44 3. ทรัพย์สินทำงปัญญำ (Intellectual Property) ซึ่งครอบคลุม ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า (Trademark) และความลับ ทางการค้า (Trade Secret) เป็นต้น ปัจจุบันประเทศส่วนมากจะใช้ระบบ กฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญาตามสนธิสัญญา กรุงเบิร์น ซึ่งรวมไปถึงประเทศไทยด้วย ตาม สนธิสัญญากรุงเบิร์นนั้น ลิขสิทธิ์จะเป็นของ เจ้าของสิทธิ์เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในทางกฎหมาย และสิทธิ์นี้สามารรถส่งต่อให้กับผู้อื่นได้ หาก ต้องการน าผลงานนั้นไปใช้งานต่อ ต้องขออนุญาต เจ้าของผลงาน เครือข่ายครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons : CC) ได้สนับสนุนก ารใ ช้สัญญ า อนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ เผยแพร่แนวคิด วัฒนธรรมเสรี และได้รณรงค์ให้สังคมไทยใช้ สัญญาอนุญาตให้เหมาะสมกับงานสร้างสรรค์ "สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์จัดท าขึ้น เพื่อให้เจ้าของผลงานอันมีลิขสิทธิ์ สามารถเปิดให้ สาธารณะน างานของตนไปใช้ได้ โดยไม่ต้องขอ อนุญาต เพียงแต่ต้องท าตามเงื่อนไขที่ก าหนดไว้ เช่น อ้างอิงที่มา ไม่ใช่เพื่อการค้า หรือคงต้นฉบับ
45 ไม่ดัดแปลง การใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอม มอนส์ไม่ใช่การสละลิขสิทธิ์หรืออุทิศงานเป็นสา ธารณสมบัติ เจ้าของงานยังเป็นผู้ถือครองสิทธิ์ ของงานนั้นเหมือนเดิม หากผู้ที่น าผลงานของ เจ้าของงานไปใช้โดยผิดเงื่อนไข เจ้าของงาน สามารถฟ้องร้องและบังคับผู้ที่ท าผิดได้ตามที่ กฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครอง ซึ่งประเทศไทยได้ รองรับกฎหมายนี้แล้ว" (cc.in.th) ภาพข้อก าหนด ข้อตกลงในการใช้แหล่งข้อมูล
46 นอกจากเงื่อนไขที่ก าหนดข้างต้นแล้ว ยังสามารถ ผสมเงื่อนไขได้ตามต้องการ ดังนี้ ภาพข้อก าหนด ข้อตกลงในการใช้แหล่งข้อมูล
47 บทที่ 6 ข้อปฏิบัติในกำรใช้อินเทอร์เน็ต
48 ข้อปฏิบัติในกำรใช้อินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ท าให้ผู้ใช้ สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่แหล่งข้อมูลต่างๆ ได้อย่าง กว้างขวาง ดังนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจึงต้องเรียนรู้ และท าความเข้าใจเกี่ยวกับมารยาท ข้อปฏิบัติ รวมไปถึงกฎหมายในการใช้งานอินเทอร์เน็ต เพื่อให้การใช้งานเครือข่ายร่วมกับผู้อื่นเกิด ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ มารยาทและข้อควร ปฏิบัติในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ได้แก่ 1. ใช้ภาษาถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเทศะ ปัจจุบันมีการใช้ภาษาบนอินเทอร์เน็ตเป็นภาษา สะกดแบบย่อและซึ่งเป็นการใช้ที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับคู่สนทนา 2. ใช้ค าสุภาพ ไม่ใช้ค าหยาบ ไม่สื่อความหมายที่ สร้างความไม่พอใจแก่คูสนทนา 3. เคารพในสิทธิ์และข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น เช่น ไม่แอบอ่านอีเมลผู้อื่น ไม่แอบใช้ ชื่อผู้ใช้ คน อื่น ไม่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวผู้อื่น 4. ปฏิบัติตามข้อตกลงการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ให้ ไว้กับครู หรือผู้ปกครอง เช่น จ านวนชั่วโมงต่อ วันที่ใช้งาน ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นประโยชน์ใน การเรียน 5. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของตนและครอบครัว ข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ให้กับบุคคลอื่นที่ไม่รู้จักทาง อินเทอร์เน็ต
49 6. ไม่นัดหมายกับบุคคลแปลกหน้าที่สนทนาทาง อินเทอร์เน็ตไม่เปิดอีเมลหรือรับไฟล์ที่ส่งจาก บุคคลที่ไม่รู้จัก 7. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส เพื่อตรวจสอบ ไฟล์และปรับปรุงโปรแกรมอย่างสม่ าเสมอ 8. การท าธุรกรรมบนเว็บ ต้องตรวจสอบเว็บไซต์ เพื่อป้องกันเว็บไซต์ปลอมที่จะขโมยข้อมูล ระเบียบข้อบังคับในกำรใช้อินเทอร์เน็ต แม้ว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตจะส่งผลดีในด้านของ การรับรู้ข่าวสารและความรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในทางกลับกันพบว่าข้อมูลข่าวสารนั้นทั้งด้าน บวกและลบการป้องกันภัยจากอินเทอร์เน็ต 1. เคารพสิทธิ์และข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น ได้แก่ ไม่สอดแนม แก้ไข ดูแฟ้มข้อมูล ของผู้อื่น ก่อนได้รับอนุญาต 2. ปฏิบัติตาม กฎ ระเบียบ กติกา มารยาทตาม ข้อตกลงของสถานที่หรือหน่วยงาน ที่ก าหนดไว้ ในการเล่นอินเทอร์เน็ต ไม่ส่งเสียงหรือเปิดเสียง คอมพิวเตอร์ รบกวนคนอื่นขณะใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์ 3. ปฏิบัติตามข้อก าหนดของกฎหมาย เช่น ไม่ใช้ คอมพิวเตอร์เพื่อโจรกรรมข่าวสาร ไม่คัดลอก โปรแกรมหรือผลงานคนอื่นมาเป็นของตนเอง ไม่ ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานเท็จ 4. บอกแหล่งที่มาของข้อมูลเมื่อน าข้อมูลบน อินเทอร์เน็ตมาใช้
50 บทที่ 7 ควำมส ำคัญของเทคโนโลยีสำรสนเทศ
