44
ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed ในระดับ
ประโยคและย่อหน้า หลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอนท่ี 3 แบบฝึกท่ี 1 และแบบฝึกที่ 2
ผู้วิจัยนาเสนอการวเิ คราะหข์ ้อมลู จาแนกตามรายบคุ คล ดังตารางท่ี 4-3 และ 4-4 ตามลาดบั
ตารางที่ 4-3 ตารางแสดงผลการพัฒนาการอ่านออกเสยี งท้ายคากรยิ าภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
ในระดับประโยคและย่อหน้า หลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอนท่ี 3 แบบฝึกที่ 1
จาแนกตามรายบุคคล
ผลการพฒั นาการอ่านออกเสยี งท้าย
เลขท่ี คากรยิ าภาษาองั กฤษช่องที่ 2 เติม รอ้ ยละ เกณฑ์ผา่ นร้อยละ 60
–ed ในระดับประโยคและย่อหนา้
ผ่าน
แบบฝึกท่ี 1 (คะแนนเต็ม 25) ผา่ น
ไมผ่ า่ น
1 16 64.00 ผา่ น
ผา่ น
2 23 92.00 ผา่ น
ผา่ น
3 14 56.00 ผ่าน
ผ่าน
4 22 88.00 ผา่ น
ผ่าน
5 24 96.00 ผ่าน
ไม่ผา่ น
6 24 96.00 ผ่าน
ไมผ่ า่ น
7 24 96.00 ผ่าน
ผา่ น
8 25 100.00 ผ่าน
ผ่าน
9 21 84.00
10 24 96.00
11 24 96.00
12 25 100.00
13 14 56.00
14 20 80.00
15 14 56.00
16 22 88.00
17 24 96.00
18 24 96.00
19 24 96.00
45
20 25 100.00 ผ่าน
21 21 84.00 ผา่ น
22 24 96.00 ผา่ น
23 24 96.00 ผา่ น
24 25 100.00 ผา่ น
25 14 56.00 ไม่ผา่ น
26 20 80.00 ผ่าน
27 24 96.00 ผา่ น
28 24 96.00 ผ่าน
จากตารางแสดงให้เห็นว่าผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2
เติม –ed ในระดับประโยคและย่อหน้า หลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอนที่ 3 แบบฝึกที่ 1
มีผู้ผ่านเกณฑ์ที่กาหนดไว้ คือ ร้อยละ 60 ข้ึนไป จานวน 24 คน และมีผู้ไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 4 คน
และคะแนนสูงสดุ ต่าสดุ คอื 25 และ 14 ตามลาดบั
ตารางที่ 4-4 ตารางแสดงผลการพฒั นาการอา่ นออกเสยี งท้ายคากรยิ าภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed
ในระดับประโยคและย่อหน้า หลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอนที่ 3 แบบฝึกท่ี 2
จาแนกตามรายบคุ คล
ผลการพัฒนาการอา่ นออกเสียงทา้ ย
เลขที่ คากริยาภาษาองั กฤษชอ่ งท่ี 2 รอ้ ยละ เกณฑผ์ ่านรอ้ ยละ 60
เตมิ –ed ในระดบั ประโยคและย่อหน้า
ผา่ น
แบบฝึกที่ 2 (คะแนนเตม็ 20) ผ่าน
ผ่าน
1 19 95.00 ผ่าน
ผา่ น
2 19 95.00 ผา่ น
ผา่ น
3 17 85.00 ผ่าน
4 16 80.00
5 16 80.00
6 15 75.00
7 20 100.00
8 20 100.00
46
9 13 65.00 ผ่าน
10 14 70.00 ผ่าน
11 15 75.00 ผ่าน
12 20 100.00 ผ่าน
13 13 65.00 ผ่าน
14 15 75.00 ผ่าน
15 19 95.00 ผา่ น
16 19 95.00 ผ่าน
17 17 85.00 ผ่าน
18 16 80.00 ผ่าน
19 16 80.00 ผ่าน
20 15 75.00 ผา่ น
21 20 100.00 ผา่ น
22 20 100.00 ผ่าน
23 13 65.00 ผา่ น
24 14 70.00 ผ่าน
25 15 75.00 ผ่าน
26 20 100.00 ผา่ น
27 17 85.00 ผ่าน
28 16 80.00 ผ่าน
จากตารางแสดงให้เห็นว่าผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2
เติม –ed ในระดับประโยคและย่อหน้า หลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอนที่ 3 แบบฝึกท่ี 2
ของนกั เรยี นทกุ คนผ่านเกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ และคะแนนสงู สดุ ตา่ สุด คอื 20 และ 13 ตามลาดบั
จากการวิเคราะห์ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2
เติม –ed ข้างต้น ผู้วิจัยนาเสนอผลการวิเคราะห์โดยจาแนกตามแผนการสอน ซ่ึงมีจานวนทั้งหมด 3
แผนการสอน โดยแสดงค่าเฉลีย่ คา่ รอ้ ยละและสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ดังตารางท่ี 4-5 และ 4-6
47
ตารางที่ 4-5 ตารางแสดงค่าเฉลย่ี และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของผลการพฒั นาการอา่ นออกเสยี ง
ท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed หลังจากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบ
การฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค
คู่ตรวจสอบ
ผลการพฒั นา คะแนนเต็ม ค่าเฉล่ยี S.D.
