The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือทำวัตร-สวดมนต์ พระเทพภาวนาวิกรม วิ. หลวงปู่บุญมา ปุญฺญาภิรโต ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 วัดปราสาทดิน อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ขวัญชัย คําทา, 2023-05-23 11:00:21

คู่มือทำวัตร-สวดมนต์ พระเทพภาวนาวิกรม วิ. (บุญมา ปุญฺญาภิรโต)

คู่มือทำวัตร-สวดมนต์ พระเทพภาวนาวิกรม วิ. หลวงปู่บุญมา ปุญฺญาภิรโต ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 วัดปราสาทดิน อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ

Keywords: คู่มือทำวัตร-สวดมนต์,สวดมนต์,หลวงปูผาเกิ้ง,พระเทพภาวนาวิกรม วิ,บุญมา ปุญฺญาภิรโต

๙๑ นี่เป็ นการเĀ ็ นพระไตรลักþณ์แบบคิดเĀ ็ น เĀ ็ นพระไตรลักþณ์แบบคิดเĀ ็ นเป็ น การเĀ ็ นÿมมติบัญญัติยังเป็ นการเĀ ็ นผิดเพี้ยน Āลักการปฏิบัติร้Ăยละร้ĂยเปĂร์เซนต์ เขาเข้าใจกันĂย่างนี้เพราะไม่ได้ปฏิบัติถูกต้Ăง มันก ็ เลยเป็ นการเĀ ็ นผิดเพี้ยน พระพุทธĂงค์มีพุทธประÿงค์จะใĀ้เĀ ็ นพระไตรลักþณ์แบบการเĀ ็ นปรมัตถ์เĀ ็ น พระไตรลักþณ์แบบการเĀ ็ นปรมัตถ์นี้จะÿามารถขูดกิเลÿตัณĀาได้คืĂการตั้งÿติ กําĀนดรู้ปัจจุบันĀรืĂกําĀนดรู้ÿิ่งที่มันเป็ นจริงในปัจจุบัน ในทุก ๆ ขณะ เช่นเดิน จงกรมทุกüัน นั่งÿมาธิกําĀนดรู้ลมĀายใจเข้า ĀายใจĂĂก ทั้งĂิริยาบถใĀญ่Ăิริยาบถ ย่Ăยดังกล่าüมาข้างต้น จึงจะชื่Ăü่าเĀ ็ นพระไตรลักþณ์แบบปรมัตถ์เป็ นการเĀ ็ นถูก ตามพระประÿงค์Ăย่างแท้จริง ตรงกับคําเทýนาขĂงพระพุทธĂงค์ที่ü่า โย ธัมมัง ปัÿÿติโÿมัง ปัÿÿติ ผู้ใดเĀ ็ นธรรม ผู้นั้นชื่อü่าได้เĀ ็ นเรา ตถาคต การเĀ ็ นธรรม และการได้เĀ ็ นพระพุทธเจ้า ก ็ คือ มีÿติรู้ทันĀรือกําĀนดรู้ทัน ÿิ่งที่มันเป็ นจริงในปัจจุบัน จ้า


๙๒ เรื่องการละÿังโยชน์ของพระอริยะ ๑๐ ประการ เรื่Ăงการละÿังโยชน์ขĂงพระĂริยะ พระĂริยบุคคล ละÿังโยชน์ พระโÿดาบันละÿังโยชน์๓ ข้Ă ๑. ÿักกายะทิฏฐิคืĂ ละการยึดติด การมĂมเมาปรนปรืĂ ด้üยการกินÿบาย การ นĂนÿบาย การĂยู่ÿุขÿบายในที่ĀรูĀรา เฟĂร์นิเจĂร์ĀรูĀราใĀญ่โตโĂ่Ă่า ซึ่งแÿดงในพระปฐมเทýนาĀรืĂเทýน์กัณฑ์แรกโปรดพระปัญจüัคคีย์พร้Ăม เĀล่าทüยเทพยดาทั่üÿากลจักรüาลü่า โย จายัง กาเมÿุกามÿุขลลิกานุโยโค Āีโน คมฺ โม โปถุช̣ชนิโก Ăนริโย Ăนตฺ̣ถÿญฺ̣Āิโต ซึ่งแปลü่า การมĂมเมาปรนปรืĂด้üยการกินÿบาย การนĂนÿบาย การĂยู่ÿุข ÿบาย ในที่ĀรูĀรา มีเฟĂร์นิเจĂร์ĀรูĀราใĀญ่โตโĂ่Ă่า รüมทั้งมĂมเมาปรนปรืĂด้üย เรื่ĂงĂบายมุข เป็ นทาÿÿุรายาเÿพย์ติด เป็ นทาÿการพนัน ชายเÿน่ĀาĀญิง Āญิง เÿน่Āาชาย Āลงระเริง เÿพÿุข ÿนุกเมามันในÿถานเริงรมย์แบบบ้าตัณĀาด้üย Āีโน เป็ นธรรมĂันเลü ยินดีมีชีüิตĂยู่Ăย่างนั้นชื่Ăü่ายินดีเÿพธรรมĂันเลü การยินดีเÿพ การ ยินดีเÿพธรรมĂันเลü คัมโม เป็ นเรื่ĂงขĂงชาüบ้าน ผู้เขามีครĂบมีครัüมีผัüมีเมีย โป ถุชชนิโก เป็ นเรื่ĂงขĂงผู้มีกิเลÿĀนาปัญญาโฉด Ăนริโย มิใช่เรื่ĂงขĂงพระĂริยะผู้มีชีüิต Ăยู่Ăย่างประเÿริฐ ĂนัตถÿัญĀิโต ไม่มีประโยชน์Ăันใดเลย พ่ĂพาĂยู่พากินพานĂนพา ปฏิบัติĂย่างพระĂริยะ พระĂรĀันต์พระพุทธเจ้า ลดละเลิกจากการมĂมเมาปรนปรืĂ นี่แĀละเป็ นคําตĂบที่ข้Ăงคาใจลูก ๆทุกคน ปัญĀาข้Ăงใจคาใจลูก ๆ ก ็ คืĂลูก ๆ ผ่านโค ตรฺ ̣ภูญาณĀรืĂญาณข้ามโคตร จากโคตรปุถุชนผู้Āนาด้üยกิเลÿเป็ นโคตรĂริยะผู้มีชีüิต Ăยู่Ăย่างประเÿริฐ


๙๓ ถ้าเราไม่ติดใจĀรืĂยินดีกับการมĂมเมาปรนปรืĂกิเลÿตัณĀาด้üยการกินÿบาย ด้üยการนĂนÿบาย ด้üยการĂยู่ÿุขÿบายในที่ĀรูĀรา เฟĂร์นิเจĂร์ĀรูๆใĀญ่โตโĂ่Ă่า คืĂ ไม่ยึดติดกับการมีชีüิตĂย่างชาüบ้านที่ชĂบมĂมเมาปรนปรืĂกิเลÿตัณĀา ฝึกĀัดเป็ นĂยู่ Ăย่างพระĂริยะ พระĂรĀันต์พระพุทธเจ้าแล้ü ลูกก ็ใกล้กับท่านคืĂข้ามโคตรฺปุถุชนเข้า โคตรฺĂริยะ จ้า ๒. üิจิกิจฉา คืĂละคüามÿงÿัยลังเล คืĂไม่ÿงÿัยลังเลในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระÿงฆ์มีýรัทธาแน่üแน่มั่นคง ü่าปฏิบัติตามแล้üÿามารถรักþาภูมิจิตภูมิธรรม ใĀ้ประเÿริฐÿูงÿุดได้จริง ๆ และพ้นทุกข์ได้จริง ๆ ด้üย ๓. ละÿีลพตปรามาÿ คืĂการประพฤติปฏิบัติที่ผิดๆ ยึดถืĂผิดๆ เช่นประเพณี บüงÿรüงที่ผิดýีลผิดธรรม เĂาĀัüĀมูเĂาเป็ ด เĂาไก่เĂาÿุรามาไĀü้ผีไĀü้เจ้า ไĀü้ üิญญาณพ่Ăแม่ซึ่งต่างคนต่างก ็ เจตนาดีคิดü่าดีคิดü่าถูก ก ็ ทําตามๆกัน Āารู้ไม่ü่า ผลาญชีüิตÿัตü์แต่ละครั้งแต่ละปีมาก Āลายร้ĂยĀลายพันĀลายĀมื่นĀลายแÿนĀลาย ล้าน เป็ นการเĂาบาปใĀ้ตัü เĂาบาปใĀ้พ่ĂใĀ้แม่ท่านจะชĂกช้ําระกําใจขนาดไĀน ไม่คิด ที่แท้คนไĀü้ชĂบĀัüĀมูชĂบไก่ชĂบเป็ ด คืĂชĂบกินĀมูกินเป็ ด กินไก่ชĂบกิน เĀล้าต่างĀาก จึงÿรรĀาแต่ขĂงที่ตัüเĂงชĂบ บางทีนําไปüางไü้ĀรืĂüางไĀü้ยังไม่เท่าไร พüกผีที่ชĂบกิน ล้างมืĂü่าลงมืĂกิน ก ็ รีบชิงยกĀนีก่Ăน Ăย่างนี้ก ็ มีเพราะคนไĀü้ทนĀิü ทนน้ําลายไĀลขĂงตัüเĂงไม่ไĀü ลาเĂาไปก่Ăน เทพĀรืĂüิญญาณที่ชĂบรÿนิยมก ็ บ่น กู ยังล้างมืĂไม่เÿร ็ จเลย มันชิงยกĀนีไปกินก่Ăนกูแล้ü Ăย่างนี้ก ็ มี ประเพณีĂย่างนี้เรียกü่าประเพณีตีงูใĀ้ĀลังĀัก เพราะเป็ นประเพณีÿร้างบาป ดังกล่าüมา เรียกÿีลพตปรามาÿ คืĂลูบ ๆ คลํา ๆ ÿิ่งผิด ๆ มีĀลายĂย่างในĂินเดีย เĂา ÿัตü์เป็ น ๆ ĀรืĂคนเป็ น ๆ มาเชืĂดใĀ้เลืĂดไĀลปากพระแม่กาลีĀรืĂก่ĂกĂงไฟรĂบ ๆ ตัü เข้าใจü่าย่างกิเลÿเผากิเลÿ ประเพณีเĀล่านี้พระĂริยะ โÿดาบันละเลิกทิ้งได้


