The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1 ความรู้เบื้องต้นการจัดการดำเนินงาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นัยนา วรรณุทัศน์, 2023-07-20 22:37:39

การจัดการการดำเนินงาน

1 ความรู้เบื้องต้นการจัดการดำเนินงาน

การจัดการการด าเนินงาน Operations Management


ค าอธิบายรายวิชา • ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการด าเนินงาน สินค้า บริการ วงจรการให้บริการ การเลือกท าเลที่ตั้ง การ วางแผนก าลัง การผลิต การวางผังสถานประกอบการ การพยากรณ์การ ผลิต การจัดการคุณภาพเบื้องต้น การ จัดการห่วงโซ่ อุปทาน การจัดการสินค้าคงคลัง การออกแบบงาน มาตรฐานการปฏิบัติงาน การจัดการบ ารุงรักษา และความ ปลอดภัย และแนวคิดอุตสาหกรรม 4.0


บทน า


• การด าเนินงานเป็นกิจกรรมที่ผู้บริหารในองค์กรต้องให้ความสนใจ เพราะเกี่ยวข้องกับรายได้ และความอยู่รอดขององค์กร ในการ จัดการการด าเนินงาน (Operations Management) เริ่มต้นเป็น การพัฒนาองค์ความรู้มาจากการจัดการการผลิต (Production Management) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การ ผลิตสินค้าหรืออุตสาหกรรม การผลิต ต่อมาได้พัฒนาเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ครอบคลุมไปถึง การบริการมาเป็นการจัดการผลิตและการด าเนินงาน (Production & Operations Management) ซึ่ง แสดงให้เห็นถึงโฟกัสที่กว้าง กว่า ในปัจจุบันจะใช้ชื่อการจัดการการด าเนินงาน (Operations Management) ซึ่งมีความหมายครอบคลุมการผลิตอยู่แล้วและมี เนื้อหาที่กว้างกว่า


• การด าเนินงานเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการสร้างมูลค่าจาก กระบวนการแปลงสภาพทรัพยากร ให้เกิดผลผลิตในรูปของสินค้า และบริการ ซึ่งนับได้ว่าเป็นกิจกรรมส าคัญที่เกิดขึ้นในทุก ๆ องค์กร ทั้ง กิจกรรมการผลิตสินค้าที่จับต้องได้ทางกายภาพในธุรกิจ อุตสาหกรรมการผลิต และกิจกรรมที่ไม่ได้ ผลิตสินค้าทางด้าน กายภาพแต่ให้บริการแก่ลูกค้าในธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ขั้น สุดท้ายจะเป็น สินค้าหรือบริการ การบริหารการด าเนินงานจะ เกี่ยวข้องกับหน้าที่หลักในการบริหารจัดการ


• ประกอบไปด้วย การวางแผน (Planning), การจัดองค์การ (Organizing), การจัดคนเข้าท างาน (Staffing), การบังคับบัญชา (Leading) และการควบคุมงาน (Controlling) เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายใน การส่งมอบสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้า (Delivery) ในปริมาณที่ถูกต้อง (Quantity) มีคุณภาพ (Quality) และมีต้นทุน ที่เหมาะสม (Cost) นอกจากนี้ยังต้องค านึงถึงความปลอดภัย (Safety) และ สิ่งแวดล้อม (Environment) ด้วย


บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นการจัดการด าเนินงาน


ความเป็นมาของการจัดการการด าเนินงาน • องค์ความรู้ทางด้านการจัดการการด าเนินงานในปัจจุบัน นับว่ายัง เป็นเรื่องใหม่ที่เกิดจากการ พัฒนาต่อยอดองค์ความรู้มาจาก แนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ที่มีผู้คิดค้นไว้ในอดีต


