The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สาขาวิชาการประเมินผลและวิจัยทางการศึกษา
คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wichian Intarasompun, 2020-07-13 05:21:31

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้

สาขาวิชาการประเมินผลและวิจัยทางการศึกษา
คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

Keywords: การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้

การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

สาขาวชิ าการประเมนิ ผลและวิจยั ทางการศกึ ษา
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเด็จเจา้ พระยา

สาขาวิชาการประเมินผลและวิจัยทางการศึกษา
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏบา้ นสมเด็จเจ้าพระยา

การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
(กLาeรaวrnัดโiดnแยgละMปeรอรaงะsศuเมาreสนิ mตผรeาลnจกาtราaยรn์สเdภุรียรEณนva์รลlู้uิ้มaบtรiิบoรูnณ) ์
(กLาeรaวrnดั inแgละMปeผรaชู้ ะsว่ uยเมrศeานิ mสผตeลรnากtจาาaรnยเdร์ ดยี Eรนv.วaรเิ lชู้ uียaรtiอoินnท)รสมพันธ์
(Learnโiดnยg Meผรอaชู้ งsว่ ศuยาrศeสาmตสรตeารnจาาtจราaยรn์สยdภุ์เพรEชณvรa์ าลlวuิม้ ดaบี tรiจบิoงูรnปณ)ร์ะดับเกยี รติ
โดย อผรอาชู้ จง่วศายราศยสาท์ตสรวตาศี รจกัาาจดรา์ิ ยจร์สงยุภป์ ดรรณะ.ดว์ ลับิเชมิ้เียกบรียรรอบิ ตินูริ ณทร์ สมพนั ธ์
อผาชู้ จ่วายรศยา์ สดตรร. าสจภุ าารพยร์เพดศรชร.รวีหาเิ ชาวมดยี ีร จองนิ ปทรระสดมบั พเกนั ียธร์ ติ
อผาชู้ จว่ ายรศยา์ทสดวตรศี ร.เักาพจดญ็ าิ์ จรพงยรปเ์ พทรชะอดรงาับควาเดกสียุกรจตงปิ ระดบั เกียรติ
อาจารย์ทดวรศี .ักอสดัคภุ ์ิ ราจเพงดปรชรศะเกรดหีตบั าฉเมากียรติ
อาจารย์ ดร.เพสภุญ็ าพพรรทศอรงีหคาามสี ุก
ISBN : 978-61ออ6าา-จจ7าาส2รรงยย2ว์์6นดด-ลรร7..ิข0เพออส-คััคญ็ทิ5รรธพเเิ์ตดดราชชทมเเอพกกงตตรคะฉฉาราาสาุกชบัญญัติลิขสทิ ธิ์ (ฉบบั เพิมเติม) พ.ศ. 2558
ห้ามลอกเลยี นแบบ หรือคัดลอกสว่ นใดส่วนหนึงของหนงั สือเล่มนี้
สงวนลยิขกสเวิท้นธแิ์ตตาม่ไดพร้ รบั ะอรนาชญุ บาญัตเญปตัน็ ิลขิาสยทิลักธิ์ษ(ฉณบ์อบั กั เษพริมจเาตกมิ ผ)้เู พข.ยี ศน. 2558
สหงวา้ นมลขิอสกทิเลธยี ิ์ตนาแมบพบระหรราือชคบดัญลญอตักิลสิข่วสนทิใดธส์ิ (ว่ฉนบหบั นเพงึ ขมิ อเตงหมิ )นพงั ส.ศือ.เล2่ม5น58ี้
ห้ามลยอกกเวเล้นียแนตแไ่ ดบร้ บบั อหนรือุญคาดั ตลเปอ็นกสล่วายนลใดักสษ่วณน์อหักนษึงรขจอางกหผนู้เังขสียือนเลม่ นี้
พิมพ์ครงั้ ท่ี 7 ยกเวน้ แต่ได้รบั อนุญาตเป็นลายลกั ษณ์อักษรจากผเู้ ขยี น
มกราคม 2559
พิมพค์ครรั้งัง้ จททาี่ ี่น77วน 2ม,0ก0ร0าคเลม่ม2559 จำ�นวน 2,000 เล่ม
พมิ พค์ครรัง้ งั้ มททก่ี ่ี7ร8าคมสิง2ห55า9คม 25671 จำ�นวน 500 เลม่
หนังสือยมจมื ากเนราวียคนนม2ห,02ร05ือ05แ9เจลกม่ ฟรี (ห้ามจาหนา่ ย)
จานวน 2,000 เลม่
จหัดนพังสิมอื พย์โืมดเยรียน หรือแจกฟรี (ห้ามจาหนา่ ย)
หนงั สอื ยคมื ณเระียคนรุศหารสือตแรจ์ มกหฟารวี ทิ (ยหาา้ ลมยั จราาหชนภา่ฏั ยบ)า้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา
จดั พมิ พโ์1ด0ย61 ซอยอสิ รภาพ 15 ถนนอิสรภาพ แขวงหริ ญั รู จู ี เขตธนบุรี กรุงเทพฯ 10600
จัดพิมพโ์คดณยะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
1ค0ณ6ะ1คซรุศอายสอติสร์ภมาหพาว1ิท5ยถาลนยันรอาสิ ชรภภฏั าบพ้าแนขสวมงเหดิรจ็ ญัเจูร้าจู พี รเขะตยธานบุรี กรงุ เทพฯ 10600
พมิ พ์ที่ 1:061 ซอบยรอษิ สิ ัทรภสาหพธร1รม5ิกถจนานกอัดสิ รภาพ แขวงหิรญั รู ูจี เขตธนบรุ ี กรุงเทพฯ 10600
54/67-68 ซอย 12 ถนนจรลั สนิทวงศ์ แขวงวดั ทา่ พระ
พิมพ์ท่ี : เบขรติษบทั างสกหอธกรใรหมญิก่ กจรางุกเัดทพมหานคร 10600
พมิ พ์ที่ : T5บ4eร/lิษ.6ทั 07-ส26ห86ธร4ซร-อ0มย4กิ 31จ42า-5ก,ถดั 0น8น1จ-ร9ลั 2ส3น-8ิท8ว2ง5ศ์ Fแaขxว.ง0ว-ดั 2ท8า่6พ4-ร3ะ540
E5เข-4mต/บ6a7าilง-6ก:8อกซsใaหอhญยa่1dก2hรaุงเmถทนmพนมiจkหร@าลั gนสmคนรaิทiวl1.งc0ศo6์ m0แ0ขวงวดั ทา่ พระ
เTขeตl.บ0า-ง2ก8อ6ก4ใ-ห0ญ43่ ก4ร-5งุ เ,ท0พ8ม1ห-9า2น3ค-8ร8215060F0ax. 0-2864-3540
TE-eml.a0il-2:864s-a0h4a3d4h-5am, [email protected]. 0-2864-3540
E-mail : [email protected]

คานา

การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ เป็นหนังสือทีจัดทาขึ้นเพือให้ผู้เรียนในรายวิชาพ้ืนฐานของ
หลกั สตู รครุศาสตรบณั ฑิตของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ไดศ้ ึกษาเพมิ เตมิ จาก
การเรยี นในรายวิชาดงั กล่าว ซึงจะต้องศึกษาหลกั การวดั และประเมนิ ผล การสร้างเครอื งมือวัดผล ควบคไู่ ปกับ
การฝกึ ปฏบิ ตั สิ รา้ งเครืองมอื วดั และประเมินผลการเรียนรู้

สาขาวิชาการประเมินผลและวิจัยทางการศึกษาได้เรียบเรียงหนังสือน้ีข้ึนโดยมีวัตถุประสงค์เพือให้
นิสิตนักศึกษาเข้าใจกระบวนการวัดและการประเมินผลและสามารถสร้างเครืองมือวัดผลการศึกษาได้อย่าง
รวดเร็วและถกู ต้อง

ขอขอบคุณผู้เขียนทุกทา่ นในแต่ละส่วนของหนงั สือทีช่วยกันเขียนและเรียบเรียง รวมท้งั ตรวจทานทา
ใหห้ นงั สือเล่มน้ีใหม้ ีความสมบูรณ์ทสี ุด ประกอบด้วย รองศาสตราจารย์สภุ รณ์ ล้ิมบริบูรณ์ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์
เพชราวดี จงประดับเกยี รติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร อินทรสมพันธ์ อาจารย์ทวีศักดิ์ จงประดับเกียรติ
ดร. สุภาพร ศรีหามี ดร.เพญ็ พร ทองคาสกุ และอาจารย์ ดร. อัครเดช เกตฉา

หวังเป็นอย่างยิงว่าหนังสือ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เล่มน้ี เป็นประโยชน์นิสิตนักศึกษาให้
ไดร้ ับความรู้ ความเข้าใจ นาความรู้ทีได้รับไปใช้ให้เป็นประโยชน์ และประสบผลสาเร็จในการเรียนวิชาการวัด
และการประเมินผลการศึกษามากยงิ ข้ึน

สาขาวิชาการประเมนิ ผลและวจิ ยั ทางการศึกษา
คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบา้ นสมเด็จเจา้ พระยา



สารบัญ

หน้า

บทท่ี 1 ความรู้เบือ้ งต้นเกย่ี วกับการวัดผลประเมินผลการศึกษา ... ... ... ... ... ... ... ... ... 1
ความหมายของการทดสอบ การวัดผล การประเมินผล ... ... ... ... ... ... ... ... ... 1
ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... . ... 2
ความมงุ่ หมายของการวดั ผลการศึกษา ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 3
หลกั ของการวัดผลการศกึ ษา . ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 3
ประเภทของการวัดผลประเมนิ ผล ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 4
จรรยาบรรณของนักวัดผล ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... .. 6
มาตรการวดั ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... .. 7
การวัดพฤตกิ รรมทางการศกึ ษา ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... .. ... 7
การกาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนร.ู้ .. ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... .. ... 8
ประโยชนข์ องการวัดผลการศึกษา ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ..... 11

บทท่ี 2 เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวดั ผลการศึกษา . ... ... ... ... ... ... ... ... .. ... ... ... .... ... 13
การทดสอบ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... .. ... 13
แบบสอบถาม ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 14
แบบสารวจ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... .. 17
มาตราสว่ นประมาณค่า ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... .. 18
การสังเกต ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 20
การสมั ภาษณ์ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 22
การบนั ทึก ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 24
การศกึ ษารายกรณี ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 26
การใหส้ รา้ งจนิ ตนาการ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ..... 30

บทท่ี 3 แบบทดสอบ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 35
ความหมายของแบบทดสอบและการทดสอบ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 35
ประเภทของแบบทดสอบ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 35
การเขียนข้อสอบเพือวดั พฤตกิ รรมด้านพทุ ธพิ สิ ัย ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 38
การสรา้ งขอ้ สอบ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 44

บทที่ 4 คณุ ภาพของแบบทดสอบ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... .... ... 49
คุณลักษณะทดี ีของแบบทดสอบ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 49
การวเิ คราะหข์ อ้ สอบ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 51
ความเชอื มนั ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 60
ความเทยี งตรง ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 67

บทที่ 5 สถิตเิ บื้องตน้ สาหรบั การวดั และประเมินผลการเรียนร.ู้ . ... ... ... ... ... ... ... ... ... หนา้
การแจกแจงความถี ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 71
การวดั แนวโน้มเขา้ สสู่ ว่ นกลาง ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 71
การวดั การกระจาย ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 72
สหสัมพันธ์ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 76
เปอรเ์ ซน็ ต์ไทล์ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 79
คะแนนมาตรฐาน ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 82
84
บทท่ี 6 การประเมินผลการเรียนรตู้ ามสภาพจรงิ ... .. ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 89
แนวทางการสร้างเครืองมอื การประเมนิ ผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง.. ... ... ... ... ... 89
การประเมนิ ผลการเรยี นรตู้ ามสภาพจริงโดยใช้แฟม้ สะสมงาน (Portfolio) ... ... ... ... 96
หลากหลายเทคนิควธิ ีการประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 99
ตัวอย่างเครอื งมอื การประเมนิ ผลการเรียนร้ตู ามสภาพจรงิ ... ... ... ... ... ... ... ... ... 101
บรรณานกุ รม... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 106
109
ภาคผนวก ... .. ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... 110
เอกสารหลักฐานการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน 2551... ... ... 112
แบบฝึกหดั ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...

การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1

บทท่ี 1

ความรเู้ บือ้ งต้นเก่ียวกบั การวดั ผลประเมนิ ผลการศกึ ษา

ความหมายของการทดสอบ การวดั ผล และการประเมินผล

การทดสอบ (Testing)
การทดสอบ หมายถึง กระบวนการใชเ้ คร่ืองมือชนิดหนึ่งในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล เพอ่ื วดั พฤติกรรม
ของมนุษย์
การทดสอบ เป็นกระบวนการของการสังเกตพฤติกรรมของมนษุ ย์ และบรรยายผลออกมาเป็นตวั เลข
หรอื จานวน
การทดสอบ หมายถึง การใช้เคร่ืองมือต่าง ๆ หรือกระบวนการอันมีระบบที่ใช้ในการวัดพฤติกรรม
ของบุคคลตงั้ แตส่ องคน หรือมากกวา่ ขึน้ ไป
การทดสอบ หมายถึง การนาเอาชุดเครื่องมือวัดหรือส่ิงเร้าไปกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมให้
ตอบสนองออกมา แล้วกาหนดคณุ ลักษณะของพฤตกิ รรมท่แี สดงออกมาดังกล่าวด้วยตัวเลข (พิชิต ฤทธิ์จรูญ,
2554, น. 1)
จากความหมายดงั กล่าวอาจสรปุ ได้วา่ การทดสอบ หมายถงึ กระบวนการใชเ้ ครือ่ งมืออยา่ งเป็นระบบ
ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลเพอ่ื นาไปใช้ในการตรวจสอบพฤติกรรมของบคุ คล เช่น การตรวจสอบความสามารถ
ในการเรยี น
การวัดผล (Measurement)
การวัดผล หมายถึง กระบวนการหรือวิธีการใด ๆ ที่จะให้ได้มาซึ่งปริมาณ (ตัวเลข) จานวนหน่ึง
อันมีความหมายแทนขนาดของสมรรถภาพที่เป็นนามธรรมท่ีนักเรียนผู้นั้นมีอยู่ในตน (นงลักษณ์ วิรัชชัย,
2546, น. 1)
การวัดผล หมายถึง กระบวนการที่จะกาหนดตัวเลขให้กับส่ิงของบุคคล หรือเหตุการณ์อย่างมี
กฎเกณ ฑ์ หรือเป็ นการแป ลงคุณ ลักษ ณ ะใดคุณ ลักษ ณ ะหน่ึงจากสิ่งที่ วัดนั้น ให้เป็ นป ริมาณ
(ทวิ ตั ถ์ มณโี ชติ, 2549, น. 2)
สรปุ ได้ว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการในการกาหนดตวั เลขให้กับคณุ ลักษณะต่าง ๆ ของคน
สัตว์ ส่ิงของ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างมีกฎเกณฑ์ คือ จะต้องดาเนินการอย่างมีข้ันตอน เป็นระเบียบ
แบบแผน โดยมีเครอื่ งมอื ช่วยในการวัด ซ่งึ จะทาใหไ้ ดต้ วั เลขท่ใี ชแ้ ทนลกั ษณะของสง่ิ ที่เราต้องการ
การประเมินผล (Evaluation)
การประเมินผล เป็นการพิจารณาตัดสินช้ีขาดคุณค่าหรือคุณภาพของสิ่งหน่ึงสิ่งใดโดยใชเ้ กณฑ์หรือ
มาตรฐานท่กี าหนดไว้เปน็ หลัก (สมหวงั พิธิยานุวัฒน์, 2544, ออนไลน์)
การประเมินผลเป็นการนาเอาผลการวัดผลตา่ ง ๆ มาประมวลช้ขี าดในขั้นสรุป
การประเมนิ ผล หมายถงึ การนาเอาผลจากการวัดหลาย ๆ ครงั้ มาลงสรุปตรี าคา คุณภาพของ
ผ้เู รยี นอย่างมหี ลกั เกณฑ์ว่า สงู ต่า ดีเลว อย่างไร (เพชราวดี จงประดบั เกียรติ, 2555, ออนไลน)์

2 การวัดกแาลระวปัดรแะลเมะปนิ ผรละเกมานิรเผรลยี กนารู้รเรียนรู้ 2

สรุปได้วา่ การประเมนิ ผล หมายถึง กระบวนการที่ถดั จากการวดั คือ เมอ่ื วัดไดป้ รมิ าณแล้วก็นาเอา
ปรมิ าณเหลา่ นนั้ มาพิจารณาวนิ จิ ฉยั ตดั สนิ ใหค้ ณุ คา่ แลว้ สรปุ คณุ ภาพของสง่ิ นนั้ ๆ ว่าเปน็ อย่างไร เชน่ ดี
เลว สงู ตา่ ผ่าน ไมผ่ ่าน เปน็ ตน้

ธรรมชาตขิ องการวดั ผลทางการศึกษา

1. การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดในสิ่งท่ีเป็นนามธรรม ซ่ึงไม่สามารถวัดได้โดยตรง ต้องใช้
เครื่องมือหรือสิ่งเร้าให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมาก่อน จึงวัดพฤติกรรมน้ันและกาหนดคุณลักษณะ
พฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกดังกลา่ ว ด้วยตวั เลข เช่น การวัดความรู้ การวัดความถนดั การวัดความสนใจ ฯลฯ

2. การวดั ผลการศึกษามีหนว่ ยการวดั ไมค่ งที่หรือมีความแตกตา่ งกนั เพราะหน่วยการวัดจะเปลี่ยนไป
ตามเคร่อื งมอื ทใ่ี ชว้ ัด กฎเกณฑ์ในการกาหนดตวั เลขเพือ่ แทนปริมาณของส่ิงทต่ี ้องการวดั ยงั สามารถกาหนดได้
แน่นอนเหมือนกับเครื่องมือวัดทางด้านกายภาพ แต่ในการวดั ผลการศกึ ษาไดพ้ ยายามจัดหน่วยการวัดให้คงที่
เชน่ การทาคะแนนดบิ ให้เปน็ คะแนนที (t-score) หรือ คะแนนมาตรฐานต่าง ๆ

3. การวัดผลการศึกษามีความคลาดเคลื่อน (Error) การวัดผลและการประเมินทางการศึกษาก็
เช่นเดียวกันกับการวัดในด้านอื่น ๆ ย่อมต้องมีความคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อยความคลาดเคลื่อนอาจเกิดจาก
เครื่องมือท่ีใช้วัด วิธีการวัด ตัวผู้วัด ตลอดจนสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ดงั น้ันในการวัดผลการศึกษาจึงควรกระทา
อย่างระมัดระวัง เพือ่ ใหเ้ กดิ ความคลาดเคลื่อนน้อยทีส่ ุดเทา่ ท่จี ะทาได้

4. การวัดผลทางการศึกษาเปน็ การวดั ที่ไม่สมบูรณท์ ั้งหมด เพราะเราไม่สามารถวัดลักษณะต่าง ๆ ได้
ทั้งหมด เราสามารถวัดไดบ้ างส่วนของเน้ือหา หรือพฤตกิ รรมที่จะสุม่ ออกมาเปน็ ตวั แทนเท่านน้ั เช่น ตอ้ งการ
วดั ความรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกับคาศัพท์ ซ่ึงนักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วหลายพันคา เราไม่สามารถนาคาศัพท์ทุก
คามาสอบวัดได้ อาจถามได้ประมาณ 50 คา ทีค่ ดิ ว่าเป็นตัวแทนของคาศัพท์ทัง้ หมด

5. การวัดผลการศึกษาเป็นงานสัมพันธ์ เพราะผลที่ได้จากการวัดไม่มีความหมายในตัวเองจะมี
ความหมายกต็ อ่ เม่อื นาผลการวดั ไปสัมพนั ธ์กบั สิ่งอ่นื เชน่ คะแนนเฉลี่ยของกลมุ่ เกณฑท์ ต่ี ั้งไว้ลว่ งหน้า

ธรรมชาติทั้ง 5 ประการดังกล่าวข้างต้น อาจสรุปได้ว่า การวัดผลทางการศึกษาเผชิญกับปัญหา
และขอ้ ยุง่ ยากหลายประการ เช่นเดียวกับการวัดด้านอน่ื ๆ แต่ปญั หาและข้อยุ่งยากของการวดั ผลการศกึ ษาจะ
มีมากกว่า เพราะการวัดทางการศึกษาเป็นการวัดที่เกี่ยวกับบุคคลหรือมนุษย์ ซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
และยากแก่การควบคุม อย่างไรก็ตามเราถือว่าการวัดผลเป็นเคร่ืองมือ (Tools) หรือวิถีทาง (Means) ที่จะ
นาไปสู่เป้าหมาย (Ends) และมีส่วนที่จะช่วยให้ครู ผู้บริหาร ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ พัฒนางานศึกษา
ของเดก็ ให้ดีขึน้ (เพชราวดี จงประดบั เกยี รติ, 2555, ออนไลน์)

การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 3
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 3

ความม่งุ หมายของการวัดผลการศึกษา

ก่อนทาการวดั ผลการศกึ ษาทกุ ครัง้ ผ้ทู จี่ ะทาการวัดผลจะต้องตง้ั จุดประสงค์ ก่อนวา่ ตอ้ งการวัดผล
เพ่อื อะไร หรือทาการวัดผลไปทาไม โดยทั่วไปเราทาการวดั ผลเพอื่ จุดมงุ่ หมาย 5 ประการ ดังน้ี
(เพชราวดี จงประดบั เกียรติ, 2555, ออนไลน)์