๙๔ พระĂริยะประเภทที่๒ คืĂพระÿกทาคามีพระÿกทาคามีพระĂริยบุคคล ประเภทที่๒ ก ็ ละÿังโยชน์ได้๓ เท่ากัน เมื่Ăตั้งใจปฏิบัติฝึกĀัดÿัมผัÿเÿพคุ้นกับการ เจริญÿติได้Ăย่างต่Ăเนื่Ăง จิตจะละเĂียดยิ่งขึ้น ÿภาüะทางจิตจะÿํารĂกคüามรู้ÿึกนึก คิดต่าง ๆ ĂันเกิดจากĂํานาจคüามโลภ คüามĀลง คüามโกรธเกลียด เคียดแค้น ตลĂด ถึงคüามรู้ÿึกĂันเกิดจากราคะ โทÿะ โมĀะ ก ็ จะค่Ăยทุเลาเบาบาง คüามรู้ÿึกนึกคิด Āยาบ ๆ ต่ํา ๆ ก ็ จะค่Ăยจืดค่Ăยจาง ค่Ăยüางค่ĂยคลายĂĂกไป ค่ĂยĀลุดค่Ăยล่üง ĂĂกไปทีละĂย่างÿĂงĂย่าง แต่ท่านก ็ ระบุไü้ÿําĀรับพระÿกทาคามีประเภทที่ÿĂง แม้จะละÿังโยชน์ได้๓ เท่ากัน แต่พูดü่าราคะ โทÿะ โมĀะ บางลงมากกü่าพระโÿดาบันครึ่งต่อครึ่ง พระĂริยะประเภทที่๓ คืĂ พระĂนาคามีพระĂนาคามีท่านü่าละÿังโยชน์ได้ ๕ คืĂ ÿักกยาทิฏฐิüิจิกิจฉา ÿีลพตปรามาÿ Ăันที่๔ คืĂ ละกามะราคะ กําĀนัดใน กามคุณ ปฏิฆะคืĂละคüามโกรธ เกลียด เคียดแค้น ชิงชัง และละคüามĀลงไĀล ติดจม กับกามคุณคืĂรูป เÿียง กลิ่น รÿ โผฏฐัพพะ พระĂริยะประเภทที่๔ คืĂ พระĂรĀันต์ละÿังโยชน์ได้ครบ ๑๐ คืĂ ÿักกยา ทิฏฐิüิจิกิจฉา ÿีลพตปรามาÿ กามราคะ ปฏิฆะ มานะ Ăุทธัจจะ Ăüิชชา มานะก ็ คืĂละคüามรู้ÿึกĂĀังการ Ăัÿมิมานะ จĂงĀĂง Ăüดดีไม่ยĂมคน ใคร ๆ ก ็ไม่เก่งไม่ดีไม่เด่นเท่าตัüเรา เราดีคนเดียü ไม่ยĂมรับü่าคนĂื่นดีเท่าตัüĀรืĂเÿมĂตัü Ăุทธัจจะ คüามฟุ้งซ่าน ĀงุดĀงิด งุ่นง่าน รําคาญ เกิดขึ้นก ็ ÿามารถละได้และ ÿุดท้าย ละĂüิชชา ข้Ăที่๑๐ คําü่าĂüิชชาตัüนี้จะแปลตามĀลักก ็ มักแปลü่าไม่รู้ถ้าแปลü่าไม่รู้ก ็ ยัง ผิดเพี้ยนจากพุทธประÿงค์ถ้าĂยากใĀ้ถูกพุทธประÿงค์ก ็ แปลü่า รู้เĀมืĂนกันแต่รู้ไม่ จริง รู้นั้นรู้Ăยู่แต่ในÿํานüนชาüบ้าน ชาüบ้านĂ่านได้จําได้ท่Ăงได้คิดทะลุปรุโปร่งได้ แต่พูดตามÿํานüนพระพุทธเจ้า รู้ได้Ă่านได้จําได้ท่Ăงได้นั้น ก ็ ยังจัดü่ารู้ไม่จริง เพราะยัง


๙๕ ใช้ประโยชน์ไม่ได้ถูกต้Ăงตามเป็ นจริง เช่น รู้ตัüĀนังÿืĂ ท่ĂงตัüĀนังÿืĂ จําตัüĀนังÿืĂ ที่ü่า ไฟร้Ăน ÿระไĂ ไม้มะไล ฟ.ฟัน ร.เรืĂ Ă.Ă่าง น.ĀนูĂ่านü่าไฟร้Ăน แต่Ă่านไปจน ตาย ท่Ăงไปจนตาย คิดไปจนตายก ็ ยังไม่รู้ร้Ăน ตายĂีกเกิดĂีกก ็ไม่รู้ร้ĂนเĀมืĂนเดิม ถ้า ติดการĂ่าน การท่Ăง การจํา การคิดĂย่างเดียüไม่ได้ปฏิบัติถ้าปฏิบัติง่ายนิดเดียü ปฏิบัติก ็ คืĂÿัมผัÿดูทั้งกายทั้งใจ จะรู้ü่าร้Ăนมันเป็ นĂย่างนี้เจ ็ บ ปüด แÿบ ร้Ăน น่า กลัü จะได้ระüังตัü เกิดคüามกลัü ไม่กล้าไปเĀยียบ ไม่กล้าไปแตะ การเกิดคüามกลัü ไม่กล้าเข้าใกล้นี้แĀละ พระพุทธĂงค์จึงü่ารู้จริง รู้จริงĂĂกมา จากคําüิชชา รู้ไม่จริงแปลจากคําü่าĂüิชชา ĂüิชชาĂธิบายมาเÿียยืดยาüเพื่ĂใĀ้รู้ü่า พระอริยะ พระอรĀันต์พระพุทธเจ้า ท่านรู้จริง จะได้ประโยชน์จากการรู้จริงได้ก ็ คือล้างกิเลÿออกจากจิตÿันดาน ใĀ้มีภูมิจิตภูมิธรรมบริÿุทธิ์ พระเทüทัตคู่ĂริตามĀ้ําตามĀั่นพระพุทธเจ้าก ็ไม่ใช่คนโง่พระเทüทัตรู้ทุกĂย่าง เทýน์ได้ฉะฉาน แต่เพราะรู้ไม่จริง จึงล้างกิเลÿĂันเกิดจากคüามโลภ คüามโกรธ เกลียดแค้น ตลĂดถึงคüามĀลงผิด เพราะรู้ไม่จริงจึงล้างกิเลÿไม่ได้เĀมืĂนคนท่Ăงจํา ü่าไฟร้Ăน แค่รู้ü่าไฟร้ĂนคืĂĂะไร จึงไม่กลัüไฟ คนไม่ร ู ้ พิþÿงของกิเลÿ คüามโลภ คüามĀลง คüามโกรธเกล ี ยดเค ี ยด แค ้ น จะตามเผาผลาญภพภ ู มิต่อ ๆ ไป จ ึ งไม่กลัü แบกกิเลÿ นอนกอด กิเลÿ ไม่ฝึ ก ไม่Āัด ไม่ลด ไม่ละ ไม่เลิก เĀม ื อนคนนอนกอดไฟ


