The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Autsawin, 2024-04-06 13:23:29

การศึกษาแนวทางการจัดการพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่

รายงานพิพิธภัณฑ์ วัดป่าตึง

รายงาน การศึกษาแนวทางการจัดการพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ นำเสนอ อาจารย์ ศ.เกียรติคุณ สุรพล ดำริห์กุล จัดทำโดย นายอัศวิน แสงเป็ก นักศึกษาระดับ ปริญญาโท รหัสนักศึกษา 650332008 สาขาการจัดการศิลปะและวัฒนธรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนวิชาการจัดการพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ รหัสวิชา 115719


2 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจำเป็นต้องจัดตั้งขึ้นเพื่อคนในท้องถิ่น ด้วยบริหารจัดการของคนในท้องถิ่น ซึ่งพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยได้เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่เมื่อเทียบกับ จำนวนชุมชนหรือท้องถิ่นแล้วถือว่ามีจำนวนน้อย พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทยที่พัฒนาแล้วส่วนมาก จัดขึ้นเพื่อให้คนในชาติรู้จักตนเองรู้จักท้องถิ่น เพื่อความเข้าใจ ในวัฒนธรรมรวบรวมหลักฐานในการตั้งถิ่น ฐานวิถีชีวิตการประกอบอาชีพการปรับตัวของคนในท้องถิ่น รวมถึงการ พัฒนาทางสังคมเศรษฐกิจของ ท้องถิ่น ซึ่งการจัดการพิพิธภัณฑ์ความสำคัญ คือ การอนุรักษ์มรคกทางภูมิปัญญาวัตถุ โบราณสถาน โบราณคดีที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องถิ่นนับว่าเป็นพื้นฐานในการเกิดสติปัญญา การสร้างแรงบันดาลใจ ส่งผลต่อ ถึงระบบการศึกษาที่ทาให้ได้เรียนรู้จากของจริง ดังนั้นพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยหลักฐานทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม และหลักฐานทางชาติพันธุ์ ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ของจริง ลักษณะของพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่น 1) ท้องถิ่นเป็นผู้จัดและจัดทำเกิดขึ้นโดยเกิดจากความต้องการของคนในชุมชน เพื่อร่วมกันในการ สร้างความยั่งยืน 2) การดำเนินการคนในท้องถิ่นต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการดำเนินการ กล่าวคือจะเป็นผู้อยู่ใน แหล่งกำเนิดพิพิธภัณฑ์มีความสัมพันธ์ในด้านเนื้อหา ระหว่างทางด้านประวัติศาสตร์ สังคม วิถีชีวิตและ วัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น ดังนั้น การจัดพิพิธภัณฑ์ไม่เพียงแต่เป็นการจัดแสดงเพียงสิ่งของบรรดา โบราณวัตถุเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องคำนึงถึงบริบทที่จะแสดงความสัมพันธ์กับเนื้อหาในการเล่าเรื่อง เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ทางสังคมในพื้นที่ และชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนที่มีอยู่ ในชุมชนต้นกำเนิดมรดกทางวัฒนธรรมนั้น 3) ความร่วมมือของคนในท้องถิ่นโดยการประสานความร่วมมือกันทั้ง ชุมชน ภาครัฐและเอกชนที่ อยู่ในท้องถิ่น ให้มีการจัดการแหล่งเรียนรู้ที่สามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความ เป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ที่แตกต่างกันในแต่ละ ท้องถิ่น โดยคำนึงถึง ประโยชน์ที่คนในท้องถิ่นที่จะได้รับประโยชน์เป็นหลัก


3 4) เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนใน ชุมชน เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการประสบการณ์เรียนรู้ เพื่อกระตุ้นส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ ด้วยตนเอง มีการจัดการแหล่งเรียนรู้ การเรียนรู้ ตลอดของมนุษย์เกิดขึ้นตลอดชีวิต โดยพิพิธภัณฑ์ส่งเสริมให้เกิดการ เรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งการเรียนรู้มิได้อยู่ เพียงแต่ในห้องเรียนเท่านั้น และในการจัดการศึกษาตลอดชีวิต ตาม เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 25โดยการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ เพื่อ ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตใน ทุกรูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุด ประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลปั สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีพาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการ เรียนรู้อื่น อย่างพอเพียงและมีประสิทธิภาพพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ที่ดำเนินการโดยท้องถิ่นที่ เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของที่เกิดในชุมชนจะเห็นได้จาก การให้ความสำคัญการเรียนรู้ตลอดชีวิตการสร้าง นิยม ของประเทศญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เกิดในชุมชนด้วยการสนับสนุนการศึกษาดลอดชีวิต สำหรับศูนย์ การเรียนรู้ชุมชน ถือเป็นหน่วยงานที่ดำเนินงานการศึกษาตลอดชีวิต นับรวมถึงห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์สวัสดิการสังคมท้องถิ่น ศูนย์การศึกษาสตรีท้องถิ่นจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตลอดชีวิตผ่านศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ตลอดชีวิต เช่นศูนย์การเรียนชุมชน(Kominkan)ในญี่ปุ่น การศึกษาเพื่อ สังคมเป็นแห่งเรียนรู้ต่างๆ โรงเรียนหรือสถานที่ อำนวยความสะดวกทางการศึกษา เช่น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด โรงเรียน เพื่อส่งเสริมให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาทรัพยากรของประเทศให้มีความรู้ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของประเทศไทย (ประภัสสร โพธิ์ศรีทอง.2549. : 48-55) คือ สถานที่ที่รวบรวมของเก่า และขาดความเคลื่อนไหวและการจัดแสดงสิ่งของล้าสมัยไม่มีชีวิตหายแห่งจึง ไม่นิยมใช้ชื่อพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่น สิ่งที่ พิพิธภัณฑ์แก้ไขปัญหาความล้าสมัยด้วยการนาสื่อสมัยใหม่มาช่วยพิพิธภัณฑ์จะช่วยให้ พิพิธภัณฑ์มีชีวิตโดยนำแนวทาง ดังกล่าวมาใช้ พบว่า สื่อสมัยใหม่อาจจะช่วยสร้างความเคลื่อนไหวกับ ความตื่นเต้นได้เพียงชั่วคราวแต่ไม่ยังยืน รวมถึงอยากให้พิพิธภัณฑ์เหมือนกับพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ สิ่ง ที่คนทำพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านต้องการ คือ การแสดงที่ดีมีรูปแบบน่าสนใจ และทันสมัย ดูแล้วสนุกดี มี นิทรรศการพิเศษระดับโลก การออกแบบห้องจัดแสดง มีกิจกรรมมากมาย ให้ผู้เข้าชม ได้เข้าร่วม มี ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก เดินทางสะดวกเจ้าหน้าที่ต้อนรับดี รายละเอียดเหล่านี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ฝัน อยากจะให้พิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยไปให้ถึงพิพิธภัณฑ์วัดป่าตึงจึงเป็นสถานที่อันดับ ท้ายๆที่คนในชุมชน คิดจะเดินทางไป สิ่งที่เด็กคิดถึง คือร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า คนในชุมชนบางคนไม่เคยไป พิพิธภัณฑ์ วัดป่าตึงเลยนอกจากไปทำบุญที่วัดป่าตึง ส่วนนักเรียนนอกจากโรงเรียนจะจัดทัศนศึกษา ถ้าครูจัดทัศนศึกษา ครูก็จะมอบหมายงานให้ศึกษาก่อนเข้าชม นักเรียนก็จะกังวลกับโดยใช้เวลาส่วนใหญ่การจดจากป้าย นิทรรศการ และการฟังเจ้าหน้าที่รูปแบบการเรียนรู้จึงเป็น ในลักษณะการบังคับและขาคการกระตุ้นให้เกิด การเรียนรู้ที่เหมาะสม และตรงกับความสนใจที่จะเรียนรู้ของแต่ละคน หรือถ้าหากไปกับครอบครัวสิ่งที่ ได้มากว่าความรู้คือ รูปถ่าย และของที่ระลึก วัตถุมงคล การแก้ไข้ปัญหาอาจทำได้ การพัฒนารูปแบบการ เรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์เป็นสิ่งที่เป็นสิ่งที่


4 พิพิธภัณฑ์หลายประเทศ ให้ ความสำคัญควบคู่ไปกับการพัฒนางานด้านอื่นๆ เช่น การมีส่วน ร่วมกับการทำงานร่วมกันระหว่างโรงเรียนในชุมชน และท้องถิ่น ซึ่งผู้วิจัยสนในการศึกษาพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่นวัดป่าตึงในการบริหารจัดการให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต โดย พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในฐานะที่เป็น แหล่งเรียนรู้ในชุมชน ที่จะต้องให้การสนับสนุนส่งเสริมการดำเนินงานเพื่อให้เกิด การศึกษาตลอดชีวิตใน ทุกรูปแบบ ซึ่งศึกษาแนวทางในการพัฒนาผู้จัดการศึกษาตลอดชีวิต 2.วัตถุประสงค์ของการศึกษา (Objectives) 2.1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา บริบททางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนบ้านป่าตึง ตำบลออน ใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 2.2) เพื่อศึกษาภูมิหลังและสภาพปัญหาของการจัดการพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 2.3) เพื่อนำเสนอรูปแบบและวิธีการจัดการพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ให้เกิด ประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน ร่วมไปถึงยกระดับพิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดป่าตึงให้ได้ มาตราฐานระดับสากลและให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ให้ความเพลิดเพลิน อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 3. ขอบเขตของการศึกษา 3.1. ขอบเขตด้านเนื้อหา เป็นการศึกษาบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของคนใน ชุมชนวัดป่าตึง อำเภอสัน กำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และบริบทของการจัดการพิพิธภัณฑ์ ผู้ศึกษาจะศึกษาจากข้อมูลปฐมภูมิ อันได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตรูปแบบพิธีกรรม ร่วมกับการศึกษาจากข้อมูลทุติยภูมิ อันได้แก่ หนังสือ ตำรา เอกสาร วารสาร ให้ครอบคลุมกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาการนำเสนอแนวทางจัดการพิพิธภัณฑ์ วัดป่า ตึง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ศึกษาประยุกต์ใช้ทฤษฎีการจัดการความรู้ (Knowledge Management Theory) แนวคิดการจัดการทางวัฒนธรรม (Cultural Management Concepts) แนวคิดการจัดพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่นเพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ ( Local Muscum Management as a Lcarning Center Concept) แนวคิดการจัด นิทรรศการ (Exhibition Management) และแนวคิดเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy Concept)


5 3.2. ขอบเขตด้านประชากร ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1) ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ คือ การศึกษาแนวทางการจัดการพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และผู้ที่มีความเกี่ยวข้อง 2) กลุ่มตัวอย่างและวิธีการคัดเลือกตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง แบ่งออกเป็น 3กลุ่มประกอบด้วย (1) อาคารพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) และโบราณวัตถุที่อยู่ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ (2) ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าตึง (พระครูวิสุทธิเขมรัต / หลวงพ่อเกษม) พระภิกษุสามเณร สังกัดวัดป่าตึง ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชุมชนในหมู่บ้านและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงกลุ่มผู้ที่มีส่วนใช้สอยในพื้นที่ เช่น ผู้ประกอบการโฮมสเตย์ และชาวบ้านที่ให้การสนับสนุนโบราณวัตถุที่ถูกจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ (3) นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรม ของ ล้านนาเชียงใหม่ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบอาคาร 3.3. ขอบเขตด้านพื้นที่ ในการศึกษาเรื่อง "การศึกษาแนวทางการจัดการพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบล ออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่" ผู้ศึกษาได้กำหนดขอบเขตของพื้นที่ ๆ ทำการคือ พิพิธภัณฑ์ เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่ทำการศึกษา โดยมีวิธีการศึกษาและระยะเวลาดำเนินงาน รูปที่1 ภาพ Model จำลองการปรับภูมิทัศน์สถาปัตยกรรม อาคารพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง)


6 4. แนวการศึกษาแนวทางการจัดการพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่กำหนดระยะเวลาในศึกษาและการดำเนินงานระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม -31 ตุลาคม พ.ศ. 2566 มีขั้นตอนการทำงาน ดังนี้ รูปที่2 ภาพแสดงวิธีการศึกษาและดำเนินงาน แนวทางการจัดการพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง)


7 5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5.1 ทำให้ทราบถึงบริบท ประวัติความเป็นมา ลักษณะทางกายภาพ การจัดการบริหาร ตลอดจนคุณค่าความสำคัญของชุมชน ศักยภาพ ความพร้อมของพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 5.2 สามารถนำเสนอรูปแบบการบริหารจัดการที่เหมาะสมให้กับพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดการ พิพิธภัณฑ์ 6. นิยามคำศัพท์ พิพิธภัณฑ์ หมายถึง สถานที่เก็บรวบรวมและแสดงสิ่งต่างๆ ที่มีความสำคัญด้านวัฒนธรรมหรือ ด้านวิทยาศาสตร์ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นประ โยชน์ต่อการศึกยา และก่อให้เกิดความเพลิดเพลินใจ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น หมายถึง พิพิธภัณฑ์เกิดจากความต้องการของคนในชุมชนท้องถิ่นและผู้จัดเป็น ชาวบ้าน ชุมชนท้องถิ่น ซึ่งชุมชนดาเนินการบริหารจัดการ ไม่ใช่ของผู้ใดผู้หนึ่ง มีความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาการจัด แสดง ทางค้านประวัติศาสตร์และทางสังคม วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นดังนั้นการจัด พิพิธภัณฑ์ไม่เพียง การจัดแสดงสิ่งของบรรดาโบราณวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว จะต้องสัมพันธ์กับเนื้อหาใน ด้านประวัติศาสตร์ทาง วัฒนธรรม ประวัดิศาสตร์ทางสังคมและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนที่อยู่ตามชุมชน ต่างๆในพื้นที่หรือท้องถิ่นอาศัย ความร่วมมือของคนในท้องถิ่น และการประสานกันทั้งภาครัฐและเอกชน และชุมชนให้ท้องถิ่นมีการจัดการแหล่ง เรียนรู้ สามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบเรียบง่าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ สภาพความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ที่แตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น โดยคำนึงถึง ประโยชน์ที่ประชาชนในท้องถิ่นที่จะได้รับประโยชน์เป็นหลัก เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนในชุมชน เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการประสบการการณ์เรียนรู้ เพื่อกระตุ้นส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคคลในท้องถิ่น เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและมีการจัดการเป็นแหล่งเรียนรู้ของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย การจัดการ หมายถึง กระบวนการ (Process) ของการวางแผน (Planning) การจัดองค์การ (Organization) การสั่งการ (Leading) และการควบคุม (Controlling) ความพยายามของสมาชิกในองค์การ และการใช้ทรัพย์กรต่างๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่องค์การกำหนดไว้


8 เตาเผา หมายถึง เครื่องมือที่จำเป็นและสำคัญมากในการผลิตเครื่องปั้นดินเผา ทำหน้าที่ให้ความร้อน เพื่อเปลี่ยนสถานภาพผลิตภัณฑ์ทั้งด้านเคมีและฟิสิกส์ เตาเผาที่ใช้กันในปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้เหมาะสม กับความต้องการ มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดเชื้อเพลิง ควบคุมสะดวกปลอดภัย มีรูปร่างและขนาดแตกต่าง กันไป