1. เพ่ือจัดตาแหน่ง (Placement) เป็นการวัดผลเพ่ือให้ทราบว่า ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถอยู่
ในระดบั ใดของกลมุ่ มี 2 ลกั ษณะ คอื การคดั เลอื กและสอบเพอ่ื จาแนกผ้เู รียนตามกลมุ่ ความสามารถ

2. เพื่อเปรียบเทียบ (Assessment) เป็นการวดั เพ่ือเปรียบเทยี บความสามารถหลังจากท่ีนกั เรยี น
ได้เรียนรมู้ าแลว้ วา่ นกั เรียนแต่ละคน หรอื แตล่ ะกล่มุ มีการพัฒนาหรอื มคี วามงอกงามข้ึนมาจากเดมิ เทา่ ไร

3. เพื่อวินิจฉัย (Diagnostic) เป็นการวัดเพ่ือค้นหาสาเหตุของความบกพร่องในการเรียน เช่น
นักเรยี นเรยี นวิชานีอ้ อ่ นเพราะเหตใุ ด เพ่อื ครจู ะไดท้ าการแก้ไขปรับปรงุ หรอื จัดสอนซอ่ มเสริมใหต้ รงจุด

4. เพื่อพยากรณ์ (Prediction) เป็นการวัดเพ่ือการนาผลไปทานายเหตุการณ์ในอนาคตของ
ผู้เรียน เช่น เพื่อทานายว่านักเรียนจะเรียนสาขาวิชานี้ได้สาเร็จหรือไม่ นิยมใชใ้ นการสอบคัดเลือกเข้าเรียน
ตอ่ โดยใชแ้ บบทดสอบความถนัดเปน็ เครอ่ื งมือ

5. เพื่อประเมินผล (Evaluation) เปน็ การนาผลการวดั ไปใช้เพ่อื เปน็ ข้อมูลในการตดั สนิ ใจว่าสิ่งที่
ตอ้ งการวัดนน้ั มีคณุ ภาพเหมาะสมเพยี งใด เช่น การตดั สินผลการเรียนการประเมินผลหลกั สตู ร การสอน
การบรหิ ารงาน เปน็ ตน้ (เพชราวดี จงประดับเกยี รต,ิ 2555, ออนไลน)์

หลกั ของการวัดผลการศกึ ษา

1. กาหนดวัตถุประสงค์การวัดผลประเมินผลให้ชัดเจน เพ่ือจะได้ใช้วิธีการ และเลือกเคร่ืองมือให้
เหมาะสมกับการวัดแต่ละคร้งั

2. ทาการวดั ใหต้ รงกบั วัตถปุ ระสงค์ท่ีตง้ั ไว้ เพ่อื ใหไ้ ด้ผลการวัดตรงตามความตอ้ งการอยา่ งแทจ้ ริง
3. เลอื กเครอื่ งมือให้เหมาะกับวตั ถปุ ระสงค์และลักษณะของสงิ่ ท่ีตอ้ งการวัด
4. ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพ เพราะผลการวัดขึ้นอยู่กับคุณภาพของเคร่ืองมือ คือถ้าเครื่องมือมี
คุณภาพดีผลการวัดเชื่อถือได้ ถา้ เครอ่ื งมอื มคี ณุ ภาพไม่ดผี ลการวัดกค็ ลาดเคล่อื น
5. มีความยุติธรรมในการวัด ผลการวัดที่ดีจะต้องได้มาจากการวัดท่ีปราศจากความลาเอียงไม่มี
ความไดเ้ ปรียบเสยี เปรยี บระหว่าผถู้ ูกวัดด้วยกนั
6. แปลผลอย่างถกู ตอ้ ง โดยต้องทราบว่าคะแนน หรือผลการวดั อยใู่ นระดบั ใดจะทาใหม้ คี วามหมาย
โดยวิธีใด จะเปรียบเทียบกบั สิง่ ใด เชน่ เทียบกบั กลมุ่ หรอื เกณฑ์
7. นาผลการวดั ทไ่ี ด้มาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนค์ มุ้ ค่า

4 การวดักแารลวะัดปแระลเะมปินรผะลเกมานิ รผเรลยี กนารรู้ เรยี นรู้ 4

ประเภทของการวัดผลประเมินผล

ประเภทของการวัดผลประเมนิ ผล มรี ูปแบบทแ่ี ตกตา่ งกันขึ้นอยกู่ บั เกณฑ์ทใี่ ช้ในการจาแนกดังน้ี
1. จาแนกตามจุดประสงคก์ ารประเมิน แบง่ เป็น 3 ประเภท (ทิวตั ถ์ มณโี ชติ, 2549) ดงั นี้

1.1 การประเมินผลก่อนสอน (Pre-assessment or Pre-evaluation)
1.2 การประเมนิ ผลย่อย (Formative Evaluation)
1.3 การประเมนิ ผลรวม (Summative Evaluation )
2. จาแนกตามระบบการวัดผล แบ่งเปน็ 2 ประเภท ดังน้ี
2.1 การวดั ผลแบบองิ กลุม่ (Norm-referenced Measurement)
2.2 การวัดผลแบบองิ เกณฑ์ (Criterion-referenced Measurement)
1. จาแนกตามจุดประสงค์ของการประเมนิ
1.1 การประเมินผลกอ่ นสอน

การประเมินผลก่อนสอน เป็นการประเมินความรู้เดิมก่อนทาการสอน ซ่ึงจะมุ่งวัด
ความสามารถของนกั เรยี น (Student Performance) ในด้านต่าง ๆ ดังน้ี

1) ผเู้ รียนมคี วามสามารถทีจ่ าเปน็ สาหรับการเรยี นการสอนในขัน้ ต่อไปหรือไม่
2) ผู้เรียนมคี วามรู้พ้ืนฐานหรือส่ิงทีจ่ ะตอ้ งเรยี นรู้มาแลว้ มากนอ้ ยเพียงใด
3) กจิ กรรมการเรียนการสอนท่ีจะนามาเสนอใหน้ กั เรียนควรเป็นอยา่ งไร
ดังนนั้ ผลของการประเมินผลก่อนสอนจะชว่ ยใหส้ ามารถรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ต่อไปนี้
1) นักเรียนคนใดควรท่ีจะต้องกาหนดให้มีความรอบรู้ (Mastered) ทักษะจาเป็นขั้นต้น
ก่อนที่จะเร่มิ ทาการสอน
2) นักเรียนคนใดควรท่ีจะได้รบั การยกเวน้ ไม่ต้องเรยี นในบางจดุ ประสงค์ของการเรียน
3) นักเรยี นคนใดควรทจี่ ะต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเฉพาะกรณใี ห้
1.2 การประเมนิ ผลยอ่ ย
การประเมินผลย่อยเป็นการประเมินผลระหว่างการสอนในแต่ละรายวิชา โดยจะทาการ
ทดสอบหลังจากจบการเรียนแต่ละหน่วยการสอนแล้ว จุดประสงค์หลักของการประเมินผลย่อยก็คือ การวัด
ระดับความรอบรู้ (Mastered) และการค้นหาบางจุดที่นักเรียนไม่สามารถเรียนให้รอบรู้ได้ หรือเป็นการ
ประเมินว่านักเรียนได้เกิดการรอบรู้แล้วอย่างแท้จริงหรือไม่นั้นเอง หรืออีกประการหน่ึง ก็คือการประเมิน
ขอ้ บกพร่องในการสอนอันเป็นกระบวนการนาไปสู่การปรับปรุงการเรียนการสอน โดยอาศัยการวัดผลยอ่ ย ๆ
หลายคร้ังหลายวิธี ตามจุดประสงค์ในแต่ละบทเรียน ซึ่งเป็นข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ว่านักเรียนเกิด
ความรอบรหู้ รือสามารถผ่านหน่วยเรียนข้ันต้น พรอ้ มทจ่ี ะเรยี นในหน่วยต่อไปแลว้ หรอื ยัง

การกวาัดรวแัดลแะลปะรปะรเะมเนิมผนิ ลผกลการารเรเรยี ียนนรรู้ ู้ 55

1.3 การประเมนิ ผลรวม
การประเมินผลรวม เป็นการประเมินผลเรียนครั้งละหลาย ๆ หน่วยการสอนหรือสิ้นสุด

การเรยี นการสอนวิชาน้ันแลว้ เพ่ือเป็นขอ้ มูลสาหรับตัดสินความสามารถของผู้เรยี น หรือดูวา่ ผเู้ รียนเกิดความ
รอบรู้ในวิชาน้ันหรือไม่ การประเมินผลรวมในแต่ละวิชาจึงมักทาเพียง 2-3 ครั้งต่อวิชาเท่านั้นจุดประสงค์
หลักของการประเมนิ ผลรวมก็เพ่อื ท่จี ะ

1) ใหเ้ กรด
2) รบั รองทกั ษะและความสามารถ
3) พยากรณค์ วามสาเรจ็ ในรายวิชาที่ตอ่ เน่ืองต่อไป
4) เปน็ จุดเรมิ่ ต้นของการสอนในรายวิชาทีต่ อ่ เน่ืองตอ่ ไป
5) เป็นขอ้ มลู ยอ้ นกลับใหน้ ักเรยี น
6) เปรียบเทียบผลลพั ธ์บางประการของนกั เรียนแตล่ ะกลุม่
2. จาแนกตามระบบการวัดผล
2.1 การวดั ผลแบบองิ กลุ่ม
การวัดผลแบบอิงกลุ่ม เป็นการวัดเพื่อทราบผลการเรียนของบุคคลเม่ือเทียบกลับคนอื่น
หรือตรวจสอบความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรยี นว่า เก่ง-อ่อน ดี-เลว เพียงใด เมื่อเทียบกลับคนส่วน
ใหญ่ การวัดในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการวัดที่มีเป้าหมายในการแบ่งระดับความสามารถของผู้เรียน
ออกเป็นกลุ่ม โดยใช้ความสามารถทั่วไปของกลุ่มเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ท้ังนี้ยึดความคิดที่ว่า บุคคลใด
เก่ง-อ่อน ดี-เลว เพียงใดน้ัน ย่อมเก่งอ่อนดีเลวกวา่ คน ท่ัว ๆ ไป ดังน้ัน การพิจารณาตัดสินผลการเรียน
จึงใช้สภาพหรอื ลกั ษณะของกลุ่มเปน็ เกณฑ์พิจารณา
คาวา่ “กลุ่ม (Norm)” ในทน่ี ี้กค็ อื ค่าท่ีใชแ้ ทนสภาพหรอื ลักษณะโดยสว่ นรวมทาหน้าทเ่ี ป็นตัวแทน
ลักษณะของผูเ้ รียนท้ังหมด เช่น คา่ เฉล่ีย คา่ มัธยฐาน เปน็ ต้น ดังนั้นการวัดผลแบบอิงกลุ่มจงึ ใช้วธิ ีเปรียบเทียบ
ความสามารถของบุคคลกับค่าตัวแทนของกลุ่ม แล้วสรุปผลการเปรียบเทียบเหล่าน้ันให้อยู่ในลักษณะ
ความสัมพันธ์กับกลุ่ม หรือเป็นอับดับความสามารถ เช่น แดงเก่งกว่าเพ่ือนในกลุ่มอยู่ร้อยละ 80 หรือแดง
สอบได้ที่ 1 ในห้อง ก. (เยาวดี วิบูลยศ์ รี, 2540, น. 30-32)
2.2 การวัดผลแบบองิ เกณฑ์
การวัดผลแบบอิงเกณฑ์ เป็นการตรวจสอบความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียนว่ามีพฤติกรรม
หรือคณุ ลกั ษณะต่าง ๆ ถึงระดับของเป้าหมายทตี่ ้องหรอื ไม่ หรอื เปน็ ไปตามความคาดหวงั ซ่ึงกาหนดไว้เป็น
เกณฑ์มากน้อยเพียงใด ถ้าผู้เรียนมีพฤติกรรมความสามารถถึงเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมาย
และเป็นผ้ทู ่ีรอบรแู้ ล้ว (Mastered) ถ้าความสามารถตา่ กวา่ เกณฑ์ทตี่ ้องการ ก็ถือว่ายงั ไม่ผา่ น หรอื ไม่เป็นไป
ตามคาดหวัง ตอ้ งใช้เวลาสาหรบั แกไ้ ขปรับปรุงหรอื ซอ่ มเสริม การวดั แบบอิงเกณฑ์ จึงเปน็ การเปรยี บเทยี บ
ระหวา่ งความสามารถของผู้เรยี นกบั เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้

6 การวดักแาลรวะัดปแระลเะมปนิ รผะลเกมาินรผเรลยี กนารรู้ เรยี นรู้ 6

คาว่า “เกณฑ์ (Criterion)” ในทีน่ ้ี ก็คือคณุ ลกั ษณะทคี่ าดหวังจะให้เกดิ กบั ผู้เรยี น หลังจากเสร็จการ
เรียนการสอนแลว้ เพอ่ื ใชเ้ ป็นมาตรฐานข้ันต่าสุด สาหรับการยอมรบั คุณภาพของผู้เรียน และใช้เป็นเคร่อื ง
ตัดสินว่าผู้เรียนผ่านหรือบรรลุเป้าหมายของการเรียนการสอนหรือไม่ การกาหนดเกณฑ์จึงต้องกาหนดเป็น
เกณฑ์ข้นั ต่าทร่ี ะบุพฤติกรรมท่ีสาคัญและมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน เกณฑ์ที่กาหนดจะสูงต่ามากน้อย
เพยี งใด ผู้กาหนดต้องคานงึ ความเหมาะสมหลาย ๆ ดา้ นประกอบกนั เช่น พ้ืนความสามารถของนักเรียน
ประสิทธิภาพของการสอน เป็นต้น เกณฑ์ที่กาหนดมีได้หลายลักษณะ ทั้งในรูปเวลา ปริมาณคุณภาพ
ในการปฏิบัติ เชน่ มุ่งหวังให้ผู้เรียนปฏบิ ัติส่งิ หน่ึงสิ่งใดได้ภายในเวลา 10 นาที ได้ 80% หรือกระทาได้
อย่างถกู ตอ้ งถกู สัดส่วนที่ต้องการ เป็นต้น การสรปุ ผลการสอบแบบองิ เกณฑ์ จึงเสนอในรปู การเปรียบเทยี บ
ระหว่างความสามารถของบุคคลกับเกณฑ์ทก่ี าหนดไว้ เช่น แดงไม่ผ่านเร่ืองเศษส่วน ดาผ่านจดุ ประสงคไ์ ป
แลว้ 80 ข้อ ยังเหลือ 20 ขอ้ (สมุ าลี จนั ทร์ชลอ, 2542, น. 153)

จรรยาบรรณของนักวดั ผล

ในการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ครผู ู้สอนในฐานะท่ีเป็นนักวัดผลจะต้องยึดจรรยาบรรณของนัก
วัดผลไว้อยา่ งเครง่ ครัด ได้แก่

1. มีความซ่ือสัตย์สุจริต คือมีใจบริสุทธ์ิต่องานวัดผลการศึกษา ไม่คดโกง ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง
รางวัลเช่น ไมน่ าข้อสอบ หรอื คัดลอกขอ้ สอบออกจากห้องสอบ เปน็ ต้น

2. มีความยุติธรรม คือให้ความยุติธรรมแก่ผู้เข้ารับการวัดผลทุกคน เช่น ตรวจให้คะแนนโดยไม่
ลาเอียง ไมใ่ ช้อารมณ์ในการตรวจข้อสอบ เปน็ ตน้

3. มคี วามขยันและอดทน งานวดั ผลการศกึ ษาตอ้ งทาอย่างสมา่ เสมอตลอดเวลา ดังนั้นจะต้องมีความ
อดทน ขยนั มีความมุมานะ ไม่เฉ่ือยชา

4. มีความละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบ งานด้านการวัดผลการศึกษานั้น จะต้องละเอียด ถ่ีถ้วนและ
รอบคอบ เพราะถ้าเกิดความผดิ พลาดก็มกั เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น การทาข้อสอบ การบรรจุซอง การ
กรอกคะแนน เปน็ ตน้

5. มีความรับผิดชอบสูง นักวัดผลการศึกษานั้นจะต้องสามารถเก็บความลับได้ดี ผู้ออก ข้อสอบ
จะตอ้ งทาอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพและไม่ทาใหข้ ้อสอบรวั่ ไหล ไมเ่ ผอเรอ ต้องทางานทรี่ บั มอบหมายให้สาเรจ็ ลุล่วง

6. ตรงต่อเวลา นักวัดผลจะต้องเป็นคนท่ีตรงต่อเวลา เช่น การนัดส่งข้อสอบ นัดวันสอบ นักเรียน
การสง่ ผลการสอบทันตามกาหนด เปน็ ตน้

7. สนใจในเทคนิคการวัดผลอย่างสม่าเสมอ เมื่อมีงานด้านการวัดผล นักวัดผลจะต้องพยายามวัดผล
อย่างเหมาะสมในเชิงวชิ าการ ใช้ความรคู้ วามสามารถอย่างเตม็ ที่

การกวาดัรวแดั ลแะลปะรปะรเะมเินมผนิ ลผกลการารเรเรยี ยีนนรรู้ ู้ 77

มาตรการวดั (Measurement Scales)

มาตรการวัด ในการวัดผล เป็นระดับของข้อมูลที่ได้จากการวัดผล โดยการกาหนดตัวเลขเพ่ือแทน
คุณลักษณะหรือ ปริมาณของสิ่งที่ต้องการวัด มีมาตรการวัดสามารถแบ่งได้เป็น 4 ระดับ (ชูศรี วงศ์รัตนะ,
2541, น. 6) ดงั นี้

1. มาตรนามบัญญัติ (Nominal Scale) เป็นระดับการวัดในระดับต่าสุด ซึ่งตัวเลขที่กาหนดขึ้นใช้
แทนส่ิงที่ต้องการวัด ในมาตรน้ีเป็นเพียงการกาหนดขึ้นเพื่อใช้เรียกช่ือ (Name) หรือเป็นการจัดประเภท
(Categories) เพ่ือแสดงความแตกต่างกันเท่าน้ัน และตัวเลขเหล่าน้ีไม่มีความหมายใดๆ ในทางคณิตศาสตร์
เช่น รถเมล์สาย 40 ห้องเรียน 3011 1 แทน เพศชาย 2 แทน เพศหญิง หมายเลขเส้ือของนักกีฬา
หมายเลขโทรศัพท์ ภูมิลาเนา เช้ือชาติ อาชีพ ฯลฯ ตัวเลขในมาตรนี้จะนามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ บอกได้แต่
เพยี งว่าสงิ่ นนั้ คืออะไร จดั อยูใ่ นประเภทใด

2. มาตรเรียงอันดับ (Ordinal Scale) เป็นการกาหนดตัวเลขให้เข้ากับลักษณะข้อมูลตามความมาก
น้อย เช่น อันดับที่ของผลการเรียน การประกวดเรียงความ การประกวดพาน การประกวดนางงาม ฯลฯ
ตัวเลขในมาตรนจี้ ะบอกความหมายในลักษณะมากน้อยลดหลั่นกันตามลาดบั

3. มาตรอันตรภาค (Interval Scale) เป็นการกาหนดตัวเลขให้เข้ากับส่ิงท่ีต้องการวัดเพ่ือแทน
ปริมาณของส่ิงน้ัน โดยช่วงห่างของแต่ละหน่วยมีค่าเท่ากัน ตัวเลขเหล่าน้ีสามารถนามาบวก ลบ คูณและหาร
กันได้ แต่ไม่มีศูนย์ที่แท้จริง มีเพียงศูนย์สมมติ ดังน้ันจึงมีค่าเป็น บวก หรือ ลบ ก็ได้ เช่น การวัดอุณหภูมิ
คะแนนสอบวัดความรู้ คะแนนจากแบบสอบถาม พลงั งาน เปน็ ต้น

4. มาตรอัตราส่วน (Ratio Scale) เป็นการกาหนดตัวเลขให้เข้ากับสิ่งที่ต้องการวัดเพ่ือแทนปริมาณ
ของส่ิงนั้น โดยช่วงห่างของแต่ละหน่วยมีค่าเท่ากัน และค่า 0 จะเป็นศูนย์ที่แท้จริง (Absolute Zero) ตัวเลข
เหล่านี้สามารถนามาบวกลบคูณหารกนั ได้ เช่น การวดั น้าหนกั ส่วนสูง ความยาว พ้นื ท่ี ความเรว็ ฯลฯ

การวดั พฤตกิ รรมทางการศกึ ษา

จุดมุ่งหมายทางการศึกษาทุกวิชา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรม 3 ด้าน (ศิริชัย กาญจนวาสี,
2548) คือ

1. ดา้ นพทุ ธพิ สิ ยั (Cognitive Domain) เปน็ พฤติกรรมทางสมองของบคุ คลมี 6 ขน้ั คือ
1.1 ความรู้ความจา
1.2 ความเข้าใจ
1.3 การนาไปใช้
1.4 การวิเคราะห์
1.5 การสงั เคราะห์
1.6 การประเมนิ ค่า

8 การวัดกแาลระวปัดรแะลเมะปนิ ผรละเกมาินรเผรลียกนารู้รเรียนรู้ 8

2. ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมทางด้านจิตใจ ความรู้สึกของบุคคล มี 5 ข้ัน
คือ