๙๖ พยายามด ู ใĀ ้ ด ี อ่านใĀ ้ ชัดเจน ใĀ ้ เข ้ าใจ พิจารณาใĀ ้ ด ี จะเกิด คüามคิดคüามเĀ ็ นถ ู กต ้ อง แต่อย่าล ื ม ÿติกําĀนดร ู ้ ทุกÿภาüะ ทุก อิริยาบถน ้ อยใĀญ่จะเป็ นคําตอบคําถามทุกอย่าง คนอ ื่นตอบ ยัง เĀ ็ นคําตอบลมๆแล ้ งๆเพ ้ อๆฝันๆ เĀม ื อนคนตาบอด ไม่เคยเĀ ็ น แÿงÿ ี ขาü ÿ ี แดง อธิบายยังไงมันก ็ไม่เĀ ็ น เพราะตาบอด ไม่เคย เĀ ็ น ต ้ องปฏิบัติĀร ื อÿติกําĀนดร ู ้ อย่างเด ี ยü จ ึ งจะตอบได ้ ทุกอย่าง พ่Ăมีเüลาแค่นี้


๙๗ ๑. พ่อเขียนตอบไปĀมดทุกอย่างแล้üในข้อคüามข้างต้น ๒ Āน้า ลูกยังเข้าใจผิด อยู่เองเพราะยังไม่ได้ปฏิบัติต่อเนื่องĀรือมิได้มีเüลาปฏิบัติต่อเนื่องĀรือÿม่่าเÿมอ ก ็ คือพ่อบอกĀรือเขียนบอกü่า ตั้งÿติก่าĀนดรู้เกิดธรรมพร้อมกับÿติก่าĀนดรู้ ทุกขณะที่ก่าĀนดรู้ก ็ เกิดธรรม = ýีล ÿมาธิปัญญา เกิดอริยมรรค เกิดโพธิปักขิยธรรม ๓๗ มีอะไรบ้างเขียนใĀ้ดูĀมดแล้ü อ่านดูใĀม่ ถ้าอธิบายต่อก ็ อธิบายใĀ้และเขียนไปĀมดแล้ü อ่านใĀม่อธิบายในแง่เĀ ็ น อริยÿัจจ์อธิบายในแง่เĀ ็ นรูปเกิดนามเกิด ก ็ เĀ ็ นไปทุกขณะ ÿติก่าĀนดรู้อธิบายในแง่ เĀ ็ นพระไตรลักþณ์ก ็ เĀ ็ นพระไตรลักþณ์ทุกขณะที่ÿติก่าĀนดรู้ปัจจุบันทุกขณะ การก่าĀนดĀรือตั้งÿติก่าĀนดรู้นั้น ทุกอิริยาบถใĀญ่ยืนเดินนั่งนอน และ อิริยาบถย่อย เüลาเดินไปเดินมา อาบน้่า ซักผ้า กüาดบ้าน เคี้ยüอาĀาร ÿติก่าĀนดรู้ ตามไปทุกขณะ แค่ÿติกําĀนดรู้ก ็ เป็ นคําตอบทุกอย่าง ที่ลูกÿงÿัยและถามมาทุกข้อ คําตอบอยู่ ที่ÿติกําĀนดรู้เป็ นค่าตอบที่แน่นอนกü่าการไปถามใĀ้คนอื่นตอบ ÿะÿมÿติกําĀนดรู้ ไปนาน ๆ คําตอบจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จะเป็ นคําตอบที่ไม่ต้องถาม ลูกถามใĀ้คนอื่นตอบĀรือถามใĀ้พ่อตอบ เป็ นค่าตอบลม ๆ แล้ง ๆ เพ้อ ๆ ฝัน ๆ เĀมือนอธิบายÿีขาüÿีแดงใĀ้คนตาบอดฟัง ĀรือเĀมือนกับอธิบายค่าü่าไฟร้อน อธิบายค่าü่าไฟร้อนĀรือจะท่องจะอ่านจะจ่าจะคิดไปจนตายก ็ไม่รู้ร้อน อยากจะรู้ร้อน ก ็ ต้องปฏิบัติคือไปÿัมผัÿดูทั้งกายทั้งใจจึงจะรู้ü่าไฟร้อนมันมีรÿชาติอย่างนี้ไม่ต้องถาม ใครก ็ รู้ร้อนเอง ล ู กตั้งÿติกําĀนดร ู ้ อิริยาบถใĀญ่อิริยาบถน ้ อย ติดต่อ ต่อเน ื่องĀร ื อ ÿม่ําเÿมอ ก ็ จักได ้ คําตอบของล ู ก


๙๘ ๒. ไม่ได้ถอนจิตออกจากÿมาธิก่าĀนดรู้นั่นแĀละมันมีทั้งĀมด ทั้งýีล ÿมาธิ ปัญญา เป็ นทั้งĀมดของĀลักธรรมค่าÿอน ไม่ใช่คนละครั้ง ÿติกําĀนดรู้เพียงครั้งเดียü นั่นทั้งĀมดของĀลักธรรมคําÿอน ไม่ใช่คนละครั้ง ÿติก่าĀนดรู้เพียงครั้งเดียüเป็ น ทั้งĀมดของĀลักธรรม รüมทั้งพระไตรลักþณ์พูดอย่างนี้ลูกยังไม่เข้าใจก ็ ต้องเดิน จงกรม นั่งÿมาธิĀนัก ๆ ตามอย่างที่พูดแล้ü ๓. พ่อก ็ พูดและตอบไปĀมดแล้ü ในข้อคüามที่เขียนมาใĀ้อ่านแล้ü เพียงมิได้ แยกแยะ ถ้าแยกแยะ กิเลÿมี๓ ขั้นตอน ๑. üีติกกะมะกิเลÿ ที่มันพลุกพล่านในÿรรพางค์ร่างกาย ที่คนทั้งĀลายแÿดง ด้üยอานุภาพของกิเลÿ คüามโลภ คüามโกรธ คüามĀลงนี้เĀ ็ นได้ชัด ๆ ง่าย ๆ ที่คน ทั่üไปเกิดแล้ü ยั้งจิตไม่อยู่กู่ไม่กลับ ๒. อิกขัมภนะกิเลÿ กิเลÿที่ลึกลงไปกü่าเก่า ไม่ค่อยได้แÿดงออก แต่ก ็ เป็ นข้อ เดียüกัน คือโลภ โกรธและĀลง แต่อยู่ลึก ถ้าไม่มีอะไรมายั่üมายุก ็ จะไม่ปรากฏออก ĀรือแÿดงออกมาใĀ้คนเĀ ็ น เมื่อใดเผลอĀรือลืมตัü ก ็ จึงจะพุ่งออกมา ÿิ่งที่จะระงับ Āรือปกปิดไü้เช่น มีüัฒนธรรมมีประเพณีช่üยระงับ ช่üยปกปิด เขาท่าอะไรถ้าไม่ท่าก ็ อายเขา เช่นประเพณีผู้Āญิงไü้ผมยาü ถ้าไม่ท่าตามก ็ อายเขา ผู้ชายไü้ผมÿั้นน่าจะไü้ ผมยาüเĀมือนผู้Āญิงก ็ อายเขา แต่ก ็ ยังมีพüกท่าตัüผิดประเภท ก ็ ยังมีเขาก ็ ü่ากระเทย Āรือคนเป็ นโรคจิต ก ็ มีอยู่ ๓. อนุÿัยกิเลÿ กิเลÿนี้จะจมนิ่งอยู่ลึก ๆ จนเจ้าตัüĀรือคนอื่น ๆ ไม่รู้ü่ามี เĀมือนแก้üน้่า ปกติธรรมดาฝุ่นละอองมันนอนก้น Āรือÿระน้่าฝุ่นละอองมันนอนก้น ดูน้่าในแก้üในÿระมันใÿดีเมื่อใดมีอะไรลงไปกüนฝุ่นละอองจึงจะกระฉูดขึ้นมา ท่าใĀ้ น้่าในแก้üขุ่นมัü อนุÿัยกิเลÿมันนอนเนื่องในจิตÿันดานก ็ เช่นเดียüกัน


