แบบบันทึกกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) -------------------------- ชื่อกลุ่ม Active Learning Science ครั้งที่ 2 การค้นหาปัญหา วัน เดือน ปี ที่ PLC เวลาที่เริ่ม – สิ้นสุด จำนวน ชม : นาที สถานที่ 23 พ.ค. ๒๕๖6 15.3๐ น. - ๑๖.3๐ น. ๑ ชม ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ จำนวนครูที่เข้าร่วมกิจกรรม ดังนี้ ชื่อ-สกุล บทบาทหน้าที่ ลายมือชื่อ ๑. นายเดช จงรักพงศ์เผ่า ผู้อำนวยการสถานศึกษา (Administrator) ๒. นายนที ศรีแย้ม ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ๓. นางวีรยา ดิษเหมือน ครูพี่เลี้ยง (Mentor) ๔. นางวรัญญา แสงน้ำ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๕. นายศิโรรัตน์ ทองจำรูญ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๖. นางสาวเมทินี ยันดี ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๗. นางสาวขวัญฤดี หนูแก้ว ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๘. นายวีระพงษ์ ใจทัด ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๙. นางสาววิไลรัตน์ จิตธรรม ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) กิจกรรมครั้งนี้อยู่ความสอดคล้องกับการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (Lesson study) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) ขั้นที่ ๒ ปฏิบัติและสังเกตการเรียนรู้ (Do & See) ขั้นที่ ๓ สะท้อนความคิดและปรับปรุงใหม่ (Reflect & Redesign) PLC 07/2
๑. งาน/กิจกรรม การค้นหาปัญหา ๒. ประเด็นปัญหา / สิ่งที่ต้องการพัฒนา สมาชิกพูดคุยในเรื่องปัญหาของผู้เรียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เรียนทั้งห้อง อาจเป็นผู้เรียนเฉพาะ กลุ่มก็ได้ โดยการสรุปเป็นปัญหาเดียวกันในกลุ่ม และเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ควรแก้ไขก่อน เพื่อเพิ่มศักยภาพ ในการเรียนให้ดีขึ้นตามความเหมาะสม สมาชิก ประเด็นปัญหา ๑. นางวรัญญา แสงน้ำ - ผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๒. นายศิโรรัตน์ ทองจำรูญ - ผู้เรียนขาดทักษะการวัด ชั่ง ตวง ใช้อุปกรณ์การทดลอง ไม่เป็น และไม่คล่องแคล่ว ๓. นางสาวเมทินี ยันดี - ผู้เรียนขาดความสนใจและความกระตือรือร้นในการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. นางสาวขวัญฤดี หนูแก้ว - ผู้เรียนขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ๕. นายวีระพงษ์ ใจทัด - ผู้เรียนไม่สามารถตอบคำถาม อภิปราย เรื่องที่เรียนเกี่ยวกับ เนื้อหาของวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๖. นางสาววิไลรัตน์ จิตธรรม - ผู้เรียนขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๓. สมาชิกเลือกปัญหา ที่จะนำมาแก้ไขร่วมกัน จำนวน ๑ ปัญหา สมาชิกในกลุ่มร่วมกันจัดลำดับความสำคัญของปัญหา โดยเรียงจากปัญหาที่มีความเร่งด่วนที่สุดไป ด่วนน้อยที่สุด ดังนี้ ลำดับความสำคัญ ประเด็นปัญหา ลำดับที่ ๑ - ผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจในการ เรียนวิชาวิทยาวิทยาศาสตร์ ลำดับที่ 2 - ผู้เรียนขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ลำดับที่ 3 - ผู้เรียนขาดความสนใจและความกระตือรือร้นในการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลำดับที่ 4 - ผู้เรียนไม่สามารถตอบคำถาม อภิปราย เรื่องที่เรียนเกี่ยวกับ เนื้อหาของวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลำดับที่ 5 - ผู้เรียนขาดทักษะการวัด ชั่ง ตวง ใช้อุปกรณ์การทดลอง ไม่เป็น และไม่คล่องแคล่ว ลำดับที่ 6 - ผู้เรียนขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จากการประชุมกลุ่ม Active Learning Science พบปัญหาที่ต้องแก้ไขปรับปรุง คือปัญหาผู้เรียน มีผลการเรียนต่ำ เพราะขาดผู้เรียนขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำ ให้คุณภาพผู้เรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ลดลง ๔. สมาชิกร่วมกันวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา สมาชิก สาเหตุของปัญหา 1. นางวรัญญา แสงน้ำ - ผู้เรียนบางคนยังไม่เข้าใจ บทเรียนที่เรียนเท่าที่ควร 2. นายศิโรรัตน์ ทองจำรูญ - ผู้เรียนขาดความสนใจและไม่กระตือรือร้นในการเรียนผู้เรียน บางคนไม่เอาใจใส่ในบทเรียน 3. นางสาวเมทินี ยันดี - ผู้เรียนขาดความสนใจและไม่กระตือรือร้นในการเรียน ผู้เรียนบางคนไม่เอาใจใส่ในบทเรียน 4. นางสาวขวัญฤดี หนูแก้ว - ผู้เรียนบางคนยังขาดความสนใจในการเรียน ไม่มีความ กระตือรือร้น ไม่มีสมาธิ พูดแทรกและเล่นในเวลาเรียน 5. นายวีระพงษ์ ใจทัด - ผู้เรียนบางคนไม่เอาใจใส่ ไม่สนใจในบทเรียน และขาด ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 6. นางสาววิไลรัตน์ จิตธรรม - ผู้เรียนส่วนใหญ่ขาดทักษะการวัด ชั่ง ตวงซึ่งเป็นพื้นฐาน ในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้เรียนส่วนใหญ่ ไม่ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมการทดลอง ใช้อุปกรณ์ การทดลองไม่เป็น และไม่คล่องแคล่ว ๕. ผลที่ได้จากการจัดกิจกรรม ประธานกลุ่มมอบหมายให้ครูร่วมเรียนรู้ไปศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาจากงานวิจัย หรือ รูปแบบที่มีผู้พัฒนาแล้ว เพื่อนำมาร่วมประชุมครั้งต่อไป และนำผลการประชุมไปบันทึกใน PPR ของตนเอง เพื่อเก็บเป็นหลักฐานในการรายงานต่อไป เลิกประชุมเวลา 1๖.3๐ น.
ภาพ/ร่องรอย/หลักฐานประกอบ PLC ครั้งที่ 2 ( บัตรภาพ/ใบงาน/ชิ้นงาน/ภาพถ่ายประกอบ ) ภาพการจัดกิจกรรม PLC ของกลุ่ม “Active Learning Science” ครั้งที่ ๒ ค้นหาปัญหา การชี้แจงเกี่ยวกับการค้นหาปัญหาของผู้เรียน และแนวทางการบันทึกการเสวนาของกลุ่ม โดยดำเนินการในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖6 เวลา 15.30 – ๑๖.3๐ น. ณ ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์
ขอรับรองว่าข้อมูลดังกล่าวข้างต้นเป็นจริงทุกประการ ลงชื่อ.................................................... (นายเดช จงรักพงศ์เผ่า) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ลงชื่อ .............................................. ผู้บันทึก (นางสาวเมทินี ยันดี) เลขานุการกลุ่ม ผู้รับรอง ลงชื่อ.................................................... (นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล) ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ
แบบบันทึกกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) -------------------------- ชื่อกลุ่ม Active Learning Science ครั้งที่ ๓ การออกแบบแนวทางแก้ไขปัญหา วัน เดือน ปี ที่ PLC เวลาที่เริ่ม – สิ้นสุด จำนวน ชม : นาที สถานที่ ๒๕ พ.ค. ๒๕๖6 15.3๐ น. - ๑๖.3๐ น. ๑ ชม ใต้อาคาร ๔ (ตึกส้ม) จำนวนครูที่เข้าร่วมกิจกรรม ดังนี้ ชื่อ-สกุล บทบาทหน้าที่ ลายมือชื่อ ๑. นายเดช จงรักพงศ์เผ่า ผู้อำนวยการสถานศึกษา (Administrator) ๒. นายนที ศรีแย้ม ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ๓. นางวีรยา ดิษเหมือน ครูพี่เลี้ยง (Mentor) ๔. นางวรัญญา แสงน้ำ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๕. นายศิโรรัตน์ ทองจำรูญ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๖. นางสาวเมทินี ยันดี ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๗. นางสาวขวัญฤดี หนูแก้ว ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๘. นายวีระพงษ์ ใจทัด ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๙. นางสาววิไลรัตน์ จิตธรรม ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) กิจกรรมครั้งนี้อยู่ความสอดคล้องกับการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (Lesson study) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) ขั้นที่ ๒ ปฏิบัติและสังเกตการเรียนรู้ (Do & See) ขั้นที่ ๓ สะท้อนความคิดและปรับปรุงใหม่ (Reflect & Redesign) PLC 07/3
๑. งาน/กิจกรรม แนวทางแก้ไขปัญหา และออกแบบกิจกรรม ๒. ประเด็นปัญหา / สิ่งที่ต้องการพัฒนา ปัญหาผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ขาดทักษะการวัด ชั่ง ตวง ใช้อุปกรณ์การทดลองไม่เป็น ไม่คล่องแคล่ว ขาดความสนใจและ ความกระตือรือร้นในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีจึงทำให้ครูในกลุ่มร่วมกันหาวิธีและแนวคิดมานำเสนอในการประชุม PLC ครั้งนี้ ๓. สมาชิกเลือกปัญหาที่จะนำมาแก้ไขร่วมกัน จำนวน ๑ ปัญหา สมาชิกในกลุ่มร่วมศึกษาปัญหาแนวทางแก้ไขปัญหาหรือกระบวนการที่จะใช้ในการแก้ไขปัญหา ดังนี้ ๑) ครูวรัญญา เสนอแนวคิดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน (The 5E of InquiryBased Learning) (นรรัชต์ ฝันเชียร : ๒๕๖๓) เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากทฤษฎีคอนสตรัคติ วิสต์เป็นรูปแบบของการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง ที่เน้นให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ โดยการ แสวงหาและศึกษาค้นคว้า เพื่อสร้างองค์ความรู้ของตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยศาสตร์ ซึ่งมี ครูผู้สอนคอยอำนวยการและสนับสนุน ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาได้ตัวเอง และสามารถนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นําความรู้ หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจศึกษา ค้นคว้า และลงมือ ปฏิบัติ ด้วยตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่างเป็นอิสระ ทำให้ การเรียนแบบสืบ เสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนนี้ นับได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นรูปแบบ การเรียนที่พาผู้เรียนไปสู่การพิจารณาข้อโต้แย้งและข้อสงสัยต่างๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดประเด็นคําถามที่ต้องการ สํารวจตรวจสอบ และจะเป็นกระบวนการเช่นนี้ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จนเรียกได้ว่าเป็น วัฎจักรการสืบเสาะ (Inquiry cycle) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีทักษะในการหาความรู้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่ง การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ทั้ง 5 ขั้นตอนนั้น มีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้ ขั้นที่ ๑ การสร้างความสนใจ (Engagement) ขั้นนี้เป็นของการนำเข้าสู่บทเรียนหรือนำเข้าสู่เรื่องที่อยู่ในความสนใจที่เกิดจากข้อสงสัย โดย ครูผู้สอนจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจใคร่รู้ เพื่อนำเข้าสู่บทเรียนหรือเนื้อหาใหม่ๆ ซึ่งความสนใจ ใคร่รู้นั้น อาจมาจากความสนใจของผู้เรียนเอง การอภิปรายกลุ่ม หรือจากการนำเสนอของครูผู้สอนก็ได้ แต่ จะต้องเป็นเรื่องที่ผู้เรียนยอมรับโดยไม่มีการบังคับหลังจากนั้น เมื่อได้ข้อคำถามที่น่าสนใจแล้ว ครูผู้สอนต้อง กระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมกัน กำหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนมาก ยิ่งขึ้น โดยใช้การรับรู้จากประสบการณ์เดิม รวมกับการศึกษาเพิ่มเติมจากจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในประเด็นที่จะศึกษา และมีแนวทางในการสำรวจตรวจสอบมากยิ่งขึ้น ขั้นที่ ๒ การสํารวจและค้นหา (Exploration) เมื่อทําความเข้าใจในประเด็นหรือคําถามที่สนใจศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ครูผู้สอนจะเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนดำเนินการศึกษาค้นคว้า โดยการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสำรวจ การสืบค้นจาก เอกสารต่าง ๆ การทดลอง และการจำลองสถานการณ์ เป็นต้น เพื่อตรวจสอบสมมุติฐานและให้ได้ข้อมูล อย่างเพียงพอที่จะนำไปใช้ในการอธิบายและสรุป