9 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในการศึกษาครั้งนี้ มีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องซึ่งได้นำเสนอ ตามหัวข้อไว้แล้วดังนี้ 2.1แนวคิดและทฤษฎี 2.2งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1แนวคิดและทฤษฎี 2.1.1 ความหมายและหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ (Muscum) หมายถึง สถาบันถาวรที่ให้บริการแก่สังคมและมีส่วนร่วมในการพัฒนา สังคม (ICOM,2010 : 43) ทำหน้าที่อนุรักษ์ ค้นคว้าวิจัย เผยแพร่ความรู้ และจัดแสดงมรดกทางวัฒนธรรม ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม (ICOM, 2010 : 36)รวมถึงการจัดแสดงสิ่งที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของ มนุษย์เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นิเวศวิทยา เป็นต้น พิพิธภัณฑ์มีหน้าที่สำคัญ 8 ประการ ทั้งที่เป็นหน้าที่ เบื้องหน้าและเบื้องหลังดังที่ จิรา จงกล(2532 : 33-45) กล่าวไว้ ดังนี้ 1) การรวบรวมวัตถุ (Collecting) หน้าที่ประการแรกของพิพิธภัณฑสถานนั้น แน่นอนที่สุดว่า จะต้องรวบรวมวัตถุ ถ้าไม่มีการรวบรวมก็ไม่เกิดเป็นพิพิธภัณฑสถานขึ้นได้ การรวบรวมวัตถุนั้นทำได้หลาย ทาง ได้แก่ 1.1) การรับบริจาควัตถุจากประชาชน ประเทศพัฒนาที่มีพิพิธภัณฑสถานจำนวน มากและจำแนก เป็นประเภทต่างๆอยู่แล้ว การเลือกรวบรวมวัตถุจากผู้บริจาคย่อมทำได้แต่ประเทศที่ กิจการพิพิธภัณฑสถาน ยังไม่พัฒนา และมีจำนวนน้อยย่อมปฏิบัติได้ยาก ปัญหาเรื่องการรวบรวมวัตถุจาก ผู้บริจาค จึงไม่มีทางเลือก จะต้องรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีผู้มอบให้ ซึ่งโดยหลักการแล้วในปัจจุบัน พิพิธภัณฑสถานจะต้องเลือกรับ บริจาค หากไม่เลือกย่อมเกิดปัญหาภายหลัง 1.2) การรวบรวมวัตถุเกิดขึ้นจากผลการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อมีการขุดค้นแหล่งโบราณสถาน ก็ จะขุดพบศิลปะ โบราณวัตถุจำนวนมาก ก็นำเข้าเก็บรักษาในพิพิธภัณฑสถาน หรือ นักชาติพันธุ์วิทยาออก สำรวจค้นคว้าชนเผ่าพันธุ์กลุ่มใดก็รวบรวมวัตถุสิ่งของเครื่องใช้แสดงวัฒนธรรมกลุ่มชนและเก็บรักษาใน พิพิธภัณฑสถาน


10 1.3) การรวบรวมวัตถุโดยการจัดซื้อ พิพิธภัณฑสถานใหญ่ๆจะต้องตั้งบประมาณ ไว้ก่อนข้างสูง สำหรับการจัดซื้อวัสดุที่มีคุณค่าสำคัญเก็บเข้าพิพิธภัณฑสถาน แต่พิพิธภัณฑสถานขนาด เล็กทั่วไปจะขัดสน งบประมาณสำหรับการจัดซื้อวัตถุในต่างประเทศมีนโบายลดภาษีเงินได้แก่ผู้ซื้อวัตถุ ให้แก่พิพิธภัณฑสถาน 2) หน้าที่ตรวจสอบ จำแนกแยกประเภทและศึกบาวิจัย (Identifying, Classifying Rescarch) เมื่อ พิพิธภัณฑสถานเก็บรวบรวมวัดถุใดเข้าพิพิธภัณฑสถาน จะต้องตรวจสอบ บอกได้ว่าเป็นอะไร สามารถ จำแนกแยกประเภท กำหนดอายุ แบบสมัย ที่มาของวัตถุ จะต้องรู้ว่าเป็นศิลปวัตถุอะไร กำหนดแบบศิลปะ อายุสมัยได้ในพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาศาสตร์ก็ต้องรู้ว่า ดิน หิน แร่ สัตว์ พืช ที่ รวบรวมคืออะไร แหล่งกำเนิดที่ ไหน หากรวบรวมวัตถุได้แล้วยังไม่สามารถตรวจสอบจำแนกตามลักษณะ วัตถุได้ ก็จะต้อง ทำการศึกษาวิจัย ค้นคว้าให้ได้แบบสมัย อายุ โคยวิธีการศึกษาเปรียบเทียบและวิธีทดลองตรวจสอบหรือ พิสูจน์อายุทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเรื่องราวที่แน่นอน 3) การทำบันทึกหลักฐาน (Recording) การบันทึกหลักฐานก็คือการจัดทำทะเบียน วัตถุทุกชิ้นที่ รวบรวมเก็บรักษาไ ว้ในพิพิธภัณฑ์ เป็นหลักฐานไม่ให้เกิดสูญหายหรือทุจริตจากเจ้าหน้าที่ และ เป็น หลักฐานทางวิชาการ เพราะเป็นทะเบียนประวัติหลักฐานแน่นอนในเรื่องที่มาของวัตถุ การตรวจสอบจำแนก แยกประเภท กำหนดอายุ สมัย ซึ่งมีความสำคัญสำหรับการศึกษาค้นคว้า วัตถุใดที่ไม่มีประวัติเป็นหลักฐาน จะไม่มีคุณค่าทางวิชาการ ไม่สามารถใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานได้ 4) หน้าที่ซ่อมสงวนรักษาวัตถุ (Conscrvation and prescrvation) งาน "เก็บรักษา" ได้พัฒนาไปมาก ในปัจจุบัน และถือเป็นหน้าที่สำคัญที่พิพิธภัณฑสถานจะต้อง "สงวนรักษา" วัตถุที่รวบรวม ไว้ให้คงทน ถาวรไม่มีการเสื่อมสภาพ ในปัจจุบันความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามาก การดูแลรักษาวัตถุ ของ พิพิธภัณฑสถานจึงใช้หลักการและเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ที่จะทำงาน "สงวนรักษา" และ "ซ่อมทุกประเภท ให้คงสภาพดีตลอดไป 5) หน้าที่รักษาความปลอดภัย (Muscum Security) พิพิธภัณฑสถานทุกแห่งจะต้องเจ้าหน้าที่ฝ่าย รักษาความปลอดภัยเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงและมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย (Security system) งานรักษาความปลอดภัยต้องวางแผนตั้งแต่เริ่มสร้างอาคารที่เดียว พิพิธภัณฑสถานทุกแห่ง โดยเฉพาะประเภทศิลปะต้องเน้นหนักเรื่องการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษกว่าประเภทพิพิธภัณฑสถาน จะต้องมั่นคง ปลอดภัยเช่นเดียวกับธนาคาร เป็นที่ไว้วางใจเชื่อถือของประชาชน


11 6) การจัดแสดง (Exhibition) งานในหน้าที่ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นงานเบื้องหลัง งานจัดแสดงเป็นงาน เบื้องหน้า พิพิธภัณฑสถานแห่งใคจัดแสดงได้ดึ ดึงดูดความสนใจของประชาชนได้มากการยกย่องสรรเสริญ ว่าทันสมัยน่าชมในสมัยก่อนไม่ได้มีการให้ความสำคัญถึงเทคนิคมากนัก แต่เมื่อแนวคิดของพิพิธภัณฑ สถานเปลี่ยนไป พิพิธภัณฑสถานต้องเป็นสถานที่ที่ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินแก่ประชาชน ทุก ประเภท ทุกวัย ทุกระดับการศึกยา และแนวคิดนี้ได้เปลี่ยนแปลงงานจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานใหม่ พิพิธ ภัณฑสถานจะต้องจัดแสดงด้วยเทคนิคที่ดึงดูดความสนใจผู้ชม การจัดแสดงจะต้องให้ทั้งความรู้ทั้งความ เพลิดเพลินด้วย 7) หน้าที่ให้การศึกษา (Museum Education) เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง ก็มีการเรียกร้อง ให้พิพิธภัณฑ สถานมีบริการเพื่อการศึกษาแก่คนทุกระดับ ทุกประเภท ทุกวัย จะมีการปรับปรุงกันอย่างกว้างขวาง โดย เฉพาะการจัดแสดงที่จะต้องให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินและเหมาะสมแก่คนทุกระดับการศึกษาจะต้อง มีกิจกรรมและบริการค้านการศึกษา มีเจ้าหน้าที่การศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบ ดำเนิน กิจกรรมการศึกษาแก่ ประชาชนทุกประเภท พิพิธภัณฑสถานได้พัฒนาถึงขั้นเป็นศูนย์บริการศึกษา (Educational Center) 8) หน้าที่ทางสังคม (Social Function) เมื่อกล่าวว่าพิพิธภัณฑสถานมีหน้าที่ รับผิดชอบต่อสังคม หมายความว่าพิพิธภัณฑสถานจะต้องเป็นสถาบันที่เปลี่ยนแปลงปรับตัวไปตามสภาพ ความเปลี่ยนแปลง ของสังคม ดำเนินกิจกรรมตามความต้องการของสังคม 2.1.2รูปแบบของพิพิธภัณฑ์ มีการจัดแบ่งรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ได้หลายลักษณะ เช่น แบ่งตามผู้เป็นเจ้าของ (พิพิธภัณฑ์ของรัฐ และเอกชน) แบ่งตามการจัดแสดงและวัตถุประสงค์ หรือแบ่งตามวัตถุที่จัดแสดง ICOM อ้างถึงใน กรม ศิลปากร, 2536 : 14-21) จัดแบ่งรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ตามการจัด แสดงและวัตถุประสงค์การจัดแสดง ดังนี้ 1) พิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Muscum of Arts) 2) พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย (Gallery of Contemporary Arts) 3) พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum) 4) พิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์และเครื่องจักรกล (Science and Techmnology Museum)


12 5) พิพิธภัณฑ์ทางมานุษขวิทยาและชาติพันธุ์วิทยา (Museum of Anthropology and Ethnology) ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา (Etnology Museum) พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นเมือง (FolkArts Museum) 6) พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์และ โบราณคดี (Museum of History and Archacology) ซึ่งสามารถ แยกออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ พิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดี (Archeological Museum) พิพิธภัณฑ์ทาง ประวัติศาสตร์ (Historical Museum) พิพิธภัณฑ์ประจำโบราณสถาน (Site Museum) 7) พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองหรือท้องถิ่น (Regional Muscum/City Muscum) 8) พิพิธภัณฑ์แบบพิเศษ (Specialized Museum) 9) พิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา (University Museum) องค์การยูเนสโกได้จัดแบ่งประเภทของพิพิธภัณฑ์ไว้ (UNESCO อ้างถึงใน Hagedorn-Saupe, Monika and Emert, Axel. 2004 : 69 ) ดังนี้ 1) พิพิธภัณฑ์ทางศิลปะ โบราณคดี และประวัติศาสตร์ 1.1) พิพิธภัณฑ์ศิลปะ คือ พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานภาพจิตรกรรมและ ศิลปะประยุกต์พิพิธภัณฑ์ ประติมากรรม พิพิธภัณฑ์ภาพถ่าย พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ สถาปัตยกรรม รวมไปถึงนิทรรศการ งานศิลปะถาวรที่จัดแสดงผลงานศิลปะที่ประกอบด้วยห้องสมุดและหอ จดหมายเหตุ 1.2) พิพิธภัณฑ์โบราณคดีและประวัติศาสตร์ จุดมุ่งหมายของพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์คือการ นำเสนอวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาค ประเทศ หรือจังหวัด อาจจำกัดแค่ยุดใดยุดหนึ่งหรือ มากกว่าหนึ่งศตวรรษพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดีนั้นจะรวมไปถึงพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาวัตถุทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ที่เป็นอนุสรณ์ หอจดหมายเหตุ พิพิธภัณฑ์ทางการทหาร พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับบุคคลทางประวัติ ศาสตร์ พิพิธภัณฑ์โบราณคดี พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุ เป็นต้น 2) พิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และพิพิธภัณฑ์ทางชาติพันธุ์วิทยา 2.1) พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คือ พิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ สาขาใดสาขาหนึ่งหรือหลากสาขาที่เกี่ยวข้องกับชีววิทยา ธรณีวิทยา พฤกษศาสตร์ สัตววิทยา สัตว์และพืช ดึกดำบรรพ์ และนิเวศวิทยา


13 2.2) พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี พิพิธภัณฑ์กลุ่มนี้จะเกี่ยวกับศาสตร์แขนงใดแขนงหนึ่งที่ เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี การแพทย์ท้องฟ้าจำลอง รวมทั้งศูนย์วิทยาศาสตร์ 2.3) พิพิธภัณฑ์ทางชาติพันธุ์และมานุษยวิทยา จัดแสดงเกี่ยวกับวัตถุทาง วัฒนธรรม โครงสร้างทาง สังคม ความเชื่อ ศิลปะดั้งเดิม เป็นต้น 3) พิพิธภัณฑ์ผสมผสาน 3.1) พิพิธภัณฑ์เฉพาะทาง เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ศึกษาค้นคว้าและจัดแสดงในเรื่องใด เรื่องหนึ่งเพียงเรื่อง เดียว ที่ไม่อยู่ในหมวดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น 3.2) พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อธิบายเกี่ยวกับท้องถิ่นอย่างกว้างๆ เป็นการจัดแสดง เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ซึ่งอาจรวมไปถึงชาติพันธุ์ เศรษฐกิจและสังคมด้วยเป็น การจัดแสดงวัตถุจากท้องถิ่นนั้นๆ มากกว่าจะจัดแสดงแบบเจะจงไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ 3.3) พิพิธภัณฑ์ทั่วไป เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีของสะสมหลากหลายผสมกันไม่ใช่การ สะสมเฉพาะอย่าง มีการสะสมวัตถุหลายประเภท และไม่สามารถจะจัดกลุ่มให้อยู่ในพิพิธภัณฑ์ประเภทใดประเภทหนึ่งข้างต้น ได้ 3.4) พิพิธภัณฑ์อื่นๆ คือพิพิธภัณฑ์ที่ไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น 2.1.3การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ (Exhibition) ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ต่างๆได้นำเทคนิคอันทันสมัยมาใช้ในการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นที่สนใจของผู้เข้าชม ซึ่งสามารถเรียนรู้ไปพร้อมๆกันกับการได้รับความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และเป็นสถานที่ให้ความรู้แก่ผู้คนทุกเพศทุกวัยและทุกประเภท OM (2010 :36) ได้ให้ความหมาย ของ นิทรรศการ (Exhibition) ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ ทำหน้าที่มากกว่าการสื่อสาร คือ มีหน้าที่เป็น แหล่งศึกษาเรียนรู้และมีหน้าที่ทางสังคมด้วย จากมุมมองนี้ การจัดนิทรรศการเป็นลักษณะพื้นฐานของการ เป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งได้ผ่านการพิสูจน์มาอย่างขาวนานว่าเป็นสถานที่ที่เยี่ยมยอดสำหรับการรับรู้ทางประสาท สัมผัส โดยการนำเสนอวัตถุที่จัดแสดงให้รับชม การสาธิต การนำวัตถุที่มีคุณค่าทางจิตใจ เช่น ศาสนวัตถุ มา จัดแสดง เป็นต้น ในการนำเสนอ ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเนื้อหาสาระสำคัญได้ด้วยตนเอง หรือเกิดแนวคิด บางประการขึ้นถ้าเรานิยามพิพิธภัณฑ์ว่าเป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นสถานที่แห่งการรับรู้ทางประสาทสัมผัส