๙๙ พ่อก ็ได้ตอบไปแล้ü เจริญÿติĀรือตั้งÿติก่าĀนดรู้ปัจจุบันได้ต่อเนื่อง ÿม่่าเÿมอ แล้ü คüามรู้ÿึกนึกคิดĀยาบ ๆ ต่่า ๆ ก ็ จะค่อยจืดค่อยจาง ค่อยüางค่อยคลาย ค่อย Āลุดค่อยร่üงไปทีละอย่างÿองอย่าง เĀมือนไฟในเüลากลางคืน พอมีคüามÿü่างเกิดขึ้น คüามมืดก ็ ĀายและĀ่างออกไป ถ้าไฟดับคüามมืดก ็ รุมมาตามเดิม จุดประกายไฟคือÿติÿรรพกิเลÿน้อยใĀญ่ก ็ Āายและก ็ Ā่างออกไป พ่อพูดเÿมอ Āรือพาÿüดตามพระพุทธเจ้าü่า คüามอดทนคือคüามอดกลั้น ไม่มอมเมากิเลÿ ตัณĀาทั้งĀลาย คือ ไฟเผากิเลÿ มันจะเอาอะไรก ็ไม่ĀามาใĀ้มัน ไม่ตามมัน ๔. มันทิ้งลมĀายใจไม่ได้Āรอก นอกจากÿติก่าĀนดรู้ลมĀายใจเข้า (อัÿÿาÿะ) ปัÿÿาÿะ (ลมĀายใจออก) แล้ü ลมĀายใจจะค่อยละเอียดยิ่งขึ้น แล้üจะค่อยแผ่üเบา ที่ พูดแล้üเข้าใจกันทั่üไปü่าเข้าฌาน จะใĀ้เป็ นอย่างนี้ก ็ ต้องมีเüลาบ่าเพ ็ ญเพียรภาüนา ตามป่าตามเขาเĀมือนฤาþีชีป่าทั่üไป อยู่Ā่างไกลชุมชน ถ้ามั่üÿุมกับชุมชนและ ÿิ่งแüดล้อมต่าง ๆ มันก ็ Āาโอกาÿจะได้ประÿบÿภาüะเช่นนั้นไม่ได้Āรอก เมื่อไม่มี โอกาÿได้ท่าเช่นนั้น มันก ็ เกิดฌานไม่ได้ แต่ปฏิบัติละกิเลÿได้อยู่ตามĀลักที่พูดมาใĀ้ฟังนี้ฝึกĀัดปรับใจใĀ้Ā่างกิเลÿ เมื่อพูดถึงเรื่องฌาน ฌานมี๔ ๑. ปฐมฌาณ มีอารมณ์Āรือÿภาüะเกิด ๕ อย่าง ๑.๑ üิตก คüามตริตรึก นึกคิด ปรุงแต่งเกี่ยüกับธรรม ๑.๒ üิจารณ์คüามพินิจพิจารณา üิจัย üิจารณ์ขบ เคี้ยüปัญĀา นึกคิดปรุง แต่ง ÿับÿนüุ่นüาย ยากที่จะüาง จะคลาย จะĀยุดถ้าปล่อยใĀ้คิด ๑.๓ ปีติคüามรู้ÿึกเอิบอิ่ม ซาบซ่าน เย ็ นÿบาย จนเกิดเนื้อเต้น เอ ็ นกระตุก ขนลุก น้่าตาไĀล ตัüโยก ตัüคลอน


๑๐๐ ๑.๔ ÿุข คüามรู้ÿึกเป็ นÿุขทั้งกายทั้งใจ ทุกขนาดทุกอิริยาบถ ทุกลมĀายใจเข้า ออก ๑.๕ เอกัคคตา คüามรู้ÿึกที่อารมณ์เลิýเป็ นĀนึ่ง ไม่เปลี่ยนแปลง บอกไม่ได้ อธิบายไม่ถูก ถึงขนาดอุทานออกมาü่า นิพพาน่ปรม่ÿุข่พระนิพพานเป็ นยอดÿุข เมื่อ ปฏิบัติได้ที่แล้üจะเกิดอารมณ์เลิýเป็ นĀนึ่งดังกล่าüมา ๒. ทุติยฌาน มีอารมณ์Āรือÿภาüะเกิด ถึงฌานที่๒ นี้üิตกกับüิจารณ์Āายไป เĀลือแค่๓ อย่างคือ ปิติÿุข เอกัคคตา ดังกล่าüมา ๓. ตติยฌาน มีอารมณ์Āรือÿภาüะเกิดแค่๒ คือ ปิติĀายไปเĀลือแค่ÿุขกับเอ กัคคตา จิตจะละเอียด เมื่อคüามละเอียดเกิดขึ้นคüามรู้ÿึกĀยาบ ๆ จะค่อยĀายไป เĀลือแต่คüามละเอียดแค่๒ ๔. จตุตญฌาน มีอารมณ์Āรือÿภาüะเกิด คือ เอกัคคตาและอุเบกขา มีอารมณ์ เป็ นĀนึ่งไม่เปลี่ยนแปลง เป็ นอารมณ์เลิýแน่üแน่แนบแน่นและก ็ มีอุเบกขาüางเฉย แต่ เฉยแบบมีÿติก่ากับเÿมอ ที่ท่านชอบพูดü่า ปีติเกิด, ÿติออกĀน้า, ÿมาธิเกิด มีÿติออก Āน้า อุเบกขาเกิด, ÿติออกĀน้า ต้องคüบคู่กับÿติเÿมอ จึงจะÿมบูรณ์และจึงจะเป็ น ปีติÿมาธิและอุเบกขา บริÿุทธิ์ ถ้าปีติÿมาธิและอุเบกขา ขาดÿติคüบคุมĀรือขาดÿติน่าĀน้าแล้ü ปีติเป็ นปีติผี ร้าย ÿมาธิก ็ เป็ นÿมาธิผีร้าย อุเบกขาก ็ เป็ นอุเบกขาผีร้าย จะĀนุนจิตใĀ้โลดแล่น คึก คะนอง จะกลายเป็ นเพี้ยนĀรือบ้าไป Āรือท่าคüามเพียรเพื่อฆ่าตัüเองใĀ้ตาย


๑๐๑ ๕. พ่อได้พูดไปแล้ü ค่าตอบก ็ อยู่กับที่ได้พูดชี้ทางแล้ü ฐานจิตกับต้นจิตก ็ อัน เดียüกัน จะไปไĀน จะท่าอะไร จะพูดอะไร ใĀ้ก่าĀนดรู้ต้นจิตอันเดียüกัน แต่ก่อนเราไม่เคยก่าĀนดรู้ต้นจิต เüลาตื่นขึ้นมาไปเข้าĀ้องน้่า ล้างĀน้า แปรง ฟัน ถ่ายĀนัก ถ่ายเบา มันไปของมันเองโดยธรรมชาติมันท่าĀน้าที่ของมันเองโดย ธรรมชาติที่เคยชิน คราüนี้เรามาฝึกมาĀัดÿิ่งที่เป็ นธรรมชาติใĀ้พัฒนาÿร้างÿรรค์ใĀ้มันมีคุณมีค่า มีราคาÿูงขึ้นกü่าธรรมชาติ ดินธรรมดาĀรือธรรมชาติเขาไปขายก ็ได้รถละไม่เกินĀ้าร้อย ถ้าเอาไปดัดแปลง เป็ นก้อนอิฐขาย รถนึงก ็ประมาณĀนึ่งĀมื่นบาท จากĀ้าร้อยเป็ นĀนึ่งĀมื่น ต้นไม้ต้นĀนึ่ง ๆ ก ็ ขายได้ขายเป็ นท่อนซุงเฉย ๆ ก ็ ตามที่นิยมĀรือไม่นิยม แต่ ถ้าแปรธาตุเป็ นเฟอร์นิเจอร์ตู้เตียง โต๊ะเก้าอี้ต้นĀนึ่งก ็ได้ราคาĀลายĀมื่น ยิ่งประดับ มุขก ็ ยิ่งราคาเป็ นแÿน พูดถึงดัดแปลงคนĀรือดัดแปลงจิตคน จากปุถุชนเป็ นอริยะ ก ็ เป็ นมĀาลําค่า ของทั้ง ๓ โลกคือ มนุþย์เทพในÿüรรค์๖ ชั้น และพรĀมในพรĀมโลก ๑๖ ชั้น ๖. ทุกค่าถามของลูก พ่อก ็ ตอบได้เท่านั้นและก ็ ตอบค่าตอบเดียüคือ คือ ค่าตอบที่แท้จริง คือตั้งÿติกําĀนดรู้ปัจจุบัน มันเป็ นค่าตอบที่ไม่ต้องมีค่าถาม Āรือเป็ น ค่าตอบที่ไม่ต้องถาม ÿติก่าĀนดรู้ปัจจุบันทุกขณะทุกอิริยาบถในการเคลื่อนไĀüไปมานี้ ออกมาจากค่าü่า ÿติปัฏฐาน ๔ ข้อ กายานุปัÿÿนาข้อแรก ข้อที่๒ เüทนานุปัÿÿนา รู้ทันคüามรู้ÿึกÿุข รู้ÿึกทุกข์ข้อที่๓ จิตตานุปัÿÿนา รู้ทันจิตมันนึกมันคิด ข้อที่ ๔ ธรรมมานุปัÿÿนา รู้ทันÿภาüธรรมที่มันปรุงแต่งจิต ใĀ้เýร้าĀมอง และใĀ้ผ่องใÿ ก่าĀนดรู้ตามไปเรื่อย ๆ มันก ็ จะลด ละ เลิก Āรือพูดเÿมอü่า จะค่อยจืด ค่อยจาง ค่อย üาง ค่อยคลาย ค่อยĀลุด ค่อยล่üง ไปทีละอย่าง ๆ