ขั้นที่ ๓ การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอแล้ว ครูผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียนนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และ แปลผล เพื่อสรุปผลและนําเสนอผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ เช่น การบรรยายสรุป การสร้างแบบจําลอง การวาด ภาพ หรือ การสรุปเป็นตารางหรือกราฟ ซึ่งผลสรุปที่ได้นั้น จะต้องสามารถอ้างอิงความรู้ มีความ สมเหตุสมผล และมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ ขั้นที่ ๔ การขยายความรู้ (Elaboration) เป็นขั้นของการนําความรู้ที่ได้จากขั้นก่อนหน้านี้ มาเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือใช้อธิบายถึง สถานการณ์หรือเหตุการณ์เกี่ยวข้อง โดยครูผู้สอนอาจจัดกิจกรรมและให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ๆ เช่น ตั้งคำถามจากการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้เข้ากับประสบการณ์หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น ขั้นที่ ๕ การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นของการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ เช่น การทำข้อสอบ การทำรายงานสรุป หรือการให้ผู้เรียนประเมินตัวเอง เป็นต้น เพื่อตรวจสอบผู้เรียนว่ามีความรู้ที่ถูกต้องมากน้อยเพียงไรจากการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ดังกล่าว ครูผู้สอนจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียน วิเคระห์ วิจารณ์และคิด พิจารณาความรู้ที่ได้ให้รอบคอบ โดยมีครูผู้สอนช่วยตรวจสอบและปรับปรุงความรู้ที่ผู้เรียนได้รับนั้นให้ ถูกต้องเหมาะสมและสอดคล้องกับความรู้เดิมของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น และนำผู้เรียนไปสู่คำถามที่ต้องการการ สำรวจตรวจสอบต่อไปอย่างต่อเนื่อง การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนนั้น นับว่าเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในการจัดการ เรียนการสอน STEM เพราะจะนำพาผู้เรียนเข้าร่วมการสำรวจ อธิบายอย่างละเอียดและประเมินผล เพื่อให้ สามารถเชื่อมโยงกับกลยุทธ์การสอนที่แตกต่างกันได้ ช่วยให้ครูวิทยาศาสตร์สามารถอำนวยการสอนและ สนับสนุนผู้เรียนในการดำเนินกิจกรรมได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับรูปแบบการสอนแบบดั้งเดิม การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนจะให้ประโยชน์มากกว่าเกี่ยวกับความสามารถของผู้เรียนในการ เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ๒) ครูศิโรรัตน์ เสนอแนวคิดทฤษฎีActive Learning (ไชยยศ เรืองสุวรรณ : 2553) คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำและได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน 2 ประการคือ การเรียนรู้เป็นความพยายามโดย ธรรมชาติของมนุษย์ และแต่ละบุคคลมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาท จากผู้รับความรู้(receive) ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้(co-creators) กระบวนการเรียนรู้Active Learning ทำให้ผู้เรียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ Passive Learning เพราะกระบวนการเรียนรู้Active Learning สอดคล้องกับการทำงานของสมองที่ เกี่ยวข้องกับความจำ โดยสามารถเก็บและจำสิ่งที่ผู้เรียน เรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ผู้สอน สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ได้ผ่านการปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บจำในระบบความจำระยะยาว (Long Term Memory) ทำให้ผลการเรียนรู้ ยังคงอยู่ได้ในปริมาณที่มากกว่า ระยะยาวกว่า และลักษณะของ Active Learning มีดังนี้ - เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา การประยุกต์ใช้ - เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ - ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
- ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน มีการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฏิสัมพันธ์ ร่วมกัน และร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน - ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน และการแบ่งหน้าที่ ทำงาน - เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิด - เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคิดขั้นสูง - เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล, ข่าวสาร, สารสนเทศ, และ หลักการสู่การสร้างความคิดรวบยอดความคิดรวบยอด - ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ ด้วยตนเอง - ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรียน ๓) ครูเมทินี เสนอแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of cooperative learning) (ทิศนา แขมมณี : 2554) การเรียนรู้แบบร่วมมือในการจัดการเรียนรู้ต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี 3 ลักษณะคือ ๑. ลักษณะแข่งขันกัน ในการศึกษาเรียนรู้ ผู้เรียนแต่ละคนจะพยายามเรียนให้ได้ดีกว่าคนอื่น เพื่อให้ได้คะแนนดี ได้รับการยกย่องหรือได้รับการตอบแทนในลักษณะต่างๆ ๒. ลักษณะต่างคนต่างเรียน คือ แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบดูแลตนเองให้เกิดการเรียนรู้ ไม่ยุ่ง เกี่ยวกับผู้อื่น ๓. ลักษณะร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ คือ แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบในการเรียนรู้ของตน และในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยให้สมาชิกคนอื่นเรียนรู้ด้วย การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน ช่วยกัน เรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน ต่างคนต่างเรียน และร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันใน การเรียนรู้ โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้ มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด มีการสัมพันธ์กัน มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม และมีการแบ่งหน้าที่ รับผิดชอบงานร่วมกัน ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ โดยวิธีการที่หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน และครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการ วิเคราะห์การ ทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม เพื่อให้กลุ่มมีโอกาสที่จะปรับปรุงส่วนบกพร่อง ของกลุ่มเดียว ๔) ครูขวัญฤดี เสนอแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบ (สุรางค์ โค้วตระกูล : 2541) ของ บรูนเนอร์ (Bruner) โดยเชื่อว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมซึ่งนำไปสู่การ ค้นพบการแก้ปัญหา โดยครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมด้านข้อมูล วัตถุประสงค์คำถามและตั้งความมุ่งหวังว่า ผู้เรียนจะค้นพบคำตอบด้วยตนเอง มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงผลักดันให้เกิดพฤติกรรมสำรวจ สภาพแวดล้อมและเกิดการเรียนรู้ขึ้น วิธีการที่ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการค้นพบความรู้ขึ้นอยู่กับ พัฒนาการของผู้เรียนขั้นพัฒนาการที่บรูนเนอร์เสนอมี 3 ขั้น คือ ๑. เอ็นแอคทีป (Enactive Mode) เป็นวิธีที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมโดยการสัมผัสจับ ต้องด้วยมือหรืออวัยวะของร่างกาย
๒. ไอคอนนิค (Iconic Mode) เป็นวิธีที่ผู้เรียนสร้างจินตนาการ หรือสร้างมโนภาพ(Imagery) ขึ้น ในใจได้โดยใช้รูปภาพแทนของจริงโดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสของจริง ๓. ซิมโบลิค (Symbolic Mode) เป็นวิธีที่ผู้เรียนใช้สัญลักษณ์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ สามารถ เข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม หรือความคิดรวบยอดที่ซับซ้อน จึงสามารถที่จะสร้างสมมติฐาน และ พิสูจน์สมมติฐานได้ ๕) ครูวีระพงษ์ เสนอแนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) (ส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน : 2553) เป็นทฤษฎีที่เชื่อกันว่าผู้เรียนทุกคนมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างมาแล้วไม่มากก็น้อย ก่อนที่ครูจะจัดการเรียนการสอนให้เน้นว่าการเรียนเกิดขึ้น ด้วยตัวของผู้เรียนเอง และการเรียนรู้เรื่องใหม่จะมีพื้นฐานมาจากความรู้เดิม ดังนั้น ประสบการณ์เดิมของ ผู้เรียนจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง กระบวนการเรียนรู้(process of larning) ที่แท้จริง ของผู้เรียนไม่ได้เกิดจากการบอกเล่าของครูหรือผู้เรียนเพียงแต่จดจำแนวคิดต่างๆ ที่มีผู้บอกให้เท่านั้น แต่ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามทฤษฎีการสร้างเสริมความรู้เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนต้องสืบคัน เสาะหาสำรวจ ตรวจสอบ และค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ จนทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจและเกิดการรับรู้ความรู้นั้นอย่างมี ความหมายจึงจะสามารถสร้างเป็นองค์ความของผู้เรียนเอง และเก็บเป็นข้อมูลไว้ในสมองได้อย่างยาวนาน สามารถนำมาใช้ได้เมื่อมีสถานการณ์ใดๆ มาเผชิญหน้า ดังนั้นการที่ผู้เรียนจะสร้างองค์ความรู้ได้ ต้องผ่าน กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการสืบเสาะหาความรู้(inquiry process) ๖) ครูวิไลรัตน์ เสนอแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Learning by doing ) ของ John Dewey (ประทุม อังกูรโรหิต : 2543) การศึกษาตามทัศนะของจอห์น ดิวอี้คือ ความเจริญงอกงามทั้ง ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริง การจัด กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนรู้ในแบบ Learning by doing ผู้เรียนจะเป็น ศูนย์กลางของการเรียนรู้ แนวคิดนี้จะจัดการสอนแบบโครงการ (Project-based learning) เป็นการสอนที่ ให้ผู้เรียนได้เรียนจากการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนจากประสบการณ์ตรง ผู้เรียนได้ทดลองทำปฏิบัติ เสาะหา ข้อมูล จัดระเบียบข้อมูล พิจารณาหาข้อสรุป ค้นคว้าหาวิธีการ กระบวนการด้วยตนเอง หรือร่วมกันเป็น กลุ่ม เน้นให้ผู้เรียนมีอิสระในการศึกษาหาความรู้ตามหลักประชาธิปไตยให้ผู้เรียนได้รู้จักการทำงานร่วมกับ ผู้อื่นให้ได้ค้นคว้าหาข้อมูลความรู้จากแหล่งต่าง ๆ มิใช่เฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น ทำให้ผู้เรียนเกิดนิสัย การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองได้ด้วยความมั่นใจ ผลการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีประสบการณ์ของ จอห์น ดิวอี้ ดังนี้ ๑. ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานโดยผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย และสื่อที่เร้า ความสนใจ ๒. ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจ ตามความถนัดและศักยภาพด้วยการศึกษา ค้นคว้า ฝึกปฏิบัติฝึก ทักษะจนถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองทำให้เกิดความเชื่อมั่นเป็นแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ๓. กิจกรรมกลุ่มช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ เกิดกระบวนการทำงาน เช่น มีการวาง แผนการทำงาน มีความรับผิดชอบ เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีวินัยในตนเอง มีพฤติกรรมที่เป็น ประชาธิปไตยเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ผู้เรียนที่เรียนรู้ช้าจะเรียนรู้ อย่างมีความสุข ได้รับกำลังใจและได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนทำให้เกิดความมั่นใจ ผู้เรียนที่ เรียนดีจะได้แสดงความสามารถของตนเอง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และแบ่งปันสิ่งที่ดีให้แก่กัน ๔. ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดจากการร่วมกิจกรรมและการค้นหาคำตอบจากประเด็นคำถาม สามารถ ค้นหาคำตอบและวิธีการได้ด้วยตนเองสามารถแสดงออกได้ชัดเจนมีเหตุผล
๕. ทุกขั้นตอนการจัดกิจกรรม จะสอดแทรกคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อให้ผู้เรียนได้ซึมซับสิ่งที่ดีงาม ไว้ในตนเองอยู่ตลอดเวลา ๖. คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนรู้และการปฏิบัติงาน โดยให้แต่ละคนเรียนรู้เต็ม ตามศักยภาพของตน ไม่นำผลงานของผู้เรียนมาเปรียบเทียบกัน มุ่งให้ผู้เรียนแข่งขันกับตนเองและ ไม่เล็งผลเลิศจนเกินไป ๗. ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน คือ ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข เกิดการพัฒนารอบด้าน มีอิสระที่จะเลือก วิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเอง และนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่าง เหมาะสม ๔. สมาชิกร่วมกันออกแบบกิจกรรมในการแก้ปัญหา สมาชิกร่วมกันนำรูปแบบการสอน 5E Plus IP เป็นการสร้างแรงจูงใจในการเรียนโดยการใช้ชุด การสอน มาพัฒนาเป็นกิจกรรมที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำ เพราะขาดความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E เพราะจะ นำพาผู้เรียนเข้าร่วมการสำรวจ อธิบายอย่างละเอียดและประเมินผล และสร้างชุดการสอนขึ้นมา เพื่อให้ สามารถเชื่อมโยงกับกลยุทธ์การสอนที่แตกต่างกันได้ ช่วยให้ครูวิทยาศาสตร์สามารถอำนวยการสอนและ สนับสนุนผู้เรียนในการดำเนินกิจกรรมได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับรูปแบบการสอนแบบดั้งเดิม การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E จะให้ประโยชน์มากกว่า เกี่ยวกับความสามารถของผู้เรียนในการ เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยผู้สอนควรลดบทบาทในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนในลักษณะการบรรยาย ลง และเพิ่มบทบาทในการกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการจัดเตรียม สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเรียนรู้ ๕. ผลที่ได้จากการจัดกิจกรรม ประธานกลุ่มมอบหมายให้ครูร่วมเรียนรู้ไปศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาจากงานวิจัย หรือ รูปแบบที่มีผู้พัฒนาแล้ว เพื่อนำมาร่วมประชุมครั้งต่อไป และนำผลการประชุมไปบันทึกใน PPR ของตนเอง เพื่อเก็บเป็นหลักฐานในการรายงานต่อไป เลิกประชุมเวลา 1๖.3๐ น.
