพาะเวลาประมาณ 13.00 จนถึง 16.00 น. เปิดแอร์ที่

ความเย็น 25 องศาประมานวันละ 7 ชั่วโมง เปิดไฟตั้งแต่เวลา 15.00 ถึง 1.00 น.

3.2.1.3 จัดเก็บข้อมูล จนถึงวันสรุปผล


3.2.1.4 เตรียมอุปกรณ์และตัวอย่างการทดลองต่าง ๆ


3.2.2 ความพร้อมเรื่องสถานที่ และอุปกรณ์ต่าง ๆ


1) ภายนอก ที่โดนแดดและสภาพอากาศภายนอก

































ภาพที่ 12 สถานที่ทดลองนอกห้อง
ที่มา: จากการศึกษา (2564)

24



2) ภายในห้อง ที่มการควบคุมแสงแดด และสัมผัสกับสภาพอากาศแค่ภายในห้องเท่านั้น































ภาพที่ 13 สถานที่ทดลอง นอกห้อง

ที่มา: จากการศึกษา (2564)

3) จัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมสำหรับการทดลอง

























ภาพที่ 14 อปกรณ์การวัดที่ได้มาตรฐาน และสมุดจดบันทึก

ที่มา: จากการศึกษา (2564)



4) นำน้ำมาต้มเพื่อกำจัดแบคทีเรีย และเชื้อโรคต่าง ๆ และใส่ในภาชนะเพื่อเตรียมปลูก

25































ภาพที่ 15 monstera deliciosa ที่พึ่งส่งมาถึงเตรียมพร้อมปลูก


ที่มา: จากการศึกษา (2564)




























ภาพที่ 16 monstera deliciosa

ที่มา: จากการศึกษา (2564)

26


5) เตรียมดินและกระถางเพื่อปลูกในรูปแบบปกติ































ภาพที่ 17 การทำความสะอาดวัสดุปลูกต่างๆ ด้วยแอลกอฮอลล์และน้ำร้อน

ที่มา: จากการศึกษา (2564)

6) เตรียมดินและกระถางเพื่อปลูกในรูปแบบปกติ

























ภาพที่ 18 อปกรณ์การปลูกและดินที่ผสมแล้ว

ที่มา: จากการศึกษา (2564)

7) จัดเก็บข้อมูลการเลือกลักษณะของต้น จนถึงการปลูกทั้ง 2 แบบ



8) นำต้นไม้ที่เลือกมาจัดใส่ในกระถางในรูปแบบปกติ และในแบบที่มแต่น้ำอย่างละ 3 ต้น

27
























ต้นที่ 1 ต้นที่ 2 ต้นที่ 3

ภาพที่ 19 ภาพที่ 20 ภาพที่ 21





















ต้นที่ 4 ต้นที่ 5 ต้นที่ 6

ภาพที่ 22 ภาพที่ 23 ภาพที่ 24

ที่มา: จากการศึกษา (2564)


9) จัดเก็บข้อมูล ในระหว่างการเจริญเติบโตจนถึงวันสรุปผลการทดลอง


10) สังเคราะห์ข้อมูลการทดลอง


11) สรุปผลการทดลอง

28



3.3 วสดุอุปกรณ์ เครื่องมอที่ใช้


3.3.1 วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมอที่ใช้ในภาคสนาม หรือ ห้องปฏิบัติการ
1) ขวด 1) ดินปลูก



2) กระถาง 2) ขุยมะพร้าว



3) ซ้อมพรวนดิน 3) ถุงมอ

4) กะละมัง 4) ห้องปฏิบัติการ



5) ถุงดำ


6) ผ้าทำความสะอาด


7) กาน้ำร้อน


8) แอลกอฮอล์


3.3.2 วัสดุอุปกรณ์สำนักงาน


1) คอมพิวเตอร์


2) โทรศัพท์มือถือ

บทที่ 4

ผลการศึกษาและการอภิปรายผล




การศึกษาโครงงานวิชาชีพภูมิทัศน์เรื่อง การปลูกมอนสเตร่าในน้ำ เพื่อ ทดสอบว่าการปลูกมอนสเตร่าใน