การอ่านออกเสียงทา้ ยคากริยาภาษาอังกฤษตามแผนการสอนท่ี 1 20 19.00 1.12
การอา่ นออกเสียงทา้ ยคากริยาภาษาองั กฤษ ชอ่ งท่ี 2 เตมิ –ed
ตามแผนการสอนท่ี 2 20 16.64 2.58
การอา่ นออกเสยี งท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2 เตมิ แบบฝึกท่ี 1 25 21.43 3.81
–ed ในระดับประโยคและยอ่ หน้าตามแผนการสอนท่ี 3 แบบฝึกท่ี 2 20 16.57 2.50
รวม 70 61.21 0.95
จากตารางแสดงให้เห็นว่าผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาองั กฤษ ช่องที่ 2 เตมิ –ed หลงั จากไดร้ ับการสอนตามแผนการสอนท่ี 1 2 และ 3 พบว่าค่าเฉลี่ย
ของผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed เท่ากับ 61.21
โดยในจานวนนี้ ผลการพัฒนาการอา่ นออกเสียงทา้ ยคากริยาภาษาอังกฤษชอ่ งท่ี 2 เตมิ –ed ตามแผน
การสอนท่ี 3 แบบฝึกที่ 1 มีค่าเฉล่ียสูงสุด รองลงมาคือ แผนการสอนที่ 1 แผนการสอนที่ 2 และ
แผนการสอนที่ 3 แบบฝึกที่ 2 ตามลาดบั
ตารางที่ 4-6 ตารางแสดงค่ารอ้ ยละ และการเปรยี บเทยี บผลการพฒั นาการอ่านออกเสยี งทา้ ย
คากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed กับเกณฑ์ท่ีผู้วิจัยกาหนดไว้ หลังจากได้รับการ
สอนโดยใชก้ ารฟังเสียงรว่ มกบั การจดั การเรียนร้แู บบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนคิ คู่ตรวจสอบ
ผลการพฒั นา คะแนน เกณฑ์ จานวน รอ้ ยละ
การอา่ นออกเสียงทา้ ยคากรยิ าภาษาองั กฤษตามแผนการสอนที่ 1 ร้อยละ (ผ่านรอ้ ยละ 60) ผเู้ รยี น
95.00 ผา่ น 28 100.00
48
การอา่ นออกเสยี งทา้ ยคากรยิ าภาษาอังกฤษ ชอ่ งที่ 2 เตมิ –ed 83.21 ไม่ผา่ น --
ตามแผนการสอนท่ี 2 85.71 ผ่าน 28 100.00
82.86 ไม่ผา่ น --
การอา่ นออกเสยี งท้ายคากรยิ า แบบฝกึ ท่ี 1 ผา่ น 24 85.71
ภาษาอังกฤษ ชอ่ งท่ี 2 เตมิ –ed ในระดับ แบบฝึกที่ 2 ไม่ผา่ น 4 14.29
ประโยคและยอ่ หน้าตามแผนการสอนที่ 3 ผ่าน 28 100.00
ไมผ่ า่ น --
จากตารางแสดงให้เห็นว่าผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริ ยา
ภาษาองั กฤษ ช่องที่ 2 เติม –ed กับเกณฑ์ท่ีผวู้ ิจัยกาหนดไว้ หลงั จากไดร้ ับการสอนตามแผนการสอน
ที่ 1, 2 และ 3 แบบฝึกท่ี 2 ของผู้เรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ คือ ร้อยละ 60 คิดเป็น
ร้อยละ 100
แต่อย่างไรก็ตาม แผนการสอนที่ 3 แบบฝึกท่ี 1 มีผู้ผ่านเกณฑ์ที่กาหนดไว้ คือ ร้อยละ 60
จานวน 24 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 85.71 และมีผูไ้ มผ่ า่ นเกณฑ์ จานวน 4 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 14.29
ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2
เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม
หลังจากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ
รว่ มมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบเทยี บกบั เกณฑ์
ในการวิเคราะห์ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ
ช่องท่ี 2 เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียนกับเกณฑ์ หลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอนที่ 1, 2
และ 3 ผวู้ ิจัยนาเสนอผลการวเิ คราะห์จาแนกตามรายบคุ คล ดงั ตารางท่ี 4-7
ตารางที่ 4-7 ตารางแสดงผลการเปรยี บเทยี บการพัฒนาการอา่ นออกเสยี งทา้ ยคากรยิ าภาษาอังกฤษ
ช่องท่ี 2 เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียนกับเกณฑ์ หลังจากได้รับการสอนตาม
แผนการสอนท่ี 1, 2 และ 3 จาแนกตามรายบคุ คล
49
เลขที่ ผลการอา่ นออกเสยี งท้าย ผลการพฒั นาการอา่ นออก รอ้ ยละ เกณฑ์ผา่ นรอ้ ยละ
คากรยิ าภาษาองั กฤษช่อง เสยี งท้ายคากริยา 50
ที่ 2 เติม –ed ก่อนเรยี น
ภาษาอังกฤษช่องท่ี 2
(คะแนนเตม็ 20) เติม –ed หลังเรียน
(คะแนนเตม็ 20)
17 10 50 ผ่าน
90 ผ่าน
24 18 35 ไมผ่ า่ น
50 ผา่ น
33 7 85 ผา่ น
100 ผ่าน
44 10 80 ผ่าน
100 ผ่าน
55 17 85 ผา่ น
85 ผา่ น
67 20 70 ผา่ น
100 ผา่ น
78 16 45 ไม่ผา่ น
90 ผา่ น
84 20 45 ไมผ่ า่ น
