The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรสถานศึกษาการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ฉบับปรับปรุง พุทศักราช ๒๕๖๓

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Noi Sunny, 2022-09-06 01:26:30

หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย 2563 ฉบับปรับปรุง

หลักสูตรสถานศึกษาการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ฉบับปรับปรุง พุทศักราช ๒๕๖๓

Keywords: หลักสูตรโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี

หลักสตู รสถานศึกษาการศกึ ษาปฐมวยั
ฉบบั ปรบั ปรงุ พทุ ธศกั ราช ๒๕๖3

โรงเรียนอนุบาลอบุ ลราชธานี

สำนกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาอุบลราชธานี เขต ๑
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน

กระทรวงศึกษาธิการ

คำนำ

กระทรวงศกึ ษาธกิ ารมคี าํ สัง่ ท่ี สพฐ. ๑๒๒๓ /๒๕๖๐ เรอื่ ง ใหใชหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย
พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ แทนหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั พุทธศักราช ๒๕๔๖ เม่ือ วันท่ี ๓ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
เพื่อใหสถานศึกษาหรือสถาบันพัฒนาเดก็ ปฐมวัยทกุ สังกัด นําหลักสูตรไปใชโดยใหปรับปรุงใหเหมาะสมกับ
เดก็ และสภาพทองถนิ่

โรงเรยี นอนุบาลอุบลราชธานี จัดการศึกษาปฐมวัย โดยยึดนโยบายการพัฒนาการศึกษาปฐมวัย
และหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยของกระทรวงศึกษาธิการ เปนกรอบทิศทางในการพัฒนาการจัดการศึกษา
มาอยางจรงิ จังและตอเนือ่ ง ดังนั้นจากคําสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ สพฐ. ๑๒๒๓/๒๕๖๐ โรงเรียนจึงแตงต้ัง
คณะกรรมการจัดทําหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช
๒๕๖3 ขึ้น เพื่อดําเนินการจัดทําหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย ใหมีคุณภาพและมาตรฐานตามจุดหมาย
หลักสตู รการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖0 ทก่ี ําหนดเปาหมายในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ใหมีพฒั นาการ
ดานรางกาย อารมณ จิตใจ สังคม เปนคนดี มีวินัย มีสํานึกความเปนไทย มีความรับผิดชอบตอตนเอง
ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติในอนาคต โดยพิจารณาถึงความสอดคลองกับสภาพการ
เปลี่ยนแปลงดานเศรษฐกิจ สังคม และความเจริญการหนาทางเทคโนโลยี รวมถึงสภาพและความตองการ
ของทองถิ่น เพื่อใหเปนหลักสูตรที่มีความเหมาะสมกับเปาหมายการพัฒนาเด็กปฐมวัยสอดคลองและทัน
ตอสภาพการเปลยี่ นแปลงไดอยางแทจริง โดยบรู ณาการรปู แบบการจัดการเรยี นรู้ท่ีหลากหลาย อาทิ การ
จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ( HighScope ) ภาษาธรรมชาติ และกระจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือ
กระทำและได้ใช้กระบวนการคดิ ( การเรยี นรู้ Active Learning )

โรงเรยี นอนุบาลอุบลราชธานี ขอขอบคณุ ผูท่มี สี วนเกีย่ วของทุกทาน ท้ังผูทรงคุณวุฒิดานการศึกษา
ปฐมวัย ศึกษานเิ ทศก คณะกรรมการสถานศกึ ษา คณะผูบรหิ ารโรงเรยี น ครูปฐมวัย ตัวแทนผูปกครอง ตัวแทน
ชุมชน ตลอดจนบุคลกรทุกคนที่มีสวนรวมในการจัดทําหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย โรงเรียนอนุบาล
อุบลราชธานี ฉบบั ปรบั ปรงุ พุทธศักราช ๒๕๖๓ ใหมีความเหมาะสมตอการนาํ ไปใชจดั การศกึ ษาปฐมวยั

งานการจดั การศึกษาปฐมวยั
โรงเรยี นอนุบาลอบุ ลราชธานี

สารบัญ หนา้

คำนำ 1
โครงสรา้ งหลกั สตู ร 4
ปรชั ญาการศึกษาปฐมวัยโรงเรียนอนุบาลอบุ ลราชธานี 4
วสิ ยั ทศั น์ 4
พันธกิจ 4
เปา้ ประสงค์ 5
จุดหมาย 5
มาตรฐานคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ ๑4
การจดั เวลาเรียน ๑4
สาระการเรียนรู้รายปี 19
การจดั ประสบการณ์ 30
การประเมินพัฒนาการ 45
การบรหิ ารจัดการหลักสตู ร 48
การจัดการศกึ ษาปฐมวัย (เด็กอายุ ๓ – ๖ ปี) สำหรบั กลุ่มเปา้ หมายเฉพาะ 49
การเชื่อมตอ่ ของการศกึ ษาระดับปฐมวัยกับระดับประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ 51
แนวทางการจดั ประสบการณเ์ รยี นรู้ 60
ภาคผนวก
61
- คำส่งั แต่งตงั้ คณะกรรมการจัดทาํ หลกั สูตรสถานศกึ ษาปฐมวยั โรงเรียนอนบุ าล
อบุ ลราชธานี ฉบับปรบั ปรงุ พุทธศักราช ๒๕๖๓ 64

- ประกาศโรงเรยี นอนบุ าลอุบลราชธานีใหใ้ ช้หลกั สูตรสถานศกึ ษาปฐมวยั 65
โรงเรียนอนบุ าลอบุ ลราชธานี ฉบับปรับปรงุ พุทธศักราช ๒๕๖3 66
- ตารางเรยี นห้องเรียนพเิ ศษชน้ั อนบุ าลปที ่ี 1 67
- ตารางเรียนหอ้ งเรียนพเิ ศษชนั้ อนุบาลปีท่ี 2
- ตารางเรียนห้องเรยี นพิเศษช้ันอนุบาลปีที่ 3



โครงสร้างหลักสตู ร
โครงสรา้ งหลกั สูตรสถานศกึ ษาการศกึ ษาปฐมวัย โรงเรยี นอนบุ าลอุบลราชธานี

ฉบบั ปรับปรุง พทุ ธศกั ราช ๒๕๖3

ช่วงอายุ อายุ ๓-๖ ปี
สาระการเรียนรู้
ระยะเวลาเรียน ประสบการณส์ ำคัญ สาระทคี่ วรเรียนรู้

- ดา้ นร่างกาย - เรือ่ งราวเก่ียวกบั ตวั เด็ก

- ดา้ นอารมณ์ จิตใจ - เรอื่ งราวเกยี่ วกับบคุ คลและ

- ด้านสังคม สถานทแี่ วดลอ้ มเดก็

- ดา้ นสติปญั ญา - ธรรมชาตริ อบตัว

- ส่งิ ต่างๆรอบตวั เด็ก

ปกี ารศึกษาละ ๒ ภาคเรยี น ไม่น้อยกว่า ๑๘๐ วัน/ไม่ต่ำกวา่ 6 ช่ัวโมง(ต่อวนั )



โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษาการศึกษาปฐมวยั โรงเรียนอนบุ าลอุบลราชธานี

ฉบับปรับปรงุ พทุ ธศักราช ๒๕๖3

รายสปั ดาห์

เวลาเรียน

สาระการเรียนรู/้ กจิ กรรม ระดบั ปฐมวัย

อ.๑ อ.๒ อ.๓

กิจกรรมหลกั ๖ กิจกรรม

กิจกรรมเคล่อื นไหวและจงั หวะ (๑๐นาท/ี วนั ) ๕๐ ๕๐ ๕๐

กิจกรรมเสริมประสบการณ์ (๒๐นาท/ี วนั ) ๑๐๐ ๑๐๐ ๑๐๐

กิจกรรมสรา้ งสรรค์ (๔๐นาท/ี วัน) ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐

กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามแนวคิดไฮสโคป

กจิ กรรมเสรี/เลน่ ตามมมุ (๓๐นาที/วนั ) ๑๕๐ ๑๕๐ ๑๕๐

มมุ ประสบการณ์การเรียนร้ตู ามแนวคิดไฮสโคป

กิจกรรมกลางแจง้ (๓๐นาท/ี วนั ) ๑๕๐ ๑๕๐ ๑๕๐

กจิ กรรมเกมการศึกษา (๒๐นาที/วัน) ๑๐๐ ๑๐๐ ๑๐๐

รวมเวลาเรียน ๗๕๐ ๗๕๐ ๗๕๐

จัดประสบการณ์บูรณาการปฐมวัยสู่ความเปน็ เลศิ

บ้านนกั วิทยาศาสตรน์ ้อย (ช่ัวโมง/สปั ดาห)์ - 60 (1ชั่วโมง) 60 (1ช่วั โมง)

ภาษาอังกฤษ 120 (2ชั่วโมง) ๑๘๐ (๓ชั่วโมง) ๑๘๐ (๓ชัว่ โมง)

บูรณาการการเรยี นรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคป

ภาษาจีน (ชั่วโมง/สัปดาห์) 60 (1ช่ัวโมง) ๑๒๐ (๒ชวั่ โมง) ๑๒๐ (๒ชั่วโมง)

บูรณาการการเรียนร้ตู ามแนวคดิ ไฮสโคป

คอมพิวเตอร์พน้ื ฐาน (ชว่ั โมง/สัปดาห์) 60 (1ช่ัวโมง) ๑๒๐ (๒ชวั่ โมง) ๑๒๐ (๒ชว่ั โมง)

หอ้ งเรยี นสุนทรียภาพทางดนตร(ี ชั่วโมง/สปั ดาห์) ๖๐ (๑ชว่ั โมง) ๖๐ (๑ชั่วโมง) ๖๐ (๑ช่วั โมง)

หอ้ งพละศึกษาหนูน้อยอนบุ าล(ช่วั โมง/ 2 สปั ดาห์) 6๐ (๑ชว่ั โมง) 6๐ (๑ช่วั โมง) 6๐ (๑ชัว่ โมง)

ว่ายนำ้ (ชว่ั โมง/ 2 สัปดาห์) ๖๐ (๑ช่วั โมง) ๖๐ (๑ช่วั โมง)

รวมเวลาเรียน 360 660 ช่ัวโมง 660 ช่วั โมง

***นอนพกั ผอ่ น (๑ ชั่วโมง ๓๐นาที /วนั ) ๔๕๐ ๔๕๐ ๔๕๐

(๗ ชม.๓๐นาที ) (๗ ชม.๓๐นาที ) (๗ ชม.๓๐นาที )

เก็บทนี่ อน/ล้างหน้า/ด่ืมนม ---

รวม ๔๕๐ ๔๕๐ ๔๕๐

รวมเวลาท้งั สิ้น 1,110 1,410 1,410

รวมเวลาเรยี น ๖ ช่วั โมง/วัน ๖ ชว่ั โมง/วัน ๖ ช่วั โมง/วนั

หมายเหตุ *** เก็บทน่ี อน/ลา้ งหนา้ /ด่มื นมใชเ้ วลาบรู ณาการกับช่วงนอนพักผ่อน



โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษาการศึกษาปฐมวยั โรงเรียนอนบุ าลอุบลราชธานี

ฉบับปรบั ปรุง พทุ ธศกั ราช ๒๕๖3

รายปี

เวลาเรยี น

สาระการเรียนร้/ู กจิ กรรม ระดบั ปฐมวัย

อ.๑ อ.๒ อ.๓

กจิ กรรมหลกั ๖ กจิ กรรม ๑๓
68
กจิ กรรมเคล่อื นไหวและจังหวะ (๑๐นาที/วัน) ๑๓ ๑๓ ๑๓๓

กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ (๒๐นาท/ี วนั ) 68 68 100

กจิ กรรมสร้างสรรค์ (๔๐นาที/วนั ) ๑๓๓ ๑๓๓ ๑๐๐
68
กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป
4๐
กิจกรรมเสร/ี เลน่ ตามมมุ (๓๐นาท/ี วนั ) 100 100 ๑๒๐

มมุ ประสบการณ์การเรยี นรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคป ๘๐

กจิ กรรมกลางแจ้ง (๓๐นาท/ี วนั ) ๑๐๐ ๑๐๐ ๘๐
๔๐
กจิ กรรมเกมการศกึ ษา (๒๐นาที/วนั ) 68 68 ๒๐
๒๐
จัดประสบการณ์บูรณาการปฐมวัยสู่ความเปน็ เลศิ 420
๓๐๐
บ้านนักวิทยาศาสตรน์ อ้ ย (ชัว่ โมง/สปั ดาห)์ - 40 ๖๖
746
ภาษาอังกฤษ 80 ๑๒๐

บูรณาการการเรยี นร้ตู ามแนวคิดไฮสโคป

ภาษาจนี (ช่ัวโมง/สปั ดาห)์ 40 ๘๐

บรู ณาการการเรยี นรู้ตามแนวคิดไฮสโคป

คอมพิวเตอร์พ้ืนฐาน (ชัว่ โมง/สัปดาห)์ 40 ๘๐

หอ้ งเรียนสนุ ทรยี ภาพทางดนตร(ี ชั่วโมง/สัปดาห์) ๔๐ ๔๐

ห้องพละศกึ ษาหนนู ้อยอนบุ าล(ชั่วโมง/ 2 สปั ดาห์) ๒๐ ๒๐

วา่ ยน้ำ (ชว่ั โมง/ 2 สปั ดาห์) ๒๐

รวมเวลาเรยี น 220 420

***นอนพักผ่อน (๑ ช่วั โมง ๓๐นาที /วนั ) ๓๐๐ ๓๐๐

เก็บท่นี อน/ลา้ งหน้า/ดืม่ นม (๒๐ นาที/วนั ) ๖๖ ๖๖

รวมเวลาทั้งสนิ้ 706 746



ปรชั ญาการจัดการศึกษาปฐมวัยโรงเรียนอนบุ าลอบุ ลราชธานี
การจดั การศึกษาปฐมวัย โรงเรยี นอนุบาลอุบลราชธานี เป็นการจดั การศกึ ษาเพื่อส่งเสริม
กระบวนการเรียนรขู้ องเด็กอายุ ๓ - ๖ ปี ท่ีสนองต่อธรรมชาติและพฒั นาการของเด็กแต่ละคนให้เต็มตาม
ศักยภาพ บูรณาการผ่านการเล่น การช่วยเหลือตนเอง และมีทักษะคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สามารถ
ดำเนินชีวิตในฐานะพลเมืองไทย และพลโลก เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตและสังคมอย่างต่อเนื่องสู่
ศตวรรษท่ี 21

วสิ ยั ทศั น์
โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี จัดการศึกษาปฐมวัยมคี ณุ ภาพ ไดม้ าตรฐานสากล

พันธกิจ
1. พัฒนาผเู้ รียนระดับปฐมวยั ให้มีคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์เปน็ พลเมอื งในศตวรรษท่ี ๒๑
2. พัฒนาครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาระดบั ปฐมวัยใหม้ ีคณุ ภาพตามมาตรฐานวิชาชีพ
3. พฒั นานวัตกรรมการจดั การเรยี นรูแ้ ละระบบบรหิ ารจัดการระดับปฐมวัยใหม้ ีประสทิ ธิภาพโดย
เน้นการมสี ว่ นรว่ ม
4. พัฒนาแหลง่ เรยี นรู้ใหห้ ลากหลายเพ่อื สง่ เสริมศักยภาพผเู้ รยี นระดบั ปฐมวยั
5. ส่งเสริมภาคเี ครอื ข่ายให้มีสว่ นร่วมในการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาระดบั ปฐมวัย

เป้าประสงค์
1. ผู้เรยี นระดบั ปฐมวัย รปู แบบหอ้ งเรียนปกติ และรปู แบบหอ้ งเรยี นพเิ ศษมคี วามรู้ ทักษะ และ
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคต์ ามมาตรฐานหลกั สตู รปฐมวยั เป็นท่ยี อมรบั ของชุมชนและสังคม
2. ผู้เรยี นระดับปฐมวัย สามารถดำเนินชวี ติ ในฐานะพลเมืองไทย และพลโลก
3. ครู และบุคลากรทางการศกึ ษาระดบั ปฐมวยั มคี วามเป็นมืออาชีพ
4. ครูมีความสามารถด้านการวิจัย และสร้างสรรค์นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ระดับปฐมวัย
อย่างมีประสิทธภิ าพ
5. สถานศึกษามีเทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมสำหรับการบริหารจัดการศึกษาปฐมวัย
ท่ีทนั สมัยและเป็นระบบ
6. สถานศกึ ษามีสภาพแวดล้อมทีเ่ ออื้ ต่อการเรียนรู้ของผูเ้ รียนระดบั ปฐมวยั ในศตวรรษที่ ๒๑
7. สถานศึกษาได้รับสนับสนุนทรัพยากรจากเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพ
การศกึ ษาระดบั ปฐมวยั

จุดหมาย
หลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนอนบุ าลอุบลราชธานี มุ่งให้เดก็ มพี ฒั นาการตามวัยเต็มตาม
ศกั ยภาพของแต่ละบคุ คล จึงกำหนดจดุ หมายเพ่ือใหเ้ กดิ กบั เดก็ เมื่อจบการศกึ ษาระดับปฐมวยั ดงั น้ี
๑. ดา้ นรา่ งกาย มีรา่ งกายเจรญิ เตบิ โตตามวยั แขง็ แรงและมสี ุขนสิ ัยทดี่ ี
๒. ดา้ นอารมณ์ จติ ใจ มีสุขภาพจิตดี มีสมาธจิ ดจอ่ มีคุณธรรมจริยธรรมและจติ ใจท่ดี งี าม
๓. ด้านสังคม เป็นผู้นำและผู้ตาม อยู่ในชั้นเรียนด้วยความไม่ขัดแย้ง มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตน
ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง มีวินัยและอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ื่นได้อยา่ งมคี วามสุข



๔. ด้านสติปัญญา มีทักษะกระบวนการคิด ด้านคณิตศาสตร์ ในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสม

กับวยั

5. ด้านภาษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน มีทักษะกระบวนการคดิ ด้านภาษาและการใช้

ภาษาสือ่ สารในการแสวงหาความร้ไู ด้เหมาะสมกับวยั

6. ด้านเทคโนโลยี ( คอมพิวเตอร์และComputing ) มีทักษะกระบวนการคิดด้านเทคโนโลยี

การใช้คอมพิวเตอร์ในการแสวงหาความร้ไู ด้เหมาะสมกับวยั

7. ดา้ นดนตรี มีทักษะและสุนทรียภาพด้านดนตรี

8. ดา้ นวทิ ยาศาสตรม์ ที กั ษะกระบวนการคดิ ด้านวทิ ยาศาสตรใ์ นการแสวงหาความรู้ ได้

เหมาะสมกับวยั

มาตรฐานคุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์
หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัยกำหนดมาตรฐานคุณลักษณะท่พี งึ ประสงคจ์ ำนวน ๑๒ มาตรฐาน

ประกอบด้วย
๑.พัฒนาการดา้ นรา่ งกาย ประกอบดว้ ย ๒ มาตรฐานคอื
มาตรฐานที่ ๑ รา่ งกายเจริญเตบิ โตตามวยั และมสี ุขนสิ ัยท่ีดี

มาตรฐานที่ ๒ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเน้ือเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและ
ประสานสมั พนั ธก์ นั ( สนามเดก็ เลน่ เสรมิ ปญั ญา วา่ ยนำ้ หอ้ งพลศกึ ษาหนนู ้อยอนบุ าล )

๒.พัฒนาการดา้ นอารมณ์ จิตใจ ประกอบดว้ ย ๓ มาตรฐานคือ
มาตรฐานท่ี ๓ มีสขุ ภาพจิตดี มีสมาธิจดจ่อ และมคี วามสุข
มาตรฐานที่ ๔ ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี มีทักษะด้านสุนทรียะด้านดนตรี

และการเคล่ือนไหว
มาตรฐานท่ี ๕ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และมจี ิตใจที่ดีงาม

๓.พัฒนาการดา้ นสังคม ประกอบด้วย ๓ มาตรฐานคอื
มาตรฐานท่ี ๖ มที กั ษะชวี ิตและปฏบิ ัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
มาตรฐานที่ ๗ รักธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ้ ม วัฒนธรรม และความเป็นไทย

มาตรฐานที่ ๘ อยู่ร่วมกับผู้อืน่ ได้อย่างมีความสขุ และปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดขี องสังคม
ในระบอบประชาธปิ ไตย อนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข

๔.พัฒนาการด้านสตปิ ญั ญา ประกอบด้วย ๔ มาตรฐานคอื

มาตรฐานที่ ๙ ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และ

ภาษาจนี

มาตรฐานที่ ๑๐ มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ มีทักษะด้านการคิด

คณติ ศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์

มาตรฐานท่ี ๑๑ มีจินตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์

มาตรฐานที่ ๑๒ มเี จตคติที่ดตี ่อการเรยี นรู้ มคี วามสามารถในใชเ้ ทคโนโลยี (

คอมพิวเตอรแ์ ละ Computing ) ในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกบั วัย

ตวั บง่ ช้ี

ตัวบง่ ช้ีเปน็ เปา้ หมายในการพัฒนาเดก็ ที่มีความสมั พนั ธ์สอดคล้องกับมาตรฐานคุณลกั ษณะทพ่ี ึง

ประสงค์



สภาพทพ่ี ึงประสงค์
สภาพที่พึงประสงค์เป็นพฤติกรรมหรือความสามารถตามวัยที่คาดหวังให้เด็กเกิด บนพื้นฐาน

พัฒนาการตามวัยหรือความสามารถตามธรรมชาติในแต่ละระดับอายุเพื่อนำไปใช้ในการกำหนดสาระ
เรียนรู้ใน การจัดประสบการณ์ กิจกรรมและประเมินพัฒนาการเด็ก โดยมีรายละเอียดของมาตรฐาน
มาตรฐานคณุ ลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ ตัวบง่ ช้ี และสภาพท่ีพงึ ประสงค์ ดังนี้

มาตรฐานที่ ๑ รา่ งกายเจริญเตบิ โตตามวัยเด็กมีสุขนิสัยท่ดี ี

ตวั บ่งช้ีที่ ๑.๑ มนี ้ำหนกั และส่วนสูงตามเกณฑ์

สภาพที่พงึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- นำ้ หนักและสว่ นสงู ตามเกณฑ์ - น้ำหนักและสว่ นสูงตามเกณฑ์ - นำ้ หนกั และส่วนสงู ตามเกณฑ์
ของกรมอนามัย
ของกรมอนามยั ของกรมอนามัย

ตวั บง่ ชท้ี ่ี ๑.๒ มีสขุ ภาพอนามยั สขุ นิสัยท่ีดี

สภาพท่พี งึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- ยอมรบั ประทานอาหารที่มี - รบั ประทานอาหารที่มปี ระโยชน์ - รับประทานอาหารท่มี ีประโยชน์
ไดห้ ลายชนดิ และดืม่ น้ำสะอาดได้
ประโยชน์และดืม่ นำ้ ทีส่ ะอาดเมือ่ มี และดื่มนำ้ สะอาดดว้ ยตนเอง ดว้ ยตนเอง

ผ้ชู ้แี นะ

- ลา้ งมือกอ่ นรบั ประทานอาหาร - ลา้ งมอื กอ่ นรบั ประทานอาหาร - ลา้ งมือก่อนรบั ประทานอาหาร
และหลงั จากใช้ห้องนำ้ หอ้ งสว้ ม และหลงั จากใช้ห้องนำ้ หอ้ งสว้ ม และหลังจากใชห้ อ้ งนำ้ หอ้ งส้วม
เมอ่ื มีผูช้ ้ีแนะ ดว้ ยตนเอง ดว้ ยตนเอง

- นอนพักผ่อนเป็นเวลา - นอนพกั ผ่อนเปน็ เวลา - นอนพกั ผ่อนเปน็ เวลา

- ออกกำลงั กายเป็นเวลา - ออกกำลงั กายเปน็ เวลา - ออกกำลงั กายเปน็ เวลา

ตวั บ่งชที้ ี่ ๑.๓ รกั ษาความปลอดภยั ของตนเองและผูอ้ ่ืน
สภาพท่พี ึงประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- เลน่ และทำกจิ กรรมอยา่ ง - เล่นและทำกจิ กรรมอย่าง - เลน่ และทำกจิ กรรมและปฏิบัติ
ปลอดภัยเมอื่ มีผูช้ ี้แนะ ปลอดภยั ด้วยตนเอง ต่อผู้อื่นอยา่ งปลอดภยั



มาตรฐานที่ ๒ กล้ามเนอ้ื ใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใชไ้ ด้อย่างคล่องแคลว่ และประสานสัมพนั ธ์กัน

ตัวบง่ ช้ีที่ ๒.๑ เคลื่อนไหวรา่ งกายอย่างคลอ่ งแคลว่ ประสานสัมพันธ์และทรงตัวได้

สภาพท่พี ึงประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- เดินตามแนวท่ีกำหนดได้ - เดนิ ต่อเท้าไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง - เดินตอ่ เทา้ ถอยหลังเป็นเสน้ ตรงได้

ได้โดยไมต่ ้องกางแขน โดยไม่ตอ้ งกางแขน

- กระโดดสองขา ขนึ้ ลงอยกู่ ับท่ีได้ - กระโดดขาเดียวอยกู่ ับทไี่ ด้โดยไม่ - กระโดดขาเดยี ว ไปข้างหน้าได้อย่าง

เสียการทรงตวั ต่อเนื่องโดยไมเ่ สียการทรงตวั

- วิ่งแลว้ หยดุ ได้ - วิง่ หลบหลีกสิ่งกีดขวางได้ - วิง่ หลบหลกี สงิ่ กีดขวางได้อยา่ ง

คล่องแคล่ว

- รับลกู บอลโดยใช้มอื และลำตัวช่วย - รบั ลูกบอลไดด้ ว้ ยมือทง้ั สองข้าง - รบั ลกู บอลทีก่ ระดอนขน้ึ จากพ้นื ได้

ตวั บ่งช้ที ี่ ๒.๓ ใช้มอื -ตาประสานสัมพันธ์กัน

สภาพที่พงึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- ใชก้ รรไกรตดั กระดาษขาดจากกัน - ใช้กรรไกรตัดกระดาษตามแนว - ใช้กรรไกรตดั กระดาษตามแนวเส้น