2.1 การรับรู้
2.2 การตอบสนอง
2.3 การสร้างคณุ คา่
2.4 การจัดระบบคุณคา่
2.5 การสร้างลกั ษณะนิสัย
3. ดา้ นทกั ษะพสิ ัย (Psychomotor Domain) เป็นพฤติกรรมด้านทักษะในการปฏิบัติกิจกรรม มี 7
ขัน้ คอื
3.1 การรับรู้
3.2 การเตรยี มพร้อมปฏบิ ตั ิ
3.3 การตอบสนองตามแนวทางทกี่ าหนดให้
3.4 ความสามารถด้านกลไก
3.5 การตอบสนองท่ีซบั ซอ้ น
3.6 การดัดแปลงใหเ้ หมาะสม
3.7 การรเิ ริม่
ในการเรียนการสอนทุกวิชา ครูผู้สอนจึงควรสอนให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิ
พิสยั ด้านจิตพสิ ัย และดา้ นทกั ษะพิสยั สว่ นจะเน้นด้านใดมากหรอื น้อย ขึน้ อยกู่ ับจดุ มุง่ หมายของแตล่ ะวชิ า
และการวดั ผลประเมินผลก็จะต้องวดั พฤติกรรมท้งั 3 ดา้ นให้สอดคล้องกับจุดม่งุ หมายของแต่ละวิชาเชน่ กัน

การกาหนดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้จะต้องกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning objectives) ซึ่ง
เป็นการกาหนดเป้าหมายหรือความคาดหวังท่ีต้องการให้ผู้เรียนมีหรือบรรลุซึ่งประกอบด้วยกัน 3 ด้าน ได้แก่
ด้านความรู้ ทักษะและเจตคติ ท้งั น้ีจดุ ประสงค์การเรียนรู้สามารถวิเคราะหแ์ ละพัฒนาจากหลักสูตรการศกึ ษา
ซึ่งต้องพิจารณาความเชื่อมโยงของหลักสูตรในหลายระดับ เช่น จุดหมายของหลักสูตร จุดประสงค์ของ
สาขาวิชา มาตรฐานวิชาชพี ของสาขาวิชาและสาขางานจนถึงระดับรายวิชา คอื จุดประสงคร์ ายวชิ า มาตรฐาน
รายวิชาและคาอธิบายรายวิชา ท่ีต้องการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ระดับหลักสูตร ในการ
กาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนรู้โดยทัว่ ไปจะแบ่งเป็น 2 ระดบั คือ 1.จดุ ประสงค์ทว่ั ไป หรอื จุดประสงค์ปลายทาง
และ 2.จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมหรือจุดประสงค์นาทาง หรือจุดประสงคเ์ ฉพาะโดยแต่ละระดับมีรายละเอียด
ดังตอ่ ไปนี้ (พนติ เขม็ ทอง, 2541)

การกวาัดรแวดัลแะลปะรปะรเมะเนิ มผนิ ลผกลากราเรรเยีรนียนรู้รู้ 99

1. จดุ ประสงค์ทว่ั ไป (General Objectives)
จุดประสงค์ท่ัวไปหรือจุดประสงค์ปลายทาง คือ จุดประสงค์ที่เป็นเป้าหมายสาคัญที่มุ่งหวังให้เกิด
ขึน้ กับผู้เรียนในการเรียนรู้แต่ละเร่ืองหรือแต่ละหน่วยการเรียนรู้ทั้งน้ีลักษณะของจุดประสงค์ท่ัวไปที่สาคัญ มี
ดังตอ่ ไปนี้

1.1 ตอบสนองพฤติกรรมสาคัญของจุดหมายหลักสูตร จุดประสงค์สาขาวิชา มาตรฐานวิชาชีพ
สาขาวชิ า/สาขางาน จดุ ประสงค์รายวชิ าและมาตรฐานรายวชิ า

1.2 สะท้อนคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ที่เป็นผลจากการเรียนรู้ โดยครอบคลุมท้ังด้านความรู้
ความคิดความสามารถในการปฏบิ ัติ เจตคติและกิจนิสัยท่พี ึงประสงค์

1.3 การเขียนจุดประสงค์ท่วั ไป จะใช้คากิรยิ ากวา้ ง ๆ โดยเขียนเป็นข้อ ๆ แตน่ ้อยขอ้ ครอบคลุม
สิ่งท่ีต้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรียนตามคาอธิบายรายวิชา เช่น เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ ตระหนัก เห็นคุณค่า
สามารถ เปน็ ต้น

ตัวอย่างการเขยี นจดุ ประสงคท์ ว่ั ไป
1. ผเู้ รยี นสามารถประดษิ ฐ์เคร่ืองแขวนจากเปลอื กหอยได้
2. ผเู้ รียนคานวณปรมิ าตรดนิ ถมได้
3. ผเู้ รียนเขียนสมการการสมดลุ ได้

2. จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม (Behaviors Objective)
จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม หรอื จดุ ประสงค์นาทาง หรือจุดประสงค์เฉพาะ คือ จุดประสงค์ท่ีวเิ คราะห์
ออกมาจากจุดประสงคท์ ่ัวไป โดยกาหนดพฤติกรรมสาคัญท่ีคาดหวังให้เกิดกบั ผเู้ รียนในการเรียนรู้แต่ละหน่วย
การเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมีองคป์ ระกอบทสี่ าคัญ 3 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ พฤติกรรมท่คี าดหวัง
สถานการณห์ รอื เง่อื นไข และมาตรฐานหรือเกณฑ์ โดยแต่ละองคป์ ระกอบมรี ายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปน้ี

2.1 พฤติกรรมทค่ี าดหวัง โดยแต่ละวัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้จะตอ้ งระบพุ ฤตกิ รรมทค่ี าดหวงั เพียง
1 พฤติกรรมและควรพิจารณาเลือกคากริยาท่ีแสดงพฤติกรรมที่คาดหวังให้ถูกตอ้ งตามระดับขนั้ ของการเรียนรู้
ท่ีเกิดข้ึนกับผู้เรียน ซ่ึงพฤติกรรมการเรียนรูดังกล่าวน้ัน ต้องสามารถวัดได้และสังเกตได้ เช่น อ่าน เล่าเร่ือง
อธิบาย บอก ช้ี หยบิ เลอื ก ตอบ สรปุ ทา เขียน ฟงั ปฏบิ ัติ จับใจความ ฯลฯ

2.2 สถานการณ์/เง่ือนไข การกาหนดเงื่อนไขหรือสถานการณ์น้ันจะเป็นปัจจัยท่ีช่วยกาหนด
ขอบเขตของเนื้อหาในการจัดการเรียนการสอน ซ่ึงสถานการณ์หรือเงือนไขดังกล่าวน้ันจะมีส่วนช่วยทาให้
นักเรียนแสดงพฤติกรรมได้สอดคล้องกับสภาพการเรียนรู้ หรือเป็นเงื่อนไขท่ีทาให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรม
ออกมา เช่น เมอื่ กาหนดข้อความให้ เมือ่ ฟังโฆษณาแล้ว หลังจากฟงั เพอ่ื นเลา่ นิทานแลว้ อ่านในใจจากบทเรียน
แลว้

10 การวดั กแาลระวปดั รแะลเมะินปผรละกเมารินเผรยีลนกราู้รเรยี นรู้ 10

2.3 มาตรฐานหรือเกณฑ์ หมายถึงระดับความสามารถที่ผู้เรียนแสดงออกมาในระดับต่าสุดท่ี
สามารถยอมรับได้ว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเนื้อหาอย่างแท้จริง ซึ่งมาตรฐานหรือเกณฑ์ดังกล่าวน้ันเป็น
องค์ประกอบที่สาคัญในการช่วยตัดสินการเรียนรู้ของบทเรยี นว่าผ่านหรือไม่ผ่านจุดประสงค์ เชน่ ทาไดทุกข้อ
อ่านได้ถกู ตอ้ ง เขยี นคาใหไ้ ด้ 8 ใน 10 คา บรรยายภาพได้ เพราะฉะนั้นในการเขียนวัตถุประสงค์เชิง
พฤตกิ รรม จงึ ตอ้ งมกี ารกาหนดองคป์ ระกอบให้ครบถว้ น จงึ สามารถประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องนักเรยี นไดอ้ ย่าง
มีประสิทธภิ าพ

ตัวอยา่ งจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมทป่ี ระกอบด้วยส่วนประกอบครบทั้ง 3 สว่ น
1. เมื่อกาหนดคามาให้ 10 คานกั เรยี นสามารถอ่านออกเสียงได้ถูกต้องอยา่ งน้อย 8 คา
2. เม่อื กาหนดสมการท่ีมตี วั แปร 2 ตัว มาให้ 5 สมการนกั เรยี นสามารถแก้สมการได้ถกู ตอ้ ง

อยา่ งน้อย 4 สมการ
3. กาหนดระยะทาง 800 เมตรนักศึกษาสามารถว่งิ ได้ภายใน 2 นาที
4. กาหนดภาพมาให้ 1 ภาพนักเรียนสามารถแตง่ ประโยคให้สอดคลอ้ งกับภาพได้อยา่ งน้อย

3 ประโยค

พฤติกรรมท่ีคาดหวงั สถานการณ/์ เงอื่ นไข มาตรฐานหรอื เกณฑ์
สามารถอ่านออกเสียงได้ กาหนดคามาให้ 10 คา ถกู ตอ้ งอยา่ งน้อย 8 คา
สามารถแก้สมการได้ กาหนดสมการทม่ี ตี วั แปร 2 ตัว ถกู ต้องอยา่ งน้อย 4 สมการ
มาให้ 5 สมการ ภายใน 2 นาที
สามารถว่ิงได้ กาหนดระยะทาง 800 เมตร อยา่ งนอ้ ย 3 ประโยค
ส า ม า ร ถ แ ต่ ง ป ร ะ โ ย ค ใ ห้ กาหนดภาพมาให้ 1 ภาพ
สอดคลอ้ งกบั ภาพได้

ลกั ษณะของการเขียนวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมควรมีหลักการดังตอ่ ไปน้ี
1. มคี วามสอดคล้องกบั จุดประสงค์ทั่วไปโดยแตกยอ่ ยออกมาจากจุดประสงคท์ ั่วไป และแสดงถึง

รายการพฤตกิ รรมคาดหวังที่จะทาให้การเรยี นร้บู รรลตุ ามทีก่ าหนดไวใ้ นจุดประสงคท์ ัว่ ไป
2. แสดงถึงการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมของผู้เรยี นหลังจบการเรียนรู้ในเร่ืองหรือหนว่ ยการเรียนร้นู ัน้ ๆ
3. ควรเขียนให้ครอบคลุมท้ังด้านพุทธิพิสัย ทักษะพิสัยและจิตพิสัย แต่การเขียนจุดประสงค์เชิง

พฤตกิ รรมด้านจิตพิสัยนั้นอาจทาได้ยากเพราะผู้สอนไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง ในกรณีนี้ถ้าไม่สามารถเขียน
เป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม อาจเขียนเป็นจุดประสงค์เฉพาะ เช่น ใช้คาว่า บอกคุณค่า บอกประโยชน์เพื่อ
สะทอ้ นให้เหน็ พฤติกรรมของผ้เู รยี นวา่ มคี วามตระหนักหรือเหน็ ถึงคณุ คา่ ของส่งิ นั้น ๆ

การกวาัดรวแัดลแะลปะรปะรเะมเนิ มผินลผกลากราเรรเียรียนนรรู้ ู้ 1111

4. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมต้องมีลักษณะชัดเจน รัดกุม ไม่คลุมเครือ เพื่อให้สามารถเข้าใจได้
ตรงกัน และสามารถสังเกตได้หรือวัดได้จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สมบูรณ์จะประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ
พฤติกรรมทีค่ าดหวัง สถานการณ/์ เงื่อนไข และมาตรฐานหรอื เกณฑ์ โดยมรี ายละเอยี ดในแตล่ ะองค์ประกอบ

ตัวอย่างการเขยี นจุดประสงคท์ ว่ั ไปและจุดประสงคก์ ารเรยี นรเู้ ชงิ พฤติกรรม
จดุ ประสงคท์ ว่ั ไป จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
ดา้ นพุทธพิ ิสัย
1. เพือ่ ใหม้ คี วามรู้เกย่ี วกบั ฟันและการรกั ษาความ 1.1 บอกความหมายของคาวา่ “ฟนั ” ได้อยา่ ง
สะอาดของฟนั ถูกต้อง
1.2 ระบปุ ัญหาทีเ่ กิดขน้ึ จากการไมด่ แู ลรักษาความ
สะอาดของฟนั ได้อย่างนอ้ ย 3 เร่อื ง
1.3 อธิบายวธิ กี ารแปรงฟันท่ถี ูกวธิ ไี ด้ทุก
กระบวนการ
ดา้ นทกั ษะพสิ ัย
2. เพื่อใหส้ ามารถแปรงฟันได้ถูกวิธี 2.1 สาธติ การแปรงฟนั ที่ถกู วิธีกับหนุ่ จาลองได้
ถูกต้องทุกกระบวนการ
2.2 เมอ่ื กาหนดให้ทาความสะอาดฟนั นกั เรยี น
สามารถแปรงฟนั ของตนเองอย่างถูกต้องทกุ
ขั้นตอน

ด้านจิตพิสยั 3.1 แปรงฟนั ทุกครง้ั หลงั จากรับประทาน
3. เพอื่ ใหต้ ระหนักในการความสาคัญของการรักษา อาหาร
ความสะอาดของฟนั
3.2 บอกคณุ คา่ ความสาคัญของการแปรงฟันทถี่ ูกวธิ ี
ได้

ประโยชนข์ องการวดั ผลการศึกษา

การวัดและการประเมินผลทางการศึกษานั้น เป็นบทบาทที่สาคัญของโรงเรียนที่จะต้องกระทาเพ่ือ
ชว่ ยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและบรรลุประสิทธิผล ประโยชนท์ ่ีพึงได้จากการวัดและการประเมิน
ทางการศกึ ษาอาจจาแนกไดด้ งั น้ี (อนนั ต์ ศรโี สภา, 2522, น. 1-2)

12 การวดั กแาลระวปดั รแะลเมะนิปผรละกเมารนิ เผรียลนกราู้รเรียนรู้ 12
1. ประโยชน์ตอ่ ครู
1.1 ชว่ ยใหค้ รทู ราบถึงผลการเรยี นของเด็ก
1.2 ชว่ ยใหค้ รทู ราบว่าเด็กคนใดเก่ง–อ่อนด้านใด
1.3 ชว่ ยให้ครทู ราบถงึ อัตราพัฒนาการของเดก็
1.4 ช่วยให้ครูสามารถกาหนดและปรบั ปรงุ จุดมุ่งหมายในการเรียนการสอน
1.5 ชว่ ยใหค้ รูทราบถึงขอ้ บกพร่องในการสอนของตนจะไดห้ าทางแกไ้ ขปรับปรุงใหเ้ หมาะสมและ

มีประสทิ ธิภาพยง่ิ ขน้ึ
1.6 ช่วยใหค้ รูรู้จกั เดก็ แต่ละคนไดด้ ยี ่ิงขึน้ เชน่ รวู้ ่าเด็กสนใจต้องการอะไร แต่ละคนเป็นอยา่ งไร

เป็นต้น
2. ประโยชน์ตอ่ นักเรยี น
2.1 ช่วยใหน้ ักเรยี นทราบถึงระดบั ความรู้ความสามารถของตนเอง
2.2 ชว่ ยกระตุ้นให้นกั เรยี นสนใจต่อการเรียนยง่ิ ขน้ึ
2.3 ช่วยสร้างนิสัยในการเรียนให้ดียิ่งขึ้น เช่น ฝึกความขยนั ขนั แขง็ ความพรอ้ ม การเตรียมตัวใน

การสอน ฯลฯ
2.4 ช่วยให้นักเรียนทราบและเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายในการเรยี น ตลอดจนความตอ้ งการของครูได้

ถกู ตอ้ ง
3. ประโยชนต์ ่อการแนะแนว
3.1 ชว่ ยให้ผู้แนะแนวทราบถึงความสามารถของนกั เรยี น
3.2 ชว่ ยใหผ้ ู้แนะแนวสามารถนาเอาขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการวดั ผลไปใชใ้ นการแนะแนวไดถ้ กู ตอ้ ง เช่น

การแนะแนวทางการศกึ ษาต่อ การอาชีพ ปญั หาส่วนตัวของเดก็ นักเรียน เป็นตน้
4. ประโยชน์ตอ่ การบริหาร
การวัดและการประเมินทางการศึกษา หากได้กระทาอยู่สม่าเสมอจะช่วยให้ผู้บริหารวางแผนการ

บรหิ ารงานไดร้ ัดกมุ ขน้ึ ตลอดจนชว่ ยใหผ้ ูบ้ รหิ ารทราบถึงข้อบกพร่องเกี่ยวกับการเรยี นการสอน จะได้หาทาง
ปรับปรุงแก้ไขได้ทันท่วงที นอกจากน้ีผู้บริหารยังจาเป็นต้องใช้การวัด และการประเมินกิจการบริหาร เช่น
การคัดเลอื กบุคคลเขา้ ทางานในตาแหนง่ ต่าง ๆ การจัดแบง่ ช้ันเรยี น เปน็ ต้น

5. ประโยชน์ตอ่ การวิจัย
การวัดผลการเรียนรู้นับเป็นกระบวนการและเคร่ืองมือท่ีสาคัญของการวิจัย ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จาก
การวัดท่ีถูกต้องเที่ยงตรง และเชื่อม่ันได้ ย่อมอานวยประโยชน์โดยตรงต่อการวิจัย และผลของการวิจัยย่อม
สามารถนาไปแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น ในด้านการบริหาร นโยบาย หลักสูตร เนื้อหาวิชา วิธี
สอน ฯลฯ

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 13

บทที่ 2

เครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการวดั ผลการศึกษา

การวัดผลการศึกษา มีเครื่องมือหรือกลวิธีหลายอย่าง แต่ละอย่างก็มีความเหมาะสมกับ การวัดท่ี
แตกต่างกนั ไป ผูใ้ ช้จะต้องเลอื กใช้ให้เหมาะสม เคร่ืองมือหรอื กลวิธดี งั กล่าวมดี ังต่อไปน้ี

1. การทดสอบ (Testing)
2. แบบสอบถาม (Questionnaires)
3. แบบสารวจ (Checklists)
4. มาตรประมาณค่า (Rating Scale)
5. การสังเกต (Observation)
6. การสมั ภาษณ์ (Interview)
7. การบนั ทึก (Records)
8. สงั คมมิติ (Sociometry)
9. การศึกษารายกรณี (Case Study)
10. การให้สร้างจินตนาการ (Projective Technique)

1. การทดสอบ (Testing)

การทดสอบเป็นการนากระบวนการในการนาเครื่องมือวัดหรือแบบทดสอบ (Test) ไปใช้
การทดสอบมีความสาคญั มากในการวดั ผลทางการศึกษา เคร่ืองมอื วดั ท่ใี ช้กันมากได้แก่ แบบทดสอบ (Test)

แบบทดสอบ หมายถึง กลุ่มของคาถาม หรืองานท่ีให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมออกมาเพื่อจะจัด
คุณลกั ษณะบางประการของนักเรียน

แบบทดสอบ หมายถึง คาถามหรือกลุ่มงานใด ๆ ท่ีสร้างข้ึนเพื่อชักนาให้ผู้สอบแสดงพฤติกรรมหรือ
ปฏิบัตกิ ริ ยิ าโตต้ อบอย่างใดอย่างหนง่ึ ท่สี ามารถสังเกตไดห้ รอื วัดได้

ส่วนประกอบของแบบทดสอบ
แบบทดสอบท้ังหลาย โดยทั่วไปจะประกอบดว้ ย 2 ภาค คอื
1. ภาคกระตุ้น (Stimulus) ไดแ้ ก่ คาถาม หรอื โจทย์ หรือปัญหาทต่ี งั้ ขึน้ เพอ่ื เป็นการยว่ั ยุ หรือ
เร่งเร้าใหผ้ ูส้ อบมปี ฏิกริ ิยาโต้ตอบออกมา
2. ภาคตอบสนอง (Response) ได้แก่ คาตอบนั่นเอง
แบบทดสอบ เป็นเคร่ืองมอื ที่ใช้ในการวดั ความรู้ ความสามารถทางสมอง โดยมีลกั ษณะเป็นชุดของ
คาถามที่ทาหน้าท่ีเร้าผู้ตอบ ให้แสดงอาการตอบสนองออกมาเป็นพฤติกรรมท่ีสามารถสังเกตได้หรือวัดได้
ทง้ั นเ้ี นื่องจากความสามารถทางสมองเปน็ สิ่งที่เป็นนามธรรม ซึง่ สังเกต หรอื วัดโดยตรงไม่ได้ ดังนน้ั ในการ
วดั จึงตอ้ งใชข้ อ้ คาถาม เป็นสงิ่ กระตนุ้ ใหผ้ ้ตู อบใช้ความรู้ความสามารถคิดหาคาตอบ จานวนคาตอบท่ถี ูกจึงถอื
วา่ เปน็ ระดบั ความสามารถของผูต้ อบ และใหเ้ ป็นคะแนนซง่ึ จัดอยู่ในรูปของปรมิ าณ แลว้ จึงสรุปจากคะแนน

14 การวดั กแาลระวปดั รแะลเมะนิปผรละกเมาินรเผรลียนกราู้รเรยี นรู้ 14

ออกมาในรูปของคุณภาพว่าผู้ตอบมีความร้คู วามสามารถเพียงไร มากน้อยแคไ่ หน การวดั ดังกล่าวจึงอาจถือ
ได้วา่ เป็นการวัดในเชิงปรมิ าณและคณุ ภาพ

