การพัฒนาการอ่านออกเสียงทา้ ยคากรยิ าภาษาองั กฤษ
ช่องที่ 2 เตมิ – ed โดยใชร้ ูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษา
รว่ มกับการจดั การเรยี นรแู้ บบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนคิ คตู่ รวจสอบ
นายศราวฒุ ิ เพาะเจาะ
ตาแหน่ง ครผู ู้ช่วย
ปกี ารศึกษา 2562
กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ
โรงเรยี นดอยเต่าวทิ ยาคม
สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 34
สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร
ก
กติ ติกรรมประกาศ
งานวิจยั เร่อื งการพฒั นาการอา่ นออกเสียงทา้ ยคากรยิ าภาษาอังกฤษชอ่ งที่ 2 เตมิ – ed โดย
ใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิคคู่
ตรวจสอบนี้ สาเร็จลุล่วงด้วยดีอันเป็นผลมาจากได้รับความกรุณาจาก ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา
ผู้อานวยการโรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม คุณครูพัชรินทร์ กันวะนา ครูพี่เลี้ยง และ ผศ.ดร.น้าผ้ึง
อินทะเนตร คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้กรุณาสอนและให้แนวคิดการวิจัยใน และ
ให้กาลังใจเป็นอย่างดมี าโดยตลอด จนทาใหข้ ้าพเจ้าสามารถดาเนินการจดั ทางานวิจยั ได้ และกรณุ าให้
คาแนะนาและคาปรึกษา ตรวจสอบเคร่ืองมือการจัดทาวิจัยและข้อเสนอแนะตา่ ง ๆ อนั เป็นประโยชน์
ต่อการศึกษาวิจัยครั้งน้ี ทาให้ผู้วิจัยได้รับประสบการณ์ในการทางานวิจัย ขอกราบขอบพระคุณเป็น
อย่างสูงไว้ ณ ท่นี ้ี
ขอกราบขอบพระคุณ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เช่ียวชาญทุกท่าน อันได้แก่ คุณครูพัชรินทร์
กันวะนา ครูพ่ีเลี้ยง ที่คอยให้ความอนุเคราะห์ และให้คาแนะนาในการสอน คุณครูจินตนา
มงคลไชยสิทธิ์ ครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสันทรายวิทยาคม และนางสาว
ศศิธร เมืองขวา ครูผู้สอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนแม่ตืนวิทยา จังหวัดลาพูน ท่ีได้ให้คาแนะนาและ
คาปรกึ ษา และให้ความอนุเคราะหย์ ืมหนังสือและเอกสารทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั งานวิจยั นี้
และสุดท้ายขอขอบคุณนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม
ปีการศึกษา 2562 ทุกคน ท่ีเป็นส่วนสาคัญของวิจัยเล่มนี้ พ่ีๆ และเพื่อนๆ น้องๆ ที่ให้คาปรึกษา
ความช่วยเหลอื และเป็นกาลังใจมาโดยตลอดจนทาให้วจิ ยั ชนิ้ นีเ้ สรจ็ สิ้น
ศราวุฒิ เพาะเจาะ
มนี าคม 2563
ข
ชื่อเรอื่ งวจิ ัย การพฒั นาการอ่านออกเสียงทา้ ยคากรยิ าภาษาองั กฤษชอ่ งที่ 2 เตมิ – ed โดยใช้
ผู้เขียน รปู แบบการฟังเสียงจากเจา้ ของภาษาร่วมกบั การจัดการเรยี นร้แู บบรว่ มมือโดยใช้
เทคนิคค่ตู รวจสอบ
นายศราวุฒิ เพาะเจาะ
บทคัดย่อ
การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed เปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ
ช่องที่ 2 เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม หลังจากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจาก
เจา้ ของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิคคู่ตรวจสอบ กลมุ่ เปา้ หมายในการวิจัย
คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562
จานวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนี้ประกอบด้วย เคร่ืองมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่
แผนการสอนการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม -ed จานวน 3 แผนการสอน
และแบบฝึกหัดเพ่ือใช้ฝึกปฏิบัติตามแผนการสอน และเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่
แบบทดสอบการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาช่องที่ 2 เติม –ed และแบบประเมินความพึงพอใจ
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้วิจัยได้ดาเนินการสอนตามแผนการสอน และมีการเก็บข้อมูล
คะแนนระหวา่ งแผนการสอน สาหรับการวเิ คราะห์ข้อมลู ผู้วิจัยทาการวเิ คราะหห์ าค่าเฉลีย่ คา่ รอ้ ยละ
และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
จากการดาเนินงานวิจัยพบว่า ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ
ช่องที่ 2 เติม –ed นักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ที่กาหนดไว้ ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออก
เสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ นักเรียน
ส่วนใหญ่ผ่านเกณฑ์ที่กาหนดไว้ และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
อยู่ในระดับมากที่สุด
ค หน้า
ก
สารบัญ ข
ค
กติ ตกิ รรมประกาศ จ
บทคดั ย่อ 1
สารบัญ 1
สารบัญตาราง 4
บทที่ 1 บทนา 4
5
ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหาวิจัย 5
วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย 6
ขอบเขตการศกึ ษาวิจัย 7
สมมติฐานการวจิ ัย 8
นิยามศพั ท์เฉพาะในการวจิ ัย
ประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั จากการวจิ ยั 13
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 13
ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศ 15
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 16
เอกสารที่เกี่ยวกับการอา่ น 17
18
ความหมายของการอา่ น 18
ประเภทของการอา่ น 18
การอ่านออกเสียง 18
การสอนการอา่ น 19
การสอนการอา่ นออกเสยี ง 20
การฟงั 20
ความหมายของการฟงั 20
องคป์ ระกอบของการฟัง 24
การสอนการฟงั 26
การเรียนรู้แบบร่วมมอื
ความหมายของการเรียนรู้แบบรว่ มมือ
เทคนคิ ทใ่ี ช้ในการเรียนแบบรว่ มมือ
ประโยชนก์ ารเรยี นรู้แบบรว่ มมือ
เทคนคิ คูต่ รวจสอบ
ง 27
31
งานวิจัยท่เี ก่ยี วข้อง 31
บทท่ี 3 วิธีการดาเนนิ การวจิ ยั 31
38
กลมุ่ เป้าหมาย 38
เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวิจัย 40
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 41
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และสถติ ทิ ่ใี ช้
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 53
ผลการพัฒนาการอา่ นออกเสียง 54
บทที่ 5 สรุปผลการวจิ ัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 55
สรุปผลการวิจัย 58
อภปิ รายผลการวิจยั 60
ขอ้ เสนอแนะ
บรรณานกุ รม
จ
สารบัญตาราง หนา้
ตารางที่
11
2-1 ตวั ช้ีวัดกลมุ่ สาระการเรยี นร้ภู าษาตา่ งประเทศ 41
4-1 ตารางแสดงผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษหลังจาก 42
ไดร้ ับการสอนตามแผนการสอนที่ 1 จาแนกตามรายบคุ คล 44
4-2 ตารางแสดงผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 45
เติม -ed หลังจากไดร้ บั การสอนตามแผนการสอนท่ี 2 จาแนกตามรายบคุ คล
4-3 ตารางแสดงผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 47
เติม –ed ในระดับประโยคและย่อหน้า หลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอนที่ 3
แบบฝึกที่ 1 จาแนกตามรายบคุ คล 47
4-4 ตารางแสดงผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2
เติม –ed ในระดับประโยคและย่อหน้า หลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอนที่ 3 49
แบบฝึกที่ 2 จาแนกตามรายบุคคล 50
4-5 ตารางแสดงค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลการพัฒนาการอ่านออก
เสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed หลังจากได้รับการสอนโดยใช้
รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้
เทคนิคค่ตู รวจสอบ
4-6 ตารางแสดงค่าร้อยละ และการเปรียบเทียบผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงทา้ ย
คากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed กับเกณฑ์ที่ผู้วิจัยกาหนดไว้ หลังจากได้รับ
การสอนโดยใชก้ ารฟังเสียงจากเจ้าของภาษารว่ มกบั การจัดการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือโดย
ใชเ้ ทคนคิ คตู่ รวจสอบ
4-7 ตารางแสดงผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคา กริยา
ภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2 เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียนกับเกณฑ์ หลังจากได้รับ
การสอนตามแผนการสอนที่ 1, 2 และ 3 จาแนกตามรายบุคคล
4-8 ตารางแสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการเปรียบเทียบผล
การเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2
เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียน หลังจากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟังเสียง
ฉ
จากเจา้ ของภาษารว่ มกบั การจัดการเรียนร้แู บบรว่ มมอื โดยใช้เทคนิคคตู่ รวจสอบเทียบ 51
กับเกณฑ์
4-9 ตารางแสดงผลการวิเคราะห์การศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียน หลังจากได้รับ
การสอนโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ
รว่ มมอื โดยใช้เทคนคิ คตู่ รวจสอบ
บทท่ี 1
บทนำ
ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปัญหำวจิ ัย
ปัจจุบันน้ีภาษาอังกฤษถือว่าเป็นภาษาสากล ที่คนท่ัวโลกใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อส่ือสาร
ซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้ ความก้าวหน้าทางวิทยาการใหม่ ๆ อีกทั้ง ในปี
พุธศักราช 2558 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้เข้ารว่ มประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น ซึ่งปฏิเสธไม่ไดเ้ ลยทจี่ ะ
ไม่ใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อส่ือสาร แลกเปล่ียน มีปฏิสัมพันธ์ ตลอดจนลงทุนทางด้านเศรษฐกิจ
ร่วมกัน ภาษาอังกฤษจึงได้กลายเป็นภาษาสาคัญที่คนส่วนใหญ่ต้องเรียน เพื่อใช้เป็นเคร่ืองมือสื่อสาร
และมีการจัดการเรียนการสอนในการศึกษาภาคบงั คับ เพ่ือให้เยาวชนของประเทศมีคุณภาพทัดเทียม
และสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ ดังนั้น จึงมีการระบุในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ท่ีมุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อ
ภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศ สื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบ
อาชีพ และศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอัน
หลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้
อย่างสร้างสรรค์ อีกทั้งหลักสูตรดังกล่าวน้ีได้กาหนดองค์ความรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ รวมถึง
คุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ของผเู้ รียนตามจุดมุ่งหมายของหลกั สูตร เพ่ือเปน็ แสดงถงึ การจัดการศึกษาที่
มีคุณภาพต่อเยาวชน โดยแบ่งสาระการเรียนรู้ในการเรียนภาษาต่างประเทศออกเป็น 4 สาระ ได้แก่
สาระที่ 1 ภาษาเพ่ือการสื่อสาร สาระท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรม สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับ
กล่มุ สาระการเรยี นรอู้ น่ื และสาระท่ี 4 ภาษากับความสัมพันธก์ ับชมุ ชนและโลก (กระทรวงศึกษาธิการ,
2551, หนา้ 1)
จะเห็นได้ว่าภาษาอังกฤษน้ันมีความสาคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน โดยเฉพาะการอ่านออกเสียง
ซึ่งเป็นพ้ืนฐานของการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสาร ด้วยเหตุน้ี ภาษาเพ่ือการส่ือสารจึงได้รับการจัดใหเ้ ปน็
หนึ่งในสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ และในมาตรฐานตัวชี้วัดท่ี 1.1 ท่ีกาหนดให้ผู้เรียน เข้าใจ
และตีความเร่ืองที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล สาหรับ
การอ่าน ผู้เรียนถูกคาดหวังให้อ่านออกเสียงข้อความ ข่าว โฆษณา และบทร้อยกรองส้ัน ๆ ถูกต้อง
2
ตามหลักการอ่าน ซึ่งครอบคลุมถึงหลักการอ่านออกเสียง การออกเสียงพยัญชนะต้นคาและพยัญชนะ
ทา้ ยคา สระเสียงส้นั สระเสยี งยาว สระประสม (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551, หนา้ 3)
แม้ว่ามีการสอนภาษาอังกฤษท่ีให้ความสาคัญกับการออกเสียงมาโดยตลอด แต่ในปัจจุบัน
เสียงภาษาองั กฤษบางเสยี งก็ยังคงเป็นปญั หาในการออกเสยี งสาหรับคนไทย ดงั ที่ ประนุท สขุ ศรี และ
ปรียา โนแก้ว (2545) ได้กล่าวว่า “แม้กระท่ังผู้เรียนในระดับปริญญาตรี ที่มีความเข้าใจอย่างล้ึกซ้ึง
เก่ียวกับการออกเสียงตามทฤษฏี แต่ในทางปฏิบัติผู้เรียนก็อาจจะยังไม่สามารถจาแนก หรือออกเสียง
ได้อย่างถูกต้อง ความผิดเพี้ยนหรือความผิดพลาดในการออกเสียงนั้น มีต้ังแต่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิด
ปัญหาในการส่ือความหมาย ไปจนถึงระดับท่ี ก่อให้เกิดความสับสนในการสื่อสารได้ เน่ืองจากความ
แตกตา่ งระหวา่ งระบบเสยี งภาษาองั กฤษกับระบบเสียงภาษาไทย เพราะความท่เี สียงภาษาอังกฤษบาง
ตวั ไม่มีในภาษาไทย”
จากการสังเกตการออกเสียงของนักเรียน ประกอบกับการสัมภาษณ์ครูผู้สอนวิชา
ภาษาอังกฤษ พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ออกเสียงคาต่าง ๆ ได้ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะเสียงพยัญชนะท้าย
คา (final sound) รวมถึงเสยี งท้ายคาเม่ือเปลย่ี นแปลงและผันแปรไปตามเสียงพยัญชนะที่อยู่รอบข้าง
โดยเกิดจากการเติมปัจจัย หรือส่วนประกอบหลังคาหลัก (suffix) เช่น –s/-es และ –ed เป็นต้น ซ่ึง
เม่ือนักเรียนออกเสียงผิด หรือออกเสียงไม่ชัดเจน อาจทาให้เกิดปัญหาในการส่ือสาร กล่าวคือ
มีปัญหาในเรื่องของการเข้าใจความหมาย และเมื่อออกเสียงผิดพลาดไปเมื่อเกิดขึ้นในประโยคทาให้
เกิดความหมายใหม่ที่ดูเป็นเรื่องตลก และยอมรับไม่ได้ในภาษาอังกฤษ อีกท้ังยังทาให้เกิดปัญหาทาง
ไวยากรณ์ เช่น จะพูดว่า “I walked home yesterday.” แต่ไม่ออกเสียง “ed” หลัง “walk” ซึ่ง
แสดงกาล (tense) ในอดตี ฟงั เปน็ ประโยคผดิ ไวยากรณ์ไป เปน็ ต้น (พิณทิพย์ ทวยเจรญิ , 2539, หนา้
6) เพราะคา ๆ หนง่ึ มีเสียงท้ายคาทแ่ี ตกตา่ งกนั จะทาให้เกดิ ความหมายที่ตา่ งกันได้
จากท่ีกล่าวมาข้างต้นเป็นสภาพปัญหาการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ และเมื่อกล่าวถึง
สาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาการอ่านออกเสียงพยัญชนะท้ายคากริยา โดยเฉพาะเม่ือเติม –ed หลัง
คากริยาหลัก พบว่าผู้เรียนเข้าใจหลักการอ่านออกเสียงได้ถูกต้อง แต่ไม่ได้ทบทวน ไม่ได้ฝึกออกเสียง
จึงทาให้ลืมบทเรียนนั้น ๆ นอกจากนี้ ด้วยระยะเวลาการเรียนการสอนในห้องเรียนไม่เพียงพอกับ
ครูผู้สอนที่จะช่วยเหลือ ติดตามและตรวจสอบการอ่านออกเสียงให้กับผู้เรียนทุกคนได้ เพราะผู้เรียน
แต่ละคนมีทักษะและพื้นฐานที่ไม่เหมือนกันในวิชาภาษาอังกฤษ แต่อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักของ
ปัญหาการอ่านออกเสียงของคนไทย มักจะขาดความมั่นใจในการอ่านออกเสียง ประหม่าเม่ือต้องฝึก
3
การออกเสียงกับครูผู้สอนหรือผู้ที่มีบทบาทต่อการเรียนการสอน อีกทั้งขาดการฝึกออกเสียง และไม่มี
ผู้ประเมิน ตรวจสอบการออกเสียงและแก้ไข ช้ีแนะ ให้คาแนะนาในส่ิงที่ถูกต้อง ดังนั้นจะต้องเพิ่ม
การฝึกออกเสียงหลังจากท่ีได้ฟังการออกเสียงที่ถูกต้องจากเจ้าของภาษา หรือครูผู้สอน โดยให้ผู้เรียน
ฝกึ รว่ มกับเพื่อน และให้เพอื่ นเป็นผู้ประเมนิ ตรวจสอบการออกเสียง รวมถึงแกไ้ ข ชแ้ี นะ ให้คาแนะนา
ในส่ิงทถี่ ูกต้อง
จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง มีนวัตกรรมมากมายที่สามารถพัฒนาการอ่านออกเสียง
ท้ายคากริยา เติม –ed ซึ่งนวัตกรรมท่ีเหมาะสมและสามารถพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