ได้โดยใชม้ ือเดยี ว เสน้ ตรงได้ โคง้ ได้

- เขยี นรปู วงกลมตามแบบได้ - เขยี นรปู ส่ีเหลย่ี มตามแบบได้อย่าง - เขยี นรปู สามเหล่ียมตามแบบไดอ้ ย่าง

มีมมุ ชดั เจน มีมุมชัดเจน

- ร้อยวัสดทุ ม่ี รี ขู นาดเสน้ ผ่าน - รอ้ ยวัสดทุ ีม่ ีรูปขนาดเส้นผ่าน - รอ้ ยวสั ดุท่ีมรี ขู นาดเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง

ศูนยก์ ลาง ๑ ซม.ได้ ศูนย์กลาง ๐.๕ ซม.ได้ ๐.๒๕ ซม.ได้

๒.พฒั นาการดา้ นอารมณ์ จติ ใจ

มาตรฐานท่ี ๓ มีสุขภาพจิตดแี ละมีความสขุ

ตัวบง่ ชี้ที่ ๓.๑ แสดงออกทางอารมณอ์ ยา่ งเหมาะสม

สภาพทพ่ี ึงประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี
- แสดงอารมณ์ ความรู้สกึ ได้
- แสดงอารมณ์ ความรู้สกึ ได้ - แสดงอารมณ์ ความรู้สึกไดต้ าม สอดคล้องกับสถานการณอ์ ย่าง
เหมาะสม
เหมาะสมกับบางสถานการณ์ สถานการณ์
อายุ ๕ ปี
ตวั บ่งชีท้ ี่ ๓.๒ มคี วามร้สู ึกท่ีดตี ่อตนเองและผูอ้ ื่น - กลา้ พูดกลา้ แสดงออกอย่าง
เหมาะสมตามสถานการณ์
สภาพท่พี งึ ประสงค์ - แสดงความพอใจในผลงานและ
ความสามารถของตนเองและผอู้ นื่
อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี

- กลา้ พดู กลา้ แสดงออก - กลา้ พดู กล้าแสดงออกอย่าง

เหมาะสมบางสถานการณ์

- แสดงความพอใจในผลงานตนเอง - แสดงความพอใจในผลงานและ

ความสามารถของตนเอง



มาตรฐานท่ี ๔ ช่นื ชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคลอ่ื นไหว

ตัวบง่ ชท้ี ี่ ๔.๑ สนใจและมคี วามสุขและแสดงออกผ่านงานศลิ ปะ ดนตรแี ละการเคลื่อนไหว

สภาพท่ีพงึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- สนใจและมคี วามสขุ และแสดงออก - สนใจและมคี วามสุขและแสดงออก - สนใจและมีความสขุ และแสดงออก

ผ่านงานศิลปะ ผ่านงานศลิ ปะ ผา่ นงานศลิ ปะ

- สนใจ มคี วามสุขและแสดงออกผา่ น - สนใจ มีความสขุ และแสดงออกผ่าน - สนใจ มคี วามสขุ และแสดงออกผ่าน

เสยี งเพลง ดนตรี เสยี งเพลง ดนตรี เสยี งเพลง ดนตรี

- สนใจ มีความสุขและแสดงทา่ ทาง/ - สนใจ มีความสขุ และแสดงท่าทาง/ - สนใจ มคี วามสขุ และแสดงทา่ ทาง/

เคลื่อนไหวประกอบเพลง จงั หวะ เคล่อื นไหวประกอบเพลง จงั หวะ เคลือ่ นไหวประกอบเพลง จังหวะ

และ ดนตรี และ ดนตรี และ ดนตรี

มาตรฐานท่ี ๕ มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจติ ใจทด่ี งี าม

ตัวบ่งชท้ี ี่ ๕.๑ ซอื่ สตั ย์ สจุ รติ

สภาพท่ีพึงประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- บอกหรือชไี้ ด้วา่ สง่ิ ใดเปน็ ของ - ขออนญุ าตหรือรอคอยเม่อื ตอ้ งการ - ขออนุญาตหรอื รอคอยเมอ่ื ตอ้ งการ
ส่งิ ของของผอู้ นื่ ดว้ ยตนเอง
ตนเองและสิ่งใดเป็นของผู้อนื่ ส่ิงของของผู้อ่นื เม่ือมผี ชู้ ี้แนะ

ตัวบ่งชท้ี ่ี ๕.๒ มีความเมตตา กรณุ า มนี ้ำใจและชว่ ยเหลอื แบง่ ปนั

สภาพที่พงึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- แสดงความรกั เพ่ือนและมีเมตตา - แสดงความรักเพ่ือนและมีเมตตา - แสดงความรกั เพอื่ นและมเี มตตา
สตั ว์เลยี้ ง
สัตวเ์ ลย้ี ง สัตวเ์ ลย้ี ง
- ช่วยเหลือและแบ่งปันผู้อ่นื ได้ด้วย
- แบ่งปันสง่ิ ของให้ผู้อื่นได้เม่อื มีผู้ - ชว่ ยเหลอื และแบง่ ปันผอู้ นื่ ไดเ้ มื่อมี ตนเอง

ช้ีแนะ ผ้ชู ้ีแนะ

ตัวบง่ ชี้ที่ ๕.๓ มีความเห็นอกเหน็ ใจผอู้ น่ื

สภาพทีพ่ งึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- แสดงสีหน้าหรอื ท่าทางรบั รู้ - แสดงสีหนา้ หรือทา่ ทางรับรู้ - แสดงสีหนา้ หรือทา่ ทางรับรู้
ความรู้สกึ ผูอ้ น่ื อยา่ งสอดคล้องกบ
ความรสู้ ึกผู้อื่น ความรู้สึกผู้อ่นื สถานการณ์

ตวั บ่งชี้ท่ี ๕.๔มีความรบั ผิดชอบ สภาพท่พี ึงประสงค์ อายุ ๕ ปี

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี - ทำงานท่ีไดร้ บั มอบหมายจนสำเร็จ
- ทำงานทีไ่ ด้รับมอบหมายจนสำเร็จ ดว้ ยตนเอง
เม่ือมีผ้ชู ว่ ยเหลือ - ทำงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายจนสำเร็จ
เมื่อมีผชู้ ีแ้ นะ



๓.พฒั นาการดา้ นสงั คม

มาตรฐานที่ ๖ มที ักษะชีวิตและปฏบิ ัตติ นตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ตวั บง่ ชท้ี ี่ ๖.๑ ช่วยเหลอื ตนเองในการปฏิบัติกิจวตั รประจำวนั

สภาพที่พงึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- แตง่ ตวั โดยมีผู้ชว่ ยเหลอื - แตง่ ตวั ดว้ ยตนเอง - แตง่ ตวั ด้วยตนเองไดอ้ ย่าง

คลอ่ งแคล่ว

- รับประทานอาหารด้วยตนเอง - รบั ประทานอาหารด้วยตนเอง - รบั ประทานอาหารด้วยตนเองอยา่ ง

ถกู วธิ ี

- ใชห้ อ้ งนำ้ ห้องส้วมโดยมผี ู้ช่วยเหลอื - ใช้หอ้ งน้ำหอ้ งส้วมดว้ ยตนเอง - ใช้และทำความสะอาดหลงั ใช้

ห้องนำ้ หอ้ งส้วมด้วยตนเอง

ตัวบง่ ช้ที ่ี ๖.๒ มีวนิ ยั ในตนอง สภาพที่พงึ ประสงค์ อายุ ๕ ปี
อายุ ๔ ปี
อายุ ๓ ปี - เกบ็ ของเลน่ ของใช้เขา้ ทอ่ี ยา่ ง
- เกบ็ ของเล่นของใช้เขา้ ทีเ่ มือ่ มีผู้ - เก็บของเล่นของใช้เข้าท่ดี ว้ ยตนเอง เรียบรอ้ ยด้วยตนเอง
ชี้แนะ
- เข้าแถวตามลำดบั ก่อนหลังได้เมอื่ มี - เขา้ แถวตามลำดบั ก่อนหลงั ได้ดว้ ย - เข้าแถวตามลำดบั ก่อนหลังไดด้ ้วย
ผ้ชู ีแ้ นะ ตนเอง ตนเอง

ตวั บ่งช้ที ่ี ๖.๓ ประหยดั และพอเพียง

สภาพทพ่ี ึงประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- ใช้ส่ิงของเครื่องใช้อยา่ งประหยดั - ใช้สง่ิ ของเครื่องใช้อยา่ งประหยัด - ใช้ส่ิงของเครอ่ื งใชอ้ ยา่ งประหยดั
และพอเพยี งด้วยตนเอง
และพอเพยี งเม่อื มผี ้ชู ้ีแนะ และพอเพียงเมอ่ื มผี ชู้ ้ีแนะ

มาตรฐานท่ี ๗ รักธรรมชาติ สง่ิ แวดล้อม วฒั นธรรม และความเปน็ ไทย

ตัวบง่ ช้ีที่ ๗.๑ ดูแลรกั ษาธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม

สภาพท่พี งึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี
- มสี ว่ นร่วมในการดแู ลรักษา
- มสี ่วนรว่ มในการดูแลรักษา - มสี ว่ นรว่ มในการดแู ลรักษา ธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มด้วยตนเอง

ธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มเมอ่ื มีผู้ ธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มเมือ่ มีผู้ -ทิ้งขยะไดถ้ กู ท่ี

ช้ีแนะ ช้ีแนะ

-ทงิ้ ขยะไดถ้ ูกท่ี -ทิง้ ขยะได้ถูกที่

๑๐

ตวั บง่ ช้ีที่ ๗.๒ มีมารยาทตามวัฒนธรรมไทยและรักความเป็นไทย

สภาพท่ีพงึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี
-ปฏิบัตติ นตามมารยาทไทยได้ ตาม
ปฏบิ ตั ติ นตามมารยาทไทยได้ เม่ือมีผู้ -ปฏบิ ตั ิตนตามมารยาทไทยไดด้ ้วย กาลเทศะ

ชแ้ี นะ ตนเอง -กลา่ วคำขอบคุณและขอโทษด้วย
ตนเอง
-กลา่ วคำขอบคุณและขอโทษเมือ่ มีผู้ -กล่าวคำขอบคุณและขอโทษดว้ ย
-ยืนตรงและรว่ มร้องเพลงชาติไทย
ช้แี นะ ตนเอง และเพลงสรรเสรญิ พระมารมี

-หยดุ เม่อื ไดย้ ินเพลงชาติไทยและ -หยุดเมอื่ ไดย้ นิ เพลงชาตไิ ทยและ

เพลงสรรเสรญิ พระบารมี เพลงสรรเสรญิ พระบารมี

มาตรฐานท่ี ๘ อยรู่ ว่ มกับผอู้ ่นื ได้อย่างมีความสขุ และปฏิบตั ิตนเป็นสมาชิกที่ดขี องสงั คมใน

ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมุข

ตัวบง่ ชท้ี ี่ ๘.๑ ยอมรับความเหมอื นและความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล

สภาพที่พึงประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

-เล่นและทำกิจกรรมรว่ มกับเดก็ ที่ -เลน่ และทำกิจกรรมร่วมกบั กลุ่มเด็ก -เลน่ และทำกิจกรรมรว่ มกับเด็กท่ี

แตกตา่ งไปจากตน ท่แี ตกตา่ งไปจากตน แตกต่างไปจากตน

ตวั บง่ ชท้ี ี่ ๘.๒ มปี ฏสิ มั พันธท์ ่ีดีกบั ผ้อู น่ื

สภาพที่พึงประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- เลน่ ร่วมกับเพื่อน - เลน่ หรือทำงานร่วมกบั เพ่อื นเป็น - เลน่ หรือทำงานรว่ มกับเพือ่ นอยา่ งมี

กลุ่ม เป้าหมาย

- ยม้ิ หรอื ทักทายผ้ใู หญ่และบคุ คลท่ี - ยิ้มหรอื ทกั ทายหรือพูดคยุ กบั ผู้ใหญ่ - ยม้ิ หรอื ทกั ทายหรอื พูดคุยกับผู้ใหญ่

คุน้ เคยเม่อื มผี ู้ชแี้ นะ และบคุ คลท่ีคนุ้ เคยได้ดว้ ยตนเอง และบุคคลที่คุ้นเคยได้เหมาะสมกับ

สถานการณ์

ตวั บง่ ชี้ท่ี ๘.๓ ปฏบิ ตั ิตนเบ้ืองตน้ ในการเปน็ สมาชกิ ทด่ี ีของสังคม

สภาพทีพ่ ึงประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- ปฏบิ ัติตามขอ้ ตกลงเม่ือมีผู้ช้ีแนะ - มสี ว่ นร่วมสร้างข้อตกลงและปฏิบตั ิ - มสี ่วนร่วมสรา้ งขอ้ ตกลงและปฏบิ ัติ

ตามขอ้ ตกลงเมื่อมีผูช้ ้แี นะ ตามขอ้ ตกลงด้วยตนเอง

- ปฏบิ ตั ิตนเป็นผ้นู ำและผู้ตามเมื่อมีผู้ - ปฏบิ ัติตนเปน็ ผนู้ ำและผู้ตามท่ีดไี ด้ - ปฏบิ ัติตนเปน็ ผู้นำและผู้ตามได้

ชแ้ี นะ ดว้ ยตนเอง เหมาะสมกับสถานการณ์

- ยอมรับการประนปี ระนอมแกไ้ ข - ประนปี ระนอมแกไ้ ขปัญหาโดย - ประนีประนอมแกไ้ ขปญั หาโดย

ปญั หาเมือ่ มีผู้ชแี้ นะ ปราศจากการใชค้ วามรุนแรงเมื่อมผี ู้ ปราศจากการใชค้ วามรุนแรงดว้ ย

ช้ีแนะ ตนเอง

๑๑

๕. ด้านสติปญั ญา

มาตรฐานท่ี ๙ ใชภ้ าษาส่ือสารไดเ้ หมาะสมกับวัย

ตวั บง่ ชที้ ่ี ๙.๑ สนทนาโต้ตอบและเลา่ เรือ่ งใหผ้ อู้ นื่ เขา้ ใจ

สภาพท่ีพึงประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- ฟังผู้อนื่ พูดจนจบและโต้ตอบ - ฟงั ผู้อ่ืนพดู จนจบและสนทนา - ฟังผ้อู น่ื พูดจนจบและสนทนา
โตต้ อบอย่างต่อเนื่องเชือ่ มโยงกบั
เกี่ยวกบั เรื่องทฟ่ี งั โตต้ อบสอดคลอ้ งกบั เรื่องท่ฟี งั เรื่องที่ฟงั
-ฟงั ผูอ้ ่ืนพดู จนจบและสนทนาโต้ตอบ
- ฟังผูอ้ ื่นพูดจนจบและโต้ตอบ - ฟังผู้อืน่ พดู จนจบและสนทนา อยา่ งตอ่ เน่อื งเช่ือมโยงกบั เรือ่ งที่ฟงั
โดยใช้ภาษาอังกฤษและภาษาจีน
เกย่ี วกับเรอ่ื งที่ฟงั โดยใชภ้ าษาองั กฤษ โต้ตอบสอดคลอ้ งกบั เรอื่ งที่ฟงั โดยใช้
- เล่าเป็นเร่ืองราวตอ่ เนือ่ งได้
และภาษาจีน ภาษาองั กฤษและภาษาจนี -เลา่ เป็นเรอ่ื งราวตอ่ เน่ืองได้ โดยใช้
ภาษาอังกฤษและภาษาจีน
- เล่า เร่อื งด้วยประโยคส้ันๆ - เล่าเรือ่ งเปน็ ประโยคอย่างต่อเนือ่ ง
-เล่า เรื่องดว้ ยประโยคสน้ั ๆ โดยใช้ -เล่าเรอ่ื งเป็นประโยคอยา่ งตอ่ เนือ่ ง
ภาษาองั กฤษและภาษาจีน โดยใชภ้ าษาอังกฤษและภาษาจีน

ตัวบ่งชท้ี ่ี ๙.๒ อา่ น เขยี นภาพ และสญั ลกั ษณไ์ ด้

สภาพที่พงึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี
- อา่ นภาพ และพูดข้อความด้วย
ภาษา - อา่ นภาพ สัญลักษณ์ คำ พร้อมทัง้ - อา่ นภาพ สญั ลักษณ์ คำ ดว้ ยการชี้
ของตน
- อ่านภาพ และพูดข้อความด้วย ช้ี หรอื กวาดตามองข้อความตาม หรือกวาดตามองจดุ เรมิ่ ตน้ และจุด
ภาษา
ไทย ภาษาองั กฤษ และภาษาจนี บรรทัด จบของขอ้ ความ

- เขยี นขีด เข่ีย อย่างมีทิศทาง - อา่ นภาพ สญั ลักษณ์ คำ พรอ้ มท้ัง - อ่านภาพ สัญลักษณ์ คำ ด้วยการช้ี
- เขยี นขดี เขี่ย อยา่ งมีทิศทางด้วย
ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ และ ช้ี หรือกวาดตามองขอ้ ความตาม หรอื กวาดตามองจดุ เรม่ิ ต้นและจุด
ภาษาจีน
บรรทัด ด้วยภาษาไทย ภาษาอังกฤษ จบของขอ้ ความ ดว้ ยภาษาไทย

และภาษาจนี ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน

- เขยี นคล้ายตวั อกั ษร - เขียนชื่อของตนเอง ตามแบบ

- เขียนคลา้ ยตัวอักษรด้วยภาษาไทย เขยี นขอ้ ความด้วยวิธที ่ีคิดขน้ึ เอง

ภาษาอังกฤษ และภาษาจนี - เขยี นชื่อของตนเอง ตามแบบ

เขยี นข้อความด้วยวิธีที่คดิ ขึน้ เอง

ดว้ ยภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และ

ภาษาจนี

๑๒

มาตรฐานที่ ๑๐ มีความสามารถในการคดิ ท่ีเปน็ พืน้ ฐานในการเรียนรู้

ตวั บง่ ชี้ที่ ๑๐.๑ มีความสามารถในการคิดรวบยอด

สภาพที่พึงประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- บอกลักษณะของส่ิงของตา่ งๆจาก - บอกลักษณะและส่วนประกอบของ - บอกลักษณะ สว่ นประกอบ การ

การสงั เกตโดยใช้ประสาทสมั ผสั สง่ิ ของตา่ งๆจากการสงั เกตโดยใช้ เปลยี่ นแปลง หรอื ความสมั พันธ์ของ

ประสาทสมั ผัส สิ่งของต่างๆจากการสังเกตโดยใช้

ประสาทสมั ผัส

- จับคู่หรอื เปรียบเทยี บส่ิงต่างๆโดย - จับคแู่ ละเปรียบเทยี บความ - จับคู่และเปรียบเทียบความ

ใช้ลกั ษณะหรอื หนา้ ทก่ี ารงานเพียง แตกต่างหรือความเหมือนของส่ิง แตกตา่ งหรือความเหมอื นของสิ่ง

ลักษณะเดยี ว ตา่ งๆโดยใชล้ กั ษณะทส่ี ังเกตพบเพยี ง ตา่ งๆโดยใช้ลักษณะที่สังเกตพบสอง

ลกั ษณะเดียว ลกั ษณะข้นึ ไป

- คัดแยกสิง่ ต่างๆตามลกั ษณะหรือ - จำแนกและจัดกลุ่มสง่ิ ต่างๆโดยใช้ - จำแนกและจัดกลุ่มสง่ิ ตา่ งๆโดยใช้

หน้าท่ีการใชง้ าน อย่างนอ้ ยหนึง่ ลักษณะเป็นเกณฑ์ ต้ังแตส่ องลกั ษณะขนึ้ ไปเป็นเกณฑ์

- เรียงลำดับสิ่งของหรอื เหตุการณ์ - เรยี งลำดบั ส่ิงของหรอื เหตุการณ์ - เรียงลำดบั สิง่ ของหรือเหตกุ ารณ์

อยา่ งน้อย ๓ ลำดับ อย่างน้อย ๔ ลำดบั อยา่ งน้อย ๕ ลำดบั

ตัวบ่งชท้ี ่ี ๑๐.๒ มีความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล

สภาพทีพ่ งึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- ระบผุ ลท่ีเกดิ ขึ้นในเหตกุ ารณห์ รือ - ระบสุ าเหตุหรือผลที่เกิดข้นึ ใน - อธิบายเชือ่ มโยงสาเหตุและผลที่
เกิดข้ึนในเหตกุ ารณห์ รอื การกระทำ
การกระทำเม่อื มีผูช้ ี้แนะ เหตุการณ์หรอื การกระทำเมือ่ มีผู้ ด้วยตนเอง

ชี้แนะ - คาดคะเนส่งิ ทอี่ าจจะเกดิ ข้ึน และมี
ส่วนรว่ มในการลงความเห็นจาก
- คาดเดา หรอื คาดคะเนสิง่ ท่อี าจ - คาดเดา หรือคาดคะเนสิ่งทอ่ี าจจะ ข้อมลู อย่างมีเหตุผล

เกิดขึน้ เกิดขน้ึ หรือมีส่วนร่วมในการลง

ความเหน็ จากข้อมูล

ตวั บ่งช้ที ี่ ๑๐.๓ มีความสามารถในการคดิ แก้ปัญหาและตัดสินใจ

สภาพทพ่ี งึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- ตดั สินใจในเร่อื งงา่ ยๆ - ตัดสินใจในเรอื่ งงา่ ยๆและเร่มิ - ตัดสินใจในเรือ่ งงา่ ยๆและยอมรบั
ผลที่เกิดขน้ึ
เรียนรผู้ ลท่ีเกิดขึ้น
- ระบปุ ญั หาสร้างทางเลือกและเลอื ก
- แก้ปัญหาโดยลองผดิ ลองถูก - ระบุปญั หา และแก้ปญั หาโดยลอง วิธแี กป้ ัญหา

ผดิ ลองถกู

๑๓

มาตรฐานท่ี ๑๑ มจี ินตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์

ตัวบง่ ชท้ี ่ี ๑๑.๑ เลน่ /ทำงานศลิ ปะตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

สภาพทีพ่ งึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- สร้างผลงานศิลปะเพอื่ ส่ือสาร - สรา้ งผลงานศิลปะเพ่อื สอ่ื สาร - สร้างผลงานศิลปะเพือ่ สือ่ สาร
ความคดิ ความรู้สกึ ของตนเองโดยมี
ความคิด ความรสู้ ึกของตนเอง ความคดิ ความรู้สกึ ของตนเองโดยมี การดัดแปลงและแปลกใหม่จากเดิม
และมรี ายละเอยี ดเพิ่มขึน้
การดัดแปลงและแปลกใหม่จากเดมิ

หรอื มีรายละเอยี ดเพ่มิ ขน้ึ

ตัวบง่ ชที้ ่ี ๑๑.๒ แสดงทา่ ทาง/เคลอื่ นไหวตามจินตนาการอยา่ งสร้างสรรค์

สภาพท่ีพงึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- เคล่อื นไหวทา่ ทางเพ่ือสอ่ื สาร - เคลื่อนไหวทา่ ทางเพ่อื ส่อื สาร - เคลอ่ื นไหวทา่ ทางเพ่อื สือ่ สาร
ความคิด ความรู้สึกของตนเอง
ความคิด ความรู้สกึ ของตนเอง ความคิด ความรสู้ กึ ของตนเอง อยา่ งหลากหลายและแปลกใหม่

อย่างหลากหลายหรือแปลกใหม่

มาตรฐานท่ี ๑๒ มเี จตคติท่ดี ีตอ่ การเรยี นรู้ และมีความสามารถในการแสวงหาความรไู้ ด้เหมาะสมกบั วัย

ตัวบง่ ช้ที ่ี ๑๒.๑ มีเจตคติทดี่ ตี อ่ การเรยี นรู้

สภาพทพี่ งึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- สนใจฟงั หรอื อา่ นหนังสือด้วย - สนใจซกั ถามเกยี่ วกบั สัญลักษณ์ - หยบิ หนังสือมาอ่านและเขียนสอื่

ตนเอง หรอื ตัวหนังสอื ที่พบเห็น ความคดิ ดว้ ยตนเองเป็นประจำอยา่ ง

ต่อเนือ่ ง

- กระตือรือรน้ ในการเข้าร่วม - กระตอื รอื รน้ ในการเขา้ ร่วม - กระตอื รือร้นในการร่วมกิจกรรม

กจิ กรรม กจิ กรรม ต้ังแต่ตน้ จนจบ

ตวั บง่ ชท้ี ี่ ๑๒.๒ มคี วามสามารถในการแสวงหาความรู้

สภาพที่พงึ ประสงค์

อายุ ๓ ปี อายุ ๔ ปี อายุ ๕ ปี

- คน้ หาคำตอบของข้อสงสัยตา่ งๆ - คน้ หาคำตอบของข้อสงสยั ตา่ งๆ - คน้ หาคำตอบของข้อสงสยั ต่างๆ
ตามวิธีการท่ีหลากหลายด้วยตนเอง
ตามวิธีการท่ีมีผ้ชู ี้แนะ ตามวธิ กี ารของตนเอง - คน้ หาคำตอบของข้อสงสยั ต่างๆ
โดยใชเ้ ทคโนโลยี (คอมพวิ เตอร์และ
- คน้ หาคำตอบของข้อสงสยั ต่างๆ - คน้ หาคำตอบของขอ้ สงสยั ต่างๆ Computing) ตามวธิ กี ารที่
หลากหลายดว้ ยตนเอง
โดยใช้เทคโนโลยี (คอมพวิ เตอรแ์ ละ โดยใช้เทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์และ
- ใช้ประโยคคำถามว่า “เม่อื ไร”
Computing) ตามวิธีการท่มี ีผชู้ ีแ้ นะ Computing) ตามวิธีการของตนเอง อย่างไร” ในการค้นหาคำตอบ

- เชือ่ มโยงคำถาม “อะไร” ในการ - ใช้ประโยคคำถามวา่ “ที่ไหน”

ค้นหาคำตอบ “ทำไม” ในการค้นหาคำตอบ

๑๔

การจัดเวลาเรียน
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดกรอบโครงสรา้ งเวลาในการจัดประสบการณใ์ ห้กบั เดก็ 3 - 6 ปี