น้ำนั้นมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการปลูกในดิน ตามสมมุติฐานที่ว่า เมื่อการปลูกผักไฮโดรโพนิค ยังสามารถทำ

ให้ผักเจริญเติบโตจากการให้น้ำและปุ๋ยโดยปราศจากดิน การปลูกพืชพรรณไม้ใบประดับเช่น มอนสเตร่านั้นก็อาจ

สามารถทำได้ มีรายละเอียด ดังนี้


4.1 ผลการศึกษา

ในแต่ละต้นนั้นมีการให้ปุ๋ย ออสโมโคส สูตรละลายช้ามากับต้นกล้าในแต่ละกระถาง แต่ก่อนจะทำการ

ทดลองได้ทำการคัดเอาปุ๋ยในแต่ละกระถางออก และทำความสะอาดรากของต้นกล้าทุกๆต้น ก่อนนำไปปลูกใหม่

ทั้งในแบบน้ำและแบบปลูกปกติ เพื่อความเท่าเทียมใน 2 รูปแบบ นอกจากนี้ มีการรดน้ำก่อนที่จะทำการดำเนิด

การปลูกในทุกๆต้น โดยจะทำการเก็บข้อมูลทุกๆ 7 วันเรียกการเก็บข้อมูลในแต่ละครั้งว่า 1 สัปดาห์


ี่
จากการทดลองทได้มาในระยะเวลา 15 สิงหาคม ถึง 19 ตุลาคม 2564 มีรายละเอียดการทดลองดังนี้

ก่อนปลูก























ภาพที่ 25 ต้นที่ 1 ภาพที่ 26 ต้นที่ 2 ภาพที่ 27 ต้นที่ 3

ความยาวรากจนถึงใบ 29.7 ความยาวรากจนถึงใบ 21.5 ความยาวรากจนถึงใบ 28.5
เซนติเมตร ราก 11.5 เซนติเมตร เซนติเมตร ราก 10 เซนติเมตร เซนติเมตร ราก 14 เซนติเมตร

ก้านใบ 18.2 เซนติเมตร ก้านใบ 10.5 เซนติเมตร ก้านใบ 14.5 เซนติเมตร

30























ต้นที่ 4 ต้นที่ 5 ต้นที่ 6

ภาพที่ 28 ความยาวรากจนถึงใบ ภาพที่ 29 ความยาวรากจนถึงใบ ภาพที่ 30 ความยาวรากจนถึงใบ
49.5 เซนติเมตร ราก 31.8 36 เซนติเมตร ราก 20.5 28.2 เซนติเมตร ราก 17

เซนติเมตร ก้านใบ 17.7 เซนติเมตร ก้านใบ 15.5 เซนติเมตร ก้านใบ 11.2

เซนติเมตร เซนติเมตร เซนติเมตร
ที่มา: จากการศึกษา (2564)





ส่วนของสภาพอากาศภายนอกห้องนั้นจะได้รับปริมาณแสงเต็มเวลา 12 ชั่วโมง แบ่งเป็นแดดในเวลาเช้า

5 ชั่วโมงตั้งแต่ 6.00 ถึง 11.00 น. เช้า นอกเวลาดังกล่าวจะเป็นแดดรำไร สามารถรับลมได้ตลอดเวลาเนื่องจาก

ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆบดบัง

ในห้องมีสภาพอากาศแบบปิดรับแสงได้เฉพาะเวลาประมาณ 13.00 จนถึง 16.00 น. เปิดแอร์ที่ความเย็น 25

องศาประมานวันละ 7 ชั่วโมง


***หมายเหตุ***


ต้นหมายเลข 5 ในช่วงประมานวันที่ 25 กันยายน มีอาการใบเหี่ยวอย่างมาก จนกระทั่งเมื่อนำมา

ตรวจสอบก็พบว่ารากของต้นที่ 5 นั้นเน่าเปื่อย จึงนำเอาตัวทดลองต้นที่ 5 นั้นออกจากการเก็บข้อมูล

31




































ภาพที่ 31 ต้นหมายเลข 5 ที่เริ่มเหี่ยว


ที่มา: จากการศึกษา (2564)


