ชนดิ ของแบบทดสอบ
การแบ่งชนิดของแบบทดสอบ หากแบ่งตามจุดมุ่งหมายของการวัดว่าจะวัดพฤติกรรมด้านใดแล้ว
อาจแบ่งออกไดเ้ ปน็ 3 ชนดิ (ใจทพิ ย์ เชื้อรตั นพงษ์, 2539) คือ
1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดความสามารถของ
บคุ คลในด้านการเรียนรู้
2. แบบทดสอบวัดความถนดั (Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดความสามารถเฉพาะของ
บุคคลเพอ่ื พจิ ารณาว่าบคุ คลนั้น ๆ มีความสามารถในเร่อื งใดเป็นพิเศษจะสามารถเรียนรู้ในดา้ นใดดีกว่ากัน จะ
สามารถเรยี นรู้สงิ่ หนึง่ ส่ิงใดไดส้ าเรจ็ หรือไม่ อาจแบง่ แบบทดสอบความถนัดไดเ้ ปน็ 2 ชนิด ดงั นี้

2.1 แบบทดสอบความถนัดทางการเรียน (Scholastic Aptitude test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัด
เพอ่ื ทจี่ ะทราบว่าบุคคลน้ันจะสามารถเรยี นวิชาใดได้สาเร็จ

2.2 แบบทดสอบความถนัดเฉพาะ หรือความถนัดพิเศษ (Specific Aptitude test) เป็น
แบบทดสอบท่ีใช้วัดบุคคลว่ามีความสามารถพิเศษในด้านใด เช่น ความสามารถในทางวาดเขียน
ความสามารถในทางศิลปะ ความสามารถในทางดนตรี ฯลฯ

3. แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ (Personality test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดบุคลิกภาพของบุคคล
เชน่ ความเช่อื ม่ันในตนเอง ความเป็นผู้นา ความวิตกกังวล ความมีมนุษยสัมพนั ธ์

2. แบบสอบถาม (Questionnaire)

แบบสอบถามคือ เครอ่ื งมอื วัดทม่ี ีคาถามประเภทต่าง ๆ ที่เราต้องการทราบโดยเขียนข้อคาถามเป็น
ขอ้ ความ เพ่ือให้ผู้ตอบได้พิจารณาตอบคาถาม โดยการเขียนกรอกข้อความหรือกาเครื่องหมายถกู () หรือ
เคร่ืองหมายผิด () ลงในข้อความท่ีเตรียมไว้ให้ถ้ามีผู้ตอบหรือผู้วัดต้องการทราบความคิดเห็นก็อาจเปิด
โอกาสให้ผู้ตอบได้อธิบายแสดงความคดิ เห็นได้ตามต้องการในช่องว่างท่ีเตรยี มไว้ บางคร้ังแบบสอบถามอาจมี
รูปภาพแทนข้อความก็ได้ โดยทั่วไปการใช้แบบสอบถาม ก็เพ่ือวัดความคิดเห็นหรือข้อเท็จจริงที่ต้องการ
ทราบ (อุทุมพร จามรมาน, 2544)

แบบสอบถาม คือ รายการคาถามที่เตรียมไว้เกี่ยวกบั เรอื่ งใดเร่ืองหนึง่ เพ่อื ใหผ้ ู้ตอบได้ตอบในแต่ละข้อ
โดยรายการคาถามเหลา่ นี้จะถูกสง่ ไปให้คนจานวนหน่ึงตอบ

จึงพอสรุปได้ว่า แบบสอบถามเป็นรายการคาถามท่ีเตรียมไว้สาหรับหาคาตอบเก่ียวกับเร่ืองท่ี
ตอ้ งการทราบ โดยมีแบบฟอร์มให้ผู้ตอบไดต้ อบด้วยตนเอง จงึ นับวา่ แบบสอบถามเปน็ เครื่องมือท่ีใช้รวบรวม
ขอ้ มูลตอบทเ่ี ราต้องการ คาถามต่าง ๆ จึงต้องมลี ักษณะงา่ ย ท่ีผู้ตอบเขา้ ใจงา่ ยและสามารถตอบไดต้ ามความ
เป็นจริง

การกวาัดรวแัดลแะลปะรปะรเะมเนิมผินลผลกการารเรเรยี ยี นนรรู้ ู้ 1515

ประเภทของแบบสอบถาม
แบบสอบถามแบง่ ได้เปน็ ประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
1. แบบสอบถามประเภทปลายเปิด (Open-ended Form) เป็นชนิดคาถามที่ให้ผู้ตอบมีโอกาส
ตอบไดอ้ ย่างเสรี และไม่จากดั คาตอบ เช่น
วชิ าอะไรทีน่ กั เรียนไม่ชอบมากท่สี ดุ .................................................
จงบอกเหตุผลท่นี กั เรยี นไมช่ อบรายวชิ านี้
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
ขอ้ ดีของแบบสอบถามประเภทปลายเปิด กค็ ือ ผตู้ อบมีโอกาสตอบไดม้ ากกวา่ ทีเ่ ราคิด จงึ อาจทา
ใหไ้ ด้รบั คาตอบท่คี าดไมถ่ ึงและลกึ ซงึ้ สว่ นขอ้ เสยี ทนี่ ับวา่ สาคัญกค็ อื แบบสอบถามประเภทนี้วิเคราะห์
คอ่ นข้างยาก
2. แบบสอบถามประเภทปลายปิด (Close-ended Form) เป็นแบบสอบถามทตี่ ้ังคาถามแลว้ ก็
กาหนดคาตอบไว้ใหเ้ สร็จเรียบรอ้ ย โดยให้ผตู้ อบเลือกคาตอบจากท่ีกาหนดให้โดยอาจจะไดแ้ กค่ าตอบประเภท
ใช่ไมใ่ ช่ หรอื คาตอบประเภทถูกหรอื ผดิ อาจเขยี นสัญลกั ษณส์ น้ั ๆ เท่านน้ั ตัวอยา่ งเช่น
ทา่ นสนใจเล่นกีฬาประเภทใด

( ) ฟุตบอล
( ) บาสเกตบอล
( ) แบตมินตัน
( ) เทนนสิ
( ) วา่ ยนา้
แบบสอบถามท้ังสองประเภท มีข้อเสียคือ ประเภทที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลยาก ส่วนประเภทท่ี 2
นั้นอาจไดข้ ้อมูลไม่ครบถว้ น เพราะกาหนดคาตอบให้จากดั ทางที่ดีเรามีแบบสอบถามอีกประเภทหน่ึง ซ่งึ ถือ
เปน็ แบบสอบถามประเภทที่ 3 ซ่ึงเรยี กว่าแบบผสม (Mixed Form)
3. แบบผสม (Mixed Form) เป็นแบบสอบถามท่ีรวมลักษณะของแบบท่ี 1 และ 2 เข้าด้วยกัน
เป็นแบบที่มงุ่ ให้ง่ายในการวิเคราะห์ และพยายามให้ได้ข้อมูลครบถ้วนโดยใหต้ ัวสดุ ทา้ ยใช้คาอ่นื ๆ ระบุ เชน่
ในการเรียนวิชาคณติ ศาสตร์ นกั เรียนมีปญั หาหรือไม่

[ ] มี
[ ] ไม่มี
นักเรยี นตอ้ งการใหค้ รชู ่วยแกไ้ ขปญั หาอย่างไร.................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................

16 การวัดกแาลระวปดั รแะลเมะปนิ ผรละเกมาินรเผรลียกนารู้รเรยี นรู้ 16
โครงสรา้ งของแบบสอบถาม
แบบสอบถามโดยทวั่ ไปแบง่ เปน็ สว่ นใหญ่ ๆ ได้ ดงั น้ี
1. สว่ นทว่ั ไป ไดแ้ ก่ ชือ่ เรอ่ื ง ช่อื สถาบนั หรอื ช่อื ของแบบสอบถาม วตั ถปุ ระสงคใ์ นการออกแบบ

สอบถาม วิธีกรอกแบบสอบถาม
2. สว่ นที่เป็นสาระสาคัญ หรอื เนื้อแท้ของแบบสอบถาม
2.1 คาถามท่ีเปน็ เนอื้ หา ขอ้ เท็จจรงิ เช่น ข้อมลู สว่ นตัว
2.2 คาถามที่เกย่ี วกับสภาพแวดล้อม เช่น สภาพทางเศรษฐกจิ สังคม การเมือง
2.3 ส่วนทเ่ี ปน็ ประเดน็ สาคญั ซ่ึงเปน็ คาถาม หรอื ปญั หาทีต่ อ้ งการค้นหาคาตอบ

ตามวตั ถุประสงค์
ขอ้ แนะนาในการสร้างแบบสอบถาม
1. อยา่ ใชข้ ้อความทเี่ ป็นคาถามยาวเกนิ ไป ซ่ึงจะทาใหผ้ ตู้ อบเกิดความเบอ่ื หนา่ ย
2. ต้องเขียนแบบสอบถามให้นา่ สนใจแกผ่ ู้ตอบ โดยใช้ความรทู้ างจิตวิทยา รวมท้ังทักษะทางด้าน

การใช้ภาษา และตอ้ งจัดทารปู รา่ งแบบสอบถามให้ดึงดดู ใจผูต้ อบ
3. ต้องใช้คาพดู ในการต้ังคาถามให้เหมาะสมเพ่อื ให้ผู้ตอบเข้าใจง่าย และตอบไดง้ ่าย โดยเฉพาะการ

ใชแ้ บบสอบถามกบั ผู้ที่มกี ารศึกษาน้อยย่ิงต้องระมัดระวังใหม้ าก
4. พงึ จาไว้วา่ ลักษณะคาถามท่ดี ีจะต้องกระตนุ้ ใหเ้ กิดคาตอบทชี่ ดั เจน
5. คาถามจะต้องไมท่ าให้ผตู้ อบเกดิ ความรู้สึกละอาย หรือเกิดความรสู้ ึกกระวนกระวาย และอึดอัด

ใจ ไมร่ ู้วา่ จะตอบอยา่ งไร
6. คาถามต่างๆ ในแบบสอบถามต้องไม่เปน็ การชน้ี าใหแ้ ก่ผ้ตู อบจนเกนิ ไป
7. คาถามท่ีใช้ถามต้องไม่ทาให้ผู้ตอบเข้าใจว่าคาตอบของเขาน้ันจะมีผลย้อนกลับมาสู่เขาภายหลัง

ในทางท่ไี ม่ดี
8. ต้องชี้แจงให้ผู้ตอบเข้าใจและแน่ใจว่าข้อมูลที่ได้จากเขา ไม่สามารถจะได้จากท่ีอื่น ๆ นอกจาก

ผู้ตอบเทา่ น้ัน
9. การเรยี งลาดับแบบสอบถามว่าเร่ืองอะไรควรที่จะอยู่ตรงไหน เช่น ตอนต้น ตอนกลางหรือตอน

สดุ ท้าย
10. คาตอบท่ีได้ทั้งหมด เม่ือนารวมเข้าแล้วควรจะตอบปัญหาตามท่ีแบบสอบถามน้ันต้องการจะ

ศึกษา
ขอ้ ดีของแบบสอบถาม
1. แบบสอบถามจะช่วยให้ได้ข้อมูลในลักษณะที่เป็นแบบเดียวกันทั้งหมด เพราะมีคาถามท่ีจะได้

คาตอบท่เี ป็นข้อมูลในลักษณะเดียวกัน
2. ผูต้ อบมีอิสระในการตอบ
3. ในกรณปี ระชากรกระจดั กระจายอาจสง่ ทางไปรษณีย์ได้

การกวาดั รแวัดลแะลปะรปะรเมะเนิ มผินลผกลากราเรรเยีรยีนนรรู้ ู้ 1717

4. อาจใช้ข้อคาถามเป็นเครือ่ งมือในการสัมภาษณไ์ ด้
5. การเก็บข้อมลู ดว้ ยแบบสอบถามไม่จาเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญ แต่อาจส่งแบบสอบถามไปใหก้ รอก
และตามเกบ็ รวบรวมภายหลงั
6. สะดวกและง่ายตอ่ การวิเคราะห์ ถ้าไดส้ รา้ งแบบสอบถามอยา่ งรัดกุม
ขอ้ เสียของแบบสอบถาม
1. ใชไ้ ดเ้ ฉพาะคนท่อี า่ นออกเขยี นได้ มกี ารศึกษาดี
2. มคี วามยืดหย่นุ น้อย หมายความวา่ ผถู้ ามอาจไม่ได้ตอบคาถามทแ่ี นน่ อน ถา้ ผตู้ อบไม่เขา้ ใจคาถาม
3. มักได้รบั แบบสอบถามกลับมานอ้ ย
4. แบบสอบถามทไ่ี ดร้ ับคืนมานั้นบางคร้ังผ้อู น่ื จะเปน็ ผู้ตอบแทน

3. แบบสารวจรายการ (Checklists)

แบบสารวจรายการหรือแบบตรวจสอบรายการ เป็นเครื่องมือท่ีประกอบไปด้วยรายการข้อปัญหา
(Items) ทใี่ ห้ผตู้ อบ ตอบรบั หรอื ปฏิเสธ (Yes-No) หรือตอบโดยใช้เครือ่ งหมายกากบั ตัวเลข

แบบสารวจประกอบด้วยรายการท่ีแสดงข้ันตอนการปฏิบัติงานกิจกรรมต่างๆ หรือพฤติกรรมท่ีผู้
สังเกตบันทึก เม่ือเห็นว่ารายการน้ันๆ เกิดขึ้น แบบสารวจรู้จะช่วยให้ผู้สังเกตทราบว่า การกระทาหรือ
พฤติกรรมต่างๆ เกิดข้ึนตามรายการท่ีกาหนดไว้หรือไม่เท่านั้น ถ้าต้องการพิจารณาคุณภาพหรือจานวนครั้ง
ของการกระทาท่ีเกดิ ขึน้ กไ็ มค่ วรใชแ้ บบสารวจควรใช้เครื่องมืออยา่ งอ่นื แทน

แบบสารวจรายการเหมาะสาหรับการประเมินผลกิจกรรมการเรียนที่เก่ียวกับกระบวนการหรือวิธี
ปฏบิ ตั ิงาน รวมท้ังการปรบั ตัวของนักเรยี น

ตวั อยา่ งแบบสารวจรายการ
คาชี้แจง ครูให้นักเรียนแสดงท่าราประกอบเพลงที่กาหนดให้แล้วสังเกตพฤติกรรม โดยกา
เครอื่ งหมาย  ลงในช่อง “ใช่” ถ้านักเรียนมีพฤติกรรมตามรายการระบุ และกาเครื่องหมาย ลงในช่อง
“ไม่ใช่” ถ้านักเรยี นไม่มีตามพฤติกรรมตามรายการระบุ

รายการพฤติกรรม ใช่ ไม่ใช่

1. จังหวะถกู ต้อง ฯลฯ
2. ทา่ ทางสอดคล้องกับเพลง
3. กล้าแสดงออก
4. คดิ ทา่ แปลกใหมไ่ ด้
5. ความพร้อมเพยี งภายในกลมุ่
6. ความต้งั ใจ

18 การวดั กแาลระวปัดรแะลเมะนิปผรละกเมารินเผรยีลนกราู้รเรียนรู้ 18

4. มาตรประมาณค่า (Rating Scale)

มาตรประมาณค่า คือเครื่องมือท่ีมีข้อคาถาม หรือรายการท่ีกาหนดไว้ให้ผู้ตอบได้พิจารณาว่า
คาตอบนน้ั มนี ้าหนกั หรอื มรี ะดับคุณภาพอยใู่ นเกณฑข์ นาดไหน เช่น มรี ะดบั

มากท่สี ดุ - มาก - ปานกลาง - นอ้ ย - น้อยท่ีสุด หรอื
น้อยที่สดุ - น้อย - ปานกลาง - มาก - มากทสี่ ุด หรือ
มาก - ปานกลาง - น้อย หรือ
น้อย - ปานกลาง - มาก
จานวนระดับคุณภาพในมาตรประมาณค่าน้ันโดยมากกาหนดไว้ไม่ต่ากว่า 3 ระดับ และไม่เกิน
11 ระดบั แตส่ ่วนใหญม่ ักจะใชเ้ พยี ง 4-5 ระดบั ในบางกรณอี าจกาหนดความหมายให้ทราบด้วย เช่น

5 หมายถงึ ชอบมากท่ีสดุ
4 หมายถงึ ชอบมาก
3 หมายถึง ชอบ
2 หมายถึง ไมช่ อบ
1 หมายถึง ไมช่ อบมากทีส่ ุด
ประเภทของมาตรประมาณค่า (บุญชม ศรีสะอาด, 2540, น. 96-97)
1. มาตรประมาณค่าแบบบรรยาย (Descriptive Rating Scale) เป็นแบบประมาณค่าท่ีใช้
ขอ้ ความบรรยายถึงระดับคุณภาพ หรอื ปรมิ าณของสิง่ ทต่ี ้องการวดั ตัวอย่าง เช่น
ความสะอาดของรา่ งกายนักเรยี น
 ดีมาก ร่างกายสะอาดทุกส่วน
 ดีพอสมควร เลบ็ ยาว แต่สะอาด ไม่มีขเ้ี ล็บ
 ค่อนข้างสกปรก เลบ็ ยาว มขี ้ีเลบ็ และมขี ไ้ี คลเลก็ น้อย
 สกปรกมาก เลบ็ ยาว มีขีเ้ ล็บ และมขี ี้ไคล ดามาก
2. มาตรประมาณค่าแบบให้น้าหนักเป็นตัวเลข (Numerical Rating Scale) แบบนี้ใช้ตัวเลข
แทนระดับความมากน้อยของลักษณะต่างๆ ความหมายของตัวเลขแต่ละตัวจะต้องเขียนไว้อย่างชัดเจนว่ามี
ความหมายอยา่ งไรหรือแทนความหมายอะไร ดงั ตวั อย่าง

กากรวารัดวแัดลแะลปะรปะรเะมเมนิ นิผผลลกกาารรเรเรียยี นนรรู้ ู้ 1919
คาช้แี จง ให้ใส่ตัวเลข 1 2 3 4 ลงในชอ่ งพฤตกิ รรมที่เกิดขน้ึ โดยตัวเลขแตล่ ะตวั มี
ความหมายดงั น้ี

4 หมายถึง ดีมาก
3 หมายถึง ดี
2 หมายถงึ พอใช้
1 หมายถึง ต้องปรบั ปรุง

เลข ชื่อ-สกุล พฤติกรรมท่ปี ระเมนิ เตรยี ม
ที่ อุปกรณ์
กระตอื รอื ร้น สนใจทา ต้งั ใจทา รว่ มมือทา
1 ด.ช. ธาราวฒุ ิ ท่ีจะเรยี น แบบฝกึ หัด แบบฝึกหัด การทดลอง
2 ด.ช. มานนท์
3 ด.ช. อมร 2
4 ด.ญ. พรณภิ า 1
5 ด.ญ. ทพิ วรรณ 3
4

3. มาตรประมาณค่าแบบกราฟ (Graphic Rating Scale) มาตรประมาณค่าแบบกราฟ จะใช้
เส้นตรงแบ่งออกเป็นช่วงตามระดับคุณภาพหรือปริมาณที่ตอ้ งการให้จัดอันดับในแต่ละชว่ งอาจกาหนดตัวเลข
แทนระดับความมากน้อยหรือไม่กาหนดก็ได้ แต่จะต้องบอกระดับสูงสุดและต่าไว้ท้ัง 2 ปลายของเส้นกราฟ
ดังตัวอย่าง

เมอื่ เอ่ยถึงวชิ าคณิตศาสตรท์ ่านรู้สึกอยา่ งไร
สนุก น่าเบอ่ื
ยาก งา่ ย
เกลยี ด ชอบ

ข้อแนะนาในการสรา้ งมาตรประมาณคา่
1. รายการพฤติกรรมทจ่ี ะวดั ต้องสอดคล้องกบั จดุ มงุ่ หมายทีจ่ ะวดั
2. พฤตกิ รรมท่จี ะวัดตอ้ งเปน็ ลกั ษณะที่สังเกตไดง้ า่ ย
3. ระดบั คณุ ภาพหรือปรมิ าณในแต่ละช่วงต้องนยิ ามให้ชัดเจนและเปน็ ปรนยั
4. ช่วงของระดับคุณภาพไม่ควรต่ากว่า 3 ช่วง และไม่ควรเกิน 11 ช่วง บางกรณีอาจกาหนดช่วง

เปน็ จานวนคู่ก็ได้ เพ่ือป้องกนั ความคลาดเคลื่อนจากการประมาณคา่ กลาง ๆ

20 การวัดกแาลระวปดั รแะลเมะปนิ ผรละเกมานิรเผรลียกนารู้รเรยี นรู้ 20

5. การสงั เกต (Observation)

การสังเกตเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ หรือพฤติกรรมของนักเรียนหรือบุคคล
ขณะท่ีปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมนั้นกาลังเกิดขึ้น โดยอาศัยประสาทสัมผัสของผู้สังเกตโดยตรง เป็นการ
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรง ทาให้ได้ข้อมูลท่ีตรงกับความเป็นจริงน่าเช่ือถือ แต่ทั้งนี้ย่อมข้ึนอยู่กับความ
เที่ยงตรง และความเช่ือม่นั ของการสงั เกตแต่ละครั้ง (สภุ างค์ จันทวานชิ , 2549, น. 45)