การศึกษาโดยประมาณ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอายุของเด็กที่เริ่มเข้าสถานศึกษาหรือสถาบันพัฒนาเด็กปฐมวัย
เวลาเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยขนึ้ อยกู่ ับสถานศกึ ษาแตล่ ะแหง่ โดยมีเวลาเรียนไมน่ อ้ ยกว่า ๑๘๐ วันตอ่ ๑ ปี
การศกึ ษา ในแตล่ ะวันจะใช้เวลาไมน่ ้อยกว่า ๖ ช่ัวโมง โดยสามารถปรับเปล่ียนให้เหมาะสมตามบริบทของ
สถานศกึ ษาและสถาบนั พฒั นาเด็กปฐมวัย

สาระการเรยี นรู้รายปี
สาระการเรียนรู้ใช้เป็นสื่อกลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็กเพื่อส่งเสริม

พัฒนาการทุกดา้ น ให้เป็นไปตามจุดหมายของหลักสตู รที่กำหนด ประกอบด้วย ประสบการณ์สำคัญและ
สาระท่คี วรเรยี นรู้ ดังนี้

๑. ประสบการณ์สำคัญ
ประสบการณ์สำคัญเป็นแนวทางสำหรับผู้สอนไปใช้ในการออกแบบการจัดประสบการณ์

ใหเ้ ดก็ ปฐมวัยเรยี นรู้ ลงมือปฏบิ ตั ิ และไดร้ ับการส่งเสริมพฒั นาการครอบคลุมทกุ ดา้ น ดงั น้ี
๑.๑ ประสบการณ์สำคัญท่สี ่งเสริมพฒั นาการด้านร่างกาย เปน็ การสนับสนนุ ให้เด็กได้มีโอกาส

พัฒนาการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ กลา้ มเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเน้ือและระบบประสาท
ในการทำกิจวัตรประจำวันหรือทำกิจกรรมตา่ งๆและสนบั สนุนใหเ้ ด็กมีโอกาสดูแลสุขภาพและสุขอนามัย
และการรกั ษาความปลอดภยั ดังนี้

๑.๑.๑ การใชก้ ล้ามเนอื้ ใหญ่
๑.๑.๑.๑ การเคลื่อนไหวอยูก่ บั ท่ี
๑.๑.๑.๒ การเคลือ่ นไหวเคล่อื นที่
๑.๑.๑.๓ การเคลอื่ นไหวพร้อมวัสดอุ ปุ กรณ์
๑.๑.๑.๔ การเคลื่อนไหวทีใ่ ชก้ ารประสานสัมพันธข์ องการใช้กล้ามเนื้อมดั ใหญ่ใน
การขว้าง การจบั การโยน การเตะ
๑.๑.๑.๕ การเลน่ เคร่ืองเลน่ สนามอย่างอิสระ

๑.๑.๒ การใช้กล้ามเน้อื เล็ก
๑.๑.๒.๑ การเลน่ เครือ่ งเลน่ สมั ผัสและการสร้างจากแทง่ ไม้ บลอ็ ก
๑.๑.๒.๒ การเขียนภาพและการเลน่ กบั สี
๑.๑.๒.๓ การปน้ั
๑.๑.๒.๔ การประดิษฐส์ ง่ิ ตา่ งๆดว้ ย เศษวัสดุ
๑.๑.๒.๕ การหยิบจบั การใชก้ รรไกร การฉีก การตดั การปะ และการรอ้ ยวัสดุ

๑.๑.๓ การรกั ษาสขุ ภาพอนามยั ส่วนตัว
๑.๑.๓.๑ การปฏิบัติตนตามสุขอนามยั สุขนสิ ยั ท่ีดีในกิจวตั รประจำวนั

๑.๑.๔ การรักษาความปลอดภัย
๑.๑.๔.๑ การปฏิบตั ติ นใหป้ ลอดภัยในกิจวตั รประจำวัน
๑.๑.๔.๒ การฟงั นทิ าน เรอ่ื งราว เหตกุ ารณ์ เก่ยี วกบั การปอ้ งกนั และรกั ษาความ
ปลอดภัย
๑.๑.๔.๓ การเล่นเคร่ืองเลน่ อย่างปลอดภัย
๑.๑.๔.๔ การเลน่ บทบาทสมมตเิ หตกุ ารณ์ตา่ งๆ

๑๕

๑.๑.๕ การตระหนกั ร้เู กีย่ วกบั รา่ งกายตนเอง
๑.๑.๕.๑ การเคลื่อนไหวเพื่อควบคุมตนเองไปในทิศทาง ระดับ และพื้นที่
๑.๑.๕.๒ การเคลื่อนไหวขา้ มส่ิงกดี ขวาง

๑.๒ ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจเป็นการสนับสนุนให้เด็กได้
แสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกของตนเองที่เหมาะสมกับวัย ตระหนักถึงลักษณะพิเศษเฉพาะที่
เป็นอัตลักษณ์ ความเป็นตัวของตัวเอง มีความสุข ร่าเริงแจ่มใส การเห็นอกเหน็ ใจผู้อื่นได้พัฒนาคณุ ธรรม
จริยธรรม สุนทรียภาพ ความรสู้ กึ ทีด่ ตี ่อตนเอง และความเชื่อม่ันในตนเองขณะปฏิบัติกจิ กรรมตา่ งๆ ดงั น้ี

๑.๒.๑ สุนทรียภาพ ดนตรี
๑.๒.๑.๑ การฟังเพลง การร้องเพลง และการแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบเสียงดนตรี
๑.๒.๑.๒ การเคลื่อนไหวตามเสียงเพลง/ดนตรี
๑.๒.๑.๓ การเล่นบทบาทสมมติ
๑.๒.๑.๔ การทำกิจกรรมศิลปะต่างๆ
๑.๒.๑.๕ การสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม

๑.๒.๒ การเล่น
๑.๒.๒.๑ การเล่นอิสระ
๑.๒.๒.๒ การเล่นรายบุคคล กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่
๑.๒.๒.๓ การเล่นตามมมุ ประสบการณ์
๑.๒.๒.๔ การเล่นนอกห้องเรียน

๑.๒.๓ คุณธรรม จริยธรรม
๑.๒.๓.๑ การปฏิบัติตนตามหลักศาสนาที่นับถือ
๑.๒.๓.๒ การฟังนิทานเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม
๑.๒.๓.๓ การร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงจริยธรรม

๑.๒.๔ การแสดงออกทางอารมณ์
๑.๒.๔.๑ การสะทอ้ นความรสู้ กึ ของตนเองและผู้อนื่
๑.๒.๔.๒ การเล่นบทบาทสมมติ
๑.๒.๔.๓ การเคลื่อนไหวตามเสียงเพลง/ดนตรี
๑.๒.๔.๔ การร้องเพลง
๑.๒.๔.๕ การทำงานศิลปะ

๑.๒.๕ การมีอตั ลักษณเ์ ฉพาะตนและเชื่อว่าตนเองมีความสามารถ
๑.๒.๕.๑ การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตา่ งๆตามความสามารถของตนเอง

๑.๒.๖ การเหน็ อกเห็นใจผูอ้ น่ื
๑.๒.๖.๑ การแสดงความยนิ ดีเมอื่ ผู้อ่นื มีความสุข เหน็ อกเหน็ ใจเมอื่ ผู้อ่นื เศร้า

หรือเสียใจ และการช่วยเหลือปลอบโยนเมอื่ ผูอ้ ่ืนได้รับบาดเจบ็
๑.๓ ประสบการณส์ ำคญั ที่ส่งเสรมิ พัฒนาการด้านสงั คม เป็นการสนบั สนนุ ให้เดก็ ได้มโี อกาส

ปฏิสมั พนั ธ์กับบุคลและส่ิงแวดล้อมต่างๆรอบตวั จากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมต่างๆ ผ่านการเรียนรทู้ างสังคม
เช่น การเล่น การทำงานกับผอู้ ่นื การปฏบิ ัตกิ จิ วตั รประจำวัน การแก้ปญั หาข้อขัดแย้งต่างๆ

๑.๓.๑ การปฏิบตั ิกจิ วัตรประจำวัน
๑.๓.๑.๑ การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน
๑.๓.๑.๒ การปฏิบัติตนตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

๑๖

๑.๓.๒ การดูแลรักษาธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม
๑.๓.๒.๑ การมีส่วนร่วมรับผิดชอบดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมท้ังภายในและภายนอก

หอ้ งเรยี น
๑.๓.๒.๒ การทำงานศิลปะที่ใช้วัสดุหรือสิ่งของที่ใช้แล้วมาใช้ซ้ำหรือแปรรูปแล้ว

นำกลับมาใชใ้ หม่
๑.๓.๒.๓ การเพาะปลูกและดูแลต้นไม้
๑.๓.๒.๔ การเลี้ยงสัตว์
๑.๓.๒.๕ การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ที่เก่ยี วกับธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มใน

ชวี ติ ประจำวัน
๑.๓.๓ การปฏิบตั ติ ามวัฒนธรรมท้องถิ่นทีอ่ าศัยและความเป็นไทย
๑.๓.๓.๑ การเล่นบทบาทสมมตุ ิการปฏิบัติตนในความเป็นคนไทย
๑.๓.๓.๒ การปฏิบัตติ นตามวฒั นธรรมทอ้ งถิ่นที่อาศัยและประเพณีไทย
๑.๓.๓.๓ การประกอบอาหารไทย
๑.๓.๓.๔ การศึกษานอกสถานที่
๑.๓.๓.๕ การละเล่นพื้นบ้านของไทย
๑.๓.๔ การมปี ฏิสมั พันธ์ มีวินยั มสี วนรว่ ม และบทบาทสมาชกิ ของสงั คม
๑.๓.๔.๑ การร่วมกำหนดข้อตกลงของหอ้ งเรียน
๑.๓.๔.๒ การปฏิบัติตนเป็นสมาชิทีด่ ีของหอ้ งเรียน
๑.๓.๔.๓ การใหค้ วามร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ
๑.๓.๔.๔ การดแู ลหอ้ งเรียนร่วมกัน
๑.๓.๔.๕ การร่วมกิจกรรมวนั สำคญั
๑.๓.๕ การเล่นแบบร่วมมอื ร่วมใจ
๑.๓.๕.๑ การร่วมสนทนาและแลกเปลีย่ นความคิดเหน็
๑.๓.๕.๒ การเล่นและทำงานร่วมกับผู้อ่นื
๑.๓.๕.๓ การทำศิลปะแบบร่วมมือ
๑.๓.๖ การแก้ปัญหาความขัดแยง้
๑.๓.๖.๑ การมีส่วนร่วมในการเลือกวิธีการแก้ปัญหา
๑.๓.๖.๒ การมีส่วนร่วมในการแกป้ ัญหาความขดั แยง้
๑.๓.๗ การยอมรบั ในความเหมอื นและความแตกตา่ งระหว่างบุคคล
๑.๓.๗.๑ การเล่นหรือ ทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มเพื่อน

๑.๔ ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้รับรู้
เรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัวผ่านการมปี ฏิสัมพันธ์กับส่ิงแวดลอ้ ม บุคคลและสื่อต่างๆ ด้วยกระบวนการเรยี นรู้ที่
หลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กพัฒนาการใช้ภาษา จินตนาการความคิดสรา้ งสรรค์ การแก้ปัญหา การ
คดิ เชิงเหตผุ ล และการคดิ รวบยอดเกีย่ วกับสงิ่ ต่างๆ รอบตัวและมคี วามคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ท่ีเป็น
พ้ืนฐานของการเรียนรูใ้ นระดับท่สี งู ข้นึ ต่อไป

๑.๔.๑ การใชภ้ าษา
๑.๔.๑.๑ การฟังเสียงต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม
๑.๔.๑.๒ การฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำ
๑.๔.๑.๓ การฟังเพลง นิทาน คำคล้องจอง บทร้อยกรงหรือเรื่องราวต่างๆ

๑๗

๑.๔.๑.๔ การแสดงความคิด ความรู้สึก และความต้องการ
๑.๔.๑.๕ การพูดกับผู้อ่นื เก่ียวกบั ประสบการณ์ของตนเอง หรอื พดู เลา่ เร่ืองราว

เก่ียวกับตนเอง
๑.๔.๑.๖ การพูดอธิบายเกี่ยวกับสิ่งของ เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของสิ่ง

ตา่ งๆ
๑.๔.๑.๗ การพูดอย่างสร้างสรรค์ในการเล่น และการกระทำต่างๆ
๑.๔.๑.๘ การรอจังหวะที่เหมาะสมในการพูด
๑.๔.๑.๙ การพูดเรียงลำดับเพื่อใช้ในการส่อื สาร
๑.๔.๑.๑๐ การอ่านหนังสือภาพ นิทาน หลากหลายประเภท/รูปแบบ
๑.๔.๑.๑๑ การอ่านอิสระตามลำพัง การอ่านร่วมกัน การอ่านโดยมผี ู้ชี้แนะ
๑.๔.๑.๑๒ การเห็นแบบอย่างของการอ่านที่ถูกต้อง
๑.๔.๑.๑๓ การสังเกตทิศทางการอ่านตวั อกั ษร คำ และข้อความ
๑.๔.๑.๑๔ การอ่านและช้ีข้อความ โดยกวาดสายตาตามบรรทัดจากซา้ ยไปขวา

จากบนลงล่าง
๑.๔.๑.๑๕ การสังเกตตัวอักษรในชื่อของตน หรือคำคุ้นเคย

๑.๔.๑.๑๖ การสังเกตตัวอักษรที่ประกอบเป็นคำผ่านการอ่านหรือเขียนของ
ผใู้ หญ่

๑.๔.๑.๑๗ การคาดเดาคำ วลี หรอื ประโยค ท่ีมโี ครงสรา้ งซำ้ ๆกัน จากนทิ าน
เพลง คำคล้องจอง

๑.๔.๑.๑๘ การเล่นเกมทางภาษา
๑.๔.๑.๑๙ การเห็นแบบอย่างของการเขียนที่ถูกต้อง
๑.๔.๑.๒๐ การเขียนร่วมกันตามโอกาส และการเขียนอิสระ
๑.๔.๑.๒๑ การเขียนคำที่มีความหมายกับตัวเดก็ /คำคนุ้ เคย
๑.๔.๑.๒๒ การคดิ สะกดคำและเขยี นเพื่อสื่อความหมายด้วยตนเองอย่างอิสระ
๑.๔.๒ การคดิ รวบยอด การคดิ เชิงเหตุผล การตัดสนิ ใจและแกป้ ญั หา
๑.๔.๒.๑ การสังเกตลักษณะ ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลง และความสัมพันธ์

ของสิ่งตา่ งๆ โดย ใช้ประสาทสัมผสั อย่างเหมาะสม
๑.๔.๒.๒ การสังเกตสิ่งต่างๆ และสถานที่จากมุมมองที่ต่างกัน
๑.๔.๒.๓ การบอกและแสดงตำแหน่ง ทิศทาง และระยะทางของสิ่งต่างๆด้วย

การกระทำ ภาพวาด ภาพถา่ ย และรปู ภาพ
๑.๔.๒.๔ การเล่นกับสื่อต่างๆที่เป็นทรงกลม ทรงส่ีเหลยี่ มมมุ ฉาก ทรงกระบอก

กรวย
๑.๔.๒.๕ การคัดแยก การจัดกลุ่ม และการจำแนกสิ่งต่างๆตามลักษณะและ

รูปร่าง รปู ทรง
๑.๔.๒.๖ การตอ่ ของชิ้นเล็กเติมในชิ้นใหญ่ให้สมบูรณ์ และการแยกชิ้นส่วน
๑.๔.๒.๗ การทำซ้ำ การต่อเติม และการสรา้ งแบบรปู
๑.๔.๒.๘ การนับและแสดงจำนวนของสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน
๑.๔.๒.๙ การเปรียบเทียบและเรียงลำดับจำนวนของสิ่งต่างๆ

๑๘

๑.๔.๒.๑๐ การรวมและการแยกสิ่งต่างๆ
๑.๔.๒.๑๑ การบอกและแสดงอันดบั ที่ของสิ่งต่างๆ
๑.๔.๒.๑๒ การชั่ง ตวง วัดสิ่งต่างๆโดยใช้เคร่ืองมือและหน่วยทไี่ ม่ใช่หนว่ ย

มาตรฐาน
๑.๔.๒.๑๓ การจับคู่ การเปรียบเทียบ และการเรียงลำดับ สิ่งต่างๆ ตาม

ลกั ษณะความยาว/ความสูงน้ำหนกั ปรมิ าตร
๑.๔.๒.๑๔ การบอกและเรียงลำดับกิจกรรมหรือเหตูการณ์ตามช่วงเวลา
๑.๔.๒.๑๕ การใช้ภาษาทางคณิตศาสตรก์ ับเหตกุ ารณ์ในชวี ติ ประจำวัน
๑.๔.๒.๑๖ การอธิบายเชื่อมโยงสาเหตุและผลที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์หรือการ

กระทำ
๑.๔.๒.๑๗ การคาดเดาหรือการคาดคะเนสิ่งที่อาจเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล
๑.๔.๒.๑๘ การมีส่วนร่วมในการลงความเหน็ จากขอ้ มูลอยา่ งมเี หตุผล
๑.๔.๒.๑๙ การตดั สินใจและมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ปัญหา
๑.๔.๓ จินตนาการและความคดิ สร้างสรรค์
๑.๔.๓.๑ การรับรู้ และแสดงความคิดความรู้สึกผ่านสื่อ วัสดุ ของเล่น และ

ชนิ้ งาน
๑.๔.๓.๒ การแสดงความคิดสร้างสรรค์ผ่านภาษา ท่าทาง การเคลอื่ นไหว และ

ศิลปะ
๑.๔.๓.๓ การสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยใช้รูปร่างรูปทรงจากวัสดุที่หลากหลาย
๑.๔.๔ เจตคติทด่ี ีตอ่ การเรียนรแู้ ละการแสวงหาความรู้
๑.๔.๔.๑ การสำรวจสิ่งต่างๆ และแหล่งเรียนรู้รอบตัว
๑.๔.๔.๒ การต้งั คำถามในเรื่องที่สนใจ
๑.๔.๔.๓ การสืบเสาะหาความรู้เพอ่ื คน้ หาคำตอบของข้อสงสยั ตา่ งๆ
๑.๔.๔.๔ การมีส่วนร่วมในการรวบรวมข้อมลู และนำเสนอข้อมลู จากการสืบ

เสาะหาความรูใ้ นรปู แบบต่างๆและแผนภูมิอย่างงา่ ย

๒.สาระทค่ี วรเรียนรู้
สาระท่ีควรเรียนรู้ เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กท่ีนำมาเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมให้เด็ก

เกิดแนวคิดหลงั จากนำสาระการเรียนรนู้ ้ัน ๆ มาจดั ประสบการณ์ให้เด็ก เพือ่ ใหบ้ รรลุจดั หมายที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ ไม่เน้นการท่องจำเนื้อหา ครูสามารถกำหนดรายละเอียดขึ้นเองให้สอดคล้องกับวัย ความต้องการ
และความสนใจของเด็ก โดยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์สำคัญ ทั้งนี้ อาจยืดหยุ่นเนื้อหาได้โดย
คำนงึ ถึงประสบการณแ์ ละสงิ่ แวดล้อมในชีวติ จรงิ ของเด็ก ดงั น้ี

๒.๑ เรือ่ งราวเก่ยี วกับตัวเด็ก เดก็ ควรรู้จกั ช่ือ นามสกุล รูปร่างหนา้ ตา รู้จักอวยั วะตา่ งๆ วธิ ีระวัง
รักษาร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยที่ดี การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การระมัดระวัง
ความปลอดภัยของตนเองจากผ้อู ืน่ และภัยใกล้ตวั รวมทั้งการปฏิบตั ิตอ่ ผู้อน่ื อยา่ งปลอดภยั การรจู้ กั ความ
เป็นมาของตนเองและครอบครวั การปฏบิ ตั ติ นเป็นสมาชกิ ที่ดีของครอบครวั และโรงเรยี น การเคารพสิทธิ
ของตนเองและผู้อื่น การรู้จักแสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การกำกับ
ตนเอง การเล่นและทำสิ่งต่างๆด้วยตนเองตามลำพังหรือกับผู้อื่น การตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง ความ

๑๙

ภาคภูมิใจในตนเอง การสะท้อนการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น การแสดงออกทาง
อารมณแ์ ละความรสู้ ึกอย่างเหมาะสม การแสดงมารยาททีด่ ี การมคี ุณธรรมจรยิ ธรรม

๒.๒ เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับครอบครัว
สถานศึกษา ชุมชน และบุคคลต่างๆ ที่เด็กต้องเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
สถานที่สำคัญ วันสำคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนาธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สำคัญของ
ชาติไทยและการปฏิบตั ิตามวัฒนธรรมท้องถ่ินและความเป็นไทย หรือแหล่งเรียนรู้จากภมู ิปัญญาท้องถ่ิน
อื่นๆ

๒.๓ ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับชือ่ ลักษณะ ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและ
ความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเกี่ยวกับดิน น้ำ ท้องฟ้า สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ
แรง และพลังงานในชีวิตประจำวันที่แวดล้อมเด็ก รวมทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการรักษาสาธารณ
สมบัติ

๒.๔ สง่ิ ต่างๆรอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรเู้ กีย่ วกับการใชภ้ าษาเพอ่ื สื่อความหมายในชีวติ ประจำวัน
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักช่ือ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปร่าง รูปทรง
ปรมิ าตร นำ้ หนัก จำนวน สว่ นประกอบ การเปล่ียนแปลงและความสมั พนั ธ์ของสิง่ ต่างๆรอบตวั เวลา เงิน
ประโยชน์ การใช้งาน และการเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการ
สอ่ื สารต่างๆ ทใี่ ช้อยู่ในชวี ติ ประจำวันอยา่ งประหยัด ปลอดภยั และรักษาสิ่งแวดลอ้ ม

การจดั ประสบการณ์
การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยอายุ ๓ – ๖ ปี เป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะ

บูรณาการผ่านการเล่น ตามแนวคิดการเรียนรู้ไฮสโคปด้วยการลงมือกระทำจากประสบการณ์ตรงอย่าง
หลากหลาย เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเกิดการพัฒนาท้ังด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ
สงั คม และสตปิ ัญญา ไม่จัดเป็นรายวิชาโดยมีหลกั การ และแนวทางการจัดประสบการณ์ ดงั นี้

๑. หลักการจัดประสบการณ์
๑.๑ จดั ประสบการณก์ ารเล่นและการเรียนรูห้ ลากหลาย เพ่อื พัฒนาเด็กโดยองคร์ วม

อยา่ งสมดลุ และตอ่ เนือ่ ง
๑.๒ เน้นเดก็ เปน็ สำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล

และบริบทของสงั คมท่ีเด็กอาศยั อยู่
๑.๓ จัดให้เด็กได้รับการพัฒนา โดยให้ความสำคัญกบั กระบวนการเรียนรู้และพฒั นาการ

ของเด็ก
๑.๔ จัดการประเมนิ พฒั นาการใหเ้ ปน็ กระบวนการอย่างตอ่ เนือ่ ง และเป็นสว่ นหนึง่ ของ

การจดั ประสบการณ์ พรอ้ มทัง้ นำผลการประเมินมาพัฒนาเด็กอย่างต่อเนอื่ ง
๑.๕ ใหพ้ อ่ แม่ ครอบครัว ชุมชน และทกุ ฝา่ ยท่เี กย่ี วขอ้ งมสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาเดก็

๒. แนวทางการจดั ประสบการณ์
๒.๑ จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทำงานของสมองท่ี

เหมาะสมกับอายุ วฒุ ภิ าวะและระดบั พฒั นาการ เพ่ือใหเ้ ดก็ ทุกคนไดพ้ ัฒนาเตม็ ตามศกั ยภาพ
๒.๒ จัดประสบการณใ์ ห้สอดคล้องกบั แบบการเรยี นรู้ของเด็ก เดก็ ไดล้ งมือกระทำเรียนรู้

ผ่านประสาสัมผัสทัง้ หา้ ได้เคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สงั เกต สืบคน้ ทดลอง และคดิ แกป้ ัญหาด้วยตนเอง
๒.๓ จัดประสบการณ์แบบบูรณาการ โดยบูรณาการทั้งกิจกรรม ทักษะ และสาระการ

เรียนรู้

๒๐

๒.๔ จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่มคิด วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทำและนำเสนอ
ความคดิ โดยครหู รอื ผจู้ ดั ประสบการณเ์ ปน็ ผสู้ นบั สนุนอำนวยความสะดวก และเรียนรรู้ ่วมกับเด็ก

๒.๕ จัดประสบการณใ์ หเ้ ด็กมปี ฏิสมั พนั ธ์กับเดก็ อื่นกบั ผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดลอ้ มท่ีเอื้อ
ตอ่ การเรียนรู้ ในบรรยากาศท่อี บอุ่นมคี วามสขุ และเรยี นรูก้ ารทำกิจกรรมแบบรว่ มมอื ในลกั ษณะตา่ งๆกนั

๒.๖ จัดประสบการณ์ใหเ้ ด็กมีปฏิสัมพันธ์กบั สื่อและแหล่งการเรียนร่ีหลากหลายและอยู่
ในวถิ ีชวี ิตของเด็ก

๒.๗ จดั ประสบการณ์ที่สง่ เสรมิ ลกั ษณะนิสัยท่ีดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวันตลอดจน
สอดแทรกคณุ ธรรมจรยิ ธรรมให้เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการจัดประสบการณ์การเรยี นรอู้ ยา่ งต่อเนื่อง

๒.๘ จัดประสบการณท์ ้ังในลกั ษณะท่ดี ีการวางแผนไวล้ ่วงหน้าและแผนที่เกิดขน้ึ ในสภาพ
จริงโดยไม่ไดค้ าดการณ์ไว้

๒.๙ จัดทำสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรยี นรู้ของเด็ก
เปน็ รายบุคคล นำมาไตร่ตรองและใชใ้ หเ้ ป็นประโยชนต์ ่อการพฒั นาเด็ก และการวจิ ัยในช้นั เรียน

๒.๑๐ จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครวั และชุมชนมสี ่วนร่วมท้ังการวางแผน การ
สนบั สนนุ สื่อแหลง่ เรยี นรู้ การเขา้ รว่ มกจิ กรรม และการประเมนิ พัฒนาการ