ภาพที่ 32 ภาพรากที่เน่าเปื่อย

ที่มา: จากการศึกษา (2564)

32


ในแต่ละต้นนั้นมีการให้ปุ๋ย ออสโมโคส สูตรละลายช้ามากับต้นกล้าในแต่ละกระถาง แต่ก่อนจะทำการ

ทดลองได้ทำการคัดเอาปุ๋ยในแต่ละกระถางออก และทำความสะอาดรากของต้นกล้าทุกๆต้น ก่อนนำไปปลูกใหม่
ทั้งในแบบน้ำและแบบปลูกปกติ เพื่อความเท่าเทียมใน 2 รูปแบบ นอกจากนี้ มีการรดน้ำก่อนที่จะทำการดำเนิด

การปลูกในทุกๆต้น โดยจะทำการเก็บข้อมูลทุกๆ 7 วันเรียกการเก็บข้อมูลในแต่ละครั้งว่า 1 สัปดาห์ และทำการ

แบ่งสถานที่ปลูก 2 สถานที่ คือ บริเวณระเบียงบ้านของผู้ทดลอง เพื่อให้ตัวทดลองได้รับแสงและสภาพอากาศ

ธรรมชาติ และ ในห้องนอนเพื่อให้ตัวทดลองรับอากาศและแสงที่แตกต่างจาก อีกแห่ง


1) ระหว่างวันที่ 15 - 21 สิงหาคม


สัปดาห์ที่ 1 รดน้ำให้ต้นที่ปลูกในดินในปริมาณ 280 มิลลิลิตร นำแต่ละต้นมาวัดความสูง




ในห้อง : เวลาการรับแสงเต็มที่ สภาพอากาศ : มีเมฆเป็น ความชื้นเฉลี่ย : 65 %
ประมาณ : 20 ชั่วโมง ส่วนมาก



นอกห้อง : เวลาการรับแสง อุณหภูมิเฉลี่ย : 28 องศา
เต็มที่ประมาณ : 33 ชั่วโมง




ต้นที่ จำนวนใบ ความสูง การเติบโตของใบ (เซนติเมตร)

(ใบ) (วัดตั้งแต่โคน
ต้นจนถึงปลาย ใบที่ 1 ใบที่ 2 ใบที่ 3 ใบที่ 4

ใบรวบ) กว้าง x ยาว
(เซนติเมตร)

1 3 15.3 2.8 x 5 5 x 8 2.3 x 3.4 -

2 3 10.4 3.7 x 6 5.2 x 8 3.3 x 4.6 -

3 2 14.5 2.9 x 5.5 8.2 x 4.2 - -
4 4 17.7 3 x 4.6 5 x 7.6 6.5 x 10 3.5 x 4

6 3 11.2 3.3 x 5 3.5 x 5 3.8 x 4.7 -




ตารางที่ 1 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 1


ที่มา: จากการศึกษา (2564)

33





ระหว่างวันที่ 22 - 28 สิงหาคม

สัปดาห์ที่ 2 รดน้ำให้ต้นที่ปลูกในดินในปริมาณ 280 มิลลิลิตรก่อนทำการวัด




ในห้อง : เวลาการรับแสงเต็มที่ สภาพอากาศ : มีเมฆเป็น ความชื้นเฉลี่ย : 70 %

ประมาณ : 20 ชั่วโมง ส่วนมาก ฝนตกเล็กน้อย


นอกห้อง : เวลาการรับแสง อุณหภูมิเฉลี่ย : 27 องศา

เต็มที่ประมาณ : 34 ชั่วโมง



ต้นที่ จำนวนใบ ความสูง การเติบโตของใบ (เซนติเมตร)

(ใบ) (วัดตั้งแต่โคน

ต้นจนถึงปลาย ใบที่ 1 ใบที่ 2 ใบที่ 3 ใบที่ 4
ใบรวบ) กว้าง x ยาว

(เซนติเมตร)