ยุคแรก (ค.ศ.1776-1880) • อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยการน าเครื่องจักรมาใช้ใน การ ผลิตแทนแรงงาน ยุคนี้มีองค์ความรู้ที่ส าคัญก่อให้เกิดรากฐานองค์ ความรู้การจัดการผลิต ได้แก่ - Adam Smith (1776) ได้เสนอแนวคิดการแบ่งงานกันท า (Labor Specialization) ที่มี แนวความคิดที่ว่าแต่ละบุคคลมี ความสามารถและความถนัดที่แตกต่างกัน การแบ่งงานตาม ความสามารถของแรงงานจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการท างาน มากกว่าให้ทุกคนท างาน ทั้งหมดเหมือนกัน


ยุคแรก (ค.ศ.1776-1880) - Eli Whitney (1880) ได้เสนอแนวคิดชิ้นส่วนมาตรฐาน (Standardized Part) แนวคิดนี้ เป็นการก าหนดมาตรฐานของ ชิ้นส่วนและอะไหล่ของเครื่องจักร ท าให้เกิดประสิทธิภาพใน การซ่อม บ ารุง


ยุคการผลิตเชิงวิทยาศาสตร์(ค.ศ.1881-1912) • เป็นการน าเอาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และสถิติมา ช่วยในการบริหารจัดการการผลิต ได้แก่ - Frederick Winslow Taylor (1881) ได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์หรือเชิงเหตุและผล (Scientific management) ซึ่ง Taylor ได้ศึกษาถึง วิธีการท างานที่มี ประสิทธิภาพเพื่อหาวิธีการท างานที่ดีที่สุด (One best way) และจาก การศึกษาพบว่า คนงานควรที่จะท างานที่ตนเองมีความถนัด จึงจะ สามารถท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ยุคการผลิตเชิงวิทยาศาสตร์(ค.ศ.1881-1912) - A.K. Erlang (1910) เป็นผู้ที่คิดค้นทฤษฎีแถวคอย (Queuing Theory) โดยใช้คณิตศาสตร์ แก้ปัญหาการรอคอย และ ความยาวของแถวคอยของผู้ใช้โทรศัพท์ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศ เดนมาร์ค


ทฤษฎีแถวคอย (Waiting Line Theory) • หรือ ตัวแบบคิว (Queuing Theory) ได้ถูก พัฒนาขึ้นในปีค.ศ.1905 โดย เอ.เค. เออร์แลง (A.K.Erlang) วิศวกรชาวเดนมาร์ก เพื่อ แก้ปัญหาการรอคอยของผู้ใช้โทรศัพท์ต่อมาจึงได้ มีผู้ท าการศึกษาตัวแบบแถวคอยอื่น ๆ อย่าง กว้างขวาง


ยุคการผลิตเชิงวิทยาศาสตร์(ค.ศ.1881-1912) - Frank Bunker and Lillian Moller Gilbreth (1912) ทั้งคู่ เป็นสามีภรรยากันโดยผลงาน ที่ส าคัญของ Frank และ Lillian Gilbreth คือการศึกษาการเคลื่อนไหว (Motion study) โดยมีการจับ เวลาด้วยนาฬิกาและการถ่ายภาพเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ (slow motion picture) เป็นการศึกษาถึงการเคลื่อนไหวร่างกายของคนงานเพื่อ ออกแบบวิธีการท างานที่จะช่วยลดเวลาและความเหนื่อยล้าจากการ ท างาน ซึ่งจะท าให้สามารถเพิ่มผลผลิตได้


ยุคการผลิตเชิงวิทยาศาสตร์(ค.ศ.1881-1912) - Henry L. Gantt (1912) มีชื่อเสียงจากการน าเสนอแผนภูมิ แกนต์ (Gantt Chart) มาช่วยวางแผนการจัดตารางการผลิต (Production schedule) นอกจากนี้ยังมีผลงานการพัฒนา ระบบ ค่าจ้างของงานและการจ่ายโบนัส (Task and Bonus System)


ยุคการผลิตขนาดใหญ่ (ค.ศ.1913-1980) • เป็นยุคที่เกิดอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ รวม ไปถึง อุตสาหกรรมการขนส่งที่น าหัวรถจักรไอน้ ามาใช้ในรถไฟ และมีการ ปรับปรุงเรือกลไฟให้มีความสามารถล าเลียงและขนส่งทางทะเลได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ท าให้สามารถกระจายสินค้าเข้าถึงลูกค้าได้ใน วงกว้าง แนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ในยุคนี้ ได้แก่