๓. การจัดกิจกรรมประจำวัน
กิจกรรมสำหรับเด็กอายุ ๓ – ๖ ปีบริบูรณ์ สามารถนำมาจัดเป็นกิจกรรมประจำวันได้หลาย
รูปแบบเป็นการช่วยให้ครูผูส้ อนหรอื ผูจ้ ัดประสบการณ์ทราบว่าแต่ละวันจะทำกิจกรรมอะไร เมื่อใด และ
อย่างไร ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมประจำวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการ
นำไปใช้ของแต่ละหนว่ ยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญครูผู้สอนต้องคำนงึ ถึงการจดั กจิ กรรมให้ครอบคลมุ
พัฒนาการทุกดา้ นการจดั กิจกรรมประจำวนั มีหลกั การจัดและขอบข่ายกิจกรรมประจำวัน ดังน้ี

๓.๑ หลักการจดั กิจกรรมประจำวัน
๑. กำหนดระยะเวลาในการจดั กจิ กรรมแตล่ ะกิจกรรมให้เหมาะสมกบั วัยของเดก็ ในแต่ละ

วันแต่ยืดหยุน่ ได้ตามความตอ้ งการและความสนใจของเด็ก เช่น
วยั ๓ - ๔ ปี มคี วามสนใจชว่ งส้ันประมาณ ๘ - ๑๒ นาที
วัย ๔ – ๕ ปี มีความสนใจอยไู่ ด้ประมาณ ๑๒ - ๑๕ นาที
วัย ๕ - ๖ ปี มคี วามสนใจอยู่ได้ประมาณ ๑๕ - ๒๐ นาที

๒. กจิ กรรมทต่ี อ้ งใชค้ วามคิดทัง้ ในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใชเ้ วลาต่อเนอื่ งนานเกิน
กวา่ ๒๐ นาที

๓. กิจกรรมที่เดก็ มีอิสระเลือกเล่นเสรี เพอื่ ชว่ ยให้เดก็ รจู้ ักเลอื กตดั สนิ ใจ คิดแกป้ ญั หา คิด
สรา้ งสรรค์ เช่น การเลน่ ตามมมุ การเลน่ กลางแจง้ ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที

๔. กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมที่ใช้
กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก กิจกรรมที่เป็นรายบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็กเป็นผู้
ริเริ่มและครูผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณเ์ ป็นผู้รเิ ริ่ม และกิจกรรมทีใ่ ช้กำลังและไม่ใช้กำลงั จัดให้ครบทกุ
ประเภท ท้งั น้ี กจิ กรรมทตี่ อ้ งออกกำลังกายควรจัดสลับกับกิจกรรมท่ีไม่ต้องออกกำลงั มากนัก เพ่ือเด็กจะ
ไดไ้ ม่เหนือ่ ยเกินไป

๒๑

๓.๒ ขอบขา่ ยของกจิ กรรมประจำวนั
การเลือกกิจกรรมที่จะนำมาจัดในแต่ละวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ

ความเหมาะสมในการนำไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชมุ ชน ท่สี ำคญั ครูผู้สอนต้องคำนึกถึงการจัด
กิจกรรมให้ครอบคลมุ พัฒนาการทกุ ด้าน ดงั ตอ่ ไปนี้

๓.๒.๑ การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว ความ
ยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่าง ๆ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ โดย
จัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม ปีนป่ายเล่นอิสระ เคลื่อนไหวร่างกายตาม
จงั หวะดนตรี

๓.๒.๒ การพัฒนาการกล้ามเนื้อเล็ก เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือเล็ก
กลา้ มเนอื้ มอื -นิว้ มือการประสานสมั พันธร์ ะหว่างกล้ามเนื้อมือและระบบประสาทตามอื ได้อย่างคล่องแคล่ว
และประสานสัมพันธ์ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นเครือ่ งสมั ผัส เล่นเกมการศึกษา ฝึกช่วยเหลือตนเองใน
การแต่งกาย หยบิ จบั ช้อนสอ้ ม และใชอ้ ุปกรณศ์ ลิ ปะ เช่น สีเทียน กรรไกร พูก่ นั ดนิ เหนยี ว ฯลฯ

๓.๒.๓ การพัฒนาการอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝงั คุณธรรม จรยิ ธรรม เป็นการปลูกฝัง
ให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซื่อสัตย์
ประหยัด เมตตากรุณา เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน มีมารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาที่นบั ถือ
โดยจัดกิจกรรมตา่ งๆ ผา่ นการเล่นใหเ้ ดก็ ได้มโี อกาสตัดสนิ ใจเลือก ไดร้ ับการตอบสนองตาความต้องการได้
ฝึกปฏบิ ัติโดยสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมอย่างตอ่ เนอื่ ง

๓.๒.๔ การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออกอย่าง
เหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทำกจิ วตั รประจำวันมีนิสยั รักการ
ทำงาน ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผอู้ ่ืน โดยรวมทง้ั ระมดั ระวังอันตรายจากคนแปลกหน้า ให้
เด็กได้ปฏิบตั ิกจิ วัตรประจำวนั อย่างสม่ำเสมอ เชน่ รับประทานอาหาร พกั ผอ่ นนอนหลับ ขับถ่าย ทำความ
สะอาดร่างกาย เล่นและทำงานร่วมกับผูอ้ ื่น ปฏิบัติตามกฎกติกาข้อตกลงของร่วมรวม เก็บของเข้าที่เมอื่
เลน่ หรือทำงานเสรจ็

๓.๒.๕ การพัฒนาการคิด เปน็ การพฒั นาให้เดก็ มคี วามสามารถในการคิดแก้ปญั หาความ
คิดรวบยอด และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้สนทนา อภิปราย
และเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ศึกษานอกสถานที่ เล่นเกมการศึกษา ฝึกการ
แก้ปัญหาในชวี ิตประจำวัน ฝึกออกแบบและสร้างชิ้นงาน และทำกิจกรรมทั้งเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่และ
รายบุคคล

๓.๒.๖ การพฒั นาภาษา เปน็ การพัฒนาใหเ้ ด็กใช้ภาษาสื่อสารถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด
ความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถตั้งคำถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรม
ทางภาษา ( ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ) ให้มีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ
เรยี นรู้ ม่งุ ปลูกฝังใหเ้ ด็กไดก้ ลา้ แสดงออกในการฟัง พดู อา่ น เขยี น มนี สิ ัยรักการอา่ น และบุคคลแวดล้อม
ต้องเป็นแบบอย่างทีด่ ีในการใช้ภาษา ทั้งนี้ต้องคำนึกถึงหลักการจัดกิจกรรมทางภาษาท่ีเหมาะสมกับเด็ก
เป็นสำคัญ

๓.๒.๗ การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมี
ความคดิ ริเริม่ สร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สกึ และเหน็ ความสวยงามของสง่ิ ต่างๆ โดยจัดกิจกรรม
ศิลปะสรา้ งสรรค์ และสุนทรยี ภาพดา้ นดนตรี การเคล่ือนไหวและจงั หวะตามจนิ ตนาการ ประดษิ ฐส์ ง่ิ ต่างๆ
อย่างอิสระ เล่นบทบาทสมมุติ เลน่ น้ำ เล่นทราย เล่นบลอ็ ก และเล่นก่อสร้าง

๒๒

การสรา้ งบรรยากาศการเรยี นรู้
การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา มีความสำคัญต่อเด็กเนื่องจากธรรมชาติของเดก็ ใน

วัยนี้สนใจที่จะเรียนรู้ ค้นคว้า ทดลอง และต้องการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ดังนั้น การจัดเตรียม
สิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมตามความต้องการของเด็ก จึงมีความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการ
เรียนรู้ของเด็ก เด็กสามารถเรียนรู้จากการเล่นที่เป็น ประสบการณ์ตรงที่เกิดจากการรับรู้ด้วยประสาท
สัมผัสทั้งห้าจึงจำเป็นต้องจัดสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพ และความต้องการของ
หลกั สูตร เพ่ือส่งผลให้บรรลุจดุ หมายในการพฒั นาเด็ก

การจดั สภาพแวดลอ้ มคำนึงถึงส่ิงตอ่ ไปนี้
๑.ความสะอาด ความปลอดภัย
๒.ความมีอสิ ระอยา่ งมขี อบเขตในการเลน่
๓.ความสะดวกในการทำกจิ กรรม
๔.ความพร้อมของอาคารสถานที่ เช่น หอ้ งเรยี น ห้องนำ้ ห้องส้วม สนามเด็กเลน่ ฯลฯ
๕.ความเพยี งพอเหมาะสมในเรื่องขนาด นำ้ หนกั จำนวน สีของสอื่ และเครอื่ งเล่น
๖.บรรยากาศในการเรยี นรู้ การจดั ท่เี ล่นและมมุ ประสบการณต์ า่ ง ๆ

สภาพแวดลอ้ มภายในห้องเรียน
หลกั สำคญั ในการจดั ต้องคำนึงถึงความปลอดภยั ความสะอาด เป้าหมายการพัฒนาเดก็ ความเป็น

ระเบยี บ ความเป็นตวั ของเดก็ เอง ใหเ้ ด็กเกิดความรู้สกึ อบอนุ่ มัน่ ใจ และมคี วามสขุ ซึ่งอาจจัดแบ่งพื้นที่ให้
เหมาะสมกบั การประกอบกิจกรรมตามหลักสตู ร ดังน้ี

๑. พน้ื ทอ่ี ำนวยความสะดวกเพือ่ เด็กและผสู้ อน
๑.๑ ท่ีแสดงผลงานของเดก็ อาจจัดเปน็ แผ่นป้าย หรือท่ีแขวนผลงาน
๑.๒ ที่เกบ็ แฟ้มผลงานของเดก็ อาจจัดทำเปน็ กลอ่ งหรอื จดั ใสแ่ ฟม้ รายบุคคล
๑.๓ ที่เกบ็ เครื่องใชส้ ว่ นตัวของเดก็ อาจทำเปน็ ชอ่ งตามจำนวนเดก็
๑.๔ ทีเ่ ก็บเครอ่ื งใช้ของผู้สอน เช่น อุปกรณก์ ารสอน ของสว่ นตวั ผู้สอน ฯลฯ
๑.๕ ป้ายนเิ ทศตามหนว่ ยการสอนหรอื สิ่งท่เี ด็กสนใจ

๒. พื้นที่ปฏิบัติกิจกรรมและการเคลื่อนไหว ต้องกำหนดให้ชัดเจน ควรมีพื้นที่ที่เด็กสามารถจะ
ทำงานได้ด้วยตนเอง และทำกิจกรรมด้วยกันในกลุ่มเล็ก หรือกลุ่มใหญ่ เด็กสามารถเคลื่อนไหวได้อย่าง
อสิ ระจากกจิ กรรมหนง่ึ ไปยังกจิ กรรมหนง่ึ โดยไม่รบกวนผ้อู ื่น

๓. พืน้ ทจี่ ัดมมุ เล่นหรอื มุมประสบการณ์ สามารถจดั ไดต้ ามความเหมาะสมโดยยึดหลักการเรียนรู้
ตามแนวคิดไฮสโคปขึ้นอยูก่ ับสภาพของห้องเรียน จัดแยกส่วนท่ีใชเ้ สียงดงั และเงียบออกจากกัน เช่น มุม
บล็อกอยู่ห่างจากมุมหนังสอื มุมบทบาทสมมติอยู่ติดกับมุมบล็อก มุมวิทยาศาสตร์อยูใ่ กลม้ ุมศิลปะฯ ลฯ
ทีส่ ำคญั จะต้องมีของเลน่ วัสดอุ ุปกรณใ์ นมุมอย่างเพยี งพอตอ่ การเรียนรู้ของเดก็ การเลน่ ในมุมเล่นอย่างเสรี
มักถูกกำหนดไว้ในตารางกิจกรรมประจำวัน เพื่อให้โอกาสเด็กได้เล่นอย่างเสรีประมาณวันละ ๖๐ นาที
การจัดมมุ เล่นต่างๆ ผสู้ อนควรคำนึงถึงส่ิงต่อไปนี้

๓.๑ ในหอ้ งเรียนควรมีมมุ เลน่ อย่างน้อย ๓-๕ มมุ ทง้ั นขี้ ึน้ อยูก่ ับพ้ืนท่ขี องห้อง
๓.๒ ควรได้มีการผลดั เปลีย่ นส่ือของเลน่ ตามมมุ บ้าง ตามความสนใจของเดก็
๓.๓ ควรจัดให้มีประสบการณ์ที่เด็กได้เรียนรู้ไปแล้วปรากฏอยู่ในมุมเล่น เช่น เด็กเรียนรู้
เรื่องผีเสื้อ ผู้สอนอาจจัดให้มีการจำลองการเกิดผีเสื้อล่องไว้ให้เด็กดูในมุมธรรมชาติศึกษาหรือมุม
วทิ ยาศาสตร์ ฯลฯ

๒๓

๓.๔ ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนรว่ มในการจัดมุมเล่น ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้เดก็ รู้สึกเปน็ เจ้าของ
อยากเรยี นรู้ อยากเขา้ เลน่

๓.๕ ควรเสริมสร้างวนิ ัยให้กบั เดก็ โดยมีข้อตกลงร่วมกนั วา่ เมือ่ เล่นเสร็จแล้วจะต้องจัดเกบ็
อปุ กรณ์ทุกอยา่ งเขา้ ทใ่ี หเ้ รียบร้อย

สภาพแวดล้อมนอกห้องเรียน
สภาพแวดล้อมภายนอกห้องเรียน คือ การจัดสภาพแวดล้อมภายในอาณาบริเวณรอบ ๆ

สถานศึกษา รวมทั้งจัดสนามเด็กเล่น พร้อมเครื่องเล่นสนาม จัดระวังรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณ
สถานศึกษาและบริเวณรอบนอกสถานศึกษา ดูแลรักษาความสะอาด ปลูกต้นไม้ให้ความร่มรื่นรอบๆ
บรเิ วณสถานศึกษา ส่ิงต่างๆเหลา่ น้ีเป็นสว่ นหนงึ่ ที่สง่ ผลต่อการเรยี นรแู้ ละพฒั นาการของเดก็

บรเิ วณสนามเดก็ เลน่ ตอ้ งจดั ใหส้ อดคลอ้ งกบั หลักสตู ร ดังนี้
สนามเด็กเลน่ มีพ้นื ผวิ หลายประเภท เช่น ดิน ทราย หญ้า พ้ืนท่ีสำหรบั เล่นของเล่นที่มี

ล้อ รวมทง้ั ทร่ี ่ม ทโ่ี ล่งแจง้ พน้ื ดินสำหรับขดุ ท่เี ล่นน้ำ บ่อทราย พร้อมอปุ กรณป์ ระกอบการเล่น เครื่องเล่น
สนามสำหรับปีนป่าย ทรงตัว ฯลฯ ทั้งนี้ต้องไม่ตดิ กบั บริเวณทีม่ ีอันตราย ต้องหม่ันตรวจตราเคร่ืองเล่นให้
อยใู่ นสภาพแขง็ แรง ปลอดภัยอยู่เสมอ และหมน่ั ดูแลเรือ่ งความสะอาด

ทนี่ งั่ เล่นพักผอ่ น จัดที่นั่งไว้ใต้ตน้ ไม้มีร่มเงา อาจใช้กิจกรรมกลุ่มย่อย ๆ หรือกิจกรรมที่
ตอ้ งการความสงบ หรอื อาจจดั เป็นลานนทิ รรศการให้ความรแู้ ก่เดก็ และผปู้ กครอง

บรเิ วณธรรมชาติ ปลูกไมด้ อก ไม้ประดบั พืชผกั สวนครัว หากบริเวณสถานศึกษา มีไม่
มากนัก อาจปลูกพืชในกระบะหรือกระถาง

สอ่ื และแหล่งเรียนรู้
สื่อประกอบการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ

สติปัญญาโดยการใช้สื่อเรยี นรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ที่มีสื่อทั้งที่เปน็ ประเภท ๒ มิติ และ/หรือ ๓ มิติ ท่ี
เปน็ สือ่ ของจริง สอ่ื ธรรมชาติ สอ่ื ทีอ่ ยูใ่ กล้ตวั เด็ก สือ่ สะทอ้ นวัฒนธรรม ส่อื ที่ปลอดภยั ต่อตวั เด็ก ส่ือเพื่อ
พฒั นาเดก็ ในด้านต่างๆให้ครบทกุ ด้านส่อื ท่เี อื้อใหเ้ ดก็ เรียนรู้ผ่านประสาทสมั ผัสทงั้ หา้ โดยการจัดการใช้ส่ือ
เริม่ ตน้ จาก สื่อของจริง ภาพถ่าย ภาพโครงรา่ ง และ สัญลักษณ์ ทั้งนี้การใชส้ ื่อต้องเหมาะสมกับวยั วฒุ ิ
ภาวะ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสนใจและความต้องการของเด็กที่หลากหลาย ตัวอย่างสื่อ
ประกอบการจัดกิจกรรม มีดงั น้ี

กิจกรรมเคลือ่ นไหวและจังหวะ ตวั อย่างสือ่ มีดังนี้
๑. เครอ่ื งเคาะจงั หวะ เชน่ ฉ่งิ เหล็กสามเหลย่ี ม กรับ รำมะนา กลอง ฯลฯอปุ กรณ์

ประกอบการเคลื่อนไหว เช่น หนังสือพิมพ์ รบิ บ้นิ แถบผ้า หว่ ง
๒. หวาย ถุงทราย ฯลฯ

กิจกรรมเสริมประสบการณ์ /กิจกรรมในวงกลม ตัวอย่างสือ่ มีดงั น้ี
๑. สื่อของจรงิ ที่อยู่ใกลต้ ัวและส่อื จากธรรมชาติหรือวสั ดุท้องถน่ิ เช่น ต้นไม้ ใบไม้ เปลอื กหอย

เสือ้ ผ้า ฯลฯ
๒. ส่อื ที่จำลองขึน้ เช่น ลูกโลก ตกุ๊ ตาสัตว์ ฯลฯ
๓. สอื่ ประเภทภาพ เชน่ ภาพพลกิ ภาพโปสเตอร์ หนังสือภาพ ฯลฯ
๔. ส่อื เทคโนโลยี เช่น วทิ ยุ เครือ่ งบันทึกเสียง เครอ่ื งขยายเสยี ง โทรศัพท์

๒๔

กจิ กรรมสร้างสรรค์ โดยการจัดกจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคป มวี ัสดุ อุปกรณ์ ดงั นี้
๑. การวาดภาพและระบายสี
❖ สเี ทียนแท่งใหญ่ สีไม้ สีชอล์ก สนี ้ำ
❖ พู่กันขนาดใหญ่ (ประมาณเบอร์ ๑๒ )
❖ กระดาษ
❖ เสอ้ื คลมุ หรือผ้ากันเปอ้ื น
๒. การเลน่ กับสี
❖ การเป่าสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ สีนำ้
❖ การหยดสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ พู่กัน สีน้ำ
❖ การพับสี มี กระดาษ สนี ้ำ พู่กัน
❖ การเทสี มี กระดาษ สีนำ้
❖ การละเลงสี มี กระดาษ สีน้ำ แป้งเปยี ก

๓. การพิมพภ์ าพ
❖ แมพ่ ิมพต์ ่าง ๆ จากของจริง เชน่ นว้ิ มอื ใบไม้ กา้ นกลว้ ย ฯลฯ
❖ แม่พิมพจ์ ากวัสดุอื่น ๆ เช่น เชอื ก เสน้ ดา้ ย ตรายาง ฯลฯ
❖ กระดาษ ผ้าเชด็ มือ สโี ปสเตอร์ (สนี ำ้ สีฝนุ่ ฯลฯ)

๔.การปั้น เช่น ดนิ นำ้ มนั ดินเหนยี ว แปง้ โดว์ แผ่นรองปั้น แม่พิมพร์ ูปตา่ ง ๆ ไมน้ วดแปง้ ฯลฯ
๕.การพบั ฉกี ตดั ปะ เชน่ กระดาษ หรือวัสดอุ ่ืนๆท่ีจะใช้พบั ฉีก ตัด ปะ กรรไกรขนาดเลก็
ปลายมน กาวน้ำหรือแป้งเปยี ก ผ้าเชด็ มอื ฯลฯ
๖. การประดิษฐ์เศษวัสดุ เช่น เศษวัสดุต่าง ๆ มีกล่องกระดาษ แกนกระดาษ เศษผ้า เศษไหม
กาว กรรไกร สี ผ้าเชด็ มือ ฯลฯ
๗. การรอ้ ย เช่น ลกู ปัด หลอดกาแฟ หลอดดา้ ย ฯลฯ
๘.การสาน เช่น กระดาษ ใบตอง ใบมะพร้าว ฯลฯ
๙. การเล่นพลาสติกสร้างสรรค์ พลาสติกชิ้นเล็ก ๆ รูปทรงต่าง ๆ ผู้เล่นสามารถนำมาต่อเป็น
รปู แบบต่าง ๆ ตามความตอ้ งการ
๑๐.การสร้างรูป เช่น จากกระดานปักหมุด จากแป้นตะปูที่ใช้หนังยางหรือเชือกผูกดึงให้เป็น
รปู รา่ งต่าง ๆ

กจิ กรรมเสรี
๑. มมุ บทบาทสมมติ โดยการจัดมุมประสบการณ์การเรยี นรตู้ ามแนวคิดไฮสโคป จดั เป็นมมุ เล่น ดังนี้

๑.๑ มุมบ้าน
❖ ของเล่นเคร่ืองใช้ในครวั ขนาดเล็ก หรือของจำลอง เช่น เตา กระทะ ครก
กาน้ำ เขียง มีดพลาสตกิ หมอ้ จาน ช้อน ถว้ ยชาม กะละมัง ฯลฯ
❖ เครอื่ งเลน่ ตุ๊กตา เสอื้ ผา้ ตุ๊กตา เตียง เปลเด็ก ตุ๊กตา
❖ เครื่องแต่งบ้านจำลอง เชน่ ชดุ รบั แขก โต๊ะเครอ่ื งแปง้ หมอนอิง กระจกขนาด
เหน็ เต็มตัว หวี ตลับแปง้ ฯลฯ
❖ เครือ่ งแตง่ กายบคุ คลอาชีพต่าง ๆ ที่ใช้แลว้ เช่น ชดุ เครื่องแบบทหาร ตำรวจ

๒๕

ชดุ เส้ือผ้าผู้ใหญ่ชายและหญิง รองเทา้ กระเป๋าถือท่ีไมใ่ ชแ้ ล้ว ฯลฯ
❖ โทรศัพท์ เตารีดจำลอง ทร่ี ีดผ้าจำลอง
❖ ภาพถา่ ยและรายการอาหาร
๑.๒ มุมหมอ
❖ เครื่องเลน่ จำลองแบบเครื่องมือแพทยแ์ ละอปุ กรณ์การรักษาผ้ปู ว่ ย เชน่ หฟู งั

เสอ้ื คลมุ หมอ ฯลฯ
❖ อุปกรณส์ ำหรบั เลยี นแบบการบันทึกขอ้ มูลผู้ปว่ ย เช่น กระดาษ ดินสอ ฯลฯ

๑.๓ มุมรา้ นคา้
❖ กล่องและขวดผลิตภัณฑ์ตา่ งๆท่ีใช้แล้ว
❖ อปุ กรณป์ ระกอบการเล่น เชน่ เคร่ืองคดิ เลข ลูกคดิ ธนบัตรจำลอง ฯลฯ

๒. มมุ บล็อก
❖ ไม้บล็อกหรือแท่งไมท้ ม่ี ขี นาดและรปู ทรงตา่ งๆกัน จำนวนตั้งแต่ ๕๐ ช้นิ ข้ึนไป
❖ ของเลน่ จำลอง เช่น รถยนต์ เครอื่ งบนิ รถไฟ คน สตั ว์ ต้นไม้ ฯลฯ
❖ ภาพถา่ ยตา่ งๆ
❖ ที่จดั เกบ็ ไม้บล็อกหรอื แท่งไม้อาจเปน็ ช้ัน ลังไมห้ รือพลาสติก แยกตามรปู ทรง ขนาด

๓. มมุ หนังสือ
❖ หนังสือภาพนิทาน สมุดภาพ หนังสือภาพท่ีมคี ำและประโยคสัน้ ๆพร้อมภาพ
❖ ชนั้ หรือทีว่ างหนงั สือ
❖ อปุ กรณ์ต่าง ๆ ทใี่ ชใ้ นการสรา้ งบรรยากาศการอ่าน เชน่ เสอ่ื พรม หมอน ฯลฯ
❖ สมุดเซ็นยืมหนังสอื กลับบา้ น
❖ อปุ กรณ์สำหรับการเขยี น
❖ อุปกรณ์เสรมิ เชน่ เครือ่ งเล่นเทป ตลบั เทปนิทานพรอ้ มหนงั สือนิทาน หูฟงั ฯลฯ

๔. มุมวิทยาศาสตร์ หรอื มุมธรรมชาตศิ ึกษา
❖ วสั ดุตา่ ง ๆ จากธรรมชาติ เช่น เมล็ดพืชตา่ ง ๆ เปลือกหอย ดนิ หนิ แร่ ฯลฯ
❖ เครอื่ งมอื เครื่องใชใ้ นการสำรวจ สังเกต ทดลอง เช่น แว่นขยาย แมเ่ หล็ก เขม็ ทศิ

เคร่ืองชงั่ ฯลฯ
๕.มุมอาเซยี น
❖ ธงของแต่ละประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน
❖ คำกลา่ วทกั ทายของแตล่ ะประเทศ
❖ ภาพการแต่งกายประจำชาติในกล่มุ ประเทศอาเซียน

กิจกรรมกลางแจ้ง ตัวอยา่ งส่อื มดี ังน้ี
๑. เครอื่ งเล่นสนาม เชน่ เครอ่ื งเลน่ สำหรบั ปีนปา่ ย เคร่อื งเล่นประเภทลอ้ เลือ่ น ฯลฯ
๒. ทเ่ี ลน่ ทราย มีทรายละเอียด เครอ่ื งเลน่ ทราย เครอ่ื งตวง ฯลฯ
๓. ที่เล่นน้ำ มีภาชนะใส่น้ำหรืออ่างน้ำวางบนขาตั้งที่มั่นคง ความสูงพอที่เด็กจะยืนได้พอดี

เสื้อคลุมหรือผ้ากันเปื้อนพลาสติก อุปกรณ์เล่นน้ำ เช่น ถ้วยตวง ขวดต่าง สายยาง กรวยกรอกน้ำ
ตุก๊ ตายาง ฯลฯ