51 ค ว ำมส ำคัญขอ งเทคโนโล ยีส ำ รสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ในการด าเนินชีวิตประจ าวันของมนุษย์ในยุคของ สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-Based Economy) จึงจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจาก เทคโนโลยีสารสนเทศท าให้เกิดการ สื่อสารไร้พรมแดน ช่วยอ านวยความสะดวก และ ช่วยส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในปัจจุบันเรา จึงได้พบเห็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในงานต่างๆ จ านวนมาก เทคโนโลยีสารสนเทศ ( Information Technology) ห รื อ ที่ เ รี ย ก กั น ทั่วไปว่าไอที (IT) ประกอบด้วยค าที่มี ความหมาย 2 ค า ดังนี้ 1. เทคโนโลยี (Technology) คือ การประยุกต์ เอาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น คอมพิวเตอร์ การสื่อสาร โทรคมนาคม ตลอดจนการศึกษา พัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น ด้านการแพทย์ การศึกษา การค้า และ อุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้จึงมีการเรียกเทคโนโลยี ตามลักษณะงานที่น าไปประยุกต์ใช้ เช่น เทคโนโลยีการเกษตร เทคโนโลยีการศึกษา และ เทคโนโลยีอุตสาหกรรม
52 2. สำรสนเทศ (Information)คือ ข้อมูลที่ผ่าน การประมวลผลและเป็นประโยชน์ต่อการด าเนิน ชีวิตของมนุษย์ ตัวอย่างสารสนเทศ เช่น คะแนน เฉลี่ย (GPA) ของนักเรียน ซึ่งค านวณมาจากระดับ คะแนนแต่ละรายวิชา ดังนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงหมายถึง เครื่องมือหรือวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวม ประมวลผล เก็บรักษา และเผยแพร่ ข้อมูลและ สารสนเทศ ลักษณะส ำคัญของเทคโนโลยีสำรสนเทศ 1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการท างาน ท าให้มนุษย์ สามารถท างานได้รวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นย า มากยิ่งขึ้น เช่น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วย คิดและแสดงคะแนนเฉลี่ยของนักเรียน 2. ช่วยด้านการบริการ ท าให้ขอบเขตของการ บริการกว้างขวางยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการใช้ระบบ ฐานข้อมูลในเครือข่าย ดังนั้นผู้ที่ต้องการใช้บริการ ที่สามารถใช้ระบบฐานข้อมูลจากสถานที่หรือเวลา ใดก็ได้ เช่น การดูผลการสอบเข้าโรงเรียนระดับ มัธยมศึกษาผ่านทางเว็บไซต์ของโรงเรียน 3. ช่วยด าเนินการในหน่วยงาน เป็นการน า เทคโนโลยีสารสนเทศมาจัดการระบบการท างาน ภายในหน่วยงานนั้นๆ เช่น การเก็บข้อมูล
53 ของนักเรียนไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนกลางหรือ เครื่องเซิร์ฟเวอร์ของโรงเรียน เพื่อให้สามารถเข้า ไปตรวจสอบข้อมูลของนักเรียนได้สะดวกรวดเร็ว 4. ช่วยอ านวยความสะดวกในชีวิตประจ าวัน เช่น การรับข้อมูลข่าวสารผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือการบันทึกข้อมูลรูปภาพด้วยกล้องดิจิตอล กำรใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศ 1. กำรบันทึกและจัดเก็บข้อมูลเป็นการน าข้อมูล เข้าสู่ระบบเพื่อใช้ในการประมวลผล การรวบรวม ข้อมูลจะใช้ อุปกรณ์ที่ท าหน้าที่ รับข้อมูล เช่น แป้นพิมพ์ เครื่องอ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ เครื่อง อ่านบาร์โค้ด ตัวอย่างเช่น การบันทึกจ านวนเงิน ลงในบัตรแถบแม่เหล็ก ที่ใช้ในศูนย์อาหาร การใช้ บัตรรถโดยสารไฟฟ้า 2. กำรประมวลผลข้อมูลที่รวบรวมจากอุปกรณ์ รับข้อมูลและจากสื่อเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น แผ่น ดิสเกตต์ แผ่นซีดี และแผนดีวีดี จะถูกน ามา ประมวลผลตามโปรแกรมหรือค าสั่งที่ก าหนด
54 3. กำรแสดงผลเป็นการน าผลลัพธ์ที่ได้จากการ ประมวลผลไปแสดงยังอุปกรณ์ที่ท าหน้าที่ แสดงผล การแสดงผลลัพธ์ ในรูปของตัวอักษร ภาพ เสียง และสื่อประสมต่างๆ ตัวอย่างอุปกรณ์ แสดงผล ได้แก่ เครื่องพิมพ์ จอภาพ ล าโพง และ 4. กำรสื่อสำรและเครือข่ำยเป็นการส่งข้อมูลและ สารสนเทศจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อให้ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารสามารถท างาน ได้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ อุปกรณ์และสารสนเทศร่วมกัน การเชื่อมต่อผ่าน ทางสายโทรศัพท์ ทางอากาศ และสายเคเบิล
55 บทที่ 8 ผลกระทบจำกเทคโนโลยีสำรสนเทศ
56 ผลกระทบด้ำนคุณภำพชีวิต 1. ส่งเสริมการเรียนรู้มากยิ่งขึ้นเช่น เกิดการเรียน การสอนทางไกล การเรียนการสอนผ่านเว็บไซต์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ 2. สร้างความเสมอภาพในสังคมด้วยการกระจาย โอกาส เผยแพร่ข่าวสารไปในทุกแห่งแม้ในถิ่น ทุรกันดาร 3. ช่วยรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อตรวจสอบและ วางแผนการรักษาสภาพแวดล้อมได้อย่าง ครอบคลุมและทั่วถึง มีการเก็บข้อมูล และน ามา จ าลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมต่างๆ เพื่อ หาทางป้องกันและแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมที่ อาจเกิดขึ้นในอนาคต 4. เพิ่มระบบป้องกันประเทศ โดยมีระบบป้องกัน ภัยและระบบเผ้าระวังที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบคอมพิวเตอร์ ในอาวุธ ยุทโธปกรณ์อีกด้วย 5. เพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตทางการค้า 6. ส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ 7. ช่วยให้สุขภาพและความเป็นอยู่ดีขึ้น