๑๐๒ ทุกÿิ่งทุกอย่างทุกÿภาวะจะม ี ÿภาพเช่นกัน ค ื ออุปปาทะ เกิดข ึ้น ฐ ี ติ ตั้งอย ู่ภังคะ ดับไป Āร ื อ เกิดดับ เกิดดับ และÿติกําĀนดร ู ้ไป จะลด จะละ จะเลิก จะĀลุดไปเอง ทําไปเถอะ เĀมือนเüลากüาดบ้าน กüาดทีไรไม่ต้องใĀ้คüามÿะอาดเกิด มันจะเกิดพร้อม ๆ กันกับการกüาด อาบนํ้า เปิดÿüิตช์ไฟก ็ เช่นกัน ๗. รูปนาม ก ็ พูดไปแล้ü ขันธ์๕ ๑. รูปขันธ์นีํเป็ นรูป ๒. เüทนาขันธ์Āมายถึงคüามรู้ÿึกÿุขĀรือรู้ÿึกทุกข์มันเป็ นเüทนาที่อาýัยกาย เกิด มันÿัมผัÿไม่ได้เป็ นนาม ÿัญญา คüามจ้าได้ÿิ่งที่ผ่านมา ก ็ อาýัยกายเกิด ÿัมผัÿไม่ได้ก ็ จึงเป็ นนาม ÿังขาร นึกคิดปรุงแต่งเรื่องข้างĀน้าที่มาไม่ถึง ÿัมผัÿไม่ได้เĀมือนกัน เพราะ อาýัยกายเกิด เป็ นนาม üิญญาณ คือคüามรู้ทุกขณะที่ตาเĀ ็ นรูป รู้ü่ารูปอะไร Āูได้ยินเÿียง จมูกได้กลิ่น กลิ่นเĀม ็ น กลิ่นĀอม รู้ลิํนถูกรÿอาĀาร กายถูกต้องเย ็ นร้อนอ่อนแข ็ ง Āรือผัÿÿะทาง กาย ใจถูกต้องอารมณ์รู้นีํเป็ นนาม นีํเฉพาะขันธ์รูปขันธ์เป็ นรูป นอกนัํนเป็ นนาม อายตนะภายใน พ่อก ็ได้พูดไปแล้üในข้อคüามก่อน ๆ อ่านดูใĀ้ดีอายตนะ ภายในคือ ตา Āูจมูก ลิํน กาย และใจ ตาเĀ ็ นรูป อะไรเป็ นรูป อะไรเป็ นนาม ใĀ้อ่านดูที่เขียนใĀ้


๑๐๓ ไม่ต้องไปคิดü่าอะไรเป็ นรูป อะไรเป็ นนาม มันจะเป็ นÿาเĀตุใĀ้เราติดÿมมติ บัญญัติÿติก้าĀนดรู้ปัจจุบันอย่างเดียüจึงจะละÿมมติบัญญัติถ้านึกถ้าคิดเป็ นÿมมติ บัญญัติไม่ต้องไปแยกแยะ ไม่ต้องไปนึกไปคิด พ่อพูดเÿมอü่า นึกคิดเป็ นÿมมุติบัญญัติไปอ่านดูที่ตอบไปแล้ü ต้องÿติกําĀนด รู้อย่างเดียว จึงจะได้คําตอบที่แท้จริง อ่านใĀม่ มันไม่มีĀรอก รูปนามภายในและรูปนามภายนอก มีแต่อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ไปอ่านดูใĀม่อย่าÿับÿน ตาเĀ ็ นรูป อะไรเป็ นรูป อะไรเป็ นนามก ็ ได้พูดและอธิบายไปแล้ü เพื่อคüามชัดเจนอีก คือüิปัÿÿนา แปลü่า เĀ ็ นแจ้ง ค้าü่าเĀ ็ นแจ้ง ไม่ได้Āมายถึง ตาเĀ ็ น ĀรือเĀ ็ นนิมิต Āรือ คิดเĀ ็ น คิดกับเĀ ็ น ก ็ไม่ไช่คüามĀมายของค้าü่าüิปัÿÿนา ถ้าอยากใĀ้ชัดเจนก ็ ต้องแปลü่ารู้แจ้งเĀ ็ นจริง นีํชัดเจน ฉะนัํน เĀ ็ นแจ้ง มันจึง คลุมเครือ เĀ ็ นนิมิตĀรือตาเĀ ็ น ไม่ใช่เĀ ็ นนิมิตก ็ไม่ใช่คüามĀมายของüิปัÿÿนา คิดเĀ ็ น ก ็ไม่ใช่ต้องÿติก้าĀนดรู้ทันปัจจุบันอย่างเดียü ถ้าคิดเĀ ็ น คิดไปจนตายก ็ไม่เĀ ็ น เĀ ็ นไม่ได้คิด คิดยังไงมันก ็ไม่เĀ ็ น เĀมือนคนไม่ เคยไปเĀ ็ นกรุงเทพฯ ได้ยินเขาพูดü่ากรุงเทพฯรถติดÿุดลูกĀูลูกตา เมื่อไม่เคยเĀ ็ นด้üย ตาของตัüเอง คิดเดาเอา คิดยังไงมันก ็ไม่เĀ ็ น ไม่เคยเĀ ็ น ได้ยินแต่เขาพูดü่ากรุงเทพตึก ÿูง ๒๐ ชัํน ๑๐๐ ชัํน คิดยังไงก ็ไม่เĀ ็ น ต้องปฏิบัติคือ ไปÿัมผัÿดูทัํงตาทัํงใจ นัํนไม่ได้ คิดยากเลย ÿติรู้ปัจจุบันจะเĀ ็ น ใช ้ ÿติกําĀนดร ู ้ปัจจุบันจะเĀ ็ นทุกอย่าง ถ ึ งทุกอย่าง บรรลุทุกอย่าง ๘. เมื่อฝึกĀัด ÿัมผัÿเÿพคุ้นกับการเจริญÿติตามĀลักÿติปัฏฐาน ๔ คือ กายานุปัÿÿนา รู้ทันกายเคลื่อนไĀü เüทนานุปัÿÿนา รู้ทันคüามรู้ÿึกÿุขĀรือทุกข์


๑๐๔ จิตตานุปัÿÿนา รู้ทันจิต มันเผลอมันĀลง รู้ตัüü่าเผลอü่าĀลง ก ็ ตัํงÿติก้าĀนดรู้ ใĀม่ท้าอย่างนีํเรื่อยไป ธัมมานุปัÿÿนา รู้ทันÿภาüธรรม ปรุงแต่งจิตใĀ้ดีก ็ เรียกü่า อิฏฐารมณ์และ ÿภาüะปรุงแต่งจิตใĀ้เกิดคüามร้อนรนกระüนกระüาย เรียกü่า อนิฏฐารมณ์ระüังจิต ไม่ใĀ้เกิดคüามยินดีในอิฏฐารมณ์Āรืออารมณ์ฝ่ายดีและระüังจิตไม่ใĀ้เกิดคüามยินร้าย ในฝ่ายอนิฏฐารมณ์คืออารมณ์ฝ่ายไม่ดีพยายามปรับจิตใĀ้เป็ นĀนึ่งเÿมอ ไม่ต้องใĀ้ จิตแยกแยะü่า ดีถูกใจ ไม่ดีล้าบากใจ ปรับใจใĀ้เกิดรู้ÿึกเป็ นอันเดียüกัน แต่ยากĀน่อบ พยาบามปรับ พยายามฝึก พยายามท้า แล้üมันจะได้ดีเอง จะได้เข้าÿู่ÿภาüะอารมณ์ เป็ นเลิý เป็ นĀนึ่งที่เรียกได้เต ็ มปากü่า นิพพาน้ปรม้ÿุข้พระนิพพานเป็ นยอดÿุข คือ ไม่รู้ÿึกเปลี่ยนแปลงเป็ นÿุขเป็ นทุกข์ ปฏิบัติได้ที่มันจะมีค้าตอบเกิดขึํนเอง ชัดเจนยิ่งขึํน ไม่เผลอ ไม่Āลง ไม่แลบ ออกจากก้าĀนดรู้รูปนาม ÿติธรรมดาจะกลายเป็ นมĀาÿติตอนนีํ พร้อมกันนีํýีลจะแปรÿภาพจากýีลธรรมดาเป็ นอธิýีล ÿมาธิจะแปรÿภาพจากÿมาธิธรรมดาเป็ นอธิจิต ปัญญาจะแปรÿภาพจากปัญญาเป็ นอธิปัญญา ใช ้ ÿติกําĀนดร ู ้ปัจจุบันไปเถอะ ไม่ต ้ องคําน ึ งถ ึ งอะไร แล ้ วก ็ จักได ้ ÿิ่งท ี่ พระพุทธเจ ้ าอยากใĀ ้ เราได ้ จักถ ึ งÿิ่งท ี่พระพุทธเจ ้ าอยากใĀ ้ เราถ ึ ง จักบรรลุÿิ่งท ี่พระพุทธเจ ้ าอยากใĀ ้ เราบรรลุเอง