85 ผ่าน
96 17 50 ผ่าน
85 ผา่ น
10 5 17 100 ผ่าน
80 ผ่าน
11 6 14 100 ผ่าน
85 ผา่ น
12 6 20 85 ผ่าน
70 ผ่าน
13 3 9 45 ไม่ผา่ น
14 7 18
15 2 9
16 5 17
17 4 10
18 5 17
19 7 20
20 8 16
21 4 20
22 6 17
23 5 17
24 4 14
25 2 9
50
26 5 12 60 ผา่ น
27 7 18 90 ผ่าน
28 6 14 70 ผา่ น
จากตารางแสดงให้เห็นว่าผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียน หลังจากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟงั
เสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบเทียบกับเกณฑ์
มีนักเรียนทผี่ ่านเกณฑ์ทกี่ าหนดไว้ จานวน 24 คน และ ไม่ผา่ นเกณฑ์จานวน 4 คน คะแนนก่อนเรียน
สูงสดุ ต่าสดุ คือ 8 และ 2 ตามลาดบั และคะแนนหลังเรยี นสงู สุด ตา่ สุด คือ 20 และ 7 ตามลาดบั
จากการวิเคราะห์ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ
ช่องท่ี 2 เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียน หลังจากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจาก
เจา้ ของภาษาร่วมกบั การจดั การเรียนรู้แบบรว่ มมือโดยใช้เทคนคิ ค่ตู รวจสอบเทียบกับเกณฑ์ โดยแสดง
คา่ เฉล่ีย คา่ รอ้ ยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดังตารางท่ี 4-8
ตารางที่ 4-8 ตารางแสดงค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการเปรียบเทียบผลการ
เปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed ก่อนเรียนและ
หลงั เรยี น หลงั จากไดร้ บั การสอนโดยใช้รปู แบบการฟังเสยี งจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้
แบบรว่ มมือโดยใช้เทคนิคคตู่ รวจสอบเทยี บกับเกณฑ์
ผลการพัฒนา คะแนนเตม็ คา่ เฉล่ีย S.D. เกณฑผ์ ่าน จานวน
20 5.45 (รอ้ ยละ 50/ ผู้เรยี น รอ้ ยละ
การอา่ นออกเสียงทา้ ยคากรยิ า 20 14.86 10 คะแนน)
ภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เตมิ –ed
กอ่ นเรียน ผ่าน --
การอา่ นออกเสยี งท้ายคากรยิ า 28 100
ภาษาองั กฤษช่องท่ี 2 เตมิ –ed 2.47
หลงั เรียน ไมผ่ า่ น
ผา่ น 24 85.71
4 14.29
4.32
ไม่ผา่ น
51
จากตารางแสดงให้เห็นว่าผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2 เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียนกับเกณฑ์ หลังจากได้รับการสอนตาม
แผนการสอนท่ี 1 2 และ 3 พบว่า ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.86 โดยมีผู้ผ่านเกณฑ์ที่กาหนดไว้ คือ ร้อยละ
50 จานวน 24 คน คิดเปน็ ร้อยละ 85.71 และมผี ู้ไมผ่ ่านเกณฑ์ จานวน 4 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 14.29
ตอนท่ี 3 ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจของผู้เรยี น หลงั จากไดร้ ับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟังเสยี งจาก
เจา้ ของภาษารว่ มกบั การจัดการเรียนรู้แบบรว่ มมอื โดยใช้เทคนคิ คตู่ รวจสอบ
ในการศึกษาความพงึ พอใจของผูเ้ รียน หลงั จากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจาก
เจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์และ
นาเสนอผลการวิเคราะห์ ดงั ตารางที่ 4-9
ตารางท่ี 4-9 ตารางแสดงผลการวิเคราะหก์ ารศึกษาความพงึ พอใจของผู้เรียน หลงั จากได้รับการสอน
โดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่
ตรวจสอบ
กิจกรรม ร้อยละความถใี่ นแต่ละระดับ ค่าเฉลยี่ SD แปล
ความพึงพอใจ ความ
1. นักเรยี นรสู้ กึ สนุกสนานกับกิจกรรมการเรยี นน้ี 4.93 0.26
2. นกั เรียนชอบทไี่ ด้ฝกึ ออกเสียงกบั เพอื่ นหลังจากทไี่ ดฟ้ ัง 5 4 321 4.79 0.41 มากทส่ี ุด
เสยี งจากเทปและครู 4.79 0.41 มากท่ีสุด
3. นกั เรยี นชอบท่ไี ด้เป็นผปู้ ระเมินหรอื ตรวจงานใหเ้ พอื่ น 92.86 7.14 0.00 0.00 0.00 4.71 0.45 มากท่สี ุด
4. นกั เรียนมีความภมู ิใจในตนเองท่ีไดป้ ระเมินหรือตรวจงาน 4.71 0.45 มากทส่ี ุด
ใหเ้ พอ่ื น 78.57 21.43 0.00 0.00 0.00 4.64 0.48 มากทีส่ ุด
5. นักเรยี นชอบทไี่ ด้สอบออกเสียงกันเพื่อน 4.71 0.45 มากทส่ี ุด