57 ผลกระทบด้ำนสังคม 1. การละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งการละเมิดลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์ และการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดย การน าข้อมูลของผู้อื่นไปเผยแพร่โดย ไม่ได้รับ อนุญาต ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของ ลิขสิทธิ์หรือผู้ที่ถูกอ้างถึง 2. การเข้าถึงและการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากความง่ายในการเข้าถึงข้อมูลของเครื่อง คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ เชื่อมต่อระบบเครือข่าย ซึ่งผู้ไม่หวังดีอาจปล่อย ไวรัสคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ข้อมูล และเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นได้ 3. การหลอกลวงผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เนื่องจาก ใครก็สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไหนเมื่อไหร่ ก็ได้ ข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ จึงไม่น่าเชื่อถือ เท่ากับแหล่งการเรียนรู้อื่น เป็นช่องทางในการ หลอกลงผู้ใช้จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายทั้ง จิตใจ ร่างกาย และทรัพย์สินได้ 4. การท าให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์เสื่อมถอย ผู้ใช้ไม่ได้พบเห็นหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยตรง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศมักขาด มนุษย์สัมพันธ์ที่ดีและเข้ากับผู้อื่นได้ยาก 5. การเผยแพร่วัฒนธรรมที่ไม่เหมาะสมการรับ ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมต่อเพศและวัยจะส่งผลให้เกิด ความเชื่อที่ผิด และอาจก่อให้เกิด พฤติกรรมที่ไม่ เหมาะสม
58 ผลกระทบด้ำนกำรเรียนกำรสอน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อกระบวนการเรียนรู้ ของผู้เรียน โดยน ามาใช้กับการศึกษา ได้แก่ การ ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI: ComputerAided Instruction) ระบบการสื่อสารทางไกล หรือโทรศึกษา (Tele-Education) การเรียนการ สอนผ่านเว็บ (WBI: Web-Based Instruction Learning)และสื่อการเรียนการสอน อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Learning) เทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ เหล่านี้ท าให้ผู้เรียน สามารถเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ผู้เรียนสามารถ เลือกเรียนในหัวข้อที่สนใจ สื่อที่น่าสนใจส่งผลให้ ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น รูปแบบสื่อสามารถ โต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนี้ยังมีผลกระทบใน ด้านลบด้วย เช่น ผู้เรียนต้องมีความพร้อมด้าน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอน ต้องมีความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยี อุปกรณ์และ เครื่องมือต้องมีความทันสมัยและสามารถรองรับ งานที่หลากหลายและเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ต และผู้เรียนยังขาดปฏิสัมพันธ์ โดยตรงกับผู้สอน
59 บทที่ 9 แนวโน้มของเทคโนโลยีสำรสนเทศ
60 เครื่องคอมพิวเตอร์ประสิทธิภำพสูง ปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์มีราคาถูก มีขนาดเล็ก ลง มีรูปทรงทันสมัย สวยงาม และสามารถท างาน ได้หลากหลาย โดยชิปที่อยู่ภายในหน่วย ประมวลผลหรือซีพียูในเครื่องคอมพิวเตอร์ ประสิทธิภาพสูงจะมีขนาดเล็กลงและมีปริมาณ เพิ่มมากขึ้น มีการพัฒนาระบบการท างานหรือ การประมวลผลให้เป็นระบบการท างานแบบ ขนานอ่านค าสั่งหลายๆ ค าสั่ง ตอบสนองการ ท างานหลายๆ อย่างพร้อมกัน เรียกว่า เครื่อง คอมพิวเตอร์แบบมัลติโพรเซสเซอร์ (Multiprocessor) ซึ่งเหมาะกับงานค านวณที่ ซับซ้อนและมีข้อมูลจ านวนมาก เทคโนโลยีสื่อประสม เทคโนโลยีสื่อประสม (Multimedia Technology) เป็นการน าเสนอข้อมูลหรือสื่อใน หลายรูปแบบพร้อมๆ กัน ได้แก่ การน าเสนอ ตัวอักษร เสียง ภาพเคลื่อนไหว ปัจจุบัน เทคโนโลยีที่มีความเด่นชัดในการน าเสนอสื่อ ประสม คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถแสดง ข้อมูลในหลายๆ รูปแบบ