14 นิทรรศการก็จะอยู่ในฐานะการสื่อสาร โดยการสร้างมโนภาพของสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงในขณะนั้น ผ่านวัตถุ หรือ กระบวนการ หรือสัญลักษณ์ตู้กระจกและบอร์ดนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์เป็นกลวิธีที่จะเชื่อมโลกแห่ง ความจริงกับโลกแห่ง จินตนาการเข้าไว้ด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เป็นไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะยืนยันถึงความ ห่างไกลของช่วงเวลา แล้วปล่อยให้เราเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งก็คือ โลกจำลองและโลกแห่งจินตนาการ เมื่อผู้เยี่ยมชมเข้าใจในวัตถุที่จัดแสดงครบถ้วน ซึ่งหมายรวมถึงวัตฤพิพิธภัณฑ์ ทั้งที่เป็น "วัตถุจริง" และ "วัตถุจำลอง (เช่น หุ่น เอกสารสำเนา ภาพถ่าย ฯลฯ) และสิ่งที่เป็นข้อมูล (เช่น ข้อความ ภาพยนตร์หรือ มัลติมีเดีย) และป้ายข้อมูล จากมุมมองคังกล่าวนี้ งานนิทรรศการ คือ ระบบการสื่อสารที่มี ลักษณะพิเศษมี พื้นฐานของการจัดแสดง "วัตถุจริง" รวมไปถึงสิ่งจำลองอื่นๆ ซึ่งได้ให้ผู้เยี่ยมชมได้แยกแยะ และเข้าถึง นัยสำคัญของวัตถุได้ดีขึ้น ตามบริบทนี้ กล่าวได้ว่า การที่แต่ละส่วนประกอบ เช่น วัตถุพิพิธภัณฑ์ วัตถุ จำลอง ข้อความ ฯลฯ ได้รับการนำเสนออยู่ในนิทรรศการ เราเรียกว่า เป็นการจัดนิทรรศการจิรา จงกล (2532 : 180-183) กล่าวว่า การจัดนิทรรศการแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การจัดแสดงถาวรและการจัดแสดงชั่วคราว 1) การจัดแสดงถาวร (Permanent Exhibition) ได้แก่ การจัดห้องแสคงแต่ละห้องเป็นการถาวร หรือ เป็นการตั้งแสดงไว้เป็นประจำ โดยพิจารณาถึงประ โยชน์ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนโดยทาง ปฏิบัติพิพิธภัณฑสถานจะดัดเลือกวัตถุที่มีความสำคัญ มีคุณค่า จัดแสดงเป็นการถาวรสำหรับผู้เข้าชม การจัด แสดงถาวรไม่ได้หมายความว่าจะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย แต่จะมีการแก้ไขปรับปรุง ตกแต่งใหม่ใช้เทคนิค ใหม่เป็นครั้งคราว แต่ละห้องจัดแสดงไม่ต่ำกว่า 5 ปี จึงปรับปรุงใหม่ครั้งหนึ่ง 2) การจัดแสดงชั่วคราว (Temporary Exhibition) หรือการจัดแสดงหมุนเวียน (Changing Exhibion) เป็นห้องจัดแสดงที่จัดไว้ชั่วคราว แต่ละเรื่อง ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องอื่นใหม่ หมุนเวียนกันไป เพื่อชักจูงความสนใจแก่ชุมชน โดยทั่วไปพิพิธภัณฑสถานจะเลือกเรื่องต่างๆแล้วจัดแสดงชั่วคราวแก่ ประชาชน ในกรณีที่พิพิธภัณฑสถานได้รวบรวมสิ่งของเข้าใหม่เป็นจำนวนมาก ก็นำออก จัดแสดงชั่วคราว เร้าความสนใจและให้ความรู้ในเรื่องวัตถุที่ได้มาใหม่ หลักการจัดแสดงถาวรและจัดแสดงชั่วคราว จึงอยู่ที่ วัตถุประสงค์สำคัญคือ การจัดแสดงถาวร จะต้องให้ผู้ชมมาดูแล้วมาดูอีกได้หลายครั้งโคยไม่เบื่อ สามารถดู วัตถุได้ชัดเจน ไม่อยู่ในแสงสลัวๆที่ประทับใจแต่มองเห็นลางเลือน ส่วนการจัดแสดงชั่วคราวนั้นก็ประสงค์ ให้คูกันเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้นเป็น การฉาบฉวยระยะสั้น 2.1.4แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ ICOM (2010 : 45) กล่าวถึงการจัดการพิพิธภัณฑ์ว่า ในปัจจุบันการจัดการพิพิธภัณฑ์เป็นการกระทำ ที่สร้างความมั่นใจในการบริหารงานพิพิธภัณฑ์และกิจกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับงานด้าน พิพิธภัณฑ์ (การ อนุรักษ์ การค้นคว้า และการสื่อสาร) เมื่อพิจารณาก็จะเห็นว่าการจัดการพิพิธภัณฑ์นั้น เกี่ยวข้องกับการเงิน


15 และการบัญชี (การบัญชี การบริหารจัดการและการเงิน) กฎหมาย การรักษาความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายใน การบำรุงรักษา การบริหารงานบุคคล และการตลาด ตลอดจนยุทธศาสตร์และแผนเกี่ยวกับกิจกรรมของ พิพิธภัณฑ์ในหนังสือคู่มือการจัดการพิพิธภัณฑ์ "Running a Museum: A Practical Handbook" ของ ICOM (2004 :133) ได้กล่าวถึงการจัดการพิพิธภัณฑ์ว่าพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพื่อสาธารณประโยชน์และ ประสบความสำเร็จ พิพิธภัณฑ์ควรมีลักษณะที่ตอบสนองความต้องการของสังคม การบริหารจัดการเพื่อก่อ ประ โยชน์แก่สังคมจะต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม พิพิธภัณฑ์อยู่ในฐานะผู้ดูแลสิ่งที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม ธรรมชาติและมรดกของผู้คนและมรดกทางธรรมชาติ และมีความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาด พิพิธภัณฑ์ดำเนินงานในฐานะ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการที่ดี ดังนั้น ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ควรมีความเป็น ผู้นำ วิสัยทัศน์ และมี การแนะแนวทางในวัฒนธรรมของบางประเทศ ผู้ที่จะตัดสินใจเรื่องสำคัญๆในการ บริหารจัดการพิพิธภัณฑ์คือ ผู้มีอำนาจรัฐ หรือผู้ที่เป็นหัวหน้าสูงสุดของพิพิธภัณฑ์ เช่น ผู้อำนวยการ หรือ ผู้บริหารระดับสูง ซึ่งจะตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ การบริการและให้ความรู้แก่ ประชาชน ในบางวัฒนธรรมการบริหารจัดการจึงอาจมีความจำเป็นอย่างมาก และ ไม่ใช่ว่าจะจำเป็นสำหรับ ผู้บริหารระดับสูงผู้อำนวยการ ใครคนใดคนหนึ่ง หรือเพียงหนึ่งหรือสองหน่วยงาน เช่น การเงินและฝ่าย บุคคลเท่านั้นตัวอย่างเช่นในสหราชอาณาจักร คนทำงานร้อยละ 30ของประเทศ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการ บริหารจัดการ มีการอบรมการจัดการอย่างเป็นทางการให้แก่ภัณทารักษ์ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่ปี 1964 ซึ่ง ถือว่าเป็น ส่วนสำคัญของโครงสร้างที่มีคุณภาพของชาติในการบริการจัดการพิพิธภัณฑ์ มีสิ่งที่ต้อง ดำเนินการให้เกิดขึ้น 9 ประการ (ICOM : 2004) ดังนี้ 1) โครงสร้างการจัดการ (Management Structure) สิ่งสำคัญในการจัดการก็คือการจัดทำเอกสาร เกี่ยวกับโครงสร้างของพิพิธภัณฑ์ ภายใต้การอนุมัติและการสนับสนุน กระบวนการพื้นฐานนี้ เป็นสิ่งที่มี ประโยชน์มากเช่นเดียวกับการจัดทำรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ใหม่ โครงสร้างการบริหารจัดการมักเป็นพื้นฐาน ของการลงมือปฏิบัติ เช่น แผนผังง่ายๆ หรือ ชาร์ตการบริหารจัดการที่แสดงลำดับการมอบหมายหน้าที่และ การแลกเปลี่ยนหรือส่งต่อข้อมูลพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่มีโครงสร้างการบริหารจัดการซึ่งประกอบด้วย องค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงาน กระบวนการอนุรักษ์ และวิธีการหรือขั้นตอนการปฏิบัติงาน ส่วนประกอบทั้งหมดของพิพิธภัณฑ์อาจจะอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของบุคคลจำนวน 1คนหรือหลายคน ก็ได้


16 2) การทำงานเป็นทีม (Team Work) ระบบการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และโครงสร้างมุ่งที่จะทำให้ เกิดผลการคำเนินงานที่เป็นไปตามกฎหมาย เกิดหลักการบริหารจัดการ แนวคิดทางธุรกิจและเกิดการพัฒนา อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจกัน โดยกว้างขวางว่านอกจากความสนใจในการบริหารจัดการและโครงสร้าง เจ้าหน้าที่รัฐ/ผู้มีอำนาจรัฐ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ ภัณฑารักษ์ ด้านงานศิลปะ ภัณฑารักษ์ ด้านมานุษวิทยา ภัณฑารักษ์ ด้าน ประวัติศาสตร์ ส่วนงาน การศึกษา เกี่ยวกับการปฏิบัติงาน ส่วนงานด้านการ รักษาความปลอดภัย ส่วนการจัดแสดง นิทรรศการ เลขานุการ เจ้าหน้าที่จัด นิทรรศการ เจ้าหน้าที่รักษา ความปลอดภัย ผู้จัดการด้าน เจ้าหน้าที่นำชม การสะสม ผู้จัดการด้าน การสะสม ผู้จัดการด้าน การสะสม รูปที่3 ภาพแสดงโครงสร้างการจัดการพิพิธภัณฑ์


17 การบริหารของพิพิธภัณฑ์แล้ว การส่งเสริมทัศนคติด้านการทำงานเป็นทีม สนับสนุนให้มีการ สื่อสาร ระหว่างกันในองค์กรและขอมรับในเป้าหมายเดียวกันของคนในองค์กรนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้น การบริหาร จัดการพิพิธภัณฑ์ที่ดีจะต้องมีการทำงานเป็นทีม การพัฒนาวิสัยทัศน์ของสถาบันและการจัดให้มีบรรยากาศ ที่เอื้อต่อการทำงานเป็นทีมจะทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย 3) ความรับผิดชอบต่อสังคม (Public Responsibility) พิพิธภัณฑ์ควรมีการจัดทำเอกสารโดยบางส่วน อาจมาจากกฎข้อบังดับหรือเอกสารอื่นๆ เพื่อแสดงว่าพิพิธภัณฑ์ดำเนินไปอย่างถูกกฎหมายและดำรง สถานภาพทางการเงินที่ดี และควรยืนขันด้วยว่าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อที่จะแสวงหาผลกำไรให้แก่ เจ้าของพิพิธภัณฑ์ (ยกเว้นพิพิธภัณฑ์เอกชน) แต่เป็นไปเพื่อการบริการแก่สังคม 4) พันธกิจ (Mission Statement) เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าสิ่งที่จะเป็นพื้นฐานของพันธกิจ ของ พิพิธภัณฑ์อาจมาจากชื่อของพิพิธภัณฑ์เอง โดยทั่วไปพิพิธภัณฑ์สะสมวัตถุและมีบทบาทที่ถูกกำหนด โดย รัฐหรือผู้มีอำนาจ อาจกล่าวได้ว่าภารกิจพื้นฐานของพิพิธภัณฑ์เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ศิลปะ หรือ วิทยาศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวัตถุ อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าภารกิจของพิพิธภัณฑ์จำเป็นต้องมีการ จำกัดความถึงขอบเขตของสิ่งที่สะสมและการวิเคราะห์พรรณนาบทบาทและลักษณะเฉพาะของพิพิธภัณฑ์ พันธกิจของพิพิธภัณฑ์ควรจะเรียบง่าย อธิบายว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวข้องกับอะไร ทำอะไรบ้าง บริหาร จัดการอย่างไร สะสมอย่างไร ดำเนินงานที่ไหน สะสมที่ไหนและเหตุใดจึงสะสม พันธกิจควรมีการทบทวน และรับรองอย่างเป็นทางการ และสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ในภายหลัง 5) นโยบาย (Policies) พันธกิจเป็นเอกสารพื้นฐานของทุกพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็นการประกาศ วัตถุประสงค์ แต่ก็มีความสำคัญมากขึ้นอีกหากพิจารณาการให้คำจำกัดความของทั้ง 2 ส่วน คือ นโยบายการ ดำเนินงานและน โยบายระยะยาวหรือแผนการพัฒนา นโยบายได้ทำให้เกิดกรอบหรือโครงสร้างการทำงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรซึ่งก็คือภารกิจนั่นเอง นโยบายขององค์กรจำนวนมากอาจถูกวางไว้อย่าง หลวมๆ เช่น รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยถูกวางนโยบายโดยรัฐ (ในกรณีของพิพิธภัณฑ์ของรัฐหรือของ มหาวิทยาลัย) 6)การบริหารจัดการทางการเงิน (Financial Management) พิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเงิน ของรัฐและมึกฎหมายการบัญชีคอยควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม และมีผู้มีอำนาจของรัฐเป็นผู้ ตัดสินใจการปฏิบัติงานด้านการเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ผู้มีอำนาจอาจจะมีวิสัยทัศน์ทางการเงินที่ แตกต่างกัน มีพิพิธภัณฑ์จำนวนไม่มากนักที่สามารถดำเนินงานควบคุมทิศทางทางการเงินได้ด้วยตนเองหาก ไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างของจำนวนเงินงบประมาณและที่มาของงบประมาณ พิพิธภัณฑ์ทั้งหมดต่างก็มี ภาระทางการบัญชีในการคำนวณงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร กระบวนการพัฒนางบประมาณ การจัดการ


18 กองทุน แผนทางการเงินได้ถูกนำมาใช้กัน โดยทั่วไปในการจัดการทางการเงิน ในขณะที่แนวทาง ถูกสร้าง หรือถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจรัฐ การคำเนินงานก็ต้องอาศัยผู้จัดการพิพิธภัณฑ์และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน 7) จริยธรรมกับการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ (Museum Ethics and Management) มีประเด็นทาง จริยธรรมบางประการที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของพิพิธภัณฑ์การจัดการและการบริหารเงินงบประมาณ รวมทั้งทรัพยากร เช่น การสะสม แน่นอนว่ามึกฎหมายมารองรับให้มีการรับผิดชอบดังกถ่าวอย่างไรก็ตาม ประเด็นความรับผิดชอบทางจริยธรรมก็ไม่ได้ถูกจำกัดว่าจะทำแค่ในประเทศใคประเทศหนึ่งเพื่อที่จะให้ พิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งเป็นที่ขอมรับว่าเป็นหน่วยงานที่มีจริยธรรม ทุกๆพิพิธภัณฑ์ควรมึนโยบายการบริหาร จัดการทางการเงิน ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดยผู้มีอำนาจรัฐ ในการนำเงินงบประมาณมาใช้ วัตถุทางธรรมชาติ วัตถุ ซึ่งสามารถซื้อ-ขายได้ และกระบวนการควบคุมงบประมาณ ควรเก็บรักษาบันทึกการใช้ง่ายทรัพยากร งบประมาณและปรับปรุงงบประมาณทุกครั้งด้วยความโปร่งใส สิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่จะ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาและข้อเคลือบแคลงสงสัย 8) การวางแผน (Planning) การวางแผนพิพิธภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพควรจะเป็นกิจกรรมแบบ องค์ รวม ซึ่งรวมเอาภาพรวมของประวัติศาสตร์พิพิธภัณฑ์ ภารกิจ การสะสม เจ้าหน้าที่ สิ่งอำนวยความสะดวก งบประมาณ การสนับสนุน สังคม/ชุมชน ผู้เยี่ยมชม สถานะทางสังคม ท้องถิ่นและอุปสรรคภายในและ สิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมทั้งศักยภาพทางสังคมในการที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางของพิพิธภัณฑ์ในอนาคต กระบวนการวางแผนนี้ได้ให้พิพิธภัณฑ์ประเมินค่า นิยามใหม่และดำเนินภารกิจให้สำเร็จ วางวิธีการจัด แสดงนิทรรศการและ ให้บริการผู้เยี่ยมชม มีความเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นระหว่างกระบวนการวางแผน กับการตลาด เพราะ ว่าการวางแผนจะต้องมาก่อนการตลาดและการวิเคราะห์การตลาดของพิพิธภัณฑ์เป็น ส่วนหนึ่งของกระบวนการวางแผน 9) การสรุปความเห็น (Concluding Comments) งานพิพิธภัณฑ์เป็นการทำงานที่ได้รับมอบหมายจาก สาธารณะ ผูก โยงอยู่กับความรับผิดชอบอันมากมาย ผู้บริหารระดับสูงรวมถึงผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ต้องมีความ รับผิดชอบในงานพิพิธภัณฑ์ที่ดำเนินการอยู่ ความไม่ไว้วางใจอาจเกิดขึ้นได้โดยมีสาเหตุมาจากหน้าที่การ บริหารจัดการที่มีขอบเขตกว้างขวางและกิจกรรมทางพิพิธภัณฑ์ที่หลากหลายเทคโนโลยี การเมือง กิจกรรม ทางสังคมมีความจำเป็นในฐานะที่สามารถใช้เป็นแนวทางการจัดการพิพิธภัณฑ์ตามที่มีการเรียกร้อง ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์จะต้องเป็นตัวแทนสาธารณะ สนับสนุนให้เกิดการบริการควรเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน พิพิธภัณฑ์และสามารถรักษาทรัพยากรอันสำคัญได้โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์ที่ เก็บรักษาวัตถุจำนวนมาก ผู้ ดำเนินงานพิพิธภัณฑ์จำเป็นจะต้องมีทักษะทางวิชาการและการจัดการในการสนับสนุนภารกิจของ พิพิธภัณฑ์ ในขณะที่ต้องมีทักษะทางการสื่อสารที่เยี่ยมยอด รับผิดชอบหน้าที่ในการอธิบายเนื้อหาหลัก