6. นกั เรยี นชอบทไ่ี ด้ฝกึ กบั เพอ่ื นหลาย ๆ คนในห้อง 78.57 21.43 0.00 0.00 0.00 มากท่ีสุด
7. นักเรียนชอบที่จะแกไ้ ขใหเ้ พอื่ น เมือ่ เพอ่ื นออกเสียงไม่ถกู
หรอื ตอบไมถ่ ูกตอ้ ง 71.43 28.57 0.00 0.00 0.00
71.43 28.57 0.00 0.00 0.00
64.29 35.71 0.00 0.00 0.00
71.43 28.57 0.00 0.00 0.00
52
8. นกั เรียนรสู้ กึ ชอบภาษาองั กฤษมากกวา่ เดิม 78.57 21.43 0.00 0.00 0.00 4.79 0.41 มากที่สุด
9. นกั เรียนเข้าใจบทเรียนมากข้นึ เมอ่ื ทากิจกรรมรว่ มกบั 92.86 7.14 0.00 0.00 0.00 4.93 0.26 มากท่ีสุด
เพือ่ น
10. นกั เรียนอยากให้ครสู อนโดยใหท้ ากจิ กรรมกบั เพ่อื นอีก 85.71 14.29 0.00 0.00 0.00 4.86 0.35 มากที่สุด
ผลการประเมนิ ความพึงพอใจของผเู้ รยี น 4.79 0.41 มากท่ีสดุ
จากตารางแสดงให้เห็นว่าผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียน หลังจากได้รับการสอนโดย
ใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่
ตรวจสอบ ผู้เรียนมีความพึงพอใจมากที่สุดต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเฉพาะนักเรียน
รู้สึกสนุกสนานกับกิจกรรมการเรียนนี้ และนักเรียนเข้าใจบทเรียนมากขึ้น เม่ือทากิจกรรมร่วมกับ
เพอ่ื น
บทท่ี 5
สรุปผลการวจิ ัย อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed เปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ
ช่องที่ 2 เติม –ed ก่อนเรียนและหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม หลังจากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจาก
เจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิคคู่ตรวจสอบ กลมุ่ เป้าหมายในการวิจัย
คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562
จานวน 28 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยนี้ประกอบด้วย เครื่องมือท่ีใช้ในการทดลอง ได้แก่
แผนการสอนการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม -ed จานวน 3 แผนการสอน
และแบบฝึกหัดเพื่อใช้ฝึกปฏิบัติตามแผนการสอน ได้แก่ แบบฝึกบัตรคากริยา แบบฝึกหัดระบุเสียง
ท้ายคากริยาช่องท่ี 2 เติม –ed แบบฝึกหัดระบุเสียงท้ายคากริยาช่องที่ 2 เติม –ed ในระดับประโยค
และระดับย่อหน้า และเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบการอ่านออกเสียง
ท้ายคากริยาช่องที่ 2 เติม –ed ในระดับย่อหน้า แบบทดสอบหลังเรียนวัดความสามารถในการอ่าน
ออกเสียงท้ายคากริยาช่องที่ 2 เติม –ed แบบประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ
แบบประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed ในระดับประโยคและ
ระดับย่อหน้า แบบประเมินการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed หลังเรียน
และแบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม –ed โดยใช้รูปแบบการฟังเสยี งจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้
แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ สาหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์หาค่าเฉล่ีย
ค่ารอ้ ยละ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
54
สรปุ ผลการวิจยั
1. ผลการพัฒนาการอา่ นออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ ชอ่ งที่ 2 เตมิ –ed ของนกั เรียน
หลังจากได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ
รว่ มมอื โดยใช้เทคนิคคตู่ รวจสอบ สามารถสรปุ แยกตามรายแผนการสอนได้ ดังน้ี
1.1 ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังจาก
ได้รับการสอนตามแผนการสอนท่ี 1 นักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ คือ ร้อยละ 60 คิดเป็น
ร้อยละ 100
1.2 ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม -ed
ของนักเรียนหลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอนท่ี 2 นักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ คือ
รอ้ ยละ 60 คิดเป็นร้อยละ 100