ยุคการผลิตขนาดใหญ่ (ค.ศ.1913-1980) • - Henry Ford (1913) เป็นผู้คิดค้นระบบการผลิตแบบสายการ ประกอบ (Assembly line) ซึ่งเป็นการจัดวางเครื่องจักรอุปกรณ์ การผลิตตามล าดับขั้นตอนในการผลิต จากการใช้ระบบการผลิต แบบสายการประกอบนี้เองที่ท าให้ Ford สามารถผลิตรถยนต์ได้ เป็นจ านวนมากและ มีต้นทุนที่ต่ า จึงท าให้รถยนต์ของ Ford เป็นที่ ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากและระบบการ ผลิตแบบสายการ ประกอบนี้ยังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน


ยุคการผลิตขนาดใหญ่ (ค.ศ.1913-1980) - F.W. Harris (1913) ได้ท าการวิเคราะห์และพัฒนาตัวแบบ สินค้าคงคลังที่ใช้ในการ ค านวณหาปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัด (Economic Order Quantity: EOQ) โดยที่เป็นการพิจารณาหาความ สมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อกับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาเพื่อให้ เกิด ค่าใช้จ่ายสินค้าคงคลังที่มีต้นทุนต่ าที่สุด


ยุคการผลิตขนาดใหญ่ (ค.ศ.1913-1980) - W. Shewhart, H.F. Dodge, H.G. Romig, L.H.C. Tippett (1924) ได้พัฒนาและใช้การควบคุมคุณภาพโดยอาศัยวิธีการทางสถิติ (Statistical Quality Control) ซึ่งเทคนิคการควบคุมคุณภาพเชิงสถิติ ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายมากนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึง ปัจจุบัน โดยถือว่าการควบคุมคุณภาพเป็นกิจกรรมพื้นฐานที่จะ ยกระดับของคุณภาพการผลิต ไปสู่การจัดการคุณภาพแบบเบ็ดเสร็จ (Total Quality Management)


ยุคการผลิตขนาดใหญ่ (ค.ศ.1913-1980) - Booz Allen and Hamilton, DuPong (1958) ได้พัฒนา เครื่องมือที่ช่วยในการวางแผน และบริหารโครงการโดยใช้เทคนิคที่ เรียกว่า Pert & CPM โดยเน้นวางแผนและควบคุมเวลาของกิจกรรม การด าเนินงานที่มีความสัมพันธ์กันตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของ โครงการที่เกิดขึ้น


ยุคการผลิตขนาดใหญ่ (ค.ศ.1913-1980) - Joseph Orlicky, Oliver Wight (1980) ได้พัฒนาระบบการ วางแผนความต้องการวัสดุ (Material Resource Planning: MRP) มาช่วยในการจัดสรรและควบคุมปริมาณวัตถุดิบ และเวลาด าเนินการ ในการน าเข้าสู่กระบวนการผลิตจนได้ผลิตภัณฑ์สุดท้าย เพื่อส่งมอบ ให้กับลูกค้า


ยุคการผลิตแบบลีน (ค.ศ.1981-1995) • เป็นยุคที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้น าในอุตสาหกรรมการ ผลิตต่าง ๆ ระดับโลก แนวคิดในยุคนี้จะมุ่งเน้นไปที่คุณภาพ (Quality Focus) องค์ความรู้ต่าง ๆ จึง มาจากการบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น เริ่มต้นได้ พัฒนาองค์ความรู้จากอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ จากแนวคิด วิถีแห่งโตโยต้า (Toyota Way) ได้มีการประยุกต์ใช้แนวคิดไปยัง อุตสาหกรรมอื่น ๆ รวม ไปถึงธุรกิจบริการด้วย จากองค์ความรู้ด้าน การจัดการการผลิต (Production Management) ได้ พัฒนาเป็น องค์ความรู้ด้านการจัดการการผลิตและการด าเนินงาน (Production & Operations Management) องค์ความรู้ที่ส าคัญ ในยุคนี้ได้แก่


