The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือครู วิทยาการคำนวณ ม.2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by opart_2000, 2021-09-21 04:18:22

คู่มือครู วิทยาการคำนวณ ม.2

คู่มือครู วิทยาการคำนวณ ม.2

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

ขน้ั สอน 3.2 พฒั นาการของการสอ่ื สารขอ้ มลู

สาํ รวจคน้ หา พฒั นำกำรของกำรสือ่ สำรข้อมูล สำมำรถแบ่งออกเปน็ ยคุ ตำ่ ง ๆ ได ้ 3 ยุค ดงั นี้

นกั เรยี นศกึ ษาพฒั นาการของการสอ่ื สารขอ มลู 1. การสอ่ื สารยคุ โบราณ จะเป็นกำรสอื่ สำรท่ีไมม่ ีควำม ภาพท ่ี 3.9 ภำพวำดผนังถ�ำ้
ท่ีสามารถแบงออกไดเปน 3 ยคุ จากหนงั สอื เรยี น สลับซับซ้อน ส่วนใหญ่จะท�ำเพ่ือตอบสนองควำมต้องกำรข้ัน
พน้ื ฐำนของมนุษย ์ และยังมกี ำรสื่อสำรจำกอดีตหลงเหลอื มำถึง
อธบิ ายความรู้ ปัจจบุ นั เชน่ ภำพวำดบนผนงั ถ�ำ้ ที่มักจะเป็นกำรเขยี นเลำ่ เรอื่ ง
กจิ วตั รประจ�ำวันอย่ำงกำรลำ่ สตั ว์ไว้บนผนงั ถ้�ำหรือก้อนหิน โดย
ครูสุมนักเรียน 3 คน ออกมาอภิปรายหนา ใชว้ ธิ กี ำรวำดรปู แทนสญั ลกั ษณ์
ช้ันเรียนเกี่ยวกับการส่ือสารขอมูล พรอมยก 2. การสื่อสารยุคอุตสาหกรรม เป็นกำรส่ือสำรที่มี
ตัวอยางการสอื่ สารในแตละยคุ ไดอ ยางเหมาะสม คุณภำพมำกกว่ำกำรสื่อสำรในยุคโบรำณ มีกำรพัฒนำเครื่อง-
มือส่ือสำรโดยกำรนำ� เทคโนโลยเี ขำ้ มำชว่ ยในกำรสอ่ื สำร แตก่ ำร
ขยายความเขา้ ใจ สอ่ื สำรในยคุ อตุ สำหกรรมนม้ี แี นวโนม้ ทจี่ ะเลกิ ใชห้ รอื บำงอยำ่ งก็
เลกิ ใชไ้ ปแลว้ เนอ่ื งจำกมเี ทคโนโลยใี หม ่ ๆ เขำ้ มำแทน กำรสอ่ื สำร
1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัยและ ในยคุ อตุ สำหกรรม เชน่ โทรเลข วทิ ยุ กำรสง่ จดหมำย
ครูใหความรเู พิ่มเติมในสวนนนั้
3. การส่ือสารยุคปัจจุบัน เป็นกำรพัฒนำกำรสื่อสำรท่ี ภาพท่ ี 3.10 เครือ่ งโทรเลข
2. นักเรียนทาํ ใบงาน เรอ่ื ง องคป ระกอบของการ นำ� เครอื่ งมอื และเทคโนโลยสี มยั ใหมเ่ ขำ้ มำใช ้ เพอื่ ควำมสะดวก
ส่อื สารขอ มูล สบำยในกำรติดต่อสื่อสำร เช่น กำรส่ือสำรทำงไกล (Video
Conference) เปน็ กำรสอ่ื สำรทชี่ วยใหค้ นทอี่ ยหู่ ำ่ งไกลกนั สำมำรถ
3. ครสู มุ นกั เรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอหนา ตดิ ตอ่ สอ่ื สำรกนั ไดท้ ง้ั ภำพและเสยี ง โดยผำ่ นจอภำพซงึ่ อำจเปน็
ช้ันเรียน พรอมท้ังอภิปรายรวมกันภายใน คอมพวิ เตอรห์ รอื โทรทัศน์
หอ งเรียน

กำรพัฒนำกำรของกำรส่ือสำรข้อมูลต้ังแต่อดีตจนถึง ภ าพที ่ 3.11 กำรประชมุ ผำ่ น
ปัจจุบันมีกำรพัฒนำของเทคโนโลยีต่ำง ๆ เพ่ิมมำกข้ึน โดยยก กำรสื่อสำรทำงไกล (Video
ตวั อยำ่ งเร่อื ง กำรสอื่ สำรทำงไกล Conference)

• การสื่อสารยุคโบราณ กำรสอื่ สำรทำงไกลจะใชน้ กพริ ำบในกำรส่อื สำร ซ่ึงผเู้ ขียนจะ
สง่ ข้อควำมส้ัน ๆ แลว้ ผูกไวท้ ี่ขำ หรือคอของนกพิรำบก่อนจะสง่ นกพิรำบออกไป
• การสือ่ สารยุคอตุ สาหกรรม กำรสื่อสำรทำงไกลเริม่ ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้มบี ทบำท
มำกขึ้น ตวั อยำ่ งเครอ่ื งทนุ่ แรง เชน่ กำรส่งจดหมำย วิทยุสอื่ สำร
• การสอ่ื สารยคุ ปจั จบุ นั เทคโนโลยเี ขำ้ มำมบี ทบำทในกำรดำ� รงชวี ติ ของมนษุ ยม์ ำกขน้ึ
ซง่ึ กำรส่ือสำรทำงไกลในยคุ ปจั จุบนั มีมำกมำย เช่น โทรศพั ทม์ ือถือ กำรประชุมงำนผำ่ นวดิ โี อ

72

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด

ครอู าจหาคลปิ แอนเิ มชนั มาเปด ใหน กั เรยี นไดศ กึ ษา เพอ่ื ใหเ กดิ ความเขา ใจ นักเรียนคิดวา ในปจจุบันเราควรยกเลิกการสงจดหมายแบบ
ทช่ี ดั เจนในเรอ่ื งพฒั นาการของการสอื่ สารขอ มลู ตงั้ แตใ นยคุ อดตี มาจนถงึ ปจ จบุ นั ติดแสตมปมาเปนแบบอีเมลหรือไม อยางไร จงอธบิ าย
ซ่ึงเปนเนื้อหาท่ีมีรายละเอียดจํานวนมาก โดยสามารถคนหาจาก YouTube
โดยใชคียเวิรด “พฒั นาการของการสื่อสารขอ มลู ” (วเิ คราะหค าํ ตอบ ในปจจุบันเรามีวิธีการติดตอส่ือสารที่สะดวก
รวดเร็วกวาการสงจดหมายแลว การสงจดหมายเพ่ือการติดตอ
ความรูเสริม ส่ือสารจึงไมมีความจําเปน แตในเรื่องของการสงเอกสารสําคัญ
หลายอยางท่ีตองมีลายเซ็นกํากับยังมีการใชเปนแบบกระดาษจริง
เมอ่ื วนั ท่ี 30 เมษายน พ.ศ. 2551 บรษิ ทั กสท โทรคมนาคม จาํ กดั (มหาชน) อยู เชน ทะเบยี นสมรส โฉนดทีด่ นิ เช็คเงินสด ซึง่ เอกสารเหลา น้ี
หรอื แคตเทเลคอม (CAT Telecom) กาํ หนดใหเ ปน วนั สดุ ทา ยของการใหบ รกิ าร จําเปนตองย่ืนสงทางจดหมายไปยังปลายทาง โดยเฉพาะกรณี
โทรเลขไทย ในปจ จบุ นั ประเทศไทยจงึ ไมม กี ารใชโ ทรเลขแลว ระยะทางไกลระหวางจังหวัดหรือประเทศ รวมถึงการสมัครเรียน
หรือสมัครงานทางไปรษณียในปจจุบัน ทําใหการสงจดหมาย
T82 แบบปกตจิ งึ ยงั มคี วามจาํ เปน อยู แตห ากในอนาคตสามารถเปลย่ี น
เปน ระบบเอกสารแบบออนไลนท งั้ หมดไดส าํ เรจ็ กอ็ าจจะสามารถ
ยกเลิกการสงจดหมายได)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