19 เนื้อหารองในเชิงวิเคราะห์ซึ่งเป็นที่เข้าใจยากสำหรับคนทั่วไป ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นการจัดการพิพิธภัณฑ์เป็น สิ่งท้าท้าย ผลที่จะได้รับนั้นคือเป็นที่สนใจของสาธารณชน ปกป้อง สาธารณะประ โยชน์และสนับสนุนให้ เกิดความเป็นมิตรและความเข้าใจ การจัดการที่ดีนั้นเกี่ยวข้องกับการ พัฒนาอย่างยั่งยืน การมีจริยธรรมอย่าง มืออาชีพ เคารพให้เกียรติ ซื่อสัตย์ จริงใจและอุทิศตนผู้อำนวยการ พิพิธภัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ บริหารงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการ จะต้องดำเนินงานด้วย ความซื่อสัตย์และสอดคล้องกับหลัก จริยธรรมอย่างเคร่งครัดที่สุดเช่นเดียวกับการมุ่งไปสู่เป้าหมายที่สูงที่สุด 2.1.5แนวคิดเกี่ยวกับการตลาดของพิพิธภัณฑ์ 2.1.5.1คำจำกัดความของคำว่า การตลาดในหนังสือ Core concepts of Marketing ของ John Bernet (2008) กล่าวว่า ในเบ็ต ฮาวาร์คารย์แห่ง Business Theodore Levitt กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของทุกธุรกิจคือ "การหาลูกค้าและการรักษาฐานของลูกค้า นอกจากนี้หนทางเดียวที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นคือ การ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กล่าวคือ จะต้องโน้มน้าวใจลูกค้า (หรือผู้ที่อาจเป็นลูกค้า) ว่าอะไรที่คุณ จะมอบให้แก่เขา ให้เขาได้มาพบสิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้ หรือต้องการในขณะนั้น ด้วยความหวังว่าคุณจะ สามารถมีความได้เปรียบอย่างต่อเนื่อง หากเป็นดังนั้น ท้ายที่สุดแล้ว ลูกค้าจะไม่พิจารณานานเพื่อหาทาง เลือกอื่น และยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าของคุณด้วยความเคยชินและไม่เปลี่ยนใจ ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นใน ผู้คนที่ขับแต่รถ Fords แปรงฟันด้วย Chest เท่านั้น ซื้อคอมพิวเตอร์ De!! เท่นั้น หรือซ่อมท่อประปาด้วย "เซมสัน ปั้มบลิ้ง สาย ด่วนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน" เท่านั้น การสร้างภาวะผูกพันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ปราศจากการพิจารณา ทางเลือกอื่น ไปสู่การเจาะจงการซื้อสินค้าแบรนด์นั้นๆให้เกิดแก่ลูกค้า เป็นความฝัน ของธุรกิจทุกประเกท มันอาจจะไม่เกิดขึ้นหากไม่มีการใช้วิธีทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ในความเป็น จริง บทบาทเฉพาะของการตลาดก็คือ ให้ความช่วยเหลือในการพิจารณา สร้างความพึงพอใจและการรักษา ลูกค้า (John Bernet, 2008 : 3)ในหนังสือ Oficial American Marketing Association (1988) นิยามคำว่า "การตลาด" การตลาดหมายถึงกระบวนการวางแผนและดำเนินความคิด ในการกำหนดราคา ส่งเสริมการ ขาย การกระจายความคิด กระจายสินค้าและบริการ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน ซึ่งทำให้เกิดความพึงพอใจแก่ ลูกค้ารายบุคคลและองค์กร" (John Bemnet, 2008 : 4) ซึ่งสามารถขยายความเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ในคำจำกัดความดังกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้ ดังนี้ 1) แนวทางสำหรับสถานประกอบการ คือ “พันธกิจ” ซึ่งเปรียบได้กับเป้าหมายขององค์กร สะท้อน ปรัชญาทางธุรกิจที่แท้จริงของสถานประกอบการ


20 2 ทุกสถานประกอบการ ประกอบด้วยส่วนงานในสาขาต่างๆ เช่น การบัญชี การผลิต การเงิน การ ประมวลผลข้อมูล การตลาด ซึ่งมีความจำเป็นในการทำให้เกิดการดำเนินกิจการและประสบ ความสำเร็จ ส่วนงานสาขาต่างๆเหล่านี้จะต้องได้รับการจัดการเพื่อให้มีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ 3) ทุกๆส่วนงาน มีแนวทางการดำเนินงานเดียวกัน คือ ปรัชญา (มาจากพันธกิจหรือเป้าหมายของ บริษัท ซึ่งจะทำให้มีการดำเนินงานที่สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันที่สุด 4) การตลาดแตกต่างจากสาขาอื่นๆ ในเบื้องต้นเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยน ซึ่งอาศัยตลาดเป็น สถานที่แลกเปลี่ยน 5) การตลาดจะสำเร็จได้ต่อเมื่อ ปรัชญา ภาระหน้าที่และลักษณะการคำเนินงานเป็นไปอย่าง สอดคล้องกันและมีความสมบูรณ์ 2.1.5.2การตลาด กับ พิพิธภัณฑ์Paal Mork (2004 : 161 -175) อธิบายการใช้หลักการตลาดในการ บริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ใน หนังสือ Running a Museum : A Practical Handbook ว่า ไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา นี้ พิพิธภัณฑ์ได้ให้ความสนใจในการดึงดูคความสนใจผู้เยี่ยมชมมากขึ้น และการตลาดก็ได้กลายเป็นเครื่อง มือในการบริหารจัดการในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆในหลายประเทศ เหตุผลสำคัญ สนับสนุนด้านการเงินจากรัฐบาลลดน้อยลง ในขณะที่มีการแข่งขันกันระหว่างพิพิธภัณฑ์เข้มข้นขึ้นโดย เฉพาะช่วงเวลาพักผ่อนท่องเที่ยว รวมทั้งสังคมในปัจจุบันกำลังเผชิญหน้ากับกระแสของข้อมูลข่าวสารก็ยิ่ง ทำให้เกิดความท้าทายมากขึ้นไปอีก พิพิธภัณฑ์ซึ่งมุ่งเน้นไปที่จำนวนผู้เขี่ยมชม ทำให้เกิดการทำงานที่ มุ่งเน้นการสร้างผู้เข้าชมหน้าใหม่ การสื่อสารกับผู้ชมไม่ใช่การสื่อสารทางเดียว พิพิธภัณฑ์ที่จะประสบ ความสำเร็จอย่างแท้จริงจะต้องไม่สื่อสารเพียงทำตามหน้าที่ที่มีต่อผู้เยี่ยมชม แต่จะต้องคอยรับฟังผลตอบรับ จากผู้ชมและใช้ผลตอบรับนั้น เป็นข้อมูลในการปรับปรุงโดยให้ผู้เยี่ยมชมเข้ามามีส่วนร่วมในการปรับปรุง ด้วย 2.1.5.3การพัฒนาพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบันที่สัมพันธ์กับทฤษฎีและภาคปฏิบัติทางการตลาดด้วยการ พัฒนาการตลาด ลูกค้าได้กลายเป็นจุดที่ต้องให้ความสนใจแทนการมุ่งความสนใจไปที่ การผลิตเพื่อการขาย อย่างแต่ก่อน ผู้ผลิตจะพิจารณาสิ่งที่จำเป็นและเป็นที่ต้องการของลูกค้า และผลิตสินค้าเพื่อความพึงพอใจ ของลูกค้า การผลิตอยู่บนฐานของความจำเป็นของตลาค การพัฒนาการตลาด ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระบวน การส่งเสริมการผลิตสินค้าเพื่อลูกค้าเท่านั้น แต่รวมไปถึงการสื่อสารการกันคว้าวิจัยเพื่อหาความจำเป็น ต้องการของลูกค้าด้วย การพัฒนาลักษณะเฉพาะดังกล่าวนี้เป็นการตลาดแบบสมัยใหม่พิพิธภัณฑ์หลายแห่ง ที่ยังคงเน้นการปรับปรุงในด้านการผลิต เช่น การเลือกจัดนิทรรศการจะมีภัณฑารักษ์ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว


21 ซึ่งก็จะเกี่ยวกับความสนใจส่วนตัวและหัวข้อที่กำลังศึกษาวิจัยอยู่ การบริการสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ชม ถูกละเลย เช่น หัวหน้าภัณฑารักษ์อาจจะไม่เคยลงพื้นที่และแทบไม่เคยพบปะกับผู้เยี่ยมชมเลย และการจัด โปรแกรมนิทรรศการต่างๆมักจะถูกวางแผนในระยะยาวซึ่งใช้ปัจจัยภายในเทำนั้นในการพิจารณาในการ วางแผน เมื่อผลลัพธ์จากการบริหารจัดการดังกล่าวจะเห็นว่าจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมลดลง แม้ว่ามีการจ้าง ผู้จัดการฝ่ายการตลาดมาเพื่อทำการโปรโมทนิทรรศการเก่าๆตาม หลักการขายแต่ก็ยังประสบปัญหา เพราะ บ่อยครั้งพบว่าปัญหาที่แท้จริงนั้นคือ นิทรรศการขาคความน่าสนใจ ดังนั้นความพยายามด้านการขายก็ไม่ได้ สามารถแก้ไขได้พิพิธภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จจะต้องมองเนื้อหาที่จะนำเสนอในพิพิธภัณฑ์ในฐานะที่เป็น สินค้าที่จะขาย เชื่อมโยงประสานงานกับการตลาด นำไปสู่การวางแผนทางสถิติและกระบวนการด้าน งบประมาณการปรับปรุง ด้านจำนวนผู้เยี่ยมชมต้องพยายามทำให้เข้าถึงความรู้สึกหรือจิตใจของผู้เยี่ยมชม และสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมต้องการ จำเป็นและพฤติกรรม จากนั้นจึงค่อยสร้างโปรแกรมการจัดแสดง 2.1.5.4การผสมผสานทางการตลาด การตลาดพัฒนาปรับปรุงโดยขึ้นอยู่กับตัวแปรในกระบวนการ เริ่มตั้งแต่การผลิต การออกแบบ ไปสู่การขาย ตัวแปรเหล่านี้เรียกว่า การผสมผสานทางการตลาค แนวทางทั่วไปที่จะจำแนกการตลาดแบบ นี้ ออกจากการตลาดทั่วไป ได้แก่ การตลาดแบบ 4P ของ E.Jerome McCharty ได้แก่ 1) สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ (Product) ผลิตภัณฑ์ คือ วัตถุหรือบริการที่ลูกค้าต้องการหรือจำเป็น เป็นส่วนที่สำคัญของการผสมผสาน ทาง การตลาด ถ้าผลผลิตไม่เป็นที่ต้องการหรือไม่จำเป็นก็จะขายไม่ออก จากมุมมองของผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ทั่วไป สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ก็คือแกลอรี่หลัก นิทรรศการพิเศษและส่วนอื่นๆของพิพิธภัณฑ์ที่เปิด ให้ สาธารณชนเข้าชม แต่สำหรับผู้เยี่ยมชมอื่นๆมันอาจหมายถึงการอำนวยความสะดวกด้านการค้นคว้าพื้นที่ที่ ให้บริการพบปะเพื่อนฝูง เช่น พิพิธภัณฑ์ที่เป็นร้านกาแฟและร้านอาหารด้วย พื้นที่ทั้งหมดนี้ ต้องคำนึงถึง ความพึงพอใจของผู้เข้าเยี่ยมชม เพราะว่าถ้าพิพิธภัณฑ์ไม่เป็นที่ดึงดูดใจ ก็จะไม่เป็นที่นิยม แม้ว่าจะเสนอ ให้บริการฟรีและโฆษณาว่ามีชิงโชดก็ตาม ปัญหาความผิดพลาดที่เหมือนๆกันในพิพิธภัณฑ์ หลายแห่งทั่ว โลก คือการจัดนิทรรศการนั้นอยู่บนพื้นฐานของการผลิต ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความพึง พอใจ ความ ต้องการหรือความสนใจของผู้ชม ในกรณีนี้แม้ว่าจะใช้กิจกรรมทางการตลาดก็ไม่ได้ช่วยแต่ อย่างใด หากมี การสำรวจและสัมภาษณ์กลุ่มเป้หมายที่คาคว่าจะกลายมาเป็นผู้เยี่ยมชมก่อนการวางแผน จัดนิทรรศการและ พัฒนาพิพิธภัณฑ์ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็คือจะสามารถเชื่อมโยงไปสู่ผู้ชมได้เป็นอย่างดี 2) ราคา (Price)