1 3 15.5 2.8 x 5 5 x 8.3 2.3 x 3.6 -
2 3 10.5 3.8 x 6.1 5.3 x 8 3.3 x 4.6 -

3 2 14.5 3 x 5.5 4.2 x 8.2 - -

4 4 17.7 3.5 x 5 5 x 7.7 6.5 x 10 3.5 x 4.7
6 3 11.2 3.5 x 5.4 3.7 x 5.7 4 x 5 -





ตารางที่ 2 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 2

ที่มา: จากการศึกษา (2564)

34


2) ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม ถึง 4 กันยายน


สัปดาห์ที่ 3 รดน้ำให้ต้นที่ปลูกในดินในปริมาณ 280 มิลลิลิตรก่อนทำการวัด




ในห้อง : เวลาการรับแสงเต็มที่ สภาพอากาศ : มีเมฆเป็น ความชื้นเฉลี่ย : 65 %
ประมาณ : 20 ชั่วโมง ส่วนมาก ฝนตกเล็กน้อย



นอกห้อง : เวลาการรับแสง อุณหภูมิเฉลี่ย : 27 องศา
เต็มที่ประมาณ : 34 ชั่วโมง




ต้นที่ จำนวนใบ ความสูง การเติบโตของใบ (เซนติเมตร)

(ใบ) (วัดตั้งแต่โคน
ต้นจนถึงปลาย ใบที่ 1 ใบที่ 2 ใบที่ 3 ใบที่ 4

ใบรวบ) กว้าง x ยาว
(เซนติเมตร)

1 3 15.5 2.9 x 5.1 5 x 8.3 2.3 x 3.7 -

2 3 10.7 3.9 x 6.1 5.3 x 8.1 3.3 x 4.7 -

3 2 14.5 3 x 5.6 4.3 x 8.2 8.5x2 -
4 4 19 3.5 x 5 5 x 7.7 6.5 x 10 3.5 x 4.7

6 3 11.7 3.5 x 5.4 3.7 x 5.7 4 x 5 -




ตารางที่ 3 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 3


ที่มา: จากการศึกษา (2564)

35


3) ระหว่างวันที่ 5 – 11 กันยายน


สัปดาห์ที่ 4 รดน้ำให้ต้นที่ปลูกในดินในปริมาณ 280 มิลลิลิตรก่อนทำการวัด




ในห้อง : เวลาการรับแสงเต็มที่ สภาพอากาศ : มีเมฆเป็น ความชื้นเฉลี่ย : 68 %
ประมาณ : 19 ชั่วโมง ส่วนมาก และมพายุฝนฟ้า

คะนอง


นอกห้อง : เวลาการรับแสง อุณหภูมิเฉลี่ย : 27 องศา

เต็มที่ประมาณ : 33 ชั่วโมง



ต้นที่ จำนวนใบ ความสูง การเติบโตของใบ (เซนติเมตร)

(ใบ) (วัดตั้งแต่โคน
ต้นจนถึงปลาย ใบที่ 1 ใบที่ 2 ใบที่ 3 ใบที่ 4

ใบรวบ) กว้าง x ยาว

(เซนติเมตร)
1 3 15.7 2.9 x 5.1 5 x 8.3 2.8 x 4 -

2 3 12 3.9 x 6.1 5.3 x 8.1 3.3 x 4.7 -

3 2 18 3 x 5.6 4.6 x 8.8 8.5x2 -

4 4 22.3 3x4.6 5x7.6 6.5x10.2 3.8 x 5

6 3 16 3.5 x 5.4 3.7 x 5.7 4 x 5.2 -




ตารางที่ 4 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 4

ที่มา: จากการศึกษา (2564)

36


4) ระหว่างวันที่ 12 – 18 กันยายน


สัปดาห์ที่ 5 รดน้ำให้ต้นที่ปลูกในดินในปริมาณ 280 มิลลิลิตรก่อนทำการวัด




ในห้อง : เวลาการรับแสงเต็มที่ สภาพอากาศ : มีเมฆเป็น ความชื้นเฉลี่ย : 70 %
ประมาณ : 19 ชั่วโมง ส่วนมาก และมพายุฝนฟ้า

คะนอง


นอกห้อง : เวลาการรับแสง อุณหภูมิเฉลี่ย : 27.5 องศา

เต็มที่ประมาณ : 33 ชั่วโมง



ต้นที่ จำนวนใบ ความสูง การเติบโตของใบ (เซนติเมตร)