๒๖

เกมการศกึ ษา ตวั อย่างสอื่ ประเภทเกมการศกึ ษามดี งั นี้
๑. เกมจับคู่
❖ จับครู่ ปู ร่างทเี่ หมอื นกัน
❖ จับคภู่ าพเงา
❖ จบั คภู่ าพที่ซอ่ นอยู่ในภาพหลัก
❖ จับคู่สง่ิ ท่มี ีความสมั พันธก์ นั สงิ่ ท่ใี ชค้ ่กู นั
❖ จบั คภู่ าพส่วนเต็มกบั สว่ นย่อย
❖ จับคู่ภาพกับโครงร่าง
❖ จับคภู่ าพช้นิ สว่ นท่หี ายไป
❖ จับคภู่ าพที่เป็นประเภทเดียวกัน
❖ จับคภู่ าพทีซ่ ่อนกนั
❖ จบั คู่ภาพสัมพันธแ์ บบตรงกนั ข้าม
❖ จับคู่ภาพท่ีสมมาตรกัน
❖ จบั คแู่ บบอุปมาอุปไมย
❖ จับคู่แบบอนกุ รม
๒. เกมภาพตดั ต่อ
❖ ภาพตดั ตอ่ ท่ีสมั พันธ์กับหน่วยการเรยี นตา่ ง ๆ เช่น ผลไม้ ผัก ฯลฯ
๓. เกมจัดหมวดหมู่
❖ ภาพส่ิงต่าง ๆ ท่ีนำมาจดั เปน็ พวก ๆ
❖ ภาพเกย่ี วกบั ประเภทของใช้ในชวี ิตประจำวนั
❖ ภาพจดั หมวดหมู่ตามรูปรา่ ง สี ขนาด รปู ทรงเรขาคณิต
๔. เกมวางภาพต่อปลาย (โดมิโน)
❖ โดมิโนภาพเหมอื น
❖ โดมิโนภาพสัมพันธ์
๕. เกมเรยี งลำดบั
❖ เรียงลำดับภาพเหตุการณ์ต่อเน่ือง
❖ เรียงลำดับขนาด
๖. เกมศึกษารายละเอียดของภาพ (ลอ็ ตโต)้
๗. เกมจับคแู่ บบตารางสมั พนั ธ์ (เมตรกิ เกม)
๘. เกมพน้ื ฐานการบวก

การเลือกสอ่ื โดยยึดหลกั การเรียนรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคป มีวิธีการเลือกสอ่ื ดังน้ี
๑. เลือกให้ตรงกบั จดุ มงุ่ หมายและเรื่องที่สอน
๒. เลอื กให้เหมาะสมกบั วัยและความสามารถของเดก็
๓. เลอื กให้เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อมของท้องถ่ินท่ีเด็กอยหู่ รือสถานภาพของสถานศึกษา
๔. มีวธิ กี ารใช้งา่ ย และนำไปใช้ไดห้ ลายกิจกรรม
๕. มีความถกู ตอ้ งตามเนื้อหาและทนั สมยั
๖. มคี ณุ ภาพดี เชน่ ภาพชดั เจน ขนาดเหมาะสม ไมใ่ ช้สีสะทอ้ นแสง
๗. เลอื กสอ่ื ทเ่ี ดก็ เข้าใจง่ายในเวลาส้ัน ๆ ไมซ่ บั ซอ้ น

๒๗

๘. เลอื กสื่อทส่ี ามารถสัมผัสได้
๙. เลือกส่อื เพ่อื ใชฝ้ ึก และสง่ เสริมการคิดเป็น ทำเปน็ และกลา้ แสดงความคิดเหน็ ดว้ ยความมัน่ ใจ
การจดั หาส่ือ สามารถจดั หาได้หลายวธิ ี คือ
๑. จัดหาโดยการขอยมื จากแหล่งต่างๆ เช่น ศนู ยส์ ื่อของสถานศึกษาของรัฐบาล หรือสถานศึกษา
เอกชน ฯลฯ
๒.จัดซื้อสื่อและเครื่องเล่นโดยวางแผนการจัดซื้อตามลำดับความจำเป็น เพื่อให้สอดคล้องกับ
งบประมาณที่ทางสถานศกึ ษาสามารถจดั สรรให้และสอดคลอ้ งกับแผนการจดั ประสบการณ์
๓. ผลิตสือ่ และเคร่ืองเลน่ ขึ้นใช้เองโดยใช้วัสดุที่ปลอดภัยและหาง่ายเปน็ เศษวัสดุเหลือใช้ที่มีอยู่ใน
ท้องถิ่นนั้นๆ เช่น กระดาษแข็งจากลังกระดาษ รูปภาพจากแผ่นป้ายโฆษณา รูปภาพจากหนังสอื นิตยสาร
ตา่ ง ๆ เปน็ ต้น
๔.จดั ซ้อื ส่ือตามแนวคิดการเรยี นรูไ้ ฮสโคป

ข้ันตอนการดำเนินการผลิตสอื่ สำหรับเดก็ มดี ังน้ี
๑. สำรวจความตอ้ งการของการใชส้ อื่ ให้ตรงกับจุดประสงค์ สาระการเรียนรแู้ ละกจิ กรรมทจ่ี ัด
๒. วางแผนการผลิต โดยกำหนดจุดมุ่งหมายและรูปแบบของสื่อให้เหมาะสมกับวัยและ
ความสามารถของเด็ก สือ่ นน้ั จะตอ้ งมคี วามคงทนแข็งแรง ประณีตและสะดวกต่อการใช้
๓. ผลิตสื่อตามรูปแบบท่ีเตรียมไว้
๔. นำสือ่ ไปทดลองใชห้ ลาย ๆ ครัง้ เพื่อหาขอ้ ดี ขอ้ เสยี จะไดป้ รับปรุงแก้ไขให้ดยี ่ิงขึ้น
๕. นำส่ือทีป่ รบั ปรงุ แก้ไขแลว้ ไปใชจ้ รงิ

การใช้ส่อื ดำเนินการดงั น้ี
๑.การเตรยี มพร้อมกอ่ นใช้สื่อ ตามแนวคิดการเรียนรูไ้ ฮสโคป มีขั้นตอน คอื
๑.๑ เตรียมตัวผูส้ อน
❖ ผสู้ อนจะต้องศกึ ษาจุดมงุ่ หมายและวางแผนว่าจะจัดกจิ กรรมอะไรบ้าง
❖ เตรียมจดั หาส่อื และศึกษาวธิ ีการใชส้ อื่
❖ จัดเตรยี มสื่อและวสั ดุอืน่ ๆ ทจ่ี ะตอ้ งใช้รว่ มกนั
❖ ทดลองใช้สื่อก่อนนำไปใช้จริง
๑.๒ เตรียมตวั เดก็
❖ ศกึ ษาความรูพ้ ื้นฐานเดมิ ของเดก็ ให้สมั พันธ์กบั เร่ืองทจี่ ะสอน
❖ เร้าความสนใจเดก็ โดยใช้ส่ือประกอบการเรยี นการสอน
❖ ให้เดก็ มีความรบั ผิดชอบ รู้จักใชส้ ่ืออย่างสรา้ งสรรค์ ไมใ่ ช่ทำลาย
เล่นแล้วเก็บใหถ้ กู ท่ี
๑.๓ เตรียมสอ่ื ใหพ้ รอ้ มกอ่ นนำไปใช้
❖ จัดลำดับการใช้สื่อวา่ จะใชอ้ ะไรกอ่ นหรอื หลัง เพอ่ื ความสะดวกในการสอน
❖ ตรวจสอบและเตรยี มเครือ่ งมือให้พรอ้ มที่จะใชไ้ ด้ทันที
❖ เตรียมวสั ดุอปุ กรณ์ท่ใี ช้ร่วมกับส่ือ
๒.การนำเสนอสอ่ื เพอ่ื ให้บรรลุผลโดยเฉพาะใน กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ / กิจกรรม

สรา้ งสรรค์และเสรี/ กิจกรรมกลุม่ ยอ่ ย ควรปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี
๒.๑ สรา้ งความพรอ้ มและเรา้ ความสนใจให้เด็กก่อนจดั กิจกรรมทุกครงั้
๒.๒ ใช้ส่ือตามลำดบั ข้นั ของแผนการจดั กจิ กรรมท่ีกำหนดไว้

๒๘

๒.๓ ไม่ควรให้เด็กเห็นสื่อหลายๆชนดิ พร้อมๆกัน เพราะจะทำให้เด็กไมส่ นใจกิจกรรมที่
สอน

๒.๔ ผสู้ อนควรยืนอยู่ด้านข้างหรอื ด้านหลงั ของสอ่ื ทีใ่ ชก้ ับเด็ก ผ้สู อนไม่ควรยืน หัน
หลังให้เด็ก จะตอ้ งพูดคยุ กับเด็กและสังเกตความสนใจ ของเด็ก พร้อมทงั้ สำรวจข้อบกพรอ่ งของส่อื ที่ใช้
เพือ่ นำไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขให้ดขี น้ึ

๒.๕ เปดิ โอกาสใหเ้ ด็กไดร้ ว่ มใชส้ ่ือ

ข้อควรระวังในการใช้สื่อการเรียนการสอน
การใชส้ อ่ื ในระดับปฐมวยั ควรระวังในเร่อื งตอ่ ไปน้ี
๑.วัสดทุ ีใ่ ช้ ตอ้ งไม่มีพษิ ไมห่ ัก และแตกงา่ ย มพี น้ื ผิวเรียบ ไม่เปน็ เสีย้ น เน้นส่อื ท่ีเป็นของ

จริงโดยยดึ หลกั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคป
๒.ขนาด ไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไป เพราะยากต่อการหยิบยก อาจจะตกลงมาเสียหาย

แตก เป็นอันตรายต่อเด็กหรอื ใช้ไม่สะดวก เช่น กรรไกรขนาดใหญ่ โต๊ะ เก้าอี้ทีใ่ หญแ่ ละสูงเกินไป และไม่
ควรมขี นาดเลก็ เกนิ ไป เดก็ อาจจะนำไปอมหรือกลนื ทำใหต้ ิดคอหรือไหลลงทอ้ งได้ เช่น ลูกปัดเลก็ ลกู แก้วเล็ก
ฯลฯ

๓. รูปทรง ไมเ่ ป็นรปู ทรงแหลม รปู ทรงเหลี่ยม เป็นสัน
๔. น้ำหนัก ไมค่ วรมีน้ำหนักมาก เพราะเด็กยกหรือหยิบไมไ่ หว อาจจะตกลงมาเปน็
อันตรายต่อตัวเด็ก
๕. สอ่ื หลกี เลยี่ งส่ือทีเ่ ปน็ อันตรายต่อตัวเดก็ เช่น สารเคมี วตั ถุไวไฟ ฯลฯ
๖. สี หลกี เลีย่ งสที ี่เปน็ อันตรายต่อสายตา เช่น สีสะท้อนแสง ฯลฯ

การประเมนิ การใช้สอ่ื
ควรพจิ ารณาจากองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ ผู้สอน เดก็ และสือ่ โดยทำการประเมนิ ในขณะจัด

กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามแนวคิดไฮสโคป (PDR) เพ่ือจะไดท้ ราบว่าสือ่ นั้นชว่ ยให้เด็กเรียนรู้ได้มากน้อย
เพียงใด จะได้นำมาปรบั ปรุงการผลติ และการใช้ส่ือให้ดีย่งิ ขน้ึ โดยใชว้ ธิ สี งั เกต ดังนี้

๑. ส่ือน้นั ชว่ ยให้เดก็ เกดิ การเรยี นรู้เพียงใด
๒. เด็กชอบสื่อน้นั เพยี งใด
๓. สอ่ื น้นั ช่วยให้การสอนตรงกับจุดประสงคห์ รือไม่ ถกู ต้องตามสาระการเรียนรูแ้ ละทนั สมัย
หรือไม่
๔. สื่อน้ันชว่ ยใหเ้ ด็กสนใจมากนอ้ ยเพยี งใด เพราะเหตุใด

การเก็บ รักษา และซ่อมแซมสือ่
การจัดเก็บสื่อเป็นการส่งเสริมให้เด็กฝึกการสังเกต การเปรียบเทียบ การจัดกลุ่ม ส่งเสริมความ

รับผิดชอบ ความมีนำ้ ใจ ช่วยเหลือ ผ้สู อนไมค่ วรใช้การเกบ็ ส่อื เปน็ การลงโทษเดก็ โดยดำเนนิ การดังนี้
๑. เก็บสื่อให้เป็นระเบียบและเป็นหมวดหมูต่ ามลักษณะประเภทของสื่อ สื่อที่เหมือนกันจัดเก็บ

หรือจัดวางไว้ดว้ ยกนั
๒. วางสือ่ ในระดบั สายตาของเดก็ เพ่อื ให้เด็กหยบิ ใช้ จัดเกบ็ ได้ด้วยตนเอง
๓. ภาชนะที่จัดเก็บสื่อควรโปร่งใส เพื่อให้เด็กมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้ง่ายและควรมีมือจับ

เพื่อให้สะดวกในการขนย้าย

๒๙

๔. ฝึกให้เด็กรู้ความหมายของรปู ภาพหรอื สที ี่เป็นสัญลักษณ์แทนหมวดหมู่ ประเภทสื่อ เพื่อเดก็
จะไดเ้ กบ็ เขา้ ท่ีไดถ้ กู ต้อง การใชส้ ญั ลักษณค์ วรมีความหมายตอ่ การเรียนรูข้ องเด็ก สญั ลักษณค์ วรใช้ส่ือของ
จริง ภาพถ่ายหรือสำเนา ภาพวาด ภาพโครงร่างหรือภาพประจุด หรือบัตรคำติดคู่กับสัญลักษณ์อย่างใด
อย่างหนงึ่

๕. ตรวจสอบส่อื หลงั จากทใ่ี ชแ้ ลว้ ทกุ คร้งั วา่ มีสภาพสมบูรณ์ จำนวนครบถว้ นหรอื ไม่
๖. ซอ่ มแซมส่ือชำรุด และทำเติมส่วนทข่ี าดหายไปให้ครบชดุ

การพัฒนาส่อื
การพัฒนาสื่อเพือ่ ใชป้ ระกอบการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ในระดับปฐมวัยนน้ั

ก่อนอืน่ ควรได้สำรวจข้อมลู สภาพปัญหาต่างๆของสื่อทุกประเภททีใ่ ช้อยู่ว่ามอี ะไรบ้างทีจ่ ะต้องปรับปรงุ
แก้ไข เพื่อจะไดป้ รับเปลยี่ นใหเ้ หมาะสมกบั ความต้องการ

แนวทางการพัฒนาสอื่ ควรมลี กั ษณะเฉพาะ ดังนี้
๑. ปรับปรุงสื่อให้ทันสมัยเข้ากับเหตุการณ์ ใช้ได้สะดวก ไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะสมกับวัยของ
เดก็
๒. รักษาความสะอาดของสื่อ ถ้าเป็นวัสดุทีล่ ้างน้ำได้ เมื่อใช้แล้วควรไดล้ ้างเช็ด หรือ ปัดฝุ่นให้
สะอาด เกบ็ ไวเ้ ป็นหมวดหมู่ วางเปน็ ระเบียบหยบิ ใชง้ ่าย
๓. ถ้าเป็นสือ่ ท่ีผสู้ อนผลติ ขนึ้ มาใชเ้ องและผ่านการทดลองใช้มาแล้ว ควรเขยี นคู่มือประกอบการ
ใช้สื่อนัน้ โดยบอกช่ือส่ือ ประโยชนแ์ ละวธิ ีใช้สอื่ รวมท้ังจำนวนชิ้นสว่ นของส่ือในชุดนั้นและเก็บคู่มือไว้ใน
ซองหรือถงุ พรอ้ มสอ่ื ที่ผลติ
๔. พัฒนาสือ่ ทีส่ รา้ งสรรค์ ใช้ได้เอนกประสงค์ คอื เปน็ ได้ท้ังสอ่ื เสรมิ พฒั นาการและเป็นของเล่น
สนกุ สนานเพลิดเพลิน

แหล่งการเรยี นรู้
โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ไดแ้ บง่ ประเภทของแหล่งเรยี นรู้ ไดด้ ังน้ี
๑. แหล่งเรียนรู้ประเภทบคุ คล ได้แก่ วทิ ยากรหรอื ผู้เช่ียวชาญเฉพาะดา้ น ที่จดั หามาเพือ่ ใหค้ วามรู้

ความเขา้ ใจอย่างกระจ่างแก่เดก็ โดยสอดคล้องกบั เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ต่างๆ ได้แก่
- เจา้ หน้าท่จี ากเทศบาลนครอุบลราชธานี
- เจ้าหนา้ ท่ีสาธารณสุข
- พระสงฆ์
- พ่อคา้ – แม่คา้
- เจา้ หน้าทต่ี ำรวจ
- ผู้ปกครอง
- ชา่ งตดั ผม / ช่างเสรมิ สวย
- ครู
- ภารโรง
- ฯลฯ

๒. แหล่งเรียนรู้ภายในชุมชน ได้แก่ แหล่งข้อมูลหรือแหล่งวิทยาการต่างๆ ที่อยู่ในชุมชน มี
ความสัมพันธ์กับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและประเพณีช่วยให้เด็กสามารถเชื่อมโยงโลกภายในและโลก
ภายนอก (inner world & outer world) ได้ และสอดคล้องกับวถิ กี ารดำเนนิ ชวี ติ ของเดก็ ปฐมวยั ไดแ้ ก่

๓๐

- หอ้ งสมดุ โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี
- ห้องวิทยาศาสตร์หนูน้อยอนุบาล
- ห้องศนู ยเ์ ด็กปฐมวยั ต้นแบบโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี
- วดั ทงุ่ ศรีเมอื ง
- วดั มหาวนาราม (วัดปา่ ใหญ)่
- พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ อบุ ลราชธานี
- เทศบาลนครอบุ ลราชธานี
- ศาลหลักเมอื ง อบุ ลราชธานี
- สวนสาธารณะ ท่งุ ศรีเมือง
- สถานตี ำรวจภูธร อำเภอเมอื งอบุ ลราชธานี
- โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
- สำนกั งานไปรษณยี ์ จ.อบุ ลราชธานี
๓. สถานท่ีสำคญั ตา่ งๆ ได้แก่ แหล่งความรู้สำคัญต่างๆ ทเี่ ดก็ ใหค้ วามสนใจ ไดแ้ ก่
- สวนสตั วอ์ บุ ลราชธานี
- วดั สระประสานสุข
- วดั พระธาตหุ นองบัว
- ศูนยว์ ทิ ยาศาสตร์เพ่อื การศึกษาอบุ ลราชธานี
- กองบิน ๒๑ อบุ ลราชธานี
- ฯลฯ

การประเมินพฒั นาการ
การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ ๓ – ๖ ปี เป็นการประเมินพัฒนาการทางด้านร่างกาย

อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อตนเอง และเป็น ส่วนหนึ่งของ
กิจกรรมปกติทีจ่ ัดให้เด็กในแต่ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเดก็ ต้องนำมาจัดทำสารนิทัศนห์ รอื
จัดทำข้อมูลหลักฐานหรือเอกสารอย่างเป็นระบบ ด้วยการวบรวมผลงานสำหรับเด็กเป็นรายบุคคลท่ี
สามารถบอกเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรแู้ ละมีความกา้ วหน้าเพียงใด ทั้งน้ี
ให้นำข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กมาพิจารณา ปรับปรุงวางแผล การจัดกิจกรรม และส่งเสริมให้
เด็กแต่ละคนไดร้ ับการพัฒนาตามจุดหมายของหลกั สูตรอย่างตอ่ เนื่อง การประเมินพฒั นาการควรยึดหลัก
ดงั นี้

๑.วางแผนการประเมินพฒั นาการอยา่ งเปน็ ระบบ
๒.ประเมนิ พฒั นาการเด็กครบทุกด้าน
๓.ประเมินพัฒนาการเดก็ เปน็ รายบคุ คลอย่างสมำ่ เสมอต่อเน่อื งตลอดปี
๔.ประเมนิ พฒั นาการตามสภาพจรงิ จากกิจกรรมประจำวันดว้ ยเครอื่ งมอื และวิธีการที่หลากหลาย
ไม่ควรใชแ้ บบทดสอบ
๕.สรุปผลการประเมนิ จัดทำขอ้ มูลและนำผลการประเมนิ ไปใช้พัฒนาเด็ก

สำหรับวิธีการประเมนิ ท่ีเหมาะสมและควรใชก้ บั เด็กอายุ ๓ – ๖ ปี ได้แก่ การสังเกต การ
บนั ทกึ พฤติกรรม การสนทนากับเด็ก การสัมภาษณ์ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู จากผลงานเด็กที่เกบ็ อยา่ งมรี ะบบ

๓๑

ประเภทของการประเมินพฒั นาการ
การพฒั นาคณุ ภาพการเรียนรู้ของเด็ก ประกอบดว้ ย
๑) วัตถุประสงค์ (Objective) ซึ่งตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมายถึง

จดุ หมายซ่งึ เป็นมาตรฐานคุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ ตัวบ่งช้แี ละสภาพท่ีพึงประสงค์
๒) การจัดประสบการณการเรียนรู้ (Leaning) ซึ่งเป็นกระบวนการได้มาของความรู้หรือทักษะ

ผ่านการกระทำสิ่งต่างๆที่สำคัญตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดให้หรือที่เรียกว่า ประสบการณ์
สำคัญแบบบูรณาการการเรียนรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคป ในการช่วยอธิบายใหค้ รเู ขา้ ใจถึงประสบการณ์ท่เี ดก็
ปฐมวยั ตอ้ งทำเพอื่ เรียนรู้สงิ่ ตา่ งๆรอบตัว และช่วยแนะผู้สอนในการสังเกต สนับสนุน และวางแผนการจัด
กิจกรรมใหเ้ ดก็

๓) การประเมนิ ผล (Evaluation) เพื่อตรวจสอบพฤตกิ รรมหรอื ความสามารถตามวยั ท่ีคาดหวังให้
เด็กเกิดขน้ึ บนพน้ื ฐานพัฒนาการตามวยั หรอื ความสามารถตามธรรมชาตใิ นแต่ละระดับอายุ เรียกว่า สภาพ
ที่พึงประสงค์ ที่ใช้เป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการประเมินพัฒนาการเด็ก เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางใน
การพัฒนาคุณภาพเด็กท้งั นีป้ ระเภทของการประเมนิ พัฒนาการ อาจแบง่ ได้เปน็ ๒ ลกั ษณะ คอื

๑) แบ่งตามวตั ถปุ ระสงค์ของการประเมิน
การแบง่ ตามวตั ถปุ ระสงค์ของการประเมิน แบง่ ได้ ๒ ประเภท ดงั นี้

๑.๑) การประเมินความก้าวหน้าของเด็ก (Formative Evaluation) หรือการประเมิน
เพือ่ พฒั นา (Formative Assessment) หรอื การประเมนิ เพ่ือเรยี น (Assessment for Learning) เปน็ การ
ประเมนิ ระหวา่ งการจดั ระสบการณ์ โดยเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกับผลพฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเด็กใน
ระหว่างทำกิจกรรมประจำวนั /กจิ วัตรประจำวนั ปกตอิ ยา่ งต่อเนือ่ ง บนั ทกึ วิเคราะห์ แปลความหมายขอ้ มูล
แลว้ นำมาใช้ในการสง่ เสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของเดก็ และการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ของ
ผู้สอน การประเมินพฒั นาการกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้สอนจึงเป็นเร่ืองที่สัมพันธ์กันหาก
ขาดสง่ิ หนง่ึ สงิ่ ใดการจดั ประสบการณ์การเรียนรูก้ ข็ าดประสิทธภิ าพ เปน็ การประเมินผลเพอื่ ให้รจู้ ดุ เดน่ จุด
ที่ควรส่งเสริม ผู้สอนต้องใช้วิธีการและเครื่องมือประเมินพัฒนาการที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การ
สัมภาษณ์ การรวบรวมผลงานที่แสดงออกถึงความก้าวหน้าแตล่ ะด้านของเด็กเป็นรายบุคคล การใช้แฟ้ม
สะสมงาน เพ่ือใหไ้ ด้ข้อสรปุ ของประเดน็ ท่กี ำหยด สิง่ ท่สี ำคญั ท่ีสุดในการประเมนิ ความก้าวหน้าคือ การจัด
ประสบการณ์ใหก้ บั เด็กในลกั ษณะการเช่ือมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ทำให้การเรยี นรู้ของ
เด็กเพ่มิ พนู ปรบั เปลย่ี นความคิด ความเข้าใจเดมิ ที่ไม่ถกู ต้อง ตลอดจนการใหเ้ ดก็ สามารถพฒั นาการเรียนรู้
ของตนเองได้

๑.๒) การประเมินผลสรุป (Summative Evaluation) หรือ การประเมินเพื่อตัดสินผล
พัฒนาการ (Summative Assessment) หรือการประเมินสรุปผลของการเรียนรู้ (Assessment of
Learning) เป็นการประเมินสรุปพัฒนาการ เพื่อตัดสินพัฒนาการของเด็กว่ามีความพร้อมตามมาตรฐาน
คุณลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ของหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั หรอื ไม่ เพื่อเปน็ การเช่ือมตอ่ ของการศึกษาระดับ
ปฐมวัยกับชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑

ดงั นัน้ ผู้สอนจงึ ควรใหค้ วามสำคญั กบั การประเมนิ ความก้าวหน้าของเดก็ ในระดบั
หอ้ งเรียนมากกวา่ การประเมินเพื่อตดั สินผลพฒั นาการของเด็กเมื่อสนิ้ ภาคเรยี นหรือส้ินปีการศึกษา

๓๒

๒.แบ่งตามระดบั ของการประเมิน
การแบง่ ตามระดับของการประเมิน แบง่ ได้เปน็ ๒ ประเภท

๒.๑) การประเมินพัฒนาการระดับชั้นเรียน เป็นการประเมินพัฒนาการที่อยู่ใน
กระบวนการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ ผู้สอนดำเนนิ การเพ่ือพฒั นาเดก็ และตัดสนิ ผลการพัฒนาการด้าน
ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา จากกิจกรรมหลัก/หน่วยการเรียนรู้(Unit) ที่ผู้สอนจัด