3.3 ทิศทางการสอื่ สารขอ้ มลู ขน้ั สอน

กำรสื่อสำรข้อมูลจำกผู้ส่งสำรไปยังผู้รับสำร โดยผ่ำนตัวกลำงสำมำรถจ�ำแนกทิศทำงกำร สาํ รวจคน้ หา
สอื่ สำรออกเปน็ 3 รปู แบบ ดังนี้
1. ครทู บทวนเนอ้ื หาการเรยี นจากชว่ั โมงทผ่ี า นมา
1. ทศิ ทางเดยี ว (Simplex) เปน็ ทศิ ทำง ภาพท่ ี 3.12 กำรส่ือสำรแบบทิศทำงเดียว เก่ียวกับองคประกอบของการสื่อสารขอมูล
กำรส่ือสำรท่ีข้อมูลจะส่งจำกสถำนที่หน่ึงไปยัง ภาพท่ี 3.13 กำรสือ่ สำรแบบกึ่งสองทิศทำง และพฒั นาการของการสื่อสารขอ มูล
อีกสถำนที่หนึ่ง โดยท่ีข้อมูลจะไม่สำมำรถส่ง
ยอ้ นกลบั มำได ้ เชน่ กำรเผยแพรภ่ ำพและเสยี ง 2. นักเรียนศึกษาเน้ือหาเกี่ยวกับทิศทางการ
ผ่ำนทำงสถำนีโทรทัศน์ กำรรับฟังเพลงผ่ำน สอื่ สารขอมลู ที่สือ่ สารขอ มลู จากผูสงสารไปยงั
กำรกระจำยเสยี งของสถำนีวทิ ยุ ผรู บั สาร โดยผา นตวั กลาง และสามารถจาํ แนก
2. ก่ึงสองทิศทาง (Half Duplex) เป็น ทศิ ทางการสอ่ื สารออกเปน 3 รปู แบบ
ทศิ ทำงกำรสอื่ สำรทสี่ ำมำรถสง่ ขอ้ มลู ไปและรบั
สองทิศทำงได้ แต่ไม่สำมำรถส่งข้อมูลในเวลำ อธบิ ายความรู้
เดยี วกนั ได ้ ขณะทเี่ ครอื่ งหนง่ึ เปน็ ผรู้ บั อกี เครอ่ื ง
จะเป็นผู้ส่งแล้วผู้รับจะส่งกลับได้ก็ต่อเม่ือผู้ส่ง ครสู มุ นกั เรยี น 3-4 คน ออกมาอธบิ ายเกย่ี วกบั
กลบั มำเปน็ ผู้รับก่อน เช่น กำรสื่อสำรผ่ำนวทิ ยุ ทิศทางการสื่อสารขอมูลท้ัง 3 รูปแบบ ตามที่
ส่ือสำร นักเรยี นไดศ กึ ษาจากหนังสือเรียน ดงั น้ี

3. สองทศิ ทาง (Full Duplex) เปน็ ทศิ ทำงกำรสอ่ื สำรทส่ี ำมำรถสง่ ขอ้ มลู สองทศิ ทำงพรอ้ ม 1) ทิศทางเดยี ว
กนั ได ้ นนั่ คอื ในระหวำ่ งทอ่ี ปุ กรณเ์ ครอ่ื งหนงึ่ กำ� ลงั สง่ ขอ้ มลู อย ู่ อปุ กรณอ์ กี เครอ่ื งหนงึ่ กส็ ำมำรถสง่ 2) กงึ่ สองทศิ ทาง
ขอ้ มลู มำพรอ้ มกนั ได้เลย เชน่ กำรคยุ กนั ผำ่ นโทรศพั ทม์ อื ถือ กำรสื่อสำรทำงไกล 3) สองทิศทาง

ขยายความเขา้ ใจ

1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย
และครใู หค วามรูเพมิ่ เตมิ ในสว นนัน้

2. นักเรียนทําใบงาน เร่ือง ทิศทางการส่ือสาร
ขอมลู

3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ
หนาชน้ั เรียน พรอ มทงั้ อภิปรายรวมกันภายใน
หอ งเรียน

ภาพที่ 3.14 กำรสือ่ สำรแบบสองทศิ ทำง 73

ตวั อยา งทศิ ทางการสอ่ื สารขอ มลู

ขอสอบเนน การคดิ เกร็ดแนะครู

การเลนโทรศัพทกระปอง จัดเปนการส่ือสารผานตัวกลางใน ครอู าจหาคลปิ ทแี่ สดงตวั อยา งทศิ ทางการสอื่ สารทง้ั 3 รปู แบบ ใหน กั เรยี นดู
รูปแบบใด โดยสามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด “ทิศทางการสื่อสารขอมูล”
หรืออาจจะจัดเปนกิจกรรมทดลองรูปแบบการสื่อสารท้ัง 3 รูปแบบ โดยใช
1. สองทิศทาง อปุ กรณท ่มี อี ยใู นชวี ติ ประจําวันเปน ส่ือการสอนกไ็ ด
2. ทิศทางเดยี ว
3. กึ่งสองทิศทาง
4. ไมส ามารถระบไุ ด
(วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา
การเลนโทรศัพทกระปอง เปนอุปกรณการสื่อสารที่ไมสามารถ
สง และรบั ขอ มลู ในเวลาเดยี วกนั ได ตอ งผลดั กนั เปน ฝา ยสง และรบั
ดงั นน้ั ตอบขอ 3.)

T83

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

ขนั้ สอน 3.4 ส อื่ กลางของการสอ่ื สารขอ้ มูลผานระบบเครือขา ย

สาํ รวจคน้ หา กำรสอื่ สำรทกุ ชนดิ จะตอ้ งอำศยั สอ่ื กลำงในกำรสอ่ื สำรเพอ่ื ทำ� หนำ้ ทใ่ี นกำรสง่ ขอ้ มลู จำกผสู้ ง่
ไปยงั ผ้รู ับ ซง่ึ สือ่ กลำงของกำรส่ือสำรข้อมูล สำมำรถแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ดงั นี้
นกั เรยี นแบง กลมุ (กลมุ เดมิ ) เพอ่ื ศกึ ษาเนอื้ หา
เก่ียวกับสื่อกลางของการส่ือสารขอมูลผานระบบ 1. สอื่ กลางประเภทสายสัญญาณ
เครือขาย เร่ือง สื่อกลางประเภทสายสัญญาณ • สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pair) มีลักษณะเป็นสำยส่งสัญญำณที่ประกอบด้วย
แบบสายคูบิดเกลียว แบบสายโคแอกเชียล ทองแดงถูกจับพันกันเป็นเกลียวตำมมำตรฐำนจ�ำนวน 4 คู่สำย เพื่อช่วยลดกำรรบกวนของ
และแบบสายไฟเบอรออปติก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำท้ังจำกภำยในสำยและภำยนอกสำย ซึ่งสำยคู่บิดเกลียวมี 2 ประเภท ได้แก ่
สำยคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม (Shielded Twisted Pair: STP) และสำยคู่บิดเกลียวแบบไม่มี
อธบิ ายความรู้ ฉนวนหมุ้ (Unshielded Twisted Pair: UTP) ในปจั จบุ นั กำรตดิ ตง้ั สำยสญั ญำณอนิ เทอรเ์ นต็ ภำยใน
อำคำรบำ้ นเรอื นนิยมใชส้ ำยคู่บดิ เกลียวแบบไม่มีฉนวนหุม้ เปน็ หลัก เพรำะมรี ำคำถกู กว่ำสำยบิด-
1. ครอู ธบิ ายเพ่ือเชอื่ มโยงความรสู ชู ีวิตประจาํ วัน เกลียวแบบมีฉนวนห้มุ CinoRmeaSlcLiife
(Com Sci in Real Life) วา สายคบู ดิ เกลยี วแบบ
UTP ถกู ผลิตข้ึนมาใชง านกอนแลว จงึ ไดม ีการ สำยคบู่ ดิ เกลยี วแบบ UTP ถูก
พฒั นาเปน STP ซึ่งสาย UTP เรม่ิ แรกถูกนาํ มา ผลิตข้ึนมำใช้งำนก่อนแล้วจึง
ใชใ นระบบโทรศพั ท แตป จ จบุ นั ถกู นาํ มาใชเ ปน ได้มีกำรพัฒนำเป็น STP ซ่ึง
สัญญาณที่เช่ือมตอในระบบเครือขายทองถ่ิน สำย UTP เรมิ่ แรกถกู น�ำมำใช้
(LAN) และมกี ารกําหนดมาตรฐานไว โดยสาย ในระบบโทรศพั ทแ์ ตป่ จั จบุ นั ถกู
ทมี่ มี าตรฐานสงู จะสามารถสง ขอ มลู ขนาดใหญ น�ำมำใช้เป็นสัญญำณที่เช่ือม
ได และมีความเร็วในการสงสูง แตก็มีราคา ต่อในระบบเครือข่ำยท้องถิ่น
แพงข้นึ ตามลาํ ดับ (LAN) และมีกำรก�ำหนด o_O
มำตรฐำนไว ้ สำยทม่ี มี ำตรฐำน
ภ าพที่ 3.15 สำยคู่บิดเกลียวแบบ ภ าพท่ี 3.16 สำยคู่บิดเกลียวแบบ สูงจะส่งข้อมูลขนำดใหญ่ได้
ไมม่ ฉี นวนหมุ้ (UTP) มีฉนวนหมุ้ (STP) และควำมเร็วในกำรส่งสูงแต่
กม็ รี ำคำแพงข้ึนดว้ ย

สายคู่บดิ เกลยี วแบบมฉี นวนหุ้ม (STP) สายคู่บิดเกลียวแบบไมม่ ีฉนวนหมุ้ (UTP)