ภาพ/ร่องรอย/หลักฐานประกอบ PLC ครั้งที่ ๓ ( บัตรภาพ/ใบงาน/ชิ้นงาน/ภาพถ่ายประกอบ ) ภาพการจัดกิจกรรม PLC ของกลุ่ม “Active Learning Science” ครั้งที่ ๓ การออกแบบแนวทางแก้ไขปัญหา สมาชิกในกลุ่มเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา หาทฤษฎีและกระบวนการต่าง ๆ มาปรับใช้ โดยใช้รูปแบบการสอน 5E Plus IP เป็นการสร้างแรงจูงใจในการเรียนโดยการใช้ชุดการสอน ในการออกแบบกิจกรรมในการแก้ไขปัญหาผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความกระตือรือร้นในการเรียน โดยดำเนินการในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖6 เวลา 15.30 – ๑๖.3๐ น. ณ ใต้อาคาร ๔ (ตึกส้ม)
ขอรับรองว่าข้อมูลดังกล่าวข้างต้นเป็นจริงทุกประการ ลงชื่อ.................................................... (นายเดช จงรักพงศ์เผ่า) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ลงชื่อ .............................................. ผู้บันทึก (นางสาวเมทินี ยันดี) เลขานุการกลุ่ม ผู้รับรอง ลงชื่อ.................................................... (นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล) ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ
บันทึกกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) -------------------------- ชื่อกลุ่ม Active Learning Science ครั้งที่ ๔ การเลือกรูปแบบกระบวนการ/นวัตกรรม วัน เดือน ปี ที่ PLC เวลาที่เริ่ม – สิ้นสุด จำนวน ชม : นาที สถานที่ ๑ มิ.ย. ๒๕๖๖ ๑๕.๓๐ น. - ๑๖.๓๐ น. ๑ ชม ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ จำนวนครูที่เข้าร่วมกิจกรรม ดังนี้ ชื่อ-สกุล บทบาทหน้าที่ ลายมือชื่อ ๑. นายเดช จงรักพงศ์เผ่า ผู้อำนวยการสถานศึกษา (Administrator) ๒. นายนที ศรีแย้ม ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ๓. นางวีรยา ดิษเหมือน ครูพี่เลี้ยง (Mentor) ๔. นางวรัญญา แสงน้ำ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๕. นายศิโรรัตน์ ทองจำรูญ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๖. นางสาวเมทินี ยันดี ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๗. นางสาวขวัญฤดี หนูแก้ว ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๘. นายวีระพงษ์ ใจทัด ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๙. นางสาววิไลรัตน์ จิตธรรม ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) กิจกรรมครั้งนี้อยู่ความสอดคล้องกับการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (Lesson study) ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) ขั้นที่ ๒ ปฏิบัติและสังเกตการเรียนรู้ (Do & See) ขั้นที่ ๓ สะท้อนความคิดและปรับปรุงใหม่ (Reflect & Redesign) PLC 07/4
๑. งาน/กิจกรรม การเลือกรูปแบบกระบวนการ/นวัตกรรม/ชื่อรูปแบบที่กลุ่มเลือก ๒. ประเด็นปัญหา / สิ่งที่ต้องการพัฒนา ปัญหาผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ขาดทักษะการวัด ชั่ง ตวง ใช้อุปกรณ์การทดลองไม่เป็น ไม่คล่องแคล่ว ขาดความสนใจและ ความกระตือรือร้นในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ๓. สมาชิกในกลุ่มร่วมกันจัดทำแผนกิจกรรม จากการประชุมกลุ่มในกิจกรรม PLC ในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้หัวข้อการพัฒนา คือการพัฒนาผู้เรียน ตามรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ด้วยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) มีรายละเอียดดังต่อไปนี้จัดการเรียนการสอนด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) โดย จัดทำพัฒนาเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ (๕E) มีชุดการสอน เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาผู้เรียนมีผลการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์ต่ำ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็น กระบวนการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ ที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การระดมสมอง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ การทำกรณีศึกษา เป็นต้น โดยกิจกรรมที่นำมาใช้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ การสื่อสาร/นำเสนอ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเหมาะสม บทบาทของผู้เรียน นอกจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอน และผู้เรียนกับผู้เรียน ด้วยกันด้วย ผู้สอนควรลดบทบาทในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนในลักษณะการบรรยายลง และเพิ่ม บทบาทในการกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการจัดเตรียม สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ โดยเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้เข้ากับ ประสบการณ์หรือความรู้เดิม เป็นความรู้หรือแนวคิดของผู้เรียนเอง เรียกรูปแบบการสอนนี้ว่า Inquiry cycle หรือ ๕Es มีขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ ๑ การสร้างความสนใจ (Engagement) ขั้นนี้เป็นของการนำเข้าสู่บทเรียนหรือนำเข้าสู่เรื่องที่อยู่ในความสนใจ ที่เกิดจากข้อสงสัย โดย ครูผู้สอนจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจใคร่รู้ เพื่อนำเข้าสู่บทเรียนหรือเนื้อหาใหม่ๆ ซึ่งความสนใจ ใคร่รู้นั้น อาจมาจากความสนใจของนักเรียนเอง การอภิปรายกลุ่ม หรือจากการนำเสนอของครูผู้สอนก็ได้ แต่จะต้องเป็นเรื่องที่ผู้เรียนยอมรับโดยไม่มีการบังคับ หลังจากนั้น เมื่อได้ข้อคำถามที่น่าสนใจแล้ว ครูผู้สอนต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมกัน กำหนดขอบเขต และแจกแจงรายละเอียดของเรื่องที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยใช้การรับรู้จากประสบการณ์ เดิม รวมกับการศึกษาเพิ่มเติมจากจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในประเด็นที่จะศึกษา และมีแนวทางในการสำรวจตรวจสอบมากยิ่งขึ้น ขั้นที่ ๒ การสํารวจและค้นหา (Exploration) เมื่อทําความเข้าใจในประเด็นหรือคําถามที่สนใจศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ครูผู้สอนจะเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนดำเนินการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เช่น การเรียนรู้แบบความร่วมมือ การสำรวจ การสืบค้นจาก
เอกสารต่าง ๆ การทดลอง และการจำลองสถานการณ์ เป็นต้น เพื่อตรวจสอบสมมุติฐานและให้ได้ข้อมูล อย่างเพียงพอที่จะนำไปใช้ในการอธิบายและสรุป ขั้นที่ ๓ การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอแล้ว ครูผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียนนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และแปลผล เพื่อสรุปผลและนําเสนอผลที่ได้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้ในรูปต่าง ๆ เช่น การบรรยายสรุป การสร้างแบบจําลอง การวาดภาพ หรือ การสรุปเป็นตารางหรือกราฟ ซึ่งผลสรุปที่ ได้นั้น จะต้องสามารถอ้างอิงความรู้ มีความสมเหตุสมผล ขั้นที่ ๔ การขยายความรู้ (Elaboration) เป็นขั้นของการนําความรู้ที่ได้จากขั้นก่อนหน้านี้ มาเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือใช้อธิบายถึง สถานการณ์หรือเหตุการณ์เกี่ยวข้อง โดยครูผู้สอนอาจจัดกิจกรรมและให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ๆ เช่น ตั้งคำถามจากการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้เข้ากับประสบการณ์หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น ขั้นที่ ๕ การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นของการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ เช่น การทำข้อสอบ การทำรายงานสรุป หรือการให้ผู้เรียนประเมินตัวเอง เป็นต้น เพื่อตรวจสอบผู้เรียนว่ามีความรู้ที่ถูกต้องมากน้อยเพียงไร จาก การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ดังกล่าว ครูผู้สอนจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียน วิเคราะห์ วิจารณ์และคิด พิจารณาความรู้ที่ได้ให้รอบคอบ โดยมีครูผู้สอนช่วยตรวจสอบและปรับปรุงความรู้ที่ผู้เรียนได้รับนั้น ให้ ถูกต้องเหมาะสมและสอดคล้องกับความรู้เดิมของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น และนำผู้เรียนไปสู่คำถามที่ต้องการการ สำรวจตรวจสอบต่อไปอย่างต่อเนื่อง การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ ๕ ขั้นตอนนั้น นับว่าเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในการจัดการ เรียนการสอน STEM เพราะจะนำพาผู้เรียนเข้าร่วมการสำรวจ อธิบายอย่างละเอียดและประเมินผล เพื่อให้ สามารถเชื่อมโยงกับกลยุทธ์การสอนที่แตกต่างกันได้ ช่วยให้ครูวิทยาศาสตร์สามารถอำนวยการสอนและ สนับสนุนผู้เรียน ในการดำเนินกิจกรรมได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับรูปแบบการสอนแบบดั้งเดิม การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ ๕ ขั้นตอนจะให้ประโยชน์มากกว่าเกี่ยวกับความสามารถของผู้เรียนในการ เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ บทบาทของครูในการเรียนการสอนแบบ Inquiry Cycle (๕ Es) ขั้นตอนการเรียนการ สอน สิ่งที่ครูควรทำ สอดคล้องกับ ๕ Es ไม่สอดคล้องกับ ๕ Es ๑.การสร้างความสนใจ (Engage) ▪ สร้างความสนใจ ▪ สร้างความอยากรู้อยากเห็น ▪ ตั้งคำถามกระตุ้นให้ผู้เรียนคิด ▪ ดึงเอาคำตอบที่ยังไม่ครอบคลุมสิ่งที่เรียนรู้ หรือความคิดเกี่ยว กับความคิดรวบยอด หรือ เนื้อหาสาระ ▪ อธิบายความคิดรวบยอด ▪ ให้คำจำกัดความและคำตอบ ▪ สรุปประเด็นให้ ▪ จัดคำตอบให้เป็นหมวดหมู่ ▪ บรรยาย
๒.การสำรวจและค้นหา (Explore) ▪ ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันในการสำรวจ ตรวจสอบ ▪ สังเกตและฟังการโต้ตอบกันระหว่างผู้เรียน กับผู้เรียน ▪ ซักถามเพื่อนำไปสู่การสำรวจตรวจสอบของ ผู้เรียน ▪ ให้เวลาผู้เรียนในการคิดข้อสงสัยตลอดจน ปัญหาต่างๆ ▪ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียน ▪ เตรียมคำตอบไว้ให้ ▪ บอกหรืออธิบายวิธีการแก้ปัญหา ▪ จัดคำตอบให้เป็นหมวดหมู่ ▪ บอกผู้เรียนเมื่อผู้เรียนทำไม่ถูก ▪ ให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่ใช้ในการ แก้ปัญหา ▪ นำผู้เรียนแก้ปัญหาทีละขั้นตอน ๓.การอธิบาย (Explain) ▪ ส่งเสริมให้ผู้เรียนอธิบายความคิดรวบยอดหรือ แนวคิด หรือให้คำจำกัดความด้วยคำพูดของ ผู้เรียนเอง ▪ ให้ผู้เรียนแสดงหลักฐาน ให้เหตุผลและอธิบาย ให้กระจ่าง ▪ ให้ผู้เรียนอธิบาย ให้คำจำกัดความและชี้บอก ส่วนประกอบต่างๆ ในแผนภาพ ▪ ให้ผู้เรียนใช้ประสบการณ์เดิมของตนเป็น พื้นฐานในการอธิบายความคิดรวบยอดหรือ แนวคิด ▪ ยอมรับคำอธิบายโดยไม่มีหลักฐาน หรือให้เหตุผลประกอบ ▪ ไม่สนใจคำอธิบายของผู้เรียน ▪ แนะนำผู้เรียนโดยปราศจาก การเชื่อมโยงแนวคิดหรือความคิด รวบยอดหรือทักษะ ๔. การขยายความรู้ (Elaborate) ▪ คาดหวังให้ผู้เรียนได้ใช้ประโยชน์จากการ ชี้บอกส่วนประกอบต่างๆในแผนภาพคำจำกัด ความและการอธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว ▪ ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ไป ประยุกต์ใช้หรือขยายความรู้และทักษะใน สถานการณ์ใหม่ ▪ ให้ผู้เรียนอธิบายอย่างหลากหลาย ▪ ให้ผู้เรียนอ้างอิงข้อมูลที่มีอยู่พร้อมทั้งแสดง หลักฐานและถามคำถามผู้เรียนว่าได้เรียนรู้ อะไรบ้าง หรือได้แนวคิดอะไร (ที่จะนำกลวิธี จากการสำรวจตรวจสอบครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้) ▪ ให้คำตอบที่ชัดเจน ▪ บอกผู้เรียนเมื่อผู้เรียนทำไม่ถูก ▪ ใช้เวลามากในการบรรยาย ▪ นำผู้เรียนแก้ปัญหาทีละขั้นตอน ▪ อธิบายวิธีการแก้ปัญหา ๕. การประเมินผล (Evaluate) ▪ สังเกตผู้เรียนในการนำความคิดรวบยอดและ ทักษะใหม่ไปประยุกต์ใช้ ▪ ประเมินความรู้และทักษะของผู้เรียน ▪ หาหลักฐานที่แสดงว่าผู้เรียนได้เปลี่ยน ความคิด หรือพฤติกรรม ▪ ให้ผู้เรียนประเมินตนเองเกี่ยว กับการเรียนรู้ และทักษะกระบวนการกลุ่ม ▪ ถามคำถามปลายเปิด เช่น ทำไมผู้เรียนจึงคิด เช่นนั้น มีหลักฐานอะไรผู้เรียนเรียนรู้อะไร เกี่ยว กับสิ่งนั้น และจะอธิบายสิ่งนั้นอย่างไร ▪ ทดสอบคำนิยามศัพท์ และข้อเท็จจริง ▪ ให้แนวคิดหรือความคิดรอบยอดใหม่ ▪ ทำให้คลุมเครือ ▪ ส่งเสริมการอภิปรายที่ไม่เชื่อมโยง ความคิดรวบยอดหรือทักษะ
บทบาทของนักเรียนในการเรียนการสอนแบบ Inquiry Cycle (๕ Es) ขั้นตอนการเรียนการ สอน สิ่งที่นักเรียนควรทำ สอดคล้องกับ ๕ Es ไม่สอดคล้องกับ ๕ Es ๑.การสร้างความสนใจ (Engage) ▪ ถามคำถาม เช่น ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นฉันได้ เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยว กับสิ่งนี้ ▪ แสดงความสนใจ ▪ ถามหาคำตอบที่ถูก ▪ ตอบเฉพาะคำตอบที่ถูก ▪ ยืนยันคำตอบหรือคำอธิบาย ▪ มีวิธีการแก้ปัญหาเพียงวิธีเดียว ๒.การสำรวจและค้นหา (Explore) ▪ คิดอย่างอิสระแต่อยู่ในขอบเขตของกิจกรรม ▪ ทดสอบการคาดคะเนและสมมติฐาน ▪ คาดคะเนและตั้งสมมติฐานใหม่ ▪ พยายามหาทางเลือกในการแก้ ปัญหาและ อภิปรายทางเลือกเหล่านั้นกับคนอื่น ▪ บันทึกการสังเกตและให้ข้อคิด เห็น ▪ ลงข้อสรุป ▪ ให้คนอื่นคิดและสำรวจตรวจสอบ ▪ ทำงานเพียงลำพังโดยมีปฏิสัมพันธ์กับ ผู้อื่นน้อยมาก ▪ ปฏิบัติอย่างสับสนไม่มีเป้าหมายที่ ชัดเจน ▪ เมื่อแก้ปัญหาได้แล้วก็ไม่คิดต่อ ๓. การอธิบาย (Explain) ▪ อธิบายการแก้ปัญหาหรือคำตอบที่ซับซ้อน ▪ ฟังคำอธิบายของคนอื่นอย่างคิดวิเคราะห์ ▪ ถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นได้อธิบาย ▪ ฟังและพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ครู อธิบาย ▪ อ้างอิงกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติมาแล้ว ▪ ใช้ข้อมูลที่ได้จากการบันทึก/สังเกตในการ อธิบาย ▪ อธิบายโดยไม่มีการเชื่อมโยงกับ ประสบการณ์เดิม ▪ ยกตัวอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ▪ ยอมรับคำอธิบายโดยไม่ให้เหตุผล ▪ ไม่สนใจคำอธิบายของคนอื่นซึ่งมี เหตุผลพอที่จะเชื่อถือได้ ๔. การขยายความรู้ (Elaborate) ▪ นำการชี้บอกส่วนประกอบต่างๆ ในแผนภาพ คำจำกัดความ คำ อธิบายและทักษะ ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ที่คล้ายกับ สถานการณ์เดิม ▪ ใช้ข้อมูลเดิมในการถามคำถามกำหนด จุดประสงค์ในการแก้ ปัญหาตัดสินใจ และ ออกแบบการทดลอง ▪ ลงข้อสรุปอย่างสมเหตุสมผลจากหลักฐานที่ ปรากฏ ▪ บันทึกการสังเกตและอธิบาย ▪ ตรวจสอบความเข้าใจกับเพื่อน ๆ ▪ ปฏิบัติโดยไม่มีเป้าหมายชัดเจน ▪ ไม่สนใจข้อมูลหรือหลักฐานที่มีอยู่ ▪ อธิบายเหมือนกับที่ครูจัดเตรียมไว้หรือ กำหนดให้ ๕. การประเมินผล (Evaluate) ▪ ตอบคำถามปลายเปิด โดยใช้การสังเกต หลักฐานและคำอธิบายที่ยอมรับมาแล้ว ▪ แสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ความคิดรวบยอดหรือทักษะ ▪ ประเมินความก้าวหน้าด้วยตนเอง ▪ ถามคำถามเพื่อให้มีการตรวจสอบต่อไป ▪ ลงข้อสรุปโดยปราศจากหลักฐานหรือ คำอธิบายที่เป็นที่ยอมรับมาแล้ว ▪ ตอบแต่เพียงว่าถูกหรือผิดและอธิบาย ให้คำจำกัดความ/ความจำ ▪ ไม่สามารถอธิบายเพื่อแสดงความ เข้าใจด้วยคำพูดของตนเอง