22 ในการผลิตทางอุตสาหกรรม ราคาสินค้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะชนะการแข่งขันทางธุรกิจและทำ กำไร ราคาเป็นเครื่องมือทำให้เกิดกลุ่มเป้าหมาข และไม่ควรจะเก็บค่าเข้าชมทุกคนถ้าพิพิธ ภัณฑ์ต้องการจะ หารายได้ในอุตสาหกรรมทางท่องเที่ยว ก็สามารถเลือกวิธี ที่ฉลาดคือการเสนอขายให้แก่ตัวแทนจำหน่าย หรือบริษัททัวร์เพื่อสร้างมูลค่า สปอนเซอร์และผู้บริจาคจะมีความพึงพอใจมากหากได้รับตัวเข้าชม พิพิธภัณฑ์ฟรี ในฐานะนายจ้างหรือผู้ติดต่อรายสำคัญ หรืออาจจะเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ในการจัดทำตัวทัวร์ชมพิพิธภัณฑ์หลายๆแห่งในคราวเคียวกัน ในยุโรปกลยุทธ์ในการให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ ฟรีเป็นการสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่เป็นที่นิยมมาก ความคิดนี้ส่งเสริมให้มีกลุ่มที่ โดยปกติแล้วไม่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ หรือไม่สามารถจ่ายค่าเข้าชมได้มีใอกาสเข้าชม 3) การส่งเสริมการขาย (Promotion) ความจำเป็นในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างหลากหลาย พิพิธภัณฑ์ที่แสดงสมบัติที่มีขึ้นเดียวในโลกสามารถทำให้มีผู้เข้าชมได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องมีกิจกรรม ส่งเสริมแต่อย่างใด ในขณะที่พิพิธภัณฑ์อื่นๆ ที่มีของสะสมที่มีความน่าสนใจน้อยกว่าต้องพยายามเพื่อให้มีผู้ เข้าชมต่อเนื่อง 4) สถานที่ (Place) สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาการผลิตการจัดสถานที่และการกระจายสินค้าเป็นสิ่งจำเป็นการ โฆษณาสินค้ซึ่งขาดตลาดอาจทำให้ลูกค้าเสียดวามรู้สึกได้ พิพิธภัณฑ์ควรปรับปรุงสถานที่ สถานที่ในพิพิธ ภัณฑ์ในเชิงการดลาดอยู่ในลักษณะของการขนส่งผู้เยี่ยมชมมาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ถ้าพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ ใน บริเวณที่ห่างไกลชุมชน การเดินทางไม่สะดวก หรือเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ไม่ปลอดภัยก็น่าจะเป็น แนวคิดที่ดีที่จะจัดการเรื่องการขนส่งให้แก่ผู้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ เช่น Getty Los Angeles และ The Zuider Zee Museum มีการเดินทางฟรี โดยรถรางหรือโดยเรือ การบริการรถบัสพิพิธภัณฑ์ (หรือเรือเฟอร์รี่ในอัมส เดอดัม) ซึ่งจอดให้ลงที่หน้าพิพิธภัณฑ์ ถ้าพิพิธภัณฑ์รับคณะทัวร์หรือคณะศึกษาดูงานก็จำเป็นต้องมีที่จอด รถ 2.1.5.5กลยุทธ์การวางแผนการตลาด การตลาดแบบผสมผสานกลายเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาพิพิธภัณฑ์และเป้าหมายในระยะยาวใน การวางแผนกลยุทธ์อย่างหลีกเสี่ยงไม่ได้ การวางแผนกลยุทธ์แตกต่างจากจัดการ โดยทั่วๆไป แต่เป็น กิจกรรมทั้งหมดสำหรับพิพิธภัณฑ์ การวางแผนกลยุทธ์ต้องมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่องและมีการ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสถานการณ์เวคล้อม พิพิธภัณฑ์ที่มีการปรับปรุงด้านจำนวนผู้เข้าชม จะมุ่ง


23 ไปที่การวางแผนกลยุทธ์ที่มีเป้าหมายที่อ้างอิงไปถึงสาธารณชน และแผนจะต้องมีการปรับปรุงด้าน การตลาดด้วย พิพิธภัณฑ์สามารถพัฒนาโดยแยกการวางแผนการตลาดกับการวางแผนกิจกรรมของ พิพิธภัณฑ์ออกจากกัน 1) ภารกิจและวิสัยทัศน์ (Mission and Vision) ภารกิจ เป็นเป้าหมายของการบริหารจัดการ ส่วนเป้าหมายหลักของพิพิธภัณฑ์ คือ สะสม อนุรักษ์ ศึกษาเผยแพร่ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน โดยทั่วไปภารกิจที่ถูกกำหนดในแต่ละวันของพิพิธ ภัณฑ์ไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาต่อไป ถ้าพิพิธภัณฑ์ต้องการจะมีความชำนาญพิเศษในสาขาใดสาขา หนึ่งที่แน่นอนหรือเคลื่อนไหวตามความต้องการของตลาด ก็ควรจะมีภารกิจในการปฏิรูปหรือปรับปรุง พิพิธภัณฑ์ ในกระบวนการปฏิรูปพิพิธภัณฑ์ การบริหารจัดการจะทำให้มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าอะไรคือ วัตถุประสงค์และอนาคตอันเป็นเป้าหมายของพิพิธภัณฑ์ วิสัยทัศน์ สะท้อนการให้ความสำคัญกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอันดับแรกๆของพิพิธภัณฑ์ ในการอธิบาย อุดมการณ์ซึ่งจะใช้เป็นวิสัยทัศน์ควรแสดงให้เห็นสิ่งที่พิพิธภัณฑ์ต้องการจะเป็นมากที่สุดเช่นเป็นพิพิธภัณฑ์ ศิลปะสมัยใหม่แห่งชาติ หรือเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดที่จะมาเรียนรู้ประสบการณ์ทางโบราณดีแห่งชาติเป็น ต้น 2) การวิเคราะห์สถานการณ์ (Situation Analysis) พิพิธภัณฑ์จะประสบความสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในและภายนอก ในกระบวนการวางแผนกล ยุทธ์ที่จำเป็นมากคือการที่จะต้องรู้ข้อจำกัดและความป็นไปได้ในด้านการจัดการและในบริบทโลก ปัจจัย เหล่านี้สามารถบ่งออกตาม SWOT ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและ อุปสรรค ซึ่ง เกิดจากตัวพิพิธภัณฑ์เองและสภาพแวดล้อมภายนอก ปัจจัยภายใน จุดอ่อนและจุดแข็ง ปัจจัยภายนอก โอกาสและอุปสรรค


24 2.1.5.6การส่งเสริมการขาย (Promotion) การส่งเสริมการขายหรือการโปรโมทเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่พิพิธภัณฑ์มีให้แก่ผู้ชมโดย ควรตระหนักอยู่สมอว่ามันคือกระบวนการสื่อสาร 2 ทาง คือ ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ขณะที่พิพิธภัณฑ์เป็นผู้ ส่งสารผ่านช่องทางที่ถูกเลือก ผู้รับสารต้องรับสารได้อย่างสะดวกและเกิดการกระทำตอบกลับการสื่อสาร โดยทั่วไปประกอบด้วย การโฆษณา การสร้างความสัมพันธ์กับสาธารณะ การขายตรงและการขายใน ช่องทางต่างๆ เช่น อินเตอร์เน็ต โมเดลกระบวนการสื่อสาร รูปที่4 ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผล ต่อการวิเคราะห์ ข้อมูล SWOT Analysis


25 2.1.5.7การสร้างแบรนค์พิพิธภัณฑ์ (Building a Muscum "Brand")แบรนด์เป็นชื่อของผลิตภัณฑ์ แต่ แบรนด์เป็นมากกว่าป้าย ชื่อหรือแพคเกจที่พิเศษ แบรนด์ทำให้โลกจดจำหรือนึกถึงสินค้า แบรนด์เสริม คุณค่าให้แก่สินค้า เช่น เมอร์ซิเดส เบนซ์ ไม่ได้เป็นแก่รถแต่มันมีความหรูหราและคุณมุ่งหวังว่าจะได้ขับมัน ฝ่าพายุหิมะ หรือฝ่าทะเลทรายและไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยผู้คน จำนวนมาก เข้ามามีส่วนร่วมในการ เสริมสร้างความหมายให้กับแบรนค์ที่ยิ่งใหญ่ ความหมายนี้จะเชื่อมโยง กลับไปสู่ผู้คนที่ใช้แบรนค์นี้ด้วย ถ้า คุณขับเมอร์ซิเคส เบนซ์ ผู้คนจะสันนิษฐานว่าคุณรวย และมียศมีแหน่งที่ดีเยี่ยม การสร้างคุณค่าของแบรนค์ เป็นอะไรที่ทำให้เกิดการสร้างความหมายให้แก่แบรนด์มีคุณค่า มากมายแก่ผู้ผลิตและมีความหมายต่อการจัด ลำคับผลิตภัณฑ์ แต่ผู้ผลิตจะไม่สามารถควบคุมแบรนด์ได้ทั้งหมด เช่น Coca-Cola ถูกกำหนคว่าเป็น สัญลักษณ์ของความเป็นอเมริกาตามที่ สหรัฐอมริกาเป็น ก็ดูเหมือนจะมีอิทธิพลต่อภาพลักษณ์ของบริษัท ไม่ ว่าเขาจะชอบหรือไม่ก็ตามการสร้าง แบรนด์เป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นต่อธุรกิจในองค์กรต่างๆทั่วโลกมาอย่าง ยาวนานในปัจจุบันกลายเป็นประเด็น สำคัญในภาควัฒนธรรมและการจัดองค์การไม่แสวงหากำไรด้วย การใส่รหัสทรัพยากร ข้อความ ผู้รับรหัส ช่องทาง ผลตอบกลับ รูปที่5 ภาพแสดง Model กระบวนการสื่อสาร


26 2.2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.2.1งานวิจัย สายันต์ ไพรชาญจิตร์ งานวิจัยเรื่อง "กระบวนการโบราณคดีชุมชนการวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนา แบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมใน จังหวัด น่าน" สรุปความว่า การจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมประเภททรัพยากรทางโบราณคดีโบราณสถานวัตถุ โบราณที่คำเนินการอยู่ในประเทศต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทยเป็นภาระหน้าที่ขององค์กรหรือหน่วยจัดการ ที่มักจะสังกัดอยู่ในภาครัฐซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีอำนาจทางการเมืองมากที่สุดในสังคมองค์กรหรือหน่วย จัดการในภาครัฐมักมีแบบแผนการจัดการในลักษณะ รวมศูนย์อำนาจใช้วิธีการควบคุมบังคับด้วยกฎระเบียบ อย่างเข้มข้นและดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะทางตามหลักวิทยาการและเทคนิควิธีทางวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ที่มุ่งตอบสนองวัตถุประสงค์เพื่อ สร้างความมั่นคงให้กับตัวทรัพยากรวัฒนธรรมที่เป็น วัตถุสิ่งของ และสิ่งก่อสร้างในฐานะที่เป็น หลักฐานยืนยันประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่รุ่งเรือง เก่าแก่ ซึ่งแบบแผนการ จัดการทรัพยากรทางวัฒนธรรมเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับแนวคิดและแนวปฏิบัติทางการพัฒนาชุมชนที่เน้น เรื่องกระบวนการ มีส่วนร่วม กระบวนการเรียนรู้ การพึ่ง ตนเอง การกระจายอำนาจ การยอมรับสิทธิในการ จัดการ ทรัพยากรและกระบวนการจัดการที่ก่อให้เกิดการฟื้นฟูพลังหรือความเข้มแข็งของชุมชนจึงเป็นผล ให้ชุมชนต่างๆ ที่แม้มีทรัพยากรทางวัฒนธรรมไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้นเพื่อการ พัฒนาชุมชนของตนเองให้เข้มแข็งได้ ผลจากการลงพื้นที่การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม เพื่อ เสริมสร้างความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมในจังหวัดน่านใน พื้นที่ตำบล บ่อสวกเพื่อการปฏิบัติงานวิจัยและพัฒนาที่สอดคล้องกับวิธีชีวิตปกติของชาวบ้านในการ จัดการแหล่ง เตาเผาเมืองน่านบ้านบ่อสวกตลอดจนถึงพื้นที่ตำบลนาซาว อำเภอเมืองน่าน จนกระทั่ง ชาวบ้านในพื้นที่ สามารถจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ชุมชนสะท้อนให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าการจัดการทรัพยากร ทางวัฒนธรรมของ หน่วยจัดการระดับปัจเจกและครอบครัวที่แห่งเตาเผาบ้านบ่อสวกและพิพิธภัณฑ์เฮือนบ้านสวกแสนชื่นได้ เชื่อมโยงเครือข่ายขยายความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรม ประเภทอื่นๆ ซึ่งการเชื่อมโยงให้ ชาวบ้านได้เข้าใจถึงคุณค่าและความสำคัญของอดีตหรือเรื่อง โบราณคดีไม่ใช่จะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ สำเร็จในระยะเวลาอันสั้นๆแต่ต้องทำในลักษณะค่อยเป็น ค่อยไปไม่เร่งรัด ซึ่งการวิจัยดังกล่าวพบว่า กิจกรรมที่ช่วยสร้างจิตสำนึกรักอดีตใกล้ตัวของชาวบ้านได้ ดีที่สุดให้ผู้สูงอายุเล่าเรื่องเก่าๆ ให้เด็กฟัง การจัด กลุ่มเด็กๆและผู้สูงอายุให้ศึกษาเรื่องต่างๆ ของชุมชน เช่นพิธีกรรมความเชื่อ ต้นไม้ใบหญ้า วิธีการทำมาหา กินผ่านวัตถุสิ่งของและสถานที่เก่าแก่ กิจกรรม ลักษณะนี้นอกจากจะทำให้ได้ข้อมูลวัฒนธรรมชุมชนและ ประวัติศาสตร์ชุมชนแล้ว ส่วนสำคัญคือการ ได้ฟื้นฟูระบบความ สัมพันธ์ระหว่างวัย


27 สุจารีย์ จรัสด้วง วิทยานิพนธ์ เรื่อง "การบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร" สรุป ความว่าการบริหารจัดการ คือการวางแผนงานในการดำเนินงานและบริหารจัดการที่แตกต่างกัน ถึงแม้ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานครทั้งหมดมีการกำหนดเป้าหมาย และพันธกิจขององค์กร เป็นไปตามมติ ของที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร คือ กำหนดให้พิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่นกรุงเทพมหา นครมีบทบาทหน้าที่ใน การศึกษารวบรวมข้อมูลวัตถุ สิ่งของและองค์ความรู้ที่ เกี่ยวกับเรื่องราวประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีสำนักงานพื้นที่ปกครองเป็นผู้ดูแลบริหารจัดการจึงกำหนดให้ฝ่ายพัฒนชุมชนและสวัสดิการสังคมเป็น ผู้รับผิดชอบในการคำเนินงานและการ บริหารจัดการค้านต่างๆของพิพิธ ภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพ มหานคร เช่นการบริหารจัดการค้าน งบประมาณ การบริหารจัดการด้านการให้บริการและประชาสัมพันธ์ รวมทั้ง กิจกรรมส่งเสริมการ เรียนรู้ ดังนั้นจึงทำให้การวางแผนงานในการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น กรุงเทพมหานครจาก กรณีศึกษามีรูปแบบการคำเนินงานที่สอดคล้องและแตกต่างกันในประเด็นสำคัญเช่น การวางแผน ใน การเลือกสถานที่ตั้งและอาคารจัดแสดง การบริหารจัดการด้านงบประมาณ การบริหาร จัดการด้านการให้บริการประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โครงสร้างองค์กร การบริหารจัดการค้าน บุคลากร การมีสวนร่วมของท้องถิ่น วิปาลี จันทรวิโรจน์ วิทยานิพนธ์ เรื่อง "แนวทางกำหนดนโยบายและการวางแผนการ ประชาสัมพันธ์พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย" ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษาเฉพาะนโยบายและแผนการ ประชาสัมพันธ์ของกลุ่มตัวอย่างพิพิธภัณฑ์ 3แห่งคือพิพิธภัณฑ์วัดม่วง จังหวัดราชบุรีพิพิธภัณฑ์จันเสน จังหวัดนครสวรรค์ และหอวัฒนธรรมนิทัศน์วัดศรี โคมคำ จังหวัดพะเยา ถึงสภาพการดำเนินงาน ด้านการ กำหนดนโยบายและการวางแผนประชาสัมพันธ์ที่บุคลากรในพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งได้ดำเนินการ โดยผู้ศึกษา ได้นำข้อมูลในส่วนนี้ประกอบการนำเสนอแนวทางการกำหนดนโยบายและการประชาสัมพันธ์พิพิธภัณฑ์ ให้เกิดประสิทธิภาพมีความเหมาะสมกับพื้นที่ท้องถิ่นนั้นมีความ จำเป็นต้องเปิดโอกาสให้คนในท้องถิ่นมี ส่วนร่วมในการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์เพื่อเสริมสร้างให้ผู้คนในท้องถิ่นเกิดความตระหนักถึงคุณค่าและ เข้าใจต่อการจัดพิพิธภัณฑ์รวมถึงการมีส่วนร่วมดำเนินกิจการนโยบายการประชาสัมพันธ์ของพิพิธภัณฑ์ให้ เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่าเป็นรวบรวมสรรพวิชาและเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต สรุปเป็นประเด็นสำคัญๆดังนี้ ผู้ปฏิบัติการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในแต่ละแห่งไม่ได้เป็นผู้กำหนดนโยบายและแผนการ ประชาสัมพันธ์พิพิธภัณฑ์ การรับรู้ของผู้คนที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์โดยส่วนมากเป็นการรับรู้ในช่วงระยะเวลา การเปิดพิพิธภัณฑ์ใหม่ๆ โดยสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันคือขาคการเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ พิพิธภัณฑ์ระหว่างสื่อบุคคล สื่อมวลชน อาทิโทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นซึ่ง


