The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนบ้านท่าเกวียน ปี พ.ศ. 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nnnfk1235, 2022-04-10 03:38:14

หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนบ้านท่าเกวียน ปี พ.ศ. 2565

Keywords: หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

1

กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

บทนำ

ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 น้ีได้
กำหนดสาระการเรียนรู้ออกเป็น 4 สาระ ได้แก่ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์
กายภาพ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และสาระที่ 4 เทคโนโลยี มีสาระเพิ่มเติม 4 สาระ
ได้แก่ สาระชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์ และสาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ซึ่งองค์ประกอบ
ของหลักสูตรทั้งในด้านของเน้ือหา การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้น้ัน
มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ให้มี
ความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 สำหรับกลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กำหนดตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ท่ีผู้เรียน
จำเป็นต้องเรียนเป็นพ้ืนฐาน เพ่ือให้สามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในการดำรงชีวิตหรือศึกษาต่อในวิชาชีพ
ที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้ โดยจัดเรียงลำดับความยากง่ายของเน้ือหาแต่ละสาระในแต่ละระดับชั้นให้มี
การเช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนา
ความคิดทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญท้ังทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วย
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูล
หลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(สสวท.) ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียน
มากท่ีสุด จึงได้จัดทำตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
ข้ึน เพ่ือให้สถานศึกษา ครูผู้สอนตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหนังสือเรียน
คู่มือครู สื่อประกอบการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล โดยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้
แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ที่จัดทำข้ึนน้ีได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความสอดคล้อง
และเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกัน และระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนการเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย
นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการเปล่ียนแปลง และความเจริญก้าวหน้า
ของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สรุปเปน็ แผนภาพได้ ดงั น้ี

2

กลมุ่ สาระ
การเรียนรู้
วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี

เป้าหมายของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ในการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งเน้นให้ผู้เรยี นได้ค้นพบความรู้ด้วย

ตนเอง มากท่สี ุด เพ่อื ใหไ้ ดท้ งั้ กระบวนการและความรู้ จากวธิ กี ารสงั เกต การสารวจ

ตรวจสอบ การทดลอง แลว้ นาผลทไ่ี ดม้ าจดั ระบบเป็นหลกั การ แนวคดิ และองคค์ วามรู้

การจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยจี งึ มเี ป้าหมายทส่ี าคญั ดงั น้ี

1. เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจหลกั การ ทฤษฎี และกฎทเ่ี ป็นพน้ื ฐานในวชิ าวทิ ยาศาสตร์

2. เพ่ือให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวทิ ยาศาสตร์และข้อจากดั ในการศึกษา

วชิ าวทิ ยาศาสตร์

3. เพอ่ื ใหม้ ที กั ษะทส่ี าคญั ในการศกึ ษาคน้ ควา้ และคดิ คน้ ทางเทคโนโลยี

4. เพ่ือให้ตระหนักถึงความสมั พันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์

และสภาพแวดลอ้ มในเชงิ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลและผลกระทบซง่ึ กนั และกนั

5. เพ่อื นาความรู้ ความเขา้ ใจ ในวชิ าวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยไี ปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ต่อ

สงั คมและการดารงชวี ติ

6. เพ่อื พฒั นากระบวนการคดิ และจนิ ตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการจดั

การทกั ษะในการสอ่ื สาร และความสามารถในการตดั สนิ ใจ

7. เพอ่ื ใหเ้ ป็นผทู้ ม่ี จี ติ วทิ ยาศาสตร์ มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ มในการใชว้ ทิ ยาศาสตร์

และเทคโนโลยอี ยา่ งสรา้ งสรรค์

3

เรยี นรู้อะไรในวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งหวงั ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ท่ี
เน้นการเช่อื มโยงความรกู้ บั กระบวนการ มที กั ษะสาคญั ในการค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ โดยใช้
กระบวนการในการสบื เสาะหาความรู้ และแกป้ ัญหาทห่ี ลากหลาย ใหผ้ เู้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรู้

ทุกขนั้ ตอน มกี ารทากจิ กรรมดว้ ยการลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ อย่างหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดบั ชนั้ โดย
กาหนดสาระสาคญั ดงั น้ี

✧ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ เรยี นรเู้ ก่ยี วกบั ชวี ติ ในสง่ิ แวดลอ้ ม องค์ประกอบของสงิ่ มชี วี ติ

การดารงชวี ติ ของมนุษยแ์ ละสตั ว์ การดารงชวี ติ ของพชื พนั ธุกรรม ความหลากหลายทางชวี ภาพ
และววิ ฒั นาการของสงิ่ มชี วี ติ

✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรยี นรูเ้ ก่ยี วกบั ธรรมชาติของสาร การเปลย่ี นแปลงของสาร

การเคล่อื นท่ี พลงั งาน และคล่นื

✧ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ เรยี นรเู้ ก่ยี วกบั องคป์ ระกอบของเอกภพ ปฏสิ มั พนั ธ์

ภายในระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ยี นแปลงทางธรณีวทิ ยา กระบวนการ

เปลย่ี นแปลง ลมฟ้าอากาศ และผลตอ่ สงิ่ มชี วี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม

✧ เทคโนโลยี

●การออกแบบและเทคโนโลยี เรยี นรเู้ กย่ี วกบั เทคโนโลยเี พ่อื การดารงชวี ติ ในสงั คม

ทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงอย่างรวดเรว็ ใชค้ วามรแู้ ละทกั ษะทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตรแ์ ละศาสตร์

อ่ืน ๆ เพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิง

วศิ วกรรม เลอื กใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ติ สงั คม และสงิ่ แวดลอ้ ม
●วิทยาการคานวณ เรยี นรู้เก่ยี วกบั การคดิ เชงิ คานวณ การคดิ วเิ คราะห์ แก้ปัญหา

เป็นขนั้ ตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใชค้ วามรดู้ า้ นวทิ ยาการคอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศ
และการสอ่ื สาร ในการแกป้ ัญหาทพ่ี บในชวี ติ จรงิ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้

สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงไม่มีชีวิต

กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน
การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา
สิง่ แวดลอ้ มรวมท้งั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทำงาน
สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ีทำงานสัมพันธ์กัน รวมท้ัง
นำความร้ไู ปใช้ประโยชน์

4

มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ
และวิวัฒนาการของสง่ิ มีชีวิต รวมทัง้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ

ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนยี่ วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะ
ของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี

มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจำวนั ผลของแรงทีก่ ระทำตอ่ วตั ถุ ลกั ษณะ
การเคลื่อนที่แบบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์
ท่เี กี่ยวข้องกับเสยี ง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ

กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อส่ิงมีชีวิต
และการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ

มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสมั พนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลง
ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพบิ ตั ิภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมอิ ากาศโลก รวมท้ัง
ผลต่อสิ่งมชี วี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม

สาระที่ 4 เทคโนโลยี
ม าต รฐาน ว 4.1 เข้าใจ แน วคิ ด ห ลั กข อ งเท ค โน โล ยีเพื่ อก ารด ำรงชีวิต ใน สั งค ม

ที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์
อ่ืน ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
เลอื กใชเ้ ทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสมโดยคำนึงถงึ ผลกระทบต่อชวี ิต สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม

มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็น
ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน
และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ รู้เท่าทัน และมจี รยิ ธรรม

คณุ ภาพผู้เรียน

จบชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3
❖ เข้าใจลักษณะทว่ั ไปของสงิ่ มชี วี ติ และการดำรงชีวิตของสงิ่ มีชีวิตรอบตัว
❖ เข้าใจลักษณะท่ีปรากฏ ชนดิ และสมบตั ิบางประการของวัสดุท่ีใชท้ ำวัตถุและการเปล่ียนแปลง
ของวสั ดรุ อบตวั
❖ เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ี
ของวตั ถุ พลงั งานไฟฟ้า และการผลติ ไฟฟ้า การเกดิ เสียง แสงและการมองเหน็

5

❖ เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์การข้ึนและตก
ของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดนิ และการใช้
ประโยชน์ ลกั ษณะและความสำคญั ของอากาศ การเกดิ ลม ประโยชนแ์ ละโทษของลม

❖ ต้ังคำถามหรือกำหนดปัญหาเกย่ี วกับสงิ่ ทจ่ี ะเรียนรตู้ ามท่ีกำหนดให้หรือตามความสนใจสงั เกต
สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสำรวจตรวจสอบ
ด้วยการเขียนหรือวาดภาพ และส่อื สารสิง่ ท่ีเรยี นรู้ด้วยการเล่าเร่อื ง หรือด้วยการแสดงท่าทาง
เพอ่ื ใหผ้ อู้ ่นื เขา้ ใจ

❖ แกป้ ัญหาอย่างง่ายโดยใชข้ นั้ ตอนการแกป้ ัญหา มที กั ษะในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
และการสอ่ื สารเบอ้ื งตน้ รกั ษาขอ้ มลู สว่ นตวั

❖ แสดงความกระตอื รอื รน้ สนใจทจ่ี ะเรยี นรู้ มคี วามคดิ สรา้ งสรรคเ์ ก่ยี วกบั เร่อื งทจ่ี ะศกึ ษา
ตามท่ีกาหนดให้หรอื ตามความสนใจ มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และยอมรบั ฟังความ
คดิ เหน็ ผอู้ ่นื

❖ แสดงความรบั ผดิ ชอบดว้ ยการทางานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายอย่างมุ่งมนั่ รอบคอบประหยดั
ซ่อื สตั ย์ จนงานลลุ ว่ งเป็นผลสาเรจ็ และทางานรว่ มกบั ผอู้ น่ื อยา่ งมคี วามสุข

❖ ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการ
ดารงชวี ติ ศกึ ษาหาความรเู้ พม่ิ เตมิ ทาโครงงานหรอื ชน้ิ งานตามทก่ี าหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ

จบชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6

❖ เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะการปรบั ตัวของส่ิงมีชีวิต รวมทงั้ ความสมั พนั ธ์ของ

สง่ิ มชี วี ติ ในแหล่งทอ่ี ยู่ การทาหน้าทข่ี องสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื และการทางานของระบบย่อยอาหาร

ของมนุษย์

❖ เขา้ ใจสมบตั แิ ละการจาแนกกลุ่มของวสั ดุ สถานะและการเปล่ยี นสถานะของสสารการ

ละลาย การเปลย่ี นแปลงทางเคมี การเปลย่ี นแปลงทผ่ี นั กลบั ไดแ้ ละผนั กลบั ไม่ได้ และการแยกสาร

อยา่ งงา่ ย

❖ เขา้ ใจลกั ษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลพั ธ์ แรงเสยี ดทาน แรงไฟฟ้าและผลของ

แรง ต่าง ๆ ผลทเ่ี กดิ จากแรงกระทาต่อวตั ถุ ความดนั หลกั การทม่ี ตี ่อวตั ถุ วงจรไฟฟ้า

อยา่ งงา่ ยปรากฏการณ์เบอ้ื งตน้ ของเสยี ง และแสง

❖ เขา้ ใจปรากฏการณ์การขน้ึ และตก รวมถงึ การเปล่ยี นแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจนั ทร์

องคป์ ระกอบของระบบสุรยิ ะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะหแ์ ละดาว

ฤกษ์ การขน้ึ และตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใชแ้ ผนทด่ี าว การเกดิ อุปราคาพฒั นาการและประโยชน์

ของเทคโนโลยอี วกาศ

❖ เขา้ ใจลกั ษณะของแหล่งน้า วฏั จกั รน้า กระบวนการเกดิ เมฆ หมอก น้าคา้ ง น้าคา้ งแขง็

หยาดน้าฟ้า กระบวนการเกดิ หนิ วฏั จกั รหนิ การใช้ประโยชน์หนิ และแร่ การเกดิ ซากดกึ ดาบรรพ์

การเกดิ ลมบก ลมทะเล มรสุม ลกั ษณะและผลกระทบของภยั ธรรมชาติ ธรณีพบิ ตั ภิ ยั การเกดิ และ

ผลกระทบ ของปรากฏการณ์เรอื นกระจก

6

❖ ค้นหาข้อมูลอย่างมปี ระสทิ ธิภาพและประเมนิ ความน่าเช่อื ถือ ตดั สนิ ใจเลือกขอ้ มูลใช้

เหตุผลเชงิ ตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารในการทางานร่วมกนั

เขา้ ใจสทิ ธิ และหน้าทข่ี องตน เคารพสทิ ธขิ องผอู้ น่ื

❖ ตงั้ คาถามหรอื กาหนดปัญหาเกย่ี วกบั สง่ิ ทจ่ี ะเรยี นรตู้ ามทก่ี าหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ

คาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานท่ีสอดคล้องกับคาถามหรือปัญหาท่ีจะสารวจ

ตรวจสอบ วางแผนและสารวจตรวจสอบโดยใช้เคร่อื งมอื อุปกรณ์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศท่ี

เหมาะสม ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทงั้ เชงิ ปรมิ าณและคณุ ภาพ

❖ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสมั พันธ์ของข้อมูลท่ีมาจากการสารวจ

ตรวจสอบในรปู แบบทเ่ี หมาะสม เพอ่ื สอ่ื สารความรจู้ ากผลการสารวจตรวจสอบไดอ้ ย่างมเี หตุผลและ

หลกั ฐานอา้ งองิ

❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมนั่ ในสิง่ ท่ีจะเรยี นรู้ มีความคดิ สร้างสรรค์เก่ียวกับเร่อื งท่ีจะ

ศกึ ษาตามความสนใจของตนเอง แสดงความคดิ เหน็ ของตนเอง ยอมรบั ในขอ้ มูลทม่ี หี ลกั ฐานอา้ งองิ

และรบั ฟังความคดิ เหน็ ผอู้ น่ื

❖ แสดงความรบั ผดิ ชอบดว้ ยการทางานทไ่ี ด้รบั มอบหมายอย่างมุ่งมนั่ รอบคอบ ประหยดั

ซอ่ื สตั ย์ จนงานลลุ ว่ งเป็นผลสาเรจ็ และทางานร่วมกบั ผอู้ น่ื อย่างสรา้ งสรรค์

❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการ

ทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการดารงชวี ติ แสดงความช่นื ชม ยกย่อง และเคารพสทิ ธใิ นผลงานของผคู้ ดิ คน้

และศกึ ษาหาความรเู้ พม่ิ เตมิ ทาโครงงานหรอื ชน้ิ งานตามทก่ี าหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ

❖ แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเก่ียวกับการใช้ การดูแลรักษา

ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มอยา่ งรคู้ ุณค่า

ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง

สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิง่ ไมม่ ชี วี ติ

กบั สิง่ มีชีวิต และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมชี วี ติ กบั ส่ิงมีชีวติ ต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ
การถ่ายทอดพลังงาน การเปลยี่ นแปลงแทนท่ใี นระบบนิเวศ ความหมาย
ของประชากร ปญั หาและผลกระทบทีม่ ีตอ่ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แนวทางในการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปัญหาสิง่ แวดล้อม
รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

7

ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป. 1 1. ระบชุ ือ่ พืชและสัตวท์ ่ีอาศัยอยู่ • บริเวณต่าง ๆ ในท้องถ่ิน เช่น สนามหญ้ า

บรเิ วณตา่ ง ๆ จากข้อมูลท่รี วบรวมได้ ใต้ตน้ ไม้ สวนหย่อม แหล่งน้ำ อาจพบพืชและสัตว์

2. บอกสภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสม หลายชนดิ อาศยั อยู่

กับการดำรงชวี ิตของ สตั วใ์ นบรเิ วณ • บรเิ วณที่แตกต่างกนั อาจพบพืชและสตั วแ์ ตกตา่ ง

ที่อาศัยอยู่ กัน เพราะสภาพแวดล้อมของแตล่ ะบรเิ วณจะมี

ความเหมาะสมต่อการดำรงชวี ติ ของพืชและสัตว์

ท่ีอาศัยอยู่ในแต่ละบริเวณ เช่น สระน้ำ มีน้ำ

เป็นที่อยู่อาศัยของหอย ปลา สาหร่าย เป็นที่

หลบภัย และมีแหล่งอาหารของหอยและปลา

บ ริ เว ณ ต้ น ม ะ ม่ ว ง มี ต้ น ม ะ ม่ ว ง เป็ น แ ห ล่ ง ท่ี อ ยู่

และมีอาหารสำหรับกระรอกและมด

• ถ้าสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พืชและสัตว์อาศัย

อยู่ มีการเปล่ียนแปลง จะมีผลต่อการดำรงชีวิต

ของพชื และสตั ว์

ป. 2 - -

ป. 3 - -

ป. 4 - -

ป. 5 1. บรรยายโครงสร้างและลักษณะ • สง่ิ มชี วี ิตท้งั พืชและสัตวม์ โี ครงสรา้ งและลกั ษณะ

ข อ ง ส่ิ ง มี ชี วิ ต ที่ เห ม า ะ ส ม กั บ ทเี่ หมาะสมในแต่ละแหลง่ ท่ีอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจาก

การดำรงชีวิต ซ่ึงเป็น ผลมาจาก การปรับตัวของส่ิงมีชีวิต เพ่ื อให้ดำรงชีวิต

การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในแต่ละแหล่ง และอยู่รอดได้ในแต่ละแหล่งท่ีอยู่ เช่น ผักตบชวา

ท่อี ยู่ มีช่ องอาก าศใน ก้ าน ใบ ช่วยให้ ล อยน้ ำได้

ต้นโกงกางท่ีข้ึนอยู่ในป่าชายเลนมีรากค้ำจุนทำให้

ลำต้นไมล่ ้ม ปลามคี รีบชว่ ยในการเคลื่อนที่ในน้ำ

2. อธิบ ายความสั มพั น ธ์ระห ว่าง • ในแหล่งท่อี ยู่หนึ่ง ๆ สิ่งมชี ีวิตจะมคี วามสัมพนั ธ์

ส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมชี ีวิต และความสัมพันธ์ ซึ่ งกั น แล ะกั น แ ล ะสั ม พั น ธ์กั บ ส่ิ งไม่ มี ชี วิต

ระห ว่างสิ่ งมี ชี วิต กั บ ส่ิ งไม่ มี ชี วิต เพื่อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต เช่น ความสัมพันธ์

เพือ่ ประโยชนต์ อ่ การดำรงชีวิต กัน ด้านการกินกันเป็นอาหาร เป็นแหล่งที่อยู่

3. เขียนโซ่อาหารและระบุบทบาท อาศัย หลบภัยและเลี้ยงดูลูกอ่อน ใช้อากาศ

ห น้ าท่ี ข อ งส่ิ งมี ชี วิต ท่ี เป็ น ผู้ ผ ลิ ต ในการหายใจ

และผบู้ รโิ ภคในโซ่อาหาร • สิ่งมีชีวิตมีการกินกันเป็นอาหาร โดยกินต่อกัน

4. ตระหนักในคุณค่าของส่ิงแวดล้อม เป็นทอด ๆ ในรูปแบบของโซ่อาหาร ทำให้

ที่มีต่อการดำรงชีวิตของส่ิ งมีชีวิต สามารถระบุบทบาทหน้าที่ของสิ่งมีชีวติ เป็นผู้ผลิต