61 อุปกรณ์พกพำและไร้สำย ปัจจุบันออกแบบให้ส่งเสริมในการพกพาของ ผู้ใช้งาน มีขนาดเล็ก น้ าหนักเบา ทนทาน และ เชื่อมต่อได้ โดยไม่ต้องอาศัย สายส่งสัญญาณ ปัญญำประดิษฐ์ ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (AI: Artificial Intelligence) เป็นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ ให้มีความสามารถและพฤติกรรม เลียนแบบ มนุษย์ รู้จักการใช้เหตุผล และมีการมีการเรียนรู้ ท าให้สามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ได้มากยิ่งขึ้น ประกอบด้วยสาขาวิชาต่างๆ ดังนี้ ภำษำธรรมชำติ (Natural Language)คือ ภาษาธรรมดาที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจ าวัน เมื่อ เทคโนโลยีพัฒนามากขึ้น จึงมีผู้คิดค้นที่จะน า ภาษาธรรมชาติมาใช้สั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือฮาร์ดแวร์ที่เป็นเทคโนโลยีอื่นๆ เรียกว่า กระบวนการภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) โครงข่ำยประสำทเทียม (Artificial Neural Network)คือ การสร้างคอมพิวเตอร์โดยจ าลอง วิธีการท างานเหมือนสมองของมนุษย์ ท าให้เครื่อง คอมพิวเตอร์รู้จักคิดและจดจ าข้อมูลช่วยให้ คอมพิวเตอร์สามารถฟัง อ่าน และจ าภาษามนุษย์ ได้
62 ระบบผู้เชี่ยวชำญ (Expert System)คือ การ เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชา ต่างๆ ให้เป็นระบบสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการ แก้ปัญหา โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ค้นหาค าตอบ และแก้ปัญหาในสาขาวิชานั้นๆ ซึ่งจัดเก็บไว้ในรูป ของฐานความรู้ (Knowledge Based) ศำสตร์ด้ำนหุ่นยนต์ (Robotics)คือ การน า เทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์มาประยุกต์ร่วมกับ เครื่องจักรเพื่อใช้งานต่างๆ แทนมนุษย์ ที่ต้อง เสี่ยงภัยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
63 บทที่ 10 กำรใช้เทคโนโลยีอย่ำงรู้เท่ำทัน
64 กำรใช้เทคโนโลยีอย่ำงรู้เท่ำทัน ในชีวิตประจ าวันของเรา เทคโนโลยี สารสนเทศมีบทบาทกับการด าเนินชีวิตในปัจจุบัน เป็นอย่างมาก ในขณะที่ในทุก ๆ วันเทคโนโลยีมี การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราเองก็ต้องเรียนรู้ และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนั้นมีทั้ง คุณประโยชน์และโทษในเวลาเดียวกัน เพื่อให้เรา มีความรู้และสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมี ประโยชน์และปลอดภัย ก็จ าเป็นที่จะต้องมี ความรู้เกี่ยวกับความรู้ทางด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้ 1. การรู้เท่าทันสื่อ 2. แนวทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัยและมีจริยธรรม 3. การรักษาข้อมูลส่วนตัว 4. การรับมือการคุกคามทางออนไลน์ 5. ลิขสิทธิ์และความเป็นเจ้าของผลงาน 6. กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และการกระท า ความผิดทางคอมพิวเตอร์
65 ภาพการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต กำรรู้เท่ำทันสื่อ แนวคิดการรู้เท่าทันสื่อถือก าเนิดขึ้น พร้อมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางด้าน การสื่อสารที่เกิดขึ้นกับสื่อต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคของสื่อ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ในระบบแอ นะล็อก(Analog) จนก้าวมาสู่ยุคสารสนเทศที่สื่อ ต่าง ๆ สื่อสารผ่านระบบดิจิทัล อันเป็นยุคที่สื่อ ต่าง ๆ ถูกหลอมรวมเข้าหากัน ความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีในการสื่อสารที่ท าให้ผู้คนไม่ว่าจะอยู่ มุมใดของโลกสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ นั้นในอีกแง่หนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารเหล่านี้ได้
66 เพิ่มอ านาจให้กับผู้ส่งสาร ซึ่งมักจะเป็นองค์กร สื่อสารมวลชนขนาดใหญ่มีเงินทุนจ านวนมหาศาล ที่มีผู้คนเพียงไม่กี่รายที่จะสามารถเข้าถือ กรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของสื่อ และขับเคลื่อนไป ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ ระบบการสื่อสารจากที่ อ านาจไปกระจุกตัวอยู่ที่ผู้ส่งสารให้ถ่ายเทมาอยู่ ในฝั่งผู้รับสารด้วยการปลูกฝังแนวคิดการรู้เท่าทัน สื่อ อันเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจนน าไปสู่ การตระหนักถึงความส าคัญของการติดตั้งกลไก การรู้เท่าทันสื่อ จึงเกิดค าถามตามมาว่า จะเกิดอะไรขึ้น หากประชาชนผู้บริโภคเนื้อหาข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน เสพสารนั้นโดยไม่ วิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนกับเนื้อหาข้อมูล ปริมาณ มหาศาลที่สื่อน าเสนอ จากสภาพ ในเมื่อทุกคนไม่ สามารถหลีกเลี่ยงฐานะของผู้รับสารที่ต้องเผชิญ กับรับข้อมูล ข่าวสารจ านวนมากที่สื่อน าเสนอมา ด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ การรู้เท่าทันสื่อจึงเป็น กลไกที่ส าคัญและจ าเป็น ดังนั้นเราต้องปกป้องตัว ของเรา โดยต้องรู้ให้เท่าทันสื่อ เพราะถ้าเราเลือก ที่จะไม่เปิดรับสารและสื่อเลย เราก็อาจจะพลาด ข้อมูลที่ส าคัญส าหรับการด ารงชีวิตของเราได้หรือ ถ้าเราเปิดรับสารและสื่อที่ไม่มีประโยชน์ต่อตัว ของเราก็จะเกิดผลกระทบในทางลบมากกว่า