1.3 ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาองั กฤษช่องที่ 2 เติม –ed ใน
ระดับประโยคและย่อหน้า หลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอนที่ 3 แบบฝึกท่ี 1 มีผู้ผ่านเกณฑ์ท่ี
กาหนดไว้ คือ ร้อยละ 60 ข้ึนไป จานวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 85.71 และมีผู้ไม่ผ่านเกณฑ์
จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 14.29 และ ผลการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษ
ช่องที่ 2 เติม –ed ในระดับประโยคและย่อหน้าของนักเรียนหลังจากได้รับการสอนตามแผนการสอน
ท่ี 3 แบบฝึกท่ี 2 นักเรยี นทุกคนผา่ นเกณฑ์ทก่ี าหนดไว้ คอื รอ้ ยละ 60 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100
2. ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องที่ 2 เติม
–ed ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้
แบบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนิคค่ตู รวจสอบเทยี บกับเกณฑ์ มนี กั เรียนผ่านเกณฑ์ที่กาหนดไว้ คอื รอ้ ยละ 50
จานวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 85.71 และมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ
14.29
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้การฟังเสียงร่วมกับ
การจดั การเรยี นรูแ้ บบร่วมมือ อยูใ่ นระดบั มากทีส่ ุด
55
อภิปรายผลการวิจัย
จากผลการวิจัยดงั กล่าวมปี ระเดน็ สาคญั ทคี่ วรนามาอภิปราย ดงั นี้
1. การสอนอ่านออกเสียงโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัด
การเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ ช่วยส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2 เติม –ed ของนักเรียน โดยมีผู้ผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ คือ ร้อยละ 50 จานวน
24 คน คิดเป็นร้อยละ 85.71 ด้วยเหตผุ ลหลายประการ ดังต่อไปน้ี
ประการแรก ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงจากการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้
เทคนิคคู่ตรวจสอบ ท่ีมีการช่วยเหลือ เกิดการแลกเปล่ียน เรียนรู้ และแก้ไขซึ่งกันและกัน มีความรัก
ใคร่และมีความสามัคคีจากกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้เรียนท่ีสามารถอ่านออกเสียงได้ถูกต้องได้
ช่วยเหลือผู้เรียนที่อ่านออกเสียงไม่ถูกต้อง ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติร่วมกันกับคู่ และแลกเปล่ียนกัน
ตรวจสอบการฝกึ ปฏิบตั ิและการทาแบบฝึกหัด ทาให้ผ้เู รียนมคี วามภาคภูมใิ จที่ได้ชว่ ยเหลือ และตรวจ
งานหรือการฝึกปฏิบัติให้เพ่ือน ผู้เรียนมีความสมั พันธ์ในการชว่ ยเหลอื ซึ่งกันและกัน กล้าซักถามในขอ้
สงสัยต่าง ๆ ผู้เรียนให้ความรู้แก่เพ่ือน จึงทาให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในทฤษฎีและสามารถอ่านออก
เสียงได้อย่างถูกต้อง และท่ีสาคัญ การเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบน้ี ผู้เรียนได้ร่วมกัน
ฝกึ ปฏิบตั ิ ชว่ ยเหลือ ตรวจสอบ และแนะนาพร้อมทั้งแก้ไขให้เพ่ือน ซ่ึงลกั ษณะการเรียนรู้แบบร่วมมือ
โดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบน้ี สอดคล้องกับกรมวิชาการ (2544 : 45 - 46) กล่าวว่า ประโยชน์ที่สาคัญ
ของการเรียนรู้แบบร่วมมือ คอื เปน็ การสรา้ งความสัมพนั ธ์ทีด่ ีระหว่างสมาชิก เพราะทุก ๆ คนร่วมมือ
ในการทางาน ทุก ๆ คน มสี ว่ นรว่ มเท่าเทียมกันทาใหเ้ กิดเจตคติท่ีดีต่อการเรยี น สง่ เสรมิ ใหส้ มาชิกทุก
คนมีโอกาสคิด พูด แสดงออก ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเด็กท่ี
เรียนไม่เก่ง ทาให้เด็กเก่งภาคภูมิใจ รู้จักสละเวลา ส่วนเด็กอ่อนเกิดความซาบซึ้งในน้าใจของเพื่อน
สมาชิกด้วยกนั ทาให้ร้จู ักรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผู้อนื่ การรว่ มคิด การระดมความคิด นาข้อมลู ท่ีได้มา
พิจารณาร่วมกันเพื่อหาคาตอบที่เหมาะสมที่สุด เป็นการส่งเสริมให้ช่วยกันคิดหาข้อมูลให้มาคิด