ประเภทของการสังเกต การสังเกตแบ่งเปน็ 2 ประเภท คอื
1. การสังเกตโดยตรง (Direct Observation) หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปร่วมในหมู่ผู้ถูก
สงั เกต หรือรว่ มกจิ กรรมนน้ั ๆ โดยตรง
2. การสังเกตโดยทางอ้อม (Indirect Observation) หมายถึง การสังเกตท่ีผู้สังเกตเก็บรวบรวม
ขอ้ มลู โดยการฟังผหู้ นงึ่ ผใู้ ดเลา่ ถึงพฤติกรรมของผ้ทู ี่ถกู สังเกต
การสังเกตต้องมีการจดบันทกึ และตีความหมายของพฤตกิ รรมด้วย บางครั้งจาเป็นต้องใช้เครอื่ งมือ
อน่ื ช่วย เชน่ แบบบันทกึ แบบสารวจรายการ หรอื มาตรประมาณคา่
การสังเกตจะไดผ้ ลดี ผสู้ งั เกตจะต้องมีคุณสมบัติ 4 ประการ
1. มีความใสใ่ จ (Attention) ตอ่ ส่งิ จะสังเกต
2. มีประสาทสัมผัส (Sensation) ที่ดี
3. มกี ารรบั รู้ (Perception) ทดี่ ี
4. มคี วามคิดรวบยอด (Conception) ทด่ี ี คอื สามารถสรปุ เร่อื งได้อย่างถกู ตอ้ งเช่ือถอื ได้
ลาดับข้ันในการสังเกต
การสงั เกตอาจทาตามลาดบั ขั้นได้ ดังน้ี
1. ตั้งจุดมุ่งหมาย การสังเกตทุกครั้งผู้สังเกตจะต้องตั้งจุดมุ่งหมายของการสังเกตให้ชัดเจนว่าจะ
สังเกตอะไร และจะนาผลจากการสงั เกตไปใชป้ ระโยชน์อะไร
2. ให้คาจากัดความของพฤติกรรมที่จะการสังเกต ผู้สังเกตจะต้องเข้าใจพฤติกรรมที่จะสังเกต จึง
จะสามารถทาการสังเกตได้ถูกตอ้ ง เช่น จะสังเกตพฤติกรรมความเอ้ือเฟ้ือ ผู้สังเกตจะต้องรู้ว่าพฤติกรรมใน
ลักษณะใดบา้ งทีแ่ สดงออกถึงความเออ้ื เฟื้อ ซ่ึงจะทาใหผ้ สู้ ังเกตสามารถสงั เกตได้ถกู ต้องและแม่นยา ตรงตาม
พฤตกิ รรม
3. ศึกษาปรากฏการณ์ของส่ิงที่จะสังเกต ผ้สู ังเกตจะตอ้ งศึกษาปรากฏการณ์ของสิ่งท่ีจะสังเกตก่อน
ว่า ปรากฏการณ์ชนดิ ใดท่ีมคี ่าควรแกก่ ารสังเกต เพอ่ื ให้สามารถกาหนดหัวข้อที่จะสงั เกตและวิธกี ารสังเกตได้
ถูกต้อง
4. วางแผนการดาเนินงานโดยกาหนดระยะเวลาท่ีจะสังเกตพฤติกรรมที่จะสังเกตและวิธีการสังเกต
ให้สอดคลอ้ งกับจุดมุง่ หมายและพฤติกรรมทีจ่ ะสงั เกต

การกวาัดรแวดัลแะลปะรปะรเมะเนิ มผนิ ลผกลากราเรรเยีรนียนรู้รู้ 2121

5. เตรียมเคร่ืองมือท่ีจะใช้ในการสังเกต ผู้สังเกตจะต้องเตรียมเครื่องมือบันทึกผลการสังเกตให้
เหมาะสมกับวิธีการ และพฤติกรรมท่ีจะสังเกต เช่น เตรียมหัวข้อท่ีสังเกต สร้างตารางประเมินค่าเพ่ือเป็น
เกณฑ์ในการแยกพฤติกรรมท่จี ะสังเกตออกเป็นระดบั ดี - เลว สูง - ตา่ มาก - น้อย ฯลฯ

6. ให้ความรูแ้ ก่ผู้สังเกตในเรือ่ งทีจ่ ะสังเกต ผู้สังเกตจะสามารถทาการสังเกตได้ดกี ็ต่อเม่ือมีความรู้ใน
เรือ่ งท่ีจะสงั เกตอย่างลึกซงึ้ ดงั นัน้ จึงตอ้ งศึกษาพฤตกิ รรมหรอื สง่ิ ที่จะสงั เกตใหเ้ ข้าใจอย่างถอ่ งแท้กอ่ นทาการ
สังเกต

7. ฝึกฝนผู้สังเกตให้มีทักษะในการใช้เครื่องมือสังเกต (แบบสังเกต) เมื่อเตรียมเคร่ืองมือที่ใช้ในการ
สงั เกตแล้ว ผู้สังเกตจะต้องศึกษาวิธีการใช้เคร่ืองมือนั้น และเพ่ือให้เกิดทักษะสามารถบันทึกผลการสังเกต
ไดถ้ ูกต้องและรวดเรว็

8. ฝึกฝนผู้สังเกตให้เกิดความชานาญในการสังเกต ผู้สงั เกตต้องฝึกทาการสังเกตจนกระทั่งเกิดความ
ชานาญ สามารถสังเกตจนได้ข้อมูลท่ีเชอื่ ถอื ได้

9. เตรียมตัวใหพ้ ร้อมก่อนทาการสงั เกต ผู้สงั เกตควรรักษาสขุ ภาพให้ดี พรอ้ มท่จี ะทาการสังเกต และ
รับรู้สิ่งต่างๆ ซ่ึงจะทาใหส้ ังเกตสิ่งต่างๆ ไดถ้ กู ตอ้ งและรวดเรว็

10. ทาการสังเกตตามแผนการที่ไดก้ าหนดไว้ เมื่อถึงเวลาท่ีกาหนดไว้ให้ทาการสังเกตโดยใชเ้ คร่อื งมือ
ท่ีเตรยี มไว้ และสังเกตอยา่ งตง้ั ใจ ระมัดระวัง พนิ จิ พิเคราะห์ โดยสงั เกตด้วยประสาทสัมผสั ท้งั หมดที่มีอยู่

11. บนั ทกึ ผลการสงั เกตขณะทาการสงั เกต ผสู้ ังเกตจะต้องบนั ทกึ ผลการสังเกตในเครื่องมอื บนั ทกึ ผล
ทเ่ี ตรยี มไว้อย่างละเอียด และตรงตามความเปน็ จรงิ ทกุ ประการ อยา่ บดิ เบือนความเป็นจรงิ

12. ตีความหมายของข้อมูล ผลที่ได้จากการบันทึก จะต้องนามาตีความหมายโดยอาศัยผู้มีความรู้
และมปี ระสบการณ์มาก ๆ ดงั นน้ั ผสู้ ังเกตต้องเปน็ ผู้ที่มปี ระสบการณ์และมีความชานาญ

13. การสรปุ ควรสรุปจากผูส้ งั เกตหลาย ๆ คนหรือการสงั เกตหลาย ๆ ครงั้ เพอื่ ให้การสรุปผลถูกตอ้ ง
ตรงตามความเป็นจรงิ

หลักเกณฑก์ ารสังเกตทดี่ ี
1. สงั เกตคราวละหนง่ึ คน
2. สังเกตสถานการณท์ ุกแงท่ ุกมมุ
3. สังเกตหลายๆ สถานท่ี เช่น ขณะทากจิ กรรมในหอ้ งเรียน ในสนามเดก็ เล่นหรือขณะทานอาหาร
4. ทาการสังเกตเป็นระยะเวลานานตดิ ตอ่ กัน
ขอ้ ดีของการสังเกต
1. การสังเกตสามารถให้รายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ จากขอ้ มูลทไ่ี ดม้ า โดยวธิ ีอื่น
2. การสังเกตใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ บางประการ ซง่ึ ไมส่ ามารถไดม้ า โดยวธิ อี ื่น
3. การสังเกตชว่ ยให้พบเห็นตวั อย่างท่แี ท้จริงของเดก็
4. การสังเกตชว่ ยให้ผสู้ งั เกตเกดิ ความงอกงาม มีทักษะ ตลอดจนความเข้าใจในเด็กไดด้ ีขน้ึ
5. การสังเกตสามารถเลอื กเฟ้นเฉพาะสิ่งทสี่ าคัญ และมปี ระโยชน์

22 การวดักแาลรวะัดปแระลเะมปนิ รผะลเกมาินรผเรลียกนารรู้ เรียนรู้ 22

ขอ้ เสยี ของการสงั เกต
1. ผูส้ งั เกตอาจเกดิ ความลาเอยี ง และประเมนิ คา่ ผิดพลาด
2. ผสู้ งั เกตอาจไมม่ คี วามแมน่ ยาในการสงั เกต
3. ผสู้ งั เกตอาจประสบความลาบากทจ่ี ะทาให้ผอู้ ่นื เข้าใจสงิ่ ที่ตนสงั เกต
4. ผู้สังเกตอาจได้ตัวอยา่ งพฤตกิ รรมเปน็ ส่วนน้อย

6. การสมั ภาษณ์ (Interview)

การสัมภาษณ์เป็นวิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมลู วิธีหน่งึ ท่ีนิยมใช้กันมาก และนบั วา่ เป็นวธิ ที ่ีสาคญั วธิ หี น่ึง
ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ทางดา้ นพฤติกรรม

การสัมภาษณ์ คือ การสนทนาแบบมีจุดมุ่งหมายแน่นอนระหว่างผู้สนทนาทั้งสองฝ่าย คือ
ผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์หรือผู้ให้สัมภาษณ์ต่างให้และรับข้อมูลตามที่ตนต้องการ การสัมภาษณ์เป็น
กระบวนการส่ือสารระหว่างบุคคลสองคน เพ่ือแลกเปลี่ยนความคิดตามจุดมุ่งหมายท่ีได้วางไว้ โดยวิธีการ
สื่อสารวิธีต่าง ๆ เช่น คาพูด ตัวหนังสือ ท่าทาง เครื่องหมาย ความรู้สึกที่แสดงออกทางสีหน้า มีผู้ร้หู ลาย
ทา่ นได้กลา่ วถึงการสมั ภาษณไ์ วด้ ังน้ี

การสัมภาษณ์ หมายถึง กระบวนการสนทนาระหว่างบุคคลสองคน คือผู้สัมภาษณ์กับผู้ให้
สัมภาษณ์โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างใดอยา่ งหนึ่งเปน็ กระบวนการส่ือความหมาย (Communication Process) ท่ี
เรียกว่า face-to-face Communication

John W. Best กลา่ วว่า การสัมภาษณ์ก็เหมอื นกับการสอบปากเปล่า (Oral Questionnaires) ผู้ถูก
สมั ภาษณ์จะให้ขอ้ มลู ทเ่ี ราตอ้ งการได้ โดยการซกั ถามโดยตรง เปน็ กระบวนการสรา้ งสัมพนั ธภ์ าพระหว่างกนั ใน
ลกั ษณะทีเ่ รยี กว่า a face-to-face relationship

การสัมภาษณ์เป็นวิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ไดอ้ ย่างละเอียดและตรงเป้าหมาย ท่ีวางไวล้ ว่ งหนา้ และผู้
สัมภาษณ์สามารถจะควบคุมคาถามให้ตรงกับจุดมุ่งหมายที่ต้ังไว้ สามารถเก็บข้อมูลเพ่ิมเติมได้ในกรณีที่
ต้องการทราบความคิดเห็นเพ่ิมเติมจากผู้ให้สัมภาษณ์ สามารถใช้ได้ทั่วไป โดยไม่จากัดว่าผูใ้ ห้สัมภาษณ์จะมี
ระดับการศกึ ษาสงู หรอื ต่าเพยี งไร ผู้สัมภาษณ์สามารถซกั ถามเพือ่ ล้วงเอาความจริงออกมาได้มากที่สุด แมค้ น
ไมร่ ู้หนงั สอื กส็ ามารถใช้การสัมภาษณเ์ พื่อการรวบรวมขอ้ มูลได้เช่นกนั

แบบต่าง ๆ ของการสัมภาษณ์
1. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview) คือการสัมภาษณ์ที่ถามตามแบบ
สัมภาษณ์ที่ได้สร้างขึ้นไว้เรียบร้อยแล้วล่วงหน้า ผู้สัมภาษณ์ทุกคนจะถามคาถามเหมือนกันหมด การ
สมั ภาษณ์แบบนี้ อาจสัมภาษณเ์ ปน็ รายบุคคล หรอื อาจสมั ภาษณร์ วมเป็นกลมุ่ ย่อย ๆ กไ็ ด้
2. การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Non-Structured Interview) ก็คือการสัมภาษณ์โดยไม่มี
แบบสัมภาษณ์ แต่ใช้ทักษะและความสามารถเฉพาะตวั ของผู้สมั ภาษณ์ท่ีจะดึงเอาคาตอบจากผู้ถูกสัมภาษณ์
ใหไ้ ด้ตามเปา้ หมาย และวตั ถปุ ระสงคท์ ว่ี างไว้ การสัมภาษณ์แบบนี้ อาจสัมภาษณ์แบบลึกซ้ึง (Depth
Interview) เพือ่ ลว้ งเอาความจริงออกมาใหไ้ ด้ ดังเช่น พนกั งานสอบสวน ทนายความ อัยการ นิยมใช้กนั

การกวาดัรวแัดลแะลปะรปะรเะมเินมผินลผกลการารเรเรยี ยีนนรรู้ ู้ 2323

ข้อแนะนาในการสมั ภาษณ์
1. ผสู้ ัมภาษณ์ ตอ้ งสรา้ งสัมพันธ์ภาพอนั ดกี บั ผ้ใู ห้สมั ภาษณ์เพ่อื ให้เกิดบรรยากาศท่ีเป็นมติ รและเป็น
กนั เอง ซ่ึงจะทาให้ผสู้ มั ภาษณ์ตอบคาถามอยา่ งจรงิ ใจ
2. ผู้สัมภาษณ์ ต้องช้ีแจงให้ผู้ให้สัมภาษณ์เข้าใจถึงความมุ่งหมาย และวัตถุประสงค์ของการ
สมั ภาษณ์
3. ผสู้ ัมภาษณ์ จะต้องศึกษาเรอ่ื งราว เรือ่ งทีจ่ ะสัมภาษณ์อย่างดแี ละกว้างขวาง
4. ผู้สัมภาษณ์ ตอ้ งใชภ้ าษาทเ่ี หมาะสมกับสภาพสงั คมและสงิ่ แวดล้อม
5. ควรใชส้ ถานท่ีและโอกาสทีเ่ หมาะสมสาหรบั ผใู้ ห้สัมภาษณ์
6. ผู้สมั ภาษณ์ ต้องวางแผนและเตรียมคาถามทจ่ี ะใช้ถามในการสัมภาษณ์มาลว่ งหน้า
7. ผ้สู ัมภาษณ์ ต้องเปดิ โอกาสให้ผใู้ หส้ มั ภาษณ์พดู มากทส่ี ุด
8. การใชค้ าถามควรเร่ิมจากคาถามทงี่ ่าย ๆ ไปหาคาถามที่ยาก
9. ผูส้ ัมภาษณ์ ไม่ควรใชค้ าถามแบบชน้ี าคาตอบ
10. ผสู้ ัมภาษณ์ ตอ้ งดาเนินการสัมภาษณ์ใหเ้ สรจ็ ในเวลาอันสมควร ไมค่ วรใช้เวลานาน
11. หากต้องมีการสัมภาษณ์เป็นหมู่เป็นคณะ ควรตกลงกันให้เรียบร้อย เพื่อจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
ในแนวเดียวกัน
12. ผู้สัมภาษณ์ ควรใช้เครื่องบันทึกเสียง เพื่อช่วยให้ได้ข้อมูลท่ีแม่นยาและถูกต้อง ซ่ึงดีกว่าการ
จดบนั ทกึ เพยี งอย่างเดยี ว
13. หากมีกรณีขัดแย้งระหว่างผู้สัมภาษณ์กับผู้ให้สัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ไม่ควรถกเถียงกับผู้ให้
สัมภาษณ์
กรณีทีค่ วรใชก้ ารสัมภาษณ์
1. กรณกี ลุ่มตวั อยา่ งเปน็ ผู้ไมร่ หู้ นังสือ หรอื เขียนหนงั สือไม่ได้ การสมั ภาษณ์เปน็ วธิ ที ่เี หมาะทสี่ ดุ
2. การเก็บข้อมูลเก่ียวกบั ขอ้ เท็จจริง เช่น อายุ การศกึ ษา ศาสนา เชอื้ ชาติ รายได้ รายจา่ ย
อาชพี
3. กรณขี ้อมูลเก่ยี วกับทัศนคติ ประสบการณใ์ นอดีต ความตงั้ ใจในอนาคต ความคดิ เหน็ ความ
ปรารถนา แรงจูงใจ ความรู้สกึ ความกงั วลใจ คา่ นยิ ม
4. การสอบสวนหาขอ้ เทจ็ จรงิ ตา่ ง ๆ
5. การสารวจสามะโนประชากร การสารวจมตมิ หาชน
6. งานทางจติ แพทย์
7. งานแนะแนวการศกึ ษา
8. งานวิจัย

24 การวัดกแาลระวปัดรแะลเมะนิปผรละกเมารินเผรยีลนกราู้รเรยี นรู้ 24

ข้อดขี องการสัมภาษณ์
1. ช่วยให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็น ทัศนคติต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และละเอียดกว่าการใช้
เคร่อื งมืออ่ืน ๆ
2. สามารถสังเกตพฤตกิ รรมของผูใ้ หส้ ัมภาษณ์ ซ่ึงเปน็ หลกั ในการพิจารณาตัดสินคุณภาพของคาตอบ
3. สามารถซักถาม แจกแจง อธบิ ายคาถามให้ผ้ถู ูกสมั ภาษณเ์ กิดความเขา้ ใจอยา่ งชดั เจน
4. มลี กั ษณะยืดหยนุ่ ได้มาก
5. เหมาะกับผ้ทู ไ่ี มช่ อบการเขยี น
6. เปน็ เครื่องมืออยา่ งเดียวท่ีจะสามารถสารวจคาตอบได้ลกึ
7. ชว่ ยแกป้ ญั หาในการได้รับแบบสอบถามคนื น้อย
8. เหมาะสาหรับประชากรทม่ี กี ารศกึ ษาตา่ หรอื อา่ นไมอ่ อกเขยี นไม่ได้
9. ทาใหผ้ ู้ตอบเกดิ เกรงใจ เกดิ ความสัมพันธส์ ่วนตวั ทาใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทเ่ี ป็นจริงมากกวา่ เท็จ
ข้อเสียของการสมั ภาษณ์
1. เสยี เงิน เสียเวลา เสยี แรงงานและกาลงั คนมาก
2. บางครง้ั อาจหาคนทม่ี คี ณุ สมบัติเหมาะสมทจี่ ะเป็นผู้สัมภาษณไ์ ด้ยาก
3. อาจไมไ่ ดข้ อ้ มลู ทถ่ี ูกตอ้ ง เพราะผู้ถกู สมั ภาษณ์อาย และไม่ไว้ใจทีจ่ ะใหค้ าตอบที่ถูกตอ้ ง
4. ผลของการสัมภาษณม์ ลี กั ษณะ เปน็ อตั นัย ยากแก่การตีความ
5. ผูใ้ หส้ มั ภาษณเ์ กิดความกลัว เพราะนึกวา่ เป็นเรอื่ งราชการ
6. ถา้ ผู้สัมภาษณไ์ มม่ มี นุษยสมั พนั ธด์ พี อ ความรว่ มมือจะลดต่าลงกว่าปกติ

7. แบบบนั ทึก หรอื ระเบยี น (Records)

แบบบันทึก หรือระเบียนเป็นเคร่ืองมืออีกแบบหน่ึงที่ใช้สาหรับเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เคร่ืองมือ
ชนิดน้ีที่ใช้การจดบันทึกเร่ืองราวที่มีผู้เขียนบันทึกไว้แล้ว เช่น เหตุการณ์ เร่ืองราว ตัวเลข รูปภาพ บัญชี
ธนาคาร ใบเสร็จรับเงิน ฯลฯ หรือการจดบันทึกข้อเท็จจริงที่ได้พบเห็น แล้วเก็บรวบรวมไว้ โดยผู้บันทึก
จะต้องบันทึกส่ิงต่าง ๆ ท่ีได้พบเห็นตามความเป็นจริง ไม่มีการตีความหมาย การบันทึกเหตุการณ์ หรือ
ระเบยี นมหี ลายชนดิ ดว้ ยกัน เช่น

ระเบียนพฤติกรรมหรือระเบียนพฤติการณ์ (Anecdotal Records) หมายถึง บันทึกของข้อความท่ี
สาคัญของพฤติกรรมบางอย่าง เช่น บันทึกตอนหนึ่งในชีวิตของเด็กเกี่ยวกับภาพ คาพูด การกระทา การ
แสดงออก ฯลฯ ซ่ึงผู้บันทึกตอนหนึ่งในชีวิตของเด็กจะได้มีส่วนร่วม และเป็นสิ่งสาคัญเก่ียวกับบุคลิกภาพ
ของเด็ก เป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนบ่อย ๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับความประพฤติและบุคลิกภาพของเด็ก
เป็นการสังเกตเด็กท่ีมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากครู รายละเอียดและข้อมูลจากการบันทึกจะ
ถูกเก็บรวบรวมไว้