โด ย มี ส่ ว น ร่ว ม ใน ก ารดู แ ล รัก ษ า และผ้บู รโิ ภค

สิง่ แวดล้อม

ป. 6 - -

8

สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัตขิ องสิ่งมีชวี ิต หน่วยพน้ื ฐานของส่ิงมีชวี ติ การลำเลียงสารเข้าและออก

จากเซลล์ ความสัมพันธข์ องโครงสร้างและหน้าทข่ี องระบบตา่ ง ๆ ของสตั ว์
และมนุษยท์ ท่ี ำงานสัมพนั ธ์กนั ความสัมพันธข์ องโครงสร้างและหนา้ ทขี่ องอวัยวะ
ตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทำงานสัมพนั ธก์ นั รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ชน้ั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป.1 1. ระบุช่ือ บรรยายลักษณะและ • มนุษย์มีส่วนต่าง ๆ ท่ีมีลักษณะและหน้าท่ี

บอกหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของ แตกต่างกัน เพ่ือให้เหมาะสมในการดำรงชีวิต

ร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพืช รวมท้ัง เช่น ตามีหน้าที่ไว้มองดู โดยมีหนังตาและขนตา

บรรยายการทำหน้าท่ีร่วมกันของ เพอ่ื ป้องกันอนั ตรายให้กับตา หูมหี น้าท่รี บั ฟังเสียง

ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมนุษย์ในการ โดยมีใบหูและรูหู เพื่อเป็นทางผ่านของเสียงปาก

ทำกิจกรรมต่าง ๆ จากข้อมูลท่ี มีหน้าที่พูด กินอาหาร มีช่องปากและมีริมฝีปาก

รวบรวมได้ บ น ล่าง แขน และมือมี ห น้ าที่ ยก ห ยิบ จับ

2. ตระหนักถึงความสำคัญ ของ มีท่อนแขนและน้ิวมือที่ขยับได้ สมองมีหน้าที่

ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตนเอง ควบคุมการทำงานของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

โดยการดูแลส่วนต่าง ๆ อย่างถกู ต้อง อยู่ในกะโหลกศีรษะ โดยส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

ให้ปลอดภัย และรกั ษาความสะอาด จ ะ ท ำ ห น้ า ท่ี ร่ ว ม กั น ใน ก า ร ท ำ กิ จ ก ร ร ม

อยเู่ สมอ ในชีวิตประจำวัน

• สัตว์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีส่วนต่าง ๆ ท่ีมี

ลักษณะและหน้าที่แตกต่างกัน เพ่ือให้เหมาะสม

ในการดำรงชีวติ เชน่ ปลามีครีบเป็นแผ่น ส่วนกบ

เต่า แมว มีขา ๔ ขา และมีเท้ าสำห รับ ใช้

ในการเคลือ่ นท่ี

• พืชมีส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะและหน้าท่ีแตกต่าง

กันเพ่ือให้เหมาะสมในการดำรงชีวิต โดยทั่วไป

รากมีลักษณะเรียวยาว และแตกแขนงเป็นราก

เล็ก ๆทำหน้าที่ดูดน้ำ ลำต้นมีลักษณ ะเป็น

ทรงกระบอกต้ังตรงและมีกิ่งก้าน ทำหน้าที่ชู

กิ่งก้าน ใบและดอก ใบมีลักษณะเป็นแผ่นแบน

ทำหน้าท่ีสร้างอาหาร นอกจากนี้พืชหลายชนิด

อาจมีดอกท่ีมีสี รูปร่างต่าง ๆ ทำหน้าท่ีสืบพันธ์ุ

รวม ทั้ งมี ผ ล ท่ี มี เป ลือ ก มี เน้ื อ ห่ อ หุ้ ม เม ล็ ด

และมีเมล็ดซึ่งสามารถงอกเปน็ ตน้ ใหม่ได้

• มนุษย์ใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการทำ

กจิ กรรมต่าง ๆ เพ่ือการดำรงชีวิต มนุษย์จึงควรใช้

ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างถูกต้อง ปลอดภัย

และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ เช่น ใช้ตามอง

ตัวหนังสือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ ดูแลตาให้

9

ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ปลอดภยั จากอันตราย และรักษาความสะอาดตา

อยู่เสมอ

ป.2 1. ระบุว่าพืชต้องการแสงและน้ำ • พืชตอ้ งการน้ำ แสง เพ่ือการเจรญิ เติบโต

เพื่อการเจริญเติบโต โดยใช้ข้อมูล

จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์

2. ตระหนักถึงความจำเป็นท่ีพืช

ต้ อ ง ไ ด้ รั บ น้ ำ แ ล ะ แ ส ง เ พ่ื อ

การเจรญิ เติบโต โดยดแู ลพืชให้ได้รับ

สิง่ ดงั กล่าวอยา่ งเหมาะสม

3. สร้างแบบจำลองท่ีบรรยายวัฏ • พืชดอกเมื่อเจริญเติบโตและมีดอก ดอกจะมี

จกั รชวี ติ ของพืชดอก การสืบพันธุ์เปล่ียนแปลงไปเป็นผล ภายในผล

มีเมล็ดเม่ือเมล็ดงอก ต้นอ่อนที่อยู่ภายในเมล็ด

จะเจริญ เติบโตเป็นพืชต้นใหม่ พืชต้นใหม่

จะเจริญเติบโตออกดอกเพ่ือสืบพันธุ์มีผลต่อไปได้

อกี หมนุ เวียนต่อเนอ่ื งเป็นวฏั จักรชวี ิตของพืชดอก

ป.3 1. บ ร ร ย า ย ส่ิ ง ท่ี จ ำ เ ป็ น ต่ อ • มนุษย์และสัตว์ต้องการอาหาร น้ำ และอากาศ

การดำรงชีวิต และการเจริญเติบโต เพอ่ื การดำรงชวี ติ และการเจริญเตบิ โต

ของมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ข้อมูล • อาหารช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและเจริญเติบโต

ท่ีรวบรวมได้ น้ำช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติ อากาศใช้

2. ตระหนักถึงประโยชน์ของอาหาร ในการหายใจ

น้ำ และอากาศโดยการดูแลตนเอง

แ ล ะ สั ต ว์ ให้ ไ ด้ รั บ ส่ิ ง เห ล่ า นี้

อยา่ งเหมาะสม

3. สร้างแบบจำลองที่บรรยายวัฏ • สัตว์เม่ือเป็นตัวเต็มวัยจะสืบพันธุ์มีลูก เม่ือลูก

จกั รชีวิตของสตั ว์และเปรยี บเทียบวัฏ เจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยก็สืบพันธุ์มีลูกต่อไป

จักรชวี ิตของสัตวบ์ างชนิด ได้อีก หมุนเวียนต่อเนื่องเป็นวัฏจักรชีวิตของสัตว์

4. ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์ ซึ่งสัตว์แต่ละชนิด เช่น ผีเส้ือ กบ ไก่ มนุษย์

โดยไม่ทำให้วัฏจักรชีวิตของสัตว์ จะมวี ฏั จกั รชวี ติ ท่เี ฉพาะและแตกตา่ งกัน

เปลี่ยนแปลง

ป. 4 1. บรรยายหน้าท่ีของราก ลำต้น ใบ • สว่ นต่าง ๆ ของพืชดอกทำหนา้ ท่ีแตกตา่ งกนั

และดอกของพืชดอก โดยใช้ข้อมูล - รากทำหน้าที่ดูดน้ำและธาตุอาหารข้ึนไป

ทีร่ วบรวมได้ ยังลำตน้

- ลำต้นทำหน้าที่ลำเลียงน้ำต่อไปยังส่วนต่าง ๆ

ของพชื

- ใบทำหน้าที่สร้างอาหาร อาหารท่ีพืชสร้างขึ้น

คือ นำ้ ตาลซงึ่ จะเปลย่ี นเปน็ แปง้

- ด อ ก ท ำ ห น้ า ที่ สื บ พั น ธุ์ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย

สว่ นประกอบตา่ ง ๆ ได้แก่ กลีบเลีย้ ง กลบี ดอก

10

ชั้น ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ซึ่งส่วนประกอบ

แต่ละส่วนของดอกทำหนา้ ทแี่ ตกต่างกนั

ป.5 - -

ป.6 1. ร ะ บุ ส า ร อ า ห า ร แ ล ะ บ อ ก • สารอาหารที่อยู่ในอาหารมี ๖ ประเภท ได้แก่

ประโยชน์ของสารอาหารแต่ละ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน

ป ร ะ เภ ท จ า ก อ า ห า ร ที่ ต น เอ ง และน้ำ

รับประทาน • อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหาร

2. บ อ ก แ น ว ท า ง ใน ก า ร เลื อ ก ที่แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้วย

รับประทานอาหารให้ได้สารอาหาร สารอาหารประเภ ทเดียว อาหารบางอย่าง

ครบถ้วน ในสัดส่วนท่ีเหมาะสมกับ ประกอบดว้ ยสารอาหารมากกว่าหนึ่งประเภท

เพศและวัย รวมท้ังความปลอดภัย • สารอาหารแตล่ ะประเภทมปี ระโยชนต์ ่อร่างกาย

ตอ่ สขุ ภาพ แตกต่างกัน โดยคารโ์ บไฮเดรต โปรตนี และไขมนั

3. ตระหนักถึงความสำคัญ ของ เป็นสารอาหารท่ีให้พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนเกลือ

สารอาหาร โดยการเลือกรับประทาน แร่ วิตามิน และน้ำ เปน็ สารอาหารทไ่ี ม่ใหพ้ ลงั งาน

อาห ารท่ี มี สารอาห ารครบ ถ้วน แก่ร่างกาย แต่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ

ในสัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย • ก ารรับ ป ระท าน อ าห าร เพ่ื อ ให้ ร่างก าย

รวมท้ังปลอดภัยต่อสขุ ภาพ เจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

ตามเพศและวัย และมีสุขภาพดี จำเป็นต้อง

รั บ ป ร ะ ท า น ให้ ได้ พ ลั ง ง า น เพี ย ง พ อ กั บ

ความต้องการของร่างกาย และให้ได้สารอาหาร

ครบถ้วน ในสัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย

รวมท้ังต้องคำนึงถึงชนิดและปริมาณของวัตถุ

เจือปนในอาหารเพอื่ ความปลอดภยั ต่อสุขภาพ

4. สร้างแบ บ จำลองระบ บ ย่อย • ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ

อ า ห า ร แ ล ะ บ ร ร ย า ย ห น้ า ที่ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร

ของอวัยวะในระบบย่อยอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน

รวม ท้ั งอธิบ ายการย่อ ยอ าห าร ซึ่งท ำห น้ าที่ ร่วมกัน ใน การย่อยและดูดซึม

และการดดู ซมึ สารอาหาร สารอาหาร

5. ตระหนักถงึ ความสำคัญของระบบ - ปากมีฟันช่วยบดเค้ียวอาหารให้มีขนาดเล็กลง

ย่อยอาหารโดยการบอกแนวทาง และมีล้นิ ช่วยคลุกเคล้าอาหารกับน้ำลายในน้ำลาย

ในการดูแลรกั ษาอวัยวะในระบบยอ่ ย มเี อนไซมย์ อ่ ยแป้งใหเ้ ป็นนำ้ ตาล

อาหารให้ทำงานเป็นปกติ - หลอดอาหารทำหน้าท่ีลำเลียงอาหารจากปาก

ไปยังกระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหาร

มีการย่อยโปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ท่ีสร้าง

จากกระเพาะอาหาร

- ลำไส้เล็กมีเอนไซม์ท่ีสร้างจากผนังลำไส้เล็กเอง

และจากตับอ่อนที่ช่วยย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต

11

ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

และไขมัน โดยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน

ท่ผี ่านการย่อยจนเปน็ สารอาหารขนาดเลก็ พอทจ่ี ะ

ดูดซึมได้ รวมถึงน้ำ เกลือแร่ และวิตามินจะถูก

ดู ด ซึ ม ที่ ผ นั งล ำไส้ เล็ ก เข้ า สู่ ก ร ะ แ ส เลื อ ด

เพ่ื อลำเลียงไป ยังส่วน ต่าง ๆ ของร่างกาย

ซงึ่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถกู นำไปใช้

เป็นแหล่งพลังงานสำหรับใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ

ส่วนน้ำ เกลือแร่ และวิตามิน จะช่วยให้ร่างกาย

ทำงานไดเ้ ปน็ ปกติ

- ตับสร้างน้ำดีแล้วส่งมายังลำไส้เล็กช่วยให้ไขมัน

แตกตวั

- ล ำไส้ ให ญ่ ท ำห น้ าท่ี ดู ด น้ ำแ ล ะ เก ลื อ แ ร่

เป็นบริเวณท่ีมีอาหารท่ีย่อยไม่ได้หรือย่อยไม่หมด

เป็นกากอาหาร ซ่ึงจะถูกกำจัดออกทางทวารหนัก

• อวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารมีความสำคัญ

จึงควรปฏิบัติตน ดูแลรักษาอวัยวะให้ทำงาน

เป็นปกติ

12

สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม

สารพันธกุ รรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธกุ รรมท่ีมีผลต่อสิง่ มีชวี ิต ความหลากหลาย
ทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวติ รวมท้งั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป. 1 - -

ป. 2 1. เปรียบเทียบลักษณะของสิ่งมีชีวิต • สิ่ งที่ อ ยู่ ร อ บ ตั ว เร า มี ทั้ งที่ เป็ น ส่ิ งมี ชี วิ ต

และสงิ่ ไม่มีชีวติ จากข้อมูลท่ีรวบรวม แล ะส่ิ งไม่ มี ชีวิต สิ่ งมี ชี วิต ต้ อ งก ารอ าห าร

ได้ มีการหายใจ เจริญเติบโต ขับถ่าย เคล่ือนไหว

ตอบสนองต่อส่ิงเร้าและสืบพันธ์ุได้ลูกท่ีมีลักษณะ

คล้ายคลึงกบั พ่อแม่ส่วนส่ิงไม่มีชีวติ จะไม่มลี ักษณะ

ดังกลา่ ว

ป. 3 - -

ป. 4 1. จ ำ แ น ก สิ่ ง มี ชี วิ ต โ ด ย ใ ช้ • ส่ิงมีชีวิตมีหลายชนิด สามารถจัดกลุ่มได้ โดยใช้

ความเหมือน และความแตกต่างของ ความเหมือนและความแตกต่างของลกั ษณะต่าง ๆ

ลักษณะของสิ่งมีชีวิตออกเป็นกลุ่ม เช่น กลุ่มพืชสร้างอาหารเองได้ และเคลื่อนท่ีด้วย

พืช กลุ่มสัตว์ และกลุ่มท่ีไม่ใช่พืช ตนเองไม่ได้ กลุ่มสัตว์กินสิ่งมีชีวิตอ่ืนเป็นอาหาร

และสตั ว์ และเคลื่อนที่ได้ กลุ่มท่ีไม่ใช่พืชและสัตว์ เช่น

เหด็ รา จลุ ินทรีย์

2. จำแน กพื ช ออ กเป็ น พื ช ดอ ก • การจำแนกพืช สามารถใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์

และพืชไม่มีดอกโดยใช้การมีดอก ในการจำแนก ไดเ้ ป็นพชื ดอกและพชื ไมม่ ดี อก

เป็นเกณฑ์ โดยใช้ข้อมลู ทร่ี วบรวมได้

3. จำแนกสัตวอ์ อกเป็นสัตว์มีกระดูก • การจำแนกสัตว์ สามารถใชก้ ารมีกระดกู สันหลงั

สันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เป็นเกณฑ์ในการจำแนก ได้เป็นสัตว์มีกระดูก

โดยใช้การมกี ระดกู สันหลังเปน็ เกณฑ์ สันหลังและสัตว์ไม่มกี ระดูกสนั หลงั

โดยใช้ข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ • สัตว์มีกระดูกสัน ห ลังมีห ลายกลุ่ม ได้แก่

4. บรรยายลักษณะเฉพาะท่ีสังเกต ก ลุ่ ม ป ล า ก ลุ่ ม สั ต ว์ ส ะ เทิ น น้ ำส ะ เทิ น บ ก

ได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่ม กลุ่มสัตว์เล้ือยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์

ปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ซ่ึงแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะ

ก ลุ่ ม สั ต ว์ เล้ื อ ย ค ล าน ก ลุ่ ม น ก เฉพาะที่สังเกตได้

แ ล ะ ก ลุ่ ม สั ต ว์ เลี้ ย ง ลู ก ด้ ว ย น้ ำ น ม

และยกตัวอย่างส่ิงมีชีวิตในแต่ละ

กล่มุ

13

ชั้น ตัวช้ีวดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป. 5 1. อธิบายลักษณะทางพันธุกรรม • สิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ เม่ือโตเต็มที่

ท่ีมีการถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก จะมีการสืบพันธ์ุเพื่อเพ่ิมจำนวนและดำรงพันธุ์

ของพชื สตั ว์ และมนุษย์ โดยลูกที่เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทาง

2. แสดงความอยากรู้อยากเห็น พั น ธุก รรม จากพ่ อแม่ ท ำให้ มีลั กษ ณ ะท าง

โดยการถามคำถามเก่ียวกับลักษณะ พนั ธกุ รรมท่ีเฉพาะแตกตา่ งจากส่งิ มีชวี ติ ชนดิ อืน่

ทคี่ ล้ายคลงึ กันของตนเองกบั พ่อแม่ • พืชมีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น

ลักษณะของใบ สดี อก

• สัตว์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น

สขี น ลักษณะของขน ลกั ษณะของหู

• มนุษย์มกี ารถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม เช่น

เชิ งผม ที่ ห น้ าผ าก ลักย้ิม ลักษ ณ ะห นั งต า

การหอ่ ลนิ้ ลักษณะของต่งิ หู

ป. 6 - -

14

สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหว่างสมบตั ิ

ของสสารกบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งอนภุ าค หลักและธรรมชาติ
ของการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี

ชนั้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป. 1 1. อธิบายสมบัติท่ีสังเกตได้ของวัสดุที่ • วั ส ดุ ท่ี ใช้ ท ำวั ต ถุ ท่ี เป็ น ข อ งเล่ น ข อ งใช้

ใช้ทำวัตถุซึ่งทำจากวัสดุชนิดเดียว มีหลายชนิดเช่น ผ้า แก้ว พลาสติก ยาง ไม้ อิฐ

หรือหลายชนิดประกอบกันโดยใช้ หนิ กระดาษโลหะ วัสดุแต่ละชนิดมสี มบัติที่สังเกต

หลักฐานเชิงประจักษ์ ได้ต่าง ๆ เชน่ สี นุ่ม แข็ง ขรุขระ เรียบ ใส ขนุ่ ยืด

2. ระบุชนิดของวัสดุและจัดกลุ่มวัสดุ หดไดบ้ ิดงอได้

ตามสมบัติทส่ี ังเกตได้ • ส ม บั ติ ท่ี สั ง เก ต ได้ ข อ ง วั ส ดุ แ ต่ ล ะ ช นิ ด

อ า จ เห มื อ น กั น ซึ่ ง ส า ม า ร ถ น ำ ม า ใช้ เป็ น เก ณ ฑ์

ในการจดั กลมุ่ วสั ดุได้

• วัสดุบางอย่างสามารถนำมาประกอบกัน

เพ่ือทำเป็นวัตถุต่าง ๆ เช่น ผ้าและกระดุม ใช้ทำ

เสือ้ ไม้และโลหะ ใช้ทำกระทะ

ป. 2 1. เปรียบเทียบสมบัติการดูดซับน้ำ • วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติการดูดซับน้ำแตกต่างกัน

ของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ จึงนำไปทำวัตถุเพ่ือใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกัน

และระบุการนำสมบัติการดูดซับน้ำ เช่ น ใช้ ผ้ าท่ี ดู ด ซั บ น้ ำได้ ม าก ท ำผ้ าเช็ ด ตั ว

ของวัสดุไปประยุกต์ใช้ในการทำวัตถุ ใช้พลาสตกิ ซึ่งไมด่ ดู ซบั น้ำทำร่ม

ในชีวติ ประจำวัน

2. อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุ • วสั ดุบางอย่างสามารถนำมาผสมกันซึ่งทำให้ได้

ท่ีเกิดจากการนำวัสดุมาผสมกันโดยใช้ สมบตั ิท่เี หมาะสม เพ่ือนำไปใชป้ ระโยชน์ตาม

หลักฐานเชิงประจกั ษ์ ตอ้ งการ เชน่ แป้งผสมน้ำตาลและกะทิ ใชท้ ำ

ขนมไทย ปูนปลาสเตอร์ผสมเยอ่ื กระดาษใช้ทำ

กระปุกออมสนิ ปนู ผสมหนิ ทราย และนำ้ ใชท้ ำ

คอนกรีต

3. เปรียบเทยี บสมบัติที่สังเกตได้ของ • ก ารน ำวัสดุ ม าท ำเป็ น วัต ถุ ใน การใช้ งาน

วัสดุ เพอื่ นำมาทำเปน็ วัตถุในการใช้งาน ตามวัตถุประสงค์ขึ้นอยู่กับสมบัติของวัสดุ วัสดุ

ตามวัตถปุ ระสงคแ์ ละอธบิ ายการนำ ท่ีใช้แล้วอาจนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น กระดาษ

วัสดทุ ใ่ี ช้แลว้ กลับมาใช้ใหม่โดยใช้ ใช้แล้ว อาจนำมาทำเป็นจรวดกระดาษ ดอกไม้

หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ประดิษฐถ์ ุงใส่ของ

4. ตระหนักถึงประโยชนข์ องการนำ

วสั ดทุ ใ่ี ช้แล้วกลบั มาใช้ใหม่ โดยการนำ

วสั ดทุ ่ีใชแ้ ล้วกลับมาใช้ใหม่

15

ช้ัน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป. 3 1. อธิบายว่าวัตถุประกอบข้ึนจาก • วัตถุอาจทำจากชิ้นส่วนย่อย ๆ ซ่ึงแต่ละช้ิน

ช้ินส่วนย่อย ๆซึ่งสามารถแยกออกจาก มีลักษณะเหมือนกันมาประกอบเข้าด้วยกัน

กันได้และประกอบกันเป็นวัตถุชิ้นใหม่ เมอื่ แยกชนิ้ สว่ นย่อย ๆ แต่ละช้นิ ของวัตถุออกจาก

ได้ โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ์ กัน สามารถนำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาประกอบ

เป็นวัตถุช้ินใหม่ได้ เช่น กำแพงบ้านมีก้อนอิฐ

หลาย ๆ ก้อนประกอบเข้าด้วยกัน และสามารถ

นำก้อนอิฐจากกำแพงบ้านมาประกอบเป็นพื้น

ทางเดนิ ได้

2. อธิบายการเปล่ียนแปลงของวัสดุ • เมื่ อ ให้ ค วาม ร้อ น ห รือ ท ำให้ วัส ดุ ร้อ น ขึ้ น

เมื่อทำให้ร้อนขึ้นหรือทำให้เย็นลง และเม่ือลดความร้อนหรือทำให้วัสดุเย็นลง วัสดุ

โดยใช้หลักฐานเชิงประจกั ษ์ จะเกิดการเปล่ียนแปลงได้ เช่น สีเปลี่ยน รูปร่าง

เปล่ียน

ป. 4 1. เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพ • วสั ดแุ ตล่ ะชนิดมสี มบตั ทิ างกายภาพแตกต่างกัน

ด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำ วัสดุท่ีมีความแข็งจะทนต่อแรงขูดขีด วัสดุท่ีมี

ความร้อน และการนำไฟฟ้าของวัสดุ สภาพยืดหยุ่นจะเปล่ียนแปลงรูปร่างเม่ือมีแรงมา

โดยใช้ห ลักฐาน เชิงป ระจักษ์ จาก กระทำและกลับสภาพเดิมได้ วัสดุที่นำความร้อน

การทดลองและระบุการนำสมบัติ จะร้อนได้เร็วเม่ือได้รับความร้อนและวัสดุที่นำ

เรื่องความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนำ ไฟฟ้าได้ จะให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ดังน้ันจึงอาจนำ

ความร้อน และการนำไฟฟ้าของวัสดุ สมบัติต่าง ๆ มาพิจารณาเพ่ือใช้ในกระบวนการ

ไปใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ผา่ นกระบวนการ ออกแบบชนิ้ งานเพ่ือใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจำวัน

ออกแบบช้นิ งาน

2. แ ล ก เป ล่ี ย น ค ว าม คิ ด กั บ ผู้ อ่ื น

โด ย การอ ภิ ป ราย เก่ี ยวกั บ ส ม บั ติ

ทางกายภาพของวัสดุอย่างมีเหตุผล

จากการทดลอง

3. เป รีย บ เที ย บ ส ม บั ติ ข อ งส ส าร • วัสดุเป็นสสารเพราะมีมวลและต้องการท่ีอยู่

ท้ัง 3 สถานะ จากข้อมูลที่ได้จาก สสารมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส

การสงั เกตมวล การต้องการท่ีอยู่รปู ร่าง ของแข็ง มีปริมาตรและรูปร่างคงที่ ของเหลว

และปรมิ าตรของสสาร มีปริมาตรคงท่ี แต่มีรูปร่างเปล่ียนไปตามภาชนะ

4. ใ ช้ เ ค รื่ อ ง มื อ เ พื่ อ วั ด ม ว ล เฉพาะส่วนที่บรรจุของเหลว ส่วนแก๊สมีปริมาตร

และปริมาตรของสสารทง้ั 3 สถานะ และรปู รา่ งเปลย่ี นไปตามภาชนะท่บี รรจุ

ป. 5 1. อธิบายการเปล่ียนสถานะของสสาร • ก า ร เ ป ล่ี ย น ส ถ า น ะ ข อ ง ส ส า ร

เม่ือทำให้สสารร้อนขึ้นหรือเย็นลง เป็นการเปล่ียนแปลงทางกายภาพ เมื่อเพ่ิม

โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ความร้อนให้กับสสารถึงระดับหนึ่งจะทำให้สสาร

ท่ี เป็ น ข อ ง แ ข็ ง เป ลี่ ย น ส ถ า น ะ เป็ น ข อ ง เห ล ว

เรียกว่า การหลอมเหลวและเม่ือเพ่ิมความร้อน

ต่อไปจนถึงอีกระดับหน่ึงของเหลวจะเปลี่ยน

เป็นแก๊ส เรียกว่า การกลายเป็นไอ แต่เม่ือลด

16

ช้นั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ความร้อนลงถึงระดับหนึ่งแก๊สจะเปลี่ยนสถานะ

เป็นของเหลว เรียกว่า การควบแน่น และถ้าลด

ความร้อนต่อไปอีกจนถึงระดับหนึ่งของเหลว

จะเปลี่ยนสถานะเป็นของแขง็ เรียกว่า การแข็งตัว

สสารบางชนิดสามารถเปล่ียนสถานะจากของแข็ง

เป็นแก๊สโดยไม่ผ่านการเป็นของเหลว เรียกว่า

การระเหิด ส่วนแก๊สบางชนิดสามารถเปลี่ยน

สถานะเป็นของแข็งโดยไม่ผ่านการเป็นของเหลว

เรยี กว่า การระเหิดกลบั

2. อธิบายการละลายของสารในน้ำ • เม่ื อ ใส่ ส ารล งใน น้ ำแ ล้ วส ารนั้ น รว ม เป็ น

โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ เน้ือเดียวกันกับน้ำท่ัวทุกส่วน แสดงว่าสารเกิด

การละลาย เรยี กสารผสมทไ่ี ดว้ ่าสารละลาย

3. วิเคราะห์การเปล่ียนแปลงของสาร • เมื่อผสมสาร 2 ชนิดขึ้นไปแล้วมีสารใหม่เกิดขึ้น

เม่ือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ซ่ึงมีสมบัติต่างจากสารเดิมหรือเม่ือสารชนิดเดียว

โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ เกิ ด ก า ร เป ลี่ ย น แ ป ล ง แ ล้ ว มี ส า ร ใ ห ม่ เกิ ด ขึ้ น

การเปลี่ยนแปลงน้ีเรียกว่า การเปลี่ยนแปลง

ทางเคมี ซึ่งสังเกตได้จากมีสีหรือกล่ินต่างจาก

สารเดิม หรือมีฟองแก๊ส หรือมีตะกอนเกิดขึ้น

หรือมกี ารเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอุณหภมู ิ

4. วิเคราะห์และระบุการเปลี่ยนแปลง • เม่ือสารเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว สารสามารถ

ท่ีผันกลับได้และการเปล่ียนแปลง เปลี่ยนกลับเป็นสารเดิมได้ เป็นการเปลี่ยนแปลง

ทผ่ี นั กลบั ไม่ได้ ท่ีผันกลับได้ เช่น การหลอมเหลว การกลายเป็น

ไอ ก า รล ะ ล าย แ ต่ ส าร บ างอ ย่ า งเกิ ด ก า ร

เปล่ียนแปลงแล้วไม่สามารถเปลี่ยนกลับเป็น

สารเดิมได้เป็นการเปล่ียนแปลงท่ีผันกลับไม่ได้

เช่น การเผาไหม้ การเกดิ สนิม

ป. 6 1. อธิบายและเปรียบเทียบการแยก • สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิดข้ึนไป

สารผสมโดยการหยิบออก การร่อน ผสมกันเช่น นำ้ มันผสมนำ้ ข้าวสารปนกรวดทราย

การใช้แม่เหล็กดึงดูดการรินออก การ วิธีการที่เหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยู่กับ

กรอง และการต กตะกอน โดยใช้ ลั ก ษ ณ ะ แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ส า ร ที่ ผ ส ม กั น

หลักฐาน เชิงประจักษ์ ถ้าองค์ประกอบของสารผสมเป็นของแข็งกับ

ร ว ม ทั้ ง ร ะ บุ วิ ธี แ ก้ ปั ญ ห า ใ น ของแข็งท่ีมีขนาดแตกต่างกันอย่างชัดเจน อาจใช้

ชวี ิตประจำวนั เก่ียวกบั การแยกสาร วิธีการหยิบออกหรือการร่อนผ่านวัสดุท่ีมีรู ถ้ามี

สารใดสารหน่ึงเป็นสารแม่เหล็กอาจใช้วิธีการใช้

แ ม่ เห ล็ ก ดึ ง ดู ด ถ้ า อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ เป็ น ข อ ง แ ข็ ง

ท่ีไม่ละลายในของเหลว อาจใช้วิธีการรินออก

การกรอง หรือการตกตะกอนซ่ึงวิธีการแยกสาร

สามารถนำไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวันได้

17

สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจำวนั ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ

ลักษณะการเคลื่อนทแ่ี บบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป.1 - -

ป.2 - -

ป.3 1. ระบผุ ลของแรงท่ีมตี ่อ • การดึงหรือการผลกั เปน็ การออกแรงกระทำ

การเปลย่ี นแปลง การเคลื่อนที่ ต่อวัตถุ แรงมีผลต่อการเคล่ือนทข่ี องวัตถุ

ของวัตถจุ ากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ แรงอาจทำใหว้ ัตถเุ กิดการเคลื่อนท่โี ดยเปล่ียน

ตำแหนง่ จากที่หนึ่งไปยังอีกท่ีหนงึ่

• การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนทขี่ องวตั ถุ ได้แก่

วัตถุทีอ่ ยนู่ ่งิ เปล่ียนเป็นเคลือ่ นที่ วัตถุที่กำลัง

เคลอ่ื นท่ีเปล่ยี นเปน็ เคลื่อนท่เี รว็ ขึน้ หรอื ชา้ ลง

หรือหยดุ น่งิ หรือเปลย่ี นทิศทางการเคลื่อนท่ี

2. เปรียบเทียบและยกตัวอย่างแรง • การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรงที่เกิดจาก

สัมผัสและแรงไม่สัมผัสท่ีมีผลต่อ วัตถุหน่ึงกระทำกับอีกวัตถุหน่ึง โดยวัตถุทั้งสอง

ก ารเค ล่ื อ น ที่ ข อ งวั ต ถุ โด ย ใช้ อาจสัมผัสหรือไม่ต้องสัมผัสกัน เช่น การออกแรง

หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ โดยใช้มือดึงห รือการผลักโต๊ะให้ เคล่ือน ที่

เป็นการออกแรงที่วัตถุต้องสัมผัสกัน แรงนี้

จึงเป็นแรงสัมผัส ส่วนการท่ีแม่เหล็กดึงดูด

ห รื อ ผ ลั ก ร ะ ห ว่ า ง แ ม่ เห ล็ ก เป็ น แ ร ง ที่ เกิ ด ขึ้ น

โดยแม่เหล็กไมจ่ ำเป็นตอ้ งสัมผัสกนั แรงแมเ่ หลก็ น้ี

จงึ เปน็ แรงไมส่ ัมผัส

3. จำแนกวัตถุโดยใช้การดึงดูดกับ • แมเ่ หล็กสามารถดงึ ดูดสารแมเ่ หลก็ ได้

แม่เหล็กเป็นเกณฑ์จากหลักฐาน • แรงแม่เหล็กเปน็ แรงท่เี กิดขนึ้ ระหว่างแมเ่ หล็ก

เชงิ ประจกั ษ์ กับสารแม่เหล็ก หรือแม่เหล็กกับ แม่เหล็ก

4. ระบุขั้วแม่เหล็กและพยากรณ์ แม่ เห ล็ ก มี 2 ข้ัว คื อ ขั้ วเห นื อ แล ะขั้ วใต้

ผลท่ีเกิดขึ้นระหว่างขั้วแม่เหล็ก ขั้วแม่เหล็กชนิดเดียวกันจะผลักกัน ต่างชนิดกัน

เมื่อนำมาเข้าใกล้กันจากหลักฐาน จะดงึ ดดู กัน

เชงิ ประจกั ษ์

18

ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

ป.4 1. ระบุผลของแรงโน้มถ่วงท่ีมีต่อ • แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดูดท่ีโลกกระทำ

วตั ถุจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ต่อวัตถุ มีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางโลก และเป็นแรง

2. ใช้ เค ร่ือ งชั่ งส ป ริงใน ก ารวั ด ไม่สัมผัส แรงดึงดูดที่โลกกระทำกับวัตถุหนึ่ง ๆ

น้ำหนกั ของวตั ถุ ทำให้วัตถุตกลงสู่พ้ืนโลก และทำให้วัตถุมีน้ำหนัก

วัดน้ำหนักของวัตถุได้จากเคร่ืองช่ังสปริง น้ำหนัก

ของวัตถุข้ึนกับมวลของวัตถุ โดยวัตถุท่ีมีมวลมาก

จะมีน้ำหนักมาก วัตถุที่มีมวลน้อยจะมีน้ำหนัก

น้อย

3. บรรยายมวลของวัตถุท่ีมีผลต่อ • ม ว ล คื อ ป ริม าณ เน้ื อ ข อ งส ส ารท้ั งห ม ด

การเปลี่ยนแปลงการเคล่ือนที่ของ ที่ประกอบกันเป็นวัตถุ ซึ่งมีผลต่อความยากง่าย

วัตถุ จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ ในการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนท่ีของวัตถุ วัตถุท่ีมี

มวลมากจะเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ได้ยากกว่า

วัตถุที่มีมวลน้อย ดังน้ันมวลของวัตถุนอกจาก

จ ะ ห ม าย ถึ งเน้ื อ ทั้ งห ม ด ข อ งวัต ถุ นั้ น แ ล้ ว

ยังหมายถึงการต้านการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่

ของวัตถุนนั้ ด้วย

ป.5 1. อธิบายวิธีการหาแรงลัพธ์ของแรง • แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงที่กระทำต่อวัตถุ

หลายแรงในแนวเดียวกันที่กระทำต่อ โดยแรงลัพธ์ของแรง 2 แรงท่ีกระทำต่อวัตถุ

วตั ถใุ นกรณีท่ีวัตถุอยู่น่งิ จากหลักฐาน เดียวกันจะมีขนาดเท่ากับผลรวมของแรงท้ังสอง

เชิงประจักษ์ เมื่อแรงทั้งสองอยู่ในแนวเดียวกันและมีทิศทาง

2. เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระทำ เดียวกันแต่จะมีขนาดเท่ากับผลต่างของแรงทั้ง

ต่อวัตถุท่ีอยู่ในแนวเดียวกันและแรง สอง เมือ่ แรงทั้งสองอยใู่ นแนวเดยี วกนั แต่มีทิศทาง

ลัพธ์ทีก่ ระทำต่อวตั ถุ ตรงข้ามกัน สำหรับวัตถุที่อยู่น่ิงแรงลัพธ์ท่ีกระทำ

3. ใช้เคร่ืองชั่งสปริงในการวัดแรง ตอ่ วัตถุมีค่าเปน็ ศูนย์

ทกี่ ระทำต่อวตั ถุ • การเขียนแผนภาพของแรงทกี่ ระทำตอ่ วัตถุ

สามารถเขียนไดโ้ ดยใชล้ กู ศร โดยหวั ลกู ศรแสดง

ทศิ ทางของแรง และความยาวของลกู ศรแสดง

ขนาดของแรงที่กระทำตอ่ วัตถุ

4. ระบุผลของแรงเสียดทาน • แรงเสียดทานเป็นแรงท่ีเกิดข้ึนระหว่างผิวสัมผัส

ท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ี ของวัตถุ เพ่ือต้านการเคล่ือนท่ีของวัตถุนั้น โดยถ้า

ของวัตถุจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ ออกแรงกระทำต่อวัตถุที่อยู่นิ่งบนพื้นผิวหน่ึงให้

5. เขียนแผนภาพแสดงแรง เคลื่อนที่ แรงเสียดทานจากพ้ืนผิวน้ันก็จะต้าน

เสยี ดทานและแรงที่อยู่ใน การเคลื่อนทีข่ องวัตถุ แต่ถ้าวัตถุกำลังเคล่ือนท่ีแรง

แนวเดยี วกนั ทก่ี ระทำต่อวตั ถุ เสี ย ด ท า น ก็ จ ะ ท ำ ใ ห้ วั ต ถุ นั้ น เค ล่ื อ น ที่ ช้ า ล ง

หรอื หยุดน่ิง

19

ชัน้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป.6 1. อธิบายการเกิดและผลของแรง • วัตถุ 2 ชนิดท่ีผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อนำเข้าใกล้

ไฟ ฟ้ า ซึ่ ง เกิ ด จ า ก วั ต ถุ ที่ ผ่ า น กัน อาจดึงดูดหรือผลักกัน แรงที่เกิดข้ึนน้ีเป็นแรง

ก า ร ขั ด ถู โ ด ย ใ ช้ ห ลั ก ฐ า น ไฟฟ้า ซ่ึงเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดขึ้นระหว่างวัตถุ

เชงิ ประจักษ์ ทมี่ ีประจุไฟฟ้า ซ่ึงประจไุ ฟฟ้ามี 2 ชนิด คอื ประจุ

ไฟฟ้าบวก และประจุไฟฟ้าลบ วัตถุ ท่ีมีประจุ

ไฟฟ้าชนิดเดียวกันผลักกัน ชนิดตรงข้ามกัน

ดงึ ดดู กนั

20

สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน

ปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างสสารและพลงั งาน พลงั งานในชีวติ ประจำวัน ธรรมชาติ
ของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเกยี่ วข้องกับเสียง แสง และคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า
รวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป.1 1. บ ร ร ย า ย ก า ร เ กิ ด เ สี ย ง • เสียงเกิดจากการส่ันของวัตถุ วัตถุที่ทำให้เกิด

แ ล ะ ทิ ศ ท า ง ก า ร เ ค ลื่ อ น ที่ เสียง เป็นแหล่งกำเนิดเสียง ซึ่งมีท้ังแหล่งกำเนิด

ของเสียงจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ เสยี งตามธรรมชาตแิ ละแหลง่ กำเนดิ เสยี งท่มี นุษย์

สรา้ งขึน้ เสยี งเคล่ือนท่ีออกจากแหลง่ กำเนดิ เสียง

ทุกทศิ ทาง

ป.2 1. บรรยายแนวการเคลือ่ นท่ขี องแสง • แสงเคล่ือนท่ีจากแหล่งกำเนิดแสงทุกทิศทาง

จากแหล่งกำเนิดแสง และอธิบาย เป็ น แน วตรง เมื่ อมีแสงจากวัตถุมาเข้าต า

การมองเห็นวัตถุจากหลักฐานเชิง จะทำให้มองเห็นวัตถุนั้น การมองเห็นวัตถุ

ประจกั ษ์ ที่เป็นแหล่งกำเนิดแสง แสงจากวัตถุน้ันจะเข้าสู่

2. ตระหนักในคุณค่าของความรู้ของ ต าโด ย ต รง ส่ ว น ก ารม อ งเห็ น วัต ถุ ที่ ไม่ ใช่

การมองเห็นโดยเสนอแนะแนว แหล่งกำเนิดแสง ต้องมีแสงจากแหล่งกำเนิดแสง

ทางการปอ้ งกนั อันตรายจาก ไปกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าตา ถ้ามีแสงที่สว่าง

การมองวัตถุทอ่ี ยู่ในบริเวณ มาก ๆ เข้าสู่ตา อาจเกิดอันตรายต่อตาได้ จึงต้อง

ท่ีมแี สงสว่างไมเ่ หมาะสม ห ลี ก เลี่ ย ง ก า ร ม อ ง ห รื อ ใ ช้ แ ผ่ น ก ร อ ง แ ส ง ที่ มี

คุณภาพ เมื่อจำเป็น และต้องจัดความสว่าง

ให้เหมาะสมกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น

ก า ร อ่ า น ห นั ง สื อ ก า ร ดู จ อ โ ท ร ทั ศ น์

การใชโ้ ทรศพั ทเ์ คลือ่ นท่ี และแทบ็ เลต็

ป.3 ๑. ยกตัวอยา่ งการเปลย่ี นพลังงาน • พลงั งานเปน็ ปริมาณท่แี สดงถงึ ความสามารถ

หนง่ึ ไปเป็นอีกพลังงานหนึง่ จาก ในการทำงาน พลังงานมหี ลายแบบ เช่น พลงั งาน

หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ กล พลงั งานไฟฟ้า พลังงานแสงพลงั งานเสยี ง

และพลงั งานความร้อน โดยพลงั งานสามารถ

เปล่ยี นจากพลังงานหนึ่งไปเป็นอกี พลังงานหนงึ่ ได้

เช่น การถมู ือจนร้สู ึกรอ้ นเป็นการเปลี่ยนพลงั งาน

กลเปน็ พลังงานความร้อน แผงเซลล์สุรยิ ะ

เปล่ียนพลังงานแสงเปน็ พลลงั งานไฟฟ้า

หรอื เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าเปลยี่ นพลังงานไฟฟา้

เปน็ พลงั งานอน่ื

21

ชัน้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง

2. บรรยายการทำงานของเคร่ือง • ไฟฟ้าผลิตจากเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้าซ่ึงใช้พลังงาน

กำเนิดไฟฟ้าและระบุแหล่งพลังงาน จากแหล่งพลังงานธรรมชาติหลายแหล่ง เช่น

ใน ก า ร ผ ลิ ต ไฟ ฟ้ า จ า ก ข้ อ มู ล พลงั งานจากลม พลังงานจากนำ้ พลังงานจากแก๊ส

ทีร่ วบรวมได้ ธรรมชาติ

3. ตระหนักในประโยชน์และโทษ • พลังงานไฟฟ้ามีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน

ของไฟฟ้า โดยนำเสนอวิธีการใช้ การใช้ไฟฟ้านอกจากต้องใช้อย่างถูกวิธี ประหยัด

ไฟฟ้าอยา่ งประหยดั และปลอดภยั และคุม้ ค่าแลว้ ยังตอ้ งคำนึงถึงความปลอดภยั ดว้ ย

ป.4 1. จำแนกวัตถุเป็นตัวกลางโปร่งใส • เมื่อมองส่ิงต่าง ๆ โดยมีวัตถุต่างชนิดกันมาก้ัน

ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง แสงจะทำให้ลักษณะการมองเห็นสิ่งน้ัน ๆ ชัดเจน

จากลักษณะการมองเห็นส่ิงต่าง ๆ ต่างกัน จึงจำแนกวัตถุท่ีมาก้ันออกเป็นตัวกลาง

ผ่ าน วัต ถุ นั้ น เป็ น เก ณ ฑ์ โด ย ใช้ โปร่งใส ซ่ึงทำให้มองเห็นส่ิงต่าง ๆ ได้ชัดเจน

หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ตัวกลางโปร่งแสงทำให้มองเห็นส่ิงต่าง ๆ ได้

ไม่ชัดเจน และวัตถุทึบแสงทำให้มองไม่เห็นสิ่ง

ตา่ ง ๆ นัน้

ป.5 1. อธบิ ายการไดย้ นิ เสยี งผา่ น • การไดย้ นิ เสียงต้องอาศยั ตวั กลาง โดยอาจเป็น

ตวั กลางจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ ของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสยี งจะส่งผ่าน

ตัวกลางมายงั หู

2. ระบุตัวแปร ทดลอง และอธิบาย • เสียงท่ีได้ยินมีระดับสูงต่ำของเสียงต่างกันข้ึนกับ

ลกั ษณะและการเกิดเสียงสูง เสยี งตำ่ ความถี่ของการส่ันของแหล่งกำเนิดเสียง โดยเมื่อ

3. ออกแบบการทดลองและอธิบาย แหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยความถี่ต่ำจะเกิดเสียงต่ำ

ลั ก ษ ณ ะ แ ล ะ ก า ร เกิ ด เสี ย งดั ง แต่ถ้าสั่นดว้ ยความถ่สี งู จะเกดิ เสียงสูง สว่ นเสยี งดัง

เสยี งคอ่ ย ค่ อ ย ท่ี ได้ ยิ น ขึ้ น กั บ พ ลั งง า น ก า ร ส่ั น ข อ ง

4. วัดระดับเสียงโดยใช้เคร่ืองมือ แหล่งกำเนิดเสียง โดยเม่ือแหล่งกำเนิดเสียงสั่น

วัดระดับเสียง ด้ ว ย พ ลั งงาน ม าก จ ะ เกิ ด เสี ย งดั ง แ ต่ ถ้ า

5. ตระหนักในคณุ ค่าของความรู้ แหล่งกำเนิดเสียงส่นั ด้วยพลังงานน้อยจะเกดิ เสียง

เร่ืองระดบั เสยี งโดยเสนอแนะ คอ่ ย

แนวทางในการหลกี เลี่ยง • เสียงดังมาก ๆ เป็นอันตรายต่อการได้ยิน

และลดมลพิษทางเสยี ง แ ล ะ เสี ย ง ท่ี ก่ อ ให้ เกิ ด ค ว า ม ร ำ ค า ญ เป็ น ม ล พิ ษ

ทางเสียงเดซิเบลเป็นหน่วยท่ีบอกถึงความดัง

ของเสยี ง

ป.6 1. ระบุส่วนประกอบและบรรยาย • วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย แหล่งกำเนิด

หน้าที่ของแต่ละส่วนประกอบของ ไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเคร่ืองใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์

วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายจากหลักฐาน ไฟฟ้า แหล่งกำเนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรือ

เชิงประจักษ์ แบตเตอรี่ ทำหน้าที่ให้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้า

2. เ ขี ย น แ ผ น ภ า พ แ ล ะ ต่ อ เป็นตัวนำไฟฟ้า ทำหน้าท่ีเชื่อมต่อระหว่าง

วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย แหล่งกำเนิดไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน

เค ร่ื อ ง ใช้ ไฟ ฟ้ า มี ห น้ า ท่ี เป ล่ี ย น พ ลั ง ง า น ไ ฟ ฟ้ า

เป็นพลงั งานอ่นื

22

ช้ัน ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

3. ออกแบบการทดลองและทดลอง • เม่ือนำเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียงกัน

ด้วยวิธีท่ีเหมาะสมในการอธิบาย โดยให้ขั้วบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หน่ึงต่อกับ

วิธีการและผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้า ข้ัวลบของอีกเซลล์หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรม

แบบอนกุ รม ทำให้มีพลังงานไฟฟ้าเหมาะสมกับเครื่องใช้ไฟฟ้า

4. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ ซ่ึงการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมสามารถนำไป

ของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น การต่อ

โดยบอกประโยชน์และการประยกุ ต์ เซลลไ์ ฟฟ้าในไฟฉาย

ใช้ในชวี ิตประจำวนั

5. ออกแบบการทดลองและทดลอง • การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเมื่อถอดหลอด

ด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบาย ไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออกทำให้หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือ

การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม ดับทั้งหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน

และแบบขนาน เมื่ อ ถ อ ด ห ล อ ด ไฟ ฟ้ าด วงใด ด ว งห น่ึ งอ อ ก

6. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือก็ยังสว่างได้ การต่อหลอด

ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม ไฟฟ้าแต่ละแบบสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

และแบบขนาน โดยบอกประโยชน์ เช่น การต่อห ลอดไฟ ฟ้ าห ล ายดวงใน บ้ าน

ข้อจำกัด และการประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ จึงต้องต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เพื่อเลือกใช้

ประจำวัน หลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหน่งึ ได้ตามต้องการ

7. อธิบ ายการเกิดเงามืดเงามัว • เมื่อนำวัตถุทึบแสงมาก้ันแสงจะเกิดเงาบนฉาก

จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ รับแสงที่อยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามีรูปร่างคล้าย

8. เขี ยน แผน ภ าพ รังสี ขอ งแส ง วัตถุที่ทำให้เกิดเงา เงามัวเป็นบริเวณที่มีแสง

แสดงการเกิดเงามืดเงามัว บางส่วนตกลงบนฉาก ส่วนเงามืดเป็นบริเวณ

ท่ีไมม่ แี สงตกลงบนฉากเลย

23

สาระที่ ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ

มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ

กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ รวมทั้งปฏสิ ัมพนั ธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะ

ทสี่ ง่ ผลตอ่ ส่ิงมีชีวติ และการประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ

ช้ัน ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

ป.1 1. ระบุดาวที่ปรากฏบนท้องฟ้า • บนท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว

ใน เว ล าก ล างวั น แ ล ะ ก ล างคื น ซ่ึงในเวลากลางวันจะมองเห็นดวงอาทิตย์

จากขอ้ มูลที่รวบรวมได้ และอาจมองเห็น ดวงจันทร์บางเวลาในบางวัน

2. อธิบายสาเหตุที่มองไม่เห็นดาว แต่ไมส่ ามารถมองเห็นดาว

ส่ ว น ให ญ่ ใน เว ล าก ล างวัน จ าก • ในเวลากลางวันมองไม่เห็นดาวส่วนใหญ่

หลักฐานเชิงประจกั ษ์ เน่ืองจากแสงอาทิตย์สว่างกว่าจึงกลบแสงของดาว

ส่วนในเวลากลางคืนจะมองเห็นดาว และมองเห็น

ดวงจนั ทรเ์ กือบทุกคืน

ป.2 - -

ป.3 1. อธิบายแบบรูปเส้นทางการข้ึน • คนบนโลกมองเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น

และต กขอ งด วงอ าทิ ต ย์โด ย ใช้ ทางด้านหนึ่งและตกทางอีกด้านหน่ึงทุกวัน

หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ หมุนเวียนเปน็ แบบรูปซ้ำ ๆ

2. อ ธิ บ า ย ส า เ ห ตุ ก า ร เ กิ ด • โลกกลมและหมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบ

ปรากฏการณ์การข้ึนและตกของ ดวงอาทติ ย์ ทำใหบ้ รเิ วณของโลกไดร้ บั แสงอาทติ ย์

ด ว งอ าทิ ต ย์ ก า รเกิ ด ก ล างวั น ไม่พร้อมกัน โลกด้านท่ีได้รับแสงจากดวงอาทิตย์

กลางคืนและการกำหนดทิศ โดยใช้ จะเป็นกลางวันส่วนด้านตรงข้ามท่ีไม่ได้รับแสง

แบบจำลอง จะเป็นกลางคืน นอกจากน้ีคนบนโลกจะมองเห็น

3. ตระหนักถึงความสำคัญ ของ ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นทางด้านหน่ึง ซ่ึงกำหนดให้

ดวงอาทิตย์ โดยบรรยายประโยชน์ เป็นทิศตะวันออก และมองเห็นดวงอาทิตย์ตก

ของดวงอาทติ ยต์ ่อสง่ิ มีชวี ติ ทางอีกด้านหนึ่ง ซ่ึงกำหนดให้เป็นทิศตะวันตก

แ ล ะ เมื่ อ ใ ห้ ด้ า น ข ว า มื อ อ ยู่ ท า ง ทิ ศ ต ะ วั น อ อ ก

ด้านซ้ายมืออยู่ท างทิ ศตะวัน ตก ด้าน ห น้ า

จะเปน็ ทศิ เหนือ และดา้ นหลงั จะเปน็ ทศิ ใต้

• ในเวลากลางวันโลกจะได้รับพลังงานแสง

และพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้

สิ่งมีชวี ิตดำรงชีวิตอยู่ได้

ป.4 1. อธิบายแบบรูปเส้นทางการข้ึน • ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โดยดวงจันทร์

แ ล ะต ก ข อ งด ว งจั น ท ร์ โด ย ใช้ หมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบโลก ขณะท่ีโลกก็

หลักฐานเชิงประจักษ์ หมุนรอบตัวเองด้วยเช่นกัน การหมุนรอบตัวเอง

ข อ ง โ ล ก จ า ก ทิ ศ ต ะ วั น ต ก ไ ป ทิ ศ ต ะ วั น อ อ ก ใ น

ทิศทางทวนเข็มนาฬิกาเม่ือมองจากขั้วโลกเหนือ

ทำให้มองเห็นดวงจันทร์ปรากฏขึ้นทางด้านทิศ

ตะวันออกและตกทางด้านทิศตะวันตกหมุนเวียน

เป็นแบบรูปซำ้ ๆ

24

ชั้น ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

2. สร้างแบบจำลองที่อธิบายแบบ • ดวงจันทร์เป็นวัตถุท่ีเป็นทรงกลม แต่รูปร่าง

รูปการเปล่ียนแปลงรูปร่างปรากฏ ของดวงจันทร์ที่มองเห็นหรือรูปร่างปรากฏของ

ของดวงจันทร์ และพยากรณ์รูปร่าง ดวงจันทร์บนท้องฟ้าแตกต่างกันไปในแต่ละวัน

ปรากฏของดวงจนั ทร์ โดยในแต่ละวันดวงจันทร์จะมีรูปร่างปรากฏ

เปน็ เส้ียวทีม่ ขี นาดเพ่มิ ขน้ึ อยา่ งต่อเนอ่ื งจนเต็มดวง

จากนนั้ รูปร่างปรากฏของดวงจันทร์จะแหว่งและมี

ขนาดลดลงอย่างต่อเน่ืองจนมองไม่เห็นดวงจันทร์

จากน้ันรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์จะเป็นเส้ียว

ใหญ่ขึ้นจนเต็มดวงอีกคร้ังการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้

เปน็ แบบรปู ซ้ำกนั ทกุ เดอื น

3. ส ร้ า ง แ บ บ จ ำ ล อ ง แ ส ด ง • ระบบสุริยะเป็นระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็น

อ งค์ ป ระ ก อ บ ข อ งระ บ บ สุ ริย ะ ศูนย์กลาง และมีบรวิ ารประกอบดว้ ย ดาวเคราะห์

แ ล ะ อ ธิ บ าย เป รีย บ เที ย บ ค า บ แปดดวงและบริวาร ซึ่งดาวเคราะห์แต่ละดวง

การโคจรของดาวเคราะห์ต่าง ๆ จาก มีขนาดและระยะห่างจากดวงอาทิตย์แตกต่างกัน

แบบจำลอง แ ล ะ ยั งป ระ ก อ บ ด้ ว ย ด าว เค ร าะ ห์ แ ค ร ะ

ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุขนาดเล็ก

อ่ืน ๆ โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ วัตถุขนาดเล็ก

อ่ืน ๆ เมื่อเข้ามาในช้ันบรรยากาศเนื่องจากแรง

โน้มถ่วงของโลกทำให้เกิดเป็นดาวตกหรือผีพุ่งไต้

และอกุ กาบาต

ป.5 1. เป รีย บ เที ย บ ค วาม แ ต ก ต่ าง • ดาวที่มองเห็นบนท้องฟ้าอยู่ในอวกาศซ่ึงเป็น

ขอ งด าว เค ราะห์ แล ะด าวฤก ษ์ บริเวณท่ีอย่นู อกบรรยากาศของโลก มีทงั้ ดาวฤกษ์

จากแบบจำลอง และดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์เป็นแหล่งกำเนิดแสงจึง

สามารถมองเห็นได้ ส่วนดาวเคราะห์ไม่ใช่

แหล่งกำเนิดแสง แต่สามารถมองเห็นได้เนื่องจาก

แสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบดาวเคราะห์แล้ว

สะท้อนเข้าสู่ตา

2. ใช้ แ ผ น ที่ ด าว ระ บุ ต ำแ ห น่ ง • การมองเห็นกลุ่มดาวฤกษ์มีรูปร่างต่าง ๆ

และเส้นทางการข้ึนและตกของกลุ่ม เกิดจากจินตนาการของผู้สังเกต กลุ่มดาวฤกษ์

ดาวฤกษ์บนท้องฟ้า และอธิบาย ต่าง ๆ ท่ีปรากฏในท้องฟ้าแต่ละกลุ่มมีดาวฤกษ์

แบ บรูป เส้น ทางการขึ้นและตก แต่ละดวงเรียงกันที่ตำแหน่งคงท่ี และมีเส้นทาง

ของกลุม่ ดาวฤกษ์บนท้องฟ้าในรอบปี การข้ึนและตกตามเส้นทางเดิมทุกคืน ซ่ึงจะ

ป ราก ฏ ต ำแห น่ งเดิ ม ก ารสังเกต ต ำแห น่ ง

และการข้ึนและตกของดาวฤกษ์ และกลุ่ม

ดาวฤกษ์ สามารถทำได้โดยใช้แผนที่ดาว ซึ่งระบุ

มุมทิศและมุมเงยที่กลุ่มดาวนั้นปรากฏ ผู้สังเกต

ส า ม า ร ถ ใช้ มื อ ใน ก า ร ป ร ะ ม า ณ ค่ า ข อ ง มุ ม เง ย

เมือ่ สงั เกตดาวในทอ้ งฟา้

25

ชั้น ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.6 1. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิด • เม่ือโลกและดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนว

และเปรียบเทียบปรากฏการณ์ เส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ในระยะทาง

สรุ ิยปุ ราคาและจนั ทรุปราคา ที่เหมาะสม ทำให้ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์

เงาของดวงจันทร์ทอดมายังโลก ผู้สังเกตที่อยู่

บ ริ เว ณ เง า จ ะ ม อ ง เห็ น ด ว ง อ า ทิ ต ย์ มื ด ไ ป เกิ ด

ปรากฏการณ์สุริยุปราคา ซึ่งมีท้ังสุริยุปราคา

เต็มดวง สุริยุปราคาบางส่วนและสุริยุปราคา

วงแหวน

• หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนว

เส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ แล้วดวงจันทร์

เคลื่อนที่ผ่านเงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์

มืดไปเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา ซ่ึงมีท้ัง

จันทรปุ ราคาเต็มดวง และจันทรปุ ราคาบางส่วน

2. อธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยี • เท คโน โลยีอวกาศเร่ิมจากความต้องการ

อวกาศ และยกตัวอย่างการนำ ของมนษุ ยใ์ นการสำรวจวัตถทุ อ้ งฟ้าโดยใชต้ าเปล่า

เทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ กล้องโทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสู่การขนส่ง

ใน ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น จ า ก ข้ อ มู ล เพ่อื สำรวจอวกาศดว้ ยจรวดและยานขนสง่ อวกาศ

ทรี่ วบรวมได้ และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการนำ

เทคโนโลยีอวกาศบางประเภทมาประยุกต์ใช้

ในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อ

การสื่อสาร การพยากรณ์อากาศ หรือการสำรวจ

ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้อุปกรณ์วัดชีพจร

และการเต้นของหัวใจ หมวกนิรภยั ชดุ กฬี า

26

สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลีย่ นแปลง

ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณพี ิบัติภัย กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟ้าอากาศ
และภูมิอากาศโลก รวมท้ังผลต่อส่งิ มชี ีวติ และสิ่งแวดล้อม

ชัน้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป.1 1. อธิบายลักษณะภายนอกของหนิ • หินท่ีอยใู่ นธรรมชาติมลี ักษณะภายนอก

จากลักษณะเฉพาะตัวทสี่ งั เกตได้ เฉพาะตัวทส่ี ังเกตได้ เช่น สี ลวดลาย นำ้ หนกั

ความแขง็ และเนื้อหิน

ป.2 1. ระบสุ ่วนประกอบของดิน • ดนิ ประกอบด้วยเศษหนิ ซากพชื ซากสัตวผ์ สม

และจำแนกชนิดของดนิ โดยใช้ อย่ใู นเนื้อดิน มีอากาศและนำ้ แทรกอยู่ตาม

ลักษณะเนอ้ื ดนิ และการจับตัว ช่องวา่ งในเน้อื ดิน ดินจำแนกเปน็ ดนิ ร่วน

เปน็ เกณฑ์ ดินเหนยี ว และดินทราย ตามลักษณะเน้ือดิน

2. อธิบายการใช้ประโยชนจ์ ากดนิ และการจับตวั ของดนิ ซงึ่ มผี ลต่อการอมุ้ นำ้

จากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ ทแี่ ตกต่างกนั

• ดินแต่ละชนดิ นำไปใช้ประโยชน์ได้แตกตา่ งกัน

ตามลักษณะและสมบตั ิของดิน

ป.3 1. ระบุส่วนประกอบของอากาศ • อากาศโดยทวั่ ไปไมม่ สี ี ไม่มีกล่นิ ประกอบดว้ ย

บรรยายความสำคัญของอากาศ แ ก๊ ส ไ น โ ต ร เจ น แ ก๊ ส อ อ ก ซิ เจ น แ ก๊ ส

และผลกระทบของมลพิษทางอากาศ คาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สอื่น ๆ รวมทั้งไอน้ำ

ต่อส่ิงมีชวี ติ จากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ และฝุ่นละออง อากาศมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต

2. ตระหนักถึงความสำคัญ ของ หากส่วนประกอบของอากาศไม่เหมาะสม

อ าก าศ โด ย น ำเส น อ แ น ว ท าง เนือ่ งจากมแี กส๊ บางชนิด หรือฝุ่นละอองในปริมาณ

การปฏิบัติตนในการลดการเกิด มาก อาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ

มลพิษทางอากาศ จัดเป็นมลพิษทางอากาศ

• แนวทางการปฏิบัติตนเพ่ือลดการปล่อยมลพิษ

ทางอากาศ เช่น ใช้พาหนะร่วมกัน หรือเลือกใช้

เทคโนโลยีทีล่ ดมลพษิ ทางอากาศ

3. อธิบายการเกิดลมจากหลักฐาน • ลม คือ อากาศที่เคล่ือนท่ี เกิดจากความ

เชิงประจกั ษ์ แตกต่างกันของอุณหภูมิอากาศบริเวณท่ีอยู่ใกล้

กัน โดยอากาศบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงจะลอยตัว

สูงข้ึน และอากาศบริเวณท่ีมีอุณหภูมิต่ำกว่า

จะเคลือ่ นเขา้ ไปแทนท่ี

27

ชนั้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

4. บรรยายประโยชน์และโทษของ • ลมสามารถนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทน

ลม จากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ ใน การผลิ ตไฟ ฟ้ า และน ำไป ใช้ ป ระโยช น์

ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ หากลม

เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงอาจทำให้เกิดอันตราย

และความเสียหายตอ่ ชีวติ และทรัพยส์ นิ ได้

ป.4 - -

ป.5 1. เปรียบเทียบปริมาณน้ำในแต่ละ • โลกมีท้ังน้ำจืดและน้ำเค็มซึ่งอยู่ในแหล่งน้ำ

แหล่ง และระบุปริมาณน้ำที่มนุษย์ ต่ าง ๆ ที่ มี ทั้ งแ ห ล่ งน้ ำผิ ว ดิ น เช่ น ท ะ เล

สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จาก มหาสมุทร บึง แม่น้ำ และแหล่งน้ำใต้ดิน เช่น

ข้อมูลทร่ี วบรวมได้ น้ำในดิน และน้ำบาดาล น้ำทั้งหมดของโลก

แบ่งเป็นน้ำเค็มประมาณร้อยละ 97.5 ซ่ึงอยู่ใน

มหาสมุทรและแหล่งน้ำอื่น ๆ และที่เหลืออีก

ประมาณร้อยละ ๒.๕ เป็นน้ำจืด ถ้าเรียงลำดับ

ปริมาณน้ำจืดจากมากไปน้อยจะอยู่ที่ ธารน้ำแข็ง

และพืดน้ำแข็ง น้ำใต้ดิน ช้ันดินเยือกแข็งคงตัว

และน้ำแข็งใต้ดิน ทะเลสาบ ความช้ืนในดิน

ความชื้นในบรรยากาศ บึ ง แม่น้ำ และน้ำ

ในสง่ิ มชี วี ิต

2. ต ร ะ ห นั ก ถึ ง คุ ณ ค่ า ข อ ง น้ ำ • น้ำจืดท่ีมนุษย์นำมาใช้ได้มีปริมาณน้อยมาก

โดยนำเสน อแน วทางการใช้น้ ำ จงึ ควรใช้นำ้ อยา่ งประหยดั และร่วมกันอนรุ ักษ์น้ำ

อยา่ งประหยัดและการอนุรกั ษ์นำ้

3. ส ร้ า งแ บ บ จ ำล อ งท่ี อ ธิ บ า ย • วัฏ จักรน้ำ เป็นการหมุนเวียนของน้ำที่มี

การหมนุ เวียนของนำ้ ในวัฏจักรนำ้ แ บ บ รูป ซ้ ำเดิ ม แ ล ะ ต่ อ เนื่ อ งระ ห ว่ างน้ ำ

ใน บ ร ร ย า ก า ศ น้ ำ ผิ ว ดิ น แ ล ะ น้ ำ ใต้ ดิ น

โดยพฤติกรรมการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์

ส่งผลตอ่ วัฏจักรนำ้

4. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ • ไอนำ้ ในอากาศจะควบแน่นเปน็ ละอองนำ้ เลก็ ๆ

ห มอก น้ ำค้าง และน้ ำค้างแข็ง โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละออง

จากแบบจำลอง เร ณู ข อ งด อ ก ไม้ เป็ น อ นุ ภ า ค แ ก น ก ล า ง

เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลมุ่ รวมกันลอยอยู่

สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ แต่ละอองน้ำท่ี

เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พ้ืนดิน เรียกว่า หมอก

ส่วนไอน้ำที่ควบแน่นเป็นละอองน้ำเกาะ อยู่บน

พ้ืนผิววัตถุใกล้พื้นดิน เรียกว่า น้ำค้าง ถ้าอุณหภูมิ

ใก ล้ พื้ น ดิ น ต่ ำ ก ว่ า จุ ด เยื อ ก แ ข็ ง น้ ำ ค้ า ง

ก็จะกลายเปน็ น้ำคา้ งแขง็

28

ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

5. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน • ฝน หิมะ ลกู เหบ็ เปน็ หยาดน้ำฟ้าซง่ึ เป็นนำ้ ทม่ี ี

หิ ม ะ แ ล ะ ลู ก เห็ บ จ า ก ข้ อ มู ล สถานะตา่ ง ๆ ที่ตกจากฟ้าถึงพ้นื ดนิ ฝนเกิดจาก

ที่รวบรวมได้ ละอองนำ้ ในเมฆทร่ี วมตัวกันจนอากาศไม่สามารถ

พยุงไว้ได้จงึ ตกลงมา หมิ ะเกดิ จากไอนำ้ ในอากาศ

ร ะ เหิ ด ก ลั บ เป็ น ผ ลึ ก น้ ำ แ ข็ ง ร ว ม ตั ว กั น

จนมีน้ำหนักมากข้ึนจนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้

จงึ ตกลงมาลกู เห็บเกดิ จากหยดน้ำที่เปล่ยี นสถานะ

เป็นน้ำแข็งแล้วถูกพายุพัดวนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝน

ฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในระดับสูงจนเป็น

ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญข่ ้นึ แลว้ ตกลงมา

ป.6 1. เปรยี บเทยี บกระบวนการเกิด • หินเป็นวัสดุแข็งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

หนิ อคั นี หินตะกอน และหนิ แปร ประกอบด้วย แร่ต้ังแต่หน่ึงชนิดขึ้นไป สามารถ

และอธิบายวฏั จกั รหินจากแบบ จำแนกหินตามกระบวนการเกิดไดเ้ ปน็ 3 ประเภท

จำลอง ได้แก่ หินอคั นี หนิ ตะกอน และหินแปร

• หนิ อคั นเี กดิ จากการเยน็ ตวั ของแมกมา เนือ้ หิน

มีลักษณะเป็นผลึก ท้ังผลึกขนาดใหญ่และขนาด

เลก็ บางชนิดอาจเปน็ เน้ือแกว้ หรือมรี ูพรุน

• หินตะกอน เกิดจากการทับถมของตะกอน

เมื่อถูกแรงกดทับและมีสารเชื่อมประสานจึงเกิด

เป็นหินเน้ือหินกลุ่มน้ีส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ด

ตะกอนมีทั้งเนื้อหยาบและเนื้อละเอียด บางชนิด

เป็นเน้ือผลึกที่ยึดเกาะกันเกิดจากการตกผลึก

หรือตกตะกอน จากน้ำโดยเฉพ าะน้ำท ะเล

บางชนิดมีลักษณะเป็นช้ัน ๆ จึงเรียกอีกช่ือว่า

หนิ ช้นั

• หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหินเดิม

ซ่ึงอาจเป็นหินอัคนี หินตะกอน หรือหินแปร

โดยการกระทำของความร้อน ความดัน และ

ปฏกิ ิริยาเคมี เน้อื หนิ ของหนิ แปรบางชนดิ ผลึกของ

แ ร่ เรี ย ง ตั ว ข น า น กั น เป็ น แ ถ บ บ า งช นิ ด

แซะออกเป็นแผ่นได้ บางชนิดเป็นเน้ือผลึก

ท่ีมีความแขง็ มาก

• หิ น ใน ธ ร ร ม ช า ติ ท้ั ง 3 ป ร ะ เภ ท มี ก า ร

เปลี่ยนแปลงจากประเภทหน่ึงไปเป็นอีกประเภท

ห นึ่ ง ห รือ ป ร ะ เภ ท เดิ ม ได้ โด ย มี แ บ บ รู ป

การเปลี่ยนแปลงคงทแ่ี ละต่อเนือ่ งเปน็ วัฏจกั ร

29

ช้ัน ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

2. บรรยายและยกตัวอย่างการใช้ • หินและแร่แต่ละชนิดมีลักษณะและสมบัติ

ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง หิ น แ ล ะ แ ร่ แ ต ก ต่ างกั น ม นุ ษ ย์ ใช้ ป ร ะ โย ช น์ จ าก แ ร่

ใน ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น จ า ก ข้ อ มู ล ในชีวิตประจำวันในลักษณะต่าง ๆ เช่น นำแร่มา

ท่รี วบรวมได้ ทำเคร่ืองสำอาง ยาสีฟัน เครื่องประดับ อุปกรณ์

ทางการแพทย์ และนำหินมาใช้ในงานก่อสร้าง

ตา่ ง ๆ เป็นต้น

3. สร้างแบบจำลองทอ่ี ธบิ ายการเกิด • ซากดึกดำบรรพ์เกิดจากการทับถมหรือการ

ซากดึกดำบ รรพ์ และคาดคะเน ประทับรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต จนเกิดเป็น

สภาพแวดลอ้ มในอดีตของซาก โครงสร้างของซากหรือร่องรอยของส่ิงมีชีวิต

ดึกดำบรรพ์ ท่ีปรากฏ อยู่ในหิน ในประเทศไทยพบซาก

ดึกดำบรรพ์ที่หลากหลาย เช่น พืช ปะการัง

หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตีนสัตว์

• ซากดึกดำบรรพ์สามารถใช้เป็นหลักฐานหน่ึง

ที่ช่วยอธิบายสภาพแวดล้อมของพ้ืนท่ีในอดีต

ขณะเกิดส่งิ มชี ีวติ นั้น เช่น หากพบซากดึกดำบรรพ์

ของหอยน้ำจดื สภาพแวดล้อมบรเิ วณนั้นอาจเคย

เป็ น แห ล่งน้ ำจืดมาก่อน และห ากพ บ ซาก

ดึกดำบรรพ์ของพืช สภาพแวดล้อมบริเวณนั้น

อาจเคยเป็นปา่ มากอ่ น นอกจากน้ีซากดึกดำบรรพ์

ยังสามารถใช้ระบุอายุของหิน และเป็นข้อมูล

ในการศึกษาวิวฒั นาการของสงิ่ มีชวี ติ

4. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลม • ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจากพ้ืนดิน

ทะเล และมรสุมรวมท้ังอธิบายผล และพ้ืนน้ำ ร้อนและเย็นไม่เท่ากันทำให้อุณหภูมิ

ท่ีมีต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมจาก อากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำแตกต่างกัน จึงเกิด

แบบจำลอง การเคลื่อนท่ีของอากาศจากบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ

ไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมสิ ูง

• ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำถิ่นที่พบ

บริเวณชายฝ่ัง โดยลมบกเกิดในเวลากลางคืน

ทำให้มีลมพัดจากชายฝั่งไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเล

เกิดในเวลากลางวัน ทำให้มีลมพัดจากทะเลเข้าสู่

ชายฝ่งั

5. อธิบายผลของมรสมุ ต่อการเกิด • มรสุมเป็นลมประจำฤดูเกิดบริเวณเขตร้อนของ

ฤดขู องประเทศไทยจากข้อมลู ท่ี โลก ซ่งึ เป็นบริเวณกว้างระดับภูมิภาคประเทศไทย

รวบรวมได้ ได้รับผลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในช่วง

ประมาณกลางเดือนตุลาคมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์

ทำให้เกิดฤดูหนาว และได้รับผลจากมรสุม

ต ะ วั น ต ก เฉี ย ง ใต้ ใน ช่ ว ง ป ร ะ ม า ณ ก ล า ง เดื อ น

พ ฤ ษ ภ า ค ม จ น ถึ ง ก ล า ง เดื อ น ตุ ล า ค ม ท ำ ให้ เกิ ด

30

ช้ัน ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

ฤดูฝน ส่วนช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์

จนถึงกลางเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเปล่ียนมรสุม

และประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แสงอาทิตย์

เกือบต้ังตรงและต้ังตรงประเทศไทยในเวลาเท่ียง

วัน ท ำให้ ได้รับ ความร้อน จากดวงอาทิ ตย์

อย่างเต็มท่ี อากาศจึงร้อนอบอา้ วทำใหเ้ กดิ ฤดรู อ้ น

6. บรรยายลักษณะและผลกระทบ • น้ำท่วม การกดั เซาะชายฝ่ัง ดินถลม่ แผ่นดนิ ไหว

ของน้ำท่วมการกัดเซาะชายฝ่ัง ดิน และสึนามิ มีผลกระทบต่อชีวิตและส่ิงแวดล้อม

ถลม่ แผน่ ดนิ ไหว สึนามิ แตกต่างกนั

7. ตระหนักถึงผลกระทบของภัย • มนุษย์ควรเรียนรู้วิธีปฏิบัติตนให้ปลอดภัย เช่น

ธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย โดย ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ เตรียมถุงยังชีพ

นำเสนอแนวทางในการเฝ้าระวังและ ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และปฏิบัติตามคำส่ังของ

ป ฏิ บั ติ ต น ให้ ป ล อ ด ภั ย จ าก ภั ย ผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดเมื่อเกิด

ธรรมชาติและธรณีพิบัตภิ ัยที่อาจเกิด ภัยธรรมชาติและธรณพี ิบตั ิภัย

ในทอ้ งถน่ิ

8. สร้างแบบจำลองทอี่ ธิบายการเกิด • ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจากแก๊สเรือน

ปรากฏการณ์เรือนกระจก และผล กระจกในชั้นบรรยากาศของโลกกักเก็บความร้อน

ของปรากฏการณ์เรือนกระจกต่อ แล้วคายความร้อนบางส่วนกลับสู่ผิวโลก ทำให้

สิง่ มีชวี ติ อากาศบนโลกมีอุณ หภู มิเหมาะสมต่อการ

9. ต ระห นั ก ถึ งผ ล ก ระ ท บ ข อ ง ดำรงชวี ิต

ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ เรื อ น ก ร ะ จ ก • หากปรากฏการณ์เรือนกระจกรุนแรงมากขึ้น

โดยนำเสนอแนวทางการปฏิบัติตน จะมีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลกมนุษย์

เพื่อลดกิจกรรมท่ีก่อให้เกิดแก๊สเรือน จึงควรร่วมกันลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือน

กระจก กระจก

31

สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยเี พอ่ื การดำรงชวี ติ ในสังคมท่ีมีการเปลยี่ นแปลง

อยา่ งรวดเรว็ ใช้ความรูแ้ ละทกั ษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์
และศาสตร์อน่ื ๆ เพื่อแกป้ ัญหาหรือพฒั นางานอย่างมีความคดิ สร้างสรรค์
ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เลือกใช้เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสม
โดยคำนงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชวี ิต สงั คม และส่งิ แวดลอ้ ม

ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ป.1 - -
ป.2 - -
ป.3 - -
ป.4 - -
ป.5 - -

สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคดิ เชงิ คำนวณในการแก้ปญั หาท่ีพบในชวี ิตจริงอย่างเปน็

ขั้นตอนและเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารในการเรียนรู้
การทำงาน และการแก้ปญั หาไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ร้เู ทา่ ทนั และมจี ริยธรรม

ช้นั ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.1 1. แ ก้ ปั ญ ห า อ ย่ า งง่า ย โด ย ใช้ • การแกป้ ัญหาใหป้ ระสบความสำเรจ็ ทำไดโ้ ดยใช้

การลองผิดลองถูก การเปรียบเทียบ ข้นั ตอนการแกป้ ญั หา

• ปัญหาอย่างง่าย เช่น เกมเขาวงกต เกมหา

จุดแตกตา่ งของภาพ การจดั หนงั สือใสก่ ระเป๋า

2. แสดงลำดับขั้นตอนการทำงาน • การแสดงขั้นตอนการแก้ปัญหา ทำได้โดย

หรือการแก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ การเขยี น บอกเล่า วาดภาพ หรอื ใชส้ ัญลักษณ์

ภาพ สัญลักษณ์ หรอื ข้อความ • ปัญหาอย่างง่าย เช่น เกมเขาวงกต เกมหาจุด

แตกตา่ งของภาพ การจัดหนงั สือใส่กระเปา๋

3. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ • การเขยี นโปรแกรมเป็นการสร้างลำดบั ของคำส่งั

ซอฟตแ์ วร์ หรอื ส่ือ ให้คอมพวิ เตอร์ทำงาน

• ตัวอย่างโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมส่ังให้

ตั ว ล ะ ค ร ย้ า ย ต ำ แ ห น่ ง ย่ อ ข ย า ย ข น า ด

เปล่ียนรูปรา่ ง

• ซอฟตแ์ วร์หรอื สอื่ ท่ีใช้ในการเขียนโปรแกรม เชน่

ใชบ้ ตั รคำสง่ั แสดงการเขยี นโปรแกรม, Code.org

32

ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

4. ใช้เทคโนโลยีในการสร้าง จัดเก็บ • การใช้งานอุปกรณ์เทคโนโลยีเบื้องต้น เช่น

เรยี กใช้ข้อมลู ตามวตั ถุประสงค์ การใช้เมาส์ คีย์บอร์ด จอสัมผัส การเปิด-ปิด

อปุ กรณเ์ ทคโนโลยี

• การใช้งานซอฟต์แวร์เบ้ืองต้น เช่น การเข้า

และออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์ การจัดเก็บ

การเรียกใช้ไฟล์ ทำได้ในโปรแกรม เช่น โปรแกรม

ประมวลคำ โปรแกรมกราฟิก โปรแกรมนำเสนอ

• การสร้างและจัดเก็บไฟล์อย่างเป็นระบบ

จะทำให้เรียกใช้ คน้ หาข้อมูลไดง้ ่าย และรวดเรว็

5. ใช้ เท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เท ศ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย

อย่างปลอดภัย ปฏิบัติตามข้อตกลง เช่น รู้จักข้อมูลส่วนตัว อันตรายจากการเผยแพร่

ในการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกัน ดูแล ข้อมูลส่วนตัว และไม่บอกข้อมูลส่วนตัวกับบุคคล

รัก ษ าอุ ป ก รณ์ เบื้ อ งต้ น ใช้ งาน อื่นยกเว้นผู้ปกครองหรือครู แจ้งผู้เก่ียวข้อง

อยา่ งเหมาะสม เมือ่ ต้องการความช่วยเหลอื เกีย่ วกับการใช้งาน

• ข้อปฏิบัติในการใช้งานและการดูแลรักษา

อุปกรณ์ เช่น ไม่ขีดเขียนบนอุปกรณ์ ทำความ

สะอาด ใช้อปุ กรณ์อย่างถูกวธิ ี

• การใช้งานอย่างเหมาะสม เช่น จัดท่าน่ัง

ให้ ถู ก ต้ อ ง ก ารพั ก ส าย ต าเม่ื อ ใช้ อุ ป ก รณ์

เปน็ เวลานาน ระมดั ระวังอบุ ตั ิเหตจุ ากการใช้งาน

ป.2 1. แสดงลำดับข้ันตอนการทำงาน • การแสดงขั้นตอนการแก้ปัญหา ทำได้โดย

หรือการแก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ การเขยี น บอกเล่า วาดภาพ หรอื ใชส้ ัญลกั ษณ์

ภาพ สญั ลักษณ์ หรือขอ้ ความ • ปัญหาอย่างง่าย เช่น เกมตัวต่อ 6-12 ช้ิน

การแตง่ ตัวมาโรงเรียน

2. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมสั่งให้

ซอฟต์แวร์หรือสื่อ และตรวจหา ตัวละครทำงานตามที่ต้องการ และตรวจสอบ

ข้อผดิ พลาดของโปรแกรม ข้อผดิ พลาด ปรับแก้ไขใหไ้ ด้ผลลพั ธ์ตามทก่ี ำหนด

• การตรวจหาข้อผิดพลาด ทำได้โดยตรวจสอบ

คำส่ังที่แจ้งขอ้ ผิดพลาด หรือหากผลลัพธ์ไม่เป็นไป

ตามท่ีตอ้ งการให้ตรวจสอบการทำงานทลี ะคำสั่ง

• ซอฟต์แวร์หรือสื่อท่ีใชใ้ นการเขียนโปรแกรม เช่น

ใช้บตั รคำสง่ั แสดงการเขยี นโปรแกรม, Code.org

3. ใช้ เท ค โน โล ยี ใน ก า ร ส ร้ า ง • การใช้งานซอฟต์แวร์เบื้องต้น เช่น การเข้า

จัดหมวดหมู่ ค้นหาจัดเก็บ เรียกใช้ และออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์ การจัดเก็บ

ข้อมูลตามวัตถปุ ระสงค์ การเรียกใช้ไฟล์ การแก้ไขตกแต่งเอกสาร ทำได้

ในโปรแกรม เช่น โปรแกรมประมวลคำ โปรแกรม

กราฟิก โปรแกรมนำเสนอ

33

ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

• ก ารส ร้าง คั ด ล อ ก ย้ าย ล บ เป ลี่ ย น ชื่ อ

จัดหมวดหมู่ไฟล์ และโฟลเดอร์อย่างเป็นระบบ

จะทำให้เรียกใช้ คน้ หาข้อมลู ได้งา่ ยและรวดเร็ว

4. ใช้ เท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เท ศ • การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น

อย่างปลอดภัย ปฏิบัติตามข้อตกลง รจู้ ักข้อมลู ส่วนตัว อันตรายจากการเผยแพร่ข้อมูล

ในการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกัน ดูแล ส่วนตัว และไม่บอกข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลอ่ืน

รัก ษ าอุ ป ก รณ์ เบื้ อ งต้ น ใช้ งาน ยก เว้น ผู้ ป ก ค รอ งห รือ ค รู แ จ้ งผู้ เกี่ ยว ข้อ ง

อย่างเหมาะสม เม่ือตอ้ งการความชว่ ยเหลอื เกีย่ วกับการใช้งาน

• ข้อปฏิบัติในการใช้งานและการดูแลรักษา

อุปกรณ์ เช่น ไม่ขีดเขียนบนอุปกรณ์ ทำความ

สะอาด ใชอ้ ุปกรณ์อยา่ งถกู วธิ ี

• การใช้งานอย่างเหมาะสม เช่น จัดท่าน่ัง

ให้ ถู ก ต้ อ ง ก ารพั ก ส าย ต าเมื่ อ ใช้ อุ ป ก รณ์

เปน็ เวลานาน ระมดั ระวงั อุบัตเิ หตุจากการใช้งาน

ป.3 1. แสดงอัลกอริทึมในการทำงาน • อัลกอรทิ มึ เปน็ ข้นั ตอนทีใ่ ช้ในการแกป้ ัญหา

หรือการแก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ • การแสดงอัลกอริทึม ทำได้โดยการเขียน

ภาพ สัญลักษณ์ หรือข้อความ บอกเลา่ วาดภาพ หรือใชส้ ญั ลกั ษณ์

• ตัวอย่างปัญหา เช่น เกมเศรษฐี เกมบันไดงู

เกม Tetris เกม OX การเดินไปโรงอาหาร การทำ

ความสะอาดหอ้ งเรยี น

2. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ • การเขยี นโปรแกรมเปน็ การสร้างลำดบั ของคำสัง่

ซอฟต์แวร์หรือสื่อ และตรวจหา ให้คอมพิวเตอร์ทำงาน

ขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรม • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมท่ีส่ังให้

ตวั ละครทำงานซ้ำไมส่ นิ้ สดุ

• การตรวจหาข้อผิดพลาด ทำได้โดยตรวจสอบ

คำส่งั ที่แจ้งข้อผิดพลาด หรือหากผลลัพธ์ไม่เปน็ ไป

ตามทีต่ ้องการใหต้ รวจสอบการทำงานทีละคำสง่ั

• ซอฟตแ์ วร์หรอื สื่อที่ใช้ในการเขยี นโปรแกรม เช่น

ใช้บัตรคำสั่งแสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org

3. ใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ ค้นหาความรู้ • อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ช่วยให้

ก า ร ติ ด ต่ อ ส่ื อ ส า ร ท ำ ไ ด้ ส ะ ด ว ก แ ล ะ ร ว ด เร็ ว

และเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ที่ช่วยในการเรียน

และการดำเนินชีวิต

• เวบ็ เบราวเ์ ซอรเ์ ป็นโปรแกรมสำหรับอา่ นเอกสาร

บนเว็บเพจ

34

ช้นั ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง

• การสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ทำได้โดยใช้

เว็บไซต์สำหรับสืบค้น และต้องกำหนดคำค้น

ที่เหมาะสมจงึ จะไดข้ อ้ มลู ตามตอ้ งการ

• ข้อมูลความรู้ เช่น วิธีทำอาหาร วิธีพับกระดาษ

เป็นรูปต่าง ๆ ข้อมูลประวัติศาสตร์ชาติไทย

(อาจเป็นความรู้ในวิชาอื่น ๆ หรือเรื่องท่ีเป็น

ประเด็นที่สนใจในช่วงเวลานั้น)

• การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยควรอยู่

ในการดแู ลของครู หรอื ผปู้ กครอง

4. ร ว บ ร ว ม ป ร ะ ม ว ล ผ ล • การรวบรวมข้อมูล ทำได้โดยกำหนดหัวข้อ

และนำเสนอข้อมูล โดยใช้ซอฟต์แวร์ ที่ตอ้ งการ เตรยี มอปุ กรณใ์ นการจดบนั ทกึ

ตามวัตถุประสงค์ • การประมวลผลอย่างง่าย เช่น เปรียบเทียบ

จดั กลมุ่ เรียงลำดบั

• การนำเสนอข้อมูลทำได้หลายลักษณะตาม

ความเหมาะสม เช่น การบอกเล่า การทำเอกสาร

รายงาน การจดั ทำป้ายประกาศ

• การใช้ซอฟต์แวร์ทำงานตามวัตถุประสงค์ เช่น

ใช้ซอฟต์แวร์นำเสนอ หรือซอฟต์แวร์กราฟิก

สร้างแผนภูมิรูปภาพ ใช้ซอฟต์แวร์ประมวลคำ

ทำปา้ ยประกาศหรือเอกสารรายงาน ใช้ซอฟต์แวร์

ตารางทำงานในการประมวลผลข้อมูล

5. ใช้ เท ค โน โล ยี ส า ร ส น เท ศ • การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภัย

อ ย่ า ง ป ล อ ด ภั ย ป ฏิ บั ติ ต า ม เชน่ ปกป้องขอ้ มลู สว่ นตวั

ขอ้ ตกลงในการใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ • ขอความช่วยเหลือจากครูหรือผู้ปกครอง

เม่ือเกิดปัญหาจากการใช้งาน เม่ือพบข้อมูล

หรอื บคุ คลทท่ี าใหไ้ ม่สบายใจ

• การปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลงในการใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ต

จะทาใหไ้ ม่เกดิ ความเสยี หายต่อตนเองและผอู้ ่นื

เช่น ไม่ใช้คาหยาบ ล้อเลยี น ด่าทอ ทาให้ผู้อ่นื

เสยี หายหรอื เสยี ใจ

• ข้อ ดีแ ล ะข้อ เสีย ใน ก ารใช้เท ค โน โล ยี

สารสนเทศและการสอ่ื สาร

ป.4 1. ใช้ เห ตุ ผ ล เชิ งต รรก ะใน ก าร • การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์

แก้ปัญหา การอธิบายการทำงาน หรือเง่ือนไขที่ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณา

การคาดการณ์ผลลัพธ์ จากปัญหา ใน ก ารแ ก้ ปั ญ ห า ก ารอ ธิ บ าย ก ารท ำงาน

อยา่ งงา่ ย หรอื การคาดการณ์ผลลพั ธ์

35

ช้ัน ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

• สถานะเริม่ ตน้ ของการทำงานที่แตกต่างกนั จะให้

ผลลพั ธท์ ีแ่ ตกต่างกนั

• ตัวอย่างปัญหา เช่น เกม OX โปรแกรมท่ีมี

การคำนวณ โปรแกรมท่ีมีตัวละครหลายตัว

และมีการสั่งงานที่แตกต่างหรือมีการส่ือสาร

ระหว่างกัน การเดินทางไปโรงเรียน โดยวิธีการ

ตา่ ง ๆ

2. ออกแบบ และเขียนโปรแกรม • ก า รอ อ ก แ บ บ โป ร แ ก ร ม อ ย่ า งง่าย เช่ น

อย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือส่ือ การอ อ ก แ บ บ โด ย ใช้ storyboard ห รือ ก าร

และตรวจหาข้อผิดพลาดและแกไ้ ข ออกแบบอลั กอริทึม

• การเขยี นโปรแกรมเปน็ การสร้างลำดับของคำสั่ง

ให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เพ่ือให้ได้ผลลัพธ์ตาม

ความต้องการ หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบ

การทำงานทีละคำสั่ง เม่ือพบจุดที่ทำให้ผลลัพธ์

ไม่ถูกต้อง ให้ทำการแก้ไขจนกว่าจะได้ผลลัพธ์

ที่ถูกตอ้ ง

• ตัวอย่างโปรแกรมท่ีมีเร่ืองราว เช่น นิทานที่มี

การโต้ตอบกับ ผู้ใช้ การ์ตูนสั้น เล่ากิจวัตร

ประจำวนั ภาพเคลือ่ นไหว

• การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ

ผู้อื่นจะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปัญหา

ไดด้ ีย่ิงข้ึน

• ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น

Scratch, logo

3. ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาความรู้ • การใช้คำค้นที่ตรงประเด็น กระชับ จะทำให้

แ ล ะ ป ร ะ เมิ น ค ว า ม น่ า เช่ื อ ถื อ ได้ผลลพั ธท์ ่รี วดเร็วและตรงตามความต้องการ

ของขอ้ มลู • การประเมินความน่าเช่ือถือของข้อมูล เช่น

พิจารณาประเภทของเว็บไซต์ (หน่วยงานราชการ

สำนักข่าว องค์กร) ผู้เขียน วันท่ีเผยแพร่ข้อมูล

การอ้างอิง

• เม่อื ได้ขอ้ มูลท่ตี ้องการจากเวบ็ ไซตต์ า่ ง ๆ จะตอ้ ง

นำเนื้อหามาพิจารณา เปรียบเทียบ แล้วเลือก

ข้อมลู ท่มี คี วามสอดคลอ้ งและสัมพนั ธก์ ัน

• การทำรายงานหรือการนำเสนอข้อมูลจะต้องนำ

ข้อมูลมาเรียบเรียง สรุป เป็นภาษาของตนเอง

ท่ีเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและวิธีการนำเสนอ

(บรู ณาการกับวิชาภาษาไทย)

36

ช้นั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง

4. รวบรวม ประเมิน นำเสนอข้อมูล • การรวบรวมข้อมูล ทำได้โดยกำหนดหัวข้อ

และสารสนเทศโดยใช้ซอฟต์แวร์ ทีต่ อ้ งการ เตรยี มอปุ กรณใ์ นการจดบันทกึ

ที่ ห ล า ก ห ล า ย เพื่ อ แ ก้ ปั ญ ห า • การประมวลผลอย่างง่าย เช่น เปรียบเทียบ

ในชวี ติ ประจำวัน จดั กลมุ่ เรยี งลำดับ การหาผลรวม

• วิเคราะห์ผลและสร้างทางเลือกที่เป็นไปได้

ประเมนิ ทางเลอื ก (เปรียบเทยี บ ตัดสนิ )

• การนำเสนอข้อมูลทำได้หลายลักษณะตาม

ความเหมาะสม เช่น การบอกเลา่ เอกสารรายงาน

โปสเตอร์ โปรแกรมนำเสนอ

• การใช้ซอฟตแ์ วร์เพือ่ แกป้ ญั หาในชวี ิตประจำวัน

เช่น การสำรวจเมนูอาหารกลางวันโดยใช้

ซอฟต์แวร์สร้างแบบสอบถามและเก็บข้อมูล

ใช้ซอฟต์แวร์ตารางทำงานเพ่ือประมวลผลข้อมูล

รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการและ

สร้างรายการอาหารสำหรับ 5 วัน ใช้ซอฟต์แวร์

น ำ เ ส น อ ผ ล ก า ร ส ำ ร ว จ ร า ย ก า ร อ า ห า ร ท่ี เป็ น

ทางเลอื กและขอ้ มูลด้านโภชนาการ

5. ใช้ เท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เท ศ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย

อย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของ

ของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่นแจ้ง ผู้อ่ืน เช่น ไม่สร้างข้อความเท็จและส่งให้ผู้อื่น

ผู้เก่ียวข้องเม่ือพบข้อมูลหรือบุคคล ไม่สร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่นโดยการส่งสแปม

ที่ไม่เหมาะสม ข้อความลูกโซ่ ส่งต่อโพสต์ที่มีข้อมูลส่วนตัวของ

ผู้อ่ืน ส่งคำเชิญเล่นเกม ไม่เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว

หรือการบ้านของบุคคลอ่ืนโดยไม่ได้รับอนุญาต

ไมใ่ ชเ้ ครือ่ งคอมพิวเตอร์/ชือ่ บัญชขี องผู้อืน่

• การสื่อสารอยา่ งมมี ารยาทและรู้กาลเทศะ

• การปกป้องข้อมูลส่วนตัว เช่น การออกจาก

ระบบเม่ือเลิกใช้งาน ไม่บอกรหัสผ่าน ไม่บอกเลข

ประจำตัวประชาชน

ป.5 1. ใช้ เห ตุ ผ ล เชิ งต รรก ะใน ก าร • การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์

แก้ปัญหา การอธิบายการทำงาน หรือเง่ือนไขท่ีครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณา

การคาดการณ์ผลลัพธ์ จากปัญหา ในการแก้ปัญหา การอธิบายการทำงาน หรือการ

อยา่ งง่าย คาดการณ์ผลลพั ธ์

• สถานะเริม่ ตน้ ของการทำงานทีแ่ ตกต่างกันจะให้

ผลลพั ธ์ที่แตกตา่ งกัน

37

ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

• ตัวอย่างปัญหา เช่น เกม Sudoku โปรแกรม

ทำนายตัวเลข โปรแกรมสร้างรูปเรขาคณิ ต

ตามค่าข้อมูลเข้า การจัดลำดับการทำงานบ้าน

ในชว่ งวนั หยุด จดั วางของในครวั

2. ออกแบบ และเขียนโปรแกรม • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำได้โดยเขยี น

ท่ีมีการใช้เหตุผลเชิงตรรกะอย่างง่าย เป็นข้อความหรือผังงาน

ตรวจหาขอ้ ผิดพลาด และแก้ไข • ก า ร อ อ ก แ บ บ แ ล ะ เขี ย น โป ร แ ก ร ม ท่ี มี

การตรวจสอบเง่ือนไขที่ครอบคลุมทุกกรณีเพ่ือให้

ไดผ้ ลลพั ธ์ทถี่ กู ต้องตรงตามความตอ้ งการ

• หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทำงาน

ทีละคำสั่ง เมื่อพบจุดที่ทำให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง

ใหท้ ำการแกไ้ ขจนกว่าจะไดผ้ ลลพั ธ์ท่ีถูกต้อง

• การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ

ผอู้ ื่น จะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตขุ องปัญหา

ไดด้ ียิง่ ขึ้น

• ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมตรวจสอบ

เล ข คู่ เล ข ค่ี โป ร แ ก รม รับ ข้ อ มู ล น้ ำห นั ก

หรือส่วนสูง แล้วแสดงผลความสมส่วนของ

ร่างกาย โปรแกรมส่ังให้ตัวละครทำตามเง่ือนไข

ท่ีกำหนด

• ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น

Scratch, logo

3. ใช้ อิน เท อร์เน็ ต ค้ น ห าข้อ มู ล • ก า ร ค้ น ห า ข้ อ มู ล ใ น อิ น เ ท อ ร์ เ น็ ต

ติดต่อส่ือสารและทำงานร่วมกัน และการพจิ ารณาผลการคน้ หา

ประเมินความน่าเช่ือถือของข้อมูล • การติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น อีเมล

ของครู บลอ็ ก โปรแกรมสนทนา

• การเขยี นจดหมาย (บรู ณาการกับวชิ าภาษาไทย)

• ก ารใช้อิ น เท อ ร์เน็ ต ใน ก ารติด ต่ อ สื่อ สาร

และทำงานรว่ มกัน เช่น ใชน้ ัดหมายในการประชุม

กลุ่ม ป ระชาสัมพั นธ์กิจกรรมในห้ องเรียน

การแลกเปล่ียนความรู้ ความคิดเห็นในการเรียน

ภายใตก้ ารดแู ล

• การประเมินความน่าเช่ือถือของข้อมูล เช่น

เปรียบเทียบความสอดคล้อง สมบูรณ์ของข้อมูล

จากหลายแหล่ง แหล่งต้นตอของข้อมูล ผู้เขียน

วนั ทีเ่ ผยแพร่ขอ้ มูล

• ข้อมูลท่ีดีต้องมีรายละเอียดครบทุกด้าน เช่น

ขอ้ ดีและข้อเสีย ประโยชนแ์ ละโทษ

38

ช้นั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

4. รวบรวม ประเมิน นำเสนอข้อมูล • การรวบรวมข้อมูล ประมวลผล สร้างทางเลือก

และสารสนเทศตามวัตถุประสงค์ ประเมินผล จะทำให้ได้สารสนเทศเพื่อใช้ในการ

โด ย ใช้ ซ อ ฟ ต์ แ ว ร์ ห รื อ บ ริ ก า ร แกป้ ญั หาหรอื การตดั สนิ ใจได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

บ น อิ น เท อ ร์เน็ ต ท่ี ห ล าก ห ล าย • การใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เน็ต

เพ่ือแก้ปญั หาในชีวติ ประจำวัน ที่หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผลสร้าง

ทางเลือก ประเมินผล นำเสนอ จะช่วยให้

การแ ก้ ปั ญ ห าท ำได้ อ ย่างรวด เร็ว ถู ก ต้ อ ง

และแม่นยำ

• ตัวอย่างปัญหา เช่น ถ่ายภาพ และสำรวจแผนที่

ในท้องถ่นิ เพอื่ นำเสนอแนวทางในการจัดการพ้ืนที่

ว่างให้เกิดประโยชน์ ทำแบบสำรวจความคิดเห็น

ออนไลน์ และวิเคราะห์ข้อมูล นำเสนอข้อมูล

โดยการใช้ blog หรือ web page

5. ใช้ เท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เท ศ • อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรม

อย่างปลอดภัย มีมารยาทเข้าใจสิทธิ ทางอนิ เทอร์เนต็

และหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของ • มารยาทในการติดต่อส่ือสารผ่านอินเทอร์เน็ต

ผู้อื่น แจ้งผู้เก่ียวข้องเมื่อพบข้อมูล (บรู ณาการกบั วิชาท่ีเก่ยี วข้อง)

หรอื บคุ คลท่ีไมเ่ หมาะสม

ป.6 1. ใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะในการอธิบาย • การแก้ปัญหาอย่างเป็นข้ันตอนจะช่วยให้

และออกแบบวิธีการแก้ปัญหาที่พบ แก้ปญั หาไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

ในชีวิตประจำวนั • การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์

หรือเง่ือนไขที่ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณา

ในการแกป้ ัญหา

• แนวคดิ ของการทำงานแบบวนซ้ำ และเง่อื นไข

• การพิจารณากระบวนการทำงานท่ีมีการทำงาน

แบบวนซ้ำหรือเงื่อนไขเป็นวิธีการท่ีจะช่วยให้

ก า ร อ อ ก แ บ บ วิ ธี ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า เป็ น ไป อ ย่ า ง มี

ประสทิ ธภิ าพ

• ตัวอย่างปัญ หา เช่น การค้นหาเลขหน้าที่

ต้องการให้เร็วท่ีสุด การทายเลข 1-1,000,000

โดยตอบให้ถูกภายใน 20 คำถาม การคำนวณ

เวลาในการเดินทาง โดยคำนึงถึงระยะทาง เวลา

จดุ หยุดพกั

39

ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

2. ออกแบบและเขียนโปรแกรม • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำได้โดยเขียน

อ ย่ า ง ง่ า ย เพ่ื อ แ ก้ ปั ญ ห า ใ น เปน็ ข้อความหรือผังงาน

ชีวิตประจำวัน ตรวจหาข้อผิดพลาด • การออกแบบและเขียนโปรแกรมท่ีมีการใช้

ของโปรแกรมและแก้ไข ตัวแปร การวนซ้ำ การตรวจสอบเงอ่ื นไข

• หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทำงาน

ทีละคำส่ัง เมื่อพบจุดท่ีทำให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง

ให้ทำการแก้ไขจนกวา่ จะไดผ้ ลลพั ธ์ทีถ่ ูกต้อง

• การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ

ผู้อื่นจะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปัญหา

ได้ดียิ่งข้ึน

• ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรม

หาคา่ ค.ร.น. เกมฝกึ พิมพ์

• ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น

Scratch, logo

3. ใช้อนิ เทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูล • การค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการค้นหา

อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ข้อมูลที่ได้ตรงตามความต้องการในเวลาที่รวดเร็ว

จ าก แ ห ล่ งข้ อ มู ล ท่ี น่ าเช่ื อ ถื อ ห ล าย แ ห ล่ ง

และขอ้ มูลมีความสอดคลอ้ งกนั

• การใช้เทคนิคการค้นหาขั้นสูง เช่น การใช้

ตัวดำเนิ นการ การระบุ รูป แบ บของข้อมูล

หรือชนดิ ของไฟล์

• การจัดลำดับ ผลลัพ ธ์จากการค้น ห าของ

โปรแกรมค้นหา

• การเรียบเรียง สรุปสาระสำคัญ (บูรณาการกับ

วชิ าภาษาไทย)

4. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำงาน • อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรม

ร่วมกันอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิ ทางอนิ เทอร์เน็ต แนวทางในการป้องกนั

และหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของ • วิธกี ำหนดรหัสผา่ น

ผู้อ่ืน แจ้งผู้เก่ียวข้องเม่ือพบข้อมูล • การกำหนดสิทธก์ิ ารใช้งาน (สทิ ธ์ใิ นการเขา้ ถึง)

หรอื บุคคลทีไ่ มเ่ หมาะสม • แนวทางการตรวจสอบและปอ้ งกนั มลั แวร์

• อันตรายจากการติดต้ังซอฟต์แวร์ที่อยู่บน

อนิ เทอรเ์ น็ต

40

โครงสรา้ งหลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนบา้ นทา่ เกวียน

โครงสรา้ งเวลาเรียน ระดับประถมศกึ ษา

กลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชา/กิจกรรม เวลาเรยี น : ช่วั โมง/ปี
ระดบั ประถมศกึ ษา
 กล่มุ สาระการเรยี นร/ู้ วิชาพื้นฐาน ป.๑ ป.๒ ป.๓ ป.๔ ป.๕ ป.๖
ภาษาไทย
คณิตศาสตร์ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐
ประวตั ศิ าสตร์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
สุขศึกษาและพลศึกษา ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
ศลิ ปะ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
การงานอาชีพ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
ภาษาตา่ งประเทศ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
รวมเวลาเรยี น (รายวชิ าพ้นื ฐาน( 120 ๑20 ๑20 ๘๐ ๘๐ ๘๐
๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐
 กจิ กรรมทีส่ ถานศึกษาจัดเพ่ิมเตมิ
ตามจดุ เน้นสาระการเรยี นรู้ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
ภาษาไทย ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
วทิ ยาศาสตร์ 160 160 160 160 160 160
องั กฤษ
รวมเวลาเรียน ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
(กจิ กรรมเสริมสาระการเรียนรู(้
 กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
 กิจกรรมแนะแนว ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐
 กิจกรรมนักเรียน ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐
๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐
 ลูกเสือ/เนตรนารี
 ชมุ นุม ๑,120 ชว่ั โมง ๑,120 ชัว่ โมง
 กิจกรรมเพ่อื สังคม
และสาธารณประโยชน์
รวมเวลา (กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รียน(

รวมเวลาท้ังหมด

วิชาหนา้ ท่พี ลเมอื ง เป็นจดั การเรยี นการสอนโดยบรู ณาการลงสกู่ จิ กรรมทโี่ รงเรยี นดำเนินการอยแู่ ล้ว ได้แกก่ จิ กรรมหนา้
เสาธง กิจกรรมกฬี าสี กจิ กรรมตามประเพณี กจิ กรรมลูกเสือ เนตรนารี เพื่อปลูกฝงั ใหเ้ กดิ การปฏบิ ัตติ ิและกลายเป็น
พฤติกรรมในชวี ติ ประจำวัน
วิชาอาเซยี น และ วชิ าการป้องกนั การทุจริต เปน็ จดั การเรยี นการสอนโดยบรู ณาการ ในวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนา และ
วฒั นธรรม และกิจกรรมทสี่ ถานศกึ ษาจดั เพ่มิ เติมตามจดุ เนน้ สาระการเรยี นรู้

41

โครงสร้างหลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนบา้ นท่าเกวียน

ระดับประถมศกึ ษา ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๑

รายวิชา/กจิ กรรม เวลาเรยี น
(ช่วั โมง/ปี) (ชวั่ โมง/สปั ดาห)์
รหัสวชิ า รายวิชาพื้นฐาน
๘๔๐ ๒1
ท๑๑๑๐๑ ภาษาไทย 1 ๒๐๐ ๕
๒๐๐ ๕
ค๑๑๑๐๑ คณติ ศาสตร์ 1 ๘๐ ๒
๔๐ ๑
ว๑๑๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1 ๔๐ ๑
80 2
ส๑๑๑๐๑ สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 1 40 ๑
๔๐ ๑
ส๑๑๑๐๒ ประวัติศาสตร์ 1 ๑20 3
160 4
พ๑๑๑๐๑ สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา 1 40 ๑
40 ๑
ศ๑๑๑๐๑ ศลิ ปะ 1 80 2
๑๒๐ ๓
ง๑๑๑๐๑ การงานอาชีพ 1 ๔๐ ๑
(7๐( (๒(
อ๑๑๑๐๑ ภาษาองั กฤษ 1 ๔๐ ๑
๓๐ ๑
รหัสวิชา กจิ กรรมเสริมสาระการเรยี นรู้ ๑๐ ผนวก

กจิ กรรมทสี่ ถานศึกษาจัด ภาษาไทย ในกจิ กรรมชุมนุม

เพม่ิ เติมตามจุดเน้นสาระ วิทยาศาสตร์ ๑,120 ๒8
การเรยี นรู้
องั กฤษ

รหัสกิจกรรม กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น

ก๑๑๙๐๑  กิจกรรมแนะแนว

 กิจกรรมนักเรยี น

ก๑๑๙๐๒  ลูกเสอื /เนตรนารี

ก๑๑๙๐๓  ชมุ นมุ

ก๑๑๙๐๔  กิจกรรมเพ่ือสังคม

และสาธารณประโยชน์

รวมเวลาเรยี นทั้งหมดตามโครงสรา้ งหลกั สตู ร

42

โครงสรา้ งหลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นบ้านทา่ เกวียน

ระดบั ประถมศึกษา ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๒

รายวชิ า/กจิ กรรม เวลาเรยี น

(ช่วั โมง/ปี) (ชัว่ โมง/สัปดาห)์

รหัสวชิ า รายวิชาพื้นฐาน ๘๔๐ ๒๑

ท๑๒๑๐๑ ภาษาไทย 2 ๒๐๐ ๕

ค๑๒๑๐๑ คณิตศาสตร์ 2 ๒๐๐ ๕

ว๑๒๑๐๑ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2 ๘๐ ๒

ส๑๒๑๐๑ สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2 ๔0 ๑

ส๑๒๑๐๒ ประวัติศาสตร์ 2 ๔๐ ๑

พ๑๒๑๐๑ สุขศกึ ษาและพลศึกษา 2 80 2

ศ๑๒๑๐๑ ศลิ ปะ 2 ๔๐ ๑

ง๑๒๑๐๑ การงานอาชีพ 2 ๔๐ ๑

อ๑๒๑๐๑ ภาษาอังกฤษ 2 ๑20 3

รหัสวชิ า กจิ กรรมเสรมิ สาระการเรียนรู้ 160 4

กจิ กรรมทส่ี ถานศึกษาจัด ภาษาไทย 40 ๑

เพ่มิ เติมตามจุดเนน้ สาระ วทิ ยาศาสตร์ 40 ๑
การเรยี นรู้
องั กฤษ 80 2

รหัสกิจกรรม กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น ๑๒๐ ๓

ก๑๒๙๐๑  กจิ กรรมแนะแนว ๔๐ ๑

 กิจกรรมนักเรียน (7๐( (๒(

ก๑๒๙๐๒  ลูกเสือ/เนตรนารี ๔๐ ๑

ก๑๒๙๐๓  ชมุ นมุ ๓๐ ๑

ก๑๒๙๐๔  กจิ กรรมเพื่อสงั คม ๑๐ ผนวก

และสาธารณประโยชน์ ในกิจกรรมชมุ นุม

รวมเวลาเรียนทงั้ หมดตามโครงสรา้ งหลักสูตร ๑,120 ๒8

43

โครงสรา้ งหลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนบ้านทา่ เกวียน

ระดับประถมศกึ ษา ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๓

รายวิชา/กจิ กรรม เวลาเรยี น

(ช่วั โมง/ปี) (ชั่วโมง/สัปดาห์)

รหัสวิชา รายวชิ าพืน้ ฐาน ๘๔๐ ๒๑

ท๑๓๑๐๑ ภาษาไทย 3 ๒๐๐ ๕

ค๑๓๑๐๑ คณิตศาสตร์ 3 ๒๐๐ ๕

ว๑๓๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3 ๘๐ ๒

ส๑๓๑๐๑ สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 3 ๔๐ ๑

ส๑๓๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ 3 ๔๐ ๑

พ๑๓๑๐๑ สขุ ศึกษาและพลศึกษา 3 80 2

ศ๑๓๑๐๑ ศลิ ปะ 3 ๔๐ ๑

ง๑๓๑๐๑ การงานอาชีพ 3 ๔๐ ๑

อ๑๓๑๐๑ ภาษาอังกฤษ 3 ๑20 3

รหัสวิชา กจิ กรรมเสรมิ สาระการเรยี นรู้ 160 4

กจิ กรรมท่สี ถานศึกษาจดั ภาษาไทย 40 ๑

เพิ่มเติมตามจุดเน้นสาระการ วิทยาศาสตร์ 40 ๑

เรยี นรู้ อังกฤษ 80 2

รหัสกิจกรรม กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียน ๑๒๐ ๓

ก๑๓๙๐๑  กิจกรรมแนะแนว ๔๐ ๑

 กิจกรรมนกั เรียน (7๐( (๒(

ก๑๓๙๐๒  ลกู เสือ/เนตรนารี ๔๐ ๑

ก๑๓๙๐๓  ชุมนมุ ๓๐ ๑

ก๑๓๙๐๔  กิจกรรมเพื่อสงั คม ๑๐ ผนวก

และสาธารณประโยชน์ ในกิจกรรมชมุ นุม

รวมเวลาเรยี นทัง้ หมดตามโครงสร้างหลักสตู ร ๑,120 ๒8

44

โครงสร้างหลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนบา้ นท่าเกวียน

ระดับประถมศึกษา ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔

รายวิชา/กจิ กรรม เวลาเรียน

(ชว่ั โมง/ปี) (ช่ัวโมง/สปั ดาห)์

รหัสวิชา รายวชิ าพ้ืนฐาน ๘๔๐ ๒๑

ท๑๔๑๐๑ ภาษาไทย 4 ๑๖๐ ๔

ค๑๔๑๐๑ คณิตศาสตร์ 4 ๑๖๐ ๔

ว๑๔๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4 ๑๒๐ ๓

ส๑๔๑๐๑ สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 4 ๘๐ ๒

ส๑๔๑๐๒ ประวัตศิ าสตร์ 4 ๔๐ ๑

พ๑๔๑๐๑ สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา 4 ๘๐ ๒

ศ๑๔๑๐๑ ศิลปะ 4 ๘๐ ๒

ง๑๔๑๐๑ การงานอาชีพ 4 ๔๐ ๑

อ๑๔๑๐๑ ภาษาองั กฤษ 4 ๘๐ ๒

รหัสวชิ า กจิ กรรมเสริมสาระการเรียนรู้ 160 4

กิจกรรมทีส่ ถานศึกษาจัด ภาษาไทย ๔๐ ๑

เพมิ่ เติมตามจุดเนน้ สาระการ วทิ ยาศาสตร์ ๔๐ ๑
เรียนรู้ อังกฤษ
8๐ 2

รหัสกิจกรรม กิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น ๑๒๐ ๓

ก๑๔๙๐๑  กิจกรรมแนะแนว ๔๐ ๑

 กจิ กรรมนักเรียน (7๐( (๒(

ก๑๔๙๐๒  ลกู เสือ/เนตรนารี ๔๐ ๑

ก๑๔๙๐๓  ชุมนมุ ๓๐ ๑

ก๑๔๙๐๔  กิจกรรมเพื่อสงั คม ๑๐ ผนวก

และสาธารณประโยชน์ ในกิจกรรมชุมนุม

รวมเวลาเรียนท้งั หมดตามโครงสรา้ งหลกั สูตร ๑,12๐ ๒8

45

โครงสร้างหลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นบา้ นทา่ เกวียน

ระดบั ประถมศกึ ษา ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ ๕

รายวิชา/กิจกรรม เวลาเรียน

(ชั่วโมง/ปี) (ชวั่ โมง/สัปดาห์)

รหัสวิชา รายวชิ าพนื้ ฐาน ๘๔๐ ๒๑

ท๑๕๑๐๑ ภาษาไทย 5 ๑๖๐ ๔

ค๑๕๑๐๑ คณิตศาสตร์ 5 ๑๖๐ ๔

ว๑๕๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5 ๑๒๐ ๓

ส๑๕๑๐๑ สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5 ๘๐ ๒

ส๑๕๑๐๒ ประวัตศิ าสตร์ 5 ๔๐ ๑

พ๑๕๑๐๑ สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา 5 ๘๐ ๒

ศ๑๕๑๐๑ ศลิ ปะ 5 ๘๐ ๒

ง๑๕๑๐๑ การงานอาชีพ 5 ๔๐ ๑

อ๑๕๑๐๑ ภาษาองั กฤษ 5 ๘๐ ๒

รหัสวชิ า กจิ กรรมเสรมิ สาระการเรียนรู้ 160 4

กิจกรรมท่ีสถานศึกษาจดั ภาษาไทย ๔๐ ๑

เพม่ิ เติมตามจุดเนน้ สาระการ วทิ ยาศาสตร์ ๔๐ ๑
เรียนรู้ องั กฤษ
8๐ 2

รหสั กิจกรรม กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น ๑๒๐ ๓

ก๑๕๙๐๑  กจิ กรรมแนะแนว ๔๐ ๑

 กจิ กรรมนักเรียน (7๐( (๒(

ก๑๕๙๐๒  ลูกเสือ/เนตรนารี ๔๐ ๑

ก๑๕๙๐๓  ชมุ นมุ ๓๐ ๑

ก๑๕๙๐๔  กจิ กรรมเพื่อสังคม ๑๐ ผนวก

และสาธารณประโยชน์ ในกจิ กรรมชมุ นุม

รวมเวลาเรียนท้ังหมดตามโครงสรา้ งหลกั สตู ร ๑,12๐ ๒8

46

โครงสรา้ งหลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นบา้ นท่าเกวียน

ระดบั ประถมศกึ ษา ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๖

รายวชิ า/กิจกรรม เวลาเรียน
(ชั่วโมง/ปี) (ช่ัวโมง/สัปดาห)์
รหสั วิชา รายวชิ าพ้นื ฐาน
๘๔๐ ๒๑
ท๑๖๑๐๑ ภาษาไทย 6 ๑๖๐ ๔
๑๖๐ ๔
ค๑๖๑๐๑ คณติ ศาสตร์ 6 ๑๒๐ ๓
๘๐ ๒
ว๑๖๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6 ๔๐ ๑
๘๐ ๒
ส๑๖๑๐๑ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 6 ๘๐ ๒
๔๐ ๑
ส๑๖๑๐๒ ประวตั ศิ าสตร์ 6 ๘๐ ๒
160 4
พ๑๖๑๐๑ สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา 6 ๔๐ ๑
๔๐ ๑
ศ๑๖๑๐๑ ศิลปะ 6 8๐ 2
๑๒๐ ๓
ง๑๖๑๐๑ การงานอาชีพ 6 ๔๐ ๑
(7๐( (๒(
อ๑๖๑๐๑ ภาษาองั กฤษ 6 ๔๐ ๑
๓๐ ๑
รหสั วชิ า กิจกรรมเสรมิ สาระการเรียนรู้ ๑๐ ผนวก

กิจกรรมทสี่ ถานศึกษาจดั ภาษาไทย ในกิจกรรมชมุ นุม

เพิ่มเติมตามจดุ เนน้ สาระการ วทิ ยาศาสตร์ ๑,12๐ ๒8
เรยี นรู้ อังกฤษ

รหสั กจิ กรรม กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น

ก๑๖๙๐๑  กจิ กรรมแนะแนว

 กจิ กรรมนักเรียน

ก๑๖๙๐๒  ลกู เสือ/เนตรนารี

ก๑๖๙๐๓  ชุมนุม

ก๑๖๙๐๔  กิจกรรมเพ่ือสังคม

และสาธารณประโยชน์

รวมเวลาเรียนทงั้ หมดตามโครงสร้างหลกั สูตร

47

คำอธบิ ายรายวชิ า
กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์

และเทคโนโลยี

48

คำอธบิ ายรายวิชาพื้นฐาน

ว๑๑๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๑ เวลา ๘๐ ช่ัวโมง

คำอธิบายรายวิชา

ระบุชื่อพืชและสัตว์ท่ีอาศัยอยู่บริเวณต่าง ๆ จากข้อมูลท่ีรวบรวมได้ บอกสภาพแวดล้อม
ท่ีเหมาะสมกับการดำรงชีวิตของสัตว์ในบริเวณที่อาศัยอยู่ ระบุชื่อ บรรยายลักษณะและบอกหน้าท่ีของ
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพืช รวมท้ังบรรยายการทำหน้าที่ร่วมกันของส่วนต่าง ๆ ของ
รา่ งกายมนุษย์ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ จากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ ตระหนักถึงความสำคัญของส่วน
ต่าง ๆ ของร่างกายตนเอง โดยการดูแลส่วนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ให้ปลอดภัย และรักษาความ
สะอาดอยู่เสมอ

อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุท่ีใช้ทำวัตถุซ่ึงทำจากวัสดุชนิดเดียวหรือหลายชนิด
ประกอบกันโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ระบุชนิดของวัสดุและจัดกลุ่มวัสดุตามสมบัติที่สังเกตได้
บรรยายการเกดิ เสยี งและทศิ ทาง การเคลื่อนทข่ี องเสยี งจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์

ระบุดาวท่ีปรากฏบนท้องฟ้าในเวลากลางวันและกลางคืนจากข้อมูลที่รวบรวมได้ อธิบายสาเหตุ
ท่มี องไม่เหน็ ดวงดาวสว่ นใหญ่ในเวลากลางวันจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ อธิบายลักษณะภายนอกของ
หินจากลักษณะเฉพาะตวั ทสี่ ังเกตได้

แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้การลองผิดลองถูก การเปรียบเทียบ แสดงลำดับขั้นตอนการทำงาน
หรือการแก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์ หรือข้อความ เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้
ซอฟต์แวร์หรือสื่อ ใช้เทคโนโลยีในการสร้าง จัดเก็บ เรียกใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ ใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศอย่างปลอดภัย ปฏิบัติตามข้อตกลงในการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกัน ดูแลรักษาอุปกรณ์
เบื้องตน้ ใชง้ านอยา่ งเหมาะสม

มาตรฐาน/ตวั ช้ีวดั

ว 1.1 ป.1/1, ป.1/2
ว 1.2 ป.1/1, ป.1/2
ว 2.1 ป.1/1, ป.1/2
ว 2.3 ป.1/1
ว 3.1 ป.1/1, ป.1/2
ว 3.2 ป.1/1
ว 4.2 ป.1/1, ป.1/2, ป.1/3, ป.1/4, ป.1/5
รวม ๗ มาตรฐาน ๑๕ ตัวชี้วัด

49

คำอธบิ ายรายวิชาพื้นฐาน

ว๑๒๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๒ เวลา ๘๐ ช่ัวโมง

คำอธบิ ายรายวิชา

ระบุว่าพืชต้องการแสงและน้ำ เพ่ือการเจรญิ เติบโต โดยใช้ข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์
ตระหนักถึงความจำเป็นท่ีพืชต้องการได้รับน้ำและแสงเพื่อการเจริญเติบโต โดยดูแลพืชให้ได้รับสิ่ง
ดังกล่าวอย่างเหมาะสม สร้างแบบจำลองที่บรรยายวัฏจักรชีวิตของพืชดอก เปรียบเทียบลักษณะ
ส่ิงมีชีวติ และสิ่งไมม่ ีชีวิตจากข้อมูลทีร่ วบรวมได้

เปรยี บเทยี บสมบัตกิ ารดดู ซับนำ้ ของวัสดุโดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ และระบกุ ารนำสมบตั ิ
การดูดซับน้ำของวัสดุไปประยุกต์ใช้ในการทำวัตถุในชีวิตประจำวัน อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุที่
เกิดจากการนำวัสดุมาผสมกันโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ เปรียบเทียบสมบัติท่ีสังเกตได้ของวัสดุ เพื่อ
นำมาทำเป็นวัตถุในการใช้งานตามวัตถุประสงค์ และอธิบายการนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่โดยใช้
หลักฐาน เชิงประจกั ษ์ ตระหนักถงึ ประโยชน์ของการนำวสั ดุท่ีใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ โดยการนำวัสดทุ ่ี
ใชแ้ ลว้ กลับมาใช้ใหม่

บรรยายแนวการเคลื่อนที่ของแสงจากแหล่งกำเนิดแสง และอธิบายการมองเห็นวัตถุจาก
หลักฐาน เชิงประจักษ์ ตระหนักในการเห็นคุณค่าของความรู้ของการมองเห็นโดยเสนอแนะแนว
ทางการป้องกันอันตรายจากการมองเหน็ วตั ถใุ นท่มี ีแสงสวา่ งไมเ่ หมาะสม

ระบุส่วนประกอบของดิน และจำแนกชนิดของดินโดยใช้ลักษณะเนื้อดินและการจับตัว
เป็นเกณฑ์ อธบิ ายการใช้ประโยชน์จากดินจากข้อมูลทีร่ วบรวมได้

แสดงลำดับขั้นตอนการทำงานหรือการแก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์
หรือข้อความ เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือส่ือ และตรวจหาข้อผิดพลาดของ
โปรแกรม ใช้เทคโนโลยีในการสร้าง จัดหมวดหมู่ ค้นหา จัดเก็บ เรียกใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ ใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ปฏิบัติตามข้อตกลงในการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกัน ดูแลรักษา
อปุ กรณเ์ บ้อื งตน้ ใชง้ าน อย่างเหมาะสม

มาตรฐาน/ตัวชี้วดั

ว 1.2 ป.2/1, ป.2/2, ป.2/3
ว 1.3 ป.2/1
ว 2.1 ป.2/1, ป.2/2, ป.2/3, ป.2/4
ว 2.3 ป.2/1, ป.2/2
ว 3.2 ป.2/1, ป.2/2
ว 4.2 ป.2/1, ป.2/2, ป.2/3, ป.2/4
รวม ๖ มาตรฐาน ๑๖ ตวั ช้วี ัด

50

คำอธิบายรายวิชาพืน้ ฐาน

ว๑๓๑๐๑ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๓ เวลา ๘๐ ช่วั โมง

คำอธิบายรายวิชา

บรรยายสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และการเจริญเติบโตของมนุษย์และสัตว์โดยใช้ข้อมูล
ทรี่ วบรวมได้ ตระหนักถึงประโยชน์ของอาหาร น้ำ และอากาศโดยการดูแลตนเองและสัตวใ์ ห้ได้รับส่ิง
เหล่าน้ีอย่างเหมาะสม สร้างแบบจำลองท่ีบรรยายวัฏจักรชีวิตของสัตว์และเปรียบเทียบวัฏจักรชีวิต
ของสัตว์บางชนดิ ตระหนักถงึ คุณคา่ ของชวี ิตสัตว์โดยไมท่ ำให้วัฏจักรชีวติ ของสตั วเ์ ปลี่ยนแปลง

อธิบายว่าวัตถุประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนย่อย ๆ ซึ่งสามารถแยกออกจากกันได้และ
ประกอบกันเป็นวัตถุช้ินใหม่ได้โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ อธิบายการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อทำ
ให้ร้อนข้ึน หรือทำให้เย็นลงโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ระบุผลของแรงท่ีมีต่อการเปลี่ยนแปลงการ
เคลือ่ นที่ของวัตถุจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ เปรียบเทียบและยกตัวอย่างแรงสัมผัสและแรงไม่สัมผัสที่
มีผลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ จำแนกวัตถุโดยใช้การดึงดูดกับแม่เหล็ก
เป็นเกณฑ์จากหลักฐาน เชิงประจักษ์ ระบุขั้วแม่เหล็กและพยากรณ์ผลที่เกิดขึ้นระหว่างขั้วแม่เหล็ก
เมื่อนำมาเข้าใกล้กันจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ยกตัวอย่างการเปลี่ยนพลังงานหนึ่งไปเป็นอีกพลังงาน
หนึ่งจากหลักฐานเชิงประจักษ์ บรรยายการทำงานของเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้าและระบุแหล่งพลังงานใน
การผลติ ไฟฟ้าจากข้อมลู ที่รวบรวมได้ ตระหนักในประโยชน์และโทษของไฟฟ้า โดยนำเสนอวิธกี ารใช้
ไฟฟา้ อย่างประหยดั และปลอดภัย

อธิบายแบบรูปเส้นทางการข้ึนและตกของดวงอาทิตย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ อธิบาย
สาเหตุการเกิดปรากฏการณ์การขึน้ และตกของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน และการกำหนด
ทิศโดยใชแ้ บบจำลอง ตระหนักถงึ ความสำคัญของดวงอาทิตย์ โดยบรรยายประโยชนข์ องดวงอาทิตย์
ต่อสิ่งมชี ีวิต ระบุส่วนประกอบของอากาศ บรรยายความสำคัญของอากาศ และผลกระทบของมลพิษ
ทางอากาศต่อส่ิงมีชีวิตจากข้อมูลที่รวบรวมได้ตระหนักถึงความสำคัญของอากาศ โดยนำเสนอ
แนวทาง การปฏิบัติตนในการลดการเกิดมลพิษทางอากาศ อธิบายการเกิดลมจากหลักฐานเชิง
ประจกั ษ์ บรรยายประโยชนแ์ ละโทษของลมจากข้อมลู ทรี่ วบรวมได้

แสดงอัลกอริทึมในการทำงานหรือการแก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์ หรือข้อความ
เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือสื่อ และตรวจหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม ใช้
อินเทอร์เน็ตค้นหาความรู้ รวบรวม ประมวลผล และนำเสนอข้อมูล โดยใช้ซอฟต์แวร์ตาม
วตั ถปุ ระสงค์ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั ปฏิบัตติ ามขอ้ ตกลงในการใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็


Click to View FlipBook Version