วิเคราะห์และเกิดการตดั สินใจ สง่ เสริมทักษะทางสงั คม ทาให้ผู้เรยี นรจู้ กั ปรบั ตัวในการอยู่ รว่ มกันดว้ ย
อย่างมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ตลอดจนส่งเสริมทักษะการส่ือสาร ทักษะการทางานเป็นกลุ่ม สามารถ
ทางานร่วมกับผูอ้ นื่ ได้ ส่งิ เหลา่ นี้ล้วนสง่ เสริมผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ใหส้ ูงข้ึน
ประการทส่ี อง ในข้ันตอนของกิจกรรมพัฒนาทกั ษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษผู้วิจัย
ได้เน้นให้มี การฟังเสียงท่ีถูกต้องท้ังจากครูผู้สอนและเจ้าของภาษา เพ่ือให้ผู้เรียนได้เข้าใจถึง
รายละเอยี ด ความเหมือน หรอื ความต่างของเสยี งต่าง ๆ จากน้ันจึงฝกึ การอ่านออกเสียงรว่ มกับเพ่ือน
56
ซ่ึงสอดคล้องตามทฤษฎีของ McCarthy (1978 : 15) ท่ีว่า ก่อนท่ีผู้เรียนจะสามารถออกเสียงใหม่ใน
ภาษาทส่ี องหรือภาษาตา่ งประเทศได้ เขาต้องรับรเู้ สียงนัน้ เสียกอ่ น ซง่ึ หมายความว่า ตอ้ งใสใ่ จฟัง และ
สงั เกตรายละเอยี ดของเสียงเหลา่ นั้น อกี ทั้งในขั้นตอนของกิจกรรมพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง
ภาษาองั กฤษ ผู้วจิ ยั ได้ฝกึ ใหผ้ ู้เรยี นอ่านออกเสียงพยัญชนะก่อนเป็นอนั ดับแรก จากนน้ั จึงให้ผูเ้ รียนฝึก
อ่านออกเสียงพยัญชนะนั้นในตาแหน่งท้ายคา ซึ่งผู้วิจัยสร้างข้ึนโดยปรับจากหลักการฝึกพูด
ภาษาอังกฤษของ พิณทิพย์ ทวยเจริญ (2539 : 6) ซึ่งกล่าวไว้ว่า ในการพูดภาษาอังกฤษให้มีสาเนียง
คล้ายเจ้าของภาษานั้น ผู้ฝึกจาเป็นต้องฝึกหัดออกเสียงพยัญชนะและสระให้ชัดเจนใกล้เคียงกับ
เจ้าของภาษาเป็นลาดับแรก ต่อไปจึงฝึกเสียงพยัญชนะท่ีเกิดข้ึนในคาในตาแหน่งต้นพยางค์ และ
ตาแหน่งท้ายพยางค์ จาทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีระบบ และสามารถอ่านออกเสียงได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ
ประการท่ีสาม ปัจจัยท่ีส่งผลต่อการพัฒนาความสามารถในการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed สาเร็จได้ ส่วนหน่ึงเกิดจากการที่ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชา
ภาษาอังกฤษ ชอบเรียนภาษาอังกฤษ อีกท้ังรวมถึงบุคลิกภาพของผู้เรียนท่ีกล้าแสดงออก มีความ
อยากรู้อยากเห็น ซ่ึงสอดคล้องตามความสาเร็จของงานวิจัยของ ปรียา โนแก้ว และประนุท สุขศรี
(2542) ที่ทากับนักศึกษาวิชาเอกภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์ ซึ่งสรุปได้ว่า ถ้าผู้เรียนมีทัศนคติดี
ต่อการเรียนภาษาอังกฤษ การออกเสียงก็จะดีตามไปด้วย ผู้ที่ประสบความสาเร็จในการออกสียงเกิน
กว่าคร่ึงมิได้เรียนกับเจ้าของภาษาในวัยเด็กมาก่อน ทัศนคติน้ีอาจเป็นผลรวมจากหลายปัจจัย เช่น
บุคลิกภาพของผู้เรียน ถ้าผู้เรียนที่เป็นคนชอบแสดงออก ม่ันใจ และกล้าเสี่ยง จะมีโอกาสประสบ
ความสาเร็จมากกว่าผเู้ รียนที่เกบ็ ตัว ไม่ชอบแสดงออก และไมก่ ลา้ เสี่ยงเพราะกลวั ผิด
ประการสุดท้าย ผู้วิจัยได้ให้การเสริมแรงทางบวก โดยการให้คาชมเมื่อออกเสียงได้ถูกต้อง
และชดั เจน เชน่ Good, Very good, Perfect ทาให้ผูเ้ รียนเกดิ ทัศนคตทิ ดี่ ี มีความสุขในการฝึกปฏิบัติ
มีความมั่นใจและมีความพยายามมากขึ้นในการอ่านออกเสียง อย่างไรก็ตามเม่ือผู้เรียนออกเสียงผิด
ผู้วิจัยได้แก้ไขโดยการออกเสียงท่ีถูกต้องทันทีและเสริมแรงทางบวกโดยการให้กาลังใจในการ
พัฒนาการออกเสียงท่ีถูกต้องต่อไป อีกทั้งการให้ของรางวัลระหว่างฝึกปฏิบัติ ซึ่งผู้วิจัยได้ให้ขนมและ
นมกลอ่ งแก่ผเู้ รียนเพอ่ื เปน็ รางวลั เม่อื ออกเสียงได้ถูกตอ้ งชัดเจน สง่ ผลให้ผเู้ รยี นมคี วามม่งุ มนั่ ในการฝึก
อ่านออกเสียงมากย่ิงขึ้น ให้ความร่วมมือต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และสามารถอ่านออก
เสยี งได้ดแี ละชดั เจนมากยิ่งขึ้น ดงั นน้ั การเสริมแรงทางบวกมผี ลต่อการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น ซ่งึ สอดคล้อง
กับทฤษฎีการเรียนรู้การวางเง่ือนไขแบบการกระทา (Operant Conditioning Theory) ของ B.F.