ขอ้ ดี ขอ้ เสยี ข้อดี ขอ้ เสีย

- ส่งขอ้ มลู ด้วย - มีขนำดใหญก่ วำ่ - รำคำถูก - ไมเ่ หมำะใน
ควำมเร็วสงู กวำ่ แบบไมม่ ฉี นวนหมุ้ - น�ำ้ หนกั เบำ กำรเช่ือมต่อกบั
แบบไมม่ ีฉนวนหุ้ม - ไมย่ ืดหยนุ่ ดัดโคง้ สำมำรถติดตั้ง อุปกรณท์ อี่ ยู่
- สำมำรถปอ้ งกัน งอได้ไม่มำก ไดง้ ่ำย หำ่ งไกล
สญั ญำณรบกวน - รำคำแพงกวำ่ - มีควำมยดื หยนุ่
ได้ดี แบบไมม่ ฉี นวนหมุ้ สำมำรถดดั โคง้ งอได้

74

เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิด

ครูอาจหาคลิปวิดีโอที่ชวยเพิ่มความเขาใจใหนักเรียนดูประกอบการสอน ถาตองการเดินสายสัญญาณแบบสายคูบิดเกลียวในพ้ืนท่ีหอง
โดยสามารถคน หาจาก YouTube โดยใชค ียเ วริ ด ส่ือกลางในการสอื่ สารขอ มลู ทีม่ เี สน ทางการเดนิ สายมีลักษณะคดเค้ยี วเปน สวนใหญ ควรเลือก
หรือตัวกลางในการส่ือสารขอมูล สายสัญญาณที่ใชงานอยูในปจจุบันมีการ ใชส ายคบู ดิ เกลียวแบบใด ดว ยเหตุผลใด
พฒั นาขดี ความสามารถผลติ ออกมาเปน รนุ ใหมอ ยอู ยา งตอ เนอ่ื ง ครอู าจจะสบื คน
ขอ มลู ลา สดุ มาสอนเพม่ิ เตมิ ใหก บั นกั เรยี น เพอ่ื ใหบ ทเรยี นมคี วามเทา ทนั ปจ จบุ นั 1. สาย STP เพราะราคาถกู กวา
ก็จะมีประโยชนมาก 2. สาย UTP เพราะสง ขอ มลู ไดเ ร็วกวา
3. สาย UTP เพราะปอ งกนั สญั ญาณรบกวนไดดี
4. สาย STP เพราะมีความยดื หยุนสามารถดดั โคง งอได

(วเิ คราะหค าํ ตอบ จากตวั เลอื กทก่ี าํ หนดให วเิ คราะหไ ดว า สาย STP
จะมคี วามยดื หยนุ สามารถดดั โคง งอไดม ากกวา แบบ UTP จงึ เหมาะ
กับการเดินสายในพื้นที่ที่ตองเดินสายเปนเสนโคงหลายๆ จุด
มากกวา แบบ STP ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T84

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

• สายโคแอกเชยี ล (Coaxial Cable) ขอ้ ดี ขอ้ เสยี ขน้ั สอน
ตัวสำยจะประกอบไปด้วยลวดทองแดงท่ีเป็น - รำคำถกู - ถกู รบกวนจำก
ตวั นำ� สญั 1ญำณ หอ่ หมุ้ ดว้ ยฉนวนปอ้ งกนั กระแส - มคี วำมยืดหยุ่น สัญญำณภำยนอก อธบิ ายความรู
ไฟฟำ้ รว่ั จำกนน้ั จะหมุ้ ดว้ ยตวั นำ� ซงึ่ ทำ� จำกลวด ในกำรใช้งำน ไดง้ ่ำย
ทองแดงถักเปน็ รำ่ งแห เพือ่ ป้องกันกำรรบกวน - ติดตงั้ ง่ำยและ - ใช้ได้ในระยะทำง 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ในปจจุบันการติดตั้ง
ของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ำ สัญญำณรบกวนอ่ืน ๆ มนี ำ้� หนกั เบำ จ�ำกดั ระบบอินเทอรเน็ตในประเทศไทยไดพัฒนา
และช้ันนอกสุดจะหุ้มด้วยฉนวนพลำสติก น�ำ มาตรฐานสายสัญญาณเปนแบบไฟเบอร
มำใช้ประโยชน์ในกำรต่อโทรทัศน์ และกล้อง ออปติกแลว และสายสัญญาณแบบสายคู
วงจรปิด บิดเกลียวก็ถูกพัฒนาคุณภาพเพิ่มเติมใหมี
หลากหลายประเภทเพ่ิมข้ึนตามลักษณะการ
ฉนวนหุ้มดำ้ นนอก ใชงาน เชน แบบ FTP (Foil Twisted Pair)
ฉนวนหุม้ ดำ้ นใน แบบ STP (Shielded Twisted Pair) และให
มีระดับคุณภาพแบงเปนเกรดเรียกวา CAT
(Categories) เชน เกรด CAT5 เกรด CAT5e
เกรด CAT6 โดยทค่ี ณุ ภาพและราคากจ็ ะสงู ขนึ้
ตามเกรดของสายสญั ญาณ

ตัวน�ำสัญญำณ
ท�ำด้วยทองแดง

ภาพที่ 3.17 สำยโคแอกเชยี ล

• สายไฟเบอรอ์ อปตกิ (Fiber-Optic ขอ้ ดี ข้อเสยี
Cable) หรอื ทเี่ รยี กวำ่ สำยใยแกว้ นำ� แสง ตวั สำย - ส ำมำรถบรรจุ - เสน้ ใยแกว้ นำ� แสง
ด้ำนในท�ำจำกแก้ว หรือพลำสติกที่มีลักษณะ เปรำะบำง แตกหกั
เปน็ เสน้ บำง ๆ คลำ้ ยเสน้ ใยแกว้ และมฉี นวนหมุ้ ขอ้ มลู ได้จำ� นวน งำ่ ย
ช้ันนอก เพ่อื ป้องกันกำรกระแทกและฉกี ขำด มำก - ไมส่ ำมำรถดดั โคง้
- มขี นำดเลก็ งอได้
น้ำ� หนกั เบำ - ในกำรตดิ ตง้ั ตอ้ งใช้
- ม ีอำยกุ ำรใช้งำน เครอื่ งมอื พเิ ศษ
นำน เฉพำะทำง

ภาพที่ 3.18 สำยไฟเบอร์ออปติก

75

กจิ กรรม สรางเสรมิ นักเรียนควรรู

ครใู หก ารบา นนกั เรยี นลองสบื คน ขอ มลู เกยี่ วกบั สายสญั ญาณ 1 ฉนวนปองกันกระแสไฟฟาร่ัว คือ วัสดุท่ีมีคุณสมบัติในการกีดก้ันหรือ
แบบไฟเบอรออปติก ดังนี้ ขัดขวางการไหลของกระแสไฟฟา ทําหนาท่ีปองกันอันตรายจากกระแสไฟฟา
สายไฟฟาจะหุมดวยฉนวนไฟฟาเพ่ือปองกันไฟฟาร่ัว อุปกรณไฟฟาสวนใหญมี
1. สัญญาณไฟเบอรออปติกในปจจุบันมีกี่ประเภท แตละ ชิ้นสวนท่ีตองสัมผัสกับรางกาย จะมีคุณสมบัติเปนฉนวนไฟฟา เชน พัดลม
ประเภทมคี ณุ สมบตั แิ ตกตา งกันอยางไร ไขควงวัดไฟ เตารดี เครอ่ื งดดู ฝุน สวนท่ตี อ งใชมอื จบั จะเปนฉนวนไฟฟา จําพวก
พลาสติก นอกจากน้ยี งั มีวัสดอุ ่ืนๆ ทถ่ี กู นํามาใชเปนฉนวนไฟฟาอีก เชน แกว
2. เทคโนโลยี FTTx (Fibre to the x) คืออะไร มขี อ ดแี ละ พลาสติก กระเบอ้ื ง ยาง
ขอ เสยี อยางไร

T85

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

ขน้ั สอน คณุ สมบตั แิ ละการนาํ ไปใชง านของสอ่ื กลางประเภทสายสญั ญาณ

ขยายความเขา้ ใจ ชนิดของสอื่ กลาง ความเรว็ ระยะทาง การนําไปใชงาน
สงู สดุ ทใี่ ชง านได ใชเชอื่ มตอ อปุ กรณ หรอื
1. นกั เรยี นพจิ ารณาคณุ สมบตั แิ ละการนาํ ไปใชง าน สายคบู ดิ เกลียวแบบ คอมพวิ เตอรเ ขา กับแลน
ของสือ่ กลางประเภทสายสญั ญาณ ไมม ีฉนวนหมุ (UTP) 1 ไมเกนิ ทใ่ี ชใ นปจ จุบัน
100 เมตร
2. นกั เรยี นศึกษาความรูเสรมิ (Com Sci Focus) Gbps
จากเนื้อหา เพื่อขยายความรูของนักเรียน
เร่ือง หนวยวัดความเร็วของคอมพิวเตอร ที่ สายคูบิดเกลียวแบบ 10 ใชเชือ่ มตอ คอมพิวเตอร
กลาวถึง Gbps ที่ยอมาจากคําวา Gigabit มฉี นวนหุม (STP) ไมเ กิน เขากบั แลน มีราคาสูง
per second และ Mbps ที่ยอมาจากคําวา สายโคแอกเชียล Gbps 100 เมตร
Megabit per second
สายไฟเบอรอ อปตกิ
3. ครเู ปดโอกาสใหนกั เรียนซกั ถามขอสงสัย และ
ครใู หค วามรูเ พมิ่ เติมในสว นน้ัน