28 ทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นที่สำคัญและจะก่อให้เกิดความภาคภูมิใจแก่คนในท้องถิ่นควรจะมี การประชาสัมพันธ์และให้ความรู้เพิ่มเติมถึงประเด็นต่างๆ ให้มีความชัดเจนตลอดจนเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชม สามารถร่วมกิจกรรมของพิพิธภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น สรุปแล้วแนวทางการแก้ไขปัญหาของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นผู้มีส่วนรับผิดชอบในการบริหารจัดการ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นควรจะเปิด โอกาสให้คนในพื้นที่ท้องถิ่นนั้นมีส่วนร่วมในกิจกรรมของพิพิธภัณฑ์มากขึ้น กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยใช้การวางแผนประชาสัมพันธ์ที่ผู้คนในพื้นที่สามารถรับรู้ได้ถึงจริงใจที่ผู้มีส่วนร่วม รับผิดชอบการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นต้องการพลังขับเคลื่อนของภาคประชาสังคมอันจะก่อให้เกิด ผลดีในทางกายภาพคือความยั่งยืนกับพิพิธภัณฑ์และสังคมท้องถิ่นได้ตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นไม่เพียงเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวในมิติเดียวเท่านั้น 2.2.2เอกสารและหนังสือ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร มหาวิทยาลัยศิลปากร เอกสารการสัมมนาวิชาการเรื่อง "พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ในประเทศไทย" โดยสรุปความได้ว่าพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นมักเกิดขึ้นภายในวัดเป็นหลัก โดยมี พระสงฆ์ ครู ผู้นำชุมชนเป็นผู้ที่มีบทบาทที่ก่อให้เกิดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น อันสืบเนื่องมากจากความนิยมที่จะสะสมของเก่า ความรักในท้องถิ่นจึงนำไปสู่การรวบรวมวัตถุทางวัฒนธรรมและการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อให้ คนในท้องถิ่นได้มีโอกาสชื่นชมสิ่งของเหล่านั้น อันส่งผลให้สามารถมองเห็นภาพของวัฒนธรรมสังคม ท้องถิ่นว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร โดยภาพรวมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย นอกจากเป็นสถานที่ ให้ความรู้แล้ว ยังเป็นกลไกที่ช่วยสนับสนุนการรวมตัวของคนในชุมชนเพื่อร่วมกันคิดร่วมกันตัดสินใจ และ ร่วมคำเนินกิจการของท้องถิ่น องค์ประกอบสำคัญในการตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นให้ประสบความสำจได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่ายชาวบ้านซึ่งเป็นกลุ่มเจ้าของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างแท้จริงถ้า คนในท้องถิ่นไม่เห็นความสำคัญพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจะเกิดขึ้นไม่ได้ ฝ่ายวิชาการซึ่งหมายถึงมีภาระหน้าที่ใน การศึกษาท้องถิ่น เพื่อให้ได้เนื้อหาจัดแสดง คำบรรยาย ประกอบเรื่องราวตลอดจนกำหนดกิจกรรมเผยแพร่ ซึ่งความรู้ กลุ่มนี้อาจประกอบด้วยพระสงฆ์ ครู อาจารย์ หรือนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาภายในท้องถิ่น สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม หนังสือเรื่อง "คู่มือ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นว่า พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น"ได้รวบรวมความรู้ที่เกี่ยวข้องกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในมิติ ต่างๆ เพื่อให้เห็นว่าพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญที่สามารถพัฒนาศักยภาพ เพื่อเป็น แเหล่งเรียนรู้สำหรับบริการประชาชนทุกเพศวัย ขณะเดียวกันพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นต้องมีองค์ประกอบ ในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการ ให้มีประสิทธิภาพ อาทิ การจัดทำทะเบียนวัตถุ พิพิธภัณฑ์ การจัดนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์การดูแลรักษา วัตถุพิพิธภัณฑ์ งานการศึกษาและ การจัดกิจกรรมในพิพิธภัณฑ์ การรักษาความปลอดภัยในพิพิธภัณฑ์


29 ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ พิพิธภัณฑสถานท้องถิ่น ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ล้วนแต่สำคัญในการ บริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น และเพื่อการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม เปรื่อง กุมุท หนังสือเรื่อง "เทคนิคการจัดนิทรรศการ" กล่าวถึงความสำคัญของ นิทรรศการ โดย สรุปความว่าเป็นวิธีการอันทรงประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้ผู้สนใจในวัตถุ แนวความคิดอ่านเป็นวิธีที่มัก เข้าถึงประชาชนได้ ทั้งนี้เพราะเกิดจากเสน่ห์อันเกิดจากผลงานการรวบรวมสรรพสิ่งทั้งหลาย การดัดเลือก และการจัดแสดงที่ดีเปรียบเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดให้คนเหล่านั้นเข้ามาได้โดยง่าย ทั้งนี้นิทรรศการอาจ จำแนกออกเป็น 3แบบ คือ1) นิทรรศการถาวร 2) นิทรรศการ ชั่วคราวและ 3) นิทรรศการเคลื่อนที่ ซึ่ง นิทรรศการแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์ที่ตรงกันกล่าวคือ การมุ่งหวังให้ผู้เข้าชมได้รับ ความรู้ความเข้าใจ ในสิ่งที่จัดแสดงตลอดจนความเพลิดเพลินในการเรียนรู้องค์ประกอบสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงให้สอคคล้อง กับการจัดนิทรรศการ คือเนื้อหาหลักในการจัดนิทรรศการ กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ข้าชม ขนาดของนิทรรศการ การติดตั้งคำและอักษรที่บรรยาย หลักการ ควบคุมแสงสว่างในสภาวะแวดล้อม ตลอดจนกิจกรรมประกอบ ความสนใจในการเข้าชม พิพิธภัณฑ์ อาทิ การจัดเสวนา การฉายภาพยนตร์ ปาฐกถา เป็นต้น "กรมศิลปากร หนังสือเรื่อง "การออกแบบจัดนิทรรศการในพิพิธภัณฑสถาน" ได้รวบรวมความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการ จัดนิทรรสการในพิพิธภัณฑสถาน ซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่ เกี่ยวข้องกับการออกแบบจัดนิทรรศการมี องค์ประกอบที่ควรคำนึงถึงหลายประการด้วยกัน อาทิ การให้ความสำคัญกับสถาปัตยกรรมพิพิธภัณฑ์ว่า อาคารพิพิธภัณฑ์มีรูปแบบลักษณะพื้นที่ใช้สอย อย่างไรเพื่อประโยชน์ในการแบ่งพื้นที่ให้สมดุลและการใช้ สอยพื้นที่ให้มีความเหมาะสม นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์กับผู้ชมเป็นปัจจัยสำคัญที่ให้ความสำคัญกับลักษณะ ของผู้ชมประเภทต่างๆ สิ่งอำนวยความ สะควกในการเข้าชม การรับรู้ของผู้ชม ความต้องการในข้อมูลของ ผู้ชม การป้องกันความเสื่อมของ วัตถุจัดแสดง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและถือเป็นข้อปฏิบัติ สำคัญในการบริหารจัดการ พิพิธภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ศรีศักร วัลลิโภคม บทความเรื่อง "พิพิธภัณฑ์กับการศึกษานอกระบบ" ได้แสดงแนวคิด เกี่ยวกับ พิพิธภัณฑ์โดยสรุปความว่าเป็นแหล่งที่อบรมความรู้ความเข้าใจในเรื่องประวัติศาสตร์และมรดกทาง วัฒนธรรมของชาติให้แก่คนในสังคม ช่วยให้คนในสังคมแต่ละท้องถิ่นแต่ละภูมิภาครู้จักตนเอง และเป็น การแสดงให้คนภายนอกได้รู้ถึงความเป็นมาทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองและท้องถิ่น พิพิธภัณฑ์ ควร นำเสนอเนื้อหาความรู้ทางสภาพแวดล้อมธรรมชาติของท้องถิ่นหรือภูมิภาคความรู้ทางหลักฐาน ทาง โบราณคดี ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นหรือภูมิภาค ความรู้ทางชาติพันธุ์วรรณาของท้องถิ่นหรือ ภูมิภาค เพื่อให้ทราบถึงกลุ่มชนที่สืบอยู่ในปัจจุบันว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร ตลอดจนความรู้ และลักษณะ พิเศษทางสังคมเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมระหว่างท้องถิ่นหรือภูมิภาคนั้น อีกทั้ง ยังควรให้


30 ความสำคัญของเนื้อหาในมุมมองของคนท้องถิ่นทั่วไป และไม่จำกัดขอบเขตเฉพาะเรื่องราว ของหลวงหรือ ศาสนา เพื่อให้เห็นลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นในมิติที่กว้างขวางมากขึ้น โดยวัตถุ จัดแสดงไม่จำเป็นต้องมี ราคาค่างวด หากแต่ว่ามีความหมายเพียงพอกระตุ้นให้คนในท้องถิ่นเกิด ความสนใจ ความรัก และความ ภูมิใจในท้องถิ่นของตนเป็นสำคัญต่อไป บทที่ 3 วิธีการดำเนินการศึกษา บทนี้เป็นการนำเสนอกระบวนการและวิธีการศึกษา ในการศึกษาเรื่อง "แนวทางการจัดการ พิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่" เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายในการจัดการและเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าชม ซึ่งวิธีการ ดำเนินการศึกษาประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังต่อไปนี้ 3.1การศึกษา ข้อมูล รายละเอียด เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่


31 3.1.1ศึกษาประวัติความเป็นมา บริบททางประวัติศาสตร์ สังคม ของพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสัน กำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 3.1.2. การศึกษา การบริหารจัดการของพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 3.1.3การศึกษา การบริการของพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้อำเภอสัน กำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 3.1.4การศึกษาด้านศักยภาพ สภาพปัญหา ความเข็มแข็งของพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่า ตึง) ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 3.1.5ศึกษา รูปแบบการจัดวางและการแสดงนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่า ตึง) 3.1.6ศึกษาและวิเคราะห์ เพื่อหารูปแบบและวิธีการจัดการที่เหมาะสมในการจัดการ พิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่พร้อมทั้งเสนอ รูปแบบและวิธีการจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการเป็นศูนย์เรียนและทำให้เกิดความเพลิดเพลินอย่างมื ประสิทธิภาพและประสิทธิผลแก่คนในชุมชน วัดป่าตึง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 3.2 ศึกษาประวัติความเป็นมาของ พิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ศึกษาประวัติความเป็นมาของ ทำเลที่ตั้ง สถานที่ของ พิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 3.3การศึกษา การบริหารจัดการของพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 3.3.1การศึกษา การบริหารจัดการ ของพิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดป่าตึง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีการเก็บข้อมูลดังนี้ 1.เก็บข้อมูลเอกสาร เป็นการรวบรวม ข้อมูลจากหนังสือ บทความ เอกสารต่างๆ และสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดป่าตึง อำเภอสันกำแพง จังหวัด เชียงใหม่ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพิธภัณฑ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการเป็นศูนย์เรียนและทำให้เกิด ความเพลิดเพลินอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล


32 2.การเก็บข้อมูลภาคสนาม เป็นการสำรวจเกี่ยวกับรายละเอียดสถานที่ตั้ง อาคารจัดแสดง พื้นที่ส่วนต่างๆของพิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดป่าตึง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ทราบถึงโครงสร้าง รูปแบบการบริหารการจัดการ ร่วมไปถึงรูปแบบกรบริการ อีกทั้งศึกษาถึงส่วนการจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ ชุมชนวัดป่าตึง เพื่อให้ทราบถึงสภาพปัญหาในปัจจุบัน และ ความสำเร็จ 3.4การศึกษาด้านตักยภาพ สภาพปัญหา ความเข็มแข็งของพิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดป่าตึง อำเภอสัน กำแพงจังหวัดเชียงใหม่ ด้านศักยภาพ สภาพปัญหา ความเข็มแข็งของพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออน ใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่วิเคราะห์ ถึงอุปสรรค รวมถึงโอกาศในการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ชุมชนวัด ป่าตึง ให้พิพิธภัณฑ์ที่ได้มาตราฐาน และให้บรรลุเป้าหมายของการเป็นศูนย์เรียนร่วมไปถึงทำให้เกิดความ เพลิดเพลินอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 3.5 ศึกษารูปแบบการจัดวางและการแสดงนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสัน กำแพง (วัดป่าตึง) เพื่อให้ทราบถึงสภาพความสำเร็จและปัญหาในปัจจุบันของพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่า ตึง) ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำเสนอรูปแบบของการออกแบบและจัดวาง นิทรรศการให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เพลินเพลินและมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 3.6 ศึกษาและวิเคราะห์ เพื่อหารูปแบบและวิธีการจัดการที่เหมาะสมในการจัดการพิพิธภัณฑ์เครื่อง ถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อหารูปแบบและวิธีการจัดการที่เหมาะสมในการจัดการพิพิธภัณฑ์ เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) พร้อมทั้งเสนอรูปแบบและวิธีการจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการเป็น ศูนย์เรียนและทำให้เกิดความเพลิดเพลินอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลแก่คนในชุมชน วัดป่าตึง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่


33 บทที่ 4 ประวัติ สภาพ ปัญหา และศักยภาพ ของพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาชุมชน วัดป่าตึง ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 4.1 ประวัติชุมชนวัดป่าตึง เตาเผาสันกำแพง และวัดเชียงแสน วัดป่าตึง ในปัจจุบันตั้งอยู่ในเขต ชุมชนป่าตึง หมู่ที่ 7 ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ สร้างเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2425 ปัจจุบันอายุโดยประมาณ 137 ปี โดยครูบาปินตา พบว่าสถานที่แห่งนี้ เดิมเป็นวัคร้าง มีเจดีย์บรรจุพระบรม สารีริกธาตุ มีศิลาจารึก และเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาสังคโลกอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งมีชาวบ้านอาศัยอยู่อย่า หนาแน่นชาวบ้านที่เข้ามาอาศัยอยู่ ที่บ้านป้าตึง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ นั้น สันนิษฐานว่า อพยพมาจากพัน นาภูเขา เมืองเชียงราย ในจารึกพบว่า ผู้คนในชุมชน หลากหลายพื้นที่ของอำเภอสันกำแพง เป็นชาวไทยของ