เติม –ed คือ การฟังเสียงการอ่านออกเสียงที่ถูกต้องร่วมกับเทคนิคคู่ตรวจสอบ ในลักษณะท่ีผู้เรียน
ช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน โดยให้ผู้เรียนฝกึ ร่วมกับเพ่ือน และให้เพ่ือนเป็นผู้ประเมิน ตรวจสอบการออก
เสียง รวมถงึ แกไ้ ข ชี้แนะ ใหค้ าแนะนาในสิง่ ท่ีถูกต้อง ซึ่งวธิ กี ารนี้ บษุ บา ปานดารง (2555) ได้กลา่ วไว้
ซ่ึงสามารถสรุปได้ดังน้ี จะทาให้ผู้เรียนเกิดความกล้าในการฝึกออกเสียงกับเพื่อน ซักถามเมื่อเกิดข้อ
สงสัยในเรื่องท่ีเรียนเพราะสามารถถามนักเรียนท่ีจับคู่กันได้ และยังเป็นการสร้างความสนิทสนม
คุ้นเคย ความสามัคคีให้กับนักเรียนด้วย นอกจากนี้วิธีการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือนยังส่งเสริมให้
นักเรียนมองเห็นคุณค่าในตนเอง นักเรียนที่รับบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ แก้ไขเพื่อนจะเกิดความรู้สึก
ภาคภูมิใจท่ีได้ช่วยเหลือเพ่ือน ส่วนนักเรียนท่ีรับบทบาทเป็นผู้ได้รับการตรวจสอบหรือประเมินจะ
พบว่ามีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ดีข้ึน ทาให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง ซ่ึงการท่ีผู้เรียนอ่านออก
เสียงได้ถูกต้องชัดเจนจะทาให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษของตนเอง ทาให้สามารถ
พฒั นาไปสทู่ กั ษะการอ่านขน้ั สูงตอ่ ไป เช่น การอ่านเพือ่ จับใจความ การอา่ นเพอ่ื ความเขา้ ใจ เปน็ ตน้
จากปัญหาด้านการอ่านออกเสียง ดังท่ีได้กล่าวข้างต้น การอ่านออกเสียงจึงเป็นทักษะท่ี
จะต้องได้รับการแก้ไขเป็นอย่างย่ิง ผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะศึกษา อันจะทาให้การพัฒนาการอ่านออกเสียง
ท้ายคากริยาภาษาอังกฤษชอ่ งท่ี 2 เตมิ –ed ของผู้เรยี นมีความถูกตอ้ งชัดเจนยิง่ ขึ้น
4
วตั ถุประสงคก์ ำรวจิ ยั
1. เพื่อศึกษาผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ช่องที่ 2 เติม –ed
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม ท่ีผ่านการใช้รูปแบบการฟังเสียงจาก
เจา้ ของภาษาร่วมกับการจดั การเรียนร้แู บบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคูต่ รวจสอบ
2. เพ่อื เปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากรยิ าภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม ท่ีผ่านการใช้
รปู แบบการฟงั เสยี งจากเจ้าของภาษารว่ มกบั การจัดการเรียนรู้แบบรว่ มมือโดยใช้เทคนิคค่ตู รวจสอบ
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียน หลังจากที่ผ่านการใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของ
ภาษารว่ มกับการจดั การเรียนรูแ้ บบรว่ มมือโดยใช้เทคนคิ คตู่ รวจสอบ
ขอบเขตกำรศกึ ษำวจิ ัย
กลุ่มเป้ำหมำย
ในการพฒั นาการอา่ นออกเสยี งท้ายคากริยาภาษาองั กฤษ ชอ่ งที่ 2 เติม –ed โดยใช้การใช้
รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ
กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม ภาคเรียนที่
1 ปกี ารศึกษา 2562 จานวน 28 คน
ขอบเขตดำ้ นเน้ือหำ
การอา่ นออกเสยี งพยัญชนะในภาษาองั กฤษ การแบ่งตามการส่ันหรือไม่สั่นของเสน้ เสยี งใน
การเปล่งเสยี งพยัญชนะ (Voicing) เสียงพยญั ชนะในภาษาอังกฤษ แบง่ เปน็ 2 ลกั ษณะ คอื
1. เสยี งพยัญชนะทีเ่ ปน็ เสยี งโฆษะ หรือเสียงก้อง (voiced) ได้แก่ /b/, /d/, /g/, /v/,
/m/, /n/, /l/, /r/, /y/
2. เสียงพยญั ชนะท่เี ปน็ เสยี งอโฆษะ หรอื เสียงไม่กอ้ ง (voiceless) ไดแ้ ก่ /p/, /t/, /k/,
/f/, /s/, /Č/, /š/
5
การอ่านออกเสียง –ed ท้ายคากริยาช่องท่ี 2
1. การออกเสียงคากรยิ าท่ีมีเสียงพยัญชนะเสยี งไม่ก้องลงทา้ ยยกเว้น t กบั d เมื่อทาเป็น
กรยิ าช่องท่ี 2 โดยการเติม -ed จะออกเสียงเป็นเสียง /t/ เช่น stopped
2. คากริยาที่ออกเสียงตอนท้ายเสียงก้องเม่ือทาเป็นกริยาช่องท่ี 2 โดยการเติม -ed เชน่
climbed ตอ้ งออกเสียง ed เปน็ เสียง /d/
3. คากริยาทม่ี ี t และ d ลงทา้ ยแล้วเติม -ed เพอ่ื ใหเ้ ปน็ กรยิ าช่องท่ี 2 ตอ้ งออกเสียงเป็น
/tid/ และ /did/ ตามลาดับ เชน่ started และ needed
สมมตฐิ ำนกำรวจิ ยั
นักเรียนทุกคนที่ผ่านการใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้
แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบแล้ว จะมีทกั ษะการอ่านออกเสยี งท้ายคากรยิ าภาษาอังกฤษช่อง
ท่ี 2 เตมิ –ed สูงข้นึ รอ้ ยละ 50
นยิ ำมศัพท์เฉพำะในกำรวิจยั
1. การฟังเสียงจากเจ้าของภาษา หมายถึง การฟังการอ่านออกเสียงที่ถูกต้องจากเจ้าของ
ภาษา โดยผู้วจิ ยั ไดบ้ นั ทึกเสียงจาก www.voki.com แลว้ บันทึกเสยี งและนามาเปิดให้ผู้เรียนฟังในข้ัน
นาเสนอบทเรียน และการฟังเสียงการอ่านออกเสียงท่ีถูกต้องจากผู้สอนในข้ันนาเสนอบทเรียน ซึ่งใน
แต่ละแผนการสอน ผู้วจิ ยั ได้เนน้ ใหผ้ ู้เรียนฟงั เสียงก่อน และให้ผูเ้ รยี นอ่านออกเสยี งตามทกุ ครั้ง
2. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดย
ผู้เรียนมบี ทบาทและมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมการเรยี นรู้อยา่ งมาก
3. เทคนิคคู่ตรวจสอบ หมายถึง การให้ผู้เรียนจับคู่เพ่ือฝึกออกเสียง รวมถึงตรวจสอบและ
ประเมินการอ่านออกเสียงของเพ่ือน อีกท้ังแก้ไขและชี้แนะการอ่านออกเสียงที่ถูกต้อง ซ่ึงเทคนิคคู่
ตรวจสอบนเ้ี ปน็ หนง่ึ ในลกั ษณะการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื
4. การอ่านออกเสียง หมายถึง ความสามารถในการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา ช่องท่ี 2
เติม –ed ซ่งึ สามารถวดั โดยใชแ้ บบประเมนิ การอ่านออกเสียงท้ายคากรยิ า ชอ่ งที่ 2 เตมิ –ed
6
ประโยชน์ทีไ่ ดร้ บั จำกกำรวจิ ยั
1. ได้ทราบผลการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา ช่องท่ี 2 เติม –ed ที่ผ่าน
การใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่
ตรวจสอบ
2. นกั เรยี นไดร้ บั ความรู้เรื่องหลักการอา่ นออกเสียงทา้ ยคากรยิ าชอ่ งท่ี 2 เติม –ed
3. นกั เรยี นได้รับการพัฒนาการอ่านออกเสียงทา้ ยคากริยา ช่องที่ 2 เตมิ –ed
4. ไดท้ ราบผลความพงึ พอใจของผเู้ รียน หลังจากท่ผี ่านการใช้รูปแบบการฟงั เสยี งจากเจ้าของ
ภาษาร่วมกบั การจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ ค่ตู รวจสอบ
5. ได้แนวทางในการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาช่องที่ 2 เติม –ed ไปใช้กับ
นกั เรียนระดบั อืน่ ๆ ตอ่ ไป
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจยั ท่เี กี่ยวข้อง
การพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาช่องท่ี 2 เติม–ed โดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจาก
เจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร
และงานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวข้องดังนี้
1. ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551
2. เอกสารทเี่ กยี่ วกบั การอา่ น
2.1 ความหมายของการอ่าน
2.2 ประเภทของการอา่ น
2.3 การอ่านออกเสียง
2.3.1 ความหมายของการอ่านออกเสียง
2.3.2 การอา่ นออกเสียง –ed ท้ายคากรยิ าในภาษาองั กฤษ
2.4 การสอนการอา่ น
2.5 การสอนการอ่านออกเสยี ง
3. การฟังเสียง
3.1 ความหมายของการฟงั
3.2 องค์ประกอบของการฟงั
3.3 การสอนการฟงั
4. การเรยี นรู้แบบร่วมมอื
4.1 ความหมายของการเรยี นรแู้ บบร่วมมอื
4.2 เทคนคิ วธิ ีการเรยี นรแู้ บบร่วมมือ
4.3 ประโยชนก์ ารเรียนรู้แบบรว่ มมอื
5. เทคนคิ คตู่ รวจสอบ
6. งานวิจัยท่ีเก่ยี วขอ้ ง
8
1. ตัวช้ีวดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาตา่ งประเทศ ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติท่ีดีต่อภาษาต่างประเทศ
สามารถใชภ้ าษาต่างประเทศ สือ่ สารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อ
ในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก
และสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วย
สาระสาคัญ ดงั นี้
ภาษาเพ่ือการส่ือสาร การใช้ภาษาต่างประเทศในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แลกเปล่ียน
ข้อมูล ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น ตีความ นาเสนอข้อมูล ความคิดรวบยอดและ
ความคิดเหน็ ในเรื่องตา่ งๆ และสรา้ งความสมั พนั ธ์ระหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม
ภาษาและวัฒนธรรม การใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
ความสัมพันธ์ ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ภาษา
และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับวัฒนธรรมไทย และนาไปใช้อยา่ งเหมาะสม
ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น การใช้ภาษาต่างประเทศในการ
เช่ือมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น เป็นพ้ืนฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลก
ทัศน์ของตน
ภาษากับความสัมพันธ์กบั ชุมชนและโลก การใช้ภาษาตา่ งประเทศในสถานการณ์ต่างๆ
ท้ังในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชุมชน และสังคมโลก เป็นเคร่ืองมือพ้ืนฐานในการศึกษาต่อ ประกอบ
อาชีพและแลกเปล่ียนเรียนรู้กบั สังคมโลก
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 1 ภาษาเพ่ือการส่ือสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตคี วามเรื่องที่ฟังและอ่านจากสอื่ ประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเหน็
อยา่ งมีเหตผุ ล
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก
และความคดิ เหน็ อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคดิ รวบยอด และความคดิ เหน็ ในเรื่องต่างๆ โดย
การพูดและการเขยี น
9
สาระท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เขา้ ใจความสัมพันธร์ ะหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจา้ ของภาษา และนาไปใช้ ได้
อยา่ งเหมาะสมกับกาลเทศะ
มาตรฐาน ต 2.2 เขา้ ใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวฒั นธรรมของเจา้ ของ
ภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนามาใช้อยา่ งถูกต้องและเหมาะสม
สาระท่ี 3 ภาษากับความสัมพันธ์กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อน่ื
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชอ่ื มโยงความรกู้ บั กลุ่มสาระการเรยี นรู้อน่ื และเป็น
พนื้ ฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปดิ โลกทัศน์ของตน
สาระที่ 4 ภาษากบั ความสมั พนั ธก์ ับชมุ ชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาตา่ งประเทศในสถานการณ์ตา่ งๆ ทั้งในสถานศกึ ษา ชมุ ชน และสังคม
มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพ้ืนฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ
และการแลกเปล่ยี นเรียนรู้กบั สงั คมโลก
คุณภาพผเู้ รยี น
จบช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
ปฏิบัติตามคาขอร้อง คาแนะนา คาช้ีแจง และคาอธิบายท่ีฟังและอ่าน อ่านออกเสียง
ข้อความ ข่าว โฆษณา นิทาน และบทร้อยกรองส้ันๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน ระบุ/เขียนส่ือท่ีไม่ใช่
ความเรยี งรปู แบบตา่ งๆ สัมพันธก์ บั ประโยคและข้อความท่ีฟังหรืออ่าน เลอื ก/ระบุหัวขอ้ เร่ือง ใจความ
สาคัญ รายละเอียดสนับสนุน และแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเร่ืองที่ฟังและอ่านจากสือ่ ประเภทต่างๆ
พร้อมทงั้ ให้เหตุผลและยกตัวอยา่ งประกอบ
สนทนาและเขียนโต้ตอบข้อมูลเก่ียวกับตนเองและเร่ืองต่างๆ ใกล้ตัว สถานการณ์ ข่าว
เร่ืองท่ีอยู่ในความสนใจของสังคมและส่ือสารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ใช้คาขอร้อง คาช้ีแจง และ
คาอธิบาย ให้คาแนะนาอย่างเหมาะสม พูดและเขียนแสดงความต้องการ เสนอและให้ความ
ช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือ พูดและเขียนเพ่ือขอและให้ข้อมูล บรรยาย
อธิบาย เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเร่ืองท่ีฟังหรืออ่านอย่างเหมาะสม พูดและเขียน
บรรยายความรูส้ ึกและความคิดเห็นของตนเองเก่ียวกับเร่ืองต่างๆ กิจกรรม ประสบการณ์ และข่าว/
เหตกุ ารณ์ พรอ้ มทัง้ ให้เหตผุ ลประกอบอย่างเหมาะสม
10
พูดและเขยี นบรรยายเก่ียวกับตนเอง ประสบการณ์ ข่าว/เหตกุ ารณ์/เร่ือง/ประเดน็ ต่างๆ
ท่ีอยู่ในความสนใจของสังคม พูดและเขียนสรุปใจความสาคัญ/แก่นสาระ หัวข้อเร่ืองท่ีได้จากการ
วิเคราะห์เร่ือง/ข่าว/เหตุการณ์/สถานการณ์ท่ีอยู่ในความสนใจ พูดและเขียนแสดงความคิดเห็น
เกย่ี วกับกิจกรรม ประสบการณ์ และเหตกุ ารณ์ พร้อมใหเ้ หตผุ ลประกอบ
เลือกใช้ภาษา น้าเสียง และกิริยาท่าทางเหมาะกับบุคคลและโอกาส ตามมารยาทสังคม
และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา อธิบายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณี
ของเจา้ ของภาษา เข้าร่วม/จดั กจิ กรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ
เปรียบเทียบ และอธิบายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างการออกเสียงประโยค
ชนดิ ตา่ งๆ และการลาดับคาตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย เปรยี บเทียบ
และ อธิบายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างชีวติ ความเปน็ อยู่และวฒั นธรรมของเจ้าของภาษา
กับของไทย และนาไปใช้อย่างเหมาะสม
ค้นคว้า รวบรวม และสรุปข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืนจาก
แหล่งการเรียนรู้ และนาเสนอดว้ ยการพดู และการเขียน
ใช้ภาษาส่ือสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จาลองท่ีเกิดข้ึนในห้องเรียน สถานศึกษา
ชมุ ชน และสงั คม
ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น/ค้นคว้า รวบรวม และสรุปความรู้/ข้อมูลต่างๆ จากส่ือ
และแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ เผยแพร่/ประชาสัมพันธ์ข้อมูล
ขา่ วสารของโรงเรียน ชมุ ชน และทอ้ งถ่ิน เปน็ ภาษาต่างประเทศ
มีทกั ษะการใชภ้ าษาตา่ งประเทศ (เนน้ การฟัง-พดู -อา่ น-เขียน) ส่ือสารตามหวั เรือ่ งเก่ียวกับ
ตนเอง ครอบครัว โรงเรียน ส่ิงแวดล้อม อาหาร เครื่องดื่ม เวลาว่างและนันทนาการ สุขภาพและ
สวัสดิการ การซอ้ื -ขาย ลมฟา้ อากาศ การศกึ ษาและอาชีพ การเดนิ ทางท่องเทย่ี ว การบรกิ าร สถานที่
ภาษา และวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภายในวงคาศัพท์ประมาณ 2,100 - 2,250 คา (คาศัพท์ที่เป็น
นามธรรมมากขึน้ )
ใช้ประโยคผสมและประโยคซับซ้อน (Complex Sentences) ส่ือความหมายตามบริบท
ต่างๆ ในการสนทนาท้ังทเี่ ป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ
11
ตารางท่ี 2-1 ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง
สาระท่ี 1 ภาษาเพ่ือการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตคี วามเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเหน็
อย่างมเี หตผุ ล
ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ม.3 1. ปฏิบัตติ ามคาขอร้อง คาขอรอ้ ง คาแนะนา คาชแี้ จง และคาอธบิ าย
คาแนะนา คาชีแ้ จง และ ในการประดิษฐ์ การบอกทิศทาง ปา้ ยประกาศ
คาอธิบายที่ฟงั และอ่าน ตา่ งๆ การใช้อุปกรณ์
- Passive Voice ทใ่ี ชใ้ นโครงสรา้ งประโยค
ง่ายๆ เชน่ is/are + past participle
- คาสันธาน (conjunction) เช่น and/ but/
or/ before/ after/ because etc.