57
Skinner (2555) โดยมีแนวคิดพ้ืนฐานว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ของมนุษย์อยู่ภายใต้อิทธิพลของ
เง่ือนไขการเสริมแรงและการลงโทษ การให้การเสริมแรง (Reinforcement) เป็นสิ่งสาคัญในการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ และถือได้ว่าเป็นการให้กาลังใจแก่ผู้เรียนแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การเสริมแรง
ทางบวก (Positive Reinforcement) และการเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement)
การเสริมแรงทางบวก เป็นการทาให้เกิดความพึงพอใจ ก่อให้เกิดการแสดงพฤติกรรมคงท่ี หรือเพ่ิม
มากขึ้น อาจกล่าวได้ว่า เป็นการให้ส่ิงที่ดีหลังจากได้ทาพฤติกรรมที่ดี ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เรียนสอบ
ได้ผลการเรียนเป็นอันดับหน่งึ ของห้อง ครผู สู้ อนอาจจะให้รางวลั เปน็ สงิ่ ตอบแทน เชน่ การใหข้ องขวัญ
การให้ดาว นอกเหนือจากเสริมแรงด้วยส่ิงของแล้ว ครูผู้สอนอาจจะเสริมแรงทางกายและวาจาร่วม
ด้วย ซึ่งทางวาจาเป็นการให้กาลังใจโดยผ่านทางคาพูด โดยกล่าวคาชมเชยเม่ือทาดี เช่น ในการสอน
ภายในช้ันเรียน ครูอาจจะต้ังคาถามเพ่ือท่ีจะกระตุ้นให้เกิดการคิด เมื่อผู้เรียนตอบถูกต้อง ควรกล่าว
คาชมเพ่ือเป็นการเสริมกาลังใจ หรืออาจจะแสดงออกผ่านทางกาย ด้วยสีหน้า ท่าทาง โดยการยิ้ม
พยักหน้า การสัมผัส หรือให้เพื่อนในช้ันเรียนปรบมือให้ อีกท้ังยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ
ปรียา โนแก้ว และประนุท สุขศรี ( 2545: 23) ท่ีทากับนักศึกษาวิชาเอกภาษาอังกฤษ
คณะมนษุ ยศาสตร์ ทก่ี ล่าวไวว้ ่า การใหค้ าชมเชยเม่ือนักศึกษาออกเสียงถูกต้องถือเปน็ เร่ืองสาคัญและ
มผี ลดตี ่อการเรยี นสงู มาก
2. การสอนอ่านออกเสียงโดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัด
การเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ แม้ว่าจะช่วยส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงท้าย
คากริยาภาษาอังกฤษ ช่องท่ี 2 เติม –ed ของนักเรียน แต่มีผู้ท่ีไม่ผ่านเกณฑ์ที่กาหนดไว้ คือ ร้อยละ
50 จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 14.29 ซึ่งไม่สอดคล้องตามสมมติฐานที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้ ด้วยเหตุผล
หลายประการ ดังตอ่ ไปน้ี
ประการแรก การที่ผู้เรียนไม่สามารถอ่านออกเสียงได้ถูกต้อง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากผู้เรยี น
อา่ นออกเสยี งคากริยาชอ่ งที่ 2 เตมิ –ed ตามรูปท่ีเห็น เชน่ walked อา่ นเป็น วอล์คเคด็ ท้ังทจี่ รงิ แลว้
ตามหลักการฝึกพูดภาษาอังกฤษของ พิณทิพย์ ทวยเจริญ (2539 : 14) ซ่ึงกล่าวไว้ว่า การอ่านออก
เสียง –ed ตอ้ งวิเคราะหเ์ สียงจากรูปท่เี หน็ ไม่ใช่อา่ นจากรปู ทเ่ี ห็น
ประการที่สอง การที่ผู้เรียนไม่ได้ตระหนักถึงการอ่านออกเสียงท้ายคาภาษาอังกฤษ รวมถึง
คากริยาภาษาอังกฤษ และคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2 เติม –ed โดยท่ีผู้เรียนไม่อ่านออกเสียงท้าย
คากริยาเลย ซึ่งอาจเป็นผลเน่ืองมาจากความเคยชินกับระบบการอ่านออกเสียงในภาษาไทย ซึ่งไม่ได้
ออกเสียงท้ายคาเช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ ซ่ึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นอิทธิพลของภาษาแม่นั่นเอง ดังจะ
58
เห็นได้จากผลการวิจัยของปรียา โนแก้ว และประนุท สุขศรี (2542) ซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า ระบบเสียง
ภาษาแม่ทาให้เกิดปัญหาต่อการออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยพบว่า ผู้เรียนชาวไทยไม่ออกเสียงก้องท่ี
ทา้ ยพยางคใ์ นคา เชน่ cab หรือ dog เพราะเสยี งเหลา่ น้ไี มม่ ปี รากฏในท้ายพยางค์ของคาในภาษาไทย
อีกทั้งระบบเสียงภาษาแม่ท่ีแตกต่างนั้นไม่เพียงจะทาให้ผู้เรียนมีปัญหาในการออกเ สียงภาษาอังกฤษ
แต่ยังมีผลกระทบต่อความสามารถในการฟังเสยี งในภาษาอังกฤษดว้ ย
ประการสุดท้าย บุคลิกภาพและลักษณะท่ีเขินอายและกลัวครูได้ยินการออกเสียงผิด ทาให้
ผู้เรียนขาดความมั่นใจ ซึ่งบางครั้งอ่านออกเสียงได้ไม่ชัดเจน หรือไม่อ่านออกเสียงท้ายคากริยา
ภาษาอังกฤษเลย ซ่ึงการที่ผู้วิจัยได้ให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติร่วมกับเพ่ือน และผู้เรียนคนอ่ืนสามารถเห็น
และรับรู้ถึงความสามารถในการอ่านออกเสียงของผู้เรียน มีความขัดแย้งกับ River (1971 : 119)
ซึ่งได้กล่าวเน้นถึงประโยชน์ของการฝึกออกเสียงในห้องปฏิบัติการภาษาว่า ทาให้ผู้เรียนมีความเป็น
สว่ นตวั สูง สามารถฝึกออกเสยี งตามต้นแบบไดอ้ ย่างเตม็ ทีโ่ ดยไม่กลวั ผู้อนื่ ไดย้ ินการออกเสยี งผดิ
ขอ้ เสนอแนะ
จากผลการวิจัยเร่ือง การพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยาภาษาอังกฤษช่องท่ี 2
เติม – ed โดยใช้รูปแบบการฟังเสียงจากเจ้าของภาษาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้