ชุดการสอน ชุดการสอน คือ การนำเอาระบบสื่อประสม (Multi-media) ที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาและ ประสบการณ์ของแต่ละหน่วยมาช่วยในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ ให้เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ชุดการสอนนิยมจัดไว้ในกล่อง หรือซองเป็นหมวด ๆ ภายในชุดการสอน ประกอบด้วย คู่มือการใช้ชุดการสอน สื่อการสอนที่สอดคล้องกับเนื้อหา และประสบการณ์ อาทิ เช่น รูปภาพ สไลด์ เทป แผ่นคำบรรยาย ฯลฯ แนวคิด หลักการ และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับชุดการสอน ในการนำชุดการสอนมาใช้นั้น อาศัย แนวคิด หลักการ ตลอดจนทฤษฎีต่าง ๆ มี5 ประการ คือ 1. แนวคิดตามหลักจิตวิทยา เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยจัดให้ผู้เรียนมีอิสระในการ เรียนรู้ตามความสามารถ และอัตราการเรียนรู้ของแต่ละคน 2. แนวคิดที่จะเปลี่ยนการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลางมาเป็นแบบให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเอง โดยใช้ สื่อประสมที่ตรงตามเนื้อหา โดยมีครูเป็นผู้แนะนำ 3. แนวคิดที่จะจัดระบบการผลิต การใช้สื่อการสอนในรูปแบบของสื่อประสม โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อ เปลี่ยนจากการใช้สื่อช่วยครูมาเป็นใช้สื่อเพื่อช่วยนักเรียนในการเรียนรู้ 4. แนวคิดที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน นักเรียนกับนักเรียน และนักเรียนกับ สภาพแวดล้อม โดยนำสื่อการสอนมาใช้ร่วมกับกระบวนการกลุ่ม ในการประกอบกิจกรรมการเรียนการสอน 5. แนวคิดที่ยึดหลักจิตวิทยาการเรียนรู้มาจัดสภาพการเรียนการสอน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยจัดสภาพการณ์ให้ผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง และมีผลย้อนกลับทันทีว่าตอบ ถูกหรือตอบผิด มีการเสริมแรงทำให้ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิในและต้องการที่จะเรียนต่อไป ได้เรียนรู้ ทีละ น้อย ๆ ตามลำดับขั้น ตามความสามารถและความสนใจของแต่ละคน ประเภทของชุดการสอน ชุดการสอนแบ่งตามลักษณะการใช้ได้3 ประเภท คือ 1. ชุดการสอนแบบบรรยาย หรือชุดการสอนสำหรับครู : เป็นชุดการสอนสำหรับใช้สอนผู้เรียน เป็นกลุ่มใหญ่ ภายในกล่องจะประกอบด้วยสื่อการสอนที่ใช้ประกอบการบรรยาย เพื่อเปลี่ยนบทบาทของครู ให้พูดน้อยลง มาเป็นผู้แนะนำ เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากยิ่งขึ้น ชุดการสอน แบบบรรยายนี้ จะมีเนื้อหาโดยจะแบ่งหัวข้อที่จะบรรยาย และประกอบกิจกรรมตามลำดับขั้น ดังนั้น สื่อ การสอนที่ใช้ควรเป็นสื่อที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน หรือได้ยินกันอย่างทั่วถึง เช่น แผ่นภาพโปร่งใส สไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพยนตร์ แผนภูมิ แผนภาพ โทรทัศน์ เอกสารประกอบการบรรยาย และกิจกรรมกลุ่ม เพื่อให้ ผู้เรียนได้อภิปรายตามปัญหาและหัวข้อที่ครูกำหนดไว้ และชุดการสอนประเภทนี้ มักจะบรรจุในกล่องที่มี ขนาดพอเหมาะกับสื่อการสอน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเป็นวัสดุอุปกรณ์ที่ไม่สามารถบรรจุไว้ในกล่องได้ จะต้องกำหนดไว้ใน คู่มือครู ส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งที่ ครูผู้สอน จะต้องเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนทำการสอน 2. ชุดการสอนสำหรับกิจกรรมกลุ่ม หรือ ชุดการสอนที่ใช้กับศูนย์เรียน : เป็นชุดการสอนแบบ กิจกรรมที่สร้างขึ้นโดยอาศัยระบบการผลิตสื่อการสอนตามหน่วยและหัวเรื่องโดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ ร่วมกันประกอบกิจกรรมเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 5-7 คน ในห้องเรียนแบบศูนย์การเรียน ชุดการสอน แบบกิจกรรมกลุ่มนี้ ประกอบด้วยชุดย่อย ๆ ตามจำนวนศูนย์ในแต่ละหน่วย ในแต่ละศูนย์จะจัดสื่อการสอน ไว้ในรูปของสื่อประสม อาจเป็นสื่อรายบุคคล หรือสื่อสำหรับกลุ่มผู้เรียนทั้งศูนย์ใช้ร่วมกัน ผู้เรียนที่เรียนได้ ใช้ชุดการสอนแบบกิจกรรมกลุ่มจะต้องการความช่วยเหลือจากครูในระยะเริ่มเรียนเท่านั้น หลังจากเคยชิน
ต่อวิธีการเรียนแบบนี้แล้วผู้เรียนจะสามารถช่วยเหลือกันเองภายในกลุ่ม ระหว่างการประกอบกิจกรรม หาก มีปัญหาสามารถถามครูได้ตลอดเวลา 3. ชุดการสอนรายบุคคล หรือชุดการเรียน : เป็นชุดการสอนที่มีการจัดระบบเพื่อให้ผู้เรียน สามารถเรียนด้วยตนเองตามลำดับขั้นที่ระบุไว้โดยผู้เรียนสามารถเรียนด้วยตนเอง ตามความสนใจของแต่ ละคน และตามอัตราการเรียนรู้ของตนเอง ผู้เรียนสามารถประเมินผลการเรียนด้วยตนเอง ชุดการสอน ประเภทนี้ จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า หรือศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมด้วยตนเอง ผู้สอนจะเป็นผู้ที่ให้ คำแนะนำ และช่วยเหลือทันที หรือผู้เรียนอาจนำชุดการสอนประเภทนี้ไปศึกษาเองที่บ้านได้ ซึ่งจะเป็นการ ส่งเสริม และฝึกฝน ให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง องค์ประกอบของชุดการสอน ชุดการสอนที่สร้างขึ้นมีหลายลักษณะ ขึ้นกับวัตถุประสงค์การใช้ เช่น ชุดการสอนแบบกิจกรรม กลุ่ม ชุดการสอนแบบบรรยาย ซึ่งใช้เป็นกลุ่มใหญ่ และชุดการสอนรายบุคคล หรือชุดการเรียน ชุดการ สอนเหล่านี้ จะมีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน ตามลักษณะการใช้ ซึ่งอาจมีส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้ 1. คู่มือและแบบปฏิบัติสำหรับครูผู้ใช้ชุดการสอนและผู้เรียนที่ต้องเรียนจากชุดการสอน 2. คำสั่งหรือการมอบหมายงานเพื่อกำหนดแนวทางของการเรียนให้นักเรียน 3. เนื้อหาสาระ ซึ่งบรรจุอยู่ในรูปของสื่อประสม และกิจกรรมการเรียนการสอน ทั้งแบบกลุ่มและ รายบุคคล ซึ่งกำหนดไว้ตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 4. การประเมินผล เป็นการประเมินผลของ กระบวนการ และผลของการเรียนรู้ ในการ ประเมินผลกระบวนการ ได้แก่ แบบฝึกหัด รายงาน ส่วนผลการเรียนรู้ได้แก่ แบบทดสอบ ซึ่งจะบรรจุอยู่ใน กล่อง โดยจัดเป็นหมวดหมู่สะดวกต่อการใช้ ขั้นตอนการผลิตชุดการสอน ในการผลิตชุดการสอนนั้น สามารถแบ่งเป็นขั้นตอนได้ดังนี้ 1. กำหนดหมวดหมู่ เนื้อหา และประสบการณ์อาจกำหนดเป็น หมวดวิชา หรือ สหวิทยาการ 2. กำหนดหน่วยการสอน โดยการแบ่งเนื้อหาวิชาออกเป็น หน่วยการสอน เพื่อให้ผู้สอนสามารถ ถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียนได้ ภายใน 1 สัปดาห์ หรือให้เสร็จสมบูรณ์ได้ภายในการสอน 1 ครั้ง อาจ เป็น 1-2 ชั่วโมง 3. กำหนดหัวเรื่อง ผู้สอนควรกำหนด หัวเรื่องต่าง ๆ ที่จะสอนว่า ในการสอนแต่ละครั้งจะจัด ประสบการณ์ใดบ้างให้แก่ผู้เรียน 4. กำหนดมโนมติ และหลักการ ในการกำหนด มโนมติ และหลักการนี้ จะต้องสอดคล้องกับ หน่วยการสอนและหัวเรื่อง โดยสรุปรวม แนวคิด สาระ และหลักเกณฑ์สำคัญไว้เพื่อเป็นแนวทางในการ นำเสนอเนื้อหาที่จะสอนให้สอดคล้องกัน 5. กำหนดวัตถุประสงค์ในการผลิตชุดการสอนนั้นควรกำหนดวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับหัว เรื่องโดยเขียนเป็นวัตถุประสงค์ทั่วก่อน แล้วจึงเขียนเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 6. กำหนดกิจกรรมการเรียน ในการกำหนดกิจกรรมการเรียน ควรจะพิจารณาให้สอด-คล้องกับ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เพราะกิจกรรมการเรียนที่ผู้เรียนจะต้องประกอบกิจกรรมนั้น จะต้องสามารถทำ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ อันเป็นแนวทางในการ เลือก ผลิต และใช้สื่อ การสอน กิจกรรมทุกอย่างที่ผู้เรียนปฏิบัติ เช่น ตอบคำถาม ปฏิบัติกิจกรรมตามคำสั่ง เล่นเกม ฯลฯ 7. กำหนดแบบประเมินผล ควรจะต้องประเมินผลให้ตรงตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนด ไว้ โดยใช้แบบทดสอบ และใช้วิธีการพิจารณาแบบอิงเกณฑ์ เพื่อผู้สอนจะได้ทราบว่า หลังจากผ่านกิจกรรม
การเรียนการสอนแล้ว ผู้เรียนได้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ 8. เลือกและผลิตสื่อการสอน ในการผลิตชุดการสอนนี้ วัสดุอุปกรณ์ รวมทั้งวิธีการต่าง ๆ ที่ครูใช้ จัดว่าเป็นสื่อการสอนทั้งสิ้น เมื่อผลิตสื่อแต่ละหัวเรื่องแล้ว ควรจัดสื่อเหล่านั้นไว้เป็นหมวดหมู่ และจัดไว้ใน ซองหรือกล่องที่เตรียมไว้ก่อนนำไปทดสอบหาประสิทธิภาพ 9. ทดสอบประสิทธิภาพชุดการสอน เมื่อสร้างชุดการสอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรนำชุดการสอน ไปทดสอบหาประสิทธิภาพ โดยผู้สร้างควรกำหนดเกณฑ์ตามหลักการที่กล่าวว่า การเรียนรู้เป็น กระบวนการ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรม 10. การใช้ชุดการสอน หลังจากที่สร้างชุดการสอนและนำไปหาค่าประสิทธิภาพ ปรับปรุง แก้ไข ได้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ผู้สอนก็สามารถนำไปสอนผู้เรียนได้ตามวัตถุประสงค์ของการใช้ เช่น ชุดการสอนแบบ บรรยาย ชุดการสอนแบบรายบุคคล และชุดการสอนสำหรับกิจกรรมกลุ่มและสามารถใช้ได้ทุกระดับ เช่น อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา โดยมีขั้นตอนการใช้ดังนี้ 10.1 ขั้นทดสอบก่อนเรียน ควรจะมีการตรวจสอบความรู้พื้นฐาน ในเรื่องที่จะ เรียนก่อน 10.2 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ในขั้นนี้ผู้สอนควรนำเข้าสู่บทเรียนเพื่อเป็นการเตรียมตัวผู้เรียน ก่อนเรียน อีกทั้งเป็นการแนะนำวิธีการเรียนโดยใช้ชุดการสอนในกรณีที่ผู้เรียนยังไม่เคยเรียนโดยวิธีนี้ จะได้ ทราบขั้นตอนการเรียน การปฏิบัติตนในกระบวนการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างถูกขั้นตอนจะลด ปัญหาในการเรียน ในกรณีที่ใช้ชุดการสอนแบบกิจกรรมกลุ่ม ควรแบ่งกลุ่มผู้เรียนและอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ในการเรียนโดยใช้ชุดการสอน 10.3 ขั้นประกอบกิจกรรม ในการเรียนการสอนโดยใช้ชุดการสอน ผู้สอนควรเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี แต่คำสั่งที่ให้ผู้เรียนปฏิบัติ ตามนั้นควรมีความชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย โดยเฉพาะชุดการสอนแบบรายบุคคล และแบบกิจกรรมกลุ่ม ภาษาที่ใช้ในการอธิบายควรเข้าใจง่ายและชัดเจนผู้สอนควร ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำเมื่อผู้เรียนเกิดปัญหา 10.4 ขั้นสรุปและทดสอบหลังเรียน เมื่อผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมที่กำหนดไว้เรียบร้อย แล้ว ผู้สอนควรสรุปมโนมติต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้เรียนแล้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ทดสอบหลังเรียน เพื่อให้ทราบว่าหลังจากที่ผู้เรียนเรียนแล้วเกิดการเรียนรู้ในเรื่องหรือไม่ ถ้ายังไม่เข้าใจ ผู้สอนควรอธิบาย หรือให้ประกอบกิจกรรมอื่น ที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังทำให้ทราบ ความก้าวหน้าทางการเรียน ระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียน คุณค่าของชุดการสอน 1. ช่วยเร้าความสนใจ ผู้เรียนที่เรียนโดยใช้ชุดการสอน จะประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็น สิ่งที่ทำให้ผู้เรียนสนใจต่อการเรียนตลอดเวลา 2. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี จากการที่ผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง สามารถเรียน ได้ตามความสนใจ และตามอัตราการเรียนรู้ของตนเอง จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี 3. ส่งเสริมและฝึกหัดให้ผู้เรียน รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และมีความรับผิดชอบตนเอง และสังคม 4. ช่วยให้การเรียนเป็นอิสระ จากบุคลิกภาพของผู้สอน เนื่องจากการเรียนโดยใช้ชุดการสอน ผู้สอนจะเปลี่ยนบทบาทจากผู้บรรยายตลอดเวลามาเป็นผู้แนะนำ ช่วยเหลือ และใช้ชุดการสอนทำหน้าที่ ถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ แทนครู ดังนั้นผู้เรียนสามารถได้อย่างประสิทธิภาพจากชุดการสอน ถึงแม้ว่าผู้สอน จะเป็นผู้ที่สอนไม่เก่ง 5. แก้ปัญหาเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะชุดการสอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามความสามารถ ความถนัด ความสนใจ และตามโอกาสที่เอื้ออำนวยให้แก่ผู้เรียนซึ่งมีความแตกต่างกัน