67 ทางบวก ผลที่ตามมาจากการไม่รู้เท่าทันสื่อ คือ การที่ผู้รับสารสูญเสียการรับรู้โลกที่เป็นจริง แต่ จะรับรู้โลกผ่านสายตาสื่อแต่เพียงอย่างเดียว นั่น ย่อมหมายถึงผู้รับสารก าลังยอมรับทุกอย่างที่สื่อ บอก โดยปราศจากการตั้งค าถาม ต่อรอง ต่อต้าน นิยาม การเล่าเรื่องราว การสร้างภาพตัวแทนของ สิ่งต่าง ๆ ผ่านสายตาสื่อ มนุษย์จึงจ าเป็นต้องมี ความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อเพื่อใช้รับมือกับ สื่อที่มีแพร่หลายในปัจจุบัน โดยความสามารถใน การรู้เท่าทันสื่อ มี 4 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. ความสามารถในการเข้าถึงสื่อและสาร คือ ความสามารถในการแสวงหาแหล่งที่มา การเลือกและ การจัดการ การคัดกรอง การถอดรหัสของข้อมูล ข่าวสารในสื่อประเภทต่างๆ รวมถึงความสามารถใน การใช้สื่อและเทคโนโลยีต่างๆ เช่น สิ่งพิมพ์ วิดีโอ คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต 2. ความสามารถในการวิเคราะห์สื่อและสาร คือ ความสามารถในการเข้าใจสื่อและเนื้อหาสาร สามารถ ตีความ จัดประเภท ก าหนดรูปแบบของงาน โดยใช้ การวิเคราะห์และอนุมานเหตุและผล ซึ่งอาศัยพื้น ฐานความรู้เดิม ประสบการณ์ และการตัดสินใจ เกี่ยวกับสื่อและเนื้อหาสาร รวมถึงความสามารถใน การบอกจุดประสงค์ของผู้ผลิตสื่อได้
68 3. ความสามารถในการประเมินสื่อและสาร คือ ความสามารถในการตัดสินคุณค่าและความมี ประโยชน์ของสารต่อผู้รับสาร โดยใช้การประเมินสื่อ และสารยึดหลักคุณธรรม จริยธรรมในตนเอง และยัง อาศัยพื้นฐานความรู้เดิมที่มีมาแปลความหมายของ สาร รวมถึงการระบุค่านิยมและคุณค่าของสาร และ ชื่นชมคุณภาพของงานในเชิงสุนทรียะทางศิลปะ 4. ความสามารถในการสร้างสรรค์สื่อและสาร คือ ความสามารถในการเข้าใจและตระหนักรู้ถึงความ สนใจของผู้รับสาร โดยสามารถสร้างสารที่เป็นรูปแบบ ของตนเองจากเครื่องมือและสื่อที่หลากหลาย โดยใช้ การจัดล าดับขั้นของความคิด การใช้สัญลักษณ์ในการ สื่อสาร และใช้ทักษะการผลิตสื่อ เช่น การทบทวน แก้ไข การพิมพ์ การผลิตและตัดต่อวิดีโอ การพูด เป็น ต้น นอกจากนี้ Center for Media Literacy ยังได้แนะน ากรอบทักษะที่ชื่อว่า “Process Skills: Success for Life” อันเป็น ข้อแนะน าเกี่ยวกับทักษะที่เยาวชนจะต้องมีในการ ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ในรายงานเรื่อง Learning for the 21st Century ซึ่งพัฒนาโดย
69 ผู้น าองค์กรเอกชนและนักการศึกษา ภายใต้กรอบ แนวคิด CML MediaLit KitTM ที่ผู้เรียนจะไม่ เพียงแต่เพิ่มความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาสาระของสื่อใน ปัจจุบันเท่านั้น แต่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และปฏิบัติ ทักษะดังต่อไปนี้ได้ 1. การเข้าถึง เป็นทักษะที่ผู้เรียนสามารถที่จะเก็บข้อมูลที่ เกี่ยวข้อง และใช้ประโยชน์จากข้อมูลนั้น ตลอดจนท า ความเข้าใจความหมาย กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถที่จะจดจ า เข้าใจศัพท์ต่าง ๆ สัญลักษณ์เทคนิคในการสื่อสารรู้จัก จัดแบ่งประเภทของข้อมูลตามจุดประสงค์ของงาน 2. การวิเคราะห์ เป็นทักษะที่ผู้เรียนสามารถที่จะพิจารณา การออกแบบรูปแบบของเนื้อหาสื่อ โครงสร้าง สามารถใช้ แนวคิดในด้านศิลปะ วรรณกรรม สังคม การเมือง เศรษฐกิจในการท าความเข้าใจบริบทที่เนื้อหาข่าวสารนั้น ถูกสร้างขึ้น เช่น การใช้ความรู้ ประสบการณ์ที่มีท านาย ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ตีความข่าวสารโดยใช้แนวคิดเกี่ยวกับ จุดประสงค์ ผู้รับสาร มุมมอง รูปแบบ ประเภท บุคลิกลักษณะ โครงเรื่อง แก่นเรื่อง อารมณ์ ฉาก และ บริบท ใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเปรียบเทียบ การ ขัดแย้ง การให้ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น เหตุและผล การ เรียงล าดับ และผลที่ตามมา
70 3. การประเมิน เป็นทักษะที่ผู้เรียนสามารถที่จะเชื่อมโยง เนื้อหาสารกับประสบการณ์ของพวกเขาและตัดสินความ ถูกต้อง คุณภาพ ความเกี่ยวข้องของเนื้อหาสาร เช่น สามารถชื่นชม มีความพึงพอใจในการตีความเนื้อหาสารที่ มีประเภท และรูปแบบที่แตกต่างกัน ประเมินคุณภาพของ เนื้อหาสารจากเนื้อหาและรูปแบบตัดสินคุณค่าของเนื้อหา สารจากจากหลักทางศีลธรรม ศาสนา และหลักการ ประชาธิปไตย สามารถที่จะโต้ตอบ ไม่ว่าจะโดยการเขียน การพิมพ์ ทางอิเลคทรอนิคส์ต่อเนื้อหาสาระที่มีความ ซับซ้อนอันหลากหลาย 4. สร้างสรรค์ เป็นทักษะในการเขียนแสดงออกถึงความคิด สร้างสรรค์ การใช้ค า ใช้เสียง และภาพอย่างมี ประสิทธิภาพเพื่อจุดประสงค์อันหลากหลาย สามารถใช้ เทคโนโลยีในการสร้างสรรค์ ตัดต่อ และแพร่กระจาย เนื้อหา เช่น การระดมความคิด การวางแผน การวางและ ทบทวนกระบวนการ การใช้ภาษาพูดและเขียนอย่างมี ประสิทธิภาพ เชี่ยวชาญในกฎของการใช้ภาษา สร้างและ เลือกภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เป้าหมายอย่าง หลากหลาย ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในการสร้างเนื้อหา สาร เป็นต้น