ยุคการผลิตแบบลีน (ค.ศ.1981-1995) - Toyota (1981) ได้พัฒนาระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี (Just in Time) มาใช้ในการผลิตรถยนต์ของตนเพื่อลดการสูญเสีย และส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้ทันตามความต้องการระบบนี้เริ่มใช้ใน ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1956 และองค์ความรู้นี้ได้เข้าสู่ในอเมริกาและ แพร่หลายในช่วงต้นทศวรรษ 1980 นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบ Kanbans ที่ใช้บัตรหรือการ์ด ค าสั่งแสดงสถานะในการด าเนินการ ขั้นตอนถัดไปในระบบการผลิตแบบดึง (Pull System)


ยุคการผลิตแบบลีน (ค.ศ.1981-1995) - W. Edwards Deming (1982) เดิมทีได้น าเสนอแนวคิด วงจรคุณภาพที่เรียกว่า PDCA Cycle มาช่วยในการจัดการคุณภาพที่ ประเทศญี่ปุ่นในปี 1951 และพัฒนาองค์ความรู้จนเกิดการควบคุม คุณภาพทั่วทั้งองค์กร (company-wide quality control) ซึ่งเป็น รากฐานของ องค์ความรู้ในการจัดการคุณภาพแบบเบ็ดเสร็จ (Total Quality Management: TQM) มา จนถึงปัจจุบัน


ยุคการผลิตแบบลีน (ค.ศ.1981-1995) • นอกจากนี้ในช่วงทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา เป็นยุคที่มีการน า ระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการท างาน ช่วยในการจัดการการผลิต และการด าเนินงาน ได้แก่ - ระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการออกแบบ (Computer Aided Design: CAD) เป็นระบบที่ ใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบชิ้นงาน หรือผลิตภัณฑ์ และได้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยใน การควบคุม การท างานของเครื่องจักร (Computer Aided Manufacturing: CAM) ซึ่งปัจจุบันระบบ CAD/CAM ถูกพัฒนาให้ท างานร่วมกัน


ยุคการผลิตแบบลีน (ค.ศ.1981-1995) - ระบบวางแผนความต้องการวัสดุ (Material Requirement Planning: MRP) เป็นระบบ เพื่อช่วยในการบริหารสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่ระบบ การเงิน การบัญชี และการกระจายสินค้าที่เรียกว่าระบบ MRP II


ยุคการผลิตแบบลีน (ค.ศ.1981-1995) • - ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างองค์กร (Electronic Data Interchange: EDI) เป็น ระบบที่เชื่อมโยงการท างานของ ระบบคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ทั้งภายในองค์กรและระหว่าง องค์กร ท าให้การท าธุรกรรมระหว่างองค์กรสะดวก รวดเร็ว และมีความ ปลอดภัย


ยุคปัจจุบัน (ค.ศ.1996-ปัจจุบัน) • เป็นยุคที่มุ่งเน้นลูกค้า (Customization Focus) จึงไม่ได้ มุ่งเน้นไป ที่อุตสาหกรรมการผลิตเท่านั้น ปัจจุบันจึงใช้ชื่อว่าการจัดการการ ด าเนินงาน (Operations Management) ซึ่งมีความหมาย ครอบคลุมการจัดการการผลิตและมีเนื้อหาที่ครอบคลุมไปถึงองค์ ความรู้ต่าง ๆ ได้แก่ แนวคิดโลกาภิวัตน์, การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce), ระบบการ วางแผนทรัพยากรในองค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP), มาตรฐาน ISO, การ ตอบสนอง ต่อความต้องการของลูกค้าในวงกว้าง (Mass Customization) และ การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) เป็นต้น


แนวคิดการจัดการการด าเนินงาน • แนวคิดด้านการจัดการการด าเนินงาน (Operations Management) นับว่ายังเป็นเรื่อง ใหม่ ที่มีผู้ให้ค านิยามความหมายการด าเนินงาน ดังต่อไปนี้