๑๐๕ พร้อมกันนีํพ่อขอฝากบันได ๑๔ ขั้นพาดถึงพระนิพพาน ซึ่งเป็ นĀลักธรรม ÿูงÿุดĀล่อĀลอมจิตüิญญาณใĀ้เป็ นอิÿระจากกิเลÿตัณĀา ไม่ตกเป็ นทาÿของกิเลÿ ตัณĀา แล้üของต่าง ๆ มาÿังเüยกิเลÿตัณĀา ซึ่งÿุดปรารถนาที่พระพุทธองค์อยากใĀ้ทุก ๆ คนถึงจุดÿูงÿุดของĀลักค้า ÿอน ซึ่งตรงกับค้าพูดที่ü่าอยากใĀ้ได้อยากใĀ้ถึง ĀรืออยากใĀ้บรรลุที่ÿุดทุกข์คือพระ นิพพาน พูดแล้üอ่านแล้üก ็ ง่าย ๆ แต่จะถึงจุดนัํน ต้องท้าคüามเพียรĀรือบ้าเพ ็ ญเพียรภาüนาคือเจริญÿติตาม Āลักÿติปัฏฐาน ๔ ต่อเนื่อง ทัํงüันทัํงคืน Āลักการท้าคüามเพียรจะได้ผลจริง ๆ ต้อง ตามĀลักชาคริยานุโยค ท้าต่อเนื่องทัํงüัน พักเฉพาะเüลาฉันกับเüลาÿรงนํ้า แต่ไม่ü่าพัก ฉัน ÿรงนํ้า ก ็ ต้องใช้ÿติก้าĀนดรู้ ไม่ใช่พักĀรือละทิํงÿติคอยดูคอย ก้าĀนดรู้ทุกอิริยาบท ตักอาĀารใÿ่ปากĀลับตาก้าĀนดรู้การเคีํยü ๆ จนแĀลก แล้ü กลืนก ็ ก้าĀนดรู้จนĀมดคüามรู้ÿึกทุกขณะ เคลื่อนไĀüไปมา อาบนํ้าซักผ้า กüาดบ้าน บ้üนนํ้าลาย คลายนํ้ามูก ถ่ายอุจจาระปัÿÿาüะ พูดอีกทีก ็ คือคอยก้าĀนดรู้ทัํงอิริยาบถ ใĀญ่คือยืนเดินนั่งนอน และอิริยาบถย่อยตัํงแต่เคีํยüอาĀารดังกล่าüมาแล้ü กลางคืนก ็ปฐมยาม คือ ๑ ทุ่มถึง ๔ ทมุ่ก ็ เดินจงกรม นั่งÿมาธิÿลับกัน พอถึง ๔ ทมุ่ก ็ พักผ่อน ถึงตี๒ นีํมัจฉิมยาม ท้าคüามเพียร เดินจงกรมนั่งÿมาธิติดต่อกัน กลางüันก ็ ท้าคüามเพียร เดินจงกรมและนั่งÿมาธิท้าอย่างนีํจิตจึงจะเป็ นอิÿระจาก กิเลÿตัณĀาถึงจุดนิพพาน แค่พูดใĀ้ฟัง ก ็ปüดĀัüแล้ü ยิ่งถ้าลงมือปฏิบัติจริง ๆ ก ็โอยเจียนตายเลย เÿี่ยง เป็ นเÿี่ยงตาย Āรือเป็ นกับตายพอๆกัน ถ้ายังĀ่üงเป็ นĀ่üงตายอยู่ก ็ เดินตามบันไดไม่ ครบถึง ๑๔ ขัํน


๑๐๖ นีํเพียงแต่พ่อถ่ายทอดจากจิตÿ้านึกของพ่อที่ปฏิบัติมา มันเกิดขึํนกับพ่อ พ่อมี ประÿบการณ์ยังไง เกิดขึํนยังไง ก ็ ถ่ายทอดออกมา ถ้าปฏิบัติได้ก ็ เป็ นผลดีกับทุกคนที่ ปฏิบัติ จึงÿ่งมาใĀ้เพื่ออยากýึกþา อยากเรียนรู้เผื่อคüามคิดมันจะเกิดอยากปฏิบัติ เพื่อยกจิตใĀ้อิÿระจากกิเลÿตัณĀา ไม่อยากตกเป็ นทาÿรับใช้มัน ก ็ปฏิบัติตามพ่อ Āรือ ตามบันได ๑๔ ขัํน ก ็ เชิญได้จ้า ถือเป็ นพรปีใĀม่จากพ่อจ้า


๗๒


๑๐๗ บันได ๑๔ ขั้น พาดถึงพระนิพพาน เป็ นกระจกÿ่องดูจิตตัวเอง พระพุทธพจน์Āล่อĀลอมจิตวิญญาณเข้าÿู่กระแÿร์พระนิพพานได้ ๑. เมตตาüิĀารีโย ภิกขุปÿน̣โน พุท̣ธÿาÿเน Ăธิคจ̣เฉ ปทํÿน̣ตํÿง̣ขารูปÿมํÿุขํ ภิกþุใดเลื่Ăมใÿในพระพุทธýาÿนา มีเมตตาเป็ นเครื่ĂงĂยู่บํารุงใจ ภิกþุนั้นย่Ăม ÿามารถบรรลุธรรมĂันÿงบ Ăันเป็ นที่ÿงบระงับดับคüามนึกคิดÿับÿนüุ่นüาย แล้üก ็ Ăยู่เป็ นÿุขได้ĀรืĂĀลับเป็ นÿุข ๒. ÿิญ̣จภิก̣ขุĂิมํนาüํÿิต̣ตาเต ลĀุเมÿÿติ เฉตüา ราคญจโทÿญจ โมĀญจ ตโตนิพ̣พานเมĀิติ ภิกþุจงüิดเรืĂรั่üนี้เรืĂที่เธĂüิดน้ําแล้üก ็ จักเบาถึงฝั่งเร ็ ü เธĂจงตัดราคะคืĂ คüามกําĀนัดยินดีĀลงใĀล ติดจมในกามคุณพร้Ăมโทþ และโมĀะ ต่Ăแต่นี้เธĂก ็ จักถึงฝั่งพระนิพพาน ÿาธุÿาธุÿาธุĂนุโมทามิ ๓. ปญจ ฉิน̣ท ปญจ ชเĀ ปญจ จุต̣ตธิภาüเย ปญจ ÿิง̣คาติโต ภิก̣ขุโĂมติณ̣โณติĂุจ̣จติ ภิกþุจงตัดบ่üงมาร จงละบ่üงมาร คืĂ รูป เÿียง กลิ่น รÿĂาĀาร และโผฏฐัพพะ คืĂผัÿÿะทางเพý


๑๐๘ แล้üตั้งบําเพ ็ ญภาüนาธรรม ๕ ประการ คืĂ ýรัทธา üิริยะ ÿติÿมาธิและ ปัญญา ใĀ้เกิดพลังยิ่งขึ้นไปแล้üข้ามพ้นบ่üงมารดังกล่าüมาแล้ü เราเรียกü่าผู้ ข้ามโĂฆะÿงÿาร คืĂ การเüียนตายเüียนเกิดไม่รู้จบÿิ้น ๔. ฌาน ภิก̣ขุมา จ ปมา โท และภิกþุĂย่าประมาท เพ่งพินิจĂารมณ์พระกรรมฐาน มั่นĂยู่กับการเจริญÿติ ปัฏฐาน ๔ คืĂ กาย เüทนา จิต และธรรม ต่Ăเนื่Ăง ๕. มา เต กามคุเณ ภมỵ̈ÿุจิตุตํ จิตขĂงเธĂĂย่าปล่ĂยใĀ้ไĀลไปในกามคุณ คืĂ รูป เÿียง กลิ่น รÿĂร่Ăย และ โผฏฐัพพะ คืĂ ผัÿÿะทางเพýĂันเป็ นบ่üงมาร ๖. มา โลĀค̣āํคิลิปมต̣โต เธĂĂย่าประมาทแล้üกลืนกินก้ĂนเĀล ็ กแดง มา กน̣ติทุก̣ขมิทน̣ติฑย̣Āมาโน เธĂĂย่าถูกบาปกรรมเผาผลาญร้Ăงครüญ ü่านี้ทุกข์ทรมาน ๗. นต̣ถิฌานิĂปญญỵ̈ÿ ฌานไม่มีแด่ผู้ไร้ปัญญา นัตถิปญญาĂฒายิโน และปัญญาไม่มีแด่ผู้ไร้ฌาน ปัญญาในคüามĀมายนี้ไม่ใช่คüามรู้ไม่ใช่คüามคิด และก ็ไม่ใช่ÿัญญาคüามจํา ได้เมื่Ăไม่ใช่แล้üจะเป็ นĂะไร ถ้าจะปล่ĂยใĀ้ไปปฏิบัติแล้üใĀ้รู้เĂงเĀ ็ นเĂง คง