34 และไทลื้อ มีสำเนียงที่คล้ายกับชาวบ้านในอำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย จึงเป็นข้อสันนิษฐานว่าชาวสันกำแพง อพยพมาจากอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในยุคที่อุตสาหกรรมเครื่องเคลือบสังคโลกมีความรุ่งเรือง ต่อมาในพุทธศักราช 2030 พญาติโลกราชได้เสด็จสวรรคต พระยอดเชียงรายกษัตริย์องค์ที่ 10แห่งเมือง เชียงใหม่ขึ้นครองราชย์มีพระนามว่า "พระเจ้าศรีสัทธัมมังกูร มหาจักรวรรคิ" เริ่มตั้งแต่พุทธศักราช 2031 พระองค์ถือโอกาสฉลองสมโภชราชบัลลังค์ โดยการสร้างสมบุญบารมีโดยโปรดแต่งตั้งอำมาตย์มนตรีชื่อ อติชวฌานบวรสิทธิ์ขึ้นครองตำแหน่ง "หมื่นดาบเรือน" ซึ่งต่อมาหมื่นดาบเรือนผู้นี้ได้ชักชวนให้ชาวบ้านที่มี จิตศรัทธาในแหล่งเตาเผาสังคโลก และชาวบ้านที่อพยพมาจากบริเวณพันนาพูเลา (เชียงแสน)ให้ร่วมกัน สร้างวัดประจำหมู่บ้านขึ้นในปีพุทธ ศักราช 2031 หรือจุลศักราช 850 ปีวอก(สัน) สัมฤทธิ์ศก เดือน7เหนือ ขึ้น 8ค่ำ วันพุธโดยวันดังกล่าวเป็นวันลงฤกษ์สร้างมหาวิหารขึ้น 1 หลัง มหาเจดีย์ 1องค์ หอธรรมหรือหอ ไตรปิฎกจำนวน 1 หลัง สร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชรบนฐานเขียง ชายจีวรพับซ้อนอยู่เหนือ พระถัน ปลายผ้าริ้วรอยเขี้ยวตะขาบ พระพักตร์รูปไข่ ขมวดพระเกศาใหญ่ รัศมีเป็นต่อ มกลม ชายจีวร ด้านหลังอยู่ใต้พระโสณี ที่ฐานขอบเขียงโดยรอบมีอักษรจารึกเป็นอักษรล้านนาความว่า "พระเจ้าฝนแสนห่า นี้หนักแสนทองเจ้าหมื่นดาบเรือนให้หล่อในปี เปลิกสัน ไว้ให้คนทั้งหลายไหว้ บุญอันนี้จะให้เป็นปัจจัยแก่.. เป็นคำกล่าวว่าอย่างใดไม่อาจทราบเพราะเลือนไปตามกาลเวลา) สัพพัญญูตญาณทอญบุญอันนี้จำเริญแก่ สัตว์ทั้งหลายในอันตวัตร..." ต่อมาในปีพุทธศักราช 2034 ตรงกับปีจุลศักราช 853 พระยอดเชียงรายได้พระราชทานนา ซึ่งมีค่า เป็นเงินถึง 450,000เบี้ย ให้แก่หมื่นดาบเรือน หมื่นดาบเรือนจึงได้ปรึกษากับพันญาณรังสี ล่ามร้อนพรม ล่าม โสมดาบเรือน ตนเจ้าหมอสะเมธา ชื่อนายแก้ว ร่วมกันนำที่นาทั้งหมดมาถวายแก่วัดเชียงแสน โดยให้ทุกคน ร่วมรับรู้เป็นพยานในการทำบุญครั้งนี้ ซึ่งตามความเชื่อของผู้คนล้านนาเมื่อสร้างวัดต้องมีการมอบหมายให้ ผู้คนดูแล ให้เกิดบุญกุศลเช่นเดียวกับหมื่นดาบเรือน ได้ถวายข้าจำนวน 25ครัวเรือน รวม 78คน โดยมี ชาวบ้านและผู้ใจบุญได้ทำการถวายการสร้างมหาวิหาร มหาเจดีย์ มหาวิหาร ค่าหนังสือ ค่าหล่อพระพุทธรูป เป็นหลายจำนวน รวมเป็นเงินค่าก่อสร้างวัดทั้งหมดจำนวน 148,960 เบี้ย โดยภายหลังจากการจัดงานปอย หลวงฉลองวัดเสร็จหมื่นดาบเรือนได้ให้ช่างทำการจารึกประวัติของวัดโดยย่อลงในแท่นหินทราย และท้าย ข้อความจารึกได้กล่าวคำสาปแช่งไว้ว่า หมื่นดาบเรือนขอให้บุญทั้งมวลที่กระทำ จงเป็นปัจจัยให้ตนได้พบ


35 ปรารถนาแห่งปัญญาสัพพัญญูตญาณและสาปแช่งไว้ว่าหากผู้ใดเอาไร่นา ข้าพระ ที่ตนถวายออกไปจากวัดนี้ ขอให้พบภัยพิบัติไฟไหม้ในอบายทั้งสี่อย่าให้หนีพ้น วัดเชียงแสนซึ่งเป็นวัดที่อยู่คู่กับชุมชนแห่งนี้มาตั้งแต่ยุคเริ่มตั้งบ้านเมืองให้เป็นแหล่งผลิตเตาเผา สังคโลกที่สำคัญแหล่งหนึ่งของล้านนา โดยบรรดาสล่าหรือช่างปั้นต่างสร้างสรรค์ผลงานมีคุณค่าไว้อย่าง มากมาย ขณะที่บ้านเมืองผลัดเปลี่ยนเจ้าผู้ครองนครในอาณาจักรล้านนากระทั่งราชวงศ์มังรายเริ่มเสื่อมลง จนกระทั่งในรัชสมัยของพระเมกุฏิสุทธิวงศ์กษัตริย์ผู้ครองนครล้านนา ลำดับที่ 16 แห่งราชวงศ์มังราย ช่วง สุดท้ายปีพุทธศักราช 2107 ภายหลังจากอาณาจักรล้านนาพ่ายแพ้สงครามให้กับพม่าในรัชสมัยของพระเจ้า บุเรงนอง พม่าเข้ามาปกครองเมืองเชียงใหม่ผู้คนต่างหวาดกลัวต่อข้าศึก บรรดาชาวบ้านจึงเริ่มแตกกระจาย ย้ายถิ่นฐานทำกิน ทำให้บริเวณเตาเผาสังคโลก เริ่มลดน้อยถอยลงตามสถานการณ์บ้านเมือง อีกประการหนึ่ง ตามตำนานที่เล่ากันมาว่า แผ่นดินแถวฝั่งแม่น้ำผาแหนเกิดดินถล่มทลายฝั่งดิน บ้านเรือนยุบตัวลงเพราะถูกแม่น้ำผาแหนเซาะพัง ผู้คนจึงอพยพเคลื่อนย้ายออกไปอยู่ตามฝั่งลำน้ำแม่ออ รูปที่6แสดงตำแหน่งที่ตั้งแหล่งโบราณคดีสำคัญ


36 นทางใต้แหล่งเตาเผา ซึ่งสันนิษฐานว่าคงเป็นบริเวณอำเภอสันกำแพงในปัจจุบัน เมื่อผู้คนต่างหนีทิ้งถิ่น เคลื่อนย้ายลงมาปล่อยเตาเผาให้ร้าง เหลือเศษซากเครื่องปั้นดินเผาอยู่ตามผืนดินนานวันเข้าคงถูกคืนทับถม เกิดบรรดาต้นไม้ใหญ่น้อยปกคลุมรกรุงรังมานานนับร้อยๆปี 4.2 ประวัติแหล่งเตาเผาวัดเชียงแสน กลุ่มนักวิชาการนำโดยอาจารย์ไกรศรี นิมมานเหมินทร์ได้ทำการสำรวจเตาเผา เมื่อ พ.ศ. 2495 พบว่ามีจำนวนถึง 83เตา จึงได้ทำการเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2503 ในชื่อ "กลุ่มเตาสันกำแพง" โดยจากการสืบค้น ทางโบราณคดีพบว่า กลุ่มเตาสันกำแพงนี้มีอายุอยู่ในราวรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช แห่งราชวงศ์มังราย ภายหลังจากสมัยของสมัยพญาสามฝั่งแกน ในราวปีพุทธศักราช 1984 ซึ่งเป็นช่วงที่เครื่องปั้นดินเผาจากกลุ่ม เตาสังคโลกสันกำแพงเจริญรุ่งเรืองในส่วนเตาสันกำแพงของชุมชนปาตึง มีคณะผู้เชี่ยวชาญได้ทำการศึกษา และให้ข้อสันนิบฐานจากการขุดกันสำรวจทางวิชาการ และการพิสูจน์ทางเคมีจากเนื้อดินของภาขนะที่พบ เขตพื้นที่ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้บันทึกเป็นหลักฐานเอกสารแหล่ง โบราณคดีกลุ่มเตาเผาต่างๆกล่าวไว้ว่า สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 23 (ประมาณ พ.ศ. 2201) ได้แก่


37 1. เตาเผาห้วยไร่ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ พบซากเตาเผาจำนวน 5แห่ง ได้แก่ วัตถุโบราณ จำนวน 646 ชิ้น ประเภทเครื่องเคลือบรูปแบบไห อ่างทรงสูง ถ้วยชาม ครก เครื่องเคลือบสีเขียวอ่อนหรือสี เทาอมเขียว 2. เตาเผาทุ่งโห้ง อยู่ทิศตะวันออกของห้วยมิลาน มีเนินดินเศษกระเบื้องกระจายในพื้นที่ประมาณ 20-30 ตารางเมตร รูปแบบมีชามขวดหรือกระปุก เครื่องเคลือบทรงกระถาง ไห เครื่องเขียวอ่อนไห เคลือบสี น้ำตาล 3. เตาเผาห้วยบวกปิ่น พบเศษภาชนะ ประเภทชามประทับลายปลา จำนวน 220 ชิ้น ประเภทจาน และถ้วยจำนวน 202ขึ้น เช่น ไห จำนวน 5ขึ้น กี๋ท่อ 33ขึ้น สีเครื่องเคลือบเขียว สีด้านนอกภาชนะใส 4. เตาเผาดอยโตน พบเศษภาชนะจำนวน 393 ชิ้น รูปแบบชามเขียนลายสีดำ - น้ำตาล บางชนิดมี ชามเขียวลายปลาสองตัว บางขึ้นเขียนลายพรรณพฤกษา เช่น พบกี๋จำนวน 10 ชิ้น ไห จำนวน 4 ชิ้น การ เคลือบเคลือบบางมาก จนเห็นสีดินออกมาเนสีน้ำตาลแดง ลักษณะการเคลือบมีสีเดียวตลอดภาชนะเช่น สี เขียว สีเทา จนถึงสีเขียวออกเหลือง 5. เตาเผาห้วยปู่แหลม ตั้งอยู่ตามลำห้วยปู่แหลมทั้งสองฝั่ง สำรวจพบเศษกระเบื้องจำนวน 519 ชิ้น สี เครื่องเคลือบเขียวและลายเขียนสีดำ - น้ำตาล ลักษณะมีการเขียนลายปลาที่กลางชามหรือข้างชามด้านใน และเขียนลายพฤกษากลางชามในบางแห่ง รูปแบบส่วนมากเป็นไห ขวด ตะคันดิน และชามมากที่สุดพบถึง 483 ชิ้น 6.อ่างแม่ผาแหน สำรวจพบซากเครื่องบินสมัยหิน จำนวน 23ขึ้น อยู่บริเวณลำห้วยที่สายน้ำไหล ดอยผาแหนสามสายมาบรรจบกัน 7. เตาเผาต้นแหน พบซากเตาเผาถูกทำลาย เก็บเศษภาชนะได้จำนวน 153ขึ้น รูปแบบเป็นชาม ไห กี๋ สีเคลือบเขียว ลายเขียนสีดำ น้ำตาล บางชนิด พบสีเขียวอมเทา มีการเขียนลายรูปปลาและพรรณพฤกษา 8. เตาเผาเหล่าน้อย พบซากเตาเผาปลายดอยป่าตึง เก็บเศษภาชนะได้ 99ขึ้น ในบริเวณ พื้นที่10-20 ตารางเมตร สีภาชนะเขียวอมเทา ไหเคลือบสีน้ำตาลอ่อน 9. เตาเผาต้นโจ้ก พบซากเศษภาชนะดินเผาทั้งหมด 185 ชิ้น ส่วนมากเป็นชามเคลือบสีเหลืองแต้ม แดงลายเขียนสีดำ - น้ำตาล นอกจากนี้มีสีเขียวอ่อน มีการเขียนลายปลา


38 4.3 โครงสร้างและการจัดการองค์กรบริหารงานพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยส้นกำแพง (วัดป่าตึง) พิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยส้นกำแพงในปัจจุบัน อยู่ในการควบคุมดูแลของวัดป่าตึง โดยอำนาจและการ บริหารงานขึ้นอยู่กับท่านเจ้าอาวาสวัดป่าตึง ซึ่งมีตัวแทนกรรมการวัด และกรรมการชุมชน เป็นผู้ดูแล และมี นายกเทศมนตรีตำบลออนใต้ เป็นที่ปรึกษา ดังแผนภาพที่จะนำเสนอด้านล่างนี้ 1. เจ้าอาวาสวัดป่าตึง มีหน้าที่ อำนวยความสะดวก และดูแลรักษาพิพิธภัณฑ์ การกำหนดเวรยามเพื่อ การทำความสะอาดจากชุมชนสมาชิก การรักษาความปลอดภัยในอาคาร และวัตถุจัดแสดง การวางแผนการ รูปที่ 12 ภาพแสดงอาณาเขตพื้นที่สำรวจพบแหล่งเตาเผาใน ตำบลออนใต้ รูปที่ 11 ภาพแสดงสถานที่สำคัญและพื้นที่สำรวจแหล่งเตาเผาใน ตำบลออนใต้


39 ใช้งบประมาณที่มาจากเงินบริจาคของวัดป่าตึง การจัดการรายได้ที่เกิดจากการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ และการ วางแผนของบประมาณจากภายนอก 2. นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลออนใต้ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินงานขอพิพิธภัณฑ์ การแสวงหางบอุดหนุน โดยการบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ ภายนอก เช่น วัฒนธรรมจังหวัดสำนักงาน พัฒนาชุมชน เป็นต้น 3. ตัวแทนพระสงฆ์ มีหน้าที่ ทำความสะอาดบริเวณพิพิธภัณฑ์ ถือกุญแจเพื่อเปิด-ปิด พิพิธภัณฑ์ การนอนเวร ณ พิพิธภัณฑ์ การักษาทะเบียนโบราณวัตถุ (ฐานข้อมูล) เพื่อการตรวจนับ และปฏิบัติหน้าที่เจ้า อาวาสวัดมอบหมาย 4. ตัวแทนกรรมการวัด มีหน้าที่ ดูแลภายนอกพิพิธภัณฑ์ ทำความสะอาด แพ้วถางวัชพืช และ ดูแลเรื่องขยะ ความสะอาดของห้องน้ำ โดยจะมีการเวียนกันทำหน้าที่ของกรรมการชุมชนต่างๆ ในกลุ่ม เตาเผาสันกำแพง 5. ตัวแทนกรรมการชุมชนป่าตึง มีหน้าที่ เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชุมชน โดยการเข้าไปมัคคุเทศก็อาสา เป็นวิทยากรให้ความรู้แก่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านออนของการทำเตาเผา และการทำเครื่องถ้วยสันกำแพงแผนผังแสดงโครงสร้างการบริหารงานพิพิธภัณฑ์เครื่องปั่นดินเผาชุมชนป่า ตึงเจ้าอาวาสวัดป่าตึง ผังโครงสร้างการบริหารงานพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) เจ้าอาวาสวัดป่าตึง พระครูวิสุทธิเขมรัฐ(ผู้ดูแล)


40 6.ประเภทพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น หรือ พิพิธภัณฑ์ชุมชน อยู่ภายใต้ ความดูแลของชุมชนบ้านป่าตึงและเจ้าอาวาสวัดป่าตึง โดยมีคณะกรรมการที่ได้รับคัดเลือกจากชาวบ้านใน ชุมชนบ้านป่าตึง ให้มีหน้าที่จัดการดูแลรักษาความเรียบร้อยในพิพิธภัณฑ์ 7.วัตถุประสงค์การก่อตั้ง 7.1) เพื่อเป็นแหล่งศึกษาประวัติความเป็นมา บริบททางสังคมและแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมของ ชุมชนบ้านป่าตึง ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 7.2) เพื่อเป็นสถานที่เก็บละจัดแสดงโบราณวัตถุ เครื่องเคลือบจากสันกำแพงในตำบลออนใต้ เพื่อ เผยแพร่องค์ความรู้ให้แก่ผู้สนใจและบุคคลภายนอกได้รับรู้ 7.3) เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนในชุมชนประจำชุมชนบ้านป่าตึง ตำบลออนใต้ อำเภอ สันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 8. เป้าหมายหลักของการพิพิธภัณฑ์ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลและศูนย์กลางความรู้ในเรื่องราวของเครื่องปั้นดินเผาในแอ่งที่ราบสันกำแพง โดยเฉพาะกลุ่มเตาบ้านป่าตึง เตาแม่ผาแหน (วัดเชียงแสน)และกลุ่มเตาละแวกใกล้เคียง โดยทำการจัดแสดง เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ผ่านการจัดแสดงชิ้นงาน หรือโบราณวัตถุ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของ มรดกทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในพื้นที่ ให้เกิดเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตประจำชุมชน นายกเทศมนตรี เทศบาล ตำบลออนใต้ (ที่ปรึกษา) ตัวแทนพระสงฆ์ (พระมหานิว) ตัวแทนกรรมการวัด (พ่อแก่วัด) ตัวแทนชาวบ้านจากชุมชนวัดป่าตึง (ลุงเทียบ ปัญญาจันทร์และสล่าวิเชียร)