• เอส เอนิล คูมาร์ และ เอ็น ซัวเรซ (Kumar and Suresh, 2009: 9) ได้ให้ความหมายการด าเนินงาน หมายถึง กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการ ด าเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือ องค์กรเพื่อ ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า โดยการด าเนินงานสามารถ แบ่งได้เป็นการด าเนินงานด้านการผลิต (Manufacturing Operations) โดยผลผลิตจะอยู่ในรูปของสินค้า ซึ่งมีตัวตน จับต้องได้ และการด าเนินงานด้านการบริการ (Service Operations) ผลผลิต ไม่มีตัวตน ไม่สามารถ จับต้องได้ แนวคิดการจัดการการด าเนินงาน


• เจย์ ไฮเซอร์ และ แบร์รี่ เรนเดอร์ (Heizer and Render, 2011: 36) ได้ให้ความหมายการด าเนินงาน หมายถึง กิจกรรมการสร้าง มูลค่าให้กับสินค้าและบริการ ซึ่งเกิดจากกระบวนการแปลง สภาพ ปัจจัยน าเข้าให้กลายเป็นผลผลิตในรูปของสินค้าและการบริการ แนวคิดการจัดการการด าเนินงาน


• การจัดระบบการท างานของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ แปลงสภาพปัจจัยน าเข้าให้เกิดผลผลิตที่มี มูลค่าเพิ่ม เป็น ผลิตภัณฑ์ที่มีตัวตนจับต้องได้และการบริการที่สร้างความพึงพอใจ ให้กับลูกค้า ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การจัดการการด าเนินงาน (Operations Management) จะมีความหมายครอบคลุม มากกว่า การจัดการการผลิต (Production Management) สรุปความหมายการจัดการการด าเนินงาน (Operations Management)


• ระบบการด าเนินงานประกอบไปด้วยปัจจัยน าเข้า (Input) กระบวนการแปรรูปหรือการด าเนินงาน (Process) และผลผลิต (Output) ในรูปของสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีตัวตนจับต้องได้และ การบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ระบบการดา เน ิ นงาน


1.ปัจจัยน าเข้า (Input) ได้แก่ แรงงาน (Men) วัตถุดิบ (Materials) อุปกรณ์เครื่องจักร (Machines) เงินทุน (Money) และสารสนเทศ (Information) 2. กระบวนการ (Process) ในกรณีที่เป็นการด าเนินงานด้านการผลิต (Manufacturing Operations) จะเป็นกระบวนการแปรรูปปัจจัยน าเข้า ต่าง ๆ ในกรณีที่เป็นการด าเนินงานด้านบริการ(Service Operations) จะเป็นกระบวนการด าเนินงานเพื่อสนองต่อความต้องการของลูกค้า 3. ผลผลิต (Output) ได้แก่ สินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีตัวตนจับต้องได้ และการบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังต้อง ค านึงถึงผลกระทบที่มีต่อ ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมผลการ ด าเนินงานที่เกิดขึ้นจะเป็นสารสนเทศย้อนกลับเพื่อแก้ไข ปรับปรุงและ พัฒนาสินค้าและบริการ


3. ผลผลิต (Output) ได้แก่ สินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีตัวตนจับต้องได้ และการบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังต้อง ค านึงถึงผลกระทบที่มีต่อ ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมผลการ ด าเนินงานที่เกิดขึ้นจะเป็นสารสนเทศย้อนกลับเพื่อแก้ไข ปรับปรุงและ พัฒนาสินค้าและบริการ


ระดับของสินค้าและบริการจะขึ้นอยู่กับผลผลิต (Output) ที่ลูกค้า ได้รับ สามารถแบ่งระดับของสินค้าและบริการออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1. สินค้าที่มีตัวตน (Pure Tangible Goods) เป็นสินค้าที่มีตัวตนจับต้อง ได้ มีบริการเข้ามาเกี่ยวข้องที่เป็นรูปธรรมน้อยหรือไม่มีบริการเลย เช่น อาหารกระป๋อง สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก อาจมีบริการได้ในส่วนของการ สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ 2. สินค้าที่มีตัวตนพร้อมมีบริการควบ (Tangible Goods with Accompanying Services)จะให้ความส าคัญกับตัวสินค้าที่มีตัวตนและ การบริการที่แฝงมากับตัวสินค้า เช่น รถยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ เป็นสินค้าต้องขายพร้อมบริการด้วยเสมอ จะเห็นได้ว่าสินค้าเหล่านี้จะมี ศูนย์บริการหรือศูนย์ซ่อมในการให้บริการลูกค้า