6. สร้างความพร้อม และความมั่นใจให้แก่ครู เพราะในการผลิตชุดการสอนนั้นได้จัดระบบการใช้ สื่อการสอน ทั้งการผลิตสื่อการสอน กิจกรรม ตลอดจนข้อแนะนำการใช้สำหรับผู้สอน สามารถนำไปใช้ได้ ทันที 7. ส่งเสริมการเรียนแบบต่อเนื่อง หรือการศึกษาตลอดชีพ เพราะสามารถนำชุดการสอนไปใช้ใน การเรียนด้วยตนเองได้ทุกเวลาและสถานที่ 8. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ เพราะชุดการสอนได้ผลิตขึ้นโดยใช้วิธีระบบและกลุ่มผู้มี ความรู้ความสามารถ มีการทดลองใช้จนแน่ใจว่าใช้ได้ผลดี มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้แล้วจึงนำออก ใช้แพร่หลาย ๔. ประเด็น/ความรู้และข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ สรุปความรู้และข้อเสนอแนะที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ คือ การพัฒนาผู้เรียน ตามรูปแบบการสอนตามรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ด้วยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) เพื่อยกระดับผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของผู้เรียน โรงเรียน เทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ๕. ผลที่ได้จากการจัดกิจกรรม นำผลการประชุมไปบันทึกใน PPR และบันทึกการเสวนาของตนเอง เพื่อเก็บเป็นหลักฐานในการ รายงานต่อไป เลิกประชุมเวลา ๑๖.๓๐ น
ภาพ/ร่องรอย/หลักฐานประกอบ PLC ครั้งที่ ๔ (บัตรภาพ/ใบงาน/ชิ้นงาน/ภาพถ่ายประกอบ) ภาพการจัดกิจกรรม PLC ของกลุ่ม Active Learning Science ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) สรุปความรู้และข้อเสนอแนะที่ได้จากการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ คือ การพัฒนาผู้เรียนตามรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ด้วยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) เพื่อยกระดับผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของผู้เรียน โรงเรียน เทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ดำเนินการในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เวลา ๑๕.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. ณ ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)
ขอรับรองว่าข้อมูลดังกล่าวข้างต้นเป็นจริงทุกประการ ลงชื่อ.................................................... (นายเดช จงรักพงศ์เผ่า) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ลงชื่อ .............................................. ผู้บันทึก (นางสาวเมทินี ยันดี) เลขานุการกลุ่ม ผู้รับรอง ลงชื่อ.................................................... (นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล) ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ
บันทึกกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) -------------------------- ชื่อกลุ่ม Active Learning Science ครั้งที่ ๕ การออกแบบ แนวทางแก้ไขปัญหา วัน เดือน ปี ที่ PLC เวลาที่เริ่ม – สิ้นสุด จำนวน ชม : นาที สถานที่ ๖ มิ.ย. ๒๕๖๖ ๑๕.๓๐ น. - ๑๖.๓๐ น. ๑ ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ จำนวนครูที่เข้าร่วมกิจกรรม ดังนี้ ชื่อ-สกุล บทบาทหน้าที่ ลายมือชื่อ ๑. นายเดช จงรักพงศ์เผ่า ผู้อำนวยการสถานศึกษา (Administrator) ๒. นายนที ศรีแย้ม ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ๓. นางวีรยา ดิษเหมือน ครูพี่เลี้ยง (Mentor) ๔. นางวรัญญา แสงน้ำ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๕. นายศิโรรัตน์ ทอง จำรูญ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๖. นางสาวเมทินี ยันดี ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๗. นางสาวขวัญฤดี หนูแก้ว ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๘. นายวีระพงษ์ ใจทัด ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๙. นางสาววิไลรัตน์ จิต ธรรม ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) กิจกรรมครั้งนี้อยู่ความสอดคล้องกับการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (Lesson study) ☑ ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) ◻ ขั้นที่ ๒ ปฏิบัติและสังเกตการเรียนรู้ (Do & See) ◻ ขั้นที่ ๓ สะท้อนความคิดและปรับปรุงใหม่ (Reflect & Redesign) PLC 07/5
๑. งาน/กิจกรรม การนำสู่การปฏิบัติ การสะท้อนผล และ การวางแผนกิจกรรม ครั้งที่ ๕ ๒. ประเด็นปัญหา / สิ่งที่ต้องการพัฒนา ปัญหาผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ขาดทักษะการวัด ชั่ง ตวง ใช้อุปกรณ์การทดลองไม่เป็น ไม่คล่องแคล่ว ขาดความสนใจและ ความกระตือรือร้นในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ๓. ข้อเสนอแนะ/ความเห็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ ชื่อผู้เชี่ยวชาญ (Expert) นายนทีศรีแย้ม ตำแหน่งครู วิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ โรงเรียนเทศบาล 1 (ขจรเนติยุทธ) ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรูปแบบการสอน (Teaching model) การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดการสอนเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีการ เตรียมความพร้อมก่อนทำการสอน เช่น การศึกษาและทำความเข้าใจผู้เรียน การจัดเตรียมสภาพแวดล้อม วัสดุอุปกรณ์ และสื่อการเรียนรู้ต่างๆ มีการเสริมแรงเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนร่วมมือใน การพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ด้วยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) เพื่อยกระดับผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ ผู้เรียน โรงเรียนเทศบาล ๑(ขจรเนติยุทธ) อย่างเหมาะสม สรุปความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ผสานกับความเห็นของกลุ่ม รับรองรูปแบบการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (๕E) ด้วยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) เพื่อยกระดับผลทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของผู้เรียน โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) มีความเหมาะสม ซึ่งสามารถ พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ เพราะขาดความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้จริง กรอบแนวคิดเพื่อพัฒนานวัตกรรม ๑) ชื่อนวัตกรรม/กระบวนการ ชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) ๒) วัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของผู้เรียน ๓) ทฤษฎีการเรียนรู้/หลักการ/แนวคิดที่นำมาใช้ จากปัญหาที่สำคัญที่สุดของกลุ่มคือ“ปัญหาผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์” สมาชิกในกลุ่มจึงร่วมกัน กำหนดทิศทางและแนวทางการ แก้ปัญหาร่วมกันโดยใช้วิธีเดียวกัน ซึ่งสมาชิกในกลุ่มร่วมกันตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ปัญหา โดยการพัฒนา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ด้วยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) เพื่อยกระดับผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ ผู้เรียนโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาเป็นกิจกรรมที่ใช้ใน การแก้ปัญหาผู้เรียน จึงได้มีศึกษาทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง สมาชิกในกลุ่มร่วมกันเสนอแนะทฤษฏี/งานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ ๑. ครูวรัญญา เสนอแนวคิดทฤษฎีการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน (The 5 E’s of Inquiry-Based Learning) (นรรัชต์ ฝันเชียร : ๒๕๖๓) เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากทฤษฎีคอน สตรัคติวิสต์ เป็นรูปแบบของการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง ที่เน้นให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ โดย
การแสวงหาและศึกษาค้นคว้า เพื่อสร้างองค์ความรู้ของตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยศาสตร์ ซึ่งมี ครูผู้สอนคอยอำนวยการและสนับสนุน ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาได้ตัวเอง และสามารถนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นําความรู้ หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจศึกษา ค้นคว้า และลงมือ ปฏิบัติ ด้วยตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่างเป็นอิสระ ทำให้ การเรียนแบบสืบ เสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนนี้ นับได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นรูปแบบ การเรียนที่พานักเรียนไปสู่การพิจารณาข้อโต้แย้งและข้อสงสัยต่างๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดประเด็นคําถามที่ ต้องการสํารวจตรวจสอบ และจะเป็นกระบวนการเช่นนี้ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จนเรียกได้ว่าเป็น วัฎจักรการ สืบเสาะ (Inquiry cycle) ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีทักษะในการหาความรู้ตามหลัก วิทยาศาสตร์ ซึ่งการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ทั้ง 5 ขั้นตอนนั้น มีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้ ขั้นที่ ๑ การสร้างความสนใจ (Engagement) ขั้นนี้เป็นของการนำเข้าสู่บทเรียนหรือนำเข้าสู่เรื่องที่อยู่ในความสนใจที่เกิดจากข้อสงสัย โดย ครูผู้สอนจะต้องกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจใคร่รู้ เพื่อนำเข้าสู่บทเรียนหรือเนื้อหาใหม่ๆ ซึ่งความ สนใจใคร่รู้นั้น อาจมาจากความสนใจของนักเรียนเอง การอภิปรายกลุ่ม หรือจากการนำเสนอของครูผู้สอน ก็ได้ แต่จะต้องเป็นเรื่องที่นักเรียนยอมรับโดยไม่มีการบังคับ หลังจากนั้น เมื่อได้ข้อคำถามที่น่าสนใจแล้ว ครูผู้สอนต้องกระตุ้นให้นักเรียนร่วมกัน กำหนด ขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยใช้การรับรู้จาก ประสบการณ์เดิม รวมกับการศึกษาเพิ่มเติมจากจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจใน ประเด็นที่จะศึกษา และมีแนวทางในการสำรวจตรวจสอบมากยิ่งขึ้น ขั้นที่ ๒ การสํารวจและค้นหา (Exploration) เมื่อทําความเข้าใจในประเด็นหรือคําถามที่สนใจศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ครูผู้สอนจะเปิดโอกาสให้ นักเรียนดำเนินการศึกษาค้นคว้า โดยการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสำรวจ การสืบค้นจาก เอกสารต่าง ๆ การทดลอง และการจำลองสถานการณ์ เป็นต้น เพื่อตรวจสอบสมมุติฐานและให้ได้ข้อมูล อย่างเพียงพอที่จะนำไปใช้ในการอธิบายและสรุป ขั้นที่ ๓ การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอแล้ว ครูผู้สอนจะต้องให้นักเรียนนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และแปลผล เพื่อสรุปผลและนําเสนอผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ เช่น การบรรยายสรุป การสร้างแบบจําลอง การวาดภาพ หรือ การสรุปเป็นตารางหรือกราฟ ซึ่งผลสรุปที่ได้นั้น จะต้องสามารถอ้างอิงความรู้ มีความสมเหตุสมผล และมี หลักฐานที่เชื่อถือได้ ขั้นที่ ๔ การขยายความรู้ (Elaboration) เป็นขั้นของการนําความรู้ที่ได้จากขั้นก่อนหน้านี้ มาเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือใช้อธิบายถึง สถานการณ์หรือเหตุการณ์เกี่ยวข้อง โดยครูผู้สอนอาจจัดกิจกรรมและให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ๆ เช่น ตั้งคำถามจากการศึกษาเพื่อให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้เข้ากับประสบการณ์หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น ขั้นที่ ๕ การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นของการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ เช่น การทำข้อสอบ การทำรายงานสรุป หรือการให้นักเรียนประเมินตัวเอง เป็นต้น เพื่อตรวจสอบนักเรียนว่ามีความรู้ที่ถูกต้องมากน้อยเพียงไรจาก
การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ดังกล่าว ครูผู้สอนจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียน วิเคราะห์ วิจารณ์และคิด พิจารณาความรู้ที่ได้ให้รอบคอบ โดยมีครูผู้สอนช่วยตรวจสอบและปรับปรุงความรู้ที่นักเรียนได้รับนั้นให้ ถูกต้องเหมาะสมและสอดคล้องกับความรู้เดิมของนักเรียนมากยิ่งขึ้น และนำนักเรียนไปสู่คำถามที่ต้องการ การสำรวจตรวจสอบต่อไปอย่างต่อเนื่อง การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนนั้น นับว่าเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในการจัดการ เรียนการสอน STEM เพราะจะนำพานักเรียนเข้าร่วมการสำรวจ อธิบายอย่างละเอียดและประเมินผล เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกับกลยุทธ์การสอนที่แตกต่างกันได้ ช่วยให้ครูวิทยาศาสตร์สามารถอำนวยการสอน และสนับสนุนผู้เรียนในการดำเนินกิจกรรมได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับรูปแบบการสอนแบบ ดั้งเดิม การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนจะให้ประโยชน์มากกว่าเกี่ยวกับความสามารถของ นักเรียนในการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ๒. ครูศิโรรัตน์ เสนอแนวคิดทฤษฎีActive Learning (ไชยยศ เรืองสุวรรณ : 2553) คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำและได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน 2 ประการคือ การเรียนรู้เป็นความพยายามโดย ธรรมชาติของมนุษย์และแต่ละบุคคลมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาท จากผู้รับความรู้ (receive) ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ (co-creators) กระบวนการเรียนรู้Active Learning ทำให้ผู้เรียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทน ได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ Passive Learning เพราะกระบวนการเรียนรู้Active Learning สอดคล้องกับการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ โดยสามารถเก็บและจำสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมี ส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ผู้สอน สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ได้ผ่านการปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บจำใน ระบบความจำระยะยาว (Long Term Memory) ทำให้ผลการเรียนรู้ ยังคงอยู่ได้ในปริมาณที่มากกว่าระยะ ยาวกว่า และลักษณะของ Active Learning มีดังนี้ - เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา การประยุกต์ใช้ - เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ - ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง - ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน มีการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฏิสัมพันธ์ ร่วมกัน และร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน - ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน และการแบ่ง หน้าที่ทำงาน - เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิด - เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคิดขั้นสูง - เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล, ข่าวสาร, สารสนเทศ, และหลักการสู่ การสร้างความคิดรวบยอดความคิดรวบยอด - ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วย ตนเอง - ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรียน ๓. ครูเมทินี เสนอแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of cooperative learning) (ทิศนา แขมมณี : 2554) การเรียนรู้แบบร่วมมือในการจัดการเรียนรู้ต้องมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี 3 ลักษณะคือ