(ใบ) (วัดตั้งแต่โคน
ต้นจนถึงปลาย ใบที่ 1 ใบที่ 2 ใบที่ 3 ใบที่ 4

ใบรวบ) กว้าง x ยาว

(เซนติเมตร)
1 3 15.7 2.9 x 5.1 5.3 x 8.4 3.1 x 4.4 -

2 3 12 3.9 x 6.1 5.3 x 8.1 3.3 x 4.7 -

3 2 18 3 x 5.6 4.8 x 9 8.5x2 -

4 4 22.3 3.2x4.6 5x7.6 6.5 x 10.4 4.2 x 5.2

6 3 16 3.5 x 5.4 3.7 x 5.7 4 x 5.3 -




ตารางที่ 5 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 5

ที่มา: จากการศึกษา (2564)

37


5) ระหว่างวันที่ 19 - 25 กันยายน


สัปดาห์ที่ 6 รดน้ำให้ต้นที่ปลูกในดินในปริมาณ 280 มิลลิลิตรก่อนทำการวัด




ในห้อง : เวลาการรับแสงเต็มที่ สภาพอากาศ : มีเมฆเป็น ความชื้นเฉลี่ย : 75 %
ประมาณ : 19 ชั่วโมง ส่วนมาก และมพายุฝนฟ้า

คะนองหนาแน่น


นอกห้อง : เวลาการรับแสง อุณหภูมิเฉลี่ย : 26.5 องศา

เต็มที่ประมาณ : 33 ชั่วโมง



ต้นที่ จำนวนใบ ความสูง การเติบโตของใบ (เซนติเมตร)

(ใบ) (วัดตั้งแต่โคน
ต้นจนถึงปลาย ใบที่ 1 ใบที่ 2 ใบที่ 3 ใบที่ 4

ใบรวบ) กว้าง x ยาว

(เซนติเมตร)
1 3 15.7 3 x 5.1 5.7 x 8.7 3.6 x 5 -

2 3 12 3.9 x 6.1 5.3 x 8.1 3.3 x 4.7 -

3 2 18 3 x 5.6 5 x 9.3 8.5x2 -

4 5 22.3 3.2 x 4.7 5 x7.6 6.5 x 10.6 4.5 x 5.8

6 3 16 3.5 x 5.4 3.7 x 5.7 4 x 5.3 -




ตารางที่ 6 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 6

ที่มา: จากการศึกษา (2564)

38


6) ระหว่างวันที่ 26 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม


สัปดาห์ที่ 7 รดน้ำให้ต้นที่ปลูกในดินในปริมาณ 280 มิลลิลิตรก่อนทำการวัด




ในห้อง : เวลาการรับแสงเต็มที่ สภาพอากาศ : มีเมฆเป็น ความชื้นเฉลี่ย : 78 %

ประมาณ : 19 ชั่วโมง ส่วนมาก และมพายุฝนฟ้า
คะนองเล็กน้อย


นอกห้อง : เวลาการรับแสง อุณหภูมิเฉลี่ย : 27 องศา

เต็มที่ประมาณ : 33 ชั่วโมง



ต้นที่ จำนวนใบ ความสูง การเติบโตของใบ (เซนติเมตร)

(ใบ) (วัดตั้งแต่โคน
ต้นจนถึงปลาย ใบที่ 1 ใบที่ 2 ใบที่ 3 ใบที่ 4

ใบรวบ) กว้าง x ยาว

(เซนติเมตร)
1 3 15.7 3 x 5.2 5.9 x 8.9 4 x 6 -

2 3 12 4 x 6.2 5.4 x 8.2 3.4 x 4.8 -

3 2 18 3 x 5.6 5.2 x 9.6 8.5x2 -

4 5 22.3 3.4 x 4.8 5 x 7.7 6.5 x 10.8 5 x 6.2

6 3 16 3.5 x 5.4 3.7 x 5.8 4 x 5.4 -




ตารางที่ 7 การเก็บขอมูลในสัปดาห์ที่ 7

ที่มา: จากการศึกษา (2564)


Click to View FlipBook Version