- ตวั เชอื่ ม (connective words) เชน่ First,…
Second,…Third,… Fourth,… Next,…
Then,… Finally,… etc.
2. อ่านออกเสยี งขอ้ ความ ข่าว ข้อความ ขา่ ว โฆษณา และบทร้อยกรอง
โฆษณา และบทรอ้ ยกรองสน้ั ๆ การใชพ้ จนานุกรม
ถูกต้องตามหลักการอา่ น หลักการอ่านออกเสยี ง เช่น
- การออกเสียงพยัญชนะต้นคาและพยัญชนะท้ายคา
สระเสียงสนั้ สระเสยี งยาว สระประสม
- การออกเสียงเนน้ หนกั -เบา ในคาและกลุ่มคา
- การออกเสยี งตามระดับเสยี งสงู -ตา่ ในประโยค
- การออกเสียงเชือ่ มโยงในข้อความ
- การแบ่งวรรคตอนในการอ่าน
- การอ่านบทร้อยกรองตามจังหวะ
12
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ม.3 3. ระบแุ ละเขยี นสื่อท่ีไมใ่ ช่ความ ประโยค ขอ้ ความ และความหมายเก่ียวกับ
เรียง รูปแบบต่างๆ ให้สัมพนั ธ์กับ ตนเอง ครอบครัว โรงเรยี น สิง่ แวดล้อม อาหาร
ประโยค และข้อความท่ีฟงั หรือ เครื่องดื่ม เวลาว่างและนันทนาการ สขุ ภาพและ
อา่ น สวัสดกิ าร การซอื้ -ขาย ลมฟ้าอากาศ การศึกษา
และอาชีพ การเดินทางทอ่ งเที่ยว การบริการ
สถานท่ี ภาษา และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เปน็ วงคาศัพท์สะสมประมาณ 1,400 – 1,550
คา (คาศัพทท์ ีเ่ ปน็ รูปธรรมและนามธรรม)
การตคี วาม/ถ่ายโอนข้อมูลให้สัมพันธ์กบั ส่ือท่ี
ไมใ่ ช่ความเรียง เช่น สญั ลกั ษณ์ เครอ่ื งหมาย
กราฟ แผนภูมิ ตาราง ภาพสตั ว์ ส่ิงของ บคุ คล
สถานทีต่ ่างๆ โดยใช้ Comparison of
adjectives/ adverbs/ Contrast : but,
although/ Quantity words เช่น many/
much/ a lot of/ lots of/ some/ any / a
few/ few/ a little/ little etc.
4. เลอื ก/ระบหุ ัวข้อเรอื่ ง ใจความ การจับใจความสาคญั เชน่ หัวขอ้ เรอื่ ง ใจความ
สาคัญ รายละเอียดสนบั สนนุ สาคญั รายละเอียดสนบั สนนุ จากสื่อส่ิงพมิ พ์และ
และแสดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกับ สอื่ อิเล็กทรอนิกส์ เช่น หนังสอื พิมพ์ วารสาร
เร่อื งท่ีฟังและอา่ นจากส่ือประเภท วิทยุ โทรทัศน์ เว็บไซดบ์ นอินเทอร์เนต็
ต่างๆ พรอ้ มทงั้ ให้เหตผุ ลและ คาถามเก่ยี วกับใจความสาคัญของเร่ือง เชน่ ใคร
ยกตัวอยา่ งประกอบ ทาอะไร ที่ไหน เม่อื ไร อยา่ งไร ทาไม ใช่หรือไม่
- Yes/No Question
- Wh-Question
- Or-Question
etc.
13
ประโยคทใี่ ชใ้ นการแสดงความคดิ เห็น การให้
เหตุผลและการยกตัวอยา่ ง เช่น I think…/
I feel…/ I believe…/ I agree/disagree…/
I don’t believe…/ I have no idea…
- if clauses
- so…that/such…that
- คาสนั ธาน (conjunctions) and/ but/ or/
because/ so/ before/ after etc.
- Indefinite pronouns: some/ any/
someone/ anyone/ everyone/ one/
ones etc.
- Tenses: present simple/ present
continuous/ present perfect/ past
simple/ future tense etc.
- Simple sentence/ Compound sentence/
Complex sentence
2. เอกสารทเี่ กยี่ วกับการอา่ น
2.1 ความหมายของการอ่าน
ประเทิน มหาขันธ์ (2530: 13) การอ่าน เป็นกระบวนการในการแปลความหมายของ
ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ท่ีมีการจดบันทึกไว้ กระบวนการการอ่านเป็นกระบวนการท่ีซับซ้อน เมื่อเด็ก
เปล่งเสียงตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ออกมาเป็นคาพูด โดยไม่เข้าใจความหมาย จัดว่าไม่ใช่การอ่าน
สมบรู ณ์ เป็นเพียงสว่ นหนึ่งของการอ่านเท่านน้ั ลกั ษณะท่ีแทจ้ รงิ ได้แก่ การทาความเข้าใจเรือ่ งทอี่ ่าน
บนั ลอื พฤกษะวนั (2532: 2) ใหค้ วามหมายของการอา่ นเป็น 3 นยั คือ
1. การอา่ นเป็นการแปลสัญลักษณ์ออกมาเป็นคาพดู โดยการผสมเสยี ง เพอ่ื ใช้ในการออกเสียง
ใหต้ รงกับคาพูดเรียกว่า อ่านออก
14
2. การอา่ นเป็นการใช้ความสามารถในการผสมผสานของตัวอกั ษร ออกเป็นเสียงคาพดู หรือ
เป็นประโยค เข้าใจความหมายเรยี กวา่ อ่านได้
3. การอา่ นเปน็ การสื่อความหมาย ถา่ ยโยงความคิด ความรู้ จากผ้เู ขียนถงึ ผู้อ่าน ทาใหผ้ ู้อ่าน
เขา้ ใจ ความรู้สกึ นึกคิดของผอู้ ่าน เรียกวา่ อา่ นเป็น
ดวงเดือน จิตอารีย์ (2545: 11) การอา่ น คอื กระบวนการเรยี นรู้ และแปลความจาก
สญั ลกั ษณ์หรือตวั เลขออกมาเป็นความคดิ หรือถ้อยคา โดยอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และ
ประสบการณเ์ ดิมของผู้อา่ น
การอ่าน หมายถึง การแปลความหมายของตัวอักษรที่อ่านออกมาเป็นความรู้ความคิด และ
เกิดความเข้าใจเรื่องราวที่อ่านตรงกับเร่ืองราวที่ผู้เขียนเขียน ผู้อ่านสามารถนาความรู้ ความคิด หรือ
สาระจากเร่ืองราวที่อา่ นไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ได้ การอา่ นจึงมีความสาคญั ดงั น้ี
1. การอ่านเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผู้ท่ีอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน
จาเปน็ ต้องอ่านหนังสอื เพื่อการศึกษาหาความรดู้ ้านต่าง ๆ
2. การอ่านเป็นเคร่ืองมือช่วยให้ประสบความสาเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนา
ความรทู้ ีไ่ ดจ้ ากการอา่ นไปพฒั นางานของตนได้
3. การอ่านเป็นเคร่ืองมอื สบื ทอดทางวฒั นธรรมของคนรุ่นต่อ ๆ ไป
4. การอ่านเป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดอ่านและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ท่ีได้
จากการอา่ นเมอื่ เกบ็ สะสมเพม่ิ พนู นานวันเข้า กจ็ ะทาใหเ้ กิดความคิด เปน็ คนฉลาดรอบรู้ได้
5. การอ่านเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นวิธีหน่ึงในการแสวงหา
ความสุขใหก้ บั ตนเองทง่ี ่ายทส่ี ุด และไดป้ ระโยชน์คมุ้ คา่ ที่สุด
6. การอ่านเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทาให้เป็นคนที่สมบูรณ์ท้ังด้านจิตใจและบุคลิกภาพ
เพราะเมื่ออ่านมากยอ่ มรูม้ าก สามารถนาความร้ไู ปใช่ในการดารงชวี ิตไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข
7. การอ่านเป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบการเมือง การปกครอง ศาสนา ประวัติศาสตร์
และสังคม
8. การอ่านเป็นวิธีการหน่ึงในการพัฒนาระบบการสื่อสารและการใช้เครื่องมือทาง
อเิ ล็กทรอนกิ ส์
จากความหมายของการอ่านข้างตน้ สามารถสรุปได้ว่า การอา่ น หมายถึง การแปลสญั ลกั ษณ์
ออกมาโดยใชค้ วามคดิ ซึ่งสามารถออกมาในรปู ของการออกเสียงและในใจ
15
2.2 ประเภทของการอ่าน
การอ่าน เป็นวธิ สี ่อื สารทเ่ี ปน็ ได้ทัง้ การส่งสารและการรบั สาร การอา่ นแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภท
ดงั น้ี
1. การอ่านออกเสียง วธิ ีอา่ นออกเสียงประกอบด้วย
1) อา่ นออกเสียงให้ถกู ต้องชัดเจน
2) อา่ นเสยี งดัง ฟังไดท้ ว่ั ถึง
3) อ่านให้เป็นเสยี งพูดธรรมชาติ
4) ร้จู กั ทอดจังหวะและลมหายใจ ฯลฯ
การอ่านออกเสียงเป็นได้ท้ังการรับสารและการส่งสาร ส่วนการอ่านในใจจะเป็นได้
เฉพาะการรับสารเพยี งทางเดยี วเทา่ นน้ั และ การอา่ นออกเสียง หมายถงึ การอ่านทผ่ี ู้อน่ื สามารถได้ยิน
เสียง การอ่านออกเสียงมักไม่นิยมอ่านเพื่อการรับสารโดยตรงเพียงคนเดียว เว้นแต่การอ่านบท
ประพันธ์เป็นท่วงทานองเพ่ือความไพเราะเพลิดเพลิน ส่วนใหญ่การอ่านออกเสียงมักเป็นการอ่านให้
ผู้อ่ืนฟัง การอ่านออกเสียงให้ผู้อ่ืนฟังจะต้องอ่านให้ชัดเจน ถูกต้องได้ข้อความครบถ้วนสมบูรณ์ มีลีลา
การอ่านท่ีนา่ สนใจและน่าติดตามฟังจนจบ
2. การอ่านในใจ วิธีอ่านในใจประกอบดว้ ย
1) ตัง้ สมาธใิ ห้แนว่ แน่
2) กะช่วงสายตาให้ยาว
3) ไม่อา่ นย้อนไปย้อนมา
4) ไม่ออกเสียงเวลาอ่าน ฯลฯ
การอ่านออกเสียงโดยท่ัวไปนั้น มีท้ังการอ่านร้อยแก้วและร้อยกรอง การอ่านแต่ละ
ชนิดมีขอ้ ควรปฏบิ ัติแตกตา่ งกัน การอ่านออกเสียงร้อยแก้ว ควรปฏิบตั ิดังนี้
1. ออกเสยี งใหด้ งั ชดั เจนถูกต้อง เพราะถา้ ออกเสยี งผิดจะทาให้ความหมายผิด
2. อ่านเวน้ วรรคตอนให้กวา้ ง ๆ อย่าแบง่ ชว่ งส้นั เกนิ ไป จะทาให้เสียจงั หวะ
3. อ่านให้ถกู ต้องตามหลกั ภาษา เช่น การอา่ นอักษรนาและคาสมาส เปน็ ต้น
4. อา่ นให้มเี สียงสูง ๆ ต่า ๆ หลายระดับ เหมอื นพดู คุยตามปกติ
5. ไมอ่ ่านชา้ จนน่าราคาญหรืออา่ นเร็วจนล้ินรวั ไม่ชัดเจน
16
2.3 การอ่านออกเสียง
2.3.1 ความหมายของการอา่ นออกเสียง
การอ่านออกเสียง หมายถงึ การอ่านทผ่ี ูอ้ ื่นสามารถไดย้ ินเสยี ง การอา่ นออกเสียงมัก
ไมน่ ยิ มอ่านเพอ่ื การรบั สารโดยตรงเพียงคนเดียว เว้นแต่การอา่ นบทประพันธเ์ ป็นทว่ งทานองเพ่อื ความ
ไพเราะเพลดิ เพลิน สว่ นใหญ่การอา่ นออกเสียงมักเป็นการอ่านใหผ้ ู้อ่นื ฟัง การอา่ นออกเสียงใหผ้ ู้อื่นฟัง
จะต้องอ่านให้ชัดเจน ถูกต้องได้ข้อความครบถ้วนสมบูรณ์ มีลีลาการอ่านที่น่าสนใจและน่าติดตามฟัง
จนจบ
2.3.2 หลกั การอ่านออกเสียง –ed ทา้ ยคากรยิ าในภาษาอังกฤษ
ชมุ ศักดิ์ มธั ยมจนั ทร์ (“การออกเสยี งภาษาอังกฤษ,” 2547) ไดก้ ลา่ วถงึ การออก
เสียงภาษาองั กฤษดงั นี้
ในการออกเสียงพยญั ชนะ กแ็ บง่ ได้ 2 แบบ คอื พยญั ชนะเสียงไมก่ อ้ ง (voiceless
consonant) และพยัญชนะเสียงก้อง (voiced consonant) ท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษมี
พยัญชนะท่ีเป็นเสียงไม่ก้องและเสียงก้อง แต่ภาษาอังกฤษมีพยัญชนะเสียงไม่ก้องและเสียงก้องท่ีไม่มี
เสียงใน ภาษาไทยอยู่จานวนหน่ึง พยัญชนะเสียงไม่ก้องของไทยได้แก่ พ ท ค ฟ ส ศ ษ ซ ช และ ฮ
ส่วน พยัญชนะภาษาอังกฤษเสียงไม่ก้อง (voiceless consonant) ได้แก่พยัญชนะ p, t, k, f, s, sh,
ch, th (เสยี งไม่ก้อง) และ h ตามลาดับ
การออกเสียงคากริยาที่มีเสยี งพยญั ชนะเสียงไม่ก้องลงทา้ ยยกเว้น t กบั d เมือ่ ทา
เป็นกริยาช่องท่ีสองโดยการเติม ed จะออกเสียง เป็นเสียง t เช่น stopped, peaked, laughed,
passed, finished, fetched กริยาช่องท่ีสองเหล่านี้ต้องออกเสียง ed เป็นเสียง t ส่วนกริยาท่ีมี t
และ d ลงท้ายแลว้ เติม ed เพอ่ื ใหเ้ ป็นกรยิ าช่องทสี่ อง ต้องออกเสยี งเป็น tid และ did ตามลาดับเช่น
started, glided กริยาท่ีออกเสียงตอนท้ายเสียงก้องเมื่อทาเป็นกริยาช่องที่สอง เช่นคาว่า climbed
ต้องออกเสียง ed เป็นเสียง d การทจี่ ะออกเสยี งเป็น t เมือ่ ทากรยิ าใหเ้ ป็นกริยาช่องทีส่ องโดยเติม ed
ตอ้ งรู้ว่าทา้ ยกรยิ าน้นั ออกเสยี งแบบพยัญชนะเสียงไมก่ ้อง ไม่ใช่เพราะว่าเป็นพยัญชนะเสยี งไม่ก้องแล้ว
ออกเสียง t กริยาบางคามีรูปเป็นพยัญชนะท่ีมีเสียงไม่ก้อง แต่เสียงที่ออกเป็นเสียงก้องนั้นต้องออก
เสียง d เช่นคาว่า laughed ออกเสียง gh เป็นเสียง f ซ่ึงเป็นเสียงของพยัญชนะเสียงไม่ก้องและออก
เสียงแรงจึงออกเสียง ed เป็นเสียง t มีคาบางคามีรูปคล้ายกริยาช่องที่สอง เช่น naked, wicked,
ragged, crooked คาพวกนีเ้ ปน็ คาคณุ ศัพท์ จงึ ไมอ่ ยู่ในกฎดังกลา่ ว ตอ้ งออกเสียง ed เป็น id
17
2.4 การสอนการอา่ น
บันลือ พฤกษะวัน (2524 : 134-135) ได้กล่าวว่า ความรับผิดชอบในหน้าท่ีของครูเกี่ยวกับ
การสอนการอ่านน้ันหาส้ินสุดลงท่ีการสอนให้นักเรียนอ่านหนังสือได้เท่าน้ัน หน้าที่อีกส่วนหนึ่งก็คือ
การส่งเสริมใหเ้ ด็กอ่านหนังสือตามลังได้ เพอ่ื เปน็ การส่งเสริมทักษะทางภาษา ความสนใจ นิสยั รักการ
อา่ น ครมู ี วิธีการส่งเสริมการอ่านของเดก็ ได้ดงั น้ี
1. การจัดสภาพแวดล้อมในการอ่าน ให้มีหนังสือดีๆ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมใน
การจัดสาหรับการอ่าน ครูและเด็ก ควรแสดงหนังสือต่างๆที่จะให้เด็กทราบและสนใจติดตามว่า
หนงั สือดี หนังสอื ใหมท่ น่ี ่าสนใจสาหรบั เดก็
2. ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการอ่านหนังสือโดยตรง ได้แก่ การอ่านให้เด็กฟัง หรืออ่าน
บางส่วนบางตอน และมีส่วนรว่ มในการแสดงออกด้วย โดยการอ่านเสยี งดังแล้วให้นักเรียนดูภาพ ชวน
สนทนา เรื่องราวไปด้วย
3. จัดกิจกรรมในการส่งเสริมการอ่านให้กับเด็ก ในทางปฏิบัติสถานศึกษาควรจัดกิจกรรม
พัฒนาผู้เรียนในลักษณะของการบูรณาการองค์ความรู้ต่าง ๆ ท่ีเก้ือกูลส่งเสริมการเรียนรู้ตามกลุ่ม