3. สินค้าและบริการอย่างละเท่ากัน (Hybrid) มีลักษณะของสินค้าที่มี ตัวตนและการบริการใกล้เคียงกัน เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ผู้บริโภค ต้องการอาหารอร่อยและการบริการที่ดี 4. การบริการเป็นส่วนส าคัญพร้อมด้วยสินค้าเป็นส่วนเสริม (Major Service with Accompanying Minor Goods and Services) จะ มุ่งเน้นไปที่การบริการโดยมีสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริม เช่น ธุรกิจสาย การบิน ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจเสริมความงาม ลูกค้าจะให้ความส าคัญกับ การบริการส่วนสินค้าที่ขายถือเป็นสินค้าบริการเสริมที่ลูกค้ามีความ ต้องการน้อยกว่าการรับบริการ 5. การบริการล้วน (Pure Service) เป็นธุรกิจที่ให้บริการอย่างเดียว มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องน้อยมากหรือไม่มีเลย เช่น ธุรกิจรับเลี้ยงเด็ก ธุรกิจให้ค าปรึกษา อาจจะมีเอกสารหรือบันทึกเป็นผลิตภัณฑ์เสริม


แสดงความแตกต่างระหว่างการผลิตสินค้าและการบริการ ดังนั้นในการด าเนินงานจึงมีรายละเอียดที่แตกต่างกันตามระดับของ สินค้าและบริการ


แสดงความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะการด าเนินงานและระดับสินค้าและบริการ


การจัดการการด าเนินงานด้านการผลิต • การผลิต คือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแปลงสภาพปัจจัย การผลิตน าเข้าให้เกิดผลผลิตหลักเป็นสินค้าที่มีตัวตน จับต้องได้ และก่อให้เกิดอรรถประโยชน์ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ดังนั้น ในระบบการผลิต จะเน้นไปที่กระบวนการแปลงสภาพ (Transformation Process) ที่แปรรูปปัจจัยการผลิตน าเข้าให้เป็น สินค้าและบริการ


• การด าเนินงานด้านการผลิตจะประกอบไปด้วย การออกแบบ ผลิตภัณฑ์(Product Design) การวางแผนกระบวนการผลิต (Process Planning) การควบคุมการผลิต (Production Control) และการบ ารุงรักษา (Maintenance) • ระบบการผลิตจะด าเนินการอย่างต่อเนื่อง (Continuous) ท าให้เกิด สารสนเทศย้อนกลับที่องค์กรจะต้องให้ความส าคัญ ได้แก่ สินค้า คงคลัง (Inventory) คุณภาพ (Quality) และ ต้นทุน (Cost)


การจ าแนกประเภทระบบการด าเนินงานด้านการผลิต • ระบบการผลิตสามารถจ าแนกประเภทตามปริมาณที่ผลิต (Production Volume) และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ (Product Variety)


1.การผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง (Job-Shop Production) • เป็นการผลิตจ านวนไม่มากตามความต้องการของลูกค้า หรือ เรียกว่า การผลิตแบบรับจ้างท า ท าให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย และมีการเปลี่ยนแปลงตัวผลิตภัณฑ์ค่อนข้างบ่อย เป็นการผลิตตาม รูปแบบและข้อก าหนดของลูกค้า การผลิตลักษณะนี้จะเน้นที่ความ ถูกต้อง ชัดเจนของข้อก าหนด ดังนั้นอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่นา มาใช้ในการผลิต จึงมักเป็นแบบอเนกประสงค์ สามารถปรับแต่งให้ ใช้ผลิตได้หลากหลายผลิตภัณฑ์ ท าให้การผลิตไม่ต่อเนื่อง ตัวอย่าง ระบบการผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง เช่น การกลึงชิ้นงาน การผลิตประตู หน้าต่าง เหล็กดัดตามค าสั่งซื้อของลูกค้า รับตัดเย็บเสื้อผ้า รับสร้างบ้าน เป็นต้น