71 กรอบในการเรียนรู้การรู้เท่าทันสื่อ โดยการถาม ผู้เรียนด้วยกรอบค าถาม 5 ค าถาม ได้แก่ 1. ใครเป็นผู้ส่งสารนี้ และจุดประสงค์ของผู้พูดคืออะไร 2. เทคนิคอะไรที่ถูกใช้ในการดึงดูดความสนใจ 3. วิถีชีวิต ค่านิยม มุมมองแบบไหนที่ถูกน าเสนอในสารนี้ 4. ผู้รับสารที่แตกต่างกันตีความสารนี้แตกต่างกันอย่างไร 5. อะไรบ้างที่ถูกละเลยในสารนี้ ชุดค าถามทั้ง 5 ค าถาม จะถูกน าไปใช้ใน การวิเคราะห์สื่อในรูปแบบต่าง ๆ 4 รูปแบบ คือ โฆษณา การชักจูงใจและการโฆษณาชวนเชื่อการ วิเคราะห์การ เล่าเรื่องในสื่อบันเทิงต่าง ๆ และ ภาพตัวแทนของเพศ เชื้อชาติ และอุดมการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในเนื้อหาสื่อ ตัวอย่างแนวทางในการ วิเคราะห์ เช่น การเปรียบเทียบเนื้อหาของเรื่อง เล่าในสื่อที่แตกต่างกัน การวิเคราะห์ภาพตัวแทน ของชายและหญิงในสื่อโฆษณา เทคนิควิธีที่ถูกใช้ ในสื่อสิ่งพิมพ์ การศึกษาเนื้อหาสื่อแบบสารคดีใน สื่อสิ่งพิมพ์
72 การรู้เท่าสื่อจึงมีความส าคัญมากในฐานะ ทักษะและความสามารถของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ที่สามารถเลือกรับวิเคราะห์ ข้อมูล ข่าวสาร โดยเฉพาะสื่อที่ส่งผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต หรือ สื่อสังคมออนไลน์ พิจารณาโดยตั้งค าถามกับสื่อที่ เราเลือกรับ การประเมินสื่อเราสารโดยยึดหลัก คุณธรรม จริยธรรม เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของ สื่อนั้น
73 บทที่ 11 ตัวอย่ำงกำรใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศ
74 ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตถูกใช้งานอย่าง แพร่หลายเนื่องจากสามารถเข้าถึงได้ง่าย อีกทั้งยัง ช่วยอ านวยความสะดวกในด้านต่างๆมากมาย เช่น การติดต่อสื่อสาร การแลกเปลี่ยนข้อมูล การค้าขาย ในการสอบกลางภาค ก้านสามารถท า คะแนนวิชาวิทยาการค านวณได้สูงสุดในระดับชั้น คุณแม่จึงซื้อโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ให้กับ ก้านจึงอยากให้เพื่อน ๆ ช่วยบอกวิธีการใช้งาน โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์อย่างปลอดภัยให้กับก้าน ภาพคุณแม่ซื้อโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ให้ก้าน
75 มิจฉาชีพมักจะหาช่องโหว่หรือช่องทางต่าง ๆ สร้างผลประโยชน์ให้ตนเองบนความเดือดร้อน ของผู้อื่น ดังนั้น ผู้ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ ต้องรู้จักอันตรายและวิธีการป้องกันตนเอง เพื่อที่จะใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่าง ปลอดภัย ภาพมิจฉาชีพในช่องทางอินเทอร์เน็ต ก้ำนสำมำรถใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์อย่ำง ปลอดภัยได้ ดังนี้ ตั้งรหัสผ่านในการเข้าใช้งานโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ โดยที่รหัสผ่านจะต้องประกอบไปด้วยตัวอักษร ตัวเลข และตัวพิเศษ ที่มีความยาวอย่างน้อย 8 ตัวอักษร และจะต้องไม่ใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ใน การดาวน์โหลดโปรแกรมต่างๆจากแหล่งข้อมูลที่ ไม่น่าเชื่อถือ
76 ภาพก้านต้องรู้จักการใช้งานโน๊ตบุ๊กคอมพิวเตอร์อย่าง ปลอดภัยนะ 1. กำรตั้งค่ำควำมปลอดภัย อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศมักจะมีข้อมูล ส่วนตัวของผู้ใช้จัดเก็บเอาไว้ดังนั้น ผู้ใช้งานควรมี วิธีการในการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลจากผู้อื่น หรือการถูกเผยแพร่ข้อมูล เพื่อป้องกันอันตรายที่ อาจเกิดขึ้นกับข้อมูลหรือเจ้าของข้อมูล ดังนี้ 1.1 การก าหนดรหัสผ่าน เป็นวิธีการตั้งค่าความปลอดภัยให้กับอุปกรณ์ เทคโนโลยีสารเทศและการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ซึ่ง ผู้ใช้งานจะต้องยืนยันตัวตนเพื่อเข้าสู่ระบบหรือ เข้าใช้งาน โดยมีข้อแนะน าในการก าหนดรหัสผ่าน และข้อควรปฏิบัติ ดังนี้ 1.มีความยาวอย่างน้อย 8 ตัวอักษร
77 2.มีตัวอักษรตัวเลข และตัวอักขระพิเศษ 3.ง่ายต่อการจดจ าแต่ยากต่อการคาดเดา 4.เลี่ยงการน าข้อมูลส่วนตัวมาเป็นรหัสผ่าน 5.ไม่ใช้ค าที่มีความยาวในบรรณานุกรม 6.ไม่ใช้ชื่อบุคคลหรือสิ่งของ ภาพข้อแนะน าในการตั้งรหัสผ่าน
78 ข้อควรปฏิบัติ 1. ไม่เปิดเผยรหัสผ่านให้ผู้อื่นทราบ 2. ออกจากระบบทุกครั้งหลังใช้งาน 3. ไม่ใช้งาน "จ ารหัสผ่าน (Remember me)" ใน เบราว์เซอร์ 4. เปลี่ยนรหัสผ่านทุก ๆ 2-3 เดือน 5. ไม่จดหรือบันทึกรหัสผ่านไว้ในกระดาษหรือ เอกสารที่ไม่มีการป้องกันการเข้าถึง 1.2 การจ ากัดสิทธิ์ในการเข้าใช้งาน เป็นการก าหนดความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล ในเครื่องคอมพิวเตอร์แก่ผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ซึ่งเรา สามารถก าหนดได้ว่า จะให้ใครเข้าถึงข้อมูลและ สามารถท าอะไรกับข้อมูลได้บ้าง โดยการจ ากัด สิทธิ์ในการเข้าใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนตัว สามารถก าหนดสิทธิ์ได้ 5 สิทธิ์ ดังนี้ สิทธิ์ในการทา งานทกุอยา่ง 1 Full control สิทธิ์ในการปรับปรุง ไฟล์ข้อมูล 2 Modify และสิทธิ์ในการอา่นเรียกใช้ ไฟล์ข้อมูล 3 Read & execute สิทธิ์ในการอา่นไฟล์ข้อมูล 4 Read สิทธิ์ในการแก้ไขไฟล์ข้อมลู 5 Write
79 ภาพขั้นตอนการใช้งานคอมพิวเตอร์ในการก าหนดสิทธิ์ ขั้นตอนกำรจ ำกัดสิทธิ์ในกำรเข้ำใช้งำน 1. ดลิกขวาที่ไฟล์แล้วเลือก Properties 2. คลิก Security 3. คลิก Edit... 4. เลือกชื่อผู้ใช้งานที่ต้องการก าหนดสิทธิ์ 5. ก าหนดสิทธิ์ในการเข้าใช้งานในช่อง Deny.