ประสบการณ์ให้กับเด็ก ผู้สอนประเมินผลพัฒนาการตามสภาพที่พึงประสงค์และตัวบ่งชี้ที่กำหนดเป็น
เปา้ หมายในแต่ละแผนการจัดประสบการณ์ของหน่วยการเรียนรดู้ ว้ ยวิธีตา่ งๆ เชน่ การสังเกต การสนทนา

การสัมภาษณ์ การรวบรวมผลงานที่แสดงออกถึงความก้าวหน้า แต่ละด้านของเด็กเป็นรายบุคคล การ
แสดงกริยาอาการต่างๆของเด็กตลอดเวลาที่จัดประสบการณ์เรียนรู้ เพื่อตรวจสอบและประเมินว่าเด็ก
บรรลุตามสภาพทีพ่ ึงประสงค์ละตัวบ่งช้ี หรือมีแนวโน้มว่าจะบรรลุสภาพทพี่ ึงประสงค์และตัวบ่งชี้เพียงใด

แลว้ แก้ไขข้อบกพร่องเปน็ ระยะๆอย่างตอ่ เนื่อง ทั้งนี้ ผ้สู อนควรสรุปผลการประเมนิ พฒั นาการว่า เด็กมีผล
อันเกิดจากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้หรือไม่ และมากน้อยเพียงใด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวม

หรอื สะสมผลการประเมินพฒั นาการในกจิ กรรมประจำวัน/กิจวัตรประจำวัน/หน่วยการเรยี นรู้ หรืผลตาม
รูปแบบการประเมนิ พฒั นาการที่สถานศึกษากำหนด เพื่อนำมาเปน็ ข้อมลู ใช้ปรังปรุงการจัดประสบการณ์
การเรียนรู้ และเปน็ ข้อมลู ในการสรุปผลการประเมนิ พฒั นาในระดับสถานศึกษาตอ่ ไปอีกดว้ ย

๒.๒) การประเมินพัฒนาการระดับสถานศึกษา เป็นการตรวจสอบผลการประเมิน
พัฒนาการของเด็กเปน็ รายบุคคลเป็นรายภาค/รายปี เพือ่ ใหไ้ ดข้ อ้ มูลเก่ียวกับการจัดการศึกษาของเด็กใน

ระดับปฐมวัยของสถานศึกษาว่าส่งผลตาการเรียนรูข้ องเด็กตามเปา้ หมายหรือไม่ เด็กมีสิ่งที่ตอ้ งการได้รบั
การพัฒนาในด้านใด รวมทั้งสามารถนำผลการประเมินพัฒนาการของเด็กในระดับสถานศึกษาไปเป็น
ข้อมูลและสารสนเทศในการปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย โครงการหรือวิธีการจัดประสบการณ์

การเรียนรู้ ตลอดจนการจัดแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาตามแผนการประกัน
คุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการพัฒนาคุณภาพเด็กต่อผู้ปกครอง นำเสนอคณะกรรมการถาน

ศึกษาขั้นพื้นฐานรับทราบ ตลอดจนเผยแพร่ต่อสาธรณชน ชุมชน หรือหน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงาน
ตน้ สังกดั หน่วยงานทเ่ี กี่ยวข้องตอ่ ไป

อนึ่ง สำหรับการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยในระดับเขตพื้นที่การศึกษาหรือ

ระดับประเทศนั้น หากเขตพื้นที่การศึกษาใดมีความพร้อม อาจมีการดำเนินงานในลักษณะของการสุ่ม
กลุ่มตัวอย่างเด็กปฐมวัยเข้ารับการประเมินก็ได้ ทั้งนี้ การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยขอให้ถือปฏิบัติ

ตามหลักการการประเมินพัฒนาการตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐

บทบาทหน้าที่ของผเู้ กี่ยวขอ้ งในการดำเนินงานประเมินพัฒนาการ

การดำเนินงานประเมนิ พฒั นาการของสถานศึกษานัน้ ตอ้ งเปดิ โอกาสให้ผู้เก่ยี วข้องเขา้ มามีสว่ น

ร่วมในการประเมนิ พฒั นาการและรว่ มรบั ผิดชอบอย่างเหมาะสมตามบรบิ ทของสถานศกึ ษาแต่ละขนาด

ดงั นี้

ผู้ปฏิบัติ บทบาทหน้าทใ่ี นการประเมินพฒั นาการ

ผ้สู อน ๑. ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย และแนวการปฏิบัติการประเมิน

พัฒนาการตามหลกั สูตรสถานศึกษาปฐมวยั

๒. วิเคราะห์และวางแผนการประเมินพัฒนาการที่สอดคล้องกับหน่วยการ

เรยี นรู้/กิจกรรมประจำวัน/กิจวตั รประจำวนั

๓๓

๓. จดั ประสบการณ์ตามหนว่ ยการเรยี นรู้ แบบบูรณาการการเรียนรู้ตามแนวคิด
ไฮสโคป ประเมินพัฒนาการ และบันทึกผลการประเมินประจำวัน/กิจวัตร
ประจำวนั
๔. รวบรวมผลการประเมินพัฒนาการ แปลผลและสรุปผลการประเมินเมื่อส้ิน
ภาคเรียนและสิน้ ปีการศึกษา
๕. สรปุ ผลการประเมินพฒั นาการระดบั ชัน้ เรียนลงในสมุดบนั ทึกผลการประเมิน
พฒั นาการประจำช้นั
๖. จัดทำสมุดรายงานประจำตวั นกั เรยี น
๗. เสนอผลการประเมินพฒั นาการต่อผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาลงนามอนมุ ัติ

ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา ๑.กำหนดผู้รับผิดชอบงานประเมินพัฒนาการตามหลักสูตร และวางแนวทาง
ปฏบิ ัติการประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวัยตามหลกั สตู รสถานศึกษาปฐมวัย
๒. นเิ ทศ กำกับ ติดตามใหก้ ารดำเนินการประเมินพัฒนาการให้บรรลเุ ป้าหมาย
๓. นำผลการประเมินพัฒนาการไปจัดทำรายงานผลการดำเนินงานกำหนด
นโยบายและวางแผนพฒั นาการจดั การศึกษาปฐมวัย

พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ๑. ให้ความร่วมมือกบั ผู้สอนในการประเมนิ พฤติกรรมของเด็กที่สังเกตไดจ้ ากที่
บ้านเพือ่ เปน็ ขอ้ มลู ประกอบการแปลผลที่เทย่ี งตรงของผสู้ อน
๒. รับทราบผลการประเมินของเด็กและสะท้อนให้ข้อมูลย้อนกลับที่เป็น
ประโยชนใ์ นการสง่ เสริมและพฒั นาเด็กในปกครองของตนเอง
๓. รว่ มกับผู้สอนในการจัดประสบการณห์ รือเปน็ วิทยากรทอ้ งถิ่น

คณะกรรมการ ๑. ให้ความเห็นชอบและประกาศใชห้ ลักสูตรสถานศกึ ษาปฐมวยั และแนวปฏิบัติ
สถานศกึ ษาขั้น ในการประเมินพัฒนาการตามหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั

พน้ื ฐาน ๒. รบั ทราบผลการประเมนิ พฒั นาการของเด็กเพอื่ การประกันคณุ ภาพภายใน

ผปู้ ฏิบตั ิ บทบาทหน้าทใ่ี นการประเมนิ พฒั นาการ

สำนกั งานเขตพ้นื ท่ี ๑. ส่งเสริมการจัดทำเอกสารหลักฐานว่าด้วยการประเมินพัฒนาการของเด็ก
การศกึ ษา ปฐมวัยของสถานศกึ ษา
๒. ส่งเสริมให้ผู้สอนในสถานศึกษามีความรู้ ความเข้าใจในแนวปฏิบัติการ
ประเมินพัฒนาการตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตร
สถานศกึ ษาปฐมวยั ตลอดจนความเข้าใจในเทคนิควิธีการประเมนิ พฒั นาการใน
รูปแบบตา่ งๆโดยเนน้ การประเมินตามสภาพจรงิ
๓. ส่งเสริม สนับสนุนให้สถานศึกษาพัฒนาเครื่องมือพัฒนาการตามมาตรฐาน
คุณลักษณะท่พี งึ ประสงค์ตามหลกั สูตรการศึกษาปฐมวัยและการจัดเก็บเอกสาร
หลกั ฐานการศึกษาอยา่ งเปน็ ระบบ
๔. ให้คำปรึกษา แนะนำเกี่ยวกับการประเมินพัฒนาการและการจัดทำเอกสาร
หลกั ฐาน
๕. จัดให้มีการประเมินพัฒนาการเด็กที่ดำเนินการโดยเขตพื้นที่การศึกษาหรอื
หน่วยงานตน้ สังกดั และให้ความร่วมมอื ในการประเมนิ พัฒนาการระดบั ประเทศ

๓๔

แนวปฏิบัตกิ ารประเมนิ พัฒนาการ
การประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวัยเป็นกิจกรรมท่สี อดแทรกอยู่ในการจัดประสบการณ์ทุกขั้นตอน

โดยเริ่มต้ังแต่การประเมินพฤติกรรมของเด็กก่อนการจัดประสบการณ์ การประเมินพฤติกรรมเด็กขณะ
ปฏิบตั ิกิจรรม และการประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ เมือ่ สน้ิ สดุ การปฏิบตั กิ จิ กรรม ท้งั นี้ พฤติกรรมการเรยี นรูแ้ ละ
พัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กที่ได้รับการประเมินนั้น ต้องเป็นไปตามมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์
ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ของหลักสูตรสถานศึกษาระดับปฐมวัยที่ผู้สอนวางแผนและออกแบบไว้
การประเมนิ พฒั นาการจึงเป็นเครื่องมอื สำคญั ท่ีจะชว่ ยให้การเรยี นรู้ของเด็กบรรลตุ ามเป้าหมายเพื่อนำผล
การประเมินไปปรับปรุง พัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และใช้เป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนาเด็ก
ต่อไป สถานศึกษาควรมีกระบวนการประเมินพัฒนาการและการจัดการอย่างเป็นระบบสรุปผลการ
ประเมินพัฒนาการที่ตรงตามความรู้ ความสามารถ ทักษะและพฤติกรรมทีแ่ ท้จริงของเดก็ สอดคล้องตาม
หลักการประเมินพัฒนาการ รวมทั้งสะท้อนการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
อยา่ งเป็นระบบและตอ่ เนื่อง แนวปฏบิ ัตกิ ารประเมนิ พฒั นาการเด็กปฐมวยั ของสถานศกึ ษา มดี ังน้ี

๑. หลักการสำคัญของการดำเนินการประเมินพัฒนาการตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
พทุ ธศักราช ๒๕๖๐

สถานศึกษาที่จัดการศึกษาปฐมวัยควรคำนึงถึงหลักสำคัญของการดำเนินงานการประเมิน
พัฒนาการตามหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย สำหรบั เดก็ ปฐมวัยอายุ ๓-๖ ปี ดังน้ี

๑.๑ ผู้สอนเป็นผู้รับผิดชอบการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่
เกีย่ วขอ้ งมีส่วนร่วม

๑.๒ การประเมนิ พัฒนาการ มีจดุ มุ่งหมายของการประเมินเพ่อื พัฒนาความก้าวหน้าของ
เด็กและสรปุ ผลการประเมนิ พัฒนาการของเด็ก

๑.๓ การประเมนิ พฒั นาการตอ้ งมคี วามสอดคลอ้ งและครอบคลมุ มาตรฐานคุณลักษณะที่
พงึ ประสงค์ ตวั บง่ ชี้ สภาพทพี่ งึ ประสงค์แตล่ ะวยั ซงึ่ กำหนดไวใ้ นหลกั สตู รสถานศึกษาปฐมวัย

๑.๔ การประเมินพัฒนาการเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ต้องดำเนินการด้วยเทคนิควิธีการที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถประเมินพัฒนาการเด็กได้อย่างรอบด้าน
สมดลุ ทั้งด้านรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา รวมทั้งระดับอายุของเด็ก โดยตั้งอยู่บนพื้นฐาน
ของความเท่ยี งตรง ยุตธิ รรมและเชอื่ ถือได้

๑.๕ การประเมินพัฒนาการพิจารณาจากพัฒนาการตามวัยของเด็ก การสังเกต
พฤติกรรมการเรียนรู้และการรว่ มกิจกรรม ควบคู่ไปในกระบวนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ตามความ
เหมาะสมของแต่ละระดับอายุ และรปู แบบการจดั การศึกษา และตอ้ งดำเนินการประเมนิ อยา่ งต่อเนอ่ื ง

๑.๖ การประเมินพัฒนาการต้องเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้สะท้อนและ
ตรวจสอบผลการประเมนิ พฒั นาการ

๑.๗ สถานศึกษาควรจัดทำเอกสารบันทึกผลการประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยใน
ระดับชั้นเรียนและระดับสถานศึกษา เช่น แบบบันทึกการประเมินพัฒนาการตามหน่วยการจัด
ประสบการณ์ สมุดบนั ทกึ ผลการประเมนพัฒนาการประจำชัน้ เพอื่ เปน็ หลักฐานการประเมนิ และรายงาน
ผลพัฒนาการและสมุดรายงานประจำตัวนักเรียน เพื่อเป็นการสื่อสารข้อมูลการพัฒนาการเด็กระหว่าง
สถานศึกษากับบา้ น

๓๕

๒. ขอบเขตของการประเมินพัฒนาการ
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ได้กำหนดเป้าหมายคุณภาพของเด็ก

ปฐมวัยเป็นมาตรฐานคุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ ซง่ึ ถือเปน็ คณุ ภาพลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ทตี่ อ้ งการให้เกิดขึ้น
ตัวเดก็ เมอื่ จบหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั คุณลักษณะท่ีระบุไวใ้ นมาตรฐานคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ถือเป็น
สิ่งจำเป็นสำหรับเด็กทกุ คน ดังนั้น สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหนา้ ที่และความรับผิดชอบใน
การจดั การศึกษาเพ่อื พัฒนาเด็กใหม้ ีคุณภาพมาตรฐานทพ่ี งึ ประสงค์กำหนด ถือเป็นเครือ่ งมอื สำคัญในการ
ขับเคล่ือนและพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาปฐมวัย แนวคิดดังกล่าวอย่บู นฐานความเช่ือที่ว่าเด็กทกุ คนสามารถ
พัฒนาอยา่ งมคี ณุ ภาพและเทา่ เทยี มได้
ขอบเขตของการประเมินพฒั นาการประกอบด้วย

๒.๑ ส่งิ ท่จี ะประเมนิ
๒.๒ วธิ ีและเคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการประเมิน
๒.๓ เกณฑ์การประเมินพฒั นาการ
๒.๑ ส่ิงที่จะประเมิน
การประเมินพัฒนาการสำหรับเด็กอายุ ๓-๖ ปี มีเป้าหมายสำคัญคือ มาตรฐาน
คณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์จำนวน ๑๒ ข้อ ดังน้ี
๑. พัฒนาการด้านรา่ งกาย ประกอบดว้ ย ๒ มาตรฐาน คอื

มาตรฐานที่ ๑ ร่างกายเจรญิ เตบิ โตตามวยั และมสี ุขนิสยั ท่ดี ี
มาตรฐานท่ี ๒ กลา้ มเน้อื ใหญแ่ ละกลา้ มเน้ือเล็กแข็งแรงใช้ไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคล่ว

และประสานสมั พนั ธ์กัน
๒. พฒั นาการดา้ นอารมณ์ จิตใจ ประกอบดว้ ย ๓ มาตรฐาน คือ

มาตรฐานที่ ๓ มีสุขภาพจติ ดแี ละมคี วามสขุ
มาตรฐานที่ ๔ ช่ืนชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคลือ่ นไหว
มาตรฐานที่ ๕ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และมจี ิตใจทีด่ งี าม
๓. พัฒนาการด้านสงั คม ประกอบด้วย ๓ มาตรฐาน คือ
มาตรฐานท่ี ๖ มีทักษะชวี ิตและปฏิบตั ติ นตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจ

พอเพียง
มาตรฐานท่ี ๗ รักธรรมชาติ สิง่ แวดล้อม วฒั นธรรม และความเปน็ ไทย
มาตรฐานที่ ๘ อย่รู ว่ มกบั ผอู้ นื่ ได้อยา่ งมคี วามสุขและปฏิบตั ิตนเปน็ สมาชิกทีด่ ี

ของสังคมในระบอบประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็น
ประมุข
๔. พัฒนาการด้านสติปญั ญา ประกอบด้วย ๔ มาตรฐาน คือ
มาตรฐานที่ ๙ ใชภ้ าษาส่ือสารไดเ้ หมาะสมกับวยั
มาตรฐานที่ ๑๐ มคี วามสามารถในการคิดท่ีเป็นพน้ื ฐานในการเรียนรู้
มาตรฐานท่ี ๑๑ มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
มาตรฐานท่ี ๑๒ มเี จตคตทิ ่ีดีตอ่ การเรยี นรูแ้ ละมคี วามสามารถในการแสวงหา
ความรู้ไดเ้ หมาะสมกับวยั

๓๖

ส่งิ ทจี่ ะประเมินพฒั นาการของเด็กปฐมวัยแตล่ ะด้าน มดี งั น้ี
ด้านร่างกาย ประกอบด้วย การประเมินการมีน้ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์ สุขภาพ

อนามัย สุขนิสัยที่ดี การรู้จักรักษาความปลอดภัย การเคล่ือนไหวและการทรงตัว การเล่นและการออก
กำลังกาย และการใช้มืออย่างคลอ่ งแคล่วประสานสัมพนั ธก์ ัน

ด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย การประเมินความสามารถในการแสดงออกทาง
อารมณ์อยา่ งเหมาะสมกับวัยและสถานการณ์ ความรู้สึกทีด่ ีต่อตนเองและผู้อื่น มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
ผู้อื่น ความสนใจ/ความสามารถ/และมีความสุขในการทำงานศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ความ
รับผิดชอบในการทำงาน ความซื่อสัตย์สุจริตและรู้สึกถูกผิด ความเมตตากรุณา มีน้ำใจและช่วยเหลือ
แบง่ ปัน ตลอดจนการประหยดั อดออม และพอเพียง

ด้านสังคม ประกอบดว้ ย การประเมินความมีวินยั ในตนเอง การช่วยเหลือตนเองในการ
ปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน การระวังภัยจากคนแปลกหน้า และสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตราย การดูแลรักษา
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การมีสัมมาคารวะและมารยาทตามวัฒนธรรมไทย รักษาความเป็นไทย การ
ยอมรับความเหมือนและความแตกต่างระหว่างบุคคล การมีสัมพันธ์ที่ดีกับผูอ้ ่ืน การปฏิบัติตนเบ้อื งต้นใน
การเป็นสมาชิกท่ีดขี องสงั คมในระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข

ด้านสติปัญญา ประกอบด้วย การประเมินความสามารถในการสนทนาโต้ตอบและเลา่
เรื่องให้ผู้อื่นเขา้ ใจ ความสามารถในการอา่ น เขียนภาพและสัญลักษณ์ ความสามารถในการคดิ แกป้ ัญหา
คิดเชิงเหตุผล คิดรวบยอด การเล่น/การทำงานศิลปะ/การแสดงท่าทาง/เคลื่อนไหวตามจินตนาการและ
ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องตนเอง การมเี จตคตทิ ่ีดีต่อการเรียนรแู้ ละความสามารถในการแสวงหาความรู้

๒.๒ วธิ กี ารและเคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการประเมินพัฒนาการ
การประเมินพัฒนาการเดก็ แต่ละครั้งควรใช้วธิ ีการประเมินอยา่ งหลากหลายเพื่อใหไ้ ด้

ข้อมลู ท่ีสมบรู ณท์ ี่สดุ วธิ กี ารท่ีเหมาะสมและนยิ มใช้ในการประเมินเด็กปฐมวยั มีดว้ ยกันหลายวิธี ดงั ต่อไปนี้
๑. การสังเกตและการบันทึก การสังเกตมอี ยู่ ๒ แบบคอื การสงั เกตอย่างมีระบบ ไดแ้ ก่

การสังเกตอย่างมจุดมุ่งหมายที่แน่นอนตามแผนที่วางไว้ และอีกแบบหนึ่งคือ การสังเกตแบบไม่เป็น
ทางการ เปน็ การสงั เกตในขณะท่เี ด็กทำกจิ กรรมประจำวนั และเกิดพฤติกรรมทไ่ี มค่ าดคิดวา่ จะเกิดข้ึนและ
ผู้สอนจดบนั ทึกไวก้ ารสงั เกตเปน็ วิธีการท่ีผู้สอนใช้ในการศึกษาพัฒนาการของเด็ก เม่ือมกี ารสังเกตก็ต้องมี
การบันทึก ผู้สอนควรทราบว่าจะบันทึกอะไรการบันทึกพฤติกรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำอย่าง
สม่ำเสมอ เน่อื งจากเด็กเจรญิ เติบโตและเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว จงึ ตอ้ งนำมาบนั ทึกเป็นหลกั ฐานไว้อยา่ ง
ชดั เจน การสังเกตและการบันทึกพฒั นาการเดก็ สามารถใช้แบบงา่ ยๆคือ

๑.๑ แบบบันทึกพฤติกรรม ใช้บันทึกเหตุการณ์เฉพาะอย่างโดยบรรยาย
พฤตกิ รรมเด็ก ผูบ้ นั ทึกต้องบนั ทึกวัน เดือน ปเี กิดของเด็ก และวนั เดือน ปี ที่ทำการบันทึกแตล่ ะครงั้

๑.๒ การบันทึกรายวัน เป็นการบันทึกเหตุการณ์หรือประสบการณ์หรือ
ประสบการณ์ที่เกิดข้ึนในชั้นเรียนทุกวัน ถ้าหากบันทึกในรูปแบบของการบรรยายก็มักจะเน้นเฉพาะเดก็
รายท่ตี อ้ งการศกึ ษา ข้อดขี องการบนั ทึกรายวนั คอื การช้ใี ห้เหน็ ความสามารถเฉพาะอย่างของเดก็ จะช่วย
กระตุ้นใหผ้ สู้ อนได้พิจารณาปญั หาของเดก็ เปน็ รายบุคคลช่วยให้ผู้เชียวชาญมีข้อมูลมากข้ึนสำหรับวินิจฉัย
เดก็ ว่าสมควรจะไดร้ ับคำปรึกษาเพ่ือลดปญั หาและส่งเสรมิ พฒั นาการของเด็กได้อย่างถูกต้อง นอกจากน้ัน
ยังช่วยชใี้ หเ้ หน็ ข้อเสียของการจัดกจิ กรรมและประสบการณ์ไดเ้ ป็นอย่างดี

๑.๓ แบบสำรวจรายการ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์เด็กแต่ละคนได้ค่อนข้าง
ละเอียด

๓๗

๒. การสนทนา สามารถใช้การสนทนาได้ทั้งเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล เพื่อประเมิน
ความสามารถในการแสดงความคิดเห็น และพัฒนาการด้านภาษาของเดก็ และบนั ทึกผลการสนทนาลงใน
แบบบันทกึ พฤตกิ รรมหรอื บันทึกรายวัน

๓. การสัมภาษณ์ ด้วยวิธีพูดคุยกับเด็กเป็นรายบุคคลและควรจัดในสภาวะแวดล้อม
เหมาะสมเพื่อไมใ่ หเ้ กิดความเครียดและวิตกกังวล ผู้สอนควรใช้คำถามท่ีเหมาะสมเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ได้คดิ
และตอบอย่างอิสระจะทำให้ผู้สอนสามารถประเมินความสามารถทางสติปัญญาของเด็กแต่ละคนและ
คน้ พบศักยภาพในตัวเดก็ ไดโ้ ดยบันทึกขอ้ มลู ลงในแบบสมั ภาษณ์

การเตรียมการกอ่ นการสัมภาษณ์ ผู้สอนควรปฏบิ ัติ ดงั น้ี
- กำหนดวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์
- กำหนดคำพูด/คำถามที่จะพดู กบั เดก็ ควรเปน็ คำถามท่เี ด็กสามารถตอบโตห้ ลากหลาย
ไม่ผดิ /ถูก

การปฏบิ ตั ิขณะสมั ภาษณ์
- ผู้สอนควรสรา้ งความคุน้ เคยเป็นกันเอง
- ผสู้ อนควรสรา้ งสภาพแวดล้อมทอ่ี บอนุ่ ไมเ่ คร่งเครียด
- ผสู้ อนควรเปดิ โอกาสเวลาใหเ้ ด็กมีโอกาสคิดและตอบคำถามอย่างอสิ ระ
- ระยะเวลาสมั ภาษณไ์ ม่ควรเกนิ ๑๐-๒๐ นาที

๔. การรวบรวมผลงานท่ีแสดงออกถึงความกา้ วหนา้ แตล่ ะดา้ นของเดก็ เปน็ รายบุคคล
โดยจดั เก็บรวบรวมไว้ในแฟม้ ผลงาน (portfolio) ซึ่งเป็นวธิ รี วบรวมและจัดระบบข้อมูลต่างๆท่ีเก่ียวกับตัว
เดก็ โดยใชเ้ คร่อื งมือต่างๆรวบรวมเอาไว้อย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน แสดงการเปล่ียนแปลงของพัฒนาการ
แต่ละด้าน นอกจากนี้ยังรวมเครื่องมืออื่นๆ เช่น แบบสอบถามผู้ปกครอง แบบสังเกตพฤติกรรม แบบ
บันทึกสุขภาพอนามัย ฯลฯ เอาไว้ในแฟ้มผลงาน เพื่อผู้สอนจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กอย่างชัดเจนและ
ถูกต้อง การเก็บผลงานของเด็กจะไม่ถือว่าเป็นการประเมินผลถ้างานแต่ละชิ้นถูกรวบรวมไว้โดยไม่ไดร้ บั
การประเมินจากผู้สอนและไม่มีการนำผลมาปรับปรุงพัฒนาเด็กหรือปรับปรงุ การสอนของผู้สอน ดังนั้นจึง
เปน็ แตก่ ารสะสมผลงานเท่านน้ั เชน่ แฟ้มผลงานขีดเขียน งานศลิ ปะ จะเป็นเพยี งแคแ่ ฟ้มผลงานที่ไม่มีการ
ประเมิน แฟ้มผลงานนีจ้ ะเป็นเครือ่ งมือการประเมินต่อเน่ืองเมือ่ งานที่สะสมแต่ละชิ้นถูกใช้ในการบ่งบอก
ความก้าวหนา้ ความตอ้ งการของเด็ก และเปน็ การเก็บสะสมอย่างต่อเนอ่ื งทส่ี รา้ งสรรคโ์ ดยผูส้ อนและเดก็