ใชเ ปน สายแกนหลกั สาํ หรบั
100Mbps แลนในยคุ แรก ๆ และ
ไมเกนิ ยงั นยิ มใชเ ปนสายนํา
500 เมตร สญั ญาณภาพและเสียง

ของโทรทัศน

ใชเปน สายแกนหลักใน
100Gbps ระบบเครือขายหรือใช
มากกวา สําหรับเช่อื มตอ ระหวา ง
2 กิโลเมตร เครือขา ยทอ่ี ยูหางไกล

Com Sci ˹‹ÇÂÇÑ´¤ÇÒÁàÃçǢͧ¤ÍÁ¾ÔÇàµÍÏ
Focus

Gbps ยอ มาจากคาํ วา Gigabit per second คอื หนว ยความจาํ หรอื หนว ยทใ่ี ชว ดั อตั รา
ความเรว็ ในการสง หรอื รบั ขอ มลู ตา งๆ ซงึ่ ความเรว็ ในการรบั สง ขอ มลู จะอยทู รี่ ะดบั หนงึ่ พนั ลา น
บิตตอวนิ าที

Mbps ยอ มาจากคาํ วา Megabit per second คอื หนว ยความจาํ หรอื หนว ยทใ่ี ชว ดั อตั รา
76 ความเรว็ ในการสง หรอื รบั ขอ มลู ตา ง ๆ ตอ 1 วนิ าที ซง่ึ นนั่ จะหมายถงึ หนงึ่ ลา นบติ ตอ วนิ าที

ความรูเสริม ขอสอบเนน การคดิ
บริษัท A และ B มีโพรโมชันประจําเดือนในการติดตั้ง
ในปจจุบันยังมีการพัฒนาดานคุณสมบัติของสายสัญญาณอยูอยาง อนิ เทอรเ นต็ แบบใชส ายสญั ญาณไฟเบอรอ อปตกิ ดงั ตารางตอ ไปน้ี
ตอเน่ือง โดยเฉพาะคุณสมบัติในดานความเร็วสูงสุด และระยะทางการใชงาน
ไดของสายสัญญาณ ซ่ึงจะสามารถขยายขอบเขตการใชงานออกไปไดมากข้ึน บรษิ ทั คา เดนิ สาย โพรโมชันประจาํ เดือน
อีกในอนาคต และจะเห็นไดวา เทคโนโลยีสายสัญญาณน้ันมีการพัฒนาควบคู A เมตรละ 30 บาท ฟรีคาเดินสาย 200 เมตรแรก
ไปพรอ มกบั เทคโนโลยีไรสาย ในแบบใชง านรว มกันในระบบเครือขา ยและมีการ
ใชแ ทนท่กี ันในหลายสว น เชน ระบบสัญญาณเสียง มีการนาํ ระบบ Bluetooth B เมตรละ 20 บาท ฟรคี า เดินสาย 1,000 บาท
เขามาใชอ ยา งกวางขวาง ทงั้ ในอุปกรณเ ฮดโฟน ลําโพงเสียงแบบไรสาย ซง่ึ ได
รับความนิยมเพราะสะดวกในการใชงาน แตก็มีขอเสียในเร่ืองการใชแบตเตอร่ี ใครตอ งจา ยเงนิ คา เดินสายเทากันไมว า จะใชบ ริการของบริษัท
ในอุปกรณเ ขา มาแทน A หรอื B ก็ตาม

T86 1. เกง ตองเดนิ สายเปน ระยะทาง 400 เมตร
2. กลา ตองเดินสายเปนระยะทาง 500 เมตร
3. กอ งตอ งเดินสายเปนระยะทาง 600 เมตร
4. กอ ยตอ งเดนิ สายเปน ระยะทาง 700 เมตร
(วิเคราะหค าํ ตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ที่
ระยะ 500 เมตร ไมว า จะเลือกใชบ รกิ ารของบรษิ ทั A หรือ B ก็จะ
มคี า ใชจายเทา กับ 9,000 บาท เทากนั ดงั นัน้ ตอบขอ 2.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

2. ส่ือกลางประเภทไร้สาย ขนั้ สอน
• อนิ ฟราเรด (Infrared) เปน็ สอื่ กลำงกำรสอ่ื สำรทม่ี ลี กั ษณะเปน็ คลนื่ วทิ ยคุ วำมถสี่ งู ทมี่ ี
ควำมยำวคลนื่ ตำ่� มกั ใชใ้ นกำรสอื่ สำรขอ้ มลู ทปี่ รำศจำกสงิ่ กดี ขวำงระหวำ่ งตวั สง่ สญั ญำณและตวั รบั สาํ รวจคน้ หา
สญั ญำณ เชน่ กำรเชอื่ มตอ่ คยี บ์ อรด์ ไรส้ ำยกบั เครอ่ื งคอมพวิ เตอรผ์ ำ่ นพอรต์ IrDA (Infrared Data
Association) นกั เรยี นแบง กลมุ (กลมุ เดมิ ) เพอื่ ศกึ ษาเนอ้ื หา
เกี่ยวกับส่ือกลางของการส่ือสารขอมูลผานระบบ
• คลนื่ วทิ ย ุ (Radio Wave) มลี กั ษณะเปน็ คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟำ้ ควำมถสี่ งู ม ี 2 ระบบ คอื เครือขาย เร่ือง สื่อกลางประเภทไรสาย ดังนี้
ระบบ AM (Amplitude Modulation) และระบบ FM (Frequency Modulation) สำมำรถสง่ สญั ญำณ สัญญาณอินฟราเรด สัญญาณคล่ืนวิทยุ สญั ญาณ
ได้ในระยะทำงไกล โดยใช้อำกำศเป็นตัวกลำง ไมโครเวฟ และสญั ญาณดาวเทียมสือ่ สาร
ท้งั น ้ี กำรใชร้ ะบบ FM ในกำรส่งคลน่ื วิทยุกระจำย คลื่นฟำ้ คล่นื ตรง
อธบิ ายความรู้
เสียงจะสำมำรถยกระดับคุณภำพของเสียงให้ดีข้ึน คลนื่ สะท้อน
ชัดข้ึน ป้องกันเสียงรบกวนได้มำกกว่ำระบบ AM ครูอธิบายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับสื่อกลางประเภท
ซึ่งระบบ AM สำมำรถส่งสัญญำณได้ไกลกว่ำ FM ไรสายวา สื่อกลางประเภทไรสาย เปนสื่อกลาง
แตค่ ณุ ภำพสญั ญำณของ FM จะดกี ว่ำ AM คล่นื ดนิ ประเภทที่ไมใชวัสดุใดๆ ในการนําสัญญาณ ซึ่ง
จะไมมีการกําหนดเสนทางใหสัญญาณเดินทาง
ภาพท ่ี 3.19 กำรสง่ สญั ญำณของคลื่นวิทยุ เชน คลน่ื ไมโครเวฟ คลน่ื แมเหล็กไฟฟา ซึง่ แบง
ออกเปน คล่ืนวทิ ยุ ไมโครเวฟ ดาวเทยี มสือ่ สาร
• ไมโครเวฟ (Microwave) เปน็ สอื่ กลำง สถำนรี ับสง่ สญั ญำณ
กำรสื่อสำรควำมถ่ีสูงเหมำะกับกำรเชื่อมต่อสื่อสำร สถำนี สถำนี ขยายความเขา้ ใจ
ในระยะไกล โดยอุปกรณ์สง่ สญั ญำณจะส่งสัญญำณ รับสง่ สรญั ะยญะทำำณง 50 กโิ ลเมตร ระยะทำง 50 รกับโิ ลสเง่ มสตัญรญำณ
พร้อมกับข้อมูลไปในอำกำศให้กับสถำนีรับส่ง 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัยและ
สัญญำณ จำกนั้นสถำนีจะส่งสัญญำณพร้อมกับ ครใู หความรูเ พ่ิมเตมิ ในสวนนั้น
ข้อมูลต่อให้กับอุปกรณ์รับสัญญำณ แต่เน่ืองจำก
สัญญำณไมโครเวฟเดินทำงเป็นเส้นตรง จึงต้องมี 2. นกั เรยี นทาํ ใบงาน เรอื่ ง สอื่ กลางของการสอื่ สาร
กำรตดิ ตงั้ สถำนรี บั สง่ สญั ญำณแตล่ ะสถำนไี วบ้ นทสี่ งู ภาพท่ี 3.20 กำรส่งสญั ญำณคลนื่ ไมโครเวฟ ขอมลู
เช่น ดำดฟ้ำ ตึกสูง ยอดเขำ เป็นต้น ตลอดจน
3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ
หนา ชั้นเรยี น พรอ มทงั้ อภปิ รายรว มกนั ภายใน
หอ งเรียน