80 ตัวอย่ำง ถ้ากิ่งต้องการก าหนดสิทธิ์ให้ก้านไม่สามารถเข้ามา อ่านข้อมูลที่อยู่ในไฟล์ที่มีชื่อว่า "ประวัติส่วนตัว" ของตนเองได้กิ่งจึงก าหนดสิทธิ์ในการเข้าใช้งาน ให้กับก้านโดยการคลิกตัวเลือก Read ในช่อง Deny ดังนี้ หลังจากที่กิ่งก าหนดสิทธิ์ในการเข้าใช้งานให้กับก้าน แล้วก้านจะไม่สามารถเปิดไฟล์งานนั้นขึ้นมาอ่านได้
81 2. กำรใช้งำนอินเทอร์เน็ตอย่ำงปลอดภัย อินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงได้ง่ายและถูกใช้งาน อย่างแพร่หลายในหลาย ๆ ด้าน เช่น การ ติดต่อสื่อสาร การแลกเปลี่ยนข้อมูล จึงเป็น ช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์ และสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ดังนั้น ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตควรจะรู้ถึงอันตรายและ วิธีการป้องกันอันตรายจากการใช้งาน อินเทอร์เน็ต 2.1 อันตรำยจำกกำรใช้งำนอินเทอร์เน็ต อันตรายที่มักเกิดขึ้นกับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต มี ดังนี้ ภาพข้อควรระวังการใช้อินเทอร์เน็ต 2.กำรถูกล่อลวง 3.กำรถูกหลอกลวง แบบฟิชชิง 4.กำรถูกก่อ อำชญำกรรมทำง อินเตอร์เน็ต 1.กำรถูกเผยแพร่ข้อมูล
82 อันตรายที่เกิดจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต เช่น ในขณะที่ก้านก าลังใช้งานคอมพิวเตอร์อยู่ ก้าน ได้รับอีเมลแจ้งว่า เบอร์โทรศัพท์ของตนเองนั้น จะถูกระงับการใช้งานภายใน 3 วัน แล้วให้รีบส่ง ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประจ าตัวประชาชน และหมายเลขโทรศัพท์กลับมาที่อีเมลนี้ภายใน 24 ชั่วโมง จากข้อมูลข้างต้น สิ่งที่ก้านต้องท าทันที คือ อย่า เพิ่งส่งข้อมูลส่วนตัวของตนเองทั้งชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประจ าตัวประชาชน และหมายเลข โทรศัพท์ไป แต่ก้านจะต้องโทรศัพท์ไปสอบถาม กับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ก่อนว่า จะมีการ ระงับการให้บริการจริงหรือไม่ ซึ่งถ้าหากได้ ค าตอบว่า ข้อมูลที่ก้านได้รับในอีเมลไม่เป็นความ จริง หมายความว่า ก้านก าลังจะถูกหลอกลวง แบบฟิชชิง
83 ภาพตัวอย่างผู้ที่กระท าความผิดจะมีโทษอะไรบ้าง
84 ภาพตัวอย่างผู้ที่กระท าความผิดจะมีโทษอะไรบ้าง
85 2.2 กำรป้องกันอันตรำยจำกกำรใช้งำน อินเทอร์เน็ต วิธีปฏิบัติตนเพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้งาน อินเทอร์เน็ต มีดังนี้ ภาพวิธีป้องกันอันตรายจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต
86 3.กำรติดตั้งชอฟต์แวร์อย่ำงปลอดภัย ปัจจุบันนี้มีซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้งานมากมาย หลายชนิดและสามารถดาวน์โหลดได้ทาง อินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้งบน อุปกรณ์เทคโนโลยีเพื่อใช้งานได้ตามความต้องการ แต่หลาย ๆ ครั้งซอฟด์แวร์ที่ดาวน์โหลดจาก อินเทอร์เน็ตก็ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป 3.1 อันตรำยจำกกำรติดตั้งซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์ที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตมักจะมี โปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์ติดมาด้วยหรือที่เรียกกัน ว่า มัลแวร์ (Malicious Software: Malware) ซึ่งเป็นเครื่องมือส าหรับก่ออาชญากรรมทาง อินเทอร์เน็ตโดยแฝงมากับซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้ติดตั้ง มัลแวร์ที่พบในปัจจุบันมีหลายประเภท ดังนี้
87 ภาพความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากการติดตั้งซอฟต์แวร์
88 ภาพความรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์
89 บทที่ 12 ควำมปลอดภัยในกำรใช้งำนเทคโนโลยี สำรสนเทศ