การกวาดัรวแัดลแะลปะรปะรเะมเนิมผนิ ลผกลการารเรเรยี ยีนนรรู้ ู้ 2525

ระเบียนพฤติกรรมจะประกอบไปด้วยการบรรยายตามความเป็นจริง เกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กใน
สภาพแวดล้อมเฉพาะ เป็นการบันทึกพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ ในสถานการณ์หนึ่งติดต่อกัน แล้วนามา
ประมวลกนั เข้า และวิเคราะห์เพ่ือให้เกิดผลสรปุ ที่ชัดเจนเกี่ยวกบั เดก็ แต่ละคน

ระเบยี นพฤติกรรมประกอบด้วยหัวขอ้ สาคัญๆ 3 ประการ คือ
1. บรรยายพฤตกิ รรมและเหตกุ ารณใ์ นสถานการณห์ น่งึ ๆ ท่เี กดิ ขนึ้ อยา่ งชัดเจนและตรงไปตรงมา
2. ความคิดเหน็ ของผบู้ ันทึก หรอื ผู้สงั เกตเกยี่ วกบั ความสาคัญของเหตุการณ์และพฤติกรรมของเด็ก
3. ขอ้ เสนอแนะของผู้บันทึก หรือผสู้ งั เกตเกี่ยวกับปัญหา ความตอ้ งการของเด็กและความชว่ ยเหลือ
ทค่ี รอู าจจะใหก้ บั เด็กได้ และผลจากความชว่ ยเหลือ

ตวั อยา่ งระเบยี นพฤติการณ์
ระเบียนพฤตกิ ารณ์
ชอ่ื นกั เรียน………………………………………………ชน้ั ……………………… เวลา…………………………….
พฤตกิ รรมที่เดก็ แสดงออกโดยย่อ………………………………………………………………………………….
ความหมายของพฤติกรรมในทศั นะของผูส้ ังเกต………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะของผสู้ ังเกต……………………………………………………………………………………………..
ชอ่ื ………………………………………………..………ผู้สงั เกต

ระเบียนสะสม (Cumulative Record) หมายถึง เอกสารอย่างหนึ่งที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล
และรายละเอียดในด้านตา่ ง ๆ ทีเ่ กีย่ วกับตัวเดก็ แต่ละคน ระเบียนสะสมจะบนั ทึกเก่ยี วกับเด็กในเรอ่ื งประวัติ
ครอบครัว รายงานผลการเรียน รายงานรูปภาพ ความถนัด ความสนใจกิจกรรมพิเศษ โครงการศึกษา
และอาชพี ในอนาคต

ระเบียนสะสมใช้สาหรับบันทึกรวบรวมรายละเอียดของเด็กติดต่อกันเป็นเวลานานตั้งแต่เด็กเร่ิมเข้า
โรงเรียน จนกระทั่งออกจากโรงเรยี นไปศกึ ษาตอ่ หรือประกอบอาชีพในระเบียนสะสมมปี ระโยชนม์ ากในการ
แนะแนว และช่วยให้สามารถมองเห็นภาพพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ในทุกด้าน ตั้งแต่อดีตปัจจุบัน
และอนาคต ผู้ทาหน้าที่แนะแนวหรือผู้ทาหน้าท่ีเป็นที่ปรึกษา จะทาระเบียนสะสมเพือ่ ประโยชนใ์ นการท่ีจะ
ใหค้ วามช่วยเหลอื นกั เรียนในด้านต่าง ๆ เพื่อชว่ ยให้นักเรียนไดพ้ ฒั นาในทุกด้านเตม็ ท่ี นอกจากนีแ้ ลว้ อาจนา
ขอ้ มลู มาจากระเบียนสะสมไปใชใ้ นการวิจยั ไดอ้ ีกด้วย

การจดั ระเบียนสะสม มีวตั ถปุ ระสงคด์ งั น้ี
1. เพือ่ ช่วยให้ครรู ู้จักคุ้นเคยกบั นกั เรียนใหมไ่ ดร้ วดเร็ว
2. เพ่อื ให้ข้อมูลทเ่ี ปน็ ประโยชน์ในการจดั แบง่ ชนั้ กลุม่ การเรยี นการสอน
3. เพ่อื ช่วยใหค้ รูสามารถมองเห็นในการจัดแบง่ จุดดี จดุ เดน่ ตลอดจนความสามารถทาง
สติปญั ญาของนักศึกษาแต่ละคน

26 การวดั กแาลระวปัดรแะลเมะปนิ ผรละเกมาินรเผรลียกนารู้รเรียนรู้ 26
4. เพ่ือช่วยในการคน้ หาสาเหตุแหง่ ปญั หาของนกั เรยี น และปญั หาพฤตกิ รรมอนื่ ๆ
5. เพ่อื ประโยชน์ในการใช้เปน็ แนวทางการเลอื กวชิ าเรียน
6. เพ่ือใชเ้ ปน็ รากฐานในการรายงานผลการเรียนไปยังสถานศึกษาช้นั สูง หรือหน่วยงานตา่ ง ๆ ตาม

ต้องการ
ระเบยี นสะสมจะบันทึกขอ้ มลู ดา้ นต่าง ๆ ดงั นี้
1. รายละเอยี ดส่วนตัว เชน่ ชอื่ นามสกุล เพศ อายุ สถานท่ีเกิด เชือ้ ชาติ ท่อี ยปู่ จั จุบนั ฯลฯ
2. ประวัติครอบครัว เช่น ช่ือ บิดา มารดา ผู้ปกครองอาชีพ สถานภาพของบิดามารดา ฐานะ

ทางเศรษฐกิจ
3. รายละเอียดเกี่ยวกับการเรียน เช่น คะแนนวิชาท่ีเรียนแต่ละภาค ลาดับท่ีในชั้นหรือจานวน

นกั เรียน
4. คะแนนการทดสอบ เชน่ คะแนนการสอบเชาว์ปญั ญา คะแนนการสอบผลสัมฤทธิ์ และคะแนน

การสอบอืน่ ๆ
5. รายละเอยี ดการมาโรงเรียน เช่น เรมิ่ เข้าเรียนเมอื่ ไร จานวนวันลา จากแตล่ ะภาคเรียน
6. สุขภาพ ไดแ้ ก่ สขุ ภาพทวั่ ไป โรคภยั ไขเ้ จบ็ สุขนสิ ยั กจิ นสิ ัย
7. รายละเอียดอื่น ๆ ได้แก่ สรุปรายงานจากโรงเรียนเดิม ความถนัดพิเศษ ความสนใจกิจกรรม

ร่วมหลักสตู ร งานอดเิ รก ความมุ่งหวงั ทางการเรยี นและอาชีพ

8. สังคมมิติ (Sociometry or Sociometric Technique)

สังคมมิติ เป็นวิธีการที่นักจิตวิทยา ชาวเวียนนา ชื่อ Jacob Moreno เป็นผู้คิดข้ึนมา และ
นามาใช้คร้ังแรกในปี ค.ศ. 1923 โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีจะวัดปฏิกิริยาความสัมพันธ์ แบบแผนความรู้สึก
(Pattern of Feeling) หรอื ความสัมพันธ์ทางสังคมของสมาชิกภายในกล่มุ เก่ียวกับเร่ืองการยอมรับซ่ึงกันและ
กนั

ครู นักแนะแนว และนักจิตวิทยา ได้ใช้สังคมมิติแก้ปัญหาต่าง ๆ ในการเรียนการสอน อาทิ เช่น
ปัญหาเกี่ยวกับการปรับตัวทางสังคม การเข้าหมู่คณะ ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ท่ีเก่ียวกับความสัมพันธ์ทาง
สงั คม การทาสงั คมมติ นิ ีง้ ่าย สะดวกต่อการนาไปใช้และใชเ้ วลาไมน่ าน (บญุ ธรรม กิจปรดี าบรสิ ทุ ธ์ิ, 2524)

สังคมมิติ เป็นวิธีการแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคลที่อยู่กันเป็นหมู่คณะ และใช้ใน
การพิจารณาว่า บุคคลแต่ละคนในกลุ่มเป็นที่ยอมรบั ของสมาชิกคนอื่น ๆ มากน้อยเพียงใดโดยพิจารณาจาก
การเลือกสรร ของนกั เรียนในกล่มุ ท่ีร้จู ักซึ่งกันและกันว่าจะเลอื กใคร ในแงใ่ ด เช่น เลือกทางานด้วย เลอื กไป
เท่ียวด้วย เลือกติดต่อสื่อสารด้วย ฯลฯ เพ่ือที่ครูจะได้ทราบถึงความกลมเกลียว หรือความขัดแย้ง และ
สถานภาพการปรับตัวของนักเรียน นับว่าเป็นเครื่องมือสาคัญในการแนะแนวและการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอน

การกวาัดรแวลัดะแปละรปะเรมะนิเมผนิ ลผกลากราเรรเยี รนยี รนู้ รู้ 27 27

การทาสังคมมิติมีวิธีการง่าย ๆ ก็คือใช้คาถามเพียงหน่ึง สองหรือสามประโยคถามผู้ตอบแต่ละคน
เช่นถามว่า ท่านชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ร่วมกับใคร ชอบนั่งใกล้ใครมากที่สุด หรือใครเอ่ยท่ีท่านรักมาก
ทีส่ ุดในชั้นเรียน ทา่ นชอบเล่นกับใครมากทส่ี ดุ ฯลฯ และรอง ๆ ลงไปอกี 2 คน รวมเปน็ 3 คน

จากคาถามดังกล่าว ให้เด็กตอบ โดยเขียนชื่อของตนเอง และช่ือเพ่ือนที่ถูกเลือกสรร การเขียน
คาตอบอาจจะเป็นดังนี้

ขอเลอื ก ชือ่ ……………………………………………………….( ผู้เลือก )
1. ……………………………………………………….
2. ……………………………………………………….
3. ……………………………………………………….

ครคู วรอธบิ ายให้เด็กทราบว่า จะเก็บกระดาษคาตอบของเดก็ ไว้เป็นความลับ และเม่ือเด็กตอบเสร็จ
แลว้ ครูก็นาข้อมูลเหลา่ นัน้ มาวเิ คราะห์

เทคนคิ การวิเคราะห์และตคี วามหมายข้อมลู สังคมมติ ิ
การวเิ คราะหข์ อ้ มูลสังคมมิติ อาจใชว้ ธิ ใี ดวธิ หี น่ึงใน 3 วิธี ตอ่ ไปน้ี
1. โดยวธิ ีใช้ตารางสังคมมติ ิ (Sociometric Matrices)
2. โดยวธิ ใี ช้แผนสังคม (Sociograms)
3. โดยวิธีใช้ดัชนสี งั คมมติ ิ (Sociometeic Indices)
1. โดยวธิ ีใช้ตารางสังคมมิติ
ตารางสงั คมมิตเิ ป็นตารางสเี่ หลี่ยมจตั ุรสั โดยมจี านวนช่องในแกนนอนเทา่ กับจานวนชอ่ งในแกนต้ัง
จานวนช่องจะมีมากน้อยเท่าใดน้ัน ขึน้ อยูก่ ับจานวนสมาชกิ ของกลุ่ม กล่าวคอื ถ้าสมาชิก n คน กจ็ ะมจี านวน
ช่อง n ชอ่ ง ตามแนวนอน และ n ชอ่ ง ตามแนวตั้ง
เพือ่ ความเข้าใจดียง่ิ ขน้ึ ในท่ีน้ี จะสมมตวิ ่ามคี นอยู่ 6 คน คือ A , B, C, D, E และ F ใหเ้ ลอื กคน
ขน้ึ มา 2 คน ท่มี สี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมนมี้ ากท่สี ดุ
กรณีนี้ ตารางทใี่ ชค้ ือ

ผไู้ ดร้ ับเลอื ก A B C D E F
ผู้เลือก
A
B
C
D
E
F
รวม

28 การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้
การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 28

กาหนดใหว้ ่าคนที่ถูกเลอื กจะได้ 1 คะแนน คนทไ่ี ม่ถูกเลอื กจะได้ 0 คะแนน และสมมตุ ิต่อไปวา่
การแจกแจงของคะแนนของคนท่ถี กู เลอื กเปน็ ไปตามลักษณะขา้ งล่างน้ี

ผู้ไดร้ ับเลอื ก A B C DEF
ผู้เลอื ก
A - 0 1 010
B 0 - 1 010
C 1 0 - 010
D 0 0 1 -10
E 0 1 1 0-0
F 0 0 1 01-
รวม 1 1 5 0 5 0

จากคะแนนท่ไี ด้ เราสามารถตคี วามได้วา่
C และ E มีคนเลือกมากทสี่ ดุ เท่ากันทั้งสองคน คือไดค้ นละ 5 คะแนน
A และ B มคี นเลอื กเพียง 1 คน เทา่ นัน้ ได้คนละ 1 คะแนน
D และ F ไมม่ ีคนเลอื กเลย

2. โดยวธิ ใี ช้แผนผงั สังคม
การวิเคราะหข์ อ้ มูลสังคมมติ ิแบบแผนผงั สังคม จะไมน่ ิยมใชใ้ นกรณีมีจานวนสมาชิกในกลุม่ มาก ๆ
เพราะจะยุง่ ยากมากในการพิจารณา
ในกรณมี ีสมาชกิ ไม่มากนกั แผนผังสงั คมจะช่วยใหเ้ หน็ แบบแผนของความสมั พันธท์ างสังคมไดอ้ ย่าง
ชัดเจนมาก ตัวอยา่ ง เชน่ จากขอ้ มลู ในตารางสงั คมมิตขิ ้างตน้ เราสามารถนามาสร้างแผนผังสังคมได้ ดังนี้
AB

CE

DF
แผนผังสังคม : แสดงการเลอื กคน 2 คน จาก 6 คน

จากแผนผงั สังคมจะเห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ D และ F ไมม่ ีใครเลือกเลย C และ E มีคน
เลือกเทา่ ๆ กนั และไดร้ บั เลอื กจากสมาชกิ ทกุ คน สว่ น A ไดร้ บั เลือก C ขณะท่ี B ได้รับเลือกจาก E

การกวาัดรวแดัลแะลปะรปะรเะมเนิ มผินลผกลากราเรรเยีรยีนนรรู้ ู้ 2929

อน่ึง สาหรับ A น้ัน เลือก C (A  C) ในขณะเดียวกับ C ก็เลือก A (C  A) การเลือก
แบบนี้อาจเรียกว่า การเลือกแบบ “ถ้อยทีถ้อยอาศัย (Clique)” เวลาเขียนลูกศรจึงนิยมเขียนแบบ
“A  C” แตโ่ ปรดสงั เกตว่า A เลือก E แต่ E กลบั ไม่เลอื ก A (A  E)

3. โดยวิธีใชด้ ัชนสี ังคมมิติ
วิธกี ารคานวณหาดัชนีสงั คมมติ ิ มมี ากมายหลายวธิ ี สาหรับในท่ีน้ีจะไดน้ ามาเสนอไวเ้ พียงวิธีเดยี ว
เพื่อหาคา่ สถานะทางสงั คมของกลุ่มบุคคลโดยใช้สตู ร

S =n
N–1

S = สถานภาพทางสงั คม
n = จานวนคนท่ีเลือก
N = จานวนคนทงั้ หมดในกลุ่ม

ตามตัวอย่างขา้ งต้น เราสามารถคานวณหาคา่ สถานะทางสงั คมของคน 6 คน ได้ดงั นี้
1
A = 6 1 = 0.2

B = 1 = 0.2
6 1

C = 5 = 1.0
6 1

D = 0 = 0.0
6 1

E = 5 = 1.0

6 1

F = 0 = 0.0
6 1
ประโยชน์ของสงั คมมติ ิ
1. ใช้ศกึ ษารปู แบบความสมั พนั ธ์ทางสงั คมของสมาชิกภายในกล่มุ
2. ใช้ในการวจิ ัยปฏบิ ตั ิการ (Action Research) เช่น
2.1 ปญั หาการปรบั ตัวทางสงั คม
2.2 ปญั หาการเรียนการสอน
2.3 ปัญหาสงั คมตา่ ง ๆ
2.4 ปญั หาทางดา้ นการศึกษา
3. ใช้ในการแนะแนว
4. ใช้ศึกษาและแกป้ ญั หาทางดา้ นจิตวทิ ยา
5. ใชแ้ สดงความสัมพนั ธ์ของบคุ คลทม่ี ีตอ่ กนั

30 การวดั กแาลระวปดั รแะลเะมปินผระลเกมาินรเผรลียกนารรู้ เรยี นรู้ 30

9. การศกึ ษารายกรณี (Case Study)

การศึกษารายกรณี หรือการศึกษาเฉพาะกรณี เป็นวิธีการศึกษาพฤติกรรมระยะยาวอย่างหน่ึง แต่
อาจใช้เวลาเพียง 2 - 3 เดือน หรืออาจจะนานเป็นปีก็ได้ ซึ่งแล้วแต่วัตถุประสงค์ของผู้ศึกษา การศึกษาราย
กรณีมักใช้ศึกษาเด็กอายุต่าง ๆ กันตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งถึงรายผู้ใหญ่ การศึกษารายกรณี หรือการศึกษา
เฉพาะกรณี เป็นการศึกษาประวัติเป็นรายบุคคล (Case + History) ซ่ึงจะต้องมีข้อมูลเกย่ี วกับตวั เดก็ หรือผู้ท่ี
จะศึกษาอย่างสมบรู ณ์ ทง้ั ด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ตง้ั แต่เกิดจนถึงปจั จุบัน นอกจากนย้ี ังควร
มขี อ้ มลู เก่ียวกับสถานภาพของผถู้ ูกศึกษา ส่วนมากการศกึ ษาประวัติเป็นรายบุคคลมักทาโดยนักจิตวิทยาคลินิก
ซึ่งทางานเก่ียวกับการแก้ปัญหาพฤติกรรมต่าง ๆ ให้การรักษาบาบัดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาในคลินิก ครูแนะ
แนวและนักสังคมวิทยา ทาการศึกษาเฉพาะกรณีเพ่ือนาความรู้มาใช้แก้ปัญหา หรือค้นหาข้อบกพร่องต่าง ๆ
ของบุคคล หรือนักเรียน สาหรับครูจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของเด็กได้ดีข้ึน และสามารถจัดการสอนให้
เหมาะสมกบั แต่ละบุคคลไดด้ ดี ้วย ดงั นั้น การศึกษารายกรณีจึงเป็นท่นี ยิ มในโรงเรียนต่าง ๆ

การศึกษารายกรณี จึงเป็นไปในรูปของการวิเคราะห์และตีความข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้ การศึกษา
รายกรณอี าจนามาใชเ้ พ่อื จุดมุ่งหมายดงั ตอ่ ไปน้ี

1. เพ่ือเปน็ พื้นฐานสาหรับการศกึ ษาบคุ คลท่วั ไป
2. เพ่อื เป็นพน้ื ฐานสาหรบั การวินจิ ฉัย
3. เพ่อื การวจิ ยั
4. เพอื่ ช่วยใหค้ รมู ีความเขา้ ใจเดก็ ดขี ึ้น
ลาดบั ขั้นของการศกึ ษารายกรณี มขี น้ั ในการดาเนนิ การ 6 ขน้ั คือ
1. ข้นั รวบรวมข้อมูล (Collection of the Data) ข้นั น้ีจะช่วยใหค้ รูรูจ้ ักเดก็ ที่จะศึกษาได้ดีข้ึนโดย
ใช้เครื่องมอื หลายอย่าง เช่น ระเบยี นสะสมระเบยี บพฤติการณ์
2. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis) ข้ันน้ีอาจทาโดยวิธีประชุมศึกษา โดยการเชิญบุคคลท่ีเกี่ยวข้อง
มาร่วมกนั พิจารณาข้อมูล
3. ข้ันวินิจฉัยปัญหา (Diagnosis) เป็นการนาเอาผลการวิเคราะห์ข้อมูลมาพิจารณาเพื่อวินิจฉัย
สาเหตุของปัญหา
4. ขั้นการสังเคราะห์ข้อมูล (Synthesis) ข้ันนี้เป็นการศึกษาข้อเท็จจริงเพ่ิมเติม อาจใช้การสังเกต
การสัมภาษณ์ การทดสอบ ฯลฯ แล้วนาข้อมลู ใหม่มาสังเคราะห์เข้าด้วยกนั กับข้อมูลเดมิ เพือ่ ชว่ ยให้เข้าใจ
ปญั หาและทาการวินิจฉยั ปัญหาไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์
5. ขั้นการแก้ปัญหา (Treatment) ข้ันน้ีเป็นการคิดหาวิธีการต่าง ๆ ท่ีจะนามาช่วยเหลือและแนะ
แนวเดก็ ในการแกไ้ ขปัญหาและปรับตวั ให้เหมาะสมตอ่ ไป
6. ขั้นติดตามผล ( Follow – Up) หลังจากดาเนินการแก้ไขเด็กท่ีมปี ัญหาแลว้ จาเป็นต้องตดิ ตามดู
ผลเพอ่ื ปรับปรุงแก้ไขต่อไป

การกวาัดรวแดัลแะลปะรปะรเะมเนิ มผนิ ลผกลากราเรรเยีรยีนนรรู้ ู้ 3131

การทาการศึกษารายกรณีกับเด็กในโรงเรียน จะเลือกเด็กที่มีลักษณะเป็นเด็กมีปัญหา เช่นเด็กที่มี
ปญั หาในการปรับตวั เด็กที่ฉลาดมาก ๆ ฯลฯ บุคคลทีจ่ ะเป็นผู้ทาการศึกษารายกรณี กค็ ือ ครู ผ้แู นะแนว