สำมำรถส่งสญั ญำณผ่ำนดำวเทียมได้ Uplink Frequency ดำวเทยี ม
ควำมถข่ี ำขน้ึ 6 กกิ ะเฮริ ตซ์ Downlink Frequency
ควำมถี่ขำลง 4 กกิ ะเฮริ ตซ์
• ดาวเทยี มสอ่ื สาร เปน็ กำรสอ่ื สำรระยะ
ไกลครอบคลมุ พนื้ ทที่ วั่ โลก โดยสถำนสี ง่ ภำคพน้ื ดนิ
จะส่งสัญญำณควำมถี่ไมโครเวฟพร้อมกับข้อมูลไป
ยังดำวเทยี มทีโ่ คจรอย่นู อกโลก ซง่ึ ท�ำหน้ำท่ีในกำร
กระจำยสัญญำณส่งไปยังสถำนีรับภำคพื้นดินอื่น ๆ สถำนีส่งภำคพืน้ ดนิ สถำนรี บั ภำคพน้ื ดนิ

ทเ่ี ป็นจุดหมำย ภาพท่ี 3.21 กำรส่งสัญญำณดำวเทยี ม

77

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู

ขอ ใดกลา วผดิ ครอู าจหาคลปิ วดิ โี อทชี่ ว ยเพม่ิ ความเขา ใจใหน กั เรยี นไดด ปู ระกอบการสอน
1. โดยปกติสถานีรับสงสัญญาณดวยคล่ืนไมโครเวฟจะรับสง เน่ืองจากเนื้อหาสวนน้ีคอนขางมีความเปนทฤษฎีสูง ครูจึงจําเปนตองหาส่ือ
สญั ญาณกันระหวางสถานี การสอนประเภทคลิปวิดีโอแอนิเมชันมาชวยอธิบายเสริมใหนักเรียนเห็นภาพ
2. สถานีรับสงสัญญาณดาวเทียมสงสัญญาณไปยังดาวเทียม กระบวนการสง สญั ญาณแบบตา งๆ อยา งชดั เจน โดยสามารถคน หาจาก YouTube
ดว ยคลน่ื อนิ ฟราเรด โดยใชคียเวิรด สื่อกลางในการสื่อสารขอมูลแบบไรสาย หรือสื่อกลางสงขอมูล
3. ระบบ FM จะมคี ณุ ภาพเสยี งดกี วา ระบบ AM สว นระบบ AM ประเภทไรสาย
จะสงสัญญาณไดไกลกวา FM
4. สถานีรับสงสัญญาณดาวเทียมสื่อสารจะสงสัญญาณไปยัง T87
ดาวเทียมกอน แลวจึงใหดาวเทียมกระจายสัญญาณมายัง
สถานีรบั ภาคพ้นื ดนิ อนื่ ๆ
(วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกท่ีกําหนดให วิเคราะหไดวา

ดาวเทียมสื่อสารจะสงสัญญาณดวยคลื่นสัญญาณไมโครเวฟ
ดังน้ัน ตอบขอ 2.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

ขน้ั สอน 3.5 ประเภทของระบบเครอื ขาย

สาํ รวจคน้ หา ประเภทของระบบเครือขำ่ ย มดี ังน้ี
1. เครอื ขา่ ยส่วนบคุ คล (Personal Area Network: PAN) เปน็ เครือข่ำยทม่ี กี ำรเช่ือมตอ่
นักเรยี นศกึ ษาเนอ้ื หาเกี่ยวกับระบบเครือขา ย
จากหนังสือเรียน ระหว่ำงอปุ กรณ์เคลื่อนท่สี ่วนบุคคล มีอัตรำควำมเร็วกำรรบั ส่งขอ้ มูลสงู สุด 480 Mbps เชน่ กำร
เโชดื่อยใมชต ้ ่อBคluอeมtoพoิวth1เ ตไอดร้ ์กับโทรศัพท์มือถือ ซ่ึงเป็นกำรเชื่อมต่อท่ีอยู่ในระยะใกล้ สำมำรถเชื่อมต่อ
อธบิ ายความรู้

1. ครสู มุ นกั เรยี น 3-4 คน ออกมาอธบิ ายประเภท
ของระบบเครือขาย ตามท่ีนักเรียนไดศึกษา
จากหนงั สอื เรยี น

พีซี โน้ตบกุ๊ ปรนิ เตอร์
ปรินเตอร์ พีดีเอ

ภาพที่ 3.22 ผงั เครือขำ่ ยส่วนบุคคล

2. เครือขา่ ยทอ้ งถิน่ (Local Area Network: LAN) เป็นกำรเชอื่ มตอ่ เครือขำ่ ยระยะใกล้
เชือ่ มโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ตำ่ ง ๆ ท่ีอยใู่ นพืน้ ทเี่ ดียวกนั หรอื ใกลเ้ คยี งกนั เชน่ กำรเชอ่ื มโยง
เครือข่ำยภำยในบ้ำน ภำยในส�ำนักงำน และอำคำรต่ำง ๆ โดยใช้สำยสัญญำณเป็นสื่อกลำงกำร
ส่ือสำรข้อมูล

คอมพิวเตอร์ HUB หรือ Router

คอมพิวเตอร์ คอมพวิ เตอร์

คอมพวิ เตอร์ ปรินเตอร์

ภาพท ี่ 3.23 ผังเครอื ข่ำยทอ้ งถ่นิ

78

นักเรียนควรรู ขอ สอบเนน การคิด

1 Bluetooth เปนระบบเครือขายสําหรับเช่ือมตออุปกรณระยะใกลท่ีไดรับ เครอื ขา ยประเภทใดทไ่ี มจ าํ เปน ตอ งใชเ ราเตอรห รอื ฮบั เปน อปุ กรณ
ความนยิ มมากในปจ จบุ นั ตวั อยา งในชวี ติ ประจาํ วนั จะเหน็ ไดจ ากอปุ กรณไ รส าย ในการกระจายสัญญาณ
ท่ใี ชเชื่อมตอ สมารตโฟน เชน หฟู ง ลําโพง ไมโครโฟนไรสาย สมอลทอลก เมาส
กานควบคมุ (Joystick) แปนพิมพ จะมีรนุ ทเี่ ปนระบบ Bluetooth ทงั้ หมด 1. เครือขา ยทอ งถิ่น
2. เครือขายสว นบุคคล
3. เครอื ขา ยระดับเมือง
4. เครือขา ยระดับประเทศ

(วิเคราะหค ําตอบ จากตัวเลือกท่ีกําหนดให วิเคราะหไดวา
ในปจจุบันจะมีการติดตั้งอุปกรณในการรับสงสัญญาณเครือขาย
สวนบุคคลไวในเคร่ืองคอมพิวเตอรหรือสมารตโฟนอยูแลว ทําให
สามารถทําการรับสงขอมูลระหวางอุปกรณสวนบุคคลไดทันที
ดงั นัน้ ตอบขอ 2.)

T88

นาํ สอน สรุป ประเมิน

ขน้ั สอน

อธบิ ายความรู้

3. เครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network: MAN) เป็นกำรเชื่อมต่อ 2. ครูอธิบายเพือ่ เชอ่ื มโยงความรูสชู วี ติ ประจาํ วนั
เครอื ขำ่ ยขนำดกลำง และเป็นกำรรวมเครือข่ำยท้องถิ่น (LAN) หลำยเครือข่ำยเขำ้ ดว้ ยกัน ใช้ใน (Com Sci in Real Life) เรือ่ ง ระบบเครอื ขา ย
กำรเชอื่ มต่อระหว่ำงองคก์ รที่อยู่ภำยในเมอื งหรอื ในจังหวัดเดียวกนั ในสถานศกึ ษา จากหนงั สือเรยี น

LAN CinoRmeaSlcLiife ขยายความเขา้ ใจ

ภำรพะทบ่ ีบ3เ.ค25ร ือผขัง่าเคยรใือนขสำ่ ถยาระนดศบั กึ เมษอื าง 1. นักเรียนทําใบงาน เร่ือง ประเภทของระบบ
ในสถำนศึกษำต่ำง ๆ ที่มี เครือขาย
LAN LAN อำคำรเรียนหลำยอำคำรส่วน
2. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ
MAN ใหญ่มักจะมีระบบ MAN ไว้ หนา ชัน้ เรียน พรอมทง้ั อภปิ รายรวมกนั ภายใน
คอยเชื่อมต่อกับระบบ LAN หอ งเรียน
ของแตล่ ะอำคำรเขำ้ ด้วยกัน o_O
ขนั้ สรปุ
LAN
LAN ตรวจสอบผล

ภาพท่ี 3.24 ผังเครือข่ำยระดบั เมือง 1. ครปู ระเมนิ ผลนกั เรยี นจากการสงั เกตการตอบ
คําถาม การนําเสนอหนาชั้นเรียน ความสนใจ
4. เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network: WAN) เป็นกำรเชื่อมต่อเครือข่ำย ในการเรยี น และการทาํ ใบงาน
บรเิ วณกว้ำง หรอื เช่อื มตอ่ ในพน้ื ท่ที ่ีอยู่ห่ำงไกลกัน สำมำรถติดต่อสอ่ื สำรข้ำมทวปี หรอื ทว่ั โลกได้
โดยในกำรเชอ่ื มต่อนน้ั จะต้องตอ่ เข้ำกับระบบสื่อสำรขององค์กำรโทรศพั ท์ 2. ครตู รวจสอบความถกู ตอ งของผลการทาํ ใบงาน
3. นกั เรยี นและครรู ว มกนั สรปุ เกยี่ วกบั เทคโนโลยี
LAN
การสอ่ื สาร