90 1. ปัญหำของเรื่องนี้คืออะไร ตอบ ปัญหาการถูกหลอกจากคนที่รู้จักกันผ่าน แอปพลิเคชันในระยะเวลาเพียง 7 วัน 2. ถ้ำมีคนรู้จักผ่ำนแอปพลิเคชันขอยืมเงิน นักเรียนจะให้ยืมหรือไม่เพรำะเหตุใด ตอบ ควรสอบถามข้อมูลให้ชัดเจนและปรึกษาพ่อ แม่หรือผู้ปกครองก่อนตัดสินใจ 3. นักเรียนคิดว่ำ จะป้องกันหรือแก้ปัญหำนี้ได้ อย่ำงไร ตอบ ศึกษาข้อมูลแนวทางการป้องกันอันตราย จากการใช้งานอินเทอร์เน็ต รู้จักกันผ่ำนแอปพลิเคชันเพียง 7 วัน หลอกยืมเงินแล้วติดต่อกลับไม่ได้ หญิงสาววัยรุ่นรู้จักเพื่อนหนุ่มผ่านแอปพลิเคชัน หญิงสาวรายนี้ได้ พูดคุยกันผ่านแอปพลิเคชันกับชายหนุ่มเป็นเวลา 7 วันชายหนุ่มได้ บอกกับหญิงสาวว่าตนเองป่วยหนัก พร้อมส่งภาพถ่ายว่าตนเองอยู่ โรงพยาบาล และขอยืมเงินของหญิงสาวเพื่อน าไปจ่ายค่า รักษาพยาบาล โดยอ้างว่าตนเองไม่ได้น าเงินติดตัวมาและจะคืนเงิน ให้ภายหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฝ่ายหญิงสาวจึงโอนเงินให้ เพราะเชื่อใจ และหลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อชายหนุ่มคนนี้ได้อีก
91 1. อินเทอร์เน็ตตำมที่ก ำหนด เติมลงในสถำนกำรณ์ตำมข้อ 1 .- 5. พร้อมอธิบำยแนวทำงกำรป้องกัน 1. ทรายได้รับข้อความจากโทรศัพท์ว่า คุณคือผู้ โชคดีได้รับรางวัลพิเศษเป็นเงิน 10,000 บาท ให้ ท่านส่งส าเนาบัตรประจ าตัวประชาชนกลับมาเพื่อ รับรางวัล การล่อลวงแบบพีชชิง แนวทางการป้องกัน ไม่หลงเชื่อข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตโดยง่าย ควร ศึกษาข้อมูลจากหลายแหล่งก่อนตัดสินใจเชื่อใน สิ่งที่รับรู้ 2. กันต์น าภาพลามกอนาจารแนวทางการป้องกัน มาเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม แนวป้องกัน การล่อหลวงแบบฟิชชิง การก่ออาชญากรรมทางอินเตอร์เน็ต การกระท าผิดกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การล่อหลวงเยาวชน แบบฝึกหัด กำรใช้งำนเทคโนโลยีสำรสนเทศ
92 ไม่เข้าเว็บไซต์ที่เผยแพร่เนื้อหาผิดกฎหมาย เช่น.. สื่อลามกอนาจาร ไม่ควรเผยแพร่ต่อไปให้ผู้อื่น 3. จอยถูกล่อลวงผ่านโปรแกรมแชตทาง อินเทอร์เน็ต น าไปสู่การนัดพบกันทั้งที่ไม่รู้จักกัน การล่อลวงเยาวชน แนวทางการป้องกัน ไม่ควรไปพบบุคคลใดก็ตามที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ต เพียงล าพังและควรปรึกษาพ่อแม่ผู้ปกครองหรือ ครู 4. เอ้สั่งซื้อสินค้าออนไลน์แล้วโอนเงินไปล่วงหน้า เพื่อจองสินค้า หลังจากนั้นร้านค้าไม่ส่งสินค้ามา ให้และไม่สามารถติดต่อร้านค้าได้ การก่ออาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต แนวทางการป้องกัน ศึกษาข้อกฎหมายและแนวทางในการป้องกัน อันตรายจากการใช้อินเตอร์เน็ต 5. เบสแชร์โพสต์ที่เพื่อนแชร์ต่อกันมาว่า บาส ขโมยของเพื่อน แต่เบสไม่ทราบว่าเป็นการเข้าใจ ผิดกันระหว่างบาสกับเพื่อน จึงท าให้บาสเสียหาย และอับอาย การกระท าผิดกฎหมาย โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แนวทางการป้องกัน ไม่หลงเชื่อข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตโดยง่าย ควร ศึกษาข้อมูลจากแหล่งก่อนตัดสินใจเชื่อในสิ่งที่ รับรู้
93 1. มัลแวร์ (Malicious Software: Malware) เป็นเครื่องมือส าหรับการก่อปัญหาอาชญากรรม ทางอินเทอร์เน็ตที่แฝงมากับชอฟต์แวร์ที่ติดตั้ง โดยมัลแวร์ที่พบในปัจจุบันมีหลายประเภท 2. ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อขัดขวางการท างาน ของคอมพิวเตอร์ ท าให้ผู้ใช้งานเกิดความร าคาญ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูล มักติดมากับไฟล์ ต่างๆและจะท างานเมื่อมีการเปิดใช้งานไฟล์นั้น 3. หนอนคอมพิวเตอร์ (Worm) เป็นโปรแกรมอันตรายที่ใช้วิธีหาจดอ่อนของ ระบบรักษาความปลอดภัยแล้วแพร่กระจายไปสู่ คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ท าให้คอมพิวเตอร์และ ระบบเครื่อข่ายเกิดความเสียหายที่รุนแรง 4. ม้าโทรจัน (Trojan Horse) เป็นโปรแกรมที่หลอกลวงผู้ใช้ให้ติดตั้งและเรียกใช้ งาน แต่เมื่อเรียกใช้งานแล้วจะเริ่มท างานเพื่อ สร้างปัญหาตามที่ผู้เขียนก าหนด 5. โปรแกรมดักจับข้อมูล (Spyware) เป็นโปรแกรมที่แอบขโมยข้อมูลของผู้ใช้ระหว่าง ใช้งานคอมพิวเตอร์ เพื่อน าไปใช้แสวงหา ผลประโยชน์ต่างๆ กำรติดตั้งซอฟต์แวร์จำกจำกอินเทอร์เน็ตอินเทอร์เน็ต แบบฝึกหัด 10 คะแนน