เทคนิคคู่ตรวจสอบ ผูว้ จิ ยั มขี อ้ เสนอแนะดงั น้ี
ข้อเสนอแนะในการนาผลวจิ ยั ไปใช้
1. ผู้สอนควรเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมต่อความสามารถในการเรียนรู้หรือระดับช้ันของผู้เรียน
เช่น ความยากงา่ ยของคากริยาภาษาอังกฤษชอ่ งที่ 2 เตมิ –ed
2. ในการทาแบบฝึกหัดในแต่ละแผนการสอน ควรให้ผู้เรียนได้ทาแบบฝึกหัดหลังจากที่เรียน
เนื้อหาเสร็จแล้ว ไม่ควรเว้นระยะเวลานานเกินไป เพราะแบบฝึกหัดจะช่วยประเมินความสามารถใน
การอ่านออกเสียง หรือความรคู้ วามสามารถที่ผูเ้ รียนได้รบั
3. ในการจัดกิจกรรมโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ ผู้สอนควรจัดผู้เรียนให้มีคู่เพื่อสามารถฝึก
ปฏิบตั ิร่วมกัน อีกทั้งจานวนผเู้ รยี นที่มาก ผสู้ อนอาจจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยจากผ้เู รียนทง้ั ห้อง และแต่ละ
กล่มุ ก็ปฏิบัตกิ จิ กรรมพร้อมกัน
59
ข้อเสนอแนะในการวิจยั คร้ังต่อไป
1. ควรมีการศึกษาตัวแปรอ่ืนๆ เช่น การอ่านออกเสียงท้ายคากริยาช่องที่ 2 เติม –ed และ
การเรียนรู้ความหมายคากริยาควบคู่ไปด้วยกัน โดยใช้การฟังเสียงร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือโดยใช้เทคนคิ คู่ตรวจสอบ
2. ควรจะนาเทคนิคการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา โดยการฟังเสียงร่วมกับ
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ ไปใช้ในการสอนอ่านออกเสียง –ch, -sh, -s,
และ –es
3. ควรจะศึกษาการพัฒนาการอ่านออกเสียงท้ายคากริยา โดยการฟังเสียงร่วมกับการจัด
การเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคคู่ตรวจสอบ กันผู้เรียนในระดับช้ันอ่ืน เช่น ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1
เพ่ือเป็นพ้ืนฐานและเป็นประโยชน์ต่อการเรียนไวยากรณ์อดตี กาล และสามารถออกเสยี งรูปกรยิ าชอ่ ง
ที่ 2 เติม –ed ได้ถกู ตอ้ ง เม่ือพดู สอ่ื สารโดยใช้อดตี กาล
4. ควรจะนาการฟังเสียงร่วมกับการจัดการเรียนรแู้ บบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนคิ คู่ตรวจสอบไปใช้
สอนภาษาอังกฤษในการพัฒนาทกั ษะการฟงั
60
บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551. หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551.
กกกกกกกกกรงุ เทพฯ: กระทรวงศึกษาธกิ าร.
กรมวชิ าการ. 2544. การจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือ. กรงุ เทพฯ: ศนู ย์พฒั นาหลกั สตู ร.
คณาจารยภ์ าควิชาจิตวทิ ยา. 2550. จติ วิทยาทั่วไป. พมิ พ์คร้งั ที่ 2. คณะมนุษยศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่
โฆษิต จตั ุรัสวฒั นากุล. 2543. การเรียนแบบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนคิ การสอนเป็นกลุม่ ท่ีช่วยเหลอื เปน็
รายบุคคลทมี่ ผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการถา่ ยโยงความรใู้ นวิชา
วิทยาศาสตรข์ องนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญามหาบัณฑิต.
กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
บญุ ชม ศรีสะอาด. 2545. การวจิ ยั เบ้ืองต้น. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 7. กรงเทพฯ : สวุ รี ยิ าสาสน์ .
บุษบา ปานดารงค์. 2555. การพัฒนาการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษเพ่ือการสอ่ื สารในงาน
อาชพี โดยใช้วิธกี ารเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน วิทยาลัยเทคนิคลาปาง. วิทยานพิ นธ์
ปรญิ ญา ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่.
ประนุท สุขศรี และ ปรยี า โนแก้ว. 2545. แนวทางการแกป้ ญั หาการฟัง จาแนก และออกเสียง สระ
และพยัญชนะ ในภาษาอังกฤษทีค่ ลาดเคลือ่ นของนักศกึ ษาปีท่ี 2 วิชาเอก
ภาษาองั กฤษ. รายงานการวิจยั . คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่.
พิณทิพย์ ทวยเจรญิ . 2539. การพดู ภาษาองั กฤษตามหลักภาษาศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2.
สานกั พมิ พ์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
โรงเรยี นอุดรธรรมานุสรณ์. 2554. เอกสารเผยแพร่โครงการพัฒนาโรงเรียนสมู่ าตรฐาน. การพัฒนา
ผู้เรียนท่เี นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคญั โดยใชฐ้ านกจิ กรรม. อัดสาเนา.
สมบูรณ์ สนมฉ่า. 2553. การพัฒนาเวบ็ ฝกึ อบรม เรื่อง ระบบงานสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
(e-filing) สาหรบั พนกั งานธุรการโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษา
อตุ รดิตถ์ เขต 1 (กศ.ม.สาขาวิชาเทคโนโลยแี ละส่อื สารการศกึ ษา). วทิ ยานพิ นธ์
ปริญญามหาบัณฑติ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร.
Kagan, S. Cooperative Learning & Wee Science. San Clemento : Kagan Cooperative
Learning, 1995.