ขนั้ ประเมนิ
ตรวจสอบผล

ตารางการวดั และประเมินผล
วิธกี าร เครือ่ งมอื เกณฑก ารประเมิน
LAN ตรวจใบงาน ใบงาน รอ ยละ 60
WAN ผา นเกณฑ
LAN
ประเมิน แบบประเมิน ระดับคณุ ภาพ 2
การนาํ เสนอ การนําเสนอ ผานเกณฑ
ผลงาน ผลงาน
LAN
ภาพท่ี 3.25 ผงั เครอื ขำ่ ยระดบั ประเทศ สงั เกตพฤติกรรม แบบสังเกต ระดับคุณภาพ 2
การทํางาน พฤติกรรม ผานเกณฑ
79 รายบคุ คล

สงั เกตพฤติกรรม แบบสังเกต ระดบั คณุ ภาพ 2
การทาํ งานกลมุ พฤติกรรม ผา นเกณฑ

ขอ สอบเนน การคดิ แนวทางการวัดและประเมินผล

ในชว่ั โมงเรยี นวชิ าวทิ ยาการคาํ นวณ ตน ทาํ การสงั่ พมิ พเ อกสาร ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
จากไฟลใ นเครอ่ื งสมารต โฟนของตนเองไปทเี่ ครอ่ื งพมิ พแ บบไรส าย และการทํางานกลุมของนักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก
โดยใชส ัญญาณ WiFi จากโมเด็มเราเตอร ซงึ่ เปนอุปกรณก ระจาย แบบประเมินการนําเสนอผลงาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
สัญญาณท่ีหองคอมพิวเตอรของโรงเรียน ถือเปนการใชงาน และแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุมที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู
เครือขา ยประเภทใด ที่ 4 หนว ยการเรยี นรูท่ี 3

1. เครอื ขา ยทอ งถน่ิ (LAN) แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ
2. เครอื ขา ยสวนบคุ คล (PAN) คาชีแ้ จง : ให้ผูส้ อนสงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องท่ี คาช้แี จง : ให้ผูส้ อนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในช่องที่
3. เครอื ขา ยระดับเมอื ง (MAN) คาช้แี จง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งที่ ตรงกบั ระดับคะแนน ตรงกับระดับคะแนน
4. เครอื ขา ยระดับประเทศ (WAN)
(วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ตรงกบั ระดับคะแนน ระดับคะแนน การทางาน การมี
การใชสัญญาณ WiFi จากโมเด็มเราเตอรที่หองคอมพิวเตอรของ 32 ตามท่ไี ดร้ บั ส่วนร่วมใน
โรงเรียน ถือเปนการใชงานเครือขายประเภทเครือขายทองถ่ิน ลาดับที่ รายการประเมิน  1 ลาดบั ท่ี รายการประเมนิ ระดับคะแนน 1 ลาดับที่ ชือ่ –สกุล การแสดง การยอมรับ มอบหมาย ความมีน้าใจ การปรบั ปรงุ รวม
(LAN) ดังน้นั ตอบขอ 1.)   32  ของนกั เรียน ความคดิ เห็น ฟังคนอื่น ผลงานกลุ่ม 15
1 ความถกู ต้องของเน้อื หา   1 การแสดงความคิดเหน็   คะแนน
2 ความคิดสร้างสรรค์   2 การยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผูอ้ น่ื  
3 วธิ ีการนาเสนอผลงาน   3 การทางานตามหนา้ ท่ีทีไ่ ด้รบั มอบหมาย   321321321321321
4 การนาไปใชป้ ระโยชน์  4 ความมีนา้ ใจ  
5 การตรงต่อเวลา 5 การตรงต่อเวลา 

รวม รวม

ลงชอ่ื ...................................................ผูป้ ระเมนิ ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................... ............/.................../................

เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน ลงช่อื ...................................................ผปู้ ระเมนิ
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ สมบรู ณช์ ดั เจน ให้ 2 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสมา่ เสมอ ให้ 2 คะแนน ............./.................../...............
ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมินเปน็ ส่วนใหญ่ ให้ 1 คะแนน ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครงั้ ให้ 1 คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ บางสว่ น ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้งั

เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ เกณฑก์ ารตัดสินคุณภาพ เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสมา่ เสมอ ให้ 2 คะแนน
14–15 ดมี าก ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครง้ั ให้ 1 คะแนน
14–15 ดีมาก ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางครัง้

11–13 ดี 11–13 ดี เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง 8–10 พอใช้ ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
ต่ากว่า 8 ปรบั ปรุง 14–15 ดมี าก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ตา่ กวา่ 8 ปรบั ปรงุ

T89

นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

ขนั้ นาํ เมอ่ื เรามเี ครอ่ื งมอื หรอื 4 ก ารประยกุ ต์ ใช้งานและ
อปุ กรณ แตห ากเราไมน าํ การแก้ปญั หาเบ้ืองต้น
กระตนุ้ ความสนใจ ไปใชง าน เครอื่ งมอื หรอื
อปุ กรณน นั้ กจ็ ะกลายเปน ในปัจจุบันเทคโนโลยีทำงด้ำนระบบคอมพิวเตอร์
1. ครทู บทวนความรเู ดิมจากชั่วโมงทผ่ี านมา ขยะ และถกู ทง้ิ ไป มกี ำรเปลยี่ นแปลงอยำ่ งรวดเรว็ มนี วตั กรรมใหม ่ ๆ เกดิ ขน้ึ
2. นกั เรียนแบง กลมุ (กลมุ เดิม) และใหค น หาวา
ตลอดเวลำและหลำกหลำย โดยเฉพำะทำงดำ้ นฮำรด์ แวร์
คอมพิวเตอรแบงออกเปนก่ีประเภท และ และซอฟต์แวร์ หำกเพียงแต่ผ้ใู ช้งำนจะต้องรู้จกั กำรเลือกนำ� ไปใชง้ ำนและรู้จักกำรแกไ้ ข
แตล ะประเภทเหมาะกบั การทาํ งานประเภทใด ปัญหำ กจ็ ะถือเปน็ กำรใช้งำนเทคโนโลยอี ยำ่ งคุ้มคำ่
จากน้ันใหแตละกลุมออกมานําเสนอหนาชั้น
เรียน พรอมพูดคุยแลกเปล่ียนความคิดเห็น 4.1 การใชง้ านระบบคอมพิวเตอร์
กบั เพอ่ื นรว มชน้ั
กำรนำ� ระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้งำนในชวี ติ ประจำ� วนั ทั้งในกำรท�ำงำน หรอื ใชง้ ำนสว่ นตัว
ขน้ั สอน ต้องมีกำรพิจำรณำควำมต้องกำรของผู้ใช้ ซ่ึงสำมำรถแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์ให้เหมำะสม
กบั กำรใชง้ ำน ออกเป็น 5 ประเภท คอื
สาํ รวจคน้ หา 1. Super Computer 2. Mainframe Computer
3. Personal Computer 4. Workstation Computer
1. นักเรียนศึกษาประเภทของคอมพิวเตอรที่ 5. Wearable Computer
แบงออกเปน 5 ประเภท คือ
1) Super Computer Super Computer
2) Mainframe Computer
3) Personal Computer • ลกั ษณะการทา� งาน ของ Super Computer เปน็ กำรประมวลผลขอ้ มลู ขนำดใหญท่ ต่ี อ้ งกำร
4) Workstation Computer ควำมละเอยี ดสูงและต้องกำรควำมรวดเร็ว ท�ำให้รปู ร่ำงมีขนำดใหญ่ มีน้ำ� หนักเยอะ เคลื่อนยำ้ ย
5) Wearable Computer
จากหนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติมจาก ไดย้ ำก และมีรำคำสูงมำก
อินเทอรเน็ตที่เคร่ืองคอมพิวเตอรของตนเอง
โดยใหน กั เรยี นพจิ ารณาถงึ ลกั ษณะการทาํ งาน • การใช้งาน น�ำไป
และการใชง าน ใชง้ ำนทตี่ อ้ งกำรควำมละเอยี ด
สูงและประมวลผลข้อมูลท่ีมี
ขนำดใหญ่โดยใช้เวลำให้น้อย
ลงเปน็ หลกั เชน่ ดำ้ นกำรวจิ ยั
ด้ำนอวกำศ ด้ำนกำรแพทย ์
กำรวิเครำะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน
กำรพยำกรณ์ หรือกำรเตือน
ภยั ต่ำง ๆ

80 ภาพที่ 3.26 Super Computer

เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคดิ

ครูอาจจะหาขอมูล Super Computer ท่ีมีอยูในประเทศไทยมานําเสนอ นักเรียนคิดวา Super Computer เหมาะสมท่ีจะนําไปใชใน
เพอ่ื ใหน กั เรยี นเหน็ ภาพความสมั พนั ธข องการใชง าน Super Computer ในหนว ยงาน หนว ยงานใดตอไปนี้มากทส่ี ดุ
หรอื องคก รตา งๆ ไดช ดั เจนขน้ึ และอาจหาเกรด็ ความรเู ลก็ ๆ นอ ยๆ เชน ขอ มลู
10 อันดบั Super Computer ทีเ่ ร็วทสี่ ุดในโลกมานาํ เสนอเปนความรเู พิ่มเตมิ 1. ธนาคาร
ใหกับนกั เรียนดว ย 2. โรงเรยี น
3. กรมตํารวจ
4. กรมอุตนุ ยิ มวทิ ยา

(วิเคราะหค ําตอบ จากตวั เลอื กทก่ี าํ หนดให วเิ คราะหไ ดว า Super
Computer เหมาะกับการประมวลผลขอมูลจํานวนมากที่มี
เวลาจํากัด เชน การพยากรณอากาศ ภัยพิบัติ ขอ 1. ขอ 3.
เหมาะกบั Mainframe Computer มากกวา ขอ 2. ไมมคี วาม
จําเปน ดังนัน้ ตอบขอ 4.)