สาระการ เรียนรูใ้ ห้มคี วามกว้างขวางลึกซ้ึงยิ่งขึ้นอกี ท้ังให้ผู้เรยี นได้คน้ พบและใช้ศักยภาพที่มใี นตนเอง
อย่างเต็มท่ี เลือก ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลเหมาะสมกับตนเอง สามารถวางแผนชีวิตและอาชีพได้
อย่างมีคุณภาพเน้นการ เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ ศีลธรรม และจริยธรรมรู้จักสรา้ ง
สัมพันธภาพที่ดีเพ่ือปรับตัวเข้า กับบุคคล และสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างดี และมีความสุข เช่น
กิจกรรมสร้างเสริมความรู้สึกรักและเห็น คุณค่าในตนเอง กิจกรรมพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์
ศีลธรรม และจริยธรรม กิจกรรมพัฒนาทักษะชีวติ กิจกรรมสร้างเสริมประสิทธิภาพการเรียน เป็นต้น
กิจกรรมเหล่านี้สามารถหลอมเข้าไปในการจัดกิจกรรม ลูกเสือเฉพาะทางได้ เช่น จัดกิจกรรมรักการ
อา่ น เพอ่ื นช่วยเพ่อื น การอยูร่ ่วมกันอยา่ งมคี วามสุข กิจกรรม ชมรมวิชาการ ม่งุ เสริมสร้าง
ประสบการณ์ความชานาญเฉพาะเรื่องที่ถนัดและสนใจจากการเรียนรู้กลุ่มสาระ ต่าง ๆ เพ่ือการ
ร่วมกันคิดค้นกจิ กรรมทส่ี ร้างสรรค์ก่อให้เกิดความสนุก ความสขุ และพัฒนาทกั ษะทาง สังคม ทัง้ นี้แม้
จะแยกจัดกิจกรรมเฉพาะทางก็สามารถบูรณาการกิจกรรมแนะแนวเข้าไวด้ ้วยเพ่ือให้ค้นพบ ศักยภาพ
ของตนเอง
18
2.5 การสอนการอ่านออกเสียง
การสอนออกเสียงเปน็ เร่อื งสาคัญมากในการสอนภาษาอังกฤษ ครูพึงระลึกเสมอว่าเสยี งใน
ภาษาอังกฤษไมเ่ หมอื นกับเสยี งในภาษาไทย การออกเสยี งได้ถกู ต้องจะทาใหส้ ามารถพูดภาษาอังกฤษ
ได้ดีเมื่อตดิ ต่อกบั เจ้าของภาษา จะทาให้เจา้ ของภาษาเขา้ ใจ
ขน้ั ตอนการสอน มีอย่างน้อย 4 ข้ันตอน
1. ครูออกเสยี งใหน้ กั เรียนฟงั และเขยี นสัญลักษณ์
2. การให้นกั เรียนแยกเสยี งที่ต่าง
3. ครอู อกเสยี งให้นักเรยี น แลว้ ให้นักเรียนออกเสยี งตาม
4. นักเรียนออกเสียงเอง คืออาจชี้ไปที่ตัวอักษร, สัญลักษณ์ หากนักเรียนออกเสียงผิดครู
แก้ไขใหถ้ กู ต้อง
3. การฟงั
3.1 ความหมายของการฟัง
การฟัง หมายถึง การรบั รู้ การเข้าใจ จบั ประเดน็ และแปลความหมายจากเสยี งท่ีเปน็ คาพดู
สญั ญาณตา่ งๆ ที่มนุษย์ใช้ในการส่อื สารไดถ้ ูกต้อง
ฐติ ริ ตั น์ ลดาวลั ย์ (2542 : 32) ไดใ้ หค้ วามหมายของการฟังว่า “การฟังนนั้ ตา่ งจากการได้ยิน
ซ่ึงเป็นการรับรู้อย่างหน่ึงของร่างกาย โดยอาศัยโสตประสาทเป็นเคร่ืองรับรู้ แต่การฟังน้ันเป็น
พฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนจากการทางานอย่างต้ังใจของระบบประสาท ซ่ึงจะต้องประกอบด้วย การได้ยิน
การรับรู้หรอื สัญชาตญาณ การจาได้ ละความเขา้ ใจ หมายความว่า ในการฟงั น้นั ต้องมีการรับสารและ
ตีความหมายของสารที่ได้ยินนั้นด้วย การฟังจึงนับว่า เป็นศิลปะอย่างหน่ึงที่ผู้ฟังต้องใช้ทักษะ ไหว
พรบิ และความคิดเป็นสาคญั ”
3.2 องคป์ ระกอบของการฟัง
กระบวนการฟังประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ
1. เปน็ กระบวนการแรกของการฟัง โดยการไดย้ นิ เสยี่ งทเ่ี ป็นคาพดู จากบคุ คลโดยตรง หรอื
จากสื่อ หรอื เสียงสัญญาณตา่ งๆ
2. รบั รู้ เป็นกระบวนการขนั้ ท่ีสองตอ่ จาการได้ยิน การรบั รจู้ ะเปน็ การแปลความหมายของ
19
คาพูดหรือความหมายท่ีไดร้ บั
3. เข้าใจ เป็นกระบวนการข้นั ท่ีสาม เม่อื ประสาทสัมผสั ไดย้ ิน และรบั รู้ความหมายจากการ
ฟงั แลว้ เกดิ ความเขา้ ใจ
4. พิจารณา เป็นกระบวนการขัน้ ทส่ี ี่ เมื่อเขา้ ใจสารที่ได้ฟังแล้ว ก็นามาพิจารณาแยกแยะว่า
สารนน้ั เป็นสารประเภทใด โดยการใชว้ ิจารณญาณว่าควรจะเชื่อได้หรอื ไม่ ขอ้ มูลทไี่ ด้ฟังมีความเป็นไป
ได้มากนอ้ ยเพยี งได้
5. นาไปใช้ เปน็ กระบวนการสุดทา้ ยของการฟัง เม่ือใช้วิจารณญาณวเิ คราะห์แลว้ ก็สรุป
นาไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์
3.3 การสอนการฟัง
การเรียนภาษา การฟังมีความสาคัญไม่ยิ่งหยอ่ นไปกว่าทักษะอยา่ งอืน่ การพูดจะไมด่ ขี ้ึนเลย
ถา้ ไมส่ ามารถพัฒนาการฟังได้ การฟงั เปน็ ทกั ษะแรกตามธรรมชาติของการเรยี นภาษา ผ้เู รยี นจะตอ้ ง
เข้าใจเรือ่ งทไี่ ด้จากการฟัง หรือจากการพูดของเจ้าของภาษา ในชีวติ จรงิ อาจแบง่ การฟงั ได้เป็น 2
ประเภท คอื
1. การฟังโดยไมไ่ ด้ตั้งใจ (Casual listening) เป็นสถานการณ์ท่ภี าษาไทยรียกว่า การได้ยิน
ไม่ไดม้ ีการตง้ั ใจฟังหรือใสใ่ จฟังเปน็ พเิ ศษ เช้า ฟังวทิ ยุ โทรทัศน์ขณะทางาน
2. การฟังโดยใส่ใจ (Focused listening) เปน็ การต้ังใจฟังอย่างมีความหมาย มจี ดุ ประสงค์
อาจเปน็ ข่าวทน่ี ่าสนใจ การอธบิ ายวิธกี ารต่างๆ จากวยิ ากร ครู การฟังเชน่ น้มี ีความตง้ั ใจฟังเพื่อเกบ็
เรื่องท่ีอยากรู้ ฟังเรื่องทตี่ ้องการฟัง
ในการสอนฟัง มีข้อเสนอแนะดงั ตอ่ ไปนี้
- การใช้บทสนทนา
- การใช้เทป
- การใชเ้ ทปเปิดโอกาสให้ได้ฟังส่งิ ต่างๆ มากมาย อาจฟังบทสนทนา บทสมั ภาษณ์ ฟัง
เสียงเจ้าของภาษา หรือแม้แต่เสียงตนเอง
20
4. การเรยี นรแู้ บบร่วมมอื
4.1 ความหมายของการเรยี นรู้แบบร่วมมอื
การจดั กระบวนการเรยี นร้ใู นปจั จุบนั มุ่งเน้นความสาคัญที่ตัวผ้เู รยี นโดยเปิดโอกาสใหเ้ ลือก
เรียนตามความถนดั และความสนใจ ส่งเสรมิ ใหม้ ีส่วนร่วมในทุกกระบวนการเรยี นรู้ พัฒนา
ความสามารถในการแสวงหาความรู้ และการนาความร้มู าประยุกต์ใช้เพื่อพฒั นาศกั ยภาพของตนเอง
อยา่ งเต็มท่ี รวมทง้ั ปลูกฝงั ความมีคุณธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ วธิ ีการจัดการ
เรียนรทู้ ี่จะชว่ ยให้ผ้เู รียน เกิดการเรยี นรู้ และเกิดทกั ษะต่าง ๆ
การเรียนแบบร่วมมือเป็นวิธีหน่ึงที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้แบบมีส่วนร่วมซึ่งจะช่วยให้
ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ท่ีสัมพันธ์กับชีวิตจริงได้รับการฝึกฝนทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้
ทักษะการบันทึกความรู้ ทักษะการคิด ทักษะการจัดการกับความรู้ ทักษะการแสดงออกทักษะการ
สรา้ งความรใู้ หมแ่ ละทักษะการทางานเป็นกลมุ่ จัดว่าเปน็ วธิ ีเรียนท่ีสามารถนามาประยุกต์ให้เหมาะสม
กบั การเรยี นการสอนท่ีมีคุณภาพได้อีกวธิ ีหน่ึง จึงนบั ว่าเป็นวิธเี รียนที่ควรนามาใช้ไดด้ ีกับการเรยี นการ
สอนปัจจุบันเพอ่ื ให้การเรียนรูข้ องนกั เรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพ
มีนกั การศึกษาหลายทา่ นได้ใหค้ วามหมายของการเรยี นแบบรว่ มมือ ดงั นี้
จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson. 1991: 6-7) กล่าวว่า การเรียนแบบ
ร่วมมือเป็นการเรียนที่จัดขึ้นโดยการคละกันระหว่างนักเรียนที่มีความสามารถต่างกันนักเรียนทางาน
ร่วมกนั และช่วยเหลือกนั เพอื่ ให้กลมุ่ ของตนประสบผลสาเรจ็ ในการเรียน
จากความหมายของการเรียนแบบร่วมมือข้างต้น สรุปได้ว่า การเรียนแบบร่วมมือ เป็นการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ียึดผเู้ รียนเป็นศูนย์กลางท่ีนักเรียนมีความสามารถแตกต่างกันโดยแบง่
นกั เรยี นเป็นกลมุ่ เล็ก ๆ ในการเรียนรว่ มกัน มกี ารแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ กัน ยอมรับฟงั ความคิดเห็น
ของผู้อ่ืน มีการช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน ซ่ึงนักเรียนจะบรรลุถึงเป้าหมายของการเรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อ
สมาชิกคนอ่ืน ๆ ในกลุ่มไปถึงเป้าหมายเช่นเดียวกัน ความสาเร็จของตนเองก็คือความสาเร็จของกลุ่ม
ดว้ ย
4.2 เทคนิคท่ีใชใ้ นการเรียนแบบร่วมมือ
พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2544, 41-45) ได้กล่าวถึงเทคนิคที่ใช้ในการเรียนแบบร่วมมือ ดังน้ี
เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือมีอยู่ 2 แบบคอื เทคนคิ ท่ใี ช้ตลอดกิจกรรมการเรียนการสอนและเทคนิค
21
ที่ไมไ่ ด้ใช้ตลอดกจิ กรรมการเรียนการสอน ในทีน่ ้ีผู้วจิ ัยสนใจทจ่ี ะเลือกใช้เทคนิคที่ไมใ่ ช้ตลอดกจิ กรรม
การเรียนการสอนในแต่ละช่วั โมงอาจใชใ้ นข้ันนา หรือจะสอดแทรกในข้นั สอนตอนใดก็ได้ หรือใชใ้ นขัน้
สรุป ขั้นทบทวน ข้ันวัดผลของคาบเรียนใดคาบเรียนหนึ่งตามท่ีครูผู้สอนกาหนดเทคนิควิธีเรียนแบบ
รว่ มมอื ท่ีมลี กั ษณะตา่ ง ๆ ดังน้ี
1. เทคนิคการพูดเป็นคู่ (Rally robin) เป็นเทคนิคท่ีเปิดโอกาสให้นักเรียนได้พูดคุยกันเป็นคู่
แลว้ ครูเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนไดพ้ ดู ตอบ แสดงความคิดเหน็ เปน็ คู่ ๆ แต่ละคจู่ ะผลัดกันพดู และฟงั โดย
ใชเ้ วลาเทา่ ๆ กัน
2. เทคนิคการเขียนเป็นคู่ (Rally table) เป็นเทคนิคท่ีเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เขียนด้วยกัน
เป็นคู่
3. เทคนิคการพูดรอบวง (Round robin) เป็นเทคนิคท่ีเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มผลัดกนั
พดู ตอบ อธิบาย ซงึ่ เปน็ การพูดที่ผลดั กนั ทลี ะคนตามเวลาทก่ี าหนดจนครบ 4 คน
4. เทคนิคการเขียนรอบวง (Round table) เป็นเทคนิคที่เหมือนกับการพูดรอบวงแตกต่าง
กันท่ีเน้นการเขียนแทนการพูด เม่ือครูถามปัญหาหรือให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น นักเรียนจะผลัด
กันเขียนลงในกระดาษท่ีเตรียมไวท้ ลี ะคนตามเวลาท่กี าหนด
5. เทคนิคการเขียนพร้อมกันรอบวง (Simultaneous round table) เทคนิคน้ีเหมือนการ
เขยี นรอบวง แตกต่างกนั ทีเ่ น้นให้สมาชิกทุกคนในกล่มุ เขียนคาตอบพรอ้ มกนั
6. เทคนิคคู่ตรวจสอบ (Pairs check) เป็นเทคนิคท่ีให้สมาชิกในกลุ่มจับคู่กันทางาน เมื่อ
ได้รับคาถามหรือปัญหาจากครู นักเรียนคนหนึ่งจะเป็นคนทาและอีกคนหน่ึงทาหน้าที่เสนอแนะ
หลังจากที่ทาข้อท่ี 1 เสร็จ นักเรียนคู่น้ันจะสลับหน้าท่ีกัน เม่ือทาเสร็จครบแต่ละ 2 ข้อ แต่ละคู่จะนา
คาตอบมาและเปลย่ี นและตรวจสอบคาตอบของคู่อ่นื
7. เทคนิคร่วมกันคิด (Numbered heads together) เทคนิคน้ีแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มด้วย
กลุ่มละ 4 คน ทีมีความสามารถคละกัน แต่ละคนมีหมายเลขประจาตัว แล้วครูถามคาถาม หรือ
มอบหมายงานให้ทา แล้วให้นักเรียนได้อภิปรายในกลุ่มย่อยจนมั่นใจว่าสมาชิกในกลุ่มทุกคนเข้าใจ
คาตอบ ครูจึงเรียนหมายเลขประจาตวั ผเู้ รียน หมายเลขท่ีครเู รียกจะเป็นผูต้ อบคาถามดงั กล่าว
8. เทคนิคการเรียงแถว (Line-ups) เป็นเทคนิคท่ีง่าย ๆ โดยให้นักเรียนยืนแถวเรียงลาดับ
ภาพ คา หรือสิ่งท่ีครูกาหนดให้ เช่น ครูให้ภาพต่างๆ แก่นักเรียน แล้วให้นักเรียนยืนเรียงลาดับ
ภาพขนั้ ตอนของวงจรชวี ติ ของแมลง ห่วงโซ่อาหาร เป็นตน้
22
9. เทคนิคการแก้ปัญหาด้วยจิ๊กซอ (Jigsaw problem solving) เป็นเทคนิคทส่ี มาชิกแต่ละ
คนคิดคาตอบของตนไว้ แล้วนาคาตอบของแต่ละคนมารวมกัน เพือ่ แก้ปัญหาให้ได้คาตอบที่สมบูรณ์
เหมาะสมทส่ี ุด
10. เทคนิควงกลมซ้อน (Inside–outside circle) เป็นเทคนิคที่ให้นักเรียนนั่งหรือยืนเป็น
วงกลมซ้อนกัน 2 วง จานวนเท่ากัน วงในหันหน้าออก วงนอกหันหน้าเข้า นักเรียนที่อยู่ตรงกับจบั คู่
กันเพื่อสัมภาษณ์ซึ่งกันและกัน หรืออภิปรายปัญหาร่วมกัน จากน้ันจะหมุนเวียนเพื่อเปลี่ยนคู่ใหม่ไป
เรอ่ื ยๆ ไม่ซา้ คูก่ ัน โดยนักเรียนวงนอกและวงในเคลือ่ นไปในทศิ ทางตรงขา้ มกัน
11. เทคนิคแบบมุมสนทนา (Corners) เป็นเทคนิควิธีท่ีครูเสนอปัญหา และประกาศมุมต่าง
ๆ ภายในห้องเรียนแทนแต่ละข้อ แล้วนักเรียนแต่ละกลุ่มย่อยเขียนหมายเลขข้อท่ีชอบมากกว่า และ
เคล่ือนเข้าสู่มุมที่เลือกไว้ นักเรียนร่วมกันอภิปรายภายในกลุ่มตามมุมตา่ งๆ หลังจากนั้นจะเปิดโอกาส
ใหน้ กั เรียนในมุมใดมมุ หนึ่งอภปิ รายเรือ่ งราวทไี่ ดศ้ ึกษาให้เพ่ือนในมุมอื่นฟงั
12. เทคนิคการอภิปรายเป็นคู่ (Pair discussion) เป็นเทคนิคที่ครูกาหนดหัวข้อหรือคาถาม
แล้วใหส้ มาชิกทีนั่งใกลก้ นั รว่ มกนั คดิ และอภิปรายเป็นคู่
13. เทคนิคเพอื่ นเรยี น (Partners) เป็นเทคนคิ ทใ่ี ห้นักเรียนในกล่มุ จับคเู่ พ่อื ชว่ ยเหลอื นักเรียน
ในบางคร้ังคู่หน่ึงอาจไปขอคาแนะนา คาอธิบายจากคู่อื่นๆ ที่คาดว่าจะมีความเข้าใจเก่ียวกับเรื่อง