๑๐๙ ไม่ÿามารถทําได้บĂกใĀ้เลยก ็ได้ ได้แก่ÿภาüะธรรมÿามารถคüบคุมจิตใĀ้ กําĀนดรู้รูปนามปัจจุบัน ไม่คิดเพี้ยนĂĂกไปข้างนĂก ๘. ยม̣Āิฌานญจปญญาจ ÿ เüนิพพานÿน̣ติเก ฌานและปัญญามีĂยู่ในภิกþุใด ภิกþุนั้นได้ชื่Ăü่าĂยู่ใกล้พระนิพพาน ÿาธุÿาธุ ÿาธุĂนุโมทนามิ ๙. ÿุญญาคาริปลิฏฐỵ̈ÿ ÿน̣ตจิต̣ตỵ̈ÿ ภิก̣ขุโน ĂมานุÿีรตีโĀติÿม̣มา ÿม̣มํüิ ปỵ̈ÿโต คüามยินดีĂันมิใช่üิÿัยมนุþย์ย่Ăมมีแก่ภิกþุผู้เข้าĂยู่ในเรืĂนร่างผู้มีจิตÿงบแล้ü เĀ ็ นแจ้งธรรมโดยชĂบ ๑๐. ยโต ยโต ÿม̣มÿติขน̣ธานิĂุทยพ̣พยิ ลภติปีติปาโมช̣ชํĂมตน̣ตํüิชานตํ ภิกþุพิจารณาเĀ ็ นโดยชĂบ ซึ่งคüามเกิดขึ้นและคüามเÿื่ĂมไปขĂงขันธ์ทั้งĀลาย โดยประการใด ๆ ย่Ăมเกิดปีติและปราโมทย์โดยประการนั้น ๆ การได้ปีติและ ปราโมทย์นั้นเป็ นธรรมĂันไม่ตายขĂงผู้รู้แจ้งทั้งĀลาย ๑๑. ตต̣รายมาทิภüติĂิธ ปญญỵ̈ÿ ภิก̣ขุโน Ăิน̣ทริยคุต̣ติจ ÿน̣ตฏ̣ฐี ปาฏิโมกุเขจเÿüโร


๑๑๐ คํานี้คืĂ คüามÿํารüมĂินทรีย์๑ คüามÿันโดþ ๑ คüามÿํารüมในพระปาฏิโมกข์ ๑ เป็ นเบื้Ăงต้นในธรรมĂันไม่ตายนั้น มีĂยู่ในภิกþุผู้มีปัญญาในพระพุทธýาÿนา นี้ ๑๒. มิตเต ภชỵ̈ÿ กล̣ยาเณ ÿุท̣ธาชีเü Ăตน̣ทิเต เธĂจงคบแต่มิตรที่ดีงาม มีĂาชีüะĂันĀมดจดและไม่เกียจคร้าน ๑๓. ปฏิÿน̣ถารüุต̣ยỵ̈ÿ Ăาจารกุÿโล ÿียา ภิกþุพึงเป็ นผู้ประพฤติปฏิÿันถาร และฉลาดในĂาจาระคืĂĂากัปปะกิริยา เรียบร้Ăยดีงาม ๑๔. ตโต ปาโมช̣ชพĀุโล ทุก̣ขỵ̈ÿน̣ตํกริỵ̈ÿติ ต่Ăแต่นั้น เธĂจะเป็ นผู้มากด้üยปีติและปราโมทย์ร่าเริงเบิกบาน แล้üก ็ จัก กระทําที่ÿุดทุกข์คืĂพระนิพพานได้ÿําเร ็ จ ÿาธุÿาธุÿาธุĂนุโมทามิ กิเลÿตัณĀา ผีร้าย มารร้าย ýัตรูร้าย มี3 ชั้น ชั้นที่๑ üีติกกมกิเลÿ เป็ นกิเลÿแÿดงĂĂกใĀ้เĀ ็ นชัดๆ พลุกพล่านĂยู่ตื้นๆ ชั้นที่๒ üิขัมภนกิเลÿ เป็ นกิเลÿĀลบซ่ĂนĂยู่ภายใน ไม่ค่ĂยĂĂกมานĂกจากมี ÿิ่งยั่üยุ ชั้นที่๓ Ăนุÿัยกิเลÿ นี้จะนĂนเนื่Ăงในจิตÿันดานลึกๆ เĀมืĂนตะกĂนนĂนก้น ถังน้ํา เมื่ĂมีĂะไรมากüนแรง ๆ ถึงจะพุ่งขึ้นมาจุดÿุดขีด


๑๑๑ และ คüามโลภ เกิดเร ็ ü ดับช้า ลงĂยากได้Ăะไรก ็ ลูบคลํา ๆ นานเป็ นเดืĂนเป็ นปี คüามโกรธ เกิดเร ็ üดับก ็ เร ็ ü เĀมืĂนกับไฟใÿ่เชื้Ă Āมดเชื้Ăก ็ ดับทันที คüามĀลง เกิดช้า ดับก ็ ช้า จนไม่รู้เกิด ไม่รู้ดับ เพราะมันซึมซับนĂนเนื่Ăง ยิ้มทั้ง คืนทั้งüัน ไม่ü่าĀลับไม่ü่าตื่น มันก ็ ซึมซับในจิต ถ้า - ปล่ĂยคüามโลภครĂงจิตก ็ จะแปรÿภาพจิตเป็ นยักþ์เป็ นมาร เป็ นเปรตเป็ น ผีเป็ นปีýาจ เป็ นĂÿูรกาย ตายไปก ็ เป็ นÿัตü์ที่ü่ามา - ปล่ĂยคüามโกรธขĂงจิต แปรÿภาพจิตเป็ นÿัตü์นรก ตายไปก ็ไปนรก - ปล่ĂยคüามĀลงมาครĂงจิต ก ็ แปรÿภาพจิตเป็ นเดียรัจฉาน ตายไปก ็ จะไป เป็ นเดียรัจฉาน เราจึงได้ยินมาเข้าĀูเÿมĂü่า เýรþฐีมีเงินมีทรัพย์ÿินมาก ๆ เมื่Ăจิตยึดมั่นจะตาย ก ็ไปเป็ นงูเฝ้าทรัพย์เป็ นĀนูเฝ้าทรัพย์เป็ นตาโÿม เฝ้าทรัพย์ นี้เป็ นÿัจจธรรมคําจริง เพราะจิตยึดติดĂะไร ก ็ไปĀาÿิ่งนั้นด้üยใจรัก —------ÿารจากĀลüงพ่Ăเจ้าคุณพระเทพภาüนาüิกรม ü.ิ


๑๑๒ คณุประโยชนท์ ไี่ดป้ฏบิตัติอ่ สงัคมและพระพทุธศาสนา ตง้ัแตป่ ีพ.ศ. ๒๕๒๗ จนถงึปจัจุบนัหลวงพอ่ทา่นเจา้คณุพระเทพภาวนาวกิรม ไดส้รา้ง วดัศาลาการเปรียญ โบสถ์วหิาร โรงเรียน โรงพยาบาล โรงพกัเชือ่น ฯลฯ จดัตง้ัโรงทาน แจกขา้วสาร อาหารแหง้อาหารสด ถุงยงัชีพ มากมายนบั ไมถ่ว้น พรอ้มทง้ัแจก ทนุการศกึษา ทง้ัพระ เณร นกัเรียน ทกุชน้ัเรียน เป็นประจาํทกุปีรวมกจิทหี่ลวงพอ่ฯ ทาํ เป็นพนัรายการ


๑๑๓


๑๑๔


๑๑๕ '