T90

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

Mainframe Computer ขนั้ สอน

• ลักษณะการท�างาน ภาพที่ 3.27 Mainframe Computer สาํ รวจคน้ หา
ของ Mainframe Computer มี
ควำมสำมำรถสงู ในกำรรองรบั 2. นกั เรยี นศกึ ษาลกั ษณะการทาํ งานและการใชง าน
ข้อมูลจึงเป็นคอมพิวเตอร์ท่ี Mainframe Computer กับ Personal
มีขนำดใหญ่และต้องตั้งอยู่ใน Computer จากหนังสอื เรยี น
ห้องที่มีกำรควบคุมอุณหภูมิ
และมมี ำตรกำรป้องกันทีด่ ี อธบิ ายความรู้
• การใช้งาน ถูกน�ำ
ไปใช้ในองค์กรหรือหน่วยงำน 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใชงานระบบ
ทม่ี ขี นำดใหญ่ เช่น ธนำคำร คอมพวิ เตอรว า นอกจากจะมกี ารแบง ประเภท
โรงงำนอตุ สำหกรรมขนำดใหญ ่ ของคอมพิวเตอรออกเปน 5 ประเภทแลว
บริษทั ประกนั ภัย ยังสามารถแบงประเภทคอมพิวเตอรตาม
วตั ถปุ ระสงคข องการใชง านไดอกี คือ
Personal Computer (PC) 1) คอมพิวเตอรเพ่ืองานเฉพาะกิจ (Special
Purpose Computer) หมายถึง เครื่อง
• ลักษณะการทา� งาน ของ PC เป็นกำรใชง้ ำนส่วนบคุ คล เหมำะสำ� หรับกำรประมวลผล ประมวลผลขอมูลท่ีถูกออกแบบตัวเครื่อง
ข้อมูลขนำดปำนกลำงหรือ และโปรแกรมควบคุมใหทํางานอยางใด
ขนำดเล็ก มักถูกน�ำมำเป็น อยางหน่ึงเปนการเฉพาะ โดยท่ัวไปมักใช
เคร่ืองประจ�ำตัวของผู้ใช้งำน ในงานควบคุมอุตสาหกรรมท่ีเนนการ
เชน่ ทบ่ี ำ้ น ทีท่ ำ� งำน ประมวลผลแบบรวดเร็ว เชน เคร่ืองคอม
พิวเตอรควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอม
• การใชง้ าน เปน็ กำร 81 พิวเตอรควบคุมลิฟต หรือคอมพิวเตอร
ใช้งำนได้หลำกหลำย เช่น ควบคมุ ระบบอตั โนมัติในรถยนต
กำรพมิ พง์ ำน กำรเขำ้ เวบ็ ไซต์ 2) คอมพวิ เตอรเ พอ่ื งานอเนกประสงค (General
เครอื่ งคอมพิวเตอรป์ ระเภทนี้ Purpose Computer) หมายถึง เครื่อง
ต้องมีผู้ใช้เพ่ือควบคุมกำร ประมวลผลขอมูลที่มีความยืดหยุนใน
ทำ� งำน ไมส่ ำมำรถเปดิ ใชง้ ำน การทํางาน โดยไดรับการออกแบบให
ได้ตลอด 24 ชั่วโมงเพรำะ สามารถประยกุ ตใ ชใ นงานประเภทตา งๆ ได
เครอื่ งจะรอ้ นและทำ� ใหอ้ ปุ กรณ์ โดยระบบจะทํางานตามคําสั่งในโปรแกรม
บำงสว่ นเสยี หำย ท่ีเขียนข้ึนมา เชน ใชเครื่องนี้ในงาน
ประมวลผลคะแนนนักเรียนเกี่ยวกับระบบ
ภาพที่ 3.28 Personal Computer (PC) การตดั เกรด หรอื สามารถใชใ นการคาํ นวณ
เงินเดือนได

ขอสอบเนน การคิด ความรูเสริม

การประมวลผลในขอใดเหมาะกบั เคร่ือง Mainframe Computer ในปจจุบันมีการใชงานเครื่อง Mainframe Computer ลดลง เน่ืองจาก
1. การสํารวจแหลงนา้ํ มนั หลายปจ จยั เชน ราคาแพง ใชง านยาก แตส าเหตทุ ส่ี าํ คญั คอื เครอื่ งคอมพวิ เตอร
2. พยากรณการเกดิ แผน ดนิ ไหว ประเภทท่ีเล็กกวาถูกพัฒนาใหมีประสิทธิภาพในการประมวลผลมากขึ้น
3. การเชื่อมโยงการใชงานกบั ระบบตูเอทีเอ็ม จนเทียบเทา เครือ่ ง Mainframe Computer ในราคาทถ่ี ูกกวา
4. การคาดการณเ กย่ี วกบั การแพรก ระจายของสิ่งแวดลอ ม
เปน พษิ T91
(วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกท่ีกําหนดให วิเคราะหไดวา

ขอ 1. ขอ 2. และขอ 4. เปนการคาํ นวณท่ตี องการความแมน ยาํ สงู
การประมวลผลขอมูลจํานวนมากในเวลาที่จํากัด การพยากรณ
เหมาะกบั เครอื่ ง Super Computer สว นการเชอื่ มโยงกบั ระบบทม่ี ี
เครื่องลูกและมีการประมวลผลจากผูใชหลายคนพรอมกัน เชน
ตเู อทีเอม็ จะมีความเหมาะสมกบั เครอ่ื ง Mainframe Computer
มากกวา ดังนั้น ตอบขอ 3.)

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

ขน้ั สอน Workstation Computer

อธบิ ายความรู้ • ลักษณะการท�างาน
ของ Workstation Computer
2. ครูอธิบายเกีย่ วกับ Wearable Computer วา เหมำะกบั กำรทำ� งำนเฉพำะทำง
Wearable Computer เปนรูปแบบใหมของ จึงท�ำให้กำรประมวลผลและ
คอมพิวเตอรทถ่ี ูกพัฒนาขนึ้ ลาสดุ มขี นาดเล็ก กำรแสดงผลได้ดี ซึ่งถือว่ำ
และถกู ออกแบบใหม คี วามสะดวกในการพกพา มีประสิทธิภำพสูงกว่ำเครื่อง
และใชง านงา ย โดยในปจ จบุ นั จะมกี ารเนน การ PC ท่ัวไป
ใชง าน Wearable Computer ในลักษณะที่
เกีย่ วขอ งกับสุขภาพและการออกกําลังกาย ภาพท ี่ 3.29 Workstation Computer • การใชง้ าน สำมำรถ
เปดิ ใชง้ ำนไดต้ ลอด 24 ชว่ั โมง
ขยายความเขา้ ใจ Wearable Computer เน้นทำงสำยงำนท่ีเฉพำะทำง
โดยส่วนใหญ่ จะเน้นไปทำง
1. นักเรียนทําใบงาน เร่ือง ประเภทของ กำรประมวลผลด้ำนกรำฟิก
คอมพวิ เตอร เช่น ด้ำนสถำปัตยกรรม
ดำ้ นวศิ วกรรม นักเลน่ เกมมอื
2. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลวา ในปจจุบัน อำชพี
ประเทศไทยมีการนําคอมพิวเตอรมาใชงาน
ครบทงั้ 5 ประเภทหรือไม

3. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมานําเสนอ
หนาชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันใน
ช้นั เรยี น

• ลักษณะการท�างาน ของ Wearable Computer เปน็ กำรท�ำงำนทเี่ กย่ี วข้องกับตวั จบั กำร
เคล่อื นไหว เซ็นเซอร์ กำรหำ
ต�ำแหน่ง เปน็ กำรประมวลผล
ท่ีไม่ต้องกำรควำมซับซ้อน
มำก แต่สำมำรถบันทกึ ขอ้ มลู
หรือแสดงขอ้ มูลได้

• การใช้งาน เน้น
น�ำไปใช้งำนในชีวิตประจ�ำวัน
หรือประจ�ำตัวบุคคล เช่น
นำฬิกำดิจิทัล สมำร์ตโฟน
แทบ็ เล็ต จพี เี อส แวน่ วีอำร์