ผ้สู อนสามารถใชแ้ ฟ้มผลงานอย่างมีคุณค่าสือ่ สารกับผู้ปกครองเพราะการเก็บผลงานเด็ก
อยา่ งต่อเน่อื งและสม่ำเสมอในแฟ้มผลงานเปน็ ข้อมูลให้ผู้ปกครองสามารถเปรียบเทียบความก้าวหน้าท่ีลูก
ของตนมีเพิ่มขึ้น จากผลงานชิ้นแรกกับชิ้นตอ่ ๆมาข้อมูลในแฟ้มผลงานประกอบด้วย ตัวอย่างผลงานการ
เขียดเขยี น การอ่าน และข้อมูลบางประการของเด็กที่ผู้สอนเป็นผู้บนั ทึก เชน่ จำนวนเล่มของหนังสือท่ีเด็ก
อา่ น ความถี่ของการเลือกอ่านท่มี ุมหนงั สือในช่วงเวลาเลือกเสรี การเปล่ยี นแปลงอารมณ์ ทัศนคติ เป็นต้น
ข้อมูลเหล่านี้จะสะท้อนภาพของความงอกงามในเด็กแต่ละคนได้ชัดเจนกว่าการประเมินโดยการให้เกรด
ผู้สอนจะตอ้ งช้แี จงให้ผู้ปกครองทราบถึงทีม่ าของการเลือกชิน้ งานแต่ละชนิ้ งานที่สะสมในแฟม้ ผลงาน เช่น
เปน็ ช้ินงานท่ดี ีท่ีสุดในช่วงระยะเวลาท่ีเลือกช้นิ งานน้ัน เปน็ ชน้ิ งานทแ่ี สดงความต่อเนื่องของงานโครงการ
ฯลฯ ผูส้ อนควรเชญิ ผปู้ กครองมามีสว่ นรว่ มในการคัดสรรช้นิ งานทบ่ี รรจุลงในแฟ้มผลงานของเดก็

๕. การประเมินการเจริญเติบโตของเด็ก ตัวชี้ของการเจริญเติบโตในเด็กที่ใช้ทั่วๆไป
ได้แก่ น้ำหนัก ส่วนสูง เส้นรอบศีรษะ ฟัน และการเจริญเติบโตของกระดูก แนวทางประเมินการ
เจรญิ เติบโต มดี งั นี้

๓๘

๕.๑ การประเมินการเจริญเติบโต โดยการชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงเด็กแล้ว
นำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ปกติในกราฟแสดงน้ำหนกั ตามเกณฑ์อายุกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งใช้สำหรับ
ตดิ ตามการเจริญเตบิ โตโดยรวม วธิ กี ารใชก้ ราฟมขี ้นั ตอน ดงั น้ี

เมื่อชั่งนำ้ หนกั เดก็ แล้ว นำน้ำหนักมาจดุ เครื่องหมายกากบาทลงบนกราฟ และ
อ่านการเจริญเติบโตของเด็ก โดยดูเครื่องหมายกากบาทว่าอยู่ในแถบสีใด อ่านข้อความบนแถบสีนั้น ซ่ึง
แบ่งภาวะโภชนาการเป็น ๓ กลุ่มคือ น้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ น้ำหนักมากเกนเกณฑ์ น้ำหนักน้อยกว่า
เกณฑ์ ขอ้ ควรระวังสำหรบั ผูป้ กครองและผู้สอนคือ ควรดแู ลนำ้ หนกั เด็กอยา่ งให้แบง่ เบนออกจากเส้นประ
เมินมเิ ช่นน้นั เดก็ มโี อกาสน้ำหนักมากเกนิ เกณฑ์หรอื นำ้ หนักน้อยกวา่ เกณฑ์ได้

ขอ้ ควรคำนึงในการประเมินการเจริญเติบโตของเด็ก
- เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันในด้านการเจริญเติบโต บางคนรูปร่างอ้วน

บางคนช่วงครึ่งหลังของขวบปีแรก น้ำหนักเด็กจะข้ึนช้า เนื่องจากห่วงเลน่ มากข้ึนและความอยากอาหาร
ลดลง บางคนรา่ งใหญ่ บางคนรา่ งเล็ก

- ภาวะโภชนาการเป็นตัวสำคัญท่ีเกี่ยวข้องกับขนาดของรูปร่างแต่ไม่ใช่สาเหตุ
เดยี ว

- กรรมพันธุ์ เด็กอาจมีรูปร่างเหมือนพ่อแมค่ นใดคนหนึง่ ถ้าพ่อหรือแม่เต้ีย ลูก
อาจเตีย้ และพวกน้ีอาจมีน้ำหนกั ตำ่ กว่าเกณฑ์เฉล่ียได้และมกั จะเป็นเด็กที่ทานอาหารไดน้ อ้ ย

๕.๒ การตรวจสุขภาพอนามัย เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของเด็ก โดยพิจารณาความ
สะอาดสงิ่ ปกติของร่างกายทีจ่ ะสง่ ผลตอ่ การดำเนนิ ชีวติ และการเจริญเตบิ โตของเดก็ ซึ่งจะประเมินสุขภาพ
อนามยั ๙ รายการคือ ผมและศีรษะ หูและใบหู มอื และเล็บมอื เทา้ และเล็บเทา้ ปาก ลน้ิ และฟนั จมกู ตา
ผวิ หนังและใบหน้า และเสื้อผ้า

๒.๓ เกณฑก์ ารประเมินพฒั นาการ
การสร้างเกณฑ์หรือพัฒนาเกณฑ์หรือกำหนดเกณฑ์การประเมินพัฒนาการของเด็ก

ปฐมวัย ผ้สู อนควรใหค้ วามสนใจในส่วนทเี่ กี่ยวขอ้ ดังน้ี
๑. การวางแผนการสังเกตพฤติกรรมของเดก็ อย่างเปน็ ระบบ เช่น จะสงั เกตเด็กคนใดบ้าง

ในแต่ละวัน กำหนดพฤติกรรมที่สังเกตให้ชัดเจน จัดทำตารางกำหนดการสังเกตเด็กเป็นรายบุคคล ราย
กลุ่ม ผสู้ อนตอ้ งเลือกสรรพฤติกรรมทตี่ รงกบั ระดับพัฒนาการของเด็กคนน้นั จรงิ ๆ

๒. ในกรณีที่ห้องเรียนมีนักเรียนจำนวนมาก ผู้สอนอาจเลือกสังเกตเฉพาะเด็กที่ทำได้ดี
แลว้ และเดก็ ที่ยงั ทำไม่ได้ สว่ นเด็กปานกลางใหถ้ อื วา่ ทำได้ไปตามกจิ กรรม

๓. ผู้สอนต้องสังเกตจากพฤติกรรม คำพูด การปฏิบัติตามขั้นตอนในระหว่างทำงาน/
กิจกรรม และคุณภาพของผลงาน/ชิ้นงาน ร่องรอยที่นำมาใช้พิจารณาตัดสินผลของการทำงานหรือการ
ปฏบิ ัติ ตัวอยา่ งเช่น

๑) เวลาท่ีใช้ในการทำกจิ กรรม/ทำงาน ถา้ เดก็ ไมช่ อบ ไม่ชำนาญจะใช้เวลามาก
มที า่ ทางอดิ ออด ไมก่ ลา้ ไมเ่ ต็มใจทำงาน

๒) ความต่อเนื่อง ถ้าเด็กยังมีการหยุดชะงัก ลังเล ทำงานไม่ต่อเนื่อง แสดงว่า
เดก็ ยงั ไม่ชำนาญหรอื ยังไม่พรอ้ ม

๓) ความสัมพนั ธ์ ถา้ การทำงาน/ปฏิบัตินั้นๆมีความสมั พนั ธต์ อ่ เนอ่ื ง ไมร่ าบร่นื
ทา่ ทางมือและเทา้ ไมส่ ัมพนั ธ์กนั แสดงว่าเด็กยังไมช่ ำนาญหรือยงั ไมพ่ รอ้ ม ท่าทแี่ สดงออกจงึ ไมส่ ง่างาม

๔) ความภมู ใิ จ ถ้าเดก็ ยังไมช่ ืน่ ชม ก็จะทำงานเพียงให้แลว้ เสรจ็ อย่างรวดเรว็ ไม่
มีความภมู ิใจในการทำงาน ผลงานจึงไมป่ ระณีต

๓๙

๒.๓.๑ ระดับคุณภาพผลการประเมินพัฒนาการเดก็
การให้ระดับคุณภาพผลการประเมินพฒั นาการของเดก็ ทง้ั ในระดบั ชัน้ เรียนและ

ระดบั สถานศึกษาควรกำหนดในทิศทางหรอื รูปแบบเดียวกัน สถานศึกษาสามารถให้ระดับคุณภาพผลการ
ประเมินพัฒนาการของเด็กที่สะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ ตวั บง่ ช้ี สภาพท่พี งึ ประสงค์ หรือ
พฤติกรรมที่จะประเมนิ เป็นระบบตัวเลข เช่น ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ หรือเป็นระบบที่ใช้คำสำคัญ เช่น ดี

พอดี หรือ ควรสง่ เสริม ตามทส่ี ถานศึกษากำหนด ตัวอย่างเช่น

ระบบตวั เลข ระบบทใ่ี ชค้ ำสำคัญ
๓ ดี

พอใช้

ควรส่งเสรมิ

สถานศกึ ษาอาจกำหนดระดบั คุณภาพของการแสดงออกในพฤตกิ รรม เปน็ ๓ ระดบั ดังน้ี

ระดับคณุ ภาพ ระบบทีใ่ ชค้ ำสำคญั

๑ หรือ ควรส่งเสริม เดก็ มีความลังเล ไม่แนใ่ จ ไมย่ อมปฏิบตั กิ ิจกรรม ท้งั น้ี เนื่องจากเด็กยงั ไมพ่ รอ้ ม ยงั

มน่ั ใจ และกลัวไมป่ ลอดภัย ผู้สอนตอ้ งยวั่ ยุหรอื แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างหรือต้อง

คอยอย่ใู กล้ๆ คอ่ ยๆให้เดก็ ทำทลี ะข้ันตอน พร้อมต้องใหก้ ำลังใจ

๒ หรอื พอใช้ เดก็ แสดงไดเ้ อง แตย่ งั ไม่คลอ่ ง เด็กกล้าทำมากขนึ้ ผสู้ อนกระตนุ้ น้อยลง ผ้สู อนต้อง

คอยแกไ้ ขในบางคร้งั หรอื คอยให้กำลังใจให้เดก็ ฝึกปฏิบตั มิ ากข้ึน

๓ หรือ ดี เดก็ แสดงไดอ้ ย่างชำนาญ คลอ่ งแคลว่ และภมู ิใจ เดก็ จะแสดงไดเ้ องโดยไมต่ อ้ ง

กระตนุ้ มคี วามสัมพันธท์ ่ีดี

ตัวอย่างคำอธิบายคณุ ภาพ

พฒั นาการด้านรา่ งกาย : สุขภาพอนามัย พฒั นาการดา้ นร่างกาย : กระโดดเทา้ เดยี ว

ระดบั คณุ ภาพ คำอธิบายคณุ ภาพ ระดับคณุ ภาพ คำอธิบายคุณภาพ

๑หรือ ควรสง่ เสริม ส่งเสรมิ ความสะอาด ๑หรอื ควร ทำได้แตไ่ ม่ถูกต้อง

สง่ เสริม

๒ หรือ พอใช้ สะอาดพอใช้ ๒ หรอื พอใช้ ทำไดถ้ ูกต้อง แต่ไม่

คลอ่ งแคลว่

๓ หรอื ดี สะอาด ๓ หรอื ดี ทำไดถ้ กู ต้อง และคล่องแคล่ว

พฒั นาการด้านอารมณ์ : ประหยัด

ระดับคุณภาพ คำอธิบายคณุ ภาพ

๑หรือ ควรสง่ เสรมิ ใชส้ ่งิ ของเครือ่ งใชเ้ กนิ ความจำเปน็

๒ หรือ พอใช้ ใชส้ ิ่งของเครื่องใช้อย่างประหยดั เป็นบางคร้ัง

๓ หรือ ดี ใชส้ ่ิงของเคร่ืองใช้อย่างประหยัดตามความจำเป็นทกุ ครงั้

พัฒนาการดา้ นสังคม : ปฏิบตั ติ ามข้อตกลง

ระดับคุณภาพ คำอธบิ ายคณุ ภาพ

๑หรอื ควรสง่ เสริม ไมป่ ฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง

๒ หรือ พอใช้ ปฏิบัติตามขอ้ ตกลง โดยมีผูช้ ้ีนำหรือกระต้นุ

๔๐

๓ หรอื ดี ปฏิบัตติ ามขอ้ ตกลงได้ดว้ ยตนเอง

พัฒนาการดา้ นสตปิ ญั ญา : เขยี นชอ่ื ตนเองตามแบบ

ระดบั คณุ ภาพ คำอธบิ ายคุณภาพ

๑หรือ ควรสง่ เสริม เขยี นช่ือตนเองไมไ่ ด้ หรอื เขียนเป็นสัญลกั ษณท์ ไ่ี ม่เป็นตวั อักษร

๒ หรือ พอใช้ เขยี นช่อื ตนเองได้ มอี ักษรบางตวั กลับหวั กลับด้านหรอื สลบั ที่

๓ หรอื ดี เขียนชื่อเองได้ ตวั อกั ษรไม่กลับหัว ไม่กลบั ด้านไมส่ ลบั ท่ี

๒.๓.๒ การสรปุ ผลการประเมินพฒั นาการเดก็

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ กำหนดเวลาเรียนสำหรับเด็ก
ปฐมวัยต่อปีการศึกษาไม่น้อยกว่า ๑๘๐ วัน สถานศึกษาจึงควรบริหารจัดการเวลาที่ได้รับนี้ให้เกิด

ประโยชน์สงู สดุ ตอ่ การพัฒนาเด็กอยา่ งรอบด้านและสมดุล ผู้สอนควรมีเวลาในการพฒั นาเดก็ และเติมเต็ม
ศักยภาพของแดก็ เพ่ือให้การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรมู้ ีประสทิ ธิภาพ ผูส้ อนต้องตรวจสอบพฤติกรรมท่ี
แสดงพัฒนาการของเด็กต่อเนอื่ งมกี ารประเมินซ้ำพฤติกรรมน้นั ๆอยา่ งนอ้ ย ๑ ครั้งตอ่ ภาคเรยี น เพ่อื ยืนยัน

ความเชอ่ื มั่นของผลการประเมนิ พฤติกรรมนนั้ ๆ และนำผลไปเปน็ ข้อมลู ในการสรุปการประเมินสภาพที่พึง
ประสงค์ของเด็กในแต่ละสภาพทีพ่ งึ ประสงค์ นำไปสรุปการประเมินตวั บ่งชีแ้ ละมาตรฐานคณุ ลักษณะที่พึง

ประสงค์ตามลำดบั
อนึ่ง การสรุประดับคุณภาพของการประเมินพัฒนาการเด็ก วิธีการทางสถิติที่

เหมาะสมและสะดวกไมย่ ่งุ ยากสำหรับผู้สอน คือ ค่าเฉลย่ี การใชฐ้ านนิยม (Mode) ในบางครงั้ พฤตกิ รรม

หรือสภาพที่พึงประสงค์หรือตัวบ่งชี้นิยมมากว่า ๑ ฐานนิยม ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา กล่าวคือ
เม่ือมีระดบั คณุ ภาพซ้ำมากกวา่ ๑ ระดบั สถานศึกษาอาจตัดสนิ สรปุ ผลการประเมนิ พัฒนาการบนพื้นฐาน

หลักพัฒนาการและการเตรียมความพร้อม หากเป็นภาคเรียนที่ ๑ สถานศึกษาควรเลือกตัดสินใจใช้ฐาน
นิยมที่มีระดับคุณภาพต่ำกว่าเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาเด็กให้พร้อมมากขึ้น หากเป็นภาคเรียนท่ี ๒
สถานศกึ ษาควรเลือกตัดสินใจใช้ฐานนิยมที่มีระดับคุณภาพสูงกว่าเพ่ือตดั สินและการสง่ ต่อเด็กในระดับชั้น

ท่ีสงู ขึน้
๒.๓.๓ การเลือ่ นช้นั อนบุ าลและเกณฑก์ ารจบการศึกษาระดบั ปฐมวยั

เมื่อสิ้นปีการศึกษา เด็กจะได้รับการเลื่อนชั้นโดยเด็กต้องได้รับการประเมิน
มาตรฐานคณุ ลักษณะที่พงึ ประสงคท์ ้งั ๑๒ ข้อ ตามหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัย เพื่อเปน็ ข้อมูลในการส่งต่อ
ยอดการพฒั นาให้กับเด็กในระดับสงู ขึ้นต่อไป และเนื่องจากการศกึ ษาระดับอนุบาลเป็นการจัดการศึกษา

ขั้นพื้นฐานที่ไม่นับเป็นการศกึ ษาภาคบังคบั จึงไม่มีการกำหนดเกณฑก์ ารจบชั้นอนุบาล การเทียบโนการ
เรียน และเกณฑ์การเรียนซ้ำชั้น และหากเด็กมีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาต่อการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น

สถานศึกษาอาจตง้ั คณะกรรมการเพื่อพิจารณาปญั หา และประสานกับหนว่ ยงานท่เี ก่ยี วข้องในการใหค้ วาม
ชว่ ยเหลือ เชน่ เจา้ หน้าทีส่ าธารณสุขสง่ เสริมตำบล นกั จติ วทิ ยา ฯลฯ เข้าร่วมดำเนนิ งานแก้ปัญหาได้

อย่างไรก็ตาม ทักษะที่นำไปสู่ความพร้อมในการเรียนรู้ที่สามารถใช้เป็นรอย

เชอ่ื มต่อระหวา่ งชนั้ อนบุ าลกับช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ที่ควรพจิ ารณามที กั ษะดงั นี้
๑. ทกั ษะการช่วยเหลือตนเอง ไดแ้ ก่ ใชห้ ้องนำ้ ห้องสว้ มไดด้ ว้ ยตนเอง แตง่ กาย

ไดเ้ อง เกบ็ ของเข้าท่ีเม่ือเลน่ เสรจ็ และชว่ ยทำความสะอาด รูจ้ ักร้องขอใหช้ ่วยเมื่อจำเป็น
๒. ทักษะการใชก้ ล้ามเน้ือใหญ่ ได้แก่ ว่ิงได้อย่างราบร่ืน ว่งิ ก้าวกระโดดได้ กระ

ด้วยสองขาพ้นจากพ้ืน ถอื จับ ขวา้ ง กระดอนลูกบอลได้

๔๑

๓. ทักษะการใช้กล้ามเนื้อเล็ก ได้แก่ ใช้มือหยิบจับอุปกรณ์วาดภาพและเขียน
วาดภาพคนมีแขน ขา และสว่ นต่างๆของร่างกาย ตดั ตามรอยเสน้ และรปู ต่างๆ เขยี นตามแบบอยา่ งได้

๔. ทักษะภาษาการรู้หนังสือ ได้แก่ พูดให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ฟังและปฏิบัติตามคำ
ชี้แจงงง่ายๆ ฟังเรือ่ งราวและคำคลอ้ งจองต่างๆอย่างสนใจ เข้าร่วมฟังสนทนาอภิปรายในเรือ่ งตา่ งๆ รู้จัก
ผลัดกันพูดโตต้ อบ เล่าเรื่องและทบทวนเรื่องราวหรือประสบการณ์ต่างๆ ตามลำดับเหตกุ ารณ์เล่าเรื่องจาก
หนังสือภาพอย่างเป็นเหตุเป็นผล อ่านหรือจดจำคำบางคำที่มีความหมายต่อตนเอง เขียนชื่อตนเองได้
เขยี นคำท่ีมคี วามหมายต่อตนเอง

๕. ทักษะการคิด ได้แก่ แลกเปลี่ยนความคิดและให้เหตุผลได้ จดจำภาพและ
วสั ดุที่เหมอื นและต่างกันได้ ใชค้ ำใหมๆ่ ในการแสดงความคิด ความรู้สกึ ถามและตอบคำถามเก่ียวกับเร่ือง
ที่ฟังเปรียบเทียบจำนวนของวตั ถุ ๒ กลุม่ โดยใชค้ ำ “มากกว่า” “น้อยกว่า” “เทา่ กนั ” อธิบายเหตุการณ์/
เวลา ตามลำดับอยา่ งถูกต้อง รจู้ ักเชอ่ื มโยงเวลากบั กิจวัตรประจำวัน

๖. ทักษะทางสังคมและอารมณ์ ได้แก่ ปรับตัวตามสภาพการณ์ ใช้คำพูดเพื่อ
แก้ไขขอ้ ขดั แยง้ นั่งไดน้ าน ๕-๑๐ นาที เพือ่ ฟังเรื่องราวหรอื ทำกจิ กรรม ทำงานจนสำเร็จ ร่วมมือกับคนอ่ืน
และรจู้ ักผลัดกนั เลน่ ควบคมุ อารมณ์ตนเองได้เมื่อกังวลหรอื ตืน่ เต้น หยุดเล่นและทำในส่ิงที่ผู้ใหญ่ต้องการ
ให้ทำได้ ภูมิใจในความสำเร็จของตนเอง

๓. การรายงานผลการประเมินพัฒนาการ
การรายงานผลการประเมินพัฒนาการเป็นการสื่อสารให้พ่อแม่ ผู้ปกครองได้รับทราบ

ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินพัฒนาการ และจัดทำ
เอกสารรายงานให้ผ้ปู กครองทราบเปน็ ระยะๆ หรอื อยา่ งนอ้ ยภาคเรยี นละ ๑ ครัง้

การรายงานผลการประเมินพัฒนาการสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพที่แตกต่างไป
ตามพฤติกรรมที่แสดงออกถึงพัฒนาการแต่ละด้าน ที่สะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ท้ัง ๑๒
ขอ้ ตามหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย

๓.๑ จดุ มงุ่ หมายการรายงานผลการประเมินพฒั นาการ
๑) เพื่อให้ผู้เกีย่ วข้อง พ่อ แม่ และผู้ปกครองใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไข

สง่ เสรมิ และพัฒนาการเรียนรขู้ องเดก็
๒) เพอื่ ให้ผสู้ อนใช้เป็นข้อมลู ในการวางแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
๓) เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับสถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา และหน่วยงานต้น

สงั กดั ใช้ประกอบในการกำหนดนโยบายวางแผนในการพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา

๓.๒ ข้อมลู ในการรายงานผลการประเมินพัฒนาการ
๓.๒.๑ ข้อมลู ระดบั ชัน้ เรยี น ประกอบด้วย เวลาเรียนแบบบันทกึ การประเมิน

พัฒนาการตามหน่วยการจัดประสบการณ์ สมุดบันทึกผลการประเมินพัฒนาการประจำชั้น และสมุด
รายงานประจำตัวนักเรียน และสารนิทศั น์ทสี่ ะท้อนการเรียนร้ขู องเด็ก เปน็ ข้อมลู สำหรับรายงานให้ผู้มีสว่ น
เกย่ี วข้อง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศกึ ษา ผู้สอน และผปู้ กครอง ได้รบั ทราบความก้าวหน้า ความสำเร็จในการ
เรยี นรู้ของเด็กเพอ่ื นำไปในการวางแผนกำหนดเปา้ หมายและวธิ กี ารในการพัฒนาเด็ก

๓.๒.๒ ข้อมูลระดับสถานศึกษา ประกอบด้วย ผลการประเมินมาตรฐาน
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้ง ๑๒ ข้อตามหลักสูตร เพื่อใช้เป็นข้อมูลและสารสนเทศในการพัฒนาการจดั
ประสบการณก์ ารเรียนการสอนและคุณภาพของเดก็ ให้เปน็ ไปตามมาตรฐานคณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์และ

๔๒

แจง้ ให้ผ้ปู กครอง และผู้เกย่ี วขอ้ งไดร้ ับทราบข้อมูล โดยผูม้ หี นา้ ที่รับผิดชอบแตล่ ะฝ่ายนำไปปรับปรุงแก้ไข
และพัฒนาเด็กให้เกิดพัฒนาการอย่างถูกต้อง เหมาะสม รวมทั้งนำไปจัดทำเอกสารหลักฐานแสดง

พฒั นาการของผ้เู รยี น
๓.๒.๓ ข้อมูลระดับเขตพื้นที่การศึกษา ได้แก่ ผลการประเมินมาตรฐาน

คุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้ง ๑๒ ข้อ ตามหลักสูตรเป็นรายสถานศึกษา เพื่อเป็นข้อมูลที่ศึกษานิเทศก์/

ผู้เกี่ยวข้องใช้วางแผนและดำเนินการพัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาในเขตพื้นที่
การศกึ ษา เพือ่ ใหเ้ กิดการยกระดับคุณภาพเดก็ และมาตรฐานการศึกษา

๓.๓ ลกั ษณะขอ้ มูลสำหรบั การรายงานผลการประเมินพฒั นาการ
การรายงานผลการประเมินพัฒนาการ สถานศึกษาสามารถเลือกลักษณะข้อมูลสำหรบั
การรายงานไดห้ ลายรูปแบบให้เหมาะสมกับวธิ กี ารรายงานและสอดคล้องกับการใหร้ ะดับผลการประเมิน

พฒั นาการโดยคำนงึ ถงึ ประสิทธภิ าพของการรายงานและการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ของผูร้ ายงานแต่ละ
ฝา่ ยลักษณะขอ้ มูลมีรูปแบบ ดังน้ี

๓.๓.๑ รายงานเป็นตัวเลข หรือคำที่เป็นตัวแทนระดับคุณภาพพัฒนาการของ
เดก็ ทเ่ี กดิ จากการประมวลผล สรปุ ตดั สนิ ขอ้ มลู ผลการประเมินพฒั นาการของเดก็ ไดแ้ ก่

- ระดบั ผลการประเมินพฒั นาการมี ๓ ระดบั คอื ๓ ๒ ๑

- ผลการประเมนิ คณุ ภาพ “ด”ี “พอใช”้ และ “ควรส่งเสริม”
๓.๓.๒ รายงานโดยใช้สถิติ เปน็ รายงานจากขอ้ มูลทเี่ ปน็ ตัวเลข หรือข้อความให้