41 9. กลุ่มเป้าหมายของพิพิธภัณฑ์ กลุ่มเป้าหมายหลัก: ชาวบ้านในชุมชนบ้านป่าตึง และประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ นักเรียน นักศึกษา กลุ่มเป้าหมายรอง : นักท่องทั้งชาวไทยและต่างชาติ 10. การเดินทาง/เส้นทางการเดินทาง จากอำเภอเมืองเชียงใหม่ ใช้เส้นทางถนนทางหลวงชนบทหมายเลข11 ออกทางคู่ขนาน (ออกทาง อำเภอสันกำแพงสายใหม่) เข้าสู่ถนนหลวงหมายเลข 121 ขับตรงไปประมาณ 3.4 กม. ถึงแยกหลุยส์เลี้ยว ขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1317 ขับตรงไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวง หมายเลข 1147 (ถึงทางแยกสันกำแพง – บ้านธิลำพูน) หลังจากนั้นขับตรงไปอีก 4.9 กิโลเมตร จะพบกับวัด ป่าตึงอยู่ทางขวามือ ซึ่งพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพงจะอยู่ภายในวัด 11. ลักษณะทางกายภาพ วัดป่าตึง ตั้งอยู่เลขที่ 67 หมู่ 7 ที่บ้านป่าตึง ตำบลอ่อนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ ทั้งหมด 15 ไร่ 3 งาน 98 ตารางวา บริเวณที่ตั้งวัดป่าตึง เดิมทีเป็นป่าไม้แน่นหนาทางภาคเหนือ เรียกว่าไม้ตึง ป่าตึงนั้นเดิมทีเป็นเมืองเก่าประมาณอายุไม่ได้ เพราะมีซากปรักหักพังของเจดีย์วัดร้างอยู่ มีเตาเผาเครื่องถ้วย รูปที่13แสดงแผนที่เส้นทางการเดินทางไปพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง ) ตำบลออนใต้


42 สังคโลกตามที่เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรมาสำรวจ มีประมาณ 120เตา จากหมู่บ้านป่าตึงถึงป่าห้วยลาน ปัจจุบัน เป็นอ่างเก็บน้ำห้วยลาน ถ้าขุดตรงไหนที่เป็นบริเวณเครื่องถ้วยสังคโลก ก็จะพบเครื่องถ้วยโถ ชาม แจกัน และพระเครื่อง ของใช้ต่างๆที่เป็นทองสัมฤทธิ์และทองคำบ้าง ห่างจากวัดป่าตึงประมาณ 2กิโลเมตรจะพบ วัดร้างอีกวัดหนึ่ง ชื่อวัดสารกัลป์ญาณมหันตาราม (วัดเชียงแสน) ซึ่งพระครูจันทสมานคุณ (หลวงปู่หล้า) อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าตึงได้ขุดพบหลักศิลาจารึก พระพุทธรูปและเจดีย์ ปัจจุบันนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์วัดป่าตึง 12. ประวัติพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) พิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ให้ทั้งความเพลิดเพลินและเป็นแหล่งการ เรียนรู้ที่สำคัญของชุมชนวัดป่าตึง โดยพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง ตั้งอยู่ในวัดป่าตึง เป็นสถานที่เก็บ รูปที่14 แสดงแผนผังอาคารภายในวัดป่าตึง ตำบลออนใต้ รูปแบบการวางผังอาคารภายในวัดป่าตึง หมายเลขระบุตำแหน่งอาคารที่อยู่ภายในวัดป่าตึง 1.พิพิธภัณฑ์ วัดป่าตึง 2.โรงทาน, โรงอาหาร 3.ห้องน้ำ 4.กุฎิไม่สักทองบรรจุหุ่นขี้ผึ้ง หลวงปู่หลวง 5.รูปสักการะหลวงปู่หล้า 6.กุฎิเจ้าอาวาส พระสงฆ์ ละสามเณร 7.ศาลาหลวงปู่หล้า 8.หอไตร 9.โบสถ์ 10.ศาลาเอนกประสงค์ 11.ลานจอดรถ


43 รวบรวมเครื่องปั้นดินผา โดยกลุ่มนักวิชาการนำโดยอาจารย์ไกรศรี นิมมานเหมินทร์ ได้ทำการสำรวจเตาเผา เมื่อ พ.ศ. 2495 พบว่ามีจำนวนถึง 83 เตา จึงได้ทำการเผยแเพร่ในปี พ.ศ. 2503 ในชื่อ "กลุ่มเตาสันกำแพง" โดยจากการสืบคั้นทางโบราณคดีพบว่า กลุ่มเตาสันกำแพงนี้มีอายุอยู่ในราวรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช แห่ง ราชวงศ์มังราย ภายหลังจากสมัยของสมัยพญาสามฝั่งแกน ในราวปีพุทธศักราช 1984 ซึ่งเป็นช่วงที่ เครื่องปั้นดินเผากลุ่มเตาสังคโลกสันกำแพงเจริญรุ่งเรือง พิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง ตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2503 เมื่อมีการขุดค้นศึกษาแหล่งเตาเผาเครื่องถ้วย โบราณในบริเวณอำเภอสันกำแพง โดยกรมศิลปากรร่วมกับวัดป่าตึงจัดทำขึ้น อาคารจัดแสดงเป็นอาคารก่อ อิฐถือปูน 2 ชั้น ตั้งอยู่ตรงข้ามศาลาไม้สักทองหลังใหญ่ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานสังขารหลวงปู่หล้า ชั้นล่างจัด แสดงเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งเตาสันกำแพง ที่ได้จากการขุดค้นศึกษาของกรมศิลปากรและเครื่องถ้วยที่ เป็นสมบัติของวัดที่ขุดได้จากแหล่งเตาในบริเวณเดียวกัน โดยจัดแสดงไว้ในตู้กระจก พร้อมแผ่นป้ายอธิบาย ประกอบแผนที่ แผนผัง นอกจากนี้ยังมีแท่นศิลาจารึก หมื่นดาบเรือน ที่พบในวัดเชียงแสน(ร้าง) (วัดสาล กัลป์ญาณมหันตาราม) พร้อมสำเนาจารึกและคำแปล ทำให้ทราบว่าหมื่นดาบเรือนได้กัลปนาที่ดินและวัดให้ วัดเชียงแสน และสร้างพระพุทธรูปสำริดหน้าตักใหญ่ ที่เรียกว่า พระเจ้าฝนแสนห่า ไว้ 5 องค์ จัดแสดง ภาพถ่ายพระเจ้าฝน 2 ภาพ ไว้ด้วย และยังจัดแสดงวัตถุชนิดอื่น ๆ ที่ขุดพบในอำเภอสันกำแพงอีกด้วย อาทิ ขวานหิน เป็นต้น รูปแบบของพิพิธภัณฑ์ รูปที่15 แผนผังห้องจัดแสดงอาคารพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง เลขกำกับโซนจัดแสดงภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ 1.ทางเข้า – ทางออก 2.ส่วนจัดแสดงที่1 “การจัดแสดงกระบวนการผลิต เครื่องปั้นดินเผา” 3.ส่วนจัดแสดงที่1 “เครื่องถ้วยกลุ่มเตาสันกำแพง” 4.ส่วนจัดแสดงที่2 “จารึกหมื่นดาบเรือน” 5.ส่วนจัดแสดงที่3 “เครื่องปั้นดินเผาจากเตากลุ่มๆ” 6. ส่วนจัดแสดงที่4 “ภาพพระพุทธรูปโบราณ” 13. รูปแบบและการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) 2 4 3 5 6


44 พิพิธภัณฑ์วัดป่าตึง เป็นอาคารปูนสองชั้น อยู่ภายในวัดป่าตึงตรงข้ามกับศาลาไม้สักทองที่เก็บสรีระ สังขารของหลวงปู่หล้า ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตชุมชนป่าตึง หมู่ที่ 7 ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัด เชียงใหม่ โดยได้แบ่งเฉพาะอาคารค้านล่าง เป็นสถานที่จัดเก็บโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องถ้วยและ สมบัติของชุมชน โดยส่วนจัดแสดงทั้งหมดเป็นห้องโถง รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความกว้าง และความยาว ประมาณ ด้านละ 5 เมตร รวมพื้นที่ใช้สอยประมาณ 25 ตารางเมตร ภายนอกและภายในทาสีขาว มีประตู ทางเข้าและทางออกที่เดียวกัน และมีหน้าต่างสองด้าน เพื่อระบายอากาศ รูปที่16 ภาพแสดงด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง วันและเวลาทำการ: พิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. อัตราค่าธรรมเนียม : ไม่มีการเก็บค่าเข้าชม


45 รูปที่17 ภาพแสดงด้านข้างอาคารพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง รูปที่18 ภาพแสดงด้านหลังอาคารพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง


46 รูปที่19 ภาพแสดงมุมซ้ายด้านหน้าตัวอาคารพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง รูปที่20 ภาพแสดงมุมขวาด้านหน้าตัวอาคารพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง


47 14. รูปแบบการจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยสันกำแพง (วัดป่าตึง) ในปัจจุบันจากการศึกษา โครงสร้างการจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน ซึ่งได้แก่ ส่วนการจัดแสดงที่1การจัดแสดงกระบวนการผลิตเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเป็นการจัดแสดงแผ่นภาพ ที่อธิบายถึงกรรมวิธีการผลิตในแต่ละขั้นตอน โดยถูกจัดแสดงไว้บนบอร์ดในโซนทางเข้าประตูด้านหน้า ด้านมุมขวามือ รูปที่22 ภาพแสดงนิทรรศการกระบวนการผลิตเครื่องปั้นดินเผาสันกำแพง รูปที่21 ภาพแสดงนิทรรศการกระบวนการผลิตเครื่องปั้นดินเผาสันกำแพง


48 ส่วนการจัดแสดงที่2 เครื่องถ้วยกลุ่มเตาสันกำแพง ส่วนนี้เป็นการจัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งเตาสันกำแพง ที่แสดงถึงความเอกลักษณ์เฉพาะ ตัวของเครื่องสังคโลกจากแหล่งเตาเผาสันกำแพง โดยมีการจัดแสดงในมุมมองของภาพรวม ยังไม่ได้แยก ประเภทและชนิดของโบราณวัตถุได้อย่างชัดเจน รูปที่23 ภาพแสดงนิทรรศการเครื่องถ้วยสันกำแพง


49 รูปที่24 ภาพแสดงนิทรรศการเครื่องถ้วยสันกำแพง รูปที่25 ภาพแสดงนิทรรศการเครื่องถ้วยสันกำแพง


50 จากการศึกษาจึงขอสรุปข้อมูลและประเด็นสำคัญในส่วนการจัดแสดง ดังต่อไปนี้ ด้วยกลุ่มเตาเผาสันกำแพง (Sankampaeng Kiln) ตั้งอยู่ในหุบเขาตามแม่น้ำลำห้วยเล็กๆ หลายสาย อันเป็นสาขาย่อยของลำน้ำผาแหนและลำน้ำออน ในเขตการปกครองของบ้านป่าตึง ต.ออนใต้ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งซากเตาเผาและหลักฐานการผลิตเครื่องเคลือบมีอยู่อย่างกระจัดกระจายภายในพื้นที่เป็น จำนวนมาก ปัจจุบันเตาเผาเครื่องเคลือบกลุ่มต่างๆหลายกลุ่มถูกเปลี่ยนสภาพไปจากเดิมมากมาย ทั้งที่เกิด การเปลี่ยนแปลงพังทลายตามธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ เป็นเทือกสวนไร่นาและหมู่บ้าน แต่ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและมีผลร้ายแรงต่อแหล่งเตามากที่สุดเห็นจะได้แก่การลักลอบขุดหาเครื่องเคลือบ ของกลุ่มคนที่สะสมวัตถุโบราณ ที่กระทำกันมานานหลายทศวรรษแล้ว ดังที่ได้กล่าวมานี้ มีสภาพโครงสร้าง ขนาดย่อมกว่าเตาเผาเครื่องถ้วยชามวัดเชียงแสนอีกทอดหนึ่ง วัตถุที่ใช้ในการสร้างเตามีส่วนคล้ายกันหมด กล่าวคือ ใช้ดินดิบเป็นส่วนใหญ่ มีการใช้อิฐก่อสร้างเพียงสองแห่งคือ เตาก่อบงและจำป่าบอน การสร้างเตา ผาเครื่องถ้วยชามนั้นเป็นการสร้างแบบตาในดินทั้งหมด ก่อนจะสร้างเตา นายช่างจะต้องสำรวจดูทำเลที่ เหมาะแล้วเป็นรูปแปลนของเตาระดับลึกจากผิวดิน โดยเฉลี่ยประมาณ 0.50 ม. ต่อจากนั้นก็สร้างพื้นฐานของ เตาและผนังเตาโคยรอบด้วยดินดิบ การที่สร้างเตาในดินก็เพื่อป้องกันเตาระเบิด ในขณะที่ใช้ความร้อนสูงใน การเผาเครื่องถ้วยชาปล่องไฟของทุกๆเตา คงจะก่อสร้างด้วยดินดิบสูงจากผิวดิน โดยเฉลี่ยประมาณ 1.50 ม. ทั้งนี้เพื่อให้เครื่องปั้นดินเผาได้รับความร้อนอย่างเพียงพอเผาเครื่องถ้วยชามสันกำแพงได้สำรวจขุดค้นพบอยู่ ใต้เนินดินซึ่งอยู่ในบริเวณเชิงเขาห้วย น้ำบ่อวัด ห่างจากวัดเชียงแสนไปทางทิศตะวันออกเดียงใต้ 170.00 เมตร อาณาเขตของวัดรั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่ม ทางด้านเหนือจดลำห้วยผาแหน ทางด้านทิศตะวันออกจาคชา ยทุ่งนาและลำห้วย ซึ่งเบื้องหลังมีขุนเขาม่อนจิ้งกั้นอยู่ทางด้านทิศใต้จดเชิงเขาน้ำบ่อวัด ทางด้านทิศตะวันตก เป็นพื้นที่ราบเชิงเขา ซึ่งห่างจากวัดเชียงแสนประมาณ 2กิโลเมตรเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวบ้านป่าตึง ภายในวัดเชียงแสนมีโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งคือ องค์เจดีย์และ ศิลาจารึกหมื่นดาบเรือนที่พบภายใน วัด ต่อมาชาวบ้านจึงย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัดป่าตึงแห่งนี้ รูปแบบและโครงสร้างของเตาเผาในพื้นที่สันกำแพงส่วนใหญ่มีลักษณะดังนี้ 1) ส่วนยาวของปล่องไฟถึงด้านหน้าเตา ยาว 3.40เมตร กว้าง 0.93 เมตร 2) ระยะของประตูใส่ไฟถึงที่คั่นไฟกว้าง 0.50เมตร 3) ที่คั่นไฟยาว 1.70เมตร 4) พื้นที่บริเวณฐานเตาจากที่คั่นไฟถึงปล่องไฟยาว 2.10เมตร


Click to View FlipBook Version