1. ลักษณะแข่งขันกัน ในการศึกษาเรียนรู้ ผู้เรียนแต่ละคนจะพยายามเรียนให้ได้ดีกว่าคน อื่น เพื่อให้ได้คะแนนดี ได้รับการยกย่องหรือได้รับการตอบแทนในลักษณะต่างๆ 2. ลักษณะต่างคนต่างเรียน คือ แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบดูแลตนเองให้เกิดการเรียนรู้ ไม่ ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น 3. ลักษณะร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ คือ แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบในการเรียนรู้ ของตน และในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยให้สมาชิกคนอื่นเรียนรู้ด้วย การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน ต่างคน ต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียน ช่วยกันในการเรียนรู้ โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้ มีการปรึกษาหารือกัน อย่างใกล้ชิด มีการสัมพันธ์กัน มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม และมี การแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณ และคุณภาพ โดยวิธีการที่ หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน และครูควรจัดให้ผู้เรียน มีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม เพื่อให้กลุ่มมีโอกาสที่จะปรับปรุง ส่วนบกพร่องของกลุ่มเดียว ๔. ครูขวัญฤดี เสนอแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบ (สุรางค์ โค้วตระกูล : 2541) ของ บรูนเนอร์ (Bruner) โดยเชื่อว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมซึ่งนำไปสู่ การค้นพบการแก้ปัญหา โดยครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมด้านข้อมูล วัตถุประสงค์ คำถามและตั้งความมุ่งหวังว่า ผู้เรียนจะค้นพบคำตอบด้วยตนเอง มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงผลักดันให้เกิดพฤติกรรมสำรวจ สภาพแวดล้อม และเกิดการเรียนรู้ขึ้น วิธีการที่ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการค้นพบความรู้ขึ้นอยู่กับ พัฒนาการของผู้เรียน ขั้นพัฒนาการที่บรูนเนอร์เสนอมี 3 ขั้น คือ 1. เอ็นแอคทีป (Enactive Mode) เป็นวิธีที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมโดยการ สัมผัสจับต้องด้วยมือหรืออวัยวะของร่างกาย 2. ไอคอนนิค (Iconic Mode) เป็นวิธีที่ผู้เรียนสร้างจินตนาการ หรือสร้างมโนภาพ (Imagery) ขึ้นในใจได้โดยใช้รูปภาพแทนของจริงโดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสของจริง 3. ซิมโบลิค (Symbolic Mode) เป็นวิธีที่ผู้เรียนใช้สัญลักษณ์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ สามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม หรือความคิดรวบยอดที่ซับซ้อน จึงสามารถที่จะสร้างสมมติฐาน และ พิสูจน์สมมติฐานได้ 5. ครูวีระพงษ์ เสนอแนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) (ส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน : 2553) เป็นทฤษฎีที่เชื่อกันว่านักเรียนทุกคนมีความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างมาแล้วไม่มากก็น้อย ก่อนที่ครูจะจัดการเรียนการสอนให้เน้นว่าการเรียน เกิดขึ้นด้วยตัวของผู้เรียนเอง และการเรียนรู้เรื่องใหม่จะมีพื้นฐานมาจากความรู้เดิม ดังนั้น ประสบการณ์ เดิมของนักเรียนจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง กระบวนการเรียนรู้(process of larning) ที่ แท้จริงของนักเรียนไม่ได้เกิดจากการบอกเล่าของครูหรือนักเรียนเพียงแต่จดจำแนวคิดต่างๆ ที่มีผู้บอกให้ เท่านั้น แต่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามทฤษฎีการสร้างเสริมความรู้เป็นกระบวนการที่นักเรียนต้องสืบคัน เสาะหา สำรวจตรวจสอบ และค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ จนทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและเกิดการรับรู้ ความรู้นั้นอย่างมีความหมาย จึงจะสามารถสร้างเป็นองค์ความของนักเรียนเอง และเก็บเป็นข้อมูลไว้ใน สมองได้อย่างยาวนาน สามารถนำมาใช้ได้เมื่อมีสถานการณ์ใดๆ มาเผชิญหน้า ดังนั้นการที่นักเรียนจะสร้าง องค์ความรู้ได้ ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (inquiry process)
6. ครูวิไลรัตน์ เสนอแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Learning by doing ) ของJohn Dewey (ประทุม อังกูรโรหิต : 2543) การศึกษาตามทัศนะของจอห์น ดิวอี้ คือ ความเจริญ งอกงามทั้ง ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริง การจัด กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนรู้ในแบบ Learning by doing ผู้เรียนจะเป็น ศูนย์กลางของการเรียนรู้ แนวคิดนี้จะจัดการสอนแบบโครงการ (Project-based learning) เป็นการสอนที่ ให้ผู้เรียนได้เรียนจากการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนจากประสบการณ์ตรง ผู้เรียนได้ทดลองทำปฏิบัติ เสาะหา ข้อมูล จัดระเบียบข้อมูล พิจารณาหาข้อสรุป ค้นคว้าหาวิธีการ กระบวนการด้วยตนเอง หรือร่วมกันเป็น กลุ่ม เน้นให้ผู้เรียนมีอิสระในการศึกษาหาความรู้ตามหลักประชาธิปไตยให้ผู้เรียนได้รู้จักการทำงานร่วมกับ ผู้อื่น ให้ได้ค้นคว้าหาข้อมูลความรู้จากแหล่งต่าง ๆ มิใช่เฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น ทำให้ผู้เรียนเกิดนิสัย การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองได้ด้วยความมั่นใจ ผลการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีประสบการณ์ของ จอห์น ดิวอี้ ดังนี้ 1. ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานโดยผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย และสื่อที่เร้าความสนใจ 2. ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจ ตามความถนัดและศักยภาพด้วยการศึกษา ค้นคว้า ฝึกปฏิบัติฝึกทักษะจนถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองทำให้เกิดความเชื่อมั่นเป็นแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน 3. กิจกรรมกลุ่มช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ เกิดกระบวนการทำงาน เช่น มี การวางแผนการทำงาน มีความรับผิดชอบ เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีวินัยในตนเอง มีพฤติกรรมที่เป็น ประชาธิปไตย เป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ผู้เรียนที่เรียนรู้ช้าจะเรียนรู้อย่าง มีความสุข มีชีวิตชีวา ได้รับกำลังใจและได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ทำให้เกิดความมั่นใจ ผู้เรียนที่เรียน ดี จะได้แสดงความสามารถของตนเอง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และแบ่งปันสิ่งที่ดีให้แก่กัน 4. ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดจากการร่วมกิจกรรมและการค้นหาคำตอบจากประเด็น คำถามของผู้สอนและเพื่อน ๆ สามารถค้นหาคำตอบและวิธีการได้ด้วยตนเอง สามารถแสดงออกได้ชัดเจน มีเหตุผล 5. ทุกขั้นตอนการจัดกิจกรรม จะสอดแทรกคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อให้ผู้เรียนได้ซึมซับ สิ่งที่ดีงามไว้ในตนเองอยู่ตลอดเวลา 6. คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนรู้และการปฏิบัติงาน โดยให้แต่ละคน เรียนรู้เต็มตามศักยภาพของตน ไม่นำผลงานของผู้เรียนมาเปรียบเทียบกัน มุ่งให้ผู้เรียนแข่งขันกับตนเอง และไม่เล็งผลเลิศจนเกินไป 7. ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน คือ ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข เกิดการพัฒนารอบด้าน มีอิสระ ที่จะเลือกวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเอง และนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่าง เหมาะสม
๕. นวัตกรรมที่นำมาใช้ / ผลที่ได้จากการจัดกิจกรรม กิจกรรมที่ 1 พืชใกล้ตัวในสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน สรุปขั้นตอนการทำกิจกรรมสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพของพืช ชุดการสอน เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 ว23101 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตัวชี้วัด ว 1.2 ม. 3/4 สำรวจและอธิบายความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่นที่ทำให้สิ่งมีชีวิต ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมดุล ว 1.2 ม. 3/5 อธิบายผลของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อมนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม จุดเน้นการคิด ทบทวนความรู้เดิม จัดลำดับ สรุปความ วิเคราะห์หรือเรียบเรียงเหตุการณ์ หรือขั้นตอน การทางานให้เป็นรูปแบบที่มีการจัดลำดับก่อนหลัง วิธีการ 1. สรุปเหตุการณ์หรือขั้นตอนการทางาน 2. จัดลำดับตามเวลาที่เหตุการณ์หรือขั้นตอนการทางานเกิดขึ้น 3. เขียนสรุปความ เหตุการณ์ในกรอบตามลำดับก่อนหลัง และตกแต่งแผนภาพให้สวยงาม คำชี้แจง : ให้แบ่งกลุ่ม 3-5 คนแล้วทำกิจกรรมตามวิธีการข้างต้น กิจกรรมที่ 2 แบบ Problem/Solution วางแผนการศึกษาการประมาณขนาดของความหลากหลายทางชีวภาพของพืช ขั้นตอนการทำกิจกรรม : สำรวจชนิดของพืชในสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
ชุดการสอน เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ รายวิชาวิทยาศาสตร์ 6 ว23102 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตัวชี้วัด ว 1.2 ม. 3/4 สำรวจและอธิบายความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่นที่ทำให้สิ่งมีชีวิต ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมดุล ว 1.2 ม. 3/5 อธิบายผลของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อมนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม จุดเน้นการคิด วิเคราะห์ ให้สาเหตุ สืบสวน กำหนดปัญหาสาเหต ตั้งสมมติฐาน วางแผนการทดลอง กำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูล วิธีการ ใช้แผนผังระบุขั้นตอนตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ คำชี้แจง : ให้แบ่งกลุ่ม 3-5 คนแล้วทำกิจกรรมตามวิธีการข้างต้น …. กำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐาน กำหนดสิ่งที่ต้องการศึกษา วันที่สำรวจ: บริเวณที่สำรวจ: ขนาดพื้นที่ในการสำรวจ : ข้อมูลที่จะสำรวจ : กำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล แผนภาพ Problem/Solution จัดลำดับความคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ วางแผนการทดลองศึกษา เรื่อง การสำรวจชนิดของพืชในโรงเรียน
กิจกรรมที่ 3 ปฏิบัติกิจกรรม รายงานผลการทดลองตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ชุดการสอน เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพของพืช รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 ว23101 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตัวชี้วัด ว 1.2 ม. 3/4 สำรวจและอธิบายความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่นที่ทำให้สิ่งมีชีวิต ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมดุล ว 1.2 ม. 3/5 อธิบายผลของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อมนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม จุดเน้นการคิด จัดกระทำข้อมูล บันทึกผล วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผล วิธีการ รายงานผลการทดลองตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ คำชี้แจง : ให้แบ่งกลุ่ม 3-5 คนแล้วทำกิจกรรมตามวิธีการข้างต้น บันทึกข้อมูล ชนิดของพืช ชื่อสามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ ลักษณะ / ประเภท ลักษณะเฉพาะ การใช้ประโยชน์
วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากผลการทดลอง จำนวนชนิดของพืชที่รวบรวมได้จากการ สำรวจของกลุ่มมีกี่ชนิด อะไรบ้าง นักเรียนจะแบ่งพืชที่สำารวจได้ออกเป็น กลุ่มย่อยได้อย่างไร ให้นักเรียนระบุเกณฑ์ ในการแบ่งกลุ่มพืชเหล่านั้น สรุปผลการทำกิจกรรม พืชที่สำารวจได้ มีการใช้ประโยชน์อย่างไร ความหลากหลายทางชีวภาพมีความสำาคัญ ต่อมนุษย์อย่างไร เหตุใดแต่ละพื้นที่บนโลกจึงมี ความหลากหลายทางชีวภาพแตกต่างกัน นักเรียนจะช่วยรักษาความหลากหลาย ทางชีวภาพให้คงอยู่ได้อย่างไร
นำผลการประชุมไปบันทึกใน PPR และบันทึกการเสวนาของตนเอง เพื่อเก็บเป็นหลักฐานในการ รายงานต่อไป ทั้งนี้ได้นัดหมายวิธีการที่จะดำเนินการในครั้งต่อไป คือการจัดส่งแผนการจัดการเรียนรู้เฉพาะ หน่วยการเรียนที่จะดำเนินการใช้นวัตกรรม เลิกประชุมเวลา ๑๖.๓๐ น.