เป็นภาพแผนภูมิหรือเส้นพัฒนาการ ซึ่งจะแสดงให้เห็นพฒั นาการความก้าวหน้าของเด็กว่าดขี ้ึน หรือควร
ไดร้ ับการพัฒนาอยา่ งไร เมอื่ เวลาเปลย่ี นแปลงไป

๓.๓.๓ รายงานเป็นข้อความ เป็นการบรรยายพฤติกรรมหรือคุณภาพที่ผู้สอน

สังเกตพบ เพื่อรายงานให้ทราบว่าผู้เกี่ยวข้อง พ่อ แม่ และผู้ปกครองทราบว่าเด็กมีความสามารถ มี
พฤตกิ รรมตามคุณลักษณะท่ีพึงประสงคต์ ามหลกั สตู รอยา่ งไร เช่น

- เด็กรับลูกบอลที่กระดอนจากพื้นดว้ ยมือท้ัง ๒ ข้างได้โดยไม่ใช้ลำตัวช่วยและ
ลกู บอลไม่ตกพ้นื

- เด็กแสดงสหี น้า ทา่ ทางสนใจ และมีความสุขขณะทำงานทุกช่วงกจิ กรรม

- เดก็ เลน่ และทำงานคนเดยี วเปน็ สว่ นใหญ่
- เดก็ จับหนังสอื ไม่กลบั หัว เปิด และทำท่าทางอ่านหนังสอื และเล่าเร่อื งได้

๓.๔ เป้าหมายของการรายงาน
การดำเนินการจัดการศึกษาปฐมวัย ประกอบด้วย บุคลากรหลายฝ่ายร่วมมือ

ประสานงานกนั พัฒนาเดก็ ทางตรงและทางอ้อม ใหม้ ีพฒั นาการ ทักษะ ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม
ค่านิยมและคุณลักษณะที่พึงประสงค์โดยผู้มีส่วนร่วมเกี่ยวข้องควรได้รับการายงานผลการประเมิน
พฒั นาการของเดก็ เพ่อื ใช้เป็นขอ้ มลู ในการดำเนนิ งาน ดงั นี้

กลุ่มเป้าหมาย การใชข้ อ้ มลู
ผู้สอน
-วางแผนและดำเนินการปรับปรงุ แกไ้ ขและพฒั นาเด็ก
ผ้บู ริหารสถานศึกษา -ปรับปรุงแกไ้ ขและพฒั นาการจดั การเรยี นรู้
พ่อ แม่ และผู้ปกครอง -ส่งเสริมพฒั นากระบวนการจัดการเรยี นรรู้ ะดบั ปฐมวยั ของสถานศึกษา
-รบั ทราบผลการประเมินพัฒนาการของเดก็

๔๓

-ปรับปรุงแก้ไขและพฒั นาการเรียนรู้ของเด็ก รวมทัง้ การดูแลสขุ ภาพ

อนามัยร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และพฤตกิ รรมตา่ งๆของเดก็

คณะกรรมการ -พัฒนาแนวทางการจดั การศึกษาปฐมวยั สถานศึกษา

สถานศึกษาขนั้ พื้นฐาน

สำนกั งานเขตพ้นื ที่ -ยกระดับและพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาปฐมวยั ของสถานศึกษาในเขตพื้นที่

การศกึ ษา/หน่วยงานต้น การศึกษา นิเทศ กำกบั ตดิ ตาม ประเมนิ ผลและใหค้ วามช่วยเหลอื การ

สังกัด พฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาปฐมวัยของสถานศกึ ษาในสงั กดั

๓.๕ วิธีการรายงานผลการประเมินพฒั นาการ
การรายงานผลการประเมินพัฒนาการให้ผู้เกีย่ วข้องรบั ทราบ สามารถดำเนินการ ได้ดงั น้ี

๓.๕.๑ การรายงานผลการประเมนิ พัฒนาการในดอกสารหลกั ฐานการศึกษา
ข้อมลู จากแบบรายงาน สามารถใช้อ้างอิง ตรวจสอบ และรับรองผลพัฒนาการของเดก็ เช่น

- แบบบันทึกผลการประเมินพฒั นาการประจำช้นั
- แฟ้มสะสมงานของเดก็ รายบุคคล
- สมดุ รายงานประจำตวั นกั เรยี น

- สมุดบนั ทึกสขุ ภาพเดก็ ฯลฯ
๓.๕.๒ การรายงานคณุ ภาพการศึกษาปฐมวัยให้ผู้เกย่ี วข้องทราบ สามารถ

รายงานได้หลายวิธี เช่น
- รายงานคณุ ภาพการศกึ ษาปฐมวัยประจำปี
- วารสาร/จลุ สารของสถานศึกษา

- จดหมายสว่ นตัว
- การใหค้ ำปรกึ ษา

- การให้พบครูท่ปี รกึ ษาหรือการประชุมเครอื ข่ายผปู้ กครอง
- การใหข้ ้อมูลทางอินเตอร์เนต็ ผ่านเวบ็ ไซตข์ องสถานศึกษา

ภารกิจของผูส้ อนในการประเมินพฒั นาการ
การประเมินพฒั นาการตามหลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั ที่มีคุณภาพและประสิทธภิ าพนน้ั เกดิ ขึ้นใน

ห้องเรียนและระหว่างการจัดกิจกรรมประจำวันและกิจวัตรประจำวัน ผู้สอนต้องไม่แยกการประเมิน
พัฒนาการออกจากการจัดประสบการณ์ตามตารางประจำวนั ควรมลี กั ษณะการประเมนิ พัฒนาการในช้ัน
เรยี น (Classroom Assessment) ซง่ึ หมายถงึ กระบวนการและการสังเกต การบนั ทกึ และรวบรวมข้อมูล

จากการปฏบิ ตั ิกิจวัตรประจำวัน/กิจกรรมประจำวันตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ผู้สอนควร
จัดทำข้อมูลหลักฐานหรือเอกสารอย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นร่องรอยของการ

เจริญเติบโตพัฒนาการและการเรยี นรู้ของเด็กปฐมวัย แล้วนำมาวิเคราะห์ ตีความ บันทึกข้อมูลที่ได้จาก
การประเมินพัฒนาการวา่ เด็กร้อู ะไร สามารถทำอะไรได้ และจะทำตอ่ ไปอยา่ งไร ด้วยวธิ กี ารและเครื่องมือ
ที่หลากหลายทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งนั้นการดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นตลอดระยะเวลา

ของการปฏบิ ตั ิกจิ วตั รประจำวนั /กจิ กรรมประจำวนั และการจดั ประสบการณเ์ รยี นรู้
ดังนั้น ข้อมูลที่เกิดจากการประเมินที่มีคุณภาพเท่านั้น จึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ตรงตาม

เป้าหมาย ผู้สอนจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลักการ แนวคิด วิธีดำเนินงานในส่วน
ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับหลกั สูตรการจัดประสบการเรียนรู้ เพื่อสามารถนำไปใช้ในการวางแผนและออกแบบ

๔๔

การประเมินพัฒนาการได้อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานการประเมินพัฒนาการในชั้นเรียนที่มีความ
ถกู ตอ้ ง ยุตธิ รรม เชอื่ ถอื ได้ มีความสมบรู ณ์ ครอบคลมุ ตามจดุ หมายของหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย สะท้อน
ผลและสภาพความสำเรจ็ เม่อื เปรยี บเทียบกับเป้าหมายของการดำเนินการจดั การศกึ ษาปฐมวยั ทง้ั ในระดบั
นโยบาย ระดับปฏิบตั กิ าร และผ้มู ีสว่ นเก่ยี วข้องต่อไป

๑. ข้นั ตอนการประเมินพฒั นาการเดก็ ปฐมวัย
การประเมนิ พัฒนาการเด็กของผู้สอนระดับปฐมวยั จะมีขั้นตอนสำคัญๆคล้ายคลงึ กับการประเมิน

การศึกษาทั่วไป ขั้นตอนต่างๆอาจปรับลด หรือเพิ่มได้ตามความเหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษาและ
สอดคล้องกับการจัดประสบการณ์ หรืออาจสลับลำดับก่อนหลังได้บ้าง ขั้นการประเมินพัฒนาการเด็ก
ปฐมวยั โดยสรุปควรมี ๖ ขัน้ ตอน ดังน้ี

ขั้นตอนท่ี ๑ การวิเคราะหม์ าตรฐานคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ ตวั บ่งชี้ และสภาพทีพ่ ึงประสงค์
ที่สัมพนั ธก์ ับหน่วยการจดั ประสบการณ์ต่างๆ อนั จะเป็นประโยชนใ์ นการดำเนินงานการประเมนิ พฒั นาการ
อย่างเปน็ ระบบและครอบคลมุ ท่วั ถงึ

ขั้นตอนที่ ๒ การกำหนดสิ่งที่จะประเมินและวิธีการประเมิน ในขั้นตอนน้ีสิง่ ที่ผู้สอนต้องทำคือ
การกำหนดการประเด็นการประเมิน ได้แก่ สภาพที่พึงประสงค์ในแต่ละวัยของเด็กที่เกิดจากกาจัด
ประสบการณ์ในแต่ การจัดประสบการณ์ มากำหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้
จุดประสงค์ย่อยของกิจกรรมตามตารางประจำวัน ๖กิจกรรมหลกั หรอื ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์ท่ี
กำหนด ผสู้ อนตอ้ งวางแผนและออกแบบวิธีการประเมนิ ใหเ้ หมาะสมกบั กิจกรรม บางครั้งอาจใชก้ ารสงั เกต
พฤติกรรม การประเมินผลงาน/ช้ินงาน การพูดคุยหรือสัมภาษณ์เด็ก เป็นต้น ทั้งนี้วิธีการทีผ่ ูส้ อนเลอื กใช้
ต้องมคี วามหมายหลากหลาย หรือมากว่า ๒ วิธีการ

ขน้ั ตอนท่ี ๓ การสร้างเคร่อื งมือและเกณฑก์ ารประเมนิ ในขนั้ ตอนนี้ ผู้สอนจะต้องกำหนดเกณฑ์
การ ประเมินพัฒนาการให้สอดคล้องกับพฤตกิ รรมท่ีจะประเมนิ ในข้ันตอนท่ี ๒ อาจใช้แนวทางการกำหนด
เกณฑ์ที่ กล่าวมาแล้วข้างต้นในส่วนที่ ๒ เป็นเกณฑ์การประเมินแยกส่วนของแต่ละพฤติกรรมและเกณฑ์
สรปุ ผลการ ประเมนิ พร้อมกบั จดั ทำแบบบนั ทึกผลการสงั เกตพฤติกรรมตามสภาพทพี่ งึ ประสงค์ของแต่ละ
หน่วยการจัดประสบการณ์นน้ั ๆ

ขั้นตอนที่ ๔ การดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนออกแบบ/วางแผนและทำ
การสังเกต พฤติกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล รายกลุ่ม การพูดคุยหรือการสัมภาษณ์เด็ก หรือการ
ประเมนิ ผลงาน/ชนิ้ งานของเดก็ อย่างเป็นระบบ เพื่อรวบรวมข้อมลู พัฒนาการของเดก็ ให้ทว่ั ถึงครบทุกคน
สอดคล้องและตรงประเด็นการประเมินที่วางแผนไว้ในขั้นตอนที่ ๔ บันทึกลงในเครื่องมือที่ผู้สอนพัฒนา
หรือจัดเตรียมไว้

การบันทึกผลการประเมินพัฒนาการตามสภาพทพ่ี ึงประสงค์ของแต่ละหน่วยการจัดประสบการณ์
นั้น ผู้สอนเปน็ ผ้ปู ระเมนิ เด็กเปน็ รายบุคคลหรือรายกลมุ่ อาจให้ระดบั คณุ ภาพ ๓ หรอื ๒ หรือ ๑ หรือให้
คำสำคัญที่เป็นคุณภาพ เช่น ดี พอใช้ ควรส่งเสริม ก็ได้ ทั้งนี้ควรเป็นระบบเดียวกันเพื่อสะดวกในการ
วเิ คราะหข์ อ้ มูลและแปลผลการประเมนิ พัฒนาการเด็ก ในระยะต้นควรเป็นการประเมนิ เพ่อื ความก้าวหน้า
ไม่ควรเป็นการประเมนิ เพ่ือตัดสิน้ พฒั นาการเดก็ หากผลการประเมินพบว่า เดก็ อยู่ในระดบั ๑ พฤติกรรม
หนึ่งพฤติกรรมใดผู้สอนต้องทำความเข้าใจว่าเด็กคนนั้นมีพัฒนาการเร็วหรือช้า ผู้สอนจะต้องจัด
ประสบการณ์ส่งเสริมในหน่วยการจัดประสบการณ์ต่อไปอย่างไร ดังนั้น การเก็บรวบรวมข้อมูลผลการ
ประเมินพัฒนาการในแตล่ ะหนว่ ยการจดั ประสบการณข์ องผสู้ อน จงึ เป็น การสะสมหรือรวบรวมข้อมลู ผล

๔๕

การประเมนิ พัฒนาการของเด็กรายบุคคล หรอื รายกลมุ่ น่ันเอง เมื่อผูส้ อนจัดประสบการณ์ครบทุกหน่วย
การจัดประสบการณ์ตามทว่ี เิ คราะห์สาระการเรยี นรูร้ ายปีของแต่ละภาคเรียน

ขน้ั ตอนที่ ๕ การวเิ คราะห์ข้อมลู และแปลผล ในข้นั ตอนน้ี ผสู้ อนทเี่ ป็นผูป้ ระเมนิ ควรดำเนินการ
ดังน้ี

๑) การวเิ คราะห์และแปลผลการประเมนิ พฒั นาการเมื่อสน้ิ สดุ หน่วยการจัดประสบการณ์
ผสู้ อนจะบันทึกผลการประเมนิ พัฒนาการของเดก็ ลงในแบบบนั ทึกผลการสงั เกตพฤตกิ รรมตามสภาพท่ีพึง
ประสงค์ของหน่วยการจดั ประสบการณ์หนว่ ยที ๑ จนถงึ หนว่ ยสดุ ท้ายของภาคเรียน

๒) การวิเคราะห์และแปลผลการประเมินประจำภาคเรียนหรือภาคเรียนที่ ๒ เมื่อสิ้นปี
การศกึ ษา ผสู้ อนจะนำผลการประเมินพัฒนาการสะสมที่รวบรวมไวจ้ ากทกุ หนว่ ยการเรยี นร้สู รุปลงในสมุด
บนั ทึกผลประเมนิ พัฒนาการประจำชนั้ และสรุปผลพฒั นาการรายด้านทงั้ ช้นั เรียน

ขั้นตอนที่ ๖ การสรุปรายงานผลและการนำข้อมลู ไปใช้ เปน็ ข้ันตอนที่ผูส้ อนซง่ึ เป็นครปู ระจำช้ัน
จะสรปุ ผลเพื่อตัดสนิ พฒั นาการของเด็กปฐมวยั เปน็ รายตวั บง่ ชร้ี ายมาตรฐานและพฒั นาการทงั้ ๔ ดา้ น เพื่อ
นำเสนอผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาอนุมตั ิการตัดสิน และแจง้ คณะกรรมการสถานศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พร้อมกับครู
ประจำชั้นจะจัดทำรายงานผลการประเมินประจำตัวนักเรียน นำข้อมูลไปใช้สรุปผลการประเมนิ คุณภาพ
เดก็ ของระบบประกันคุณภาพภายในของสถานศกึ ษาเมือ่ ส้นิ ภาคเรยี นที่ ๒ หรือเมอ่ื ส้นิ ปีการศึกษา

การบรหิ ารจดั การหลกั สตู ร
การนำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพตามจุดหมายของ หลักสูตร

ผู้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหลักสูตรในระบบสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหาร ผู้สอน พ่อแม่ หรือ
ผ้ปู กครอง และชุมชน มีบทบาทสำคญั ยงิ่ ตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพของเด็ก

๑. บทบาทผบู้ ริหารสถานศึกษาปฐมวัย
การจัดการศึกษาแก่เด็กปฐมวัยในระบบสถานศึกษาให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ผู้บริหาร

สถานศกึ ษาควรมีบทบาท ดังน้ี
๑.๑ ศึกษาทำความเข้าใจหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยและมีวิสัยทัศน์ด้านการจัด

การศึกษาปฐมวยั
๑.๒ คัดเลอื กบุคลากรที่ทำงานกับเด็ก เช่น ผสู้ อน พี่เลย้ี ง อยา่ งเหมาะสม โดยคำนึงถึง

คณุ สมบัตหิ ลกั ของบคุ ลากร ดังนี้
๑.๒.๑ มีวุฒิทางการศึกษาด้านการอนุบาลศึกษา การศึกษาปฐมวัย หรือผ่านการ

อบรมเกย่ี วกับการจดั การศกึ ษาปฐมวยั
๑.๒.๒ มคี วามรักเดก็ จิตใจดี มอี ารมณ์ขนั และใจเยน็ ใหค้ วามเป็นกันเองกับเดก็ อย่าง

เสมอภาค
๑.๒.๓ มีบุคลกิ ของความเป็นผ้สู อน เข้าใจและยอมรบั ธรรมชาตขิ องเด็กตามวัย
๑.๒.๔ พูดจาสุภาพเรยี บร้อย ชดั เจนเป็นแบบอย่างได้
๑.๒.๕ มีความเป็นระเบียบ สะอาด และรูจ้ กั ประหยดั
๑.๒.๖ มีความอดทน ขยนั ซอื่ สตั ย์ในการปฏบิ ัติงานในหน้าที่และ การปฏบิ ัติตอ่ เด็ก
๑.๒.๗ มีอารมณ์ร่วมกับเด็ก รู้จักรับฟัง พิจารณาเรื่องราวปัญหาต่างๆ ของเด็กและ

ตดั สินปญั หาต่างๆอยา่ งมีเหตผุ ลดว้ ยความ เปน็ ธรรม
๑.๒.๘ มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ สมบรู ณ์

๔๖

๑.๓ ส่งเสริมการจัดบริการทางการศึกษาให้เด็กได้เข้าเรียนอย่างทั่วถึง และเสมอภาค
และปฏิบตั ิการรบั เด็กตามเกณฑ์ทกี่ ำหนด

๑.๔ ส่งเสรมิ ให้ผู้สอนและผู้ท่ีปฏิบัตงิ านกับเดก็ พฒั นาตนเองมีความรู้ก้าวหน้าอยู่เสมอ
๑.๕ เป็นผู้นำในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาโดยร่วมให้ความเห็นชอบ กำหนด
วสิ ยั ทศั น์ และคณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงคข์ องเดก็ ทกุ ชว่ งอายุ
๑.๖ สร้างความร่วมมือและประสานกับบุคลากรทุกฝ่ายในการจัดทำหลักสูตร
สถานศกึ ษา
๑.๗ จดั ให้มขี ้อมลู สารสนเทศเกี่ยวกบั ตวั เดก็ งานวชิ าการหลกั สูตร อยา่ งเป็นระบบและ
มีการประชาสมั พันธห์ ลกั สูตรสถานศกึ ษา
๑.๘ สนับสนุนการจัดสภาพแวดล้อมตลอดจนสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ที่เอื้ออำนวยต่อ
การเรยี นรู้
๑.๙ นิเทศ กำกับ ตดิ ตามการใช้หลกั สูตร โดยจดั ใหม้ รี ะบบนิเทศภายในอยา่ งมรี ะบบ
๑.๑๐ กำกับติดตามให้มีการประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษาและนำผลจากการ
ประเมินไปใชใ้ นการพัฒนาคุณภาพเด็ก
๑.๑๑ กำกับ ติดตาม ให้มีการประเมินการนำหลักสูตรไปใช้ เพื่อนำผลจากการ
ประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาสาระของหลักสูตรของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก
บริบทสงั คมและใหม้ คี วามทันสมยั
๒. บทบาทผูส้ อนปฐมวยั
การพัฒนาคุณภาพเด็กโดยถอื วา่ เด็กมีความสำคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง
ส่งเสริมให้เด็กสามารถพัฒนาตนตามธรรมชาติ สอดคล้องกับพัฒนาการและเต็มตามศักยภาพ ดังนั้น
ผู้สอนจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งที่จะทำให้กระบวนการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้สอนจึงควรมบี ทบาท / หนา้ ที่ ดังน้ี
๒.๑ บทบาทในฐานะผเู้ สรมิ สรา้ งการเรยี นรู้

๒.๑.๑ จัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กที่เด็กกำหนดขึ้นด้วยตัวเด็กเอง
และผู้สอนกับเดก็ ร่วมกันกำหนด โดยเสริมสรา้ งพฒั นาการเดก็ ใหค้ รอบคลุมทกุ ดา้ น

๒.๑.๒ ส่งเสริมให้เด็กใช้ข้อมูลแวดล้อม ศักยภาพของตัวเด็ก และหลักทาง
วชิ าการในการผลิตกระทำ หรอื หาคำตอบในส่งิ ท่ีเด็กเรียนรอู้ ย่างมเี หตผุ ล

๒.๑.๓ กระตุ้นให้เด็กร่วมคิด แก้ปัญหา ค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเองด้วยวิธี
การศกึ ษาทน่ี ำไปสูก่ ารใฝร่ ู้ และพัฒนาตนเอง

๒.๑.๔ จัดสภาพแวดล้อมและสร้างบรรยากาศการเรียนที่สร้างเสริมให้เด็กทำ
กิจกรรมได้เตม็ ศกั ยภาพและความแตกต่างของเด็กแตล่ ะบุคคล

๒.๑.๕ สอดแทรกการอบรมด้านจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ในการ
จัดการเรยี นรู้ และกจิ กรรมตา่ งๆอยา่ งสมำ่ เสมอ

๒.๑.๖ ใช้กิจกรรมการเล่นเป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กให้เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ

๒.๑.๗ ใช้ปฏิสัมพันธท์ ี่ดีระหว่างผู้สอนและเดก็ ในการดำเนินกิจกรรมการเรียน
การสอนอย่างสมำ่ เสมอ

๒.๑.๘ จัดการประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสภาพจริงและนำผล
การประเมนิ มาปรบั ปรุงพฒั นาคุณภาพเด็กเต็มศักยภาพ

๔๗

๒.๒ บทบาทในฐานะผ้ดู แู ลเด็ก
๒.๒.๑ สังเกตและส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกด้านทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์

จติ ใจ สงั คม และ สติปญั ญา

๒.๒.๒ ฝึกให้เดก็ ชว่ ยเหลือตนเองในชีวิตประจำวนั
๒.๒.๓ ฝกึ ให้เด็กมคี วามเชื่อมนั่ มีความภูมิใจในตนเองและกล้าแสดงออก
๒.๒.๔ ฝกึ การเรียนรหู้ น้าที่ ความมวี ินยั และการมีนสิ ัยท่ีดี
๒.๒.๕ จำแนกพฤตกิ รรมเดก็ และสร้างเสรมิ ลักษณะนิสัยและแก้ปญั หาเฉพาะ
บคุ คล
๒.๒.๖ ประสานความร่วมมอื ระหวา่ งสถานศึกษา บา้ น และชมุ ชน เพื่อให้เด็กได้
พัฒนาเตม็ ตามศักยภาพและมีมาตรฐานคุณลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์
๒.๓ บทบาทในฐานะนกั พฒั นาเทคโนโลยีการสอน
๒.๓.๑ นำนวัตกรรม เทคโนโลยีทางการสอนมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับ
สภาพบริบทสงั คม ชมุ ชน และทอ้ งถนิ่
๒.๓.๒ ใช้เทคโนโลยีและแหลง่ เรียนรู้ในชุมชนในการเสริมสร้างการเรียนรู้ให้แก่
เดก็
๒.๓.๓ จัดทำวจิ ัยในชน้ั เรียน เพือ่ นำไปปรับปรงุ พัฒนาหลกั สตู ร / กระบวนการ
เรยี นรู้ และพัฒนาสอ่ื การเรียนรู้
๒.๓.๔ พัฒนาตนเองให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มีคุณลักษณะของผู้ใฝ่รู้มี
วสิ ัยทศั น์และทันสมยั ทันเหตุการณ์ในยุคของข้อมูลข่าวสาร
๒.๔ บทบาทในฐานะผูบ้ ริหารหลักสตู ร
๒.๔.๑ ทำหน้าที่วางแผนกำหนดหลกั สูตร หนว่ ยการเรยี นรู้ การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ การประเมนิ ผลการเรียนรู้
๒.๔.๒ จัดทำแผนการจัดประสบการณ์ที่เน้นเด็กเปน็ สำคัญ ให้เด็กมีอิสระใน
การเรยี นรู้ทง้ั กายและใจ เปดิ โอกาสให้เด็กเลน่ /ทำงาน และเรียนร้ทู ้ังรายบคุ คลและเปน็ กลุ่ม
๒.๔.๓ ประเมินผลการใช้หลักสูตร เพื่อนำผลการประเมินมาปรับปรุงพัฒนา
หลกั สตู รใหท้ นั สมัย สอดคลอ้ งกับความต้องการของ ผเู้ รยี น ชมุ ชน และทอ้ งถน่ิ

๓. บทบาทของพอ่ แม่หรือผู้ปกครองเด็กปฐมวัย
การศึกษาระดับปฐมวัยเป็นการศึกษาที่จัดให้แก่เด็กที่ผู้สอนและพ่อแม่หรือผู้ปกคร อง

ต้องสื่อสารกันตลอดเวลา เพื่อความเข้าใจตรงกันและพร้อมร่วมมือกันในการจัดการศึกษาให้กับเด็ก
ดงั น้นั พ่อแม่หรอื ผู้ปกครองควรมบี ทบาทหน้าที่ ดงั น้ี

๓.๑ มีส่วนร่วมในการกำหนดแผนพัฒนาสถานศึกษาและให้ความเห็นชอบ กำหนด
แผนการเรียนรู้ของเดก็ ร่วมกบั ผ้สู อนและเด็ก

๓.๒ ส่งเสริมสนบั สนุนกิจกรรมของสถานศึกษา และกิจกรรมการเรยี นรู้เพ่ือพัฒนาเด็ก
ตามศกั ยภาพ

๓.๓ เป็นเครอื ขา่ ยการเรียนรู้ จัดบรรยากาศภายในบ้านให้เอื้อต่อการเรียนรู้

๓.๔ สนับสนนุ ทรพั ยากรเพอื่ การศึกษาตามความเหมาะสมและจำเป็น


Click to View FlipBook Version