2. การผลิตแบบกลุ่ม (Batch Production) • การผลิตแบบกลุ่มนี้จะมีลักษณะของผลิตภัณฑ์แยกเป็นกลุ่ม เป็นชุด หรือเป็นรุ่นเดียวกัน ผลิตภัณฑ์จะมีมาตรฐานเฉพาะของแต่ละกลุ่ม ของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ในการผลิตจะมีการจัดเครื่องจักรตามหน้าที่การ ใช้งานเป็นสถานี แล้วงานจะไหลผ่านไปแต่ละสถานีตามล าดับขั้นตอน ของงาน ดังนั้นในการผลิตแต่ละกลุ่ม เครื่องจักรจะต้องมีความ ยืดหยุ่นเพื่อลดเวลาการปรับตั้ง เนื่องจากการผลิตเป็นแบบกลุ่ม จ านวนที่ผลิตมากขึ้นท าให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลงเมื่อเทียบกับการ ผลิตแบบรับจ้างท า การผลิตแบบกลุ่มนี้ใช้ได้กับการผลิตตามค าสั่ง ซื้อและการผลิตเพื่อรอจาหน่าย ตัวอย่าง เช่น การตัดเย็บเสื้อผ้าโหล แบ่งตามขนาด การผลิตอาหารแยกตามชนิด เป็นต้น


3. การผลิตขนาดใหญ่ (Mass Production) • เป็นการผลิตตามสายการประกอบ หรือ ผลิตแบบช้า ๆ คือผลิต เหมือนกันในปริมาณมากในการผลิตจะใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักร ที่ทันสมัย การผลิตจ านวนมากท าให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง (economy of scale) เช่น การผลิตแชมพูรถยนต์ เครื่องซักผ้า เป็นต้น การผลิตแบบไหลผ่านนี้จะเหมาะกับการผลิตเพื่อรอ จ าหน่ายหรือใช้ในการประกอบโมดูลในการผลิตเพื่อรอค าสั่งจาก ลูกค้าต่อไป


4. การผลิตแบบต่อเนื่อง (Continuous Production) • เป็นการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในปริมาณมากมายอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องจักรเฉพาะอย่าง มักเป็นการผลิตหรือแปรรูป ทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นวัตถุดิบในการผลิตขั้นตอนต่อไป เช่น การกลั่นน้ามัน การผลิตสารเคมี การท ากระดาษ เป็นต้น


เป้าหมายของการด าเนินงานด้านการผลิต 1.ด้านปริมาณ (Quantity) การด าเนินงานด้านการผลิตจะต้องมีการ วางแผนการจัดสรรทรัพยากรการผลิตต่าง ๆ ทั้งด้านก าลังคน วัตถุดิบ เครื่องจักรอุปกรณ์การผลิตต่าง ๆ ตลอดจนเทคนิควิธีการผลิต เพื่อให้ สามารถผลิตสินค้าและบริการได้ตามปริมาณที่ต้องการ 2) ด้านคุณภาพ (Quality) เป็นการวางแผนและควบคุมการผลิตเพื่อให้ ได้สินค้าและบริการที่มีคุณลักษณะตามที่ต้องการ โดยทั่วไปจะมีการ ก าหนดคุณลักษณะที่ต้องการนั้นเป็นมาตรฐาน ซึ่งการให้ได้มาซึ่ง คุณภาพที่ต้องการนั้นจะต้องมีมาตรฐานในด้านต่าง ๆ เช่น มาตรฐาน ด้านวัตถุดิบมาตรฐานด้านแรงงาน มาตรฐานด้านวิธีปฏิบัติงาน เป็นต้น


Click to View FlipBook Version