ภาพ/ร่องรอย/หลักฐานประกอบ PLC ครั้งที่ 5 ( บัตรภาพ/ใบงาน/ชิ้นงาน/ภาพถ่ายประกอบ ) ภาพการจัดกิจกรรม PLC ของกลุ่ม Active Learning Science ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) สมาชิกในกลุ่มสรุปความรู้และข้อเสนอแนะที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ คือ ศึกษาค้นคว้าทฤษฎี เทคนิคและกระบวนการจัดการเรียนรู้ต่างๆ มาปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติมเพื่อจะให้ผู้เรียนเกิดทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อยกระดับผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของผู้เรียน โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) และมีการปรึกษาหารือร่วมกันในการออกแบบชุดการสอนในการแก้ปัญหาผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ต่อไป โดยดำเนินการในวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เวลา ๑๕.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. ณ ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ)
ขอรับรองว่าข้อมูลดังกล่าวข้างต้นเป็นจริงทุกประการ ลงชื่อ.................................................... (นายเดช จงรักพงศ์เผ่า) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ลงชื่อ .............................................. ผู้บันทึก (นางสาวเมทินี ยันดี) เลขานุการกลุ่ม ผู้รับรอง ลงชื่อ.................................................... (นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล) ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ
บันทึกกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) -------------------------- ชื่อกลุ่ม Active Learning Science ครั้งที่ 6 การนำสู่การปฏิบัติ วัน เดือน ปี ที่ PLC เวลาที่เริ่ม – สิ้นสุด จำนวน ชม : นาที สถานที่ 8 มิ.ย. ๒๕๖๖ ๑๕.๓๐ น. - ๑๖.๓๐ น. ๑ ใต้อาคาร ๔ (ตึกส้ม) จำนวนครูที่เข้าร่วมกิจกรรม ดังนี้ ชื่อ-สกุล บทบาทหน้าที่ ลายมือชื่อ ๑. นายเดช จงรักพงศ์เผ่า ผู้อำนวยการสถานศึกษา (Administrator) ๒. นายนที ศรีแย้ม ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ๓. นางวีรยา ดิษเหมือน ครูพี่เลี้ยง (Mentor) ๔. นางวรัญญา แสงน้ำ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๕. นายศิโรรัตน์ ทองจำรูญ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๖. นางสาวเมทินี ยันดี ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๗. นางสาวขวัญฤดี หนูแก้ว ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๘. นายวีระพงษ์ ใจทัด ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) ๙. นางสาววิไลรัตน์ จิตธรรม ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) กิจกรรมครั้งนี้อยู่ความสอดคล้องกับการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (Lesson study) ☑ ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) ◻ ขั้นที่ ๒ ปฏิบัติและสังเกตการเรียนรู้ (Do & See) ◻ ขั้นที่ ๓ สะท้อนความคิดและปรับปรุงใหม่ (Reflect & Redesign) PLC 07/6
๑. งาน/กิจกรรม การนำสู่การปฏิบัติ และ การสะท้อนผล การวางแผนกิจกรรม ๒. ประเด็นปัญหา / สิ่งที่ต้องการพัฒนา ปัญหานักเรียนขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะนักเรียนขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ เนื้อหาวิทยาศาสตร์และขาดความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้นักเรียนขาด ความสนใจและกระตือรือร้นในการเรียน นักเรียนบางคนใช้อุปกรณ์การทดลองไม่เป็น เช่น ทักษะสังเกต การวัด ชั่ง ตวง ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียนวิทยาศาสตร์ และเวลาทำกิจกรรมนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ให้ความ ร่วมมือในการทำกิจกรรมการทดลอง ทำให้ใช้อุปกรณ์ไม่เป็นไม่คล่องแคล่ว บางคนยังขาดทักษะการคิด จำแนกไม่ชอบการเรียนแบบลงมือปฏิบัติโดยใช้กระบวนทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้ครูในกลุ่มร่วมกันหาวิธี และแนวคิดมานำเสนอในการประชุม PLC ครั้งที่ 6 นี้ ๓. สมาชิกในกลุ่มร่วมกันสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้นวัตกรรม ประธานกลุ่มมอบหมายให้สมาชิกนัดหมายการจัดทำแผน การเยี่ยมชั้นเรียน และ การสะท้อนผลการ จัดการเรียนการสอน โดยจับคู่ ครูต้นแบบ (Model teacher) และ ครูร่วมเรียนรู้ (Buddy teacher) และให้มี การร่วมวางแผนงาน ดังนี้ ๑. สมาชิกผู้เข้าร่วมประชุม ได้ศึกษาขั้นตอนวิธีการจากครูผู้สอนหลัก ร่วมกันแสดงความคิดเห็น พูดคุย เพื่อนำไปจัดทำและปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ๒. สมาชิกในกลุ่มร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถึงวิธีการขั้นตอน เพื่อดำเนินการในขั้นต่อไป ๓. สมาชิกในกลุ่มแต่ละท่านได้ร่วมกันออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้รูปแบบการพัฒนา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ด้วยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) ๔. ร่วมกันกำหนดบทบาทสมาชิกในการสังเกตการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ด้วยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) ๕. สมาชิกในกลุ่มมีการนัดหมาย เพื่อไปสังเกตการณ์การสอนของครูต้นแบบ Model Teacher ใน การพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อแก้ปัญหานักเรียนขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้รูปแบบ การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ด้วยชุด การสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) ๖. นำผลที่ได้จากการจัดกิจกรรมมาอภิปรายและสรุปผลร่วมกัน เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงและ พัฒนาต่อไป ๔. ประเด็น/ความรู้และข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ ประธานนัดหมายให้สมาชิกนำแผนการจัดการเรียนการสอนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันใน PLC ครั้ง ต่อไป โดยให้สมาชิกจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ด้วยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) มานำเสนอในครั้งต่อไป
๕. ผลที่ได้จากการจัดกิจกรรม นำผลการประชุมไปบันทึกใน PPR และบันทึกการเสวนาของตนเอง เพื่อเก็บเป็นหลักฐานในการ รายงานต่อไป เลิกประชุมเวลา ๑๖.๓๐ น.
ภาพ/ร่องรอย/หลักฐานประกอบ PLCครั้งที่ 6 ( บัตรภาพ/ใบงาน/ชิ้นงาน/ภาพถ่ายประกอบ ) ภาพการจัดกิจกรรม PLC ของกลุ่ม Active Learning Science ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์และวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Analyze & Plan) สมาชิกในกลุ่มเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยหาทฤษฎีและกระบวนการต่างๆมาปรับใช้ โดยได้รูปแบบการ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ด้วยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) เพื่อยกระดับผลทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ ผู้เรียน โรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) และมีการปรึกษาหารือร่วมกันในการออกแบบกิจกรรมในการแก้ไข ปัญหาของนักเรียนขาดทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยดำเนินการในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เวลา ๑๕.๓๐ – ๑๗.๓๐ น. ณ ใต้อาคาร ๔ (ตึกส้ม)
ขอรับรองว่าข้อมูลดังกล่าวข้างต้นเป็นจริงทุกประการ ลงชื่อ.................................................... (นายเดช จงรักพงศ์เผ่า) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ (ขจรเนติยุทธ) ลงชื่อ .............................................. ผู้บันทึก (นางสาวเมทินี ยันดี) เลขานุการกลุ่ม ผู้รับรอง ลงชื่อ.................................................... (นางธิดารัตน์ วุฒิสิวะชาติกุล) ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ
PLC orrl/rrl uui1ni1'ln'$'$1l'f11111JU"~fl1'$L"ivu~1~1111;1w (Professional Learning Community : PLC) nq11a1,tn1,L'ivuf5t1v1A1a,iiua:at1fllulav t,,u'ivmt1flu1a • (,i,11Luilqt1~) Active Leaming Science .. ~ ... n1'l11.:ILLC,I\Jmln'l'llJfl'l.:JVI <il ., .. u .., .., . ~ 0 .., 1\J LflilU t'I PLC L1a1t1L,11 - ilu~,i ,11\J11J 1111 : ffCl1\Jt'I \J1'1 - (i)Q'I ih.1. l!:><t"bb <ilc:t'..Q'IO \J. - <ilb.Q'IO 'U. (i) h.:imm'l ......... ..,~ '11\J1\Jfl]VIL"lJ1'l1lJn'1n'l'llJ lrl·3\J / ~il-flf!i'I ., ... U'1U1t'l'M\J1t'I ~1tJiiil~il / .., ' I ~i1u1E.1n1'lao1u~n,;1 je6>,I <il. \J1EJL1r14!1 ,i.:i'ln'VNialLC,11 V (Administrator) \!J. \J1EJ\Jfi ... ., ., ... Q'I. \J1.:!1'lEJ1 ... ial'lLLEJlJ .. ~i;L 'Vllltl'U ... ~L4!1E.114!11f\! fl'lVmm~ (Expert) V ... ~ - ~ (Mentor) .. ., Qz_ .., • Ci'.. \J1.:!1'lf\!f\!1 LL~N'U1 fl'l!Jl\JLL'U'U V (Model Teacher) ct. u1aP11 'li'1J1tl • .... .., Vltl.:!'11lf\! .. (Buddy fl'l'l1lJL V I I teacher) .. ... 'lEJ'U'l " ., ., ~ / b. \J1~a11UJVI\J EJ\J~ fll'l1lJL'lE.I\Jl (Buddy teacher) .., .. ., I ... ., rr1. ,n.:ia11"ll1f\!'l~ ~\JLLn1 fll"i1lJL 'lEl\Jl " y (Buddy teacher) .. "l .., I ... ., ~~r ~- U1EJ1"itf1.:i,; ,JVI~ fl'l'l1lJ L 'lEJU'l " " (Buddy teacher) J ~- u1.:ia111l~i'111tl ~1111:i'l"ilJ I ... ., fll111JL 'lEl\Jl ~~ (Buddy teacher) n,1n,,11,.f4datjfl1111flilflfl«t14flU01ffitllU1\J'1L1vui1iu1u (Lesson study) [7f t .., .. ' .., .. "'( ) L?.J 'tl'UVI <il 1Lfll11t\.1LL~t11.:iU.C,1\Jn11,J~n1'lL ·rnui Analyze & Plan □ t .., . , .. -- ~ .. ., ( ) 'tl\JVI ltJ un'U\JlU.~t:'1.:iLn\Jln11LW\Jl Do & See D tu~ Q'I a::it1Ufll11lJ~~u.~ttli'utJ1~tt-11J (Reflect & Redesign)