๑๑๖


๑๑๗


๑๑๘


๑๑๙


๑๒๐


๑๒๑ ปฏทินิ โครงการตอ่เนอื่งประจําปี - ปฏบิตัธิรรมสวดมนต์ขา้มปีประจาํ ปีณ พุทธอทุยานปราสาทดนิอาํภอออดัดุีุมพล ระหวา่ง วนัที่๓๑ ธนัวาคม ถงึวนัที่๑ มดราคม - ปฏบิตัธิรรมภฉลมิพระภดียรติฯ ประจาํ ปีณ วดัสวุรรณาราม บา้นคลองไผง่าม อาํภออบา้นภขวา้ ระหวา่งวนัที่๑๖-๑๙ มดราคม - ปฏบิตัธิรรมประจาํ ปีภนื่องในสปัดาห์สง่ภสรมิวนัสาํคทัทางพระพุทธาาสนามาบบุชา และบทุประทายขา้วภปลือด “วนัมาบบุชา” ณ อทุยานดาราดึษาภรือหงส์อนุพุทธมณฑล วทิยาลยัสงบ์ุยัอมชิ(ภดอืนดุมอาพนัธ์ ) ระยะภวลา ๓ วนั - ปฏบิตัธิรรมประจาํ ปีโครงดารบรรพุาอปุสมบทและบวุาลีจารณีอาคฤดรชอ้น ภฉลมิพระภดียรติสมภด็จ พระภทพรตันราุสดุาฯ ณ วดัุยัอมชพิทิดัษ์อาํภออหนองบวัแดง ระหวา่งวนัที่๑-๑๒ ภดอืนภมษายน - ปฏบิตัธิรรมประจาํ ปีพธิมีทุติาฉลองอายวุฒันมงคลหลวงพอ่พธิมีอบทนุดาราดึษาแดพ่ระอดิษุสามภณร ทสี่อบผา่นบาลีสนามหลวง และมอบทนุดาราดึษา แดน่ดัภรียนจาดโรงภรียนตา่ง ๆ ณ พุทธอทุยาน ปราสาทดนิอาํภอออดัดุีุมพล ระหวา่งวนัที่๓-๕ ภดอืนภมษายน - ปฏบิตัธิรรม ภนื่องใน “วนัสงดรานต์ปีใหมไ่ทยโบราณ”พธิสีรงนํําพระ และพธิสีะภดาะภคราะห์แบบ โบราณ ประจาํ ปีณ พุทธอทุยานหนิภหบิซบัอทชอง อาํภอออดัดุีุมพล วนัที่๑๒-๑๓ ภดอืนภมษายน - ปฏบิตัธิรรมประจาํ ปีภนื่องใน “พธิทีาํบทุอทุาิหาบรรพบรุ ุษทลี่ว่งลบั ไปแลว้ ” ณ พุทธอทุยาน ภขาจชมบอ้ง อาํภออบา้นภขวา้ระหวา่งวนัที่๑๓-๑๔ ภดอืนภมษายน - ปฏบิตัธิรรม ภนื่องใน “วนัวสิาขบุชา”ประจาํ ปีระยะภวลา ๓ วนัณ พุทธอทุยานภขาหนิ โยด อาํภออบา้นภขวา้ - ปฏบิตัธิรรมประจาํ ปีภนื่องใน “วนัอาสาฬบุชาและวนัภขา้พรรษา” ตลอดถงึทดุวนัพระในพรรษา ณ พุทธอทุยานปราสาทดนิอาํภอออดัดุีุมพล ระยะภวลา ๓ วนั - ปฏบิตัธิรรมภฉลมิพระภดียรตฯิ ประจาํ ปีภนื่องในวนัพระราุสมอพพระบาทสมภด็จพระวุริภดลา้ภจา้อยหช่วั รุัดาลที่๑๐ ณ อนุพุทธมณฑล วทิยาลยัสงบ์ุยัอมชิระหวา่งวนัที่๒๗-๒๘ ภดอืนดรดฎาคม - ปฏบิตัธิรรมประจาํ ปีดอ่นวนัออดพรรษา ณ พุทธอทุยานปราสาทดนิอาํภอออดัดุีุมพล ระยะภวลา ๓ วนั - โครงดารปฏบิตัธิรรมจารดิธดุงคภ์ฉลมิพระภดียรติ๕ ธนัวามหาราุ ของทดุปีระยะภวลา ๙ วนั๙ คนื โดยแสดงธรรมภผยแผพ่ระพุทธาาสนาตามวดั ในหมบช่า้นทอี่าายัพดัทาํดจิดรรม - โครงดาร “อบรมธรรมะภจรทิจติอาวนา” แดน่ดัภรียนและภยาวุนตลอดถงึหน่วยงานอาครฐัและภอดุน ในวนัสาํคทัทางพระพุทธาาสนา ปีละ ๕-๗ รุน่ - โครงดาร “อนุรดัษ์พืุสมนุไพรในตาํนาน” ภพือ่ ใหผ้สช้นใจไดา้ดึษา ไดภ้ห็น และนําไปขยายพนัธ์ตุอ่ ภพือ่ดารรดัษาโรคบางุนดิแบบโบราณ - สรา้ง “านชย์ออนินัทนาดารผสช้งชอาย”ุภพอื่ภป็นทีพ่ดัพงิผสช้งชอายทุมี่าปฏบิตัธิรรมและทลี่ชดหลาน ไมม่ภีวลาภลีํยง โดยจา้งคนดแชลใหภ้ดดิความสปัปายะอยา่งครบวงจร - โครงดาร “ปลชดป่าถาวรภฉลมิพระภดียรตฯิ” ภพือ่ฟืํนฟปช่าทภี่สอื่มโทรมใหด้ลบัคนืสคช่วามอดุมสมบรชณ์ อยา่งถาวร รวมพืํนที่๒,๐๗๓ ไร่


๑๒๒ การพฒันาวดัและงานพเิศษ การพฒันาวดั - นําพระอดิษุสามภณรทาํดจิวตัรของพระสงบ์ตามแบบอยา่งพระธรรมวนิยัทดุภุา้ -ภย็น และอบรม ใหโ้อวาททุดวนั - จดัทาํแบบแปลน แผนผงัสงิ่ปลชดสรา้งภสนาสนะ ใหภ้ป็นระภบียบภรยีบรอ้ย - ปรบั ปรุงพืํนทใี่หภ้สมอ ปลชดตน้ ไมย้นืตน้ภพือ่ ใหร้ม่ภงาและหมาดผลทรี่บั ประทานได้พรอ้มทงํัไมป้ระดบั ภพือ่ความรืน่รมย์ของผชพ้บภห็น - ทาํความสะอาดบรภิวณวดัทงํัอายนอดและอายใน ภพือ่ ใหภ้หมาะแดด่ารภขา้มาสมัผสัภป็นทรี่ดัษาจติ ใจ ใหด้ขีนึํ - ปรบั ปรุงภสนาสนะทุี่าํรุด และสรา้งภทา่ทจี่าํภป็นแตต่อ้งใุป้ระโยุน์สว่นรวมใหไ้ดม้าดทีส่ดุ - สนบัสนุนพระอดิษุสามภณรใหไ้ดร้บัดาราดึษา โดยภฉพาะนดัธรรม-บาลีและวุิาุีพอนื่ๆ ตามความถนดั งานพเิศษ - ภป็นประธานทปี่รดึษาดรรมดาราดึษา โรงภรียนบา้นนาคานหดัประุานุสรณ์ อาํภออหนองบวัแดง จงัหวดัุยัอมชิ - ภป็นประธานทปี่รดึษาโรงภรียนหว้ยตอ้นพทิยาคม อาํภออภมอืง จงัหวดัุยัอชมิ - ภป็นวทิยาดรอบรมธรรมแดผ่ถช้ชดคมุขงัณ ภรือนจาํอภชขยีว ภรือนจาํุยัอมชิและภรือนจาํบวัใหท่ - ภป็นรองประธานานชย์ภดด็ดอ่นภดณฑ์ในวดัจงัหวดัุยัอมชิ - ภป็นประธานคณะดรรมดารประจาํวทิยาลยัมหาวทิยาลยัมหาจุฬาลงดรณราุวทิยาลยั วทิยาลยัสงบุ์ยัอมชิ - ภป็นภจา้สาํนดัปฏบิตัธิรรมประจาํจงัหวดัุยัอมชิแหง่ที่๑ รวมพนื้ทปี่ลกูป่าถาวรเฉลมิพระเกยีรตฯิ 1. พืํนทภี่ขตอทุยานวดัุยัอมชพิทิดัษ์จาํนวน ๑๕๐ ไร่ 2. พืํนทวี่ดัป่าาลิางาม (วดัภตา่ ) จาํนวน ๒๐ ไร่ 3. พืํนทปี่่าสา่งนดแดว้บา้นนาคานหดัจาํนวน ๑๐๐ ไร่ 4. พืํนทวี่ดัป่าภฉลมิพระภดียรตหินองดองแดว้จาํนวน ๒๐๐ ไร่ 5. พืํนทปี่่าอทุยานหนิภหบิซบัอทชอง จาํนวน ๔๕๐ ไร่ 6. พืํนทปี่่าวดับาตรใหท่อาํภอออดัดุีุมพล จาํนวน ๒๐๐ ไร่ 7. พืํนทอี่ทุยานปราสาทดนิจาํนวน ๑,๐๐๐ ไร่ 8. พืํนทสี่วนป่าภฉลมิพระภดียรติรุัดาลที่๑๐ จาํนวน ๓๓ ไร่ 9. พืํนทปี่่าอทุยานภขาหนิ โยด จาํนวน ๓๓๖ไร่ 10. พืํนทปี่่าอทุยานภขาจชมบอ้ง จาํนวน ๒๐๐ ไร่ 11. พืํนทสี่วนป่าวทิยาลยัสงบ์ุยัอมชิจาํนวน ๑๐ ไร่ 12. พืํนทสี่าํนดัปฏบิตัธิรรมบอ่ โขโหล จาํนวน ๕๐ ไร่ 13. พืํนทวี่ดัวงัตอต้ ั ง จาํนวน ๖๐๐ ไร่ 14. พืํนทวี่ดัอุชีํฟ้า จาํนวน ๕,๐๐๐ ไร่ 15. พืํนทคี่ณุยายยอ้ยถวาย จาํนวน ๒๐ ไร่ รวมพืํนทใี่นโครงดารทงํัหมด จาํนวน ๘,๓๖๙ ไร่


๑๒๓


คณะผ ู ้ จัดทํา พระมĀา ดร.วิฑูรย์ÿิทฺธิเมธี ป.ธ.๙ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์กิตติประภัÿร์ผู้บัญชาการตํารวจแĀ่งชาติ พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ฐากูรปุณยÿิริ พ.ต.อ.ระพีพัฒน์อุตÿาĀะ นายวิทยา ÿกลเจริญเวช ดร.กนกรÿ ผลากรกุล ร.ต.ท ขวัญชัย คําทา (ผู้เรียบเรียง)


Click to View FlipBook Version