ข้อจากัดการศกึ ษารายกรณี
1. ตอ้ งใช้เวลามากในการรวบรวมข้อมูล และแปลความหมายของข้อมลู
2. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลในอดีตของเดก็ กระทาไดย้ าก และมักได้ข้อมลู ไม่เพียงพอ
3. ความรู้ความสามารถของผู้กระทาการศึกษารายกรณี เป็นอุปสรรคท่ีสาคัญที่จากัดขอบเขต
การศึกษารายกรณี

10. การใหส้ รา้ งจติ นาการ (Projective Technique)

การให้สร้างจิตนาการหรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งวา่ กลวิธีให้ระบายความในใจเป็นการวัดความรู้สึก
นึกคิด จากจิตนาการของบุคคลขณะเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ เทคนิคของการวัดแบบนี้จึงเป็นการจัดให้
บุคคลได้พบกับสถานการณ์ง่าย ๆ เพ่ือให้ผู้นั้นเขียนบรรยายความรู้สึกหรือความคิดเห็นของตนอย่างอิสรเสรี
ขณะอยู่ในสถานการณ์น้ัน แล้วนาคาบรรยายมาแปลความหมายเพื่อวัดความรู้สึก ความคิดเห็น หรือใช้
ทานายบุคลิกภาพ และทัศนคติต่อสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนปัญหาส่วนตัวของผู้ตอบ สถานการณ์ที่จัดขึ้นจึงเป็น
สิ่งเร้า ซง่ึ อาจทาได้หลายวิธี (นริ ันดร์ จลุ ทรพั ย์, 2539, น. 209-213) ดังน้ี

1. ให้เขียนบรรยายความรู้สึก เป็นการให้ผู้ตอบบรรยายความรู้สึกนึกคิด หรือสร้างจิตนาการเม่ือ
เผชญิ กับสิง่ เรา้ ท่ีจัดให้ ซง่ึ อาจทาได้หลายรูปแบบ ดังน้ี

1.1 วัตถุ เชน่ ก้อนหิน กิ่งไม้ ท่มี ีรูปทรงแปลก ๆ ฯลฯ
1.2 รูปภาพ เชน่ ภาพหยดหมกึ (Ink – Blot) ภาพลางเลือน ฯลฯ
ภาพหยดหมึก (Rorschach Ink–Blot) พัฒนาโดยจิตแพทย์ชาวสวิส ช่ือ Hermann Rorschach
นาภาพหยดหมกึ มาใชค้ น้ ควา้ วินจิ ฉยั บคุ ลกิ ภาพ ภาพหยดหมึกในจานวน 10 ภาพนม้ี ีอยู่ 5 แผ่นทีร่ อยหยด
หมึกเป็นสีเทาและสีดาเท่าน้ัน และมีอยู่ 2 แผ่นที่มีสีแดงเพิ่มเติมเข้าไปบางส่วน และที่เหลืออีก 3 แผ่น
เป็นภาพท่ีมีสีผสมกันหลายสี ในขณะท่ีผู้รับการทดลองดูภาพหยดหมึกแต่ละแผ่นเขาจะไดร้ ับคาสงั่ ให้บอกว่า
เห็นอะไรในภาพ และภาพเหล่านั้นแทนอะไรได้บ้าง ผทู้ ดสอบจะจดบันทึกตามคาบอกเล่าและบันทึกเวลาที่
ใช้ในการตอบสนอง ตลอดจนตาแหน่งของภาพท่ีเขาจับมองดู ข้อคิดท่ีพูดออกมา อารมณ์ท่ีแสดงออกและ
พฤติกรรมอนื่ ๆ ท่ีแสดงออกมาโดยบังเอิญ หลังจากใหเ้ ขาดภู าพครบท้ัง 10 แผ่น แล้วและนาผลการทดสอบ
ไปวิเคราะหแ์ ละตคี วาม ตัวอย่างภาพดงั นี้

1.3 เสียงดนตรี เชน่ เสียงบรรเลงพวกเคร่อื งสายไทยเสยี งเพลงซิมโฟน่ี ฯลฯ

32 การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ 32

2. ใหเ้ ขียนเรยี งความ เปน็ การให้ผตู้ อบแต่งความโดยกาหนดช่ือเรื่องให้ ซ่งึ ช่ือเรื่องท่ีกาหนดใหน้ ้ัน
ควรมีลักษณะทจ่ี ะชกั จงู ให้ผ้ตู อบบรรยายความรสู้ ึก หรอื ทศั นะของตนเอง วธิ ีนีอ้ าจทาได้ 2 แบบ ดังน้ี
2.1 กาหนดชื่อเรอ่ื ง ใหเ้ ขยี นเรยี งความเชน่ อนาคตของฉนั คนดใี นทัศนะของข้าพเจ้า
2.2 กาหนดขอ้ ความขึน้ ต้นไว้แลว้ ใหเ้ ขยี นต่อเชน่

ถา้ ข้าพเจ้ามเี งินเดอื น ข้าพเจ้าจะ…………………………………………………………………………………..
มนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อม……………………………………………………………………………………………….
2.3 เล่าเรื่องคา้ ง หรือเลา่ ไม่จบ แล้วให้เขียนเรอื่ งต่อเตมิ ให้จบ
3. ให้เขียนคาทเี่ ปน็ สงิ่ ท่รี ะลกึ วธิ นี ้ีเป็นการกาหนดคาให้แล้วให้ผตู้ อบเขียนคาท่ีแสดงถงึ ความรู้สกึ
หรือสงิ่ ทร่ี ะลกึ ถงึ เปน็ ส่งิ แรก โดยไม่ให้ผู้ตอบคดิ ไตร่ตรองนาน เพราะจะทาให้ไม่ตรงตามความเปน็ จริง ดังน้ี
3.1 กาหนดคาซ่งึ อาจจะเปน็ สถานที่ บคุ คล สัตว์ หรือสง่ิ ของ แลว้ ให้ผูต้ อบเขยี นส่งิ ที่ระลึกถึง
เป็นส่งิ แรกเพือ่ ใหใ้ ช้ทานาย ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสง่ิ ทก่ี าหนดใหก้ บั ส่ิงทใี่ ห้ผู้ตอบระลึกถึง

บ้าน (แม่)
โรงเรยี น (อาหารกลางวนั )
3.2 กาหนดคา ซ่ึงอาจจะเปน็ สถานท่ี บคุ คล สัตว์ หรอื สง่ิ ของ แลว้ ให้ผ้ตู อบเขียนคาทแ่ี สดง
ความรู้สกึ ของตนที่มตี อ่ สง่ิ นั้น
บ้าน (อึดอดั )
โรงเรยี น (เบือ่ )
3.3 กาหนดคาที่เปน็ ความร้สู ึก แลว้ ใหผ้ ู้ตอบเขยี นคาท่เี ปน็ สถานท่ี บคุ คล สตั ว์ หรือส่ิงของที่
ระลกึ ถึงเป็นสิ่งแรก เชน่
รกั (แม่)
เกลียด (ครู)
คดิ ถึง (ขนม)
4. ให้เลอื กภาพ วิธีน้จี ะกาหนดภาพต่าง ๆ ให้แล้วใหผ้ ู้ตอบเลือกภาพทต่ี นชอบมากทส่ี ดุ หรือคดิ วา่
สาคญั ทีส่ ดุ ซึง่ อาจทาได้ 3 วธิ ี ดังน้ี

4.1 ให้เลอื กภาพกาหนดภาพให้หลาย ๆ ภาพ แล้วใหผ้ ูต้ อบเลอื กภาพท่ีชอบทสี่ ุด หรือคดิ ว่า
สาคัญทส่ี ดุ
4.2 ใหเ้ รียงลาดบั ภาพ กาหนดภาพหลาย ๆ ภาพ แลว้ ใหผ้ ตู้ อบเรยี งลาดบั ภาพ จากภาพท่ี
ชอบมากท่ีสดุ ไปถงึ ภาพทชี่ อบน้อยที่สดุ
4.3 ให้กาหนดภาพ กาหนดภาพใหห้ ลาย ๆ ภาพ แลว้ ใหผ้ ตู้ อบแยกภาพออกเปน็ 2 ส่วน คอื
ภาพท่ีชอบกบั ภาพทไี่ ม่ชอบ
5. การเลน่ ละคร
วธิ นี จ้ี ะตอ้ งกาหนดใหแ้ สดงละครส้ัน ๆ โดยไม่ใหเ้ ตรียมตวั ล่วงหนา้ เพ่ือสงั เกตความคดิ เหน็ หรอื

จินตนาการจากการพดู กริ ิยาทา่ ทาง เหตกุ ารณ์ ตลอดจนลักษณะการสรา้ งเรอ่ื งของผู้แสดง

การกวาดัรวแดั ลแะลปะรปะรเะมเนิมผนิ ลผกลการารเรเรยี ียนนรรู้ ู้ 3333

หลักในการให้สรา้ งจิตนาการ
1. เครือ่ งมือที่ใช้ ควรมีลักษณะเป็นกลาง ๆ ไม่ควรเนน้ ไปในทางดี หรือทางไม่ดี เพราะจะเปน็ การ
โนม้ น้าวความรู้สึกของผู้ตอบ ทาให้ไม่ไดข้ ้อความจรงิ เช่น ไม่ควรเป็นภาพสงคราม หรือเป็นเพลงเศร้า หรือ
เพลงปลกุ ใจ
2. ผู้ใช้ต้องมีความชานาญ และมีความระมัดระวังในการแปลความหมายของคาตอบ ควรให้ผู้อื่น
ตรวจซ้า เพ่ือเปน็ การตรวจสอบอีกคร้ังหนึง่
3. ควรสร้างบรรยากาศที่ดี ขณะท่ีทดสอบ กล่าวคือ จัดสถานที่และบรรยากาศท่ีสบาย ๆ ไม่อึด
อดั หรือเคร่งเครยี ด และปราศจากเสียงรบกวนตา่ งๆ
4. ไม่ควรกาหนดเวลาในการตอบท่ีสั้น หรือเร่งรัดจนเกินไป เพราะจะทาให้ผู้ตอบรีบร้อนจนไม่เกิด
จนิ ตนาการ
5. ผู้ทดสอบจะต้องมีความเป็นกันเอง และยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เคร่งเครียด หรือแสดงท่าทางเอาจริง
เอาจงั ทงั้ น้เี พอ่ื ใหผ้ ูต้ อบเกิดความไว้วางใจและร้สู ึกผอ่ นคลาย
6. ควรใช้ควบคูก่ ับเทคนิคอ่นื ๆ จงึ จะได้ข้อมูลครบถ้วน
ข้อดีของการใหส้ รา้ งจติ นาการ
การให้สรา้ งจติ นาการ เปน็ เครอื่ งมือวดั ท่มี ขี ้อดี ดังน้ี
1. เปน็ เคร่ืองมอื วัดท่สี รา้ งเครือ่ งมือไดง้ า่ ย ในบางครัง้ ใชอ้ ุปกรณง์ า่ ย ๆ เชน่ ก้อนหนิ กิ่งไม้
2. ผตู้ อบมีอิสระในการตอบ สามารถบรรยายตามความรูส้ ึกนึกคดิ โดยไม่จากัดขอบเขตทาให้เขยี น
บรรยายไดเ้ ต็มที่ ซึง่ จะทาใหไ้ ด้ความจริงจากผู้ตอบ
3. ผู้ตอบไม่ต้องใช้ความรู้หรือสติปัญญามากนัก ทาให้ไม่เคร่งครัดในการตอบเพียงแต่แสดง
ความรสู้ ึกตามความเปน็ จรงิ เทา่ นั้น
4. คาตอบท่ีได้จะแสดงให้เห็นถึงทัศนะ ความหมาย บุคลิกภาพ ทัศนคติ หรือความคิดเห็นของ
ผู้ตอบอย่างแท้จริง
ข้อจากดั ของการใหส้ ร้างจินตนาการ
การให้สร้างจิตนาการ เป็นเครื่องมือวัดที่ยังไม่แพร่หลายนัก โดยเฉพาะในประเทศไทย ท้ังน้ีอาจ
เนอื่ งมาจากลักษณะเฉพาะของเครือ่ งมอื ซึ่งมีดงั นี้

34 การวดั กแาลระวปดั รแะลเมะปนิ ผรละเกมาินรเผรลียกนารู้รเรียนรู้ 34
1. เปน็ การวัดทางอ้อม มใิ ช่เปน็ การถามปัญหาโดยตรง
2. สร้างเกณฑ์ในการแปลความหมายของคาตอบได้ยาก น่ันคือ เมื่อผู้ตอบบรรยายความรู้สึกเป็น

ขอ้ ความแล้ว จะต้องนาข้อความนั้นมาตีความหมายว่าผู้ตอบมีบุคลิกภาพ ทัศนคติ หรอื ปัญหาอะไร ซ่ึงทา
ไดย้ าก

3. ผู้ท่ีจะใช้เคร่ืองมือประเภทน้ีได้ต้องมีความชานาญในการใช้เครื่องมืออย่างมากถึงแม้จะมีเกณฑ์
การแปลความหมายไวแ้ ล้วก็ตาม แตก่ ารบรรยายของกลุม่ ตวั อย่างก็มักผดิ แปลกแตกตา่ งกันไปทาให้มีโอกาสท่ี
จะแปลความหมายผดิ ไดม้ าก

4. เปน็ เคร่อื งมือท่ขี าดความเป็นปรนัย ความเท่ียงตรง และความเชอื่ ม่นั เนอ่ื งจากผตู้ อบอาจตอบ
ไม่ตรงกนั ทุกครัง้ และการแปลความหมายของคาตอบกอ็ าจไม่ตรงกัน หรืออาจแปลความหมายผดิ ได้

การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 35

บทที่ 3

แบบทดสอบ

ความหมายของแบบทดสอบและการทดสอบ

ข้อสอบ (Test Item) หมายถึงชุดคาถามหรือส่ิงเร้าท่ีใช้กระตุ้นให้ผู้สอบตอบสนองเป็นพฤติกรรม
อย่างใดอย่างหนึ่งออกมาให้สังเกตได้ วัดได้ ดังน้ัน แบบทดสอบซึ่งประกอบด้วยกลุ่มของข้อสอบ ท่ีสร้างขึ้น
เพือ่ ใหผ้ ูส้ อบแสดงพฤตกิ รรมอย่างอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาให้สามารถวัดได้ ข้อสอบ (Test Item) เมื่อรวมเข้า
ด้วยกันหลาย ๆ ข้อเป็นฉบับ เราเรียกว่า แบบทดสอบ (Test Paper) และเมื่อนาแบบทดสอบไปให้นักเรียน
สอบ นักเรียนก็คิดหาคาตอบอาจเป็นการเขียนตอบแบบบรรยาย การทาเคร่ืองหมายใด ๆ ก็ตอบออกมาเป็น
พฤตกิ รรมที่ตอบสนองต่อแบบทดสอบ เราก็วัดออกมาได้เป็น “คะแนน” การทดสอบ จึงถือว่า “เป็นกลมุ่ งาน
ใด ๆ ท่ีมีการตอบสนอง และสังเกตได้ วัดได้” ฉะนั้นตามนัยของความหมายนี้ การถามคาถามในการสอบ
สัมภาษณ์ การให้ปฏิบัติงานใด ๆ กเ็ ปน็ การทดสอบดว้ ย (อทุ มุ พร จามรมาน, 2544)

การทดสอบ (Testing) จึงเป็นการให้คาถามหรือส่ิงเร้าแก่ผู้ถูกทดสอบ เพ่ือให้ตอบสนองต่อคาถาม
หรือสิ่งเรา้ น้ัน และสังเกตได้ วัดได้ จากการตอบสนองน้ัน ๆ ดังนั้นการให้นักเรยี นตอบคาถามในข้อสอบถือว่า
เปน็ การทดสอบ การถามด้วยปากเปล่า ผู้ถกู ถามพยักหนา้ หรอื สั่นหนา้ แสดงอาการเห็นด้วยหรอื ไมเ่ ห็นด้วย ก็
เป็นการทดสอบ การทีน่ ักเรยี นเขียนรายงานส่งตามคาสั่งกเ็ ป็นการทดสอบ เพราะมพี ฤติกรรมสนองตอบ และ
สงั เกตได้วดั ได้ จากพฤติกรรมที่สนองตอบนัน้

ประเภทของแบบทดสอบ

1. แบ่งโดยใช้วธิ ตี อบเป็นเกณฑ์ (วิเชยี ร เกตุสิงห์, 2515, ออนไลน์) แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ชนิด คือ
1.1 แบบทดสอบเขียนตอบ (Essay Test) แบบทดสอบแบบนี้ มีลักษณะสาคัญท่ีผู้ตอบต้อง

เขยี นตอบยาว ๆ ขอ้ สอบมนี อ้ ยขอ้ แตล่ ะขอ้ อาจต้องตอบถงึ 2-3 หน้า แลว้ แตล่ ะขอบเขตและระดับช้นั
1.2 แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) เป็นชนิดท่ีผู้ตอบ ตอบเพียงสั้น ๆ หรือเพียงทา

เครอื่ งหมายใด ๆ ในการตอบเท่านั้น ซ่ึงมหี ลายรูปแบบ (บญุ เชิด ภิญโญอนนั ตพงษ์, 2526, ออนไลน์) คอื
ก. แบบให้ตอบคาถามเพียงสนั้ ๆ (Short Response)
ข. แบบถกู –ผดิ (True - False)
ค. แบบจบั คู่ (Matching)
ง. แบบเตมิ ข้อความใหส้ มบรู ณ์ (Completion)
จ. แบบเลอื กตอบ (Multiple Choices)

1.3 แบบทดสอบใหป้ ฏิบตั ิ (Performance Test) เปน็ แบบทดสอบท่ใี ชว้ ดั งานภาคปฏิบัติ ส่วน
ใหญ่เป็นแบบให้ปฏิบัติ ให้ทางานตามที่กาหนดให้ เช่น สอบภาคปฏิบัติพลานามัย ศิลปปฏิบัติ ดนตรีปฏิบัติ
นาฎศลิ ป์ปฏิบัติ เป็นตน้

36 การวัดกแาลระวปดั รแะลเมะปนิ ผรละเกมาินรเผรลยี กนารู้รเรียนรู้ 36
2. แบ่งโดยใช้วิธดี าเนินการสอบเป็นเกณฑ์ ซงึ่ มี 6 ชนิด คือ
2.1 แบบสอบรายบุคคล (Individual Test) เป็นแบบทดสอบที่สอบได้ทีละคน เช่น การสอบ

สมั ภาษณ์ การสอบปากเปล่าท่ีต้องการขอ้ มูลละเอียด เชน่ การวัดคุณลกั ษณะทางจิตวิทยา ได้แก่ การปรับตัว
ความโกรธ ความกลัว โรคประสาทหรือใชเ้ ม่อื เคร่อื งทดสอบมีอยู่นอ้ ย เช่น การทดสอบเครื่องจักรเครื่องกล

2.2 แบบทดสอบเป็นกลุ่ม (Group Test) เปน็ แบบทดสอบทใี่ ชส้ อบทีละหลาย ๆ คน แบบทดสอบ
ประเภทนี้ใช้สะดวก ป้องกันอคติ และความลาเอียงได้ดีกว่าสอบรายบุคคล เหมาะที่ จะเปรียบเทียบผลงาน
ของแตล่ ะคนกับกลมุ่ และทดสอบได้จานวนมากในช่วงเวลาทมี่ อี ยู่จากดั

2.3 แบบทดสอบวัดความเร็ว (Speed Test) เป็นแบบทดสอบท่ีจากัดงานหรือเวลา แยกเป็น
2 ประเภทยอ่ ย คอื

ก. แบบจากัดเวลา (Time–Limit Test) แบบทดสอบชนิดน้ีจะกาหนดเวลาไว้ให้น้อย ๆ
การวัดผล ดูจากผลงานว่าใครทาได้มาก มี คณุ ภาพดีกวา่ กัน ในเวลาทีเ่ ทา่ กัน เช่น วิชาคัดไทยท่กี าหนดเวลาให้
คัดกี่จบกไ็ ด้

ข. แบบจากัดงาน (Work Limit Test) แบบทดสอบชนิดนี้ ไม่กาหนดเวลาให้ แต่กาหนด
งานให้ปรมิ าณหนึ่ง ใครทาได้ดีมคี ณุ ภาพ โดยใชเ้ วลาน้อยกว่ากจ็ ะได้คะแนนดีกว่า

2.4 แบบทดสอบวัดความสามารถสูงสุด (Power Test) แบบทดสอบนี้ทาให้ขอ้ สอบได้โดยไม่จากัด
เวลา ทาจนสิ้นความสามารถ ได้เท่าไรก็เป็นระดับความสามารถสูงสุดของผู้น้ัน แบบทดสอบชนิดน้ีจะไม่
คานึงถงึ เวลาที่ใช้ และไมน่ ามาใช้เป็นเกณฑ์ให้คะแนนด้วย แต่จะพิจารณาผลงานท่ีทาออกมาไดเ้ ป็นเกณฑ์ ว่า
มีคุณภาพสูงต่า เพียงไร แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ท่ัวไป เป็นแบบผสมระหว่างแบบจากัดความเร็วกับแบบให้
สอบเต็มความสามารถ โดยใหง้ านจากดั ทาในเวลาจากัด