ดังกล่าวดีกว่าและเช่นเดียวกันเมื่อนักเรียนคู่น้ันเกิดความเข้าใจท่ีแจ่มชัดแล้ว ก็จะเป็นผู้ถ่ายทอด
ความรใู้ หน้ กั เรยี นคอู่ ืน่ ๆ ต่อไป
14. เทคนิคการคิดเดี่ยว คิดคู่ ร่วมกันคิด (Think - pair - share) เป็นเทคนิคที่เริ่มจาก
ปัญหาท่ีครูผู้สอนกาหนดนักเรียนแต่ละคนคิดหาคาตอบด้วยตนเองก่อนแล้วนาคาตอบไปอภิปรายกบั
เพื่อนท่ีเป็นคู่ จากนั้นจึงนาคาตอบของแต่ละคู่มาอภิปรายพร้อมกัน 4 คน เมื่อมั่นใจว่าคาตอบของ
ตนถกู ต้องหรือดที ีสุด จงึ นาคาตอบเลา่ ให้เพือ่ นทงั้ ช้นั ฟัง
15. เทคนิคการทาเปน็ กลมุ่ ทาเปน็ คู่ และทาคนเดยี ว (Team - pair - solo) เปน็ เทคนคิ ทค่ี รู
กาหนดปญั หาหรืองานให้แลว้ นักเรยี นทางานร่วมกันท้งั กลุ่มจนงานสาเร็จ จากน้ันจะแยกทางานเป็นคู่
จนงานสาเร็จ สุดทา้ ยนกั เรยี นแต่ละคนแยกมาทาเองจนสาเรจ็ ไดด้ ้วยตนเอง
16. เทคนิคการอภิปรายเป็นทมี (Team discussion) เปน็ เทคนิคท่คี รกู าหนดหัวข้อหรือ
คาถาม แล้วใหน้ กั เรียนทุกคนในกล่มุ รว่ มกนั ระดมความคิด และพดู อภิปรายพร้อมกนั
17. เทคนิคโครงงานเป็นทีม (Team project) เป็นเทคนิคที่เหมาะสมกับวิชาวิทยาศาสตร์
มาก เทคนคิ นี้เริ่มจากครูอธิบายโครงงานให้นักเรยี นเขา้ ใจกอ่ นและกาหนดเวลา และกาหนดบทบาท
ที่เท่าเทียมกันของสมาชิกในกลุ่ม และมีการหมุนเวียนบทบาท แจกอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้นักเรียนแตล่ ะ
กลุ่มร่วมกนั ทาโครงงานท่ไี ด้รบั มอบหมาย จากนั้นจะมกี ารนาเสนอโครงงานของแต่ละกลุ่ม
23
18. เทคนิคสมั ภาษณ์เป็นทีม (Team – interview) เปน็ เทคนิคท่ีมีการกาหนดหมายเลขของ
สมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม แล้วครูผู้สอนกาหนดหัวข้อและอธิบายหัวข้อให้นักเรียนทั้งช้ันสุ่มหมายเลข
ของนกั เรียนในกลมุ่ ยนื ข้นึ แลว้ ใหเ้ พื่อนๆ รว่ มทีมเป็นผู้สัมภาษณ์และผลัดกันถาม โดยเรียงลาดบั เพ่ือน
ให้ทุกคนมีส่วนร่วมเท่า ๆ กัน เม่ือหมดเวลาตามท่ีกาหนด คนท่ีถูกสัมภาษณ์นั่งลง และนักเรียน
หมายเลขต่อไปนีแ้ ละถูกสมั ภาษณห์ มนุ เวยี นเช่นน้เี ร่ือยไปจนครบทุกคน
19. เทคนิคบตั รคาช่วยจา (Color-coded co-op cards) เป็นเทคนคิ ทฝ่ี กึ ใหน้ ักเรียนจดจา
ข้อมูลจากการเล่นเกมท่ีใช้บัตรคาถาม บัตรคาตอบ ซึ่งนักเรียนแต่ละกลุ่มท่ีเตรียมบัตรมาเป็นผู้
ถาม และมีการใหค้ ะแนนกบั กลุ่มที่ตอบได้ถูกต้อง
20. เทคนิคการสร้างแบบ (Formations) เป็นเทคนิคที่ครูผู้สอนกาหนดวัตถุประสงค์หรือสิ่ง
ที่ต้องการให้นักเรียนสร้าง แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายและทางานร่วมกันเพื่อสร้าง
ช้ินงาน หรือสาธิตงานท่ีได้รับมอบหมาย เช่น ให้นักเรียนสาธิตว่าฤดูกาลเกิดขึ้นได้อย่างไร สาธิตการ
ทางานของกงั หนั ลม สร้างวงจรของห่วงโซ่อาหาร หรือสายใยอาหาร
21. เทคนคิ เกมสง่ ปญั หา (Send- a-problem) เป็นเทคนคิ ท่นี ักเรยี นสนกุ กบั เกมโดยนกั เรียน
ทุกคนในกลุ่มตั้งปัญหาด้วยตัวเองคนละ 1 คาถามไว้ด้านหน้าของบัตรและคาตอบซ่อนอยู่หลัง
บัตร นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มกาหนดหมายเลขประจาตัว 1-4 เร่ิมแรกนักเรียนหมายเลข 4 ส่ง
ปัญหาของกลมุ่ ใหห้ มายเลข 1 ในกลมุ่ ถัดไป ซึง่ จะเปน็ ผ้อู า่ นคาถามและตรวจสอบคาตอบส่วนสมาชิก
คนอื่นในกลุ่มตอบคาถามในข้อถัดไปจะหมุนเวียนให้สมาชิกหมายเลขอ่ืนตามลาดับ คือ นักเรียน
หมายเลข 2 เป็นผู้อ่านคาถาม และตรวจคาตอบจนครบทุกคนในกลุ่ม แล้วเร่ิมใหม่ในลกั ษณะเชน่ น้ี
ไปเร่ือยๆ ในรอบตอ่ ๆ ไป
22. เทคนิคแลกเปล่ียนปัญหา (Trade-a-problem) เป็นเทคนิคท่ีให้นักเรียนแต่ละคู่ตั้ง
คาถามเก่ียวกับหัวข้อที่เรียนและเขียนคาตอบเก็บไว้จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคู่แลกเปลี่ยนคาถามกับ
เพื่อนคู่อื่น แต่ละคู่จะช่วยกันแก้ปัญหาจนเสร็จ แล้วนามาเปรียบเทียบกับวิธีการแก้ปัญหาของเพื่อน
เจา้ ของปญั หานัน้
23. เทคนิคแบบเล่นเลียนแบบ (Match mine) เป็นเทคนิคท่ีให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งเรียงวัตถุท่ี
กาหนดให้เหมือนกัน โดยผลัดกันบอกซ่ึงแต่ละคนจะทาตามคาบอกเท่าน้ันห้ามไม่ให้ ดูกัน วิธีนี้ใช้
ประโยชนใ์ นการฝึกทกั ษะด้านการสอ่ื สารใหแ้ กน่ ักเรยี นได้
24. เทคนิคเครือข่ายความคิด(Team word – webbing) เป็นเทคนิคท่ีให้นักเรียนเขียน
แนวคิดหลัก และองค์ประกอบย่อยของความคิดหลักพร้อมกับแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความคิด
หลกั กับองค์ประกอบยอ่ ยบนแผ่นกระดาษลกั ษณะของแผนภมู คิ วามรู้
24
4.3 ประโยชนก์ ารเรียนร้แู บบรว่ มมอื
การเรยี นแบบร่วมมือเป็นวธิ ีการเรยี นท่เี นน้ ผ้เู รยี นเปน็ ศนู ย์กลาง ทาให้นักเรยี นได้ทางาน
ร่วมกันมีเปา้ หมายในการทางานรว่ มกนั ซ่งึ จะทาให้มีทักษะในการทางานกลุ่ม ซง่ึ มนี กั การศึกษาได้
กล่าวถึงประโยชนข์ องการเรยี นแบบรว่ มมือไว้ ดังนี้
วัฒนาพร ระงับทกุ ข์ (2545: 27-30) กลา่ วถงึ ประโยชนข์ องการเรยี นแบบร่วมมือไว้ สรปุ ได้
9 ประการ ดงั นี้
1. นกั เรยี นเก่งท่เี ข้าใจคาสอนของครูได้ดี จะเปล่ียนคาสอนของครเู ปน็ ภาษาพดู ของ
นกั เรียน แล้วอธิบายใหเ้ พื่อนฟังได้และทาใหเ้ พื่อนเขา้ ใจได้ดีขึน้
2. นักเรยี นทท่ี าหนา้ ที่อธิบายบทเรียนใหเ้ พื่อนฟงั จะเขา้ ใจบทเรียนไดด้ ีข้ึน
3. การสอนเพื่อนเป็นการสอนแบบตวั ต่อตวั ทาใหน้ กั เรียน ไดร้ ับความเอาใจใส่และมีความ
สนใจมากยิง่ ขึ้น
4. นักเรยี นทุกคนตา่ งก็พยายามช่วยเหลือซง่ึ กันและกนั เพราะครูคิดคะแนนเฉลย่ี ของทงั้ กลุ่ม
ดว้ ย
5. นกั เรยี นทุกคนเขา้ ใจดวี ่าคะแนนของตน มีสว่ นชว่ ยเพมิ่ หรอื ลดคา่ เฉลยี่ ของกล่มุ ดงั น้ัน
ทุกคนต้องพยายามปฏบิ ตั หิ น้าท่ขี องตนเองอย่างเต็มความสามารถ เพ่ือให้กลุ่มประสบความสาเรจ็
6. นักเรยี นทุกคนมโี อกาสฝกึ ทกั ษะทางสังคมมเี พื่อนรว่ มกลุ่มและเป็นการเรียนรวู้ ธิ ีการ
ทางานเปน็ กลุ่ม ซึง่ จะเปน็ ประโยชน์มากเม่ือเขา้ สูร่ ะบบการทางานอนั แทจ้ รงิ
7. นกั เรยี นไดม้ โี อกาสเรียนรกู้ ระบวนการกลมุ่ เพราะในการปฏบิ ัติงานร่วมกนั น้นั ก็ต้องมี
การทบทวนกระบวนการทางานของกลุ่มเพื่อให้ประสทิ ธภิ าพการปฏิบัติงาน หรือคะแนนของกลุ่มดขี นึ้
8. นกั เรียนเกง่ จะมบี ทบาททางสังคมในช้ันมากข้ึน เขาจะรู้สกึ ว่าเขาไมไ่ ดเ้ รยี นหรือหลบไป
ท่องหนงั สือเฉพาะตน เพราะเขาตอ้ งมีหน้าท่ีต่อสงั คมดว้ ย
9. ในการตอบคาถามในห้องเรยี น หากตอบผิดเพ่ือนจะหัวเราะ แต่เมื่อทางานเปน็ กลมุ่
นกั เรียนจะช่วยเหลือซ่งึ กันและกนั ถา้ หากตอบผดิ ก็ถือวา่ ผิดท้ังกลุ่ม คนอน่ื ๆ อาจจะให้ความ
ช่วยเหลือบ้าง ทาให้นักเรยี นในกลุ่มมีความผกู พนั กันมากข้ึน
ปรียาพร วงศอ์ นตุ รโรจน์ (2544) ไดก้ ล่าวถงึ ประโยชนข์ องการเรยี นแบบรว่ มมือไวส้ รุปได้ 5
ประการ ดังนี้
1. ดา้ นผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น การเรียนแบบรว่ มมอื นเี้ ป็นการเรยี นที่จัดให้นกั เรียนได้
ร่วมมือกันเรียนเปน็ กลมุ่ เล็กประมาณ 6 - 2 คน เพ่ือให้บรรลเุ ปา้ หมายทางการเรยี นร่วมกนั นบั วา่
เป็นการเปดิ โอกาสให้นักเรียนทกุ คนในกล่มุ ได้แสดงความคิดเห็น และแสดงออกตลอดจนลงมอื
25
กระทาอย่างเทา่ เทียมกนั มีการใหค้ วามช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั เช่น นักเรยี นท่ีเกง่ ชว่ ยนักเรียนทไี่ ม่
เก่ง ทาใหน้ ักเรียนท่เี ก่งมีความรสู้ กึ ภาคภูมใิ จ รูจ้ ักสละเวลา และชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจในเรื่องท่ีดขี ึน้ ส่วน
นักเรยี นท่ไี ม่เก่งก็จะซาบซ้งึ ในน้าใจเพื่อน มคี วามอบอุน่ รูส้ ึกเปน็ กนั เอง กลา้ ซกั ถามในข้อสงสยั
มากข้นึ จึงงา่ ยต่อการทาความเขา้ ใจในเรื่องทเี่ รียน ท่สี าคัญในการเรียนแบบรว่ มมือนี้คือ นักเรียนใน
กลุ่มได้รว่ มกันคิด รว่ มกันทางาน จนกระทัง่ สามารถหาคาตอบท่ีเหมาะสมทสี่ ุดได้ ถือว่าเปน็ การ
สร้างความร้ดู ้วยตนเอง ช่วยใหค้ วามรทู้ ไ่ี ด้รบั เปน็ ความรทู้ ีมีความหมายต่อนักเรียนอย่างแท้จรงิ จึงมี
ผลทาให้ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรยี นสูงขึ้น
2. ด้านการปรับปรังความสัมพันธร์ ะหวา่ งบุคคล การเรียนแบบร่วมมือเปิดโอกาสให้นักเรียน
ท่ีมีภูมหิ ลังตา่ งกันได้มาทางานร่วมกัน พึ่งพาซึง่ กนั และกัน มีการรับฟงั ความคิดเห็นกนั เขา้ ใจและเห็น
ใจสมาชิกในกลุ่ม ทาให้เกิดการยอมรับกันมากข้ึน เกิดความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกันซึ่งจะส่งผลให้มี
ความรสู้ กึ ทีด่ ีตอ่ ผอู้ น่ื ในสงั คมมากขนึ้
3. ด้านทักษะในการทางานร่วมกันให้เกิดผลสาเร็จที่ดี และการรักษาความสัมพันธ์ท่ี ดีทาง
สังคม การเรียนแบบร่วมมือช่วยปลูกฝังทักษะในการทางานเป็นกลุ่มทาให้นักเรียนไม่มีปัญหาในการ
ทางานร่วมกับผู้อื่นและส่งผลให้งานกลุ่มประสบผลสาเร็จตามเป้าหมายร่วมกัน ทักษะทางสังคมที่
นักเรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้แก่ ความเป็นผู้นา การสร้างความไว้วางใจกัน การตัดสินใจ
การสือ่ สาร การจดั การกับข้อขดั แย้ง ทกั ษะเกี่ยวกบั การจัดกลุ่มสมาชิกภายในกลุ่มเป็นตน้
4. ด้านทักษะการร่วมมือกันแก้ปัญหา ในการทางานกลุ่มสมาชิกกลุ่มจะได้รับทาความเข้าใจ
ในปัญหาร่วมกัน จากน้ันก็ระดมความคิดช่วยกันวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เม่ือทราบสาเหตุของ
ปัญหาสมาชกิ ในกลมุ่ ก็จะแสดงความคิดเห็นเพ่ือหาวธิ ีการแก้ไขปัญหาอภิปรายให้เหตผุ ลซง่ึ กันและกัน
จนสามารถตกลงร่วมกันได้ว่า จะเลือกวิธีการใดในการแก้ปัญหาจึงเหมาะสมพร้อมกับลงมือร่วมกัน
แกป้ ญั หาตามขนั้ ตอนทีก่ าหนดไว้ ตลอดจนทาการประเมินกระบวนการแก้ปัญหาของกลุ่มดว้ ย
5. ด้านการทาให้รูจ้ กั และตระหนักในคณุ ค่าของตนเอง ในการทางานกลมุ่ สมาชิกกลมุ่ ทุกคน
จะได้แสดงความคิดเห็นร่วมกัน การท่ีสมาชิกในกลุ่มยอมรับในความคิดเห็นของเพ่ือนสมาชิกด้วยกัน
ย่อมทาให้สมาชิกในกลุ่มนั้นมีความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองและคิดว่าตนเองมีคุณค่าท่ีสามารถช่วยให้
กลุม่ ประสบผลสาเร็จได้
จากการศึกษาประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือสรุปได้ว่า ประโยชน์ของการเรียนแบบ
ร่วมมือตอ่ ผู้เรียน มีทง้ั ในด้านการมีส่วนรว่ มในการเรียน การมีปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและการทาให้ผู้เรียน
26
รู้สึกเป็นส่วนหน่ึงของสังคม เพราะการเรียนแบบร่วมมือในห้องเรียนเป็นการฝึกให้นักเรียนมีความ
รับผิดชอบร่วมกัน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รู้จักคิด รู้จักแก้ปัญหาซึ่งจะทาให้นักเรียนเป็น
พลเมืองท่มี ีคณุ ภาพในการช่วยพัฒนาประเทศตอ่ ไปในอนาคต
5. เทคนคิ คูต่ รวจสอบ
จากเอกสารเผยแพร่โครงการพัฒนาโรงเรียนสู่มาตรฐานของโรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์
(2554) ที่เน้นการพัฒนาผู้เรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญโดยใช้ฐานกิจกรรม สามารถสรุปความหมาย
และลักษณะของเทคนิคคู่ตรวจสอบได้ ดงั นี้
คู่ตรวจสอบ (Pairs Check) แบ่งนักเรียนออกเป็น 4 หรือ 6 คน ให้นักเรียนจับคู่กันทางาน
คนหน่ึงทาหน้าท่ีเนอและวิธีแก้ปัญหา อีกคนทาหน้าที่แก้โจทย์หรือลงมือเขียน แสดงวิธีทา เม่ือเสร็จ
ข้อท่ี 1 แล้วสลับหน้าท่ี กัน เม่ือเสร็จครบ 2 ข้อ ให้นาคาตอบมาตรวจสอบกับคาตอบของคู่อื่นใน
กลมุ่ คู่ตรวจสอบ (Pairs Check) มีขั้นตอนการดาเนินการ ดังน้ี
1. แบง่ กลุ่มนกั เรียนคละความสามารถ 4 – 6 คน เป็นนักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2–4 คน
และนกั เรยี นออ่ น 1 คน แตล่ ะกลุ่มเลือกประธานและเลขานุการกล่มุ
2. ให้นักเรียนในแต่ละกลุ่มจับคู่กันทางานตามที่ได้มอบหมายคนละ 1 ข้อ โดยคนหน่ึงทา
หน้าท่ีเสนอแนะวิธีแก้ปัญหา อีกคนทาหน้าท่ีแก้โจทย์หรือลงมือเขียน แสดงวิธีทา เม่ือเสร็จข้อที่ 1
แลว้ สลับหน้าท่กี นั ทาขอ้ ท่ี 2