82 ภาพท่ี 3.30 Wearable Computer

ความรูเสริม ขอ สอบเนน การคดิ

ในปจ จบุ นั Wearable Computer ถกู ออกแบบใหส ามารถตดิ ตงั้ กบั สว นตา งๆ นกั เรยี นคดิ วา คอมพวิ เตอรป ระเภทใดเหมาะสาํ หรบั ใชเ ลน เกม
ของรา งกายมนษุ ยเ พอ่ื ความสะดวกในการใชง าน เชน Wearable Computer ที่ เปน อาชีพมากท่ีสุด เพราะอะไร
มลี กั ษณะเปน เหมอื นนาฬก า สายรดั ขอ มอื แวน ตา โดยที่ Wearable Computer
สามารถทาํ งานแบบแยกเดยี่ ว (Stand alone) หรอื ทาํ งานรว มกบั อปุ กรณอ นื่ เชน (วิเคราะหคําตอบ Workstation Computer มปี ระสทิ ธภิ าพสงู กวา
สมารตโฟน แท็บเลต็ เพื่อประมวลผลขอมูล เชน ระยะทางในการว่งิ อัตราการ เครอื่ ง PC ทงั้ ในดา นความเรว็ ในการประมวลผล และการแสดงผล
เตนของหัวใจ ตําแหนงพิกัดบนโลก ออกมาเปนคาสถิติหรือนําไปใชประโยชน กราฟก ซึ่งคุณสมบตั ิดงั กลา วมีความจาํ เปน สําหรบั การเลน เกม)
อยางอ่นื ไดดวย

T92

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ

4.2 ปัญหาและการแก้ไขการใชง้ านระบบคอมพวิ เตอร์ ขน้ั สอน

1. ปญั หาการใชง้ านระบบคอมพวิ เตอร ์ คอมพวิ เตอรเ์ ปน็ อปุ กรณอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ ส ์ ซง่ึ มโี อกำส สาํ รวจคน้ หา
ท่ีจะเกิดปัญหำขึ้นเมื่อใดก็ได้ โดยปัญหำกำร
ใช้งำนระบบคอมพวิ เตอร ์ สำมำรถแบง่ ออกได ้ 1. ครูทบทวนเน้ือหาการเรียนเม่ือช่ัวโมงที่แลว
ดังน้ี เก่ยี วกบั การใชงานระบบคอมพิวเตอร
1) ปัญหาทางด้านฮาร์ดแวร์ คือ
ปญั หำทเ่ี กดิ ขนึ้ จำกตวั อปุ กรณช์ ำ� รดุ หรอื ทำ� งำน 2. ครูถามกระตุนความคิดของนักเรียนวา ถา
ผดิ ปกต ิ โดยบำงคร้ังปัญหำอำจเกิดข้ึนจำกตัว เคร่ืองคอมพิวเตอรของนักเรียนเสียหรือ
ผใู้ ชเ้ อง เชน่ กำรปรบั แตง่ อปุ กรณใ์ นกำรทำ� งำน มปี ญ หา นักเรียนสามารถแกไขเองไดห รือไม
(แนวตอบ นักเรยี นแสดงความคดิ เห็นโดยตอบ
ตามประสบการณข องตนเอง)

3. นกั เรยี นศกึ ษาเนอ้ื หา เรอ่ื ง ปญ หาและการแกไ ข
การใชง านระบบคอมพวิ เตอร จากหนงั สอื เรยี น

เกินขีดจ�ำกัด อุปกรณ์เส่ือมคุณภำพ หรือ
อำจจะเกิดจำกเหตุกำรณ์ที่เรำไม่คำดคิด เช่น
ไฟฟำ้ ตก ไฟฟ้ำชอ็ ต ภาพที่ 3.31 ปัญหำทำงด้ำนซอฟต์แวรแ์ ละด้ำนฮำรด์ แวร์

2) ปัญหาทางด้านซอฟต์แวร์ คือ ปัญหำที่เกิดข้ึนจำกตัวโปรแกรมท�ำงำนผิดปกต ิ
ซึ่งอำจจะเกดิ ปญั หำได้ทั้งตัวระบบปฏบิ ตั กิ ำร และโปรแกรมท�ำงำนทั่วไป เชน่ ตวั ซอฟต์แวรอ์ ำจ
จะไม่สมบูรณ์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้งำนไม่สำมำรถท�ำงำนได้บนระบบปฏิบัติกำรท่ีใช้อยู่หรือซอฟต์แวร์
ถกู ไวรัสเข้ำไปท�ำลำย
3) ปญั หาทางด้านผใู้ ชง้ าน คือ ปัญหำท่เี กดิ จำกควำมรเู้ ทำ่ ไมถ่ งึ กำรณข์ องผใู้ ช้ เช่น
กำรปรับแต่งอุปกรณ์ กำรลองผิดลองถูกในกำรใช้งำนซอฟต์แวร์ต่ำง ๆ หรือกำรเผลอไปลบไฟล์
ตำ่ ง ๆ ของระบบหรือซอฟตแ์ วรท์ ่ีใชง้ ำนจนทำ� ให้ใช้งำนซอฟตแ์ วรน์ ั้นไมไ่ ด้

2. การแก้ไขปัญหาการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์เบ้ืองต้น เครื่องคอมพิวเตอร์มีโอกำสท่ี
จะเกิดปัญหำขึ้นกับฮำร์ดแวร์ตลอดช่วงกำรใช้งำน รวมถึงซอฟต์แวร์ทุกตัวท่ีใช้งำนด้วย ซ่ึงเรำ
สำมำรถแบง่ ปญั หำกำรใชง้ ำนระบบคอมพวิ เตอร์ได้ ดงั น้ี
1) ปญั หาทางดา้ นฮารด์ แวร ์ คอื ปญั หำทมี่ กั จะเกดิ ขน้ึ จำกตวั อปุ กรณช์ ำ� รดุ หรอื ทำ� งำน
ผิดปกติ เช่น กำรลืมเสียบสำย สำยหลวม ซึ่งอำจจะช�ำรุดมำต้ังแต่ผู้ผลิตแล้วก็เป็นได้ ดังน้ัน
จึงต้องมีกำรรับประกันสินค้ำทุกชิ้นตอนซื้อ ซ่ึงในบำงคร้ังอำจจะเกิดข้ึนจำกตัวผู้ใช้เองก็เป็นได ้
เชน่ เสยี บอปุ กรณ์ผิด ปรับแต่งเกนิ ขดี จำ� กัดของอุปกรณ ์ หรือเกดิ จำกเหตุกำรณ์ไม่คำดคดิ เชน่
ไฟตก ไฟดบั
2) ปญั หาทางดา้ นซอฟตแ์ วร ์ คอื ปญั หำทม่ี กั จะเกดิ ขน้ึ จำกตวั ซอฟตแ์ วรเ์ องทำ� งำนผดิ
ปกต ิ เชน่ ซอฟตแ์ วร์ท่ีใชง้ ำนไม่สำมำรถท�ำงำนไดบ้ นระบบปฏบิ ัติกำรทีใ่ ชอ้ ยู่ ซอฟตแ์ วรถ์ ูกไวรัส
เขำ้ ไปทำ� ลำย เกดิ จำกผู้ใชไ้ ปลบข้อมลู ในท่ีเกบ็ ข้อมลู ซอฟต์แวรเ์ อง

83

ขอสอบเนน การคิด ความรูเสริม

เติ้ลเผลอทําการติดต้ังโปรแกรมสําหรับระบบปฏิบัติการแบบ ในปจจุบันระบบปฏิบัติการวินโดวสบนเครื่องคอมพิวเตอรถูกพัฒนาเปน
32 บิต ลงบนระบบปฏิบตั ิการแบบ 64 บติ ผลปรากฏวา โปรแกรม 2 ระบบ คือ 32 บิต (แบบเกา ) และ 64 บติ (แบบใหม) ซ่งึ ระบบ 64 บิต จะมี
ดงั กลา วใชง านไมไ ด เหตุการณด งั กลา วจดั เปน ปญ หาดานใด ประสิทธิภาพมากกวา แตก็ตองใชงานบนฮารดแวรและซอฟตแวรที่รองรับ
การใชงานในระบบดังกลาวดวย จึงจะทํางานไดเต็มประสิทธิภาพ เชน CPU
1. ปญ หาดานซอฟตแ วร ตองเปนรุนที่รองรับการทํางานระบบ 64 บิต ตองมีหนวยความจําการเขาถึง
2. ปญ หาดานฮารด แวรและผูใชง าน แบบสมุ (RAM) อยา งนอย 4 Gb และควรใชซ อฟตแวรส าํ หรับระบบ 64 บิตดว ย
3. ปญหาดา นซอฟตแวรและผูใชง าน หากนําซอฟตแวรสําหรับระบบ 32 บิต มาใชอาจเกิดปญหาใชงานซอฟตแวร
4. ปญ หาดานฮารด แวรและซอฟตแ วร ดังกลาวไมไ ด ใชง านไดไ มส มบรู ณ หรืออาจติดต้ังไมส ําเรจ็ กไ็ ด
(วเิ คราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา
การที่ซอฟตแวรไมสามารถใชงานบนระบบปฏิบัติการได จัดเปน
ปญหาทางดา นซอฟตแ วร การลองผิดลองถูกโดยรเู ทา ไมถงึ การณ
จดั เปนปญ หาดานผใู ชงาน ดงั น้นั ตอบขอ 3.)

T93


Click to View FlipBook Version