๑. งาน/กิจกรรม การนําสูการปฏิบัติ การสะทอนผล และ การวางแผนกิจกรรม ครั้งที่ ๑ ๒. ประเด็นปญหา/สิ่งที่ตองการพัฒนา ปญหาผูเรียนมีผลการเรียนต่ํา เพราะขาดความรูความเขาใจเกี่ยวกับทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตรขาดทักษะการวัด ชั่ง ตวง ใชอุปกรณการทดลองไมเปน ไมคลองแคลว ขาดความสนใจและ ความกระตือรือรนในการเรียนวิชาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีซึ่งเปนพื้นฐานในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร และเทคโนโลยีจึงทําใหครูในกลุมวางแผนกิจกรรมรวมกันในการประชุม PLC ครั้งนี้ ๓. ตั้งวงสนทนา / แลกเปลี่ยนแผน (Plan) จากการประชุมกลุมในกิจกรรม PLC ในสัปดาหที่ผานมา ทําใหไดหัวขอการพัฒนาผูเรียน คือการ พัฒนาผูเรียนตามรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (๕E) ดวยชุดการสอน (Instructional Package) (๕E Plus IP) เพื่อยกระดับผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี จึงไดมีการวางแผนงาน เพื่อจัดทําแผน กิจกรรมดังนี้ แผนการจัดการเรียนรูที่ ๒ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี รหัสวิชา ว๑๔๑๐๑ ชั้นประถมศึกษาปที่ ๔ หนวยการเรียนรูที่ ๒ เรื่องพืชและประเภทของพืช เวลาเรียนทั้งหมด ๑๐ ชั่วโมง เรื่อง การดูดน้ําของรากและการลําเลียงน้ําของลําตน เวลาเรียน ๒ ชั่วโมง ครูผูสอน นางวรัญญา แสงน้ํา ๑. สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรชีวภาพ สาระการเรียนรู รากทําหนาที่ดูดน้ําแลวลําเลียงขึ้นไปยังสวนอื่นของพืช โดยผานทางทอลําเลียงน้ําไป ตามลําตนกิ่ง และใบ แตจะทํางานสัมพันธกันอยางเปนระบบ ๒. มาตรฐานการเรียนรู มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 1.2 เขาใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลําเลียงสารเขาและออก จากเซลล ความสัมพันธของโครงสรางและหนาที่ของระบบตาง ๆ ของสัตวและ มนุษยที่ทํางานสัมพันธกัน ความสัมพันธของโครงสรางและหนาที่ของ อวัยวะตาง ๆ ของพืชที่ทํางานสัมพันธกัน รวมทั้งนําความรูไปใชประโยชน ตัวชี้วัด ว 1.2 ป.4/1 บรรยายหนาที่ของราก ลําตน ใบ และดอกของพืชดอก โดยใชขอมูลที่รวบรวมได ๓. จุดประสงคการเรียนรู ๓.๑ ดานความรู 1. อธิบายหนาที่ของรากและลําตนของพืชได (K) ๓.๒ ดานทักษะกระบวนการ ๑. ออกแบบการทดลองเกี่ยวกับหนาที่ของรากและลําตนพืชได (P) ๒. ปฏิบัติกิจกรรม อยางรวมพลัง ดวยความมุงมั่นและเพียรพยายามได (P)
๔. คุณลักษณะอันพึงประสงค 1. รักชาติ ศาสน กษัตริย 2. ซื่อสัตยสุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝเรียนรู 5. อยูอยางพอเพียง 6. มุงมั่นในการทํางาน 7. รักความเปนไทย 8. มีจิตสาธารณะ ๕. สมรรถนะสําคัญของผูเรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกปญหา 4. ความสามารถในการใชทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี ๖. การวัดและประเมินผลการเรียนรู 1. ประเมินความรู เรื่อง การดูดน้ําของรากและการลําเลียงน้ําของลําตน (K) ดวยแบบทดสอบ 2. ประเมินการสืบสอบขอมูล (P) ดวยแบบประเมิน 3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค ดานใฝเรียนรู มุงมั่นในการทํางาน (A) ดวยแบบประเมิน ๗. กระบวนการจัดการเรียนรู ชั่วโมงที่ ๑ ขั้นที่ ๑ ขั้นกระตุนความสนใจ 1. นักเรียนสังเกตสวนประกอบสําคัญของตนไม แลวรวมกันตอบคําถามสําคัญ เพื่อเกิดกระบวนการ เรียนรูตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร ดังนี้ 1.1 นักเรียนทราบหรือไมวา รากและลําตนของพืชมีหนาที่อะไร (รากทําหนาที่ดูดน้ําจากดิน ลําตนทําหนาที่ลําเลียงน้ําไปยังสวนตาง ๆ ของพืช) นักเรียนรวมกันคาดคะเนคําตอบของคําถามขางตน ขั้นที่ ๒ ขั้นสํารวจและคนหา 2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละเพศ และคละนักเรียนเกง ปานกลาง และออน (หรือจะแบงกลุมดวยวิธีการตาง ๆ เพิ่มเติมได) โดยแตละกลุมปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอน 3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันเตรียมอุปกรณ และสังเกตอุปกรณการทดลอง เรื่อง การดูดนํ้าของราก และการลําเลียงนํ้าของลําตน มาวางบนโตะ ดังนี้ ผักกระสัง สีผสมอาหารสีแดง บีกเกอร ขนาด 200 ลูกบาศก- เซนติเมตร นํ้า และใบมีด แลวนักเรียนรวมกันตอบคําถาม ดังนี้ 3.1 นักเรียนคิดวาอุปกรณที่กําหนดใหเปนการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องใด (การลําเลียงนํ้าของพืช) 3.2 นักเรียนจะออกแบบการทดลองนี้ไดอยางไร (ตามประสบการณการเรียนรูของนักเรียน และดุลยพินิจของครูผูสอน) 4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันฝกระบุปญหา คาดคะเนคําตอบของปญหา ซึ่งเปนการฝกการตั้งคําถาม ของปญหา และการตั้งสมมุติฐานใหแกนักเรียน รวมถึงฝกการออกแบบการทดลองเรื่อง การดูดนํ้าของรากและ การลําเลียงนํ้าของลําตน
5. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอยางรวมพลังวางแผน สืบสอบ ออกแบบขั้นตอนและวิธีการทดลอง โดยเขียนขั้นตอนลงในกระดาษฟลิปชารต 6. ผูแทนนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอผลการออกแบบการทดลองเกี่ยวกับการดูดนํ้าของรากและ การลําเลียงนํ้าของลําตนหนาชั้นเรียน โดยเพื่อนนักเรียนในกลุมนําขอมูลของแตละกลุมเขียนลงกระดาน ที่ทําตารางสรุปไว 7. นักเรียนรวมกันวิเคราะห และอภิปรายเกี่ยวกับผลการออกแบบ โดยรวมกันตอบคําถาม ดังนี้ 7.1 ปญหาของการทดลองนี้คืออะไร (รากและลําตนของพืชมีหนาที่อะไร) 7.2 การทดลองนี้ควรเลือกพืชที่มีลักษณะอยางไร (มีลักษณะลําตนใส สังเกตโครงสรางภายในไดงาย) 7.3 นักเรียนคิดวาพืชมีการลําเลียงนํ้าผานสวนใด (ผานทอลําเลียงภายในลําตน) 7.4 นักเรียนจะทําอยางไรเพื่อใหสังเกตเห็นการดูดนํ้าของรากและการลําเลียงนํ้าของลําตน (ผสมสีแดงในนํ้าเพื่อใหเห็นสีของนํ้าชัดเจน และเพื่อใหเห็นสวนของพืชที่ใชใน การลําเลียงนํ้าชัดเจน) 7.5 นักเรียนคาดวาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอยางไรกับพืชที่นํามาใชในการทดลอง (หากพืชมีการดูดนํ้าจากรากและมีการลําเลียงนํ้าผานลําตนและใบ จะปรากฏสีแดงที่ราก ลําตน และใบ) ขั้นที่ ๓ ขั้นอภิปรายและลงขอสรุป 8. นักเรียนรวมกันสรุปสิ่งที่เขาใจเปนความรูรวมกัน โดยการออกแบบการทดลอง เขียนในแบบ flowchart ในกระดาษฟลิปชารตใหไดลักษณะ ดังนี้ ผัง ขั้นตอนการออกแบบการทดลองเกี่ยวกับการดูดน้ําของรากและการลําเลียงน้ําของลําตน 1. เตรียมน้ําผสมสีแดงโดยใชสีผสมอาหารใหไดสีแดงเขม ใสในขวดพลาสติกใสใบที่ 1 และ 2 ใบละ 100 cm3 2. ตัดรากผักกระสังตนหนึ่งออก อีกตนไมตองตัดราก 3. แชผักกระสังที่มีรากลงในขวดพลาสติกใบที่ 1 และ ผักกระสังที่ตัดรากออกลงในขวดพลาสติกใบที่ 2 4. ทิ้งไว 60 นาที สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พรอมทั้งบันทึกผล การสังเกต
9. นักเรียนแตละคนวาดภาพและระบายสี เปรียบเทียบการลําเลียงนํ้าของพืชกับอุปกรณเครื่องใช ตาง ๆ ในชีวิตประจําวัน ในกระดาษ ขนาด A4 (ตัวอยางคําตอบ ภาพทอลําเลียงเปรียบเทียบกับหลอดกาแฟ ทอนํ้า กาลักนํ้า) ขั้นที่ ๔ ขั้นสรางความเขาใจ 10. นักเรียนรวมกันสรุปสิ่งที่เขาใจเปนความรูรวมกัน ดังนี้ ขั้นตอนการทดลองเกี่ยวกับการดูดนํ้าของรากและการลําเลียงนํ้าของลําตน โดยเริ่มจากการ เตรียมนํ้าผสมสีแดง โดยใชสีผสมอาหาร นําผักกระสังมา 2 ตน ตนหนึ่งตัดราก อีกตนไมตองตัด จากนั้นแชผัก กระสังที่มีรากลงในขวดพลาสติกใบที่ 1 และผักกระสังที่ตัดรากออกลงในขวดพลาสติกใบที่ 2 ทิ้งไว 60 นาที สังเกตการเปลี่ยนแปลง และบันทึกผล 11. นักเรียนนําเสนอภาพวาดและระบายสี พรอมพูดประกอบการอธิบายหนาชั้นเรียน เพื่อน ๆ รวมกันตรวจสอบและแกไขใหถูกตอง ขั้นที่ ๕ ขั้นสรุปและสะทอนผล 12. นักเรียนรวมกันอภิปรายสรุปเกี่ยวกับวิธีการทํางานใหเห็นการคิดเชิงระบบและวิธีการทํางาน ที่มีแบบแผน 13. นักเรียนนําผลงาน ผังขั้นตอนการออกแบบการทดลองเกี่ยวกับการดูดนํ้าของรากและการลําเลียง นํ้าของลําตน ติดที่ปายนิเทศหนาชั้นเรียน เพื่อเปนแรงจูงใจใหนักเรียนผลิตผลงานที่ดี และไดเห็นผลงานที่ หลากหลายของเพื่อน เปนการเปดความคิดของนักเรียนใหกวางไกลขึ้น 14. นักเรียนตรวจสอบหรือประเมินขั้นตอนตาง ๆ ที่เรียนมาในวันนี้มีจุดเดน จุดบกพรองอะไรบาง มีความสงสัย ความอยากรูอยากเห็นในเรื่องใด ใหระบุ 15. นักเรียนประเมินตนเอง โดยเขียนแสดงความรูสึกหลังการเรียน ในประเด็นตอไปนี้ • สิ่งที่นักเรียนไดเรียนรูในวันนี้คืออะไร • นักเรียนมีสวนรวมกิจกรรมในกลุมมากนอยเพียงใด • เพื่อนนักเรียนในกลุมมีสวนรวมกิจกรรมในกลุมมากนอยเพียงใด • นักเรียนพึงพอใจกับการเรียนในวันนี้หรือไม เพียงใด • นักเรียนจะนําความรูที่ไดนี้ไปใชใหเกิดประโยชนแกตนเอง ครอบครัว และสังคมทั่วไป ไดอยางไร จากนั้นแลกเปลี่ยนตรวจสอบขั้นตอนการทํางานทุกขั้นตอนวาจะเพิ่มคุณคาไปสูสังคม เกิดประโยชนตอสังคมใหมากขึ้นกวาเดิมในขั้นตอนใดบาง สําหรับการทํางานในครั้งตอไป ชั่วโมงที่ ๒ ขั้นที่ ๑ ขั้นกระตุนความสนใจ 1. นักเรียนรวมกันสังเกตเถาวัลยที่อวบนํ้า หรือพืชอวบนํ้ามาตัด นักเรียนสังเกตสิ่งที่อยูภายใน แลวรวมกันตอบคําถาม กระตุนความสนใจ ดังนี้
1.1 เมื่อพิจารณาลักษณะภายนอก นักเรียนคิดวาพืชที่นํามามีลักษณะอยางไร (อวบนํ้า) 1.2 เมื่อพิจารณาลักษณะภายใน นักเรียนคิดวาพืชที่นํามามีปริมาณของสารใดมาก (นํ้า) 1.3 นํ้าที่อยูในพืชเหลานี้อยูในสวนใดของพืช และถูกลําเลียงมาจากสวนใด (อยูที่ลําตนโดยถูกลําเลียงมาจากราก) นักเรียนรวมกันคาดคะเนคําตอบของคําถามขางตน ขั้นที่ ๒ ขั้นสํารวจและคนหา 2. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 คน คละเพศ และคละนักเรียนเกง ปานกลาง และออน (หรือจะแบงกลุมดวยวิธีการตาง ๆ เพิ่มเติมได) โดยแตละกลุมรวมกันศึกษาวิธีทําและปฏิบัติกิจกรรม ที่ 2.1 เรื่อง การดูดน้ําของรากและการลําเลียงน้ําของลําตน ในใบงานที่ 4 ตามขั้นตอน 3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาวิธีการทํากิจกรรมที่ 2.1 เรื่อง การดูดน้ําของรากและการลําเลียง น้ําของลําตน ในใบงานที่ 4 4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันแสดงความคิดเห็นกอนทํากิจกรรม โดยรวมกันตอบคําถามกอนทํา กิจกรรมดังนี้ 4.1 น้ําจําเปนตอการดํารงชีวิตของพืชหรือไม (จําเปน เพราะน้ําเปนสวนประกอบสําคัญของพืช เปนวัตถุดิบในการสรางอาหารของพืช เปนตัวลําเลียงสารตาง ๆ ในลําตน ทําใหพืชชุมชื้นและทรงตัวได) 4.2 พืชไดน้ําจากไหน และไดอยางไร (พืชไดน้ําจากดิน รากพืชทําหนาที่ดูดน้ําจากดินขึ้นสูลําตน เพื่อใชเปนวัตถุดิบในการ สรางอาหาร) 4.3 เหตุใดตองเลือกผักกระสัง (หรือตนเทียน) ใหมีขนาดเทา ๆ กัน (เนื่องจากตองการเปรียบเทียบความสามารถในการดูดนํ้าของพืชที่มีรากและไมมีราก ดังนั้น สวนอื่น ๆ ของพืชจึงตองเหมือนกัน ความแตกตางที่เกิดขึ้นหรือผลการทดลองที่ไดก็เปนเพราะ รากนั่นเอง) 4.4 การทดลองนี้มีวัตถุประสงคอะไร (เพื่อศึกษาการดูดนํ้าของพืชที่มีรากและไมมีราก) 4.5 การทดลองนี้จัดอะไรใหแตกตางกัน (ผักกระสัง (หรือตนเทียน) ตนหนึ่งมีราก อีกตนหนึ่งไมมีราก) 4.6 การทดลองนี้ตองติดตามดูอะไร (ปริมาณของนํ้าสีแดงที่ขึ้นไปตามลําตนของผักกระสัง (หรือตนเทียน)
4.7 การทดลองนี้ไดจัดอะไรใหเหมือนกันบาง (ผักกระสัง (หรือตนเทียน) ขนาดเดียวกัน แชในนํ้าสีแดงที่มีความเขมขนและปริมาณเทากัน เวลาในการทดลองเทากัน) 4.8 นักเรียนคิดวาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผักกระสัง (หรือตนเทียน) ทั้ง 2 ตน เหมือนกันหรือไม อยางไร (ไมเหมือนกัน ผักกระสัง (หรือตนเทียน) ที่มีรากดูดน้ําสีแดงขึ้นไปตามลําตนไดมากกวาตนที่ไมมี ราก) 5. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอยางรวมพลังลงมือทํากิจกรรมที่ 2.1 เรื่อง การดูดนํ้าของราก และการลําเลียงนํ้าของลําตน และบันทึกผลการทํากิจกรรม ในใบงานที่ 4 6. หลังจากนักเรียนทํากิจกรรม และบันทึกผลการทํากิจกรรมแลว ผูแทนนักเรียนแตละกลุม ออกมานําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียน ขั้นที่ ๓ ขั้นอภิปรายและลงขอสรุป 7. นักเรียนรวมกันวิเคราะห และอภิปรายเกี่ยวกับผลการทํากิจกรรม โดยรวมกันตอบคําถาม หลังทํากิจกรรม ดังนี้ 7.1 การทดลองนี้เปนไปตามที่นักเรียนคิดไวหรือไม อยางไร (เปนไปตามที่คิดไว คือ ผักกระสัง (หรือตนเทียน) ที่มีรากดูดนํ้าสีแดงขึ้นไปตามลําตน ไดมากกวาตนที่ไมมีราก) 7.2 สรุปผลการทดลองไดวาอยางไร (รากนอกจากทําหนาที่ยึดลําตนแลว ยