หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 1
ผงั มโนทศั น์
การจดั ระบบใน
ร่างกาย
ระบบหายใจ รร่าะงบกบาย ระบบยอ่ ยอาหาร
มนุษย์
ระบบประสาท ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด
ระบบโครงกระดกู และ ระบบนา้ เหลอื งและ
กล้ามเนอื ภูมคิ มุ้ กนั
ระบบขบั ถา่ ย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 2
กระดาษคาตอบ ก่อนเรียน-หลงั เรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ระบบร่างกายมนุษย์
ชื่อ.................................................................... ช้นั .............. เลขท.่ี ..........
แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลงั เรียน
ข้อ ก ข ค ง ข้อ ก ข ค ง ข้อ ก ข ค ง ข้อ ก ข ค ง
1 16 1 16
2 17 2 17
3 18 3 18
4 19 4 19
5 20 5 20
6 21 6 21
7 22 7 22
8 23 8 23
9 24 9 24
10 25 10 25
11 26 11 26
12 27 12 27
13 28 13 28
14 29 14 29
15 30 15 30
คะแนนการทดสอบ
คะแนนเตม็ คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน ผลการประเมนิ
30
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 3
วิทยาศาสตร์พนื้ ฐาน แบบทดสอบก่อนเรียน บทที่ 1
ว 32101 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 ร่างกายของเรา
เรื่อง ระบบร่างกายมนุษย์
ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 2
คาชี้แจง
1. แบบทดสอบเป็นแบบเลือกตอบ จานวน 30 ขอ้ (30 คะแนน) เวลา 30 นาที
2. โปรดเลือกคาตอบท่ีถกู ตอ้ งที่สุดเพยี งขอ้ เดียว โดยทาเคร่ืองหมายกากบาท []
ลงในกระดาษคาตอบในช่อง ก, ข, ค หรือ ง
1. ขอ้ ใดเรียงลาดบั การจดั ระดบั ในร่างกายไดถ้ ูกตอ้ ง
ก. เซลล์ ---> เน้ือเยอ่ื ---> อวยั วะ ---> ระบบ
ข. เซลล์ ---> อวยั วะ ---> เน้ือเยอื่ ---> ระบบ
ค. เซลล์ ---> เน้ือเยอื่ ---> ระบบ ---> อวยั วะ
ง. เซลล์ ---> ระบบ ---> เน้ือเยอ่ื ---> อวยั วะ
2. การยอ่ ยอาหารหมายถึงขอ้ ใด
ก. การสลายโมเลกุลของอาหารเพอื่ ใหไ้ ดพ้ ลงั งาน
ข. การทาใหอ้ าหารมีโมเลกลุ เล็กลงใหร้ ่างกายสามารถดูดซึมได้
ค. การแปรสภาพของอาหารอยา่ งหน่ึงใหเ้ ป็ นอาหารอีกอยา่ งหน่ึง
ง. การสลายโมเลกลุ ของอาหารเพอื่ นาไปเล้ียงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
3. ความสมั พนั ธใ์ นขอ้ ใดตอ่ ไปน้ีไม่ถูกต้อง
ก. ตบั – น้าดี
ข. ลาไสเ้ ลก็ – เรนนิน
ค. ตอ่ มน้าลาย - อะไมเลส
ง. กระเพาะอาหาร – เพปซิน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 4
4. ถา้ นกั เรียนรับประทานไก่ยา่ งหรือหมูปิ้ ง อาหารเหล่าน้ีจะเร่ิมตน้ ถูกยอ่ ยในส่วนใด
ของระบบทางเดินอาหาร
ก. ปาก
ข. ลาไสเ้ ล็ก
ค. ลาไสใ้ หญ่
ง. กระเพาะอาหาร
5. วลิ ลสั ในลาไสเ้ ลก็ มีหนา้ ทแี่ ละประโยชนอ์ ยา่ งไร
ก. ช่วยเพม่ิ พน้ื ที่ในการยอ่ ยอาหาร
ข. สรา้ งเอนไซมใ์ นการยอ่ ยอาหาร
ค. เพม่ิ พน้ื ทีใ่ นการดูดซึมอาหาร
ง. ช่วยในการลาเลียงอาหารไปสู่ลาไสใ้ หญ่
6. ถา้ ญาติของนกั เรียนเป็นโรคดีซ่านหรือทอ่ น้าดีอุดตนั นกั เรียนควรจะแนะนาใหง้ ดอาหารใด
ก. เน้ือตดิ มนั
ข. เผอื ก มนั
ค. ผกั และผลไม้
ง. เน้ือปลา แป้ ง
7. เฮโมโกลบินพบที่ใดและมีหนา้ ท่ีอะไร
ก. ในเม็ดเลือดขาว ทาหนา้ ทก่ี าจดั เช้ือโรค
ข. ในเมด็ เลือดแดง ทาหนา้ ทล่ี าเลียงออกซิเจน
ค. ในเม็ดเลือดแดง ทาหนา้ ทีช่ ่วยในการแขง็ ตวั ของเลือด
ง. ในเม็ดเลือดขาว ทาหนา้ ท่ีลาเลียงแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
8. เลือดที่อยใู่ นเสน้ เลือดใดต่อไปน้ีมีปริมาณออกซิเจนสูงทีส่ ุด
ก. เสน้ เลือดทกุ เสน้ ท่เี ขา้ สู่หวั ใจ
ข. เสน้ เลือดทุกเสน้ ทอ่ี อกจากหวั ใจ
ค. เสน้ เลือดท่เี ขา้ สู่หวั ใจหอ้ งบนขวา
ง. เสน้ เลือดทอ่ี อกจากหวั ใจหอ้ งล่างซา้ ย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 5
9. เลือดดาเปลี่ยนเป็นเลือดแดงไดเ้ ม่ือผา่ นอวยั วะใด
ก. ไต
ข. ปอด
ค. หวั ใจหอ้ งบนซา้ ย
ง. หวั ใจหอ้ งล่างซา้ ย
10. ความโกรธและความเครียดเป็นสาเหตุทาใหเ้ กิดโรคใดต่อไปน้ี
ก. โรคหวั ใจ
ข. โรคกระเพาะอาหาร
ค. โรคความดนั โลหิตสูง
ง. ถูกทกุ ขอ้ ท่กี ล่าวมา
11. อวยั วะใดท่ีมีรูปร่างคลา้ ยเมลด็ ถว่ั
ก. ไต
ข. ตบั
ค. ปอด
ง. กระเพาะอาหาร
12. เมื่อเมด็ เลือดแดงหมดอายุ ร่างกายจะนาไปทาลายท่ีอวยั วะใด
ก. ตบั และไต
ข. ไตและมา้ ม
ค. ตบั และมา้ ม
ง. มา้ มและต่อมน้าเหลือง
13. ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ งเกี่ยวกบั หนา้ ท่ขี องเกล็ดเลือด
ก. กาจดั เช้ือโรค
ข. ช่วยใหเ้ ลือดแขง็ ตวั
ค. ช่วยลาเลียงออกซิเจน
ง. รักษาระดบั ความเขม้ ขน้ ในเลือด
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 6
14. สารเคมีใดทมี่ ีความสาคญั ท่ีสุดในการควบคมุ อตั ราการหายใจเขา้ -ออก
ก. เฮโมโกลบนิ
ข. แก๊สไนโตรเจน
ค. แก๊สออกซิเจน
ง. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
15. กระบวนการหายใจเกิดข้ึนทสี่ ่วนใดของร่างกาย
ก. เซลลท์ กุ เซลล์
ก. บริเวณปอด
ค. บริเวณหวั ใจ
ง. บริเวณถุงลมปอด
16. ขอ้ ใดต่อไปน้ีกล่าวถูกตอ้ งเกี่ยวกบั การหายใจเขา้
ก. ปริมาตรช่องอกลดลงกระดูกซ่ีโครงยกตวั สูงข้ึน
ข. กระดูกซ่ีโครงยกตวั สูงข้นึ กลา้ มเน้ือกระบงั ลมยกตวั สูงข้ึน
ค. กระดูกซี่โครงยกตวั ต่าลง กลา้ มเน้ือกระบงั ลมยกตวั ต่าลง
ง. กระดูกซ่ีโครงยกตวั สูงข้ึน กลา้ มเน้ือกระบงั ลมยกตวั ต่าลง
17. การวดั ชีพจรเป็นการวดั อตั ราการเตน้ ของหวั ใจ ซ่ึงเกิดจากผลของขอ้ ใด
ก. จงั หวะการบบี ตวั ของหวั ใจ
ข. จงั หวะการคลายตวั ของหวั ใจ
ค. จงั หวะการบีบตวั และการคลายตวั ของหวั ใจ
ง. จงั หวะการหายใจเขา้ และจงั หวะการหายใจออก
18. สารทพ่ี บในปัสสาวะมากท่ีสุดคอื อะไร
ก. ยรู ิก
ข. ยเู รีย
ค. กลูโคส
ง. โซเดียมคลอไรด์
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 7
19. อวยั วะท่ีไม่ได้ทาหนา้ ท่ีในการขบั ถ่ายคอื ขอ้ ใด
ก. ไต
ข. ปอด
ค. ผวิ หนงั
ง. ลาไสเ้ ล็ก
20. เมื่อเกิดอาการทอ้ งร่วงอยา่ งรุนแรง เราควรบริโภคสิ่งใดต่อไปน้ี
ก. น้า เกลือคลอไรด์
ข. น้าตาล เกลือโซเดียม
ค. น้า เกลือโซเดียม เกลือคลอไรด์
ง. เกลือโซเดียม กลูโคส น้าตาลทราย
21. ภมู ิคุม้ กนั รับมา หมายถึงอะไร
ก. ภมู ิคุม้ กนั ท่มี าต้งั แต่เกิด
ข. ภูมิคุม้ กนั ที่มีเฉพาะเช้ือโรค
ค. ภมู ิคุม้ กนั ทสี่ ร้างข้นึ คร้ังแรกจากสตั วห์ รือคนอ่ืน
ง. ภมู ิคุม้ กนั ท่รี ่างกายสรา้ งข้นึ เพอื่ ป้ องกนั โรคหรือส่ิงแปลกปลอม
22. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกต้องเก่ียวกบั ระบบประสาท
ก. เซลลป์ ระสาทเป็ นหน่วยท่ีเลก็ ทีส่ ุดของระบบประสาท
ข. เซลลป์ ระสาทสตั วช์ ้นั สูงมีรูปร่างและขนาดท่แี ตกต่างกนั
ค. เดนไดรตท์ าหน้าท่นี ากระแสประสาทออกจากเซลลไ์ ปยงั เซลลป์ ระสาทอื่น ๆ
ง. เซลลป์ ระสาททาหนา้ ทแี่ ตกต่างกนั เช่น รับความรู้สึก ประสานงาน และสง่ั การ
23. สมองส่วนทท่ี าหนา้ ที่ควบคุมความทรงจา การตดั สินใจคอื ส่วนใด
ก. เซรีบรมั
ข. เซรีเบลลมั
ค. พอนส์ วาโรลี
ง. เมดลั ลา ออบลองกาตา
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 8
24. ปัจจยั ในขอ้ ใดไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวขอ้ งความฉลาดของสตั วแ์ ละมนุษย์
ก. จานวนคล่ืนสมอง
ข. ขนาดของซีรีเบลลมั
ค. ความลึกของร่องสมอง
ง. น้าหนกั สมองเปรียบเทยี บกบั น้าหนกั ตวั
25. กลา้ มเน้ือส่วนใด จดั เป็ นกลา้ มเน้ือลาย
ก. กลา้ มเน้ือขา
ข. กลา้ มเน้ือหวั ใจ
ค. กลา้ มเน้ือผนงั ลาไส้
ง. กลา้ มเน้ือบริเวณกระเพาะอาหาร
26. ระบบประสาทส่วนกลางประกอบดว้ ยอะไร
ก. สมอง ไขสนั หลงั
ข. สมอง ไขสนั หลงั เสน้ ประสาท
ค. สมอง เสน้ ประสาท เซลลป์ ระสาท
ง. ไขสนั หลงั เสน้ ประสาท เซลลป์ ระสาท
27. ขอ้ ใดถูกตอ้ งเกี่ยวกบั ระบบประสาท
ก. การเตน้ ของหวั ใจเป็นระบบประสาทใตอ้ านาจจติ ใจ
ข. มองนกเกาะบนตน้ ไมเ้ ป็นระบบประสาทนอกอานาจจิตใจ
ค. กระพริบตาเม่ือผงเขา้ ตาเป็นระบบประสาทนอกอานาจจติ ใจ
ง. กระตุกเทา้ ออกเม่ือเหยยี บตะปูเป็ นระบบประสาทใตอ้ านาจจิตใจ
28. ถา้ หากสมองส่วนซีรีเบลลมั ถูกทาลายจะส่งผลตอ่ กิจกรรมใดมากทสี่ ุด
ก. การเดิน
ข. การหายใจ
ค. การมองเห็น
ง. การยอ่ ยอาหาร
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 9
29. ขอ้ ใดไม่เป็ นกระดูกแกนของมนุษย์
ก. กระดูกซ่ีโครง
ข. กะโหลกศรี ษะ
ค. กระดูกแขน
ง. กระดูกสนั หลงั
30. กระดูกในขอ้ ใดไม่ใช่กระดูกระยางค์
ก. กระดูกแขน-ขา
ข. กระดูกซ่ีโครง
ค. กระดูกเชิงกราน
ง. กระดูกสะบกั -ไหปลารา้
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 10
ระบบร่างกายมนษุ ย์
ร่างกายของมนุษยป์ ระกอบดว้ ยส่วนประกอบต่าง ๆ มากมาย ซ่ึงการจดั ระบบ
ในร่างกายของมนุษยจ์ ะแบ่งไดห้ ลายระดบั ต้งั แต่ระดบั เซลล์ ระดบั เน้ือเยื่อ ระดบั อวยั วะ
และระดบั ร่างกาย ระบบต่าง ๆ ในร่างกายแมจ้ ะมีโครงสร้างและหนา้ ท่ีทแี่ ตกต่างกนั แต่ระบบ
ต่าง ๆ จะตอ้ งทางานสัมพนั ธ์กนั เพือ่ ใหร้ ่างกายของมนุษยส์ ามารถดารงชีวิตไดอ้ ยา่ งปกติ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 11
2.1 การจดั ระบบในรา่ งกาย
ส่วนตา่ งๆ ของร่างกายสามารถจดั ระบบของการทางาน โดยเริ่มจากหน่วยท่ีเล็กที่สุดไปถึง
หน่วยที่ใหญ่ท่ีสุดโดยเร่ิมจากเซลล์ (cell) (คน้ พบโดยนกั วิทยาศาสตร์ชาวองั กฤษ ชื่อ โรเบิร์ต ฮุค)ซ่ึง
เซลลแ์ ต่ละชนิดจะมีรูปร่างและหน้าท่ีที่แตกต่างกนั ออกไปเพอ่ื ให้เขา้
กบั การทางาน กลุ่มของเซลลท์ ่ีมีรูปร่างเหมือนกนั ทาหน้าท่ีอยา่ งเดียวกนั
เรียกวา่ เนื้อเยื่อ(tissue) เน้ือเยอ่ื หลายชนิดมาทาหนา้ ท่ีเดียวกนั เรียกวา่
อวยั วะ(organ) และอวยั วะหลาย ๆ อวยั วะมาทาหน้าที่ร่วมกนั เรียกว่า
ระบบอวยั วะ (organ system )และร่างกาย(body) ระบบอวยั วะแต่ละ
ระบบมีอวยั วะท่ีเกี่ยวขอ้ งและมีหนา้ ที่ต่างกนั ดงั น้ันร่างกายมนุษย์
จึงถูกจดั ระบบเป็ น 4 ระดบั ดงั น้ี
รูปท่ี 1 โรเบิร์ต ฮุค ท่ีมา : http://www.huh.harvard.edu/libraries/mycology/1665.htm
1. เซลล์ (cell)
เซลล์ เป็นองคป์ ระกอบพ้นื ฐานท่ีเล็กท่ีสุดของส่ิงมีชีวติ ซ่ึงร่างกายของมนุษยป์ ระกอบดว้ ยเซลล์
จานวนหลายลา้ นเซลล์ ในแต่ละเซลลจ์ ะมีความแตกตา่ งกนั ท้งั ขนาดและรูปร่าง ข้ึนอยกู่ บั หนา้ ท่ขี องเซลล์
น้นั ๆ ดงั รูปในตารางท่ี 1
ตารางท่ี 1 แสดงลกั ษณะรูปร่างของเซลลบ์ างชนิด
รูปร่างเซลล์ ลักษณะ หน้าท่ี
มีลกั ษณะกลมแบน ลาเลียงออกซิเจน
ตรงกลางเวา้ คลา้ ยโดนทั
เมด็ เลือดแดง
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 12
เซลลก์ ลา้ มเน้ือ มีลกั ษณะแบน ยาว ยดื หด เพอ่ื ใหเ้ กิดการ
แตเ่ ม่ือหดตวั จะพองออก เคลื่อนไหว
2. เนือ้ เยอ่ื (tissue)
เนื้อเย่ือ(tissue) คือกลมุ่ ของเซลลท์ ม่ี ีรูปร่างเหมือนกนั ทาหนา้ ทีเ่ ดียวกนั มาอยรู่ วมกนั เช่น
เน้ือเยอ่ื กลา้ มเน้ือ มีหนา้ ที่ช่วยให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ ทางานได้ เน้ือเยอ่ื ประสาททาหนา้ ท่ี
ประสานงานในการรับความรูส้ ึก การสง่ั งาน
เนื้อเย่ือกล้ามเนื้อ(muscle) ประกอบดว้ ยเซลล์ท่ีหดตวั และคลายตวั ได้ ทาหน้าท่ีช่วยให้
ร่างกายเคลื่อนไหวได้ แบง่ ออกเป็น 3 ชนิด ดงั น้ี
1. กลา้ มเน้ือลาย (skeleton muscle) ทางานอยภู่ ายใตอ้ านาจจิตใจ เช่น กลา้ มเน้ือยดึ กระดูกขา
2. กลา้ มเน้ือเรียบ (smooth muscle) ทางานอยนู่ อกอานาจจติ ใจ เช่น กลา้ มเน้ือกระเพาะ
3. กลา้ มเน้ือหวั ใจ (cardiac muscle) ทางานอยนู่ อกอานาจจติ ใจ
กลา้ มเน้ือเรียบ กลา้ มเน้ือลาย กลา้ มเน้ือหวั ใจ
รูปท่ี 2 ลกั ษณะกลา้ มเน้ือประเภทต่าง ๆ
ที่มา : http://www.rmutphysics.com/charud/oldnews/252/index252.htm
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 13
เนือ้ เยื่อประสาท (nervous tissue)
ประกอบดว้ ยเซลลท์ มี่ ีรูปร่างเฉพาะทาหนา้ ท่ี
ส่งสญั ญาณทถี่ ูกกระตนุ้ ไปยงั สมอง และรับคาสง่ั จาก
สมองไปยงั อวยั วะท่ถี ูกกระตนุ้ เพอ่ื ตอบสนองโดยการ
แสดงออก เช่น การวิ่งของนักกรีฑาเป็ นการทางาน
ประสานกนั ของเน้ือเยอื่ กลา้ มเน้ือขา แขน ลาตวั โดยมี
การควบคุมและสงั่ งานจากเน้ือเยอ่ื ประสาทในสมอง
รูปที่ 3 ลกั ษณะของเน้ือเยอื่ ประสาท
ท่มี า : http://www.hartnell.edu/faculty/aedens/bio6l/bio6lnervous.html
3. อวัยวะ(organ)
อวัยวะ(organ) คือโครงสร้างที่ประกอบดว้ ยเน้ือเยอ่ื หลายชนิดอยู่
รวมกนั ทาหนา้ ทีอ่ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึงโดยเฉพาะ เช่น หวั ใจ เป็นอวยั วะท่ี
ประกอบดว้ ยเน้ือเยอ่ื หุม้ หวั ใจ เน้ือเยอ่ื กลา้ มเน้ือ เยอ่ื บุหวั ใจ เสน้ เลือด
เป็ นตน้
รูปที่ 4 หวั ใจของมนุษย์
ท่ีมา : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 56
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 14
4. ระบบอวยั วะ (organ system)
ระบบอวยั วะ (organ system )
คือโครงสรา้ งทีป่ ระกอบดว้ ยอวยั วะหลาย ๆ
อวยั วะมาทาหนา้ ที่ร่วมกนั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง
เช่น ระบบหมุนเวยี นเลือด ระบบหายใจ
ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบขบั ถ่าย ระบบ
ประสาท เป็นตน้
รูปที่ 5 ระบบหมุนเวยี นโลหิต
ท่ีมา http://www.3dscience.com/3D_Models/Human_Anatomy
/Male_Systems/Male_Circulatory_3.php
สรุป การจัดระบบในร่างกายของมนุษย์
เซลล์ เน้ือเยอ่ื อวยั วะ
ระบบอวยั วะ และ ร่างกาย
รูปที่ 6 การจดั ระบบของร่างกายมนุษย์
ทมี่ า : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 13
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 15
2.1
เรอื่ ง การจดั ระบบในรา่ งกาย
คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ี เพอ่ื ทดสอบความเขา้ ใจและประเมินความกา้ วหนา้ ในการเรียน
ใหท้ าเคร่ืองหมาย หนา้ ขอ้ ท่ีเห็นวา่ ถูกและเครื่องหมาย หนา้ ขอ้ ทีเ่ ห็นวา่ ผดิ
1. เซลลเ์ ป็ นส่วนประกอบทเี่ ล็กทสี่ ุดของสิ่งมีชีวติ
2. เซลลถ์ ูกคน้ พบโดยนกั วทิ ยาศาสตร์ชาวองั กฤษชื่อวลิ เล่ียม ฮาร์วยี ์
3. ส่ิงมีชีวติ จะตอ้ งประกอบไปดว้ ยเซลลห์ ลายเซลลจ์ งึ จะมีชีวติ อยไู่ ด้
4. ส่วนประกอบตา่ งๆ ในร่างกายมนุษย์ ถา้ เรียงลาดบั จากใหญ่ไปหาเล็กจะไดด้ งั น้ี
อวยั วะ > ระบบอวยั วะ> เน้ือเยอ่ื > เซลล์
5. ร่างกายของคนในภาวะปกตมิ อี ุณหภมู ิอยทู่ ี่ 37 องศาเซลเซียส
6. อวยั วะคือโครงสร้างของเน้ือเยอื่ หลายชนิดรวมกนั ทาหนา้ ทอ่ี ยา่ งเดียวกนั
7. เซลลข์ องส่ิงมีชีวติ ชนิดเดียวกนั จะมีรูปร่างและขนาดเหมือนกนั และแตกต่าง
จากสิ่งมีชีวติ อ่ืน
8. เน้ือเยอ่ื คือกลุ่มของเซลลท์ มี่ ีรูปร่างเหมือนกนั ทาหนา้ ทอี่ ยา่ งเดียวกนั
9. ส่ิงมีชีวติ มีการลาเลียงสารตา่ ง ๆ โดยอาศยั การแพร่และการออสโมซิส
10. เซลล์ 1 เซลลก์ ส็ ามารถทาหนา้ ท่ีไดเ้ ท่ากบั ส่ิงมีชีวติ หน่ึงชีวติ คือสามารถดารงชีวติ อยไู่ ด้
11. เน้ือเยอ่ื กลา้ มเน้ือประกอบไปดว้ ยเซลลท์ ี่มีลกั ษณะกลมสามารถหดและคลายตวั ได้
12. กลา้ มเน้ือลาย ทางานอยภู่ ายใตอ้ านาจจติ ใจ เช่น หัวใจ ปอด เป็นตน้
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 16
2.2 ระบบยอ่ ยอาหาร
(Digestion)
อาหารประเภทตา่ ง ๆ ทเ่ี ราบริโภคเขา้ ไปในร่างกาย
โดยเฉพาะอาหารท่ใี ห้พลงั งาน ลว้ นแต่มีโมเลกุลขนาดใหญ่
เกินกวา่ ท่รี ่างกายจะลาเลียงเขา้ สู่เซลลส์ ่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ได้ จาเป็นตอ้ งแปรสภาพใหม้ ีขนาดเล็กลง การแปรสภาพ
ของอาหารดงั กล่าวเกิดจากปฏกิ ิริยาเคมีท่อี าศยั การทางาน
ของเอนไซมย์ อ่ ยอาหาร โดยทวั่ ไปเรียกว่า น้าย่อย จากน้ัน
โมเลกุลของสารอาหารจะถูกดูดซึมเขา้ สู่เซลล์ กระบวนการ
แปรสภาพอาหารที่มีโมเลกุลใหญ่ใหม้ ีโมเลกุลเล็กลง
เรียกวา่ การย่อยอาหาร (Digestion) ส่วนวติ ามิน เกลือแร่ และน้าจะถูกดูดซึมเขา้ สู่เซลล์ไดเ้ ลย โดยไม่ตอ้ ง
ผา่ นกระบวนการยอ่ ย
การยอ่ ยอาหาร (Digestion)
การย่อยอาหาร คอื กระบวนการท่ที าใหอ้ าหารท่ีมีขนาดใหญ่มีขนาดเลก็ ลงจนสามารถดูดซึม
เขา้ เซลลน์ าไปใชป้ ระโยชน์ได้ การยอ่ ยภายนอกเซลล์ มี 2 วธิ ีคือ
1. การย่อยแบบเชิงกล (mechanical digestion) โดยการบดเค้ียวของฟันและการบีบรัดตวั
ของทอ่ ทางเดินอาหาร เป็นการเปลี่ยนขนาดโมเลกุลทาใหอ้ าหารมีขนาดเล็กลง
2. การย่อยแบบเชิงเคมี (chemical digestion) โดยการใชน้ ้ายอ่ ย ซ่ึงน้ายอ่ ยหรือเอนไซม(์ enzyme)
มีคุณสมบตั ิดงั น้ี
1. น้ายอ่ ยเป็นโปรตนี
2. หลงั เร่งปฏกิ ิริยาเคมีแลว้ น้ายอ่ ยจะไม่เปล่ียนสภาพ สามารถนากลบั มาใชใ้ หม่ได้
3. การทางานของน้ายอ่ ยข้ึนอยกู่ บั อุณหภมู ิและค่า pH ทเี่ หมาะสม
4. เอนไซม์ แตล่ ะชนิดจะมีความจาเพาะเจาะจงต่อสารท่จี ะยอ่ ยแตกตา่ งกนั
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 17
อวยั วะทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ทางเดนิ อาหาร
อาหาร ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร
กากอาหาร ทวารหนกั ลาไส้ตรง ลาไส้ใหญ่ ลาไส้เลก็
รูปที่ 7 อวยั วะทีเ่ กี่ยวขอ้ งในระบบยอ่ ยอาหาร
ทม่ี า : http://www.hotspashop.com/th/hotspa/detail/127.html
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 18
อวยั วะในระบบยอ่ ยอาหาร
1. ปาก (mouth)
ปากเป็ นอวยั วะแรกทท่ี าหนา้ ทใ่ี นการยอ่ ยอาหารแบบเชิงกลโดยการบดเค้ยี วอาหารของฟัน
และมีการยอ่ ยทางเคมีโดยเอนไซมอ์ ะไมเลส ซ่ึงทางานไดด้ ีในสภาพทเี่ ป็ นเบสเล็กนอ้ ย
แป้ ง อะไมเลส น้าตาลมอลโทส(maltose)
ภายในปากมีโครงสรา้ งท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การยอ่ ยอาหารดงั น้ี
1.1 ฟัน (teeth) ทีท่ าหนา้ ท่ีคอยบดเค้ียวอาหารใหเ้ ลก็ ลงโดยฟันมี 2 ชุดคือ ฟันน้านมและฟันแท้
- ฟันน้านม มี 20 ซี่ เร่ิมข้ึนเมื่ออายุ 6 เดือนถึง 13 ปี
- ฟันแทม้ ี 32 ซี่
- ฟันหนา้ สาหรับตดั อาหาร 8 ซี่ ฟันเข้ียว สาหรบั ฉีกอาหาร 4 ซ่ี
- ฟันกรามหนา้ และกรามหลงั สาหรับบดเค้ียวอาหารอีก 8 และ 12 ซี่
ฟันกรามหนา้
ฟันกรามหลงั
ฟันกรามหลงั
ฟันเข้ียว
ฟันหนา้
รูปท่ี 8 ส่วนประกอบของฟัน ท่ีมา : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 72-73
1.2 เพดานอ่อน(soft palate) เพดานอ่อนจะเลื่อนปิ ดปลายโพรงจมูกขณะทม่ี ีการกลืนอาหาร
1.3 ต่อมนา้ ลาย (salivary gland) ทาหนา้ ที่สร้างน้าลาย (saliva) ประกอบดว้ ย น้า น้าเมือก
เอนไซมอ์ ะไมเลส (amylase), NaHCO3, แร่ธาตุ เช่น ฟอสฟอรัส (P) คลอรีน (Cl) ต่อมน้าลายมีดว้ ยกนั 3 คู่
คือ ต่อมน้าลายบริเวณกกหู ต่อมน้าลายใตข้ ากรรไกรล่าง และตอ่ มน้าลายใตล้ ้ิน ผลิตน้าลายไดว้ นั ละ
1-1.5 ลิตร
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 19
ต่อมน้าลายบริเวณกกหู
ต่อมน้าลายใตล้ ้ิน
ต่อมน้าลายใตข้ ากรรไกร
รูปที่ 9 ตาแหน่งของตอ่ มน้าลาย
ที่มา : http://202.129.54.82/faculty/web_bed/apichat/digestive/page/salivary.html
1.4 ลิน้ (tongue) คอยคลุกเคล้าอาหาร
ใหผ้ สมกบั น้าลายและมีตอ่ มรบั รส (test bud) กระจาย
อยทู่ วั่ โดยปลายล้ินรับรสหวาน โคนลิ้นรับรสขม ขา้ ง
ล้ินรบั รสเปร้ียว
การยอ่ ยในปากมีเฉพาะการยอ่ ยแป้ งเท่าน้ัน
โดยอาหารที่ผ่านการยอ่ ยจะเป็ นกอ้ นเรียกว่า โบลัส
(bolus) แลว้ เลื่อนผา่ นคอหอยโดยการกลืน
รูปที่ 10 แสดงตาแหน่งรบั รสของลิ้น
ทม่ี า : http://devilbio501.exteen.com
คอหอย (pharynx)
คอหอย เป็ นทางผ่านระหว่าง
ปากกบั หลอดอาหาร ช่องที่เปิ ดติดต่อกบั
อวยั วะหลายแห่ง เช่น จมูก ปาก หลอดลม
หลอดอาหารและช่องหูตอนกลาง ขณะที่
เรากลืนอาหารเราจะไม่หายใจ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 20
3. หลอดอาหาร (esophagus)
เป็ นกลา้ มเน้ือเรียบ มีการยอ่ ยเชิงกลโดยการบีบรัดตวั เป็ นจงั หวะเพื่อลาเลียงอาหารลงสู่กระเพาะ
อาหาร ไม่มีน้ายอ่ ย ไม่มีการดูดซึมอาหาร แต่มีการหลง่ั สารเมือกเพอ่ื ช่วยหล่อล่ืน
รูปที่ 11 แสดงการกลืนอาหาร และการบีบรดั ตวั ของหลอดอาหาร
ทม่ี า : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 73
4. กระเพาะอาหาร (stomach)
เป็ นบริเวณท่มี ีการยอ่ ยท้งั แบบเชิงกลและทาง
เคมี มีรูปร่างคลา้ ยตวั เจ (J) มีกลา้ มเนื้อหูรูดท้งั บน
และล่าง ผนงั ดา้ นในทบไปมาเรียกวา่ rugae
กระเพาะสามารถดูดซึมอาหารไดเ้ ป็ นแห่งแรก
เช่น สามารถดูดซึมแอลกอฮอล์ วิตามินบี 12 และ
แร่ธาตุ บางชนิด กระเพาะอาหารมีการหล่งั กรดเกลือ
หรือไฮโดรคลอริก (HCI) เพอ่ื ปรับสภาพใหเ้ หมาะสม
รูปที่ 12 แสดงระบบทางเดินอาหาร กบั การทางานของเอนไซม์
ทมี่ า : http://refluxdefense.com/heartburn_GERD_articles/stomach-acid.html
ซ่ึงขณะท่ีกระเพาะปล่อยกรดเกลือ (HCI) ออกมาใหม่ๆ มีความเขม้ ขน้ สูงสามารถทาลายเน้ือเยอื่
ภายในร่างกายได้ ดงั น้นั กระเพาะจึงสร้างเมือกข้ึนมาเพอ่ื ป้ องกนั กรดเกลือทาลายผนงั กระเพาะอาหาร
การย่อยในกระเพาะอาหาร
อาหารจะถูกคลุกเคลา้ อยใู่ นกระเพาะดว้ ยการหดตวั และคลายตวั ของกลา้ มเน้ือที่แขง็ แรง
ของกระเพาะ ในกระเพาะอาหารจะมีการจะสร้างเอนไซมเ์ พปซิน(pepsin) ยอ่ ยเฉพาะโปรตีนใหเ้ ป็ นโปรตีน
โมเลกุลยอ่ ยลง เรียกว่า เพปไทด์ (Peptide) แต่ยงั ไม่สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากน้ันยงั มี
การสรา้ งเอนไซม์ เรนนิน(rennin) สาหรับยอ่ ยโปรตนี ในน้านม
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 21
ปกติกระเพาะของคนเรามีปริมาตร 50 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร
เม่ือมีอาหารกระเพาะสามารถขยายไดถ้ ึง 40 เทา่ ....
อาหารโปรตนี เช่น เน้ือววั ยอ่ ยยากกวา่ เน้ือปลา ในการปรุง
อาหารเพอ่ื ใหย้ อ่ ยง่าย อาจใชก้ ารหมกั หรือใส่สารบางอยา่ งลงไป
ในเน้ือสตั วเ์ หล่าน้นั เช่น ยางมะละกอ หรือสบั ปะรด
5. ลาไส้เลก็ (Small Intestine)
รูปที่ 13 ลาไสเ้ ล็กและวลิ ลสั (Villus)
ทมี่ า : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 75
ลาไสเ้ ล็กเป็ นส่วนท่มี ีการดูดซึมสารอาหารมากทสี่ ุด เนื่องจากท่ีผนงั ลาไสเ้ ล็กสามารถสร้าง
น้ายอ่ ยหรือเอนไซมข์ ้ึนมาไดห้ ลายชนิดทางานไดด้ ีในสภาวะท่ีเป็นเบส ลาไส้เลก็ เป็นอวยั วะท่ยี าวทีส่ ุด
ถึง 7 - 8 เมตร ลาไสเ้ ลก็ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ
1. ลาไส้ตอนตน้ หรือ ดูโอดีนัม (duodenum) รับน้ายอ่ ยจากตบั อ่อนและรับน้าดีจากตบั
(น้าดีมีสีเขียว รสขม และมีสมบตั ิเป็นเบส) ลาไสส้ ่วนน้ีเป็ นส่วนที่มีการทาการยอ่ ยมากทสี่ ุด สามารถ
ยอ่ ยคาร์โบไฮเดรต โปรตนี และไขมนั ได้
2. ลาไสส้ ่วนกลาง หรือ เจจนู มั (jejunum) เป็ นส่วนท่ีดูดซึมอาหารทย่ี อ่ ยแลว้ มากท่สี ุด
3. ลาไสส้ ่วนทา้ ย หรือ ไอเลียม (ileum) ยอ่ ยและดูดซึมอาหารท่เี หลือ
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 22
การย่อยอาหารในลาไส้ เลก็
1. ยอ่ ยน้าตาลโมเลกลุ คู่ ใหเ้ ป็นน้าตาลโมเลกลุ เด่ียว โดยเอนไซมต์ อ่ ไปน้ี
เอนไซมม์ อลเทสยอ่ ยน้าตาลมอลโทส ไดก้ ลูโคส 2 โมเลกุล
เอนไซมซ์ ูเครสยอ่ ยน้าตาลซูโครส ไดก้ ลูโคส และ ฟรักโทส
เอนไซมแ์ ลกเทสยอ่ ยน้าตาลแลกโทส ไดก้ ลูโคส และ กาแลกโทส
เอนไซมอ์ ะไมเลสยอ่ ยแป้ ง ไดม้ อลโทส
2. ยอ่ ยสารอาหารโปรตีนต่อจากกระเพาะอาหาร โดยเอนไซม์ทริปซินยอ่ ยพอลีเพปไทด์
ใหส้ ้ันลง ส่วนคาร์บอกซิเพปทิเดส และอะมิโนเพปทิเดสยอ่ ยท่ีปลายพอลีเพปไทด์ไดก้ รดอะมิโน
หลุดออกมาที่ละโมเลกุล
3. ยอ่ ยไขมนั โดยเอนไซมไ์ ลเพสจะยอ่ ยไขมนั โมเลกุลเลก็ (emulsified fat) ไดก้ รดไขมนั
และ กลีเซอรอล
การดูดซึมอาหารในลาไส้ เลก็
ท่ีผนงั ลาไสเ้ ลก็ จะยาวพบั ไปมา และมีส่วนยน่ื ของกลุ่มของเซลลท์ เ่ี รียงตวั เป็ นแถวเดียวมีลกั ษณะ
คลา้ ยน้ิวมือ เรียกวา่ วลิ ลสั (Villus) เป็นจานวนมาก ในแตล่ ะเซลลข์ องวลิ ลสั ยงั มีส่วนยนื่ ของเยอ่ื หุม้ เซลล์
ออกไปอีกมากมาย เรียกว่า ไมโครวิลลสั (Microvillus)ในคนมีวลิ ลสั ประมาณ 20-40 อนั ต่อพน้ื ที่
1 ตารางมิลลิเมตรหรือประมาณ 5 ลา้ นอนั ตลอดผนงั ลาไสท้ ้งั หมด
อวยั วะทมี่ สี ่วนเกย่ี วข้องกบั การย่อยอาหาร แตไ่ ม่มีหนา้ ที่ในการยอ่ ย คอื ตบั และตบั อ่อน
ตบั
ตบั อ่อน
ถุงน้าดี
รูปที่ 14 อวยั วะทมี่ ีส่วนเก่ียวขอ้ งกบั การยอ่ ยอาหาร
ท่มี า : http://www.ehow.com/how_2302117_recognize-liver-disease-canines.html
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 23
ตับ(liver)
ทาหนา้ ที่ผลิตน้าดี (bile) มีฤทธ์ิเป็นเบสอ่อนๆ แลว้ นาไปเก็บไวท้ ่ีถุงน้าดี (gall bladder) โดย
น้าดีทาใหไ้ ขมนั แตกตวั เป็นหยดไขมนั เล็ก ๆ น้าดีไม่ใช่เอนไซมเ์ พราะไม่ใช่สารประกอบประเภทโปรตีน
เมื่อทาปฏกิ ิริยาแลว้ จะเปลี่ยนสภาพไป
ตบั อ่อน(pancreas)
ตบั อ่อนมีรูปร่างคลา้ ยใบไม้ สามารถผลิตของเหลวไดว้ นั ละ 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร
ประกอบดว้ ย
- อินซูลิน (Insulin) ควบคุมระดบั น้าตาลในเลือดใหค้ งท่ี
- เอนไซมไ์ ลเพส (lipase) ยอ่ ยไขมนั ไดก้ รดไขมนั และกลีเซอรอล
- โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) ช่วยปรับสภาพอาหารในลาไส้เล็กให้มีสภาพ
เป็นเบส เนื่องจากน้ายอ่ ยในลาไสเ้ ลก็ จะทางานไดด้ ีในภาวะทเ่ี ป็นเบส
6. ลาไส้ใหญ่ (Large Intestine)
ลาไสใ้ หญ่ เป็ นทางเดินอาหารส่วนสุดทา้ ยตอ่ จากลาไสเ้ ล็ก ยาวประมาณ 1.5 เมตรไม่มีต่อม
สรา้ งน้ายอ่ ย ไม่มีการยอ่ ยอาหาร มีแบคทีเรียท่ีชื่อ E.coli ช่วยยอ่ ยสลายกากอาหารใหเ้ ล็กลงและช่วย
สรา้ งวติ ามิน B12 และ วติ ามิน K ลาไสใ้ หญ่แบ่งเป็ น 3 ส่วนคอื
1. ซีกัม (Caecum) เป็ นลาไสต้ อนตน้ มไี สต้ ิง่ ตดิ อยู่
2. โคลอน (Colon) เป็นลาไสต้ อนกลาง รูปร่างตวดั
ข้นึ ตวดั ขวางลาตวั ตวดั ลง และตวดั เป็นรูปตวั เอส
3. ลาไส้ตรง (Rectum) เป็ นลาไสต้ อนปลาย เก็บกกั
อาหารก่อนส่งทางรูทวารหนกั
ลาไส้ใหญ่จะมีการดูดน้าและเกลือแร่เป็ น
ส่วนใหญ่ ดงั น้นั เมื่อกากอาหารอยสู่ ่วนน้ีนานเกินไป
หรือรับประทานอาหารที่มีกากอาหารน้อย จะทาให้
เกิดทอ้ งผกู และเกิดเป็นโรคริดสีดวงทวาร
รูปท่ี 15 ส่วนประกอบของลาไสใ้ หญ่
ท่มี า : http://www.meb.uni-bonn.de/cancer.gov/cdr0000062954.html
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 24
การดดู ซมึ อาหาร
การดูดซึมสารอาหาร เป็ นการนาอาหารโมเลกุลท่ถี ูกยอ่ ยแลว้ ผา่ นผนงั ทางเดินอาหารเขา้ สู่
กระแสโลหิตเพอื่ นาไปสู่เซลลต์ า่ ง ๆ ภายในร่างกาย โดยอวยั วะที่ทาการดูดซึม ไดแ้ ก่
1. กระเพาะอาหาร ส่วนใหญจ่ ะดูดซึมสารพวกแอลกอฮอล์ และยาต่าง ๆ แตจ่ ะมีการดูดซึม
ปริมาณนอ้ ย
2. ลาไสเ้ ลก็ ที่ผนงั ลาไสเ้ ล็กมีลกั ษณะไม่เรียบ โดยจะมีส่วนทย่ี น่ื ออกมาของกลมุ่ เซลล์ เรียกวา่
วลิ ลสั (Villus) เพอ่ื ช่วยเพมิ่ พน้ื ท่ใี นการดูดซึม ลาไสเ้ ล็กเป็ นส่วนทมี่ ีการดูดซึมมากทส่ี ุด
3. ลาไสใ้ หญ่ มีการดูดซึมน้าและแร่ธาตเุ ป็นส่วนใหญ่
สรุปกระบวนการย่อยอาหาร
คาร์โบไฮเดรต จะถูกยอ่ ยลาดบั แรกในปาก
โปรตนี ถูกยอ่ ยเป็นอนั ดบั ที่สองในกระเพาะอาหาร
ไขมนั ถูกยอ่ ยเป็นอนั ดบั สุดทา้ ยทล่ี าไสเ้ ลก็
ตารางที่ 2 สรุปส่วนประกอบและหนา้ ที่ของอวยั วะในระบบทางเดินอาหาร
อวัยวะ หน้าท่ี
1. ปาก
บดเค้ียวอาหารดว้ ยฟัน คลุกเคลา้ อาหารดว้ ยล้ิน
2. คอหอย ตอ่ มน้าลาย (Salivary Gland) ผลิตน้ายอ่ ยอะไมเลส (Amylase) ยอ่ ยแป้ ง
3. หลอดอาหาร
4. กระเพาะอาหาร ใหเ้ ป็นน้าตาลมอลโทส
เป็ นทางผา่ นของอาหารเขา้ สู่หลอดอาหารและอากาศเขา้ สู่หลอดลม
5. ลาไสเ้ ลก็
เป็นทางผา่ นของอาหารลงสู่กระเพาะอาหารไม่มตี อ่ มสร้างน้ายอ่ ย แตม่ ี
ตอ่ มขบั น้าเมอื กช่วยหล่อลื่นอาหารใหผ้ า่ นไดส้ ะดวก
ผลิตกรดไฮโดรคลอริก(HCI) เพอ่ื ปรับสภาพ
ผลิตน้าเมือกทช่ี ่วยเคลือบผนงั ช้นั ในของกระเพาะอาหาร
ผลิตน้ายอ่ ยเพปซิน ยอ่ ยโปรตีนใหเ้ ป็ นโปรตีนสายส้นั (เพปไทด)์ และ
น้ายอ่ ยเรนนิน ยอ่ ยโปรตนี ในนมใหโ้ ปรตีนเป็นลิ่ม ๆ
ผลิตน้ายอ่ ยมอลเทส ซูเครส แลกเทส ยอ่ ยน้าตาล
น้ายอ่ ยอะมิโนเพปทเิ ดส ยอ่ ยโปรตีนสายส้นั ใหเ้ ป็ นกรดอะมิโน
6. ลาไสใ้ หญ่ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 25
7. ทวารหนกั
และดูดซึมสารอาหารเขา้ สู่เซลล์
อวยั วะทเี่ กีย่ วข้องกบั ลาไส้เล็ก
ตบั (Liver) ผลิตน้าดี ทาใหโ้ มเลกุลของไขมนั แตกตวั เป็นเมด็ เล็ก ๆ
ตบั อ่อน (Pancreas) ผลิตน้ายอ่ ยไลเพสยอ่ ยไขมนั แตกตวั ให้เป็ นกรด
ไขมนั และกลีเซอรอล น้ายอ่ ยคาร์บอกซิเพปพเิ ดส ยอ่ ยเพปไทดใ์ ห้
เป็ นกรดอะมิโน
ดูดน้า แร่ธาตุ วติ ามินบางชนิด และกลูโคสออกจากกากอาหารเขา้ สู่
กระแสเลือด ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นน้า
ขบั ถ่ายกากอาหาร
โรคกรดไหลย้อน-โรคกระเพาะอาหาร
คคววาามมเเหหมมอือื นนทท่แีี่แตตกกตต่า่างง
โรคกรดไหลย้อน ไม่ได้เป็ นโรคแปลกใหม่
สาหรับคนไทย เป็ นโรคท่ีพบมานานแลว้ สาเหตุของโรค
เกิดจากการไหลยอ้ นกลับของกรดหรือน้าย่อยในกระเพาะ
อาหารข้นึ ไปในหลอดอาหารส่วนบนอยา่ งผดิ ปกติ ซ่ึงเกิดได้
จากหลายสาเหตุ อาทิ หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลาย
ตวั อยา่ งผิดปกติ หรือความดนั ของหูรูดของหลอดอาหาร
ส่วนปลายลดลงต่ากวา่ ในคนปกติ หรือเกิดจากความผดิ ปกติ
ของการบีบตวั ของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร รวมถึง
พนั ธุกรรมอีกดว้ ย
ส่ วนเหตุสาคัญ ท่ีทาให้คนเป็ นโรคน้ี คือ พฤติกรรมการบริโภคท่ีหันไปใช้ชีวิตแบบ
ชาวตะวนั ตก เร่งรีบไปทางานไม่ค่อยกินขา้ ว กินแต่กาแฟท้งั ยงั ยงั ชอบกินอาหารเยน็ หนกั ๆ แลว้ ก็นอน
อาหารจงึ ยงั ตกคา้ งอยใู่ นกระเพาะ ร่างกายก็ตอ้ งหลงั่ กรดออกมายอ่ ยอาหารที่ยงั ตกคา้ งอยู่ ประกอบ
กบั ทา่ นอนไม่ถูกตอ้ งหัวเสมอหรือต่ากว่าลาตวั ทาให้กรดในกระเพาะไหลยอ้ นข้ึนมาที่ลาคอ เกิดอาการ
แสบระคายเคืองข้ึนมาบนคอ และถา้ ปล่อยใหห้ ลอดอาหารส่วนปลายระคายเคอื งไปนานๆ อาจทาให้
หลอดอาหารเป็ นมะเร็งได้
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 26
โรคน้ีจะเป็ นโรคที่สร้างความทุกขท์ รมานใหก้ บั ผูป้ ่ วย ทาให้
ผปู้ ่ วยมีคุณภาพชีวติ และประสิทธิภาพการทางานลดลงได้ ซ่ึงจะมี
อาการทอ้ งอืด ทอ้ งเฟ้ อ เรอเปร้ียว ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอก
และลิ้นป่ี แล้วลามข้ึนมาท่ีหน้าอกหรือคอ และในบางรายอาจมี
อาการแสดงออกนอกหลอดอาหารได้ เช่น อาการทางปอด หรือ
อาการทางคอและกล่องเสียง เสียงแหบเร้ือรัง มีไอเร้ือรัง มีกลิ่น
ปาก หรือในบางรายอาจมีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด
หรืออาการเจบ็ หนา้ อกได้
โรคนีจ้ ะมีอาการ คล้ายๆ กับอาการของโรคกระเพาะอาหาร จงึ ทาให้คนส่วนใหญ่มกั จะเหมา
รวมวา่ ตนเองเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซ้ือยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหารมารับประทานเอง
ทาใหก้ ารรักษาไม่ตรงจดุ และคิดวา่ การไปพบแพทยเ์ป็นเร่ืองใหญ่ ระยะหลงั มาน้ีจึงพบโรคกรดไหลยอ้ น
เพมิ่ สูงข้ึนเร่ือย ๆ ในหมู่คนไทยโดยเฉพาะในเมืองหลวง
การดูแลรักษาโรค กรดไหลย้อน-โรคกระเพาะอาหาร
ปรับเปล่ียนการกนิ อาหาร
- หลีกเลี่ยงอาหารท่ีทาใหก้ ลา้ มเน้ือหูรูดผอ่ นคลายไม่กระชบั
เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต เปปเปอร์มินต์ เครื่องดื่มท่ีมี
คาเฟอีน น้ามนั ของทอดและอาหารที่มีไขมนั สูง นมเต็มส่วน อาหาร
ทผี่ สมครีม อาหารขยะ เป็นตน้ สาหรับผทู้ ี่น้าหนกั เกิน จาเป็ นอยา่ งยง่ิ
ที่ตอ้ งควบคุมน้าหนกั
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ไปเพมิ่ กรดในกระเพาะอาหาร เช่น ชา
กาแฟ กระเทียม หัวหอม พริกและอาหารเผ็ดร้อน หน่อไมฝ้ ร่ัง ไข่
พาสตา้ ก๋วยเต๋ียว แป้ งข้าวโพด ลูกพรุน ส้ม น้ามะเขือเทศ น้าอัดลม
น้าตาล อาหารขยะ
ปรับเปลี่ยนวิถชี ีวิต
- วถิ ีการกิน อยา่ กินอิ่มเกิน กินน้อยแต่หลายม้ือได้ อยา่ กินอยา่ งเร่งรีบ เค้ียวอาหารให้ละเอียด
อยา่ ด่ืมน้ามากพรอ้ มอาหาร กินอาหารแลว้ หา้ มออกกาลงั กายหรือนอนทนั ที ควรท้ิงช่วงประมาณ 2-3
ชว่ั โมง เม่ือรูส้ ึกวา่ กรดไหลยอ้ น ใหด้ ่ืมน้า กลืนน้าลาย หรือเค้ยี วหมากฝร่งั เพอ่ื ช่วยสลายกรด
- กาหนดท่าทางของร่างกายให้เหมาะสม เช่น อยา่ ก้ม (โดยเฉพาะช่วงหลงั อาหาร) อยา่ ใส่
เข็มขดั หรือเส้ือผา้ รัดแน่นเกินไป พยายามนอนตะแคงขวาเพื่อจะไดไ้ ม่กดทบั ทอ้ งจนกรดไหลยอ้ น
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 27
สาหรบั ผปู้ ่ วยท่ปี ัญหากรดไหลยอ้ นระหว่างนอน ควรยกหวั เตียงใหล้ าดสูงข้ึนประมาณ 6-8 นิ้ว เพอ่ื
ป้ องหันไม่ใหก้ รดคงั่ ในหลอดอาหาร และท่ีสาคัญตอ้ งจดั การกบั ความเครียด ผอ่ นคลายใหม้ ากข้ึน
เพราะความเครียดเป็นปัจจยั สาคญั ทที่ าใหม้ ีกรดมาก
การจะห่างไกลจากโรคกรดไหลยอ้ นน้ีไดน้ ้นั นอกจาก
การปรับเปลี่ยนการกินอาหารและวถิ ีชีวิต ที่กล่าวมาน้ีแลว้
ผปู้ ่ วยตอ้ งมีความรู้ความเขา้ ใจที่ถูกตอ้ งและการตดั สินใจ
ของผูป้ ่ วยเป็ นสาคัญ ซ่ึงต้องอาศัยการมีส่วนร่วมและ
สนับสนุ นอย่างแข็งขันจากคนใกล้ชิด โดยเฉพาะ
ครอบครัว...
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 28
2.2
เรอื่ ง ระบบยอ่ ย
อาหาร
คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ี เพอ่ื ทดสอบความเขา้ ใจและประเมินความกา้ วหนา้ ในการเรียน
1. ใหใ้ ชภ้ าพทางซา้ ยมือประกอบการตอบคาถามขอ้ 1.1 – 1.5
1.1 หมายเลข 1-10 คอื ส่วนประกอบของทางเดินอาหาร
มีลาดบั ดงั น้ี
....................................................................
....................................................................
....................................................................
....................................................................
....................................................................
....................................................................
....................................................................
....................................................................
....................................................................
....................................................................
1.2 การยอ่ ยโปรตนี เกิดข้ึนเป็นลาดบั แรกท่ีหมายเลขใด ......................................................................
1.3 หมายเลขใดทีม่ ีการดูดซึมสารอาหารมากทสี่ ุด ..............................................................................
1.4 หมายเลขใดทีท่ าหนา้ ท่ใี นการสรา้ งน้าดี .......................................................................................
1.5 วลิ ลสั (Villus) พบทห่ี มายเลขใด ........................................................................................................................
2. การยอ่ ยอาหาร หมายถึงอะไร ..........................................................................................................
...........................................................................................................................................................
3. เม่ือมีการยอ่ ยโปรตีนและไขมนั สุดทา้ ยจะไดผ้ ลิตภณั ฑใ์ ด..............................................................
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 29
4. ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง
ปาก กระเพาะอาหาร
มีเอนไซม.์ ............................................. มีเอนไซม.์ .............................................
อาหารที่ยอ่ ย.......................................... อาหารทยี่ อ่ ย..........................................
ผลิตภณั ฑท์ ี่ได.้ ...................................... ผลิตภณั ฑท์ ไี่ ด.้ ......................................
ลาไส้ ใหญ่ ลาไส้ เลก็
หนา้ ที.่ .................................. มีเอนไซม.์ ..................ยอ่ ยไขมนั ได.้ ...........................................
............................................. มีเอนไซม.์ ...............ยอ่ ยโปรตีนได.้ ...................................
มีเอนไซม.์ ...............ยอ่ ยแป้ งได.้ ........................................
มีเอนไซมม์ อลเทส ยอ่ ยมอลโทสใหเ้ ป็ น...........................
มีเอนไซมซ์ ูเครส ยอ่ ยซูโครสใหเ้ ป็ น.................................
มีเอนไซมแ์ ลกเทส ยอ่ ยแลกโทสใหเ้ ป็ น.....................................
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 30
2.3 ระบบ(Cหirculมatorนุ ySyเsวtemยี ) นเลอื ด
วลิ เลยี่ ม ฮาร์วีย์(William Harvey) นกั วทิ ยาศาสตร์
ชาวองั กฤษ เป็ นผคู้ น้ พบระบบการหมุนเวยี นเลือดของคน วา่ มี
ระบบปิ ด คือมีการไหลของเลือดภายในหลอดเลือดเป็นทศิ ทาง
เดียวกนั ซ่ึงระบบจะทาหน้าที่ลาเลียงสารอาหารตา่ ง ๆ ไปยงั เซลล์
และกาจดั ของเสียท่เี ซลลไ์ ม่ตอ้ งการออกจากร่างกาย
รูปที่ 16 วลิ เลียม ฮาร์วยี ์ ผคู้ น้ พบการไหลเวยี นของโลหิตในคน
ที่มา : http://jaisawang.com/jaismf/index.php?topic=546.0
เรื่องน่ารู้ ระบบหมุนเวยี นเลอื ดมี 2 ระบบคอื
ระบบวงจรเปิ ด คือเลือดไหลจากเสน้ เลือดสมั ผสั กับ
เซลล์โดยตรง ไม่มีเส้นเลือดฝอย พบในสัตวพ์ วกแมลง หอย
ปลาดาว
ระบบวงจรปิ ด เลือดจะไหลอยูใ่ นเส้นเลือดตลอดเวลา
มีเส้นเลือดฝอยเพื่อแลกเปลี่ยนสารระหวา่ งเซลล์กบั เลือด พบใน
ไสเ้ ดือน ปลาหมึก และสตั วท์ ่ีมีกระดูกสนั หลงั
อวยั วะในระบบหมุนเวยี นเลอื ด
1. หัวใจ (Heart)
2. เส้นเลือด (Blood vessels)
3. เลอื ด (Blood)
รูปท่ี 17 ระบบหมุนเวยี นเลือดในมนุษย์
ทมี่ า : http://www.3dscience.com/3D_Models/Human_Anatomy/Male_Systems/Male_Circulatory_3.php
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 31
1. หวั ใจ (Heart)
รูปที่18 แสดงลกั ษณะภายในของหวั ใจและจงั หวะการเตน้ ของหวั ใจของมนุษย์
ทีม่ า : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 57
หัวใจ อยูร่ ะหว่างปอดท้ังสองขา้ ง ค่อนไปทางด้านซ้ายเล็กน้อย หัวใจทาหน้าที่รับ
และสูบฉีดเลือด หวั ใจของคนมีขนาดเท่ากาป้ันของเจา้ ของหวั ใจ มี 4 หอ้ งและแต่ละหอ้ งทาหนา้ ท่ีดงั น้ี
ห้องบน (atrium) ทาหนา้ ท่รี ับเลือดเขา้ สู่หวั ใจจากหลอดเลือดเวน
- หอ้ งบนซา้ ย (left atrium) รบั เลือดแดง(ออกซิเจนสูง) ที่มาจากปอด
- หอ้ งบนขวา (right atrium) รับเลือดดา(ออกซิเจนต่า) จากส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย
ห้องล่าง (ventricle) ทาหนา้ ที่สูบฉีดเลือดจากหวั ใจไปยงั หลอดเลือดอาร์เทอรี
- หอ้ งล่างซา้ ย (left ventricle) สูบฉีดเลือดแดงไปยงั ส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย
(เป็นหอ้ งทม่ี ีความหนาทส่ี ุด)
- หอ้ งล่างขวา (right ventricle) สูบฉีดเลือดดา(ออกซิเจนต่า)ไปยงั ปอด
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 32
ลนิ้ หัวใจ ทาหนา้ ที่ป้ องกนั การไหลยอ้ นกลบั ของเลือด ประกอบดว้ ย
- ระหวา่ งหอ้ งบนขวากบั หอ้ งล่างขวา เรียกวา่ ไตรคสั ปิ ดวาลว์
- ระหวา่ งหอ้ งบนซา้ ยกบั หอ้ งล่างซา้ ย เรียกวา่ ไบคสั ปิ ดวาลว์
2. เสน้ เลอื ด (Blood vessels)
รูปท่ี 19 แสดงเสน้ เลือดของหวั ใจ ทีม่ า : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 56
ประเภทของเส้นเลอื ด แบง่ ออกเป็น 3 ระบบ คอื
1. เส้นเลือดดา หรือ เวน (vein) นาเลือดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเขา้ สู่หวั ใจ แรงดนั เลือดต่า
ผนงั เสน้ เลือดบาง ส่วนใหญ่เป็นเลือดท่มี ีออกซิเจนต่า ยกเวน้ เสน้ เลือดดาท่ีนาเลือดทฟ่ี อกแลว้ จาก
ปอดมาสู่หวั ใจจะมีออกซิเจนสูง
2. เส้นเลือดแดง หรือ อาร์เทอรี (artery) นาเลือดออกจากหัวใจไปยงั อวยั วะต่าง ๆ ของร่างกาย
ผนงั เส้นเลือดหนาและมีความยดื หยนุ่ มากเพ่ือตา้ นทานต่อแรงดนั เลือดที่ถูกบีบออกจากหัวใจ เลือด
ทีอ่ ยใู่ นเสน้ เลือดแดงโดยทว่ั ไปมีสีแดงหรือออกซิเจนสูง ยกเวน้ เสน้ เลือดแดงทีน่ าเลือดไปยงั ปอดเพ่ือ
นาเลือดดาไปฟอก
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 33
3. เส้นเลือดฝอย (capillary) เป็นเสน้ เลือดท่เี ช่ือมต่อระหวา่ งอาร์เทอรีและเวน มีขนาดเลก็
จานวนมาก ผนงั บาง แทรกอยตู่ ามส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย เป็ นบริเวณทีม่ ีการแลกเปลี่ยนอาหาร แก๊ส
สารตา่ งๆ และของเสียระหวา่ งเลือดกบั เซลล์
รูปท่ี 20 ระบบไหลเวยี นเลือดและการทางานของหวั ใจ ท่ีมา : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 58
จากรูป ระบบเสน้ เลือดในร่างกายมี 2 ส่วน ส่วนแรกนาเลือดจากหวั ใจไปสู่ปอดเพ่อื รับ
ออกซิเจน ส่วนที่สองนาเลือดจากหวั ใจไปยงั ทกุ ๆ ส่วนของร่างกายเพอ่ื นาออกซิเจนไปยงั เซลลต์ ่าง ๆ
3. เลอื ด (Blood)
ในร่างกายของคนเราจะมีเลือดอยปู่ ระมาณ 6,000 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร (6 ลิตร) หรือมีอยู่
ประมาณร้อยละ 7-8 ของน้าหนกั ตวั เลือดทาหนา้ ท่ีเป็นตวั นาอาหาร แก๊ส สารและของเสีย เขา้ และออก
จากเซลล์ เลือดประกอบดว้ ย 2 ส่วน คือ
1. ส่วนท่ีเป็นของเหลวมีรอ้ ยละ 55 ซ่ึงเรียกวา่ น้าเลือด หรือ พลาสมา(plasma)
2. ส่วนทีไ่ ม่เป็นของเหลวมีร้อยละ 45 ไดแ้ ก่ เซลลเ์ ม็ดเลือด และเกล็ดเลือด
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 34
1. น้าเลอื ด(plasma) มีประมาณร้อยละ 55 ของ
จานวนเลือดท้งั หมด เป็ นของเหลวมีน้าเป็ นส่วนประกอบ
รอ้ ยละ 91 ทเ่ี หลือเป็นสารอาหารและโปรตนี ทาหนา้ ที่ลาเลียง
เอ็นไซม์ ฮอร์โมน แร่ธาตุ วิตามิน แก๊ส สารอาหารต่าง ๆ
ไปใหเ้ ซลลแ์ ละรับของเสียส่งไปกาจดั นอกร่างกาย
รูปที่ 21 กระแสเลือดไหลไปตามเสน้ เลือด
ทีม่ า : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 61
2. เซลล์เมด็ เลอื ด เป็นของแขง็ และเป็นส่วนทีต่ กตะกอนมีประมาณรอ้ ยละ 45 ประกอบดว้ ย
2.1 เมด็ เลอื ดแดง เป็นเซลลร์ ูปร่างกลมแบน เวา้ ท้งั สองขา้ ง เกิดใหม่มีนิวเคลียส โตเตม็ ที่
จะไม่มีนิวเคลียส มีเฮโมโกลบนิ (hemoglobin) เป็นองคป์ ระกอบถูกสร้างมาจากไขกระดูก ทาหนา้ ท่ี
ในการลาเลียงออกซิเจน เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วนั แหล่งทาลายคอื ตบั และมา้ ม ในเลือด 1
ลูกบาศกม์ ิลลิเมตร มีเมด็ เลือดแดงประมาณ 5 ลา้ นเม็ด ผใู้ หญ่สรา้ งเมด็ เลือดที่ไขกระดูก ในเด็กสรา้ ง
เมด็ เลือดท่ตี บั มา้ ม และไขกระดูก
2.2 เม็ดเลอื ดขาว มีขนาดใหญก่ วา่ เมด็ เลือดแดงมีนิวเคลียสที่มีรูปร่างต่างกนั มีหนา้ ท่ีทาลาย
เช้ือโรคทอี่ ยใู่ นร่างกาย และหลงั่ สารแอนตบิ อดีหรือภูมิคุม้ กนั ออกมาทาลายเช้ือโรค มีอายุ 3 - 12 วนั
ถูกทาลายโดยต่อมน้าเหลืองและมา้ ม เลือด 1 ลูกบาศกม์ ิลลิเมตรจะมีเมด็ เลือดขาวประมาณ 6 - 8 พนั เซลล์
แตถ่ า้ มีเช้ือโรคเขา้ สู่ร่างกายจะมีจานวนเพมิ่ มากถึง 15,000 เซลล์
รูปที่ 22 ลกั ษณะของเม็ดเลือดแดง เมด็ เลือดขาว และเกลด็ เลือด
ท่มี า : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 61
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 35
3. เกลด็ เลอื ด เป็นเศษของเซลลช์ ้ินเลก็ รูปร่างกลม ไมม่ ีสี ไม่มีนิวเคลียส ไม่มีเฮโมโกลบนิ
สรา้ งจากไขกระดูกทาหนา้ ท่ีเกี่ยวกบั การแขง็ ตวั ของเลือด อุดรอยฉีกขาดของหลอดเลือดฝอย มีวติ ามิน K
และแคลเซียมเป็นตวั ร่วม ในเลือด 1 ลูกบาศกม์ ิลลิเมตรจะมีแผน่ เลือดประมาณ 3 แสนแผน่ โดยเกล็ดเลือด
มีอายปุ ระมาณ 10 วนั
รูปท่ี 23 การแขง็ ตวั ของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล ที่มา : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 63
ความดนั เลอื ด (Blood Pressure)
ความดนั เลือด (Blood Pressure) คือ ความดนั ทีเ่ กิดจากการ
บีบและคลายตวั ของหวั ใจ โดยหวั ใจบบี เลือดดนั ออกจากหวั ใจดว้ ย
ความดนั สูงและเสน้ เลือดท่ีนาเลือดเขา้ สู่หวั ใจมีแรงดนั ต่า ใช้
หน่วยวดั เป็นมิลลิเมตรของปรอท มีค่าตวั เลข 2 คา่ คือ
รูปท่ี 24 เคร่ืองวดั ความดนั โลหิต
1. Systolic pressure คือค่าความดนั ท่วี ดั ขณะหวั ใจบบี ตวั (เขียนไวด้ า้ นหนา้ )
2. Diastolic pressure คอื คา่ ความดนั ท่วี ดั ขณะหวั ใจคลายตวั (เขียนไวด้ า้ นหลงั )
เช่น ความดนั ผใู้ หญห่ ญงิ มีค่าประมาณ 110/70 มิลลิเมตรของปรอท
ความดนั ผใู้ หญช่ าย มีคา่ ประมาณ 120/80 มิลลิเมตรของปรอท
ปกตคิ า่ ความดนั สูงสุดมีค่าประมาณ 100 + อายขุ องผถู้ ูกวดั สาหรับความดนั เลือดขณะหวั ใจ
รบั เลือดไม่ควรเกิน 90 มิลลิเมตรของปรอท ถา้ เกินถือวา่ เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง ซ่ึงอาจมี
สาเหตุ มาจากโกรธงา่ ย เครียด หลอดเลือดตีบ คอเลสเตอรอลในเลือดสูง พบในผูส้ ูงอายเุ ป็ นส่วน
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 36
ใหญ่ และหากปล่อยไวอ้ าจทาใหม้ ีผลตามมาคอื เป็นโรคหวั ใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดในสมองแตก
และโรคไตวายเร้ือรงั เป็ นตน้
ปัจจยั ทีม่ ีผลต่อความดนั เลอื ด
1. อายุ ผสู้ ูงอายุ เด็ก
2. เพศ เพศชาย เพศหญิง หลงั อายุ 40 เพศหญิง เพศชาย
3. รูปร่าง รูปร่างใหญ่ รูปร่างเลก็
4. อารมณ์ อารมณ์เครียด วติ กกงั วล โกรธ ตกใจ คนอารมณ์ปกติ
5. กิจกรรม ออกกาลงั กาย พกั ผอ่ น
6. หลงั รับประทานอาหาร ยามปกติ
การจบั ชีพจร ซ่ึงชีพจร ( pluse ) หมายถึงอตั ราการเตน้ ของหวั ใจ จงั หวะการยดื หยนุ่ ของ
เสน้ เลือดอาร์เทอรีเป็นไปตามจงั หวะการเตน้ ของหวั ใจ สาหรับการเตน้ ของหวั ใจปกตปิ ระมาณ 72
คร้ังตอ่ นาที แต่อาจเปล่ียนแปลงไดต้ ามลกั ษณะตา่ งๆ เช่น เพศ วยั อิริยาบท โรคภยั ไขเ้ จบ็ เป็นตน้
ตารางที่ 3 สรุปส่วนประกอบและหนา้ ที่ของอวยั วะในระบบหมุนเวยี นเลือด
ระบบหมนุ เวียนเลอื ด หน้าท่ี
1. หวั ใจ (heart) สูบฉีดเลือดใหไ้ หลไปตามหลอดเลือดไปยงั ส่วนต่างๆ
ของร่างกายแลว้ ไหลกลบั คนื เขา้ สู่หวั ใจ
2. หลอดเลือด(blood vessel) เป็ นทอ่ ซ่ึงเป็ นทางใหเ้ ลือดหมุนเวยี นไป โดยอาศยั แรงจากการ
สูบฉีดของหวั ใจ
2.1 หลอดอาร์เทอรี(artery) นาเลือดที่มี O2 สูงออกจากหัวใจไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย
(เสน้ เลือดแดง) (ยกเวน้ เสน้ เลือดทนี่ าเลือดไปยงั ปอดเพอ่ื นาเลือดดาไปฟอก)
นาเลือดท่ีมี CO2 สูง O2 ต่า จากส่วนตา่ งๆ ของร่างกายเขา้ สู่หวั ใจ
2.2 หลอดเวน (vein) ยกเวน้ เสน้ เลือดดาท่นี าเลือกท่ีฟอกแลว้ จากปอดมาสู่หวั ใจจะมี
(เสน้ เลือดดา) ออกซิเจนสูง
เป็ นแหล่งสาหรบั แลกเปล่ียนแก๊สและสารต่างๆ ระหวา่ งเลือด
2.3 หลอดเลือดฝอย (capillary) กบั เซลลข์ องร่างกาย
นาสารอาหารและแก๊สออกซิเจนไปใหเ้ ซลล์ และนาของเสีย
3. เลือด (blood) ทีเ่ ซลลไ์ ม่ตอ้ งการไปขจดั ออกนอกร่างกาย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 37
การดแู ลระบบหมุนเวยี นเลอื ด
อยา่ งทรี่ ู้กนั ดี การมีระบบไหลเวยี นโลหิตเป็นปกติคือกุญแจสาคญั ทที่ าใหส้ ุขภาพดี แตท่ ราบ
ไหมวา่ อะไรคอื สญั ญาณทบี่ ่งบอกถึงความผดิ ปกติทเี่ กิดข้นึ กบั ระบบหมุนเวยี นเลือด
รับประทานอาหารทมี่ ีไขมนั จาเป็ นจะช่วยป้ องกนั การก่อตวั ของคอเลสเตอรอล ไขมนั จาเป็น
น้นั จะพบมากในปลาและน้ามนั จาพวกน้ามนั มะกอก, ลินสีด (Linseed), เรพสีด (rapeseed)
อาหารทอ่ี ุดมดว้ ยไบโอฟลาโวนอยดช์ ่วยใหห้ ลอดเลือดแขง็ แรง โดยพบมากในเบอร์รี่สีแดง
และสีม่วง เช่น ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่
การออกกาลงั กายทาใหห้ วั ใจและหลอดเลือดดาแขง็ แรง โดยเฉพาะแอโรบิก เพราะช่วยให้
อตั ราการเตน้ ของหวั ใจเป็นปกติ การจอ็ กก้ิง วา่ ยน้า และเตน้ ราก็ลว้ นแตส่ ่งผลดีตอ่ หวั ใจ
เช่นกนั
คนท่ีสูบบหุ รี่ กค็ วรเลิกเพราะทาใหภ้ าวะการทางานของหลอดเลือดแดงไม่ดี และสารพษิ จาก
บุหรี่ยงั เขา้ ไปขดั ขวางไม่ใหเ้ ลือดลาเลียงสารอาหารจาเป็นไปเล้ียงร่างกาย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 38
2.3
เรอื่ ง ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด
คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ี เพอื่ ทดสอบความเขา้ ใจและประเมินความกา้ วหนา้ ในการเรียน
ตอนที่ 1. ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ งและไดใ้ จความท่ีสมบูรณ์
1. ใหใ้ ชแ้ ผนภาพการแสดงการหมุนเวยี นเลือดในร่างกายตอ่ ไปน้ี ประกอบการตอบคาถาม
1.1 ระบบหมุนเวยี นเลือดในภาพเป็นเเบบ......................................................................................
1.2 หนา้ ทขี่ องหมายเลข 1 คือ ......................................................................................................
1.3 หนา้ ท่ีของหมายเลข 4 คอื ......................................................................................................
1.4 หมายเลข 7 คือ...................................ทาหนา้ ท่ี.......................................................................
...................................................................................................................................................
1.5 หมายเลข 8 คอื ...................................ทาหนา้ ท.ี่ ......................................................................
...................................................................................................................................................
1.6 จงเปรียบเทยี บความสามารถในการยดื หยนุ่ ของหลอดเลือดหมายเลข 5 กบั หมายเลข 6
...................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 39
2. เลือดมีองคป์ ระกอบสาคญั อะไรบา้ ง และทาหนา้ ทอี่ ะไร
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
3. ถา้ วดั ความดนั โลหิตได้ 120/80 มิลลิเมตรของปรอท หมายความวา่ อยา่ งไร
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
4. ชีพจร หมายถึงอะไร
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
ตอนที่ 2. ใหท้ าเครื่องหมาย หนา้ ขอ้ ทีเ่ ห็นวา่ ถูกและหนา้ ขอ้ ท่ีเห็นวา่ ผดิ
1. ระบบหมุนเวยี นเลือดวงจรเปิ ด เลือดจะไหลจากเสน้ เลือดสมั ผสั กบั เซลลโ์ ดยตรง
2. ระบบวงจรเลือดของปลาหมกึ จะเป็นระบบวงจรปิ ด
3. หวั ใจต้งั อยรู่ ะหวา่ งปอดท้งั สองขา้ ง ค่อนไปทางขวาเล็กนอ้ ย
4. หวั ใจหอ้ งบนซา้ ยเลือดจะมีออกซิเจนต่า
5. เสน้ เลือดเวน เลือดจะมีออกซิเจนสูง
6. เม็ดเลือดขาวมีหนา้ ทีห่ ลง่ั สารแอนติบอดีทาลายเช้ือโรค
7. ผใู้ หญ่จะสรา้ งเมด็ เลือดแดงทีไ่ ขกระดูก
8. เกลด็ เลือดสรา้ งจากไขกระดูกมีอายปุ ระมาณ 10 วนั
9. หวั ใจจะบีบเลือดดนั ออกจากหวั ใจดว้ ยความดนั สูง แตน่ าเลือดเขา้ สู่หวั ใจดว้ ยแรงดนั ต่า
10. ไขมนั ในปลาและน้ามนั มะกอกจะช่วยป้ องกนั การก่อตวั ของคอเลสเตอรอล
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 40
2.4 ระบบหายใจ(Respiration)
การดารงชีวติ ของสิ่งมชี ีวิตนอกจากจะต้องการอาหารแล้ว ยังต้องการแก๊สออกซิเจนซ่ึงได้
จากการหายใจเข้าไป เพอื่ นาไปสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย ถ้าร่างกายขาดออกซิเจนหรือหยุดหายใจ
2 – 3 นาทจี ะทาให้เสียชีวติ ได้
การหายใจ (Respiration) คือ กระบวนการท่แี กส๊ ออกซิเจนเขา้ ทาปฏิกิริยากบั สารอาหาร
ทอ่ี ยภู่ ายในเซลลแ์ ต่ละเซลล์ ทาใหส้ ารอาหารปล่อยพลงั งาน น้า และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดอ์ อกมา
สารอาหาร + ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ + น้า + พลงั งาน
การหายใจแบ่งเป็น 2 แบบ
1. การหายใจแบบตอ้ งอาศยั ออกซิเจน เป็ นการสลายโมเลกุลอาหารอยา่ งสมบูรณ์ ไดพ้ ลงั งาน
เตม็ ท่ี ผลทีไ่ ดค้ ือ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ และน้า
2. หายใจแบบไม่ใชอ้ อกซิเจน เป็ นการสลายโมเลกุลอาหารอยา่ งไม่สมบูรณ์ไดพ้ ลังงานออกมา
เพียง 1 ใน 9 ของการหายใจแบบใชอ้ อกซิเจน เช่น ในยสี ต์ ไดเ้ อทิลแอลกอฮอล์ กบั คาร์บอนไดออกไซด์
ในแบคทเี รียและกลา้ มเน้ือลายของสตั วช์ ้นั สูงได้ กรดแลกติก ซ่ึงเป็ นสาเหตุของการเกิดตะคริว
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 41
โครงสรา้ งและอวยั วะของระบบหายใจ
รูปที่ 25 อวยั วะทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ระบบหายใจ
ที่มา : http://tamaraj19.blogspot.com/2007/06/compendium-review-1-unit-ii.html,
วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 67
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 42
อวยั วะที่เกยี่ วข้องกบั ทางเดนิ ลมหายใจของคน
จมูก (nose) : เป็นทางผา่ นของอากาศเขา้ สู่ร่างกายทางรูจมูก ซ่ึงตดิ ตอ่ กบั โพรงจมูก
คอหอย (pharynx) : เป็ นทางผ่านของอากาศ ซ่ึงเป็ นบริเวณที่พบกนั ระหวา่ งช่องอาหาร
จากปากกบั ช่องอากาศจากจมูก
กล่องเสียง (larynx) : เป็นทางผา่ นของอากาศมีฝาปิ ดกล่องเสียงทาหนา้ ทใ่ี นการปิ ด-เปิ ดกล่องเสียง
เพอ่ื ป้ องกนั ไม่ใหอ้ าหารตกลงไปในกล่องเสียงและหลอดลมคอ
หลอดลมคอ (trachea) : เป็นทางผ่านของอากาศ และเป็ นบริเวณที่มีขนและเซลลท์ ี่หลง่ั สารเมือก
ทาหนา้ ทจ่ี บั ฝ่นุ ละออง
หลอดลม (bronchus) : เป็ นบริเวณท่ีอากาศผ่านเขา้ สู่ปอดท้งั 2 ขา้ ง โดยแตกแขนงมาจาก
หลอดลมคอ
หลอดลมฝอย (bronchiole) : เป็ นปลายสุดของหลอดลมมีแขนงมากมาย ปลายพองเป็ น
กระเปาะคลา้ ยถุง
ถุงลม (alveolus) : เป็ นกระเปาะเล็ก ๆ มีหลอดเลือดฝอยมาหล่อเล้ียง ทาหน้าที่แลกเปลี่ยน
แก๊สออกซิเจน และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ปอด (Lung)
ปอดเป็ นโครงสร้างขนาดใหญ่บรรจุถุงลมปอดจานวนมาก โดยเมื่อแรกเกิดจะมีประมาณ
30 ลา้ นถุงและจะเพิม่ ข้ึนอยา่ งรวดเร็วจนถึงอายุ 8 ขวบจะมีจานวนเตม็ ที่และหยดุ การเพิ่มจานวน
ถุงลมมีหนา้ ทีร่ บั แกส๊ ออกซิเจนเขา้ สู่เลือดและขบั แก๊สคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกจากเลือด
อวยั วะทชี่ ่วยในการหายใจ
ปอดเป็ นอวยั วะที่ไม่มกี ลา้ มเน้ือ จงึ ไม่สามารถหดตวั และคลายตวั ได้ ดงั น้นั การนาอากาศ
จากภายนอกเขา้ สู่ปอดและการขบั แก๊สต่าง ๆ ออกจากปอดตอ้ งอาศยั การทางานประสานกนั ระหวา่ ง
อวยั วะต่าง ๆ เช่น กระบงั ลม กระดูกซ่ีโครง
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 43
ระบบทางเดินหายใจของคนเป็นเป็นดงั น้ี
O2 โพรงจมูก คอหอย หลอดลม
อากาศ CO2 รูจมูก
เซลล์ CO2 เสน้ เลือดฝอย ถุงลม( แอลวโี อลสั ) แขนงปอด ข้วั ปอด
O2
กลไกลการหายใจ
กลไกการสูดลมหายใจเกิดจากการทางานของกลา้ มเน้ือ 2 แห่ง คอื กลา้ มเน้ือกระบงั ลม และ
กลา้ มเน้ือยดึ กระดูกซี่โครง ดงั รูป
รูปท่ี 26 การหายใจเขา้ -ออก ท่มี า : วอลก์ เกอร์, ริชาร์ด. 2545 : 67
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 44
1. การหายใจเข้า (Inspiration)
- กระบงั ลมจะเล่ือนต่าลง
- กระดูกซ่ีโครงจะเลื่อนสูงข้ึน
ทาใหป้ ริมาตรของช่องอกเพม่ิ ข้นึ ความดนั อากาศภายในบริเวณรอบ ๆ ปอดต่าลงกวา่ อากาศ
ภายนอก อากาศภายนอกจงึ เคล่ือนท่ีเขา้ สู่จมูก หลอดลม และไปยงั ถุงลมปอด
2. การหายใจออก (Exspiration)
- กระบงั ลมจะเล่ือนสูงข้นึ
- กระดูกซี่โครงจะเลื่อนต่าลง
ทาใหป้ ริมาตรของช่องอกลดนอ้ ยลง ความดนั อากาศภายในบริเวณรอบ ๆ ปอดสูงกวา่ อากาศ
ภายนอก อากาศภายในถุงลมปอดจึงเคล่ือนท่ีจากถุงลมปอดสู่หลอดลม และออกทางจมูก
การแลกเปลยี่ นแกส๊
1. การแลกเปลย่ี นแก๊สที่ถุงลม
อากาศเมื่อเขา้ สู่ปอดจะไปอยทู่ ถี่ ุงลม โดยในถุงลมจะมีหลอดเลือดฝอยมาห่อหุม้ ไว้ เมื่อเลือด
จากหัวใจมาสู่ปอดซ่ึงเป็ นเลือดที่มีออกซิเจนต่าแต่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูง จะเกิดการแลกเปล่ียน
แก๊สที่ถุงลม โดยออกซิเจนในถุงลมจะแพร่เขา้ สู่เสน้ เลือด ในขณะเดียวกนั แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะ
แพร่เขา้ สู่ถุงลม เพอ่ื ที่จะขบั ออกทางลมหายใจตอ่ ไป
รูปที่ 27 แสดงการแลกเปล่ียนแกส๊ ทีถ่ ุงลม ภาพจาลองและภาพถ่ายดว้ ยกลอ้ งขยายกาลงั สูง
ท่ีมา : http://www.thaigoodview.com/library/sema/sukhothai/lamphu_s/bodysystem/sec04p06.html