2.5 แบบทดสอบข้อเขียน (Written Test) เป็นแบบชนิดท่ีเขียนตอบเรียกอีกอย่างว่า (Paper–
pencil Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้ท่ัว ๆ ไปในปจั จุบัน

2.6 แบบทดสอบปากเปลา่ (Oral Test) เป็นแบบทดสอบรายบุคคลชนิดหน่งึ แตแ่ ยกเป็นอกี แบบ
หนงึ่ เพราะมีลกั ษณะพเิ ศษตรงท่ตี ้องตอบปากเปลา่ เชน่ การสอบสัมภาษณ์ การอา่ น เปน็ ต้น

3. แบ่งโดยใช้การนาผลการสอบไปใช้ และวิธีการสร้างแบบทดสอบเป็นเกณฑ์การจัดประเภท
แบบทดสอบแบบนี้คานึงถึงจุดมุ่งหมายของการสอบ หรือการนาผลการสอบไปใช้ จาแนกเป็น 2 ประเภท
ยอ่ ย (ภทั รา นคิ มานนท์, 2543, น. 22-26) คอื

3.1 แบบทดสอบท่ีครูสร้างเอง (Teacher – made Test) เป็นแบบทดสอบท่ีครูสร้างข้ึนเพ่ือใช้เป็น
เคร่ืองมือวดั ในกิจกรรมการเรยี นการสอน โดยเฉพาะอาจสร้างขึ้นเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์จากท่ีได้เรียนไปแล้ว อาจ
ใชเ้ พอ่ื กระต้นุ ให้สนใจการเรียน หรอื ดคู วามพร้อมของนักเรียนก่อนเรียนบทเรียนใหม่ แบบทดสอบชนิดน้ีจึงมี
ประโยชน์สาคญั อยู่ทส่ี ามารถสรา้ งใหเ้ หมาะสมกับสภาพการเรียนรูข้ องนกั เรยี น หรอื เหตกุ ารณ์ไดด้ ี

การกวาดัรวแัดลแะลปะรปะรเะมเนิมผนิ ลผกลการารเรเรยี ียนนรรู้ ู้ 3737

3.2 แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) แบบทดสอบประเภทนี้ใช้สาหรับเปรียบเทียบ
กับกลุ่มเป็นสาคัญว่า เม่ือเปรียบเทียบกับกลุม่ แล้ว อยู่ในอันดับเท่าใดของกลุ่ม ต่าหรือสูงกว่าคนกลาง ๆ ของ
กล่มุ คาว่า “มาตรฐาน” ในที่น้มี ิได้หมายความว่า ดี วิเศษ แตห่ มายถงึ “เป็นแบบเดียวกนั ” ข้อสอบมาตรฐาน
จงึ มีส่งิ ท่ีถือว่า “เปน็ แบบเดียวกนั “ อยู่หลายประการคือ

ก. ดาเนินการสอบแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะไปสอบกับใครท่ีไหน เรียกกว่ามี “มาตรฐานในการ
ดาเนินการสอบ” เชน่ ให้เวลาเทา่ กันพอดี ใหค้ าอธบิ ายคาชี้แจงเหมอื นกนั เปน็ ต้น

ข. เกณฑ์การให้คะแนน เป็นแบบเดียวกัน มีกฎเกณฑ์การให้คะแนนไว้ชัดเจน เรียกว่ามีมาตรฐาน
ใน “การให้คะแนน”

ค. การแปลความหมายคะแนน ใช้เกณฑ์เดียวกัน คะแนนที่ได้จากการทาแบบทดสอบมาตรฐาน
จะต้องเทียบกับเกณฑ์เดียวกัน เช่น เทียบว่าเก่งกว่าใครกี่คนจาก 100 คนถึงจุดมาตรฐานที่กาหนดไว้หรือไม่
น่ันคือ ข้อสอบมาตรฐานต้องมี “เกณฑ์ปกติ” ไว้เทียบอันเดียวกัน เช่นนี้เรียกว่า “มีมาตรฐานในการแปล
ความหมายคะแนน”

การสร้างแบบทดสอบมาตรฐานต่างจากการสร้างแบบทดสอบท่ีครูสร้างเองมากตรงที่ข้อสอบ
มาตรฐานเลือกเน้ือหาตรงตามจุดมุ่งหมายอย่างเคร่งครัด ขอ้ สอบแต่ละข้อเป็นข้อสอบทีด่ ี เช่น จาแนกคนได้ดี
คะแนนที่ได้ก็เช่ือมั่นได้สูง แต่ข้อแตกต่างมากท่ีสุดระหว่างข้อสอบมาตรฐานกับข้อสอบที่ครูสร้างเอง ก็คือ
“จุดมุ่งหมาย” ของแบบทดสอบเพราะข้อสอบที่ครูสร้างเอง มุ่งหมายเพ่ือวัดผลสัมฤทธิ์ว่ามีคุณภาพนั้นอยู่
หรือไม่ เรียนรู้แล้วหรือไม่ ส่วนข้อสอบมาตรฐานมุ่งในการเปรียบเทียบตาแหน่งว่า “อยู่อันดับใดของกลุ่ม อยู่
บนจุดใดของเส้นคะแนน” โดยเทียบกับเกณฑ์ปกติ เช่น สอบได้คะแนนท่ี T-score ท่ี 60 ของข้อสอบ
มาตรฐานระดับประเทศก็แสดงวา่ ชนะคน 85 คน จาก 100 คน ของคนระดับนน้ั ท้งั ประเทศ

4. แบง่ โดยใช้ส่ิงท่ีตอ้ งการวดั เป็นเกณฑ์ แบ่งเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ คอื
4.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) แบบทดสอบประเภทนี้หมายถึง

แบบทดสอบท่ีมุ่งวัดความรู้ ทักษะ สมรรถภาพด้านต่างๆ ท่ีได้รับจากประสบการณ์ทั้งปวงและมุ่งวัดทางด้าน
วิชาการเป็นสาคัญ ข้อสอบในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาโดยทั่วไป เป็นแบบทดสอบชนิดนี้ เช่น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และสังคมศึกษา เป็นต้น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ินี้สร้างขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายต่างกัน ก็เรียกชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น วัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน เรียกท่ัวไปก็เรียกว่า “แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน” (Scholastic Achievement
Test) ถ้ามุ่งวัดความพร้อมทางการเรียนก็เรียกว่า “แบบทดสอบวัดความพร้อม” (Readiness Test)
แบบทดสอบทีม่ ุ่งวนิ ิจฉัยผลการเรียนวา่ มจี ุดเด่น ด้อยตรงไหน กเ็ รยี กว่า “แบบทดสอบวินิจฉัย” (Diagnostic
Test) เปน็ ตน้ (สมพร เชื้อพันธ์, 2547, น.59)

4.2 แบบทดสอบความถนัด (Aptitude Test ) “ความถนัด” หมายถึงความสามารถอันเป็น
ผลรวมของสติปัญญา ความสามารถเฉพาะอยา่ ง และผลที่เกิดจากการสะสมของปรากฏการณ์ท้ังมวล เม่ือ
รวมกันแล้วทาให้มีความสามารถ หรือสมรรถภาพท่ีจะเป็นส่ิงหนึ่งได้มากน้อยต่างกันที่ความถนัดมากถนัด
น้อย เช่น เดก็ บางคนมคี วามถนดั ท่จี ะเรยี นคณิตศาสตรไ์ ดด้ ี แบบทดสอบความถนัดเปน็ แบบทดสอบที่มุ่ง

38 การวัดกแาลระวปัดรแะลเมะปนิ ผรละเกมานิรเผรลียกนารู้รเรยี นรู้ 38
วัดความสามารถเฉพาะด้านน้ัน ๆ ออกมาเพ่ือใช้พยากรณ์ คาดคะแนนผลการเรียน หรือการฝึกอบรมต่อไป
ในภายภาคหน้าว่าจะเรียนได้สาเร็จหรือไม่ อย่างไร โดยใช้ข้อเท็จจริงปัจจุบันเป็นรากฐานอนาคต ต่างจาก
แบบทดสอบผลสัมฤทธิต์ รงท่ีต้องการวัดความถนัด เป็นการวัดความสามารถโดยเฉพาะอย่าง เพื่อทานายผล
การเรียนในอนาคต จึงสอบก่อนเรียน ส่วนการวัดผลสัมฤทธ์ิ วัดภายหลังเรียน เพ่ือตรวจสอบดูว่า เรียนรู้
ได้มากน้อยเพยี งไร แบบทดสอบความถนัด แบ่งออกเปน็ 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ ความถนัดทางการเรียนท่ัวๆ
ไป (Scholastic Aptitude Test) เช่น ความมเี หตุผล ความจา เปน็ ตน้ แบบทดสอบวดั ความถนัดโดยเฉพาะ
(Personality Aptitude Test) เช่ น ค ว า ม ถ นั ด ท า ง ด น ต รี ท า ง วิ ศ ว ก ร ร ม ท า ง ภ า ษ า
(สมบรู ณ์ ตันยะ, 2545, น. 140)

4.3 แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ และการปรับตัว (Personality and Adjustment Test)
แบบทดสอบพวกนี้เป็นแบบทดสอบทางจิตวิทยา เช่น วดั ความก้าวร้าว ความวิตกกังวล บุคลิกภาพแบบเผด็จ
การ แบบประชาธปิ ไตย บุคลกิ ภาพหญิง-ชาย เป็นตน้ แบบทดสอบประเภทนีม้ หี ลายรูปแบบอาจเป็นมาตรวัด
(Scale) การสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และเครอื่ งมอื อ่ืนๆ ทางจติ วทิ ยา

4.4 แบบทดสอบความสนใจ (Interest Test) ได้แก่ แบบทดสอบวัดความสนใจเฉพาะเรื่อง เช่น
ความสนใจในอาชีพ สนใจในวิชาใดวชิ าหนงึ่ ฯลฯ

4.5 แบบทดสอบเจตคติ (Attitude test) เป็นแบบทดสอบสาหรับวัดความโน้มเอียงของบุคคล
ต่อเร่ืองต่าง ๆ ซ่ึงรวมถึง เจตคติ ค่านิยม ลักษณะนิสัย เช่น เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ เจตคติแบบ
ประชาธปิ ไตย เจตคติทางวิทยาศาสตร์ได้วัดกว้างขวางมากไม่ว่าจะเป็นเจตคติ ค่านิยมของบุคคล เร่ืองราว
ส่ิงของ หรอื ปรากฏการณ์ เชน่ เช้ือชาติ การเมือง สังคม ระบบเศรษฐกจิ ศาสนา และจรยิ ธรรม ฯลฯ

การเขียนขอ้ สอบเพ่อื วัดพฤตกิ รรมด้านพุทธิพิสัย

เนื่องจากแบบทดสอบท่ีอยู่ในลักษณะคาถามส่วนจะใช้ในการวัดด้านพุทธิพิสัย สาหรับการวัดด้าน
จิตพสิ ยั มกั จะเนน้ ที่การสังเกต ส่วนการวดั ด้านทักษะพิสยั น้ันจะเน้นการทดสอบด้วยการลงมอื ปฏบิ ัติเปน็ ส่วน
ใหญ่ สว่ นการเขียนขอ้ สอบนนั้ เน้นการวดั พฤติกรรมด้านพทุ ธิพิสยั ซง่ึ มีลกั ษณะเปน็ การวัดความสามารถทาง
สมองใน 6 ด้าน (เยาวเรศ จนั ทะแสน, 2553, ออนไลน์) ดังต่อไปน้ี

1. ความรู้-ความจา
1.1 ความรู้ในเนือ้ เรอ่ื ง
1.1.1 ความรเู้ ก่ียวกับศัพทแ์ ละนิยาม
1.1.2 ความรู้เก่ยี วกบั กฎและความจริง ความสาคัญ
1.2 ความรู้ในวธิ ีดาเนินการ
1.2.1 ความร้เู กย่ี วกบั ระเบียบแบบแผน
1.2.2 ความรเู้ กี่ยวกับลาดับขน้ั และแนวโน้ม
1.2.3 ความร้เู กี่ยวกับการจัดประเภท
1.2.4 ความร้เู กย่ี วกบั เกณฑ์
1.2.5 ความรู้เกยี่ วกับวธิ กี าร

การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ 39
การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 39

2. ความเข้าใจ
2.1 การแปลความ
2.2 การตคี วาม
2.3 การขยายความ

3. การนาไปใช้
4. การวิเคราะห์

4.1 วิเคราะหค์ วามสาคญั
4.2 วิเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์
4.3 วเิ คราะห์หลกั การ
5. การสงั เคราะห์
5.1 สงั เคราะหข์ ้อความ
5.2 สังเคราะหแ์ ผนงาน
5.3 สงั เคราะหค์ วามสัมพันธ์
6. การประเมินคา่
6.1 ประเมินค่าโดยอาศัยเกณฑภ์ ายใน
6.2 ประเมนิ คา่ โดยอาศยั เกณฑ์ภายนอก
1. คาถามวัดความรู้ – ความจา คือคาถามที่ถามเรื่องทเ่ี คยผ่านมา หรอื เคยมีประสบการณใ์ น
เรื่องน้ันมาก่อนแล้ว คาถามประเภทน้ีมีหลายลักษณะ เช่น
1.1 ถามคาศพั ท์และนยิ าม เช่น

“พระจาวดั ในโบสถ”์ คาว่า “จาวดั ” แปลวา่ อะไร
ก. ถอื ศีล
ข. เข้าฌาน
ค. สวดมนต์
ง. นอน

ดาวดวงไหนเป็นดาวฤกษ์
ก. ดวงอาทิตย์
ข. ดวงจนั ทร์
ค. ดาวศุกร์
ง. ดาวอังคาร

1.2 ถามเกย่ี วกับสูตร กฎ ความจริง และความสาคัญ รวมทั้งหลกั การ ทฤษฎี และ
ข้อเท็จจริง และขอ้ เท็จจรงิ จากเร่อื งราวทไ่ี ดร้ บั เชน่

การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 40

40 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้

ในเวลากลางวันพชื คายกา๊ ซอะไรมากที่สุด
ก. ออกซิเจน
ข. ไนโตรเจน
ค. ไฮโตรเจน
ง. คาร์บอนไดรออกไซด์

อะไรเปน็ สาเหตุใหเ้ กิดฤดูกาลต่าง ๆ
ก. การหมนุ ของโลก
ข. การหมุนของดวงจนั ทร์
ค. การหมุนของดวงอาทติ ย์
ง. แรงดึงดดู ของดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทติ ย์

1.3 ถามเกย่ี วกับวิธีการดาเนินการ เช่น
ขอ้ ใดเปน็ วธิ ีการกาจัดขยะท่ไี ม่ถูกต้อง
ก. เผาไหมไ้ ปหมด
ข. ปิดใหม้ ิดชิด
ค. กองไวใ้ ห้เป็นท่ี
ง. ผสมด้วยปูนขาว

1.4 ถามเกยี่ วกับความรู้รวบยอดในเนื้อเร่ือง เช่น
หมอก นา้ ค้าง และน้าฝน เป็นปรากฏการณป์ ระเภทใดของไอนา้
ก. การอัดตวั
ข. การหดตวั
ค. การรวมตัว
ง. การควบแนน่

2. คาถามวัดความเข้าใจ
ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานแล้วขยายความรู้ความจาให้กว้างไกลออกไป
จากเดมิ อยา่ งสมเหตุสมผล ความเขา้ ใจแสดงออกได้ 3 ลักษณะ คือ

1) ความสามารถแปลความหมายของสง่ิ ตา่ งๆ ได้ เชน่ แปลความหมายของขอ้ ความหรอื รูปภาพ
ตามท่กี าหนดใหไ้ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง

2) สามารถตีความหมายของเรื่องน้ันได้ คือ สามารถจับความสมั พันธร์ ะหว่างส่วนย่อย ของเรื่อง
จนสามารถนามากลา่ วเปน็ อีกนัยหนึ่งได้

3) สามารถขยายความหมายของเรื่องนนั้ ให้กวา้ งไกลไปจากสภาพขอ้ เทจ็ จริงเดิมได้

การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 41
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ 41

การวดั ความเขา้ ใจสามารถเขียนคาถามได้ 3 ลกั ษณะ
- การแปลความ
- การตคี วาม
- การขยายความ
2.1 การแปลความ เปน็ การสรา้ งคาถามวดั ความสามารถในการแปลความหมาย ไดแ้ ก่
ขอ้ ใดเปรยี บเปรยไดเ้ หมาะสมดที ส่ี ุด
ก. ดังเหมือนมา้
ข. ชา้ เหมอื นเตา่
ค. เบาเหมือนลม
ง. กลมเหมอื นหิน
ใบไม้ทาหน้าทคี่ ลา้ ยบุคคลในขอ้ ใด
ก. คนรบั ใช้
ข. คนครวั
ค. คนเกบ็ เงนิ
ง. คนเฝา้ ประตู

2.2 การตีความ เป็นการสร้างคาถามวัดความสามารถในการตคี วาม ได้แก่
กาหนดข้อความตอนหนง่ึ มาใหอ้ ่านและตง้ั คาถามวา่
1) ขอ้ ความน้ีกลา่ วถงึ เร่อื งอะไร
2) ขอ้ ความน้ีใหค้ ตสิ อนใจเรอ่ื งอะไร
3) จะตัง้ ช่อื เร่อื งจากบทความทอ่ี า่ นไดว้ า่ อะไร
4) สรปุ ใจความสาคัญของเร่อื งได้ว่าอยา่ งไร

2.3 การขยายความ เป็นการสร้างคาถามวดั ความสามารถในการขยายขอ้ ความ ไดแ้ ก่
ถา้ ความสูงของรปู สามเหลี่ยมเพิม่ ขึน้ เร่อื ยๆ มุมยอดจะเป็นอย่างไร
ก. มมุ ปา้ นชนั
ข. มุมแหลมชนั
ค. มมุ ลาด
ง. มุมตรง
“เด็กเอะอะวุ่นวายไม่ดูแล กลบั มาอา่ นหนงั สอื นทิ าน”
ขอ้ ความแสดงความรสู้ ึกอยา่ งไร
ก. หงุดหงดิ
ข. ไม่พอใจ
ค. กงั วล
ง. ราคาญ

การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 42
42 การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้

3. คาถามวัดการนาไปใช้
การนาไปใช้ หมายถงึ ความสามารถในการนาเอาความรู้ และความเขา้ ใจเรื่องราวใด ๆ ที่
ตนมีไปแก้ปัญหาที่แปลกใหม่ ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ เป็นการให้ตัดสินใจ
และแกป้ ญั หาใหม่ ๆ ที่ไมเ่ คยพบมาก่อน การถามทักษะและการนาไปใช้อาจถามได้ดงั น้ี
ถ้าปุ๋ยแพงเราจะใช้วิธีใดเพ่ิมปุ๋ยในดนิ
ก. ปลูกพืชคลุมดนิ
ข. ปลกู พืชหมุนเวยี น
ค. พรวนดนิ บอ่ ย ๆ
ง. เผาดินกอ่ นปลูกพชื
วธิ บี ัญญตั ไิ ตรยางศ์ใชไ้ ด้ตรงกบั สภาพความจรงิ ในเร่ืองใดมากทส่ี ดุ
ก. การหาพื้นท่ี ข. คิดภาษเี งนิ ได้
ค. คดิ ค่าแรง ง. คิดดอกเบยี้

4. คาถามวัดการวิเคราะห์ เป็นสมรรถภาพสูงกว่าการนาไปใช้ ตรงท่ีการนาไปใช้น้ันเน้นท่ี
แก้ปัญหาโดยใช้ความจา และความเข้าใจ นาไปใช้กับปัญหาอย่างเหมาะสม ส่วนการวิเคราะห์เน้น
ความสามารถในการแยกสว่ นประกอบของเรอื่ งราว เหตุการณ์ ปัญหา ออกเปน็ ส่วนยอ่ ย ตามหลกั เกณฑ์ หรอื
กฎเกณฑท์ ก่ี าหนดให้ เพอื่ ค้นหาข้อเทจ็ จริงที่ซ่อนอยู่ในเร่อื งราว หรอื เหตุการณน์ นั้ ๆ
การวเิ คราะห์แบ่งเปน็
4.1 วเิ คราะหค์ วามสาคัญ ใชค้ าถามใหน้ ักเรียนคน้ หาคณุ ลักษณะทเี่ ดน่ ชดั เชน่
“เสยี ชพี อย่าเสียสัตย”์ เป็นขอ้ ความชนิดใด
ก. คาพงั เพย ข. คาปลุกใจ
ค. ความคิดเหน็ ง. คติเตอื นใจ
4.2 วิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ ใชค้ าถามใหน้ กั เรยี นคน้ หาวา่ ข้อเทจ็ จรงิ เหลา่ นัน้ มีความสัมพนั ธก์ ัน
อยา่ งไร เช่น
“ตน้ ไมต้ อ้ งการปยุ๋ ” เปรยี บเหมือนคนตอ้ งการอะไร
ก. ไขมนั ข. เกลอื แร่
ค. โปรตนี ง. วิตามนิ
4.3 วิเคราะห์หลักการ เป็นการถามเพื่อมุ่งให้นักเรียนค้นหาหลักเกณฑ์ ทั้งที่มีในเรื่อง
อย่างชัดเจนและไมช่ ดั เจน การวิเคราะหห์ ลกั การต้องอาศัยความสามารถในการวิเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์ เช่น
ผ้ใู ดมอี านาจสูงสดุ ในการปกครองแบบประชาธปิ ไตย
ก. ทหาร ข. ประชาชน
ค. ตารวจ ง. คณะรฐั มนตรี


Click to View FlipBook Version