3. เมื่อเสร็จครบ 2 ข้อ ให้นาคาตอบมาตรวจสอบกับคาตอบของคู่อื่นในกลุ่ม เช่น บัตร
สมการ บัตรอ่าน บตั รเขียน บัตรแก้ปญั หา
4. ทดสอบเป็นรายบุคคลหรือเป็นรายคู่ แลว้ รวมคะแนนของนักเรยี นแต่ละค่เู ป็นคะแนนกลุ่ม
หรอื เฉลยี่ คะแนนของแต่ละคู่เป็นคะแนนของกลุ่ม
5. ประกาศเกียติคุณหรือใหร้ างวลั และใหโ้ บนัส ดังนี้
5.1 ให้โบนัสอีก 5 คะแนน สาหรับกลุ่มที่ได้คะแนนรวมหรือคะแนนเฉล่ียสูงสุด
5.2 ใหโ้ บนัสอีก 3 และ 1 คะแนน สาหรับกลมุ่ ที่ไดค้ ะแนนรวมหรอื คะแนนเฉล่ีย
รองลงมาตามลาดับ
ในระยะท่ีนักเรียนยังไม่คุ้นเคยกับการเรียนการสอนแบบคู่ตรวจสอบ (Pairs Check)
ครูผู้สอนควรเรม่ิ ต้นทากจิ กรรมโดยใหน้ กั เรยี นได้ทางานรว่ มกันเปน็ คู่ ดงั น้ี
27
1) จับคู่ช่วยคิด
2) จบั ค่อู ่าน
3) จบั ค่ชู ว่ ยกันตอ่ บทเรียน
4) จับคู่ช่วยกันตง้ั คาถามจากเนือ้ เรื่องท่ีกาหนดให้
5) จับคฝู่ กึ
6) จบั คูฝ่ ึกอ่าน
7) จบั คู่ทาแบบฝึกหดั ผลดั กนั ตรวจ
8) จับคู่ตรวจการบ้าน
9) จับคกู่ ลมุ่ ทบทวนเตรียมการสอน
10) จบั คู่ชว่ ยกันเขยี น
11) จับคู่ช่วยแกป้ ญั หา
12) จับค่ทู ารายงาน
13) จบั คู่ตรวจงานข้อเขยี น
14) จบั คู่ประเมนิ
6. งานวิจัยทเ่ี ก่ยี วข้อง
จากการศึกษางานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วขอ้ ง งานวิจยั ท่จี ะเป็นประโยชน์เป็นแนวทางในการศกึ ษาวิจยั
ครั้งนี้ ไดแ้ ก่
นางสาวพชิ ญา นเุ สน ได้ทาวจิ ัยเรื่อง การใชก้ ิจกรรมคาราโอเกะ เพื่อพัฒนาการออกเสียงและ
ความเข้าใจในการฟังภาษาอังกฤษ ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 เพื่อศกึ ษาและเปรียบเทยี บการ
ออกเสียงภาษาอังกฤษ และ ศึกษาความเข้าใจในการฟังของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 โดยใช้
กิจกรรมคาราโอเกะ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ท่ีเรียน
ภาษาอังกฤษ ณ สถาบันภาษานพรตั น์ อาเภอเมอื ง จงั หวัดลาพนู จานวน 19 คน เครื่องมอื ท่ีใช้ในการ
วิจัย ประกอบด้วยเครื่องมือท่ีใช้ในการทดลองคือแผนการสอนที่ใช้กิจกรรมคาราโอเกะจานวน 7
แผน ๆ ละ 3 คาบ ๆ ละ 60 นาทีจานวนท้งั หมด 21 คาบ และเคร่อื งมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ไดแ้ ก่ แบบวัดการออกเสียงและแบบประเมินความเข้าใจในการฟังภาษาองั กฤษ โดยกล่มุ เป้าหมายทา
28
การ ทดสอบกอ่ นเรยี น ทดสอบท้ายแผนในแตล่ ะแผน และการทดสอบหลังการเรยี น ขอ้ มลู ท่ีได้นามา
วิเคราะห์หาค่ารอ้ ยละ คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ยั พบว่า
1. การออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนเพ่ิมขึ้นหลังผ่านการเรียนโดยใช้กิจกรรมคาราโอ
เกะ
2. ความเข้าใจในการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนผ่านเกณฑ์ โดยที่นักเรียนมีระดับผลความ
เขา้ ใจในการฟังภาษาองั กฤษอยู่ในระดบั ดีมาก หลงั ผ่านการเรียนโดยใชก้ ิจกรรมคาราโอเกะ
นางธีราภรณ์ พลายเล็ก ได้ทาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการออกเสียงพยัญชนะท้ายคา
ภาษาอังกฤษของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
เพอ่ื ศึกษา เสียงพยญั ชนะทา้ ยคาภาษาอังกฤษที่เป็นปัญหาในการออกเสียง เพื่อพัฒนาทักษะการออก
เสียงพยัญชนะท้ายคาภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดการเรียนรู้และเพื่ อเปรียบเทียบทักษะการออกเสียง
พยัญชนะท้ายคาภาษาอังกฤษก่อนและหลังการใช้ชุดการเรียนรู้ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ทั้งน้ีเพื่อให้นักเรียนสามารถออกเสียงพยัญชนะท้าย
คาภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง อันจะเกิดผลดีต่อการพัฒนาทักษะทางการส่ือสารให้มีประสิทธิภาพ
มากยิ่งข้ึน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิต
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสุนนั ทา จานวน 60 คน กล่มุ ตัวอยา่ งท่ีใชใ้ นการวิจัยครั้งนี้ได้มาโดยการเลือก
แบบเจาะจง (Purposive sampling) จานวน 30 คน โดยคัดเลือกจากผู้ที่มีคะแนนจากการทดสอบ
เพ่ือศึกษาเสียงพยัญชนะท้ายคาภาษาอังกฤษท่ีเป็นปัญหา จานวน 30 คนสุดท้ายท่ีมีคะแนนต่าสุด
เครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการวจิ ัยได้แก่ แบบทดสอบเพ่ือศกึ ษาเสียงพยัญชนะท้ายคาภาษาอังกฤษ ท่ีเป็นปัญหา
ในการออกเสียงและชุดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการออกเสียงพยัญชนะท้ายคาภาษาอังกฤษ
วเิ คราะห์ข้อมลู ด้วยคา่ รอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที
ผลการวจิ ยั พบวา่
1. เสียงพยัญชนะท้ายคาภาษาอังกฤษ ที่เป็นปัญหาในการออกเสียงมากที่สุด คือเสียงท่ีอยู่
ในกลุ่มเสียงเสียดแทรก (Fricatives) ไดแ้ ก่ เสียง [-Ѳ], [-ð] และ [-z] คดิ เป็นร้อยละ100.00, 100.00
และ 96.67 รองลงมาคือกลุ่มเสียงข้างล้ิน (Lateral) ได้แก่เสียง [-l] คิดเป็นร้อยละ 93.33 และกลุ่ม
เสยี งกระดกลิ้น (Tap or Flap) ได้แกเ่ สียง [-r] คดิ เปน็ รอ้ ยละ 86.67
29
2. นักเรียนสามารถออกเสียงพยัญชนะท้ายคาภาษาอังกฤษได้ถูกต้องมากย่ิงขึ้นหลังจาก
ใช้ชุดการเรียนรู้ โดยมีคะแนนเฉล่ียโดยรวมหลังการใช้ชุดการเรียนรู้คิดเป็นค่าเฉล่ียเท่ากับ 44.77
(S.D. = 14.22)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์รุส คงสัตย์ ได้ทาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง
ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนจักราชวิทยา จังหวัดนครราชสีมา
เพื่อพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ 4 ด้าน คือ ด้านการอ่านออกเสียงพยัญชนะต้น
ด้านการอ่านออกเสียงพยัญชนะควบกล้า ด้านการอ่านออกเสียงสระ และ ด้านการอ่านออกเสียง
พยัญชนะท้าย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนจักราชวิทยา เพ่ือเปรียบเทียบ
ความสามารถในดา้ นทกั ษะการอ่านออกเสยี งภาษาอังกฤษ กอ่ นและหลงั การใช้กจิ กรรม พฒั นาทักษะ
กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 ปีการศึกษา 2554 โรงเรียนจักราชวิทยา โดย
การสุ่มตัวอย่างห้องเรียน 1 ห้อง ด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง ได้นักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 41 คน
ทาการทดลองโดยให้นักเรียนเรยี นด้วยกจิ กรรม Letter Sound ทีผ่ ูว้ ิจยั สร้างขนึ้ เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการ
วิจัย คือ 1) ชุด Letter Sound 2) แบบดสอบวัดความสามารถทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ
ก่อนและหลัง การทดสอบการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ T-test จับคู่เปรียบเทียบความสามารถทักษะการ
อา่ นออกเสียง ภาษาอังกฤษ 4 ด้าน ของนักเรยี นกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการเรียนโดยใช่สื่อที่ผู้วิจัย
สร้างข้ึน ใช้ค่าเฉล่ีย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในการหาค่าระดับความสามารถของทักษะ
การอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ผลการวิจัยพบว่านักเรียนท่ีเรียนโดยใช้กิจกรรม Letter Sound ผ่าน
ครูสเู่ ดก็ เพอ่ื พฒั นาทกั ษะด้านการอ่านออกเสียง
นางสาวอรพรรณ สุธาพันธ์ ได้ทาวิจัยเรื่อง กิจกรรมการเรียนโดยใช้ภาพยนตร์ เพื่อส่งเสริม
ความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษและการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี
4 เพอื่ เปรยี บเทียบความสามารถในการฟังภาษาองั กฤษของ นกั เรยี นกอ่ นและหลังการใช้กิจกรรมการ
เรียนโดยภาพยนตร์ และเพ่ือเปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน
ก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการเรียน โดยใช้ภาพยนตร์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 ท่ีเรียนวิชาภาษาอังกฤษ พื้นฐาน อ41102 โรงเรียนอัสสัมชัญลาปาง อาเภอ
เมือง จังหวัดลาปางในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 จานวน 43 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการทดลอง
คือแผนการสอนกิจกรรมการเรียนโดยภาพยนตร์ จานวน 4 แผน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม
ข้อมูลได้แก่แบบทดสอบวัดความสามารถใน การฟังภาษาอังกฤษ และแบบทดสอบวัดการคิดอย่างมี
30
วิจารณญาณ ก่อนและหลังการทดลอง แล้วนาข้อมูลท่ีได้มาวิเคราะห์ เพื่อหาค่าเฉล่ียและส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจยั สรุปได้ ดังน้ี
1. นักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนโดยภาพยนตร์มีความสามารถในการฟัง
ภาษาอังกฤษเพิม่ ข้ึนหลังการทดลอง
2. นักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยกิจกรรมการเรียนโดยภาพยนตร์มีการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ
เพม่ิ ข้นึ หลงั การทดลอง
นางอรพรรณ วังซ้าย ได้ทาวิจัยเร่ือง การใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อพัฒนาความรู้ทาง
หลักภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 4 เพ่ือศึกษาผลการเสริมสร้างความรู้หลักภาษา
โดยใช้วิธีการ เรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคคู่คิด และเพ่ือประเมินความรู้ทางหลักภาษา จากการ
เสริมสร้างด้วย วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคคู่คิด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ท่ี 4 ประชากร
ที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 4/1 โรงเรียนเทศบาล 5 (บ้านศรีบุญเรือง)
อาเภอเมือง จังหวัดลาปาง สานักการศึกษา เทศบาลนครลาปาง ปีการศึกษา 2555 ภาคเรียนท่ี 1
จานวน 22 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม การจัดการ
เรยี นรู้แบบรว่ มมอื จานวน 7 แผน รวม 14 ชั่วโมง แบบทดสอบวดั ผลการเสรมิ สรา้ ง ความรหู้ ลักภาษา
จานวนแผนการจัดการเรียนรู้ละ 10 ข้อ รวมท้ังหมด 70 ข้อ และแบบประเมิน ความรู้ทางหลักภาษา
จานวน 35 ข้อวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ผลการวิจัยสรุปได้ดังน้ี 1) ผลการเสริมสร้าง
ความรู้ทางหลักภาษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยรวมอยู่ในระดับดี 2) ผลการประเมิน
ความรู้หลักภาษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยรวมผลการประเมินความรู้หลักภาษาอยู่ใน
ระดบั ดี
บทที่ 3
วิธีการดาเนนิ การวจิ ัย
ในการดาเนินการวิจัยเรื่อง การพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2
เติม – ed โดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้
เทคนคิ คู่ตรวจสอบ ผวู้ ิจัยได้ดาเนนิ การตามหัวข้อ ดงั ตอ่ ไปนี้
1. กลุม่ เปา้ หมาย
2. เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย
3. การสรา้ งเครือ่ งมอื ในการวิจยั
4. การเก็บรวบรวมข้อมลู
5. การวิเคราะห์ข้อมลู และสถติ ทิ ี่ใช้
กลมุ่ เป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ีเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3/3 โรงเรียนดอยเต่า
วทิ ยาคม ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 จานวน 28 คน
เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวิจยั
เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยนี้เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน ประกอบด้วยเครื่องมือ 2 ประเภท
คือ เคร่ืองมือที่ใช้ในการทดลอง และเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซ่ึงมีรายละเอียด
ดงั ต่อไปนี้
1. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการสอนการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม -ed จานวน 3 แผนการสอน แผนการสอนละ 50 นาที และแบบฝึกหัด
เพื่อใช้ฝกึ ปฏิบตั ิตามแผนการสอน
1.1 แบบฝกึ บัตรคากริยา
แบบฝึกบัตรคากริยา ใช้เพ่ือประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษช่องท่ี 1 กอ่ นเติม –ed ซงึ่ ถกู ใชข้ ณะดาเนินการจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนิค
คตู่ รวจสอบตามแผนการสอนท่ี 1 จานวน 14 ชุด
32
ผู้วิจัยได้ปรับการฝึกปฏิบัติและการประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษ โดยให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ตามรูปแบบ
การเรียนรแู้ บบร่วมมอื ของ Kagan (1995 อ้างใน โฆษิต จตั รุ สั วัฒนากลุ , 2543) โดยใช้เทคนคิ วงกลม
ซอ้ น (Inside–outside circle) ซงึ่ เปน็ เทคนคิ ที่ให้นกั เรยี นนั่งหรอื ยืนเป็นวงกลมซ้อนกนั 2 วง จานวน
เท่ากัน วงในหันหน้าออก วงนอกหันหน้าเข้า นักเรียนท่ีอยู่ตรงกันจับคู่กันเพื่อฝึกปฏิบัติ
ร่วมกัน จากน้ันจะหมุนเวียนเพ่ือเปล่ียนคู่ใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่ซ้าคู่กัน โดยนักเรียนวงนอกและวงใน
เคลือ่ นไปในทิศทางตรงข้ามกนั
ผู้วิจัยกาหนดให้ผู้เรียนเป็นผ้ปู ระเมินเพ่ือนหลังจากท่ีได้ฝึกปฏิบัติกับคู่ โดยใช้
เทคนิคคู่ตรวจสอบ ซ่ึงเป็นการจับคู่ประเมินเพื่อนและจับคู่ช่วยแก้ไขการอ่านออกเสียงท่ีผิดหรือไม่
ชดั เจน
1.2 แบบฝึกหดั ระบุเสยี งทา้ ยคากรยิ าชอ่ งท่ี 2 เตมิ –ed
แบบฝึกหัดระบุเสียงท้ายคากริยาช่องท่ี 2 เติม –ed ใช้เพ่ือประเมินการระบุ
เสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed ซ่ึงการท่ีผู้เรียนสามารถระบุเสียงท้ายได้ถูกต้อง
แสดงถึงความสามารถในการอ่านออกเสียงของผู้เรียนได้ แต่เป็นเพียงแค่เสียงที่ยังไม่ถูกเปล่งออกมา
ซ่ึงแบบฝึกหัดระบุเสียงท้ายดังกล่าวน้ีถูกใช้ขณะดาเนินการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคคู่
ตรวจสอบตามแผนการสอนท่ี 2 จานวน 28 ชดุ
1.3 แบบฝึกหัดระบุเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed ในระดับ
ประโยคและระดบั ยอ่ หนา้
แบบฝึกหัดระบุเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed ในระดับ
ประโยคและระดับย่อหน้า ใช้เพ่ือประเมินการระบุเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
ในระดับประโยคและระดับย่อหน้า ซึ่งการท่ีผู้เรียนสามารถระบุเสียงท้ายได้ถูกต้อง แสดงถึง
ความสามารถในการอ่านออกเสียงของผู้เรียนได้ แต่เป็นเพียงแค่เสียงที่ยังไม่ถูกเปล่งออกมา
ซง่ึ แบบฝกึ หัดระบุเสยี งท้ายดังกล่าวน้ีซึ่งถูกใช้ขณะดาเนินการจัดการเรียนรู้แบบรว่ มมือ โดยใช้เทคนิค
คู่ตรวจสอบตามแผนการสอนท่ี 3 จานวน 14 ชดุ
33
2. เคร่อื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
2.1 แบบทดสอบการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
ในระดับย่อหน้า
แบบทดสอบการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
ในระดับย่อหน้า ใช้เพื่อประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
ในระดับย่อหน้า ซึ่งถูกใช้ขณะดาเนินการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบตาม
แผนการสอนท่ี 3 จานวน 28 ชดุ
2.2 แบบทดสอบหลังเรียนการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2
เติม –ed
แบบทดสอบหลังเรียนการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2
เติม –ed ใช้เพ่ือทดสอบความสามารถในการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม
–ed หลังจากที่ได้เรียนครบ 3 แผนการสอนแล้ว จานวน 1 ชดุ
2.3 แบบประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากรยิ าภาษาองั กฤษ
แบบประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ใช้เพ่ือประเมิน
ความสามารถในการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ขณะฝึกปฏิบัติตามแผนการสอนท่ี 1
จานวน 28 ชดุ
2.4 แบบประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed
ในระดับประโยคและระดับย่อหน้า
แบบประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
ในระดับประโยคและระดับย่อหน้า ใช้เพื่อประเมินความสามารถในการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed ขณะฝึกปฏบิ ตั ิตามแผนการสอนท่ี 3 แบบฝกึ ท่ี 2 จานวน 3 ชุด
2.5 แบบประเมนิ การอ่านออกเสยี งทา้ ยคากริยาภาษาอังกฤษชอ่ งท่ี 2 เติม –ed หลัง
เรยี น
แบบประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed
หลังเรียน ใช้เพื่อประเมินความสามารถในการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม
–ed หลงั จากที่ได้เรยี นเสร็จตามแผนการสอนท่ี 1 2 และ 3 จานวน 1 ชดุ
34
2.6 แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนการอ่านออก
เสยี งทา้ ยคากรยิ าภาษาอังกฤษ ช่องที่ 2 เติม –ed โดยใช้รูปแบบการฟังเสยี งจากเจ้าของภาษาร่วมกับ
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนคิ ค่ตู รวจสอบ
แบบประเมินความพึงพอใจ ใช้ประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรม
การสอนการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ช่องที่ 2 เติม –ed โดยใช้รูปแบบการฟังเสียง
จากเจา้ ของภาษารว่ มกับการจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื โดยใช้เทคนิคคตู่ รวจสอบ จานวน 28 ชดุ
การสรา้ งเครือ่ งมือในการวิจัย
1. เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการทดลองวจิ ัยนี้
เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ แผนการสอนการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม -ed จานวน 3 แผนการสอน รวมถึงแบบฝึกหัดที่ถูกใช้ขณะฝึกปฏิบัติ
ระหวา่ งแผนการสอนเพ่ือประเมนิ ทักษะการอา่ นออกเสยี ง มีขนั้ ตอนการสรา้ ง ดังน้ี
1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการจัดการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ โดยศึกษาสาระการเรยี นรู้ มาตรฐานและตัวชีว้ ดั ของระดบั ช้นั
มธั ยมศึกษาปีที่ 3
1.2 ศึกษาหลักการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ และเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2 เตมิ –ed
1.3 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนวิธีการสอนการฟังเสียง และ
การจัดการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิคคู่ตรวจสอบ
1.4 กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ วิเคราะห์เนื้อหา และคัดเลือกเน้ือหา
หรือคาศัพท์ท่ีเหมาะสมกับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เพื่อสร้างแบบฝึกหัดขณะฝึกปฏิบัติตามแต่ละ
แผนการสอน
1.5 สร้างแผนการสอนการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2 เติม –
ed โดยใช้การฟังเสียงร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ จานวน 3
แผนการสอน แผนการสอนละ 50 นาที
1.6 ดาเนินการสรา้ งแบบฝึกหดั การอ่านออกเสยี งท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ และการ
อ่านออกเสียงทา้ ยคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
35
1.7 นาแผนการสอนและแบบฝึกหัดที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 ท่าน
ตรวจสอบความเหมาะสมและถูกต้องของจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือการ
สอนและการวัดและประเมินผล โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนาให้เพ่ิมขั้นตอนการสรุปบทเรียนในแต่ละ
แผนการสอน อีกทั้งแนะนาให้ตรวจสอบคากริยาช่องท่ี 2 เติม –ed ที่ผู้วิจัยนามาใช้สร้างแบบฝึกหัด
ให้มคี วามเหมาะสมกับระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โดยศกึ ษาจากแบบเรยี นภาษาอังกฤษหลายๆ เลม่
1.8 นาผลการประเมินและคาแนะนาของผู้เช่ียวชาญมาปรับปรุงแก้ไขแผน
การสอน ให้มีความเหมาะสมของจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือการสอน
และการวัดและประเมินผล โดยผู้วิจัยได้เพิ่มข้ันตอนการสรุปบทเรียนในแต่ละแผนการสอน และได้
ตรวจสอบคากรยิ าชอ่ งท่ี 2 เตมิ –ed และเลือกคาท่เี หมาะสมตอ่ ผู้เรยี นระดับชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
1.9 นาแผนการสอนและแบบฝึกหัดท่ีได้รับการปรับปรุงแก้ไขตามคาแนะนาของ
ผเู้ ชี่ยวชาญ ไปใชใ้ นการสอน
2. เครื่องมอื ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัยน้ี ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ แบบทดสอบและ
แบบประเมนิ ความสามารถในการอา่ นออกเสยี งและความพงึ พอใจในการจัดกจิ กรรม
2.1 แบบทดสอบ ได้แก่ แบบทดสอบการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาช่องที่ 2 เติม
–ed ในระดับย่อหน้า และ แบบทดสอบหลังเรียนวัดความสามารถในการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ช่องที่ 2 เติม –ed มีขั้นตอนการสรา้ ง ดังน้ี
2.1.1 ศึกษาหลักการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ และหลักการ
อ่านออกเสยี งท้ายคากรยิ าภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
2.1.2 กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ วิเคราะห์เนื้อหา และคัดเลือกเน้ือหา
หรอื คาศัพท์ทเ่ี หมาะสมกบั ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
2.1.3 ดาเนินการสร้างแบบทดสอบการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษ และการอ่านออกเสียงทา้ ยคากรยิ าภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
2.1.4 นาแบบทดสอบ ให้ผู้เช่ียวชาญจานวน 3 ท่าน ประเมินความถูกต้อง
เหมาะสม ความเพียงพอของเนื้อหา และความสอดคลอ้ งกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยผู้เช่ียวชาญได้
แนะนาให้ตรวจสอบคาศัพท์ท่ีผู้วิจัยนามาใช้สร้างแบบทดสอบ ให้มีความเหมาะสมกับระดับชั้น
มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โดยศกึ ษาจากแบบเรียนภาษาอังกฤษหลายๆ เลม่ อีกทง้ั ให้เพม่ิ จานวนคากรยิ าช่อง
36
ที่ 2 เติม –ed ในแบบทดสอบหลังเรียนจาก 5 คาเป็น 10 คา เพื่อให้เพียงพอและหลากหลายต่อ
การประเมนิ
2.1.5 ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบตามผลการประเมินและข้อเสนอแนะของ
ผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้วิจัยได้ได้ตรวจสอบคากริยาช่องที่ 2 เติม –ed และเลือกคาท่ีเหมาะสมต่อผู้เรียน
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อีกท้ังได้เพิ่มจานวนคากริยาช่องที่ 2 เติม –ed ในแบบทดสอบหลังเรียน
จาก 5 คาเป็น 10 คา
2.1.6 นาแบบฝึกหัดและแบบทดสอบที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขจนสมบูรณ์
แล้ว ไปใช้ในฝึกและทดสอบความสามารถในการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ และการ
อา่ น ออกเสียงท้ายคากรยิ าภาษาองั กฤษช่องที่ 2 เตมิ –ed
2.2 แบบประเมินความสามารถในการอ่านออกเสียงและความพึงพอใจในการจัด
กิจกรรม ได้แก่ 1) แบบประเมินการอา่ นออกเสียงท้ายคากรยิ าภาษาอังกฤษ 2) แบบประเมินการอ่าน
ออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed ในระดับประโยคและระดับย่อหน้า
3) แบบประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed หลังเรียน และ
4) แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed โดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรยี นรู้
แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคูต่ รวจสอบ
2.2.1 แบบประเมินความสามารถในการอ่านออกเสียง มีข้ันตอนการสร้าง
ดังน้ี
1) ศึกษาหลักการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ และหลักการ
การอา่ นออกเสียงท้ายคากรยิ าภาษาอังกฤษชอ่ งท่ี 2 เตมิ –ed
2) กาหนดจดุ ประสงคก์ ารประเมนิ
3) ดาเนินการสร้างแบบประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาองั กฤษ และการอ่านออกเสียงท้ายคากรยิ าภาษาองั กฤษชอ่ งที่ 2 เติม –ed
4) นาแบบประเมิน ให้ผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 ท่าน ประเมินความถูกต้อง
เหมาะสม และความสอดคล้องกบั จุดประสงคข์ องการประเมิน โดยผเู้ ชี่ยวชาญแนะนาใหเ้ ปลี่ยนเกณฑ์
การประเมินการอ่านออกเสียงจาก ผ่าน และไม่ผ่าน ให้เป็นระดับ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
37
ไมอ่ า่ นออกเสียงทา้ ยคากรยิ า อา่ นออกเสียงท้ายคากริยาแต่ไมช่ ัดเจน และ อ่านออกเสียงทา้ ยคากริยา
ไดถ้ กู ตอ้ งชดั เจน
5) ปรับปรุงแก้ไขตามผลการประเมินและข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ
โดยผู้วิจัยได้เปลี่ยนเกณฑ์การประเมินการอ่านออกเสียงจาก ผ่าน และไม่ผ่าน เป็นระดับ โดยแบ่ง
ออกเป็น 3 ระดับ คือ ไม่อ่านออกเสียงท้ายคากริยา อ่านออกเสียงท้ายคากริยาแต่ไม่ชัดเจน และ
อ่านออกเสยี งท้ายคากริยาไดถ้ ูกตอ้ งชดั เจน
6) นาแบบประเมินที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขจนสมบูรณ์แล้ว ไปใช้ใน
การประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ และการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษชอ่ งท่ี 2 เตมิ –ed
2.2.2 แบบประเมนิ ความพึงพอใจในการจัดกจิ กรรม มีขนั้ ตอนการสรา้ ง ดงั น้ี
1) ศึกษาหลักเกณฑ์/วิธีการในการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจจาก
หนงั สือ และเอกสารท่ีเกย่ี วข้อง
2) กาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของความพึงพอใจและวิเคราะห์ประเด็น
คาถามท่ใี ชใ้ นการสรา้ งแบบสอบถามความพึงพอใจ
3) สร้างแบบประเมนิ ความพึงพอใจของผู้เรยี น
4) นาแบบประเมินความพึงพอใจที่สร้างข้ึนไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ
ความเหมาะสมของข้อคาถาม โดยผู้เช่ียวชาญแนะนาให้เพิ่ม – ลด ข้อคาถามแบบประเมิน เพื่อให้มี
ความชัดเจนและเหมาะสมต่อการประเมินความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้
การฟังเสยี งรว่ มกับการจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิคคู่ตรวจสอบ
5) ปรับปรุงแก้ไขตามผลการประเมินและข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญ
โดยได้เพิ่ม – ลด ข้อคาถามแบบประเมิน เพ่ือให้มีความชัดเจนและเหมาะสมต่อการประเมินความพงึ
พอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้การฟังเสียงร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
โดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ เช่น ลดข้อคาถามท่ีถามเกี่ยวกับวัตถุประสงค์สอดคล้องกับการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอน
6) นาแบบประเมินความพึงพอใจท่ีผ่านการตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไข
เรียบร้อยแลว้ ไปใชก้ ับผู้เรียนเรยี น
38
การเก็บรวบรวมข้อมลู
1. ดาเนินการสอนตามแผนการสอนที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน จานวน 3 แผนการสอน โดยให้ผู้เรียน
ฝกึ ทักษะการอ่านออกเสียงตามกิจกรรมการฝกึ ปฏบิ ัติในแต่ละแผนการสอน และบันทึกผลการปฏิบัติ
กิจกรรมระหว่างเรยี นลงในแบบประเมนิ ที่สร้างขึน้ ในแตล่ ะแผนการสอน
2. ทดสอบหลังเรียน โดยให้นักเรียนอ่านออกเสียงตามแบบทดสอบการอ่านออกเสียงท้าย
คากรยิ าภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed หลังจากเรยี นครบทง้ั 3 แผนการสอน
3. ให้นักเรียนทาแบบประเมินความพึงพอใจหลังเรียนด้วยการสอนการอ่านออกเสียงท้าย
คากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed โดยใช้การฟังเสียงร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
โดยใช้เทคนิคค่ตู รวจสอบ
4. นาผลคะแนนการทาแบบฝึกหัด และจากการประเมินความสามารถในการอ่านออกเสียงท่ี
ประเมินนักเรียนระหวา่ งการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละแผนการสอน มาหาค่าคะแนน
เฉลยี่ รอ้ ยละ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
5. นาผลคะแนนจากการอา่ นออกเสยี งท้ายคากรยิ าภาษาองั กฤษช่องท่ี 2 เติม –ed หลังเรียน
มาเปรียบเทยี บกบั เกณฑ์
6. นาผลการประเมนิ จากแบบประเมินความพึงพอใจมาวิเคราะห์
การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและสถติ ทิ ีใ่ ช้
1. เปรียบเทียบผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2 เติม –ed
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม ที่ผ่านการใช้รูปแบบการฟังเสียงจาก
เจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ โดยหาค่าเฉล่ีย
คา่ รอ้ ยละ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และได้กาหนดให้ผ่านเกณฑ์การประเมินทรี่ ้อยละ 60
2. เปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม ที่ผ่านการใช้
รูปแบบการฟังเสยี งจากเจ้าของภาษารว่ มกบั การจดั การเรียนรูแ้ บบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคตู่ รวจสอบ
กับเกณฑ์ โดยหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และได้กาหนดให้ผ่านเกณฑ์การ
ประเมนิ ทร่ี ้อยละ 50
3. วเิ คราะห์ความพงึ พอใจของนกั เรียน ท่ีมีตอ่ การเรียนโดยใช้รูปแบบการฟงั เสยี งจากเจ้าของ
ภาษารว่ มกับการจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื โดยใช้เทคนคิ คูต่ รวจสอบโดยหาค่าเฉล่ยี
39
แบบประเมินความพึงพอใจนี้ มีลักษณะข้อคาถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating
Scale) ชนิด 5 ระดับตามแนวคิดของ Likert โดยมีข้อคาถามจานวน 10 ข้อ และกาหนดระดับ
ความพึงพอใจออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545)
ระดบั 1 หมายถงึ เหมาะสม / เห็นด้วยอยู่ในระดับน้อยท่สี ุด
ระดบั 2 หมายถงึ เหมาะสม / เหน็ ด้วยอยู่ในระดับนอ้ ย
ระดับ 3 หมายถงึ เหมาะสม / เหน็ ด้วยอยู่ในระดับปานกลาง
ระดับ 4 หมายถงึ เหมาะสม / เห็นดว้ ยอยู่ในระดบั มาก
ระดับ 5 หมายถึง เหมาะสม / เหน็ ด้วยอยู่ในระดับมากที่สุด
จากนัน้ กาหนดเกณฑ์ในการแปลค่าของคะแนนดงั นี้
1.00 - 1.50 หมายถึง เหมาะสม / เห็นดว้ ยอยู่ในระดบั นอ้ ยทส่ี ดุ
1.51 - 2.50 หมายถงึ เหมาะสม / เห็นด้วยอยู่ในระดบั นอ้ ย
2.51 - 3.50 หมายถงึ เหมาะสม / เหน็ ด้วยอยูใ่ นระดบั ปานกลาง
3.51 - 4.50 หมายถึง เหมาะสม / เห็นด้วยอยใู่ นระดบั มาก
4.51 - 5.00 หมายถงึ เหมาะสม / เห็นด้วยอยใู่ นระดบั มากท่สี ดุ
บทที่ 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
ก า ร วิ จั ย ค รั้ ง น้ี มี วั ต ถุ ป ร ะส ง ค์ เ พ่ื อ ศึ ก ษ า ผ ล ก า ร พั ฒ น า ก า ร อ่ า น อ อก เ สี ย ง ท้ า ย ค า ก ริ ย า
ภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed เปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ
ช่องท่ี 2 เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม หลังจากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจาก
เจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรยี นร้แู บบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ ผู้วิจัยได้ทาการสอนโดย
ใช้แผนการสอน ที่เน้นการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ และประเมินการอ่าน
ออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ และการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม
–ed ขณะฝึกปฏิบัติตามแผนการสอนที่ 1 2 และ 3 และมีการประเมินหลังเรียนหลังจากได้เรียนตาม
แผนการสอนที่ 3 อกี ท้ัง มีการประเมินความพึงพอใจในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน
ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์ข้อมูล และนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งแบ่งเป็น 3 ตอน
ดงั ต่อไปน้ี
ตอนท่ี 1 ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2 เติม –ed
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม ท่ีผ่านการใช้รูปแบบการฟังเสียงจาก
เจา้ ของภาษารว่ มกบั การจัดการเรียนรแู้ บบร่วมมือโดยใช้เทคนคิ คตู่ รวจสอบ
ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษชอ่ งที่ 2
เติม –ed หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม ที่ผ่านการใช้
รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ
กบั เกณฑ์
ตอนท่ี 3 ผลการศกึ ษาความพึงพอใจของผูเ้ รยี น หลังจากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟัง
เสยี งจากเจ้าของภาษาร่วมกบั การจัดการเรยี นร้แู บบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิคค่ตู รวจสอบ
41
ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2 เติม –ed ของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม ที่ผ่านการใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษา
รว่ มกับการจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื โดยใช้เทคนคิ คตู่ รวจสอบ
ในการวเิ คราะห์ผลการพัฒนาการอ่านออกเสยี งท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ช่องที่ 2 เตมิ –ed
ผู้วิจัยนาเสนอผลการวิเคราะห์โดยจาแนกตามแผนการสอน ซ่ึงมีจานวนทั้งหมด 3 แผนการสอน
ดังตารางท่ี 4-1 – 4-6
ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอัง กฤ ษหลังจากได้รับกา รสอน ต า ม
แผนการสอนท่ี 1 ผู้วจิ ยั นาเสนอการวเิ คราะหข์ อ้ มลู จาแนกตามรายบคุ คล ดังตารางท่ี 4-1
ตารางที่ 4-1 ตารางแสดงผลการพัฒนาการอา่ นออกเสียงท้ายคากรยิ าภาษาอังกฤษหลงั จากไดร้ บั
การสอนตามแผนการสอนท่ี 1 จาแนกตามรายบุคคล
ผลการพัฒนาการอา่ นออกเสียงท้าย
เลขท่ี คากรยิ าภาษาอังกฤษ ร้อยละ เกณฑผ์ ่านรอ้ ยละ 60
(คะแนนเตม็ 20) ผ่าน
ผา่ น
1 19.29 96.43 ผา่ น
ผ่าน
2 15.86 79.29 ผา่ น
ผ่าน
3 18.71 93.57 ผ่าน
ผ่าน
4 17.86 89.29 ผ่าน
ผา่ น
5 18.86 94.29 ผา่ น
ผ่าน
6 19.71 98.57 ผ่าน
ผา่ น
7 19.86 99.29 ผ่าน
8 20.00 100.00
9 19.43 97.14
10 19.57 97.86
11 19.29 96.43
12 20.00 100.00
13 17.71 88.57
14 19.86 99.29
15 17.86 89.29
42
16 18.86 94.29 ผา่ น
17 19.71 98.57 ผ่าน
18 19.86 99.29 ผ่าน
19 20.00 100.00 ผา่ น
20 19.43 97.14 ผา่ น
21 19.57 97.86 ผา่ น
22 19.29 96.43 ผา่ น
23 20.00 100.00 ผ่าน
24 17.71 88.57 ผ่าน
25 19.86 99.29 ผ่าน
26 20.00 100.00 ผา่ น
27 17.71 88.57 ผา่ น
28 19.86 99.29 ผา่ น
จากตารางแสดงให้เหน็ ว่าผลการพัฒนาการอา่ นออกเสียงทา้ ยคากริยาภาษาอังกฤษ หลงั จาก
ได้รับการสอนตามแผนการสอนที่ 1 ของนักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ และคะแนนสูงสุด
ต่าสุด คอื 20.00 และ 15.86 ตามลาดบั
ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม -ed หลังจากได้รับ
การสอนตามแผนการสอนท่ี 2 ผู้วิจัยนาเสนอการวิเคราะห์ข้อมูล จาแนกตามรายบุคคล
ดงั ตารางที่ 4-2
ตารางท่ี 4-2 ตารางแสดงผลการพฒั นาการอ่านออกเสยี งทา้ ยคากรยิ าภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม -ed
หลังจากได้รบั การสอนตามแผนการสอนท่ี 2 จาแนกตามรายบุคคล
ผลการพัฒนาการอ่านออกเสยี งทา้ ย เกณฑ์ผา่ นร้อยละ 60
เลขท่ี คากรยิ าภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 รอ้ ยละ
ผ่าน
เติม -ed (คะแนนเตม็ 20) ผา่ น
1 18 90.00 ผ่าน
2 14 70.00 ผา่ น
3 13 65.00
4 17 85.00
43
5 14 70.00 ผา่ น
6 20 100.00 ผา่ น
7 19 95.00 ผา่ น
8 19 95.00 ผา่ น
9 20 100.00 ผา่ น
10 13 65.00 ผ่าน
11 15 75.00 ผา่ น
12 20 100.00 ผ่าน
13 15 75.00 ผ่าน
14 16 80.00 ผ่าน
15 18 90.00 ผ่าน
16 14 70.00 ผา่ น
17 13 65.00 ผ่าน
18 17 85.00 ผ่าน
19 14 70.00 ผา่ น
20 20 100.00 ผา่ น
21 19 95.00 ผ่าน
22 19 95.00 ผา่ น
23 20 100.00 ผา่ น
24 13 65.00 ผา่ น
25 15 75.00 ผา่ น
26 20 100.00 ผ่าน
27 15 75.00 ผ่าน
28 15 75.00 ผา่ น
จากตารางแสดงให้เห็นว่าผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2
เตมิ -ed หลงั จากไดร้ ับการสอนตามแผนการสอนท่ี 2 ของนกั เรยี นทุกคนผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ และ
คะแนนสูงสดุ ต่าสุด คือ 20 และ 13 ตามลาดับ