http://www.microscopy-uk.org.uk/mag/artaug02/gohisto.html
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 45
2. การแลกเปลยี่ นแก๊สทเ่ี ซลล์
เลือดจะพาแก๊สออกซิเจน และสารอาหาร
ไปสู่เซลล์ เมื่อเขา้ สู่เซลล์จะเกิดปฏิกิริยาระหว่าง
สารอาหารกับแก๊สออกซิเจน แล้วอาหารจะปล่อย
พลงั งานออกมากระบวนการน้ีเรียกวา่ “กระบวนการ
หายใจ” นอกจากไดพ้ ลงั งานแลว้ ยงั ไดน้ ้าและแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ซ่ึงเป็ นของเสียแพร่เข้าสู่
กระแสเลือด หลงั จากน้ันเลือดก็จะพาของเสียไป
ยงั ถุงลมเพอ่ื ขบั ถ่ายออกมาทางลมหายใจตอ่ ไป
รูปท่ี 28 การแพร่ของ O2 , CO2 ระหวา่ งเสน้ เลือดฝอยกบั ถุงลม
การสะอกึ การไอ การจาม และการหาว
การสะอึก เกิดจากกระบงั ลมหดตวั ในขณะทหี่ ายใจเขา้ อากาศถูกดนั ผา่ นสู่ปอดอยา่ งรวดเร็ว
ทาใหส้ ายเสียงสนั่
การไอ และการจาม เป็ นการหายใจอย่างรุนแรงเพื่อป้ องกนั ไม่ให้ส่ิงแปลกปลอมเขา้ ไป
ในกล่องเสียงและหลอดลม
การหาว เกิดจากการมีแก๊สออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอ หรือมีเนื่องจากมีปริมาณแก็ส
คาร์บอนไดออกไซดอ์ ยใู่ นเลือดมากเกินไป จงึ ตอ้ งพยายามขบั ออกจากร่างกาย
รูปท่ี 29 แสดงการไอหรือจาม และการหาว
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 46
โรคหอบหืด
โรคหอบหืด พบคนไทยป่ วยโรคหอบหืดกว่า 10 - 13 %
สาเหตุ อาการหอบหืดเกิดจากการหดตวั หรือตีบตนั
ของช่องทางเดินหายใจส่วนหลอดลม ทาให้อากาศเขา้ สู่ปอด
นอ้ ยลง ปัจจยั ทท่ี าใหเ้ กิดการตีบตนั ของหลอดลม คือ
การหดตัวของกล้ามเนื้อรอบ ๆ หลอดลม
การบวมอักเสบของเยอ่ื บภุ ายในหลอดลม
เสมหะจานวนมากทค่ี งั่ ค้างอยู่ภายในหลอดลม
โรคหืดเป็ นโรคของหลอดลมไวเกินตอ่ ส่ิงกระตนุ้ โดยมกั มีกรรมพนั ธุใ์ นครอบครัวเป็ นปัจจยั
เส่ียงและมีสิ่งแวดลอ้ มเป็นตวั กระตนุ้ ทาใหห้ ลอดลม เยอื่ บหุ ลอดลมอกั เสบและบวม เสมหะมากข้ึน
และเหนียว รวมท้งั ทาใหก้ ลา้ มเน้ือหลอดลมหดตวั หลอดลมตบี ลง อากาศเขา้ -ออกจากปอดไดน้ อ้ ยลง
อาการของโรคจะรุนแรงหรือไม่แล้วแต่ว่าหลอดลมตีบตนั มากหรือน้อย กลา้ มเน้ือบุหลอดลมอาจ
คลายตวั ไดเ้ องแมจ้ ะไม่ไดร้ ับการรกั ษา แตก่ ารรกั ษาที่ถูกวิธีจะช่วยทาใหอ้ าการดีเร็วข้ึน และป้ องกนั
การเกิดอาการของโรคกาเริบ หรือแมแ้ ต่ทาใหอ้ าการของโรคคอ่ ย ๆ ดีข้ึน และหายเป็นปกตไิ ด้
ข้อปฏบิ ตั ิเบือ้ งต้น
1. เรียนรู้และหลีกเล่ียงสิ่งท่จี ะทาให้เกิดอาการจบั หืด
2. มียาติดตวั พร้อมใชแ้ ละเรียนรู้วธิ ีใช้ ใหถ้ ูกตอ้ งตามที่แพทยแ์ นะนา
3. พบแพทยอ์ ยา่ งสม่าเสมอเพอ่ื ใหแ้ น่ใจวา่ โรคหืดของตนควบคุมได้
อาการสาคญั ของโรคหดื
1. แน่นหนา้ อก
2. หายใจลาบาก
3. ไอ
4. มีเสียงว้ดี
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 47
สิ่งกระตุ้นให้จบั หืดได้แก่
1. เกสรตน้ ไมแ้ ละหญา้
2. กลิ่น (อบั , ฉุน, น้าหอม)
3. ไขห้ วดั
4. ขนสตั ว์
5. ควนั บหุ ร่ี
6. ควนั จากการเผาไหม้
7. ฝ่ นุ จากทีน่ อน
8. ยาบางชนิด
9. เล่นกีฬาหนกั ๆ
10. อากาศเยน็
การรักษา
1. หลีกเลย่ี งสารท่ีแพ้ ไดแ้ ก่ ไม่มีสตั วเ์ ล้ียงในบา้ น , หลีกเลี่ยงควนั บหุ ร่ี , พ้นื ไม่ตอ้ งปพู รม ,
ท่ีนอนและหมอนไม่ควรทาดว้ ยวสั ดุประเภทฟาง , ซกั ผา้ ห่มและผา้ คลุมเตียงดว้ ยน้าร้อนและตากแดด
(เพอ่ื กาจดั ไรฝ่ นุ ) อยา่ งนอ้ ยสปั ดาห์ละคร้ังเป็นตน้
2. ยาสูดรักษาโรคหืดทจ่ี าเป็ นมี 2 ประเภท คอื
2.1. ยาสูดขยายหลอดลม ไดแ้ ก่ เวนโตลินรูปพน่ ใชเ้ ป็ นคร้ังคราว เมื่อเกิดการจบั หืด
2.2. ยาสูดลดการอกั เสบ ไดแ้ ก่ สเตียรอยด์รูปพน่ ใชเ้ ป็ นประจา เพอ่ื ป้ องกนั การจบั หืด
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 48
2.4
เรอื่ ง ระบบหายใจภ
คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ี เพอ่ื ทดสอบความเขา้ ใจและประเมินความกา้ วหนา้ ในการเรียน
ตอนที่ 1. ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ งและไดใ้ จความทส่ี มบูรณ์
1. การหายใจ หมายถึง .......................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
2. ใหน้ กั เรียนเขียนชื่อของอวยั วะตามหมายเลขท่ีกาหนดให้ พรอ้ มท้งั ตอบคาถามตอ่ ไปน้ีให้สมบรู ณ์
............................... .............................................
............................ .............................................
...............................
...............................
..............................
.......................................
........................................
2.1 หมายเลข 5 ทาหนา้ ที.่ .....................................................................................................
2.2 หมายเลข 9 มีประโยชนอ์ ยา่ งไร....................................................................................
3. จงเปรียบเทียบกลไกการหายใจเขา้ และหายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 49
4. จงเขียนแผนภาพแสดงทศิ ทางการเคลื่อนท่ีของแก๊สในระบบหายใจ
ตอบ.................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
ตอนที่ 2. ใหท้ าเครื่องหมาย หนา้ ขอ้ ทเ่ี ห็นวา่ ถูกและหนา้ ขอ้ ท่ีเห็นวา่ ผดิ
1. ออกซิเจนเป็นตวั ทาปฏิกิริยากบั สารอาหารทาใหเ้ กิดพลงั งานภายในเซลล์
2. การสลายโมเลกลุ อาหารอยา่ งไม่สมบูรณ์ในสตั วช์ ้นั สูงทาใหเ้ กิดตะคริวได้
3. ถุงลมทาหนา้ ท่ีแลกเปล่ียนแก๊สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
4. ถุงลมปอดจะเพมิ่ จานวนไปเร่ือยๆ จนกระทงั่ อายุ 20 ปี
5. ของเสียจากกระบวนการหายใจจะถูกขบั ถ่ายออกทางลมหายใจ
6. การมีแกส๊ ออกซิเจนในเลือดไม่เพยี งพอทาใหเ้ กิดการหาวได้
7. การสะอึกเป็ นการหายใจอยา่ งรุนแรงเพอื่ ป้ องกนั ไม่ใหส้ ิ่งแปลกปลอมเขา้ ไปใน
กล่องเสียงและหลอดลม
8. หอบหืดเกิดจากการหดตวั หรือตบี ตนั ของช่องทางเดินหายใจส่วนหลอดลมทาให้
อากาศเขา้ สู่ปอดนอ้ ยลง
9. โรคหอบหืดไม่เก่ียวขอ้ งกบั กรรมพนั ธุ์
10. การรักษาโรคหอบหืดทีถ่ ูกวธิ ีจะทาใหอ้ าการของโรคดีข้ึนและหายเป็ นปกตไิ ด้
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบต่างๆในร่างกายมนษุ ย์และสัตว์ 50
2.1
เรอื่ ง การจดั ระบบในรา่ งกาย
แนวตอบ
ใหท้ าเครื่องหมาย หนา้ ขอ้ ท่ีเห็นวา่ ถูกและเครื่องหมาย หนา้ ขอ้ ทเ่ี ห็นวา่ ผดิ
1. เซลลเ์ ป็นส่วนประกอบทเ่ี ลก็ ที่สุดของส่ิงมีชีวติ
2. เซลลถ์ ูกคน้ พบโดยนกั วทิ ยาศาสตร์ชาวองั กฤษช่ือวลิ เล่ียม ฮาร์วยี ์
3. ส่ิงมีชีวติ จะตอ้ งประกอบไปดว้ ยเซลลห์ ลายเซลลจ์ ึงจะมีชีวติ อยไู่ ด้
4. ส่วนประกอบต่างๆ ในร่างกายของมนุษย์ ถา้ เรียงลาดบั จากใหญไ่ ปหาเลก็ จะไดด้ งั น้ี
อวยั วะ > ระบบอวยั วะ> เน้ือเยอ่ื > เซลล์
5. ร่างกายของคนในภาวะปกตมิ อี ุณหภมู ิอยทู่ ี่ 37 องศาเซลเซียส
6. อวยั วะคือโครงสรา้ งของเน้ือเยอื่ หลายชนิดรวมกนั ทาหนา้ ทอี่ ยา่ งเดียวกนั
7. เซลลข์ องสิ่งมีชีวติ ชนิดเดียวกนั จะมีรูปร่างและขนาดเหมือนกนั และแตกต่าง
จากส่ิงมีชีวติ อื่น
8. เน้ือเยอื่ คอื กลุ่มของเซลลท์ ่ีมีรูปร่างเหมือนกนั ทาหนา้ ทีอ่ ยา่ งเดียวกนั
9. สิ่งมีชีวติ มีการลาเลียงสารตา่ ง ๆ โดยอาศยั การแพร่และการออสโมซิส
10. เซลล์ 1 เซลลก์ ็สามารถทาหนา้ ทไ่ี ดเ้ ท่ากบั สิ่งมีชีวติ หน่ึงชีวิตคอื สามารถดารงชีวติ อยไู่ ด้
11. เน้ือเยอื่ กลา้ มเน้ือประกอบไปดว้ ยเซลลท์ ม่ี ีลกั ษณะกลมสามารถหดและคลายตวั ได้
12. กลา้ มเน้ือลาย ทางานอยภู่ ายใตอ้ านาจจิตใจ เช่น หวั ใจ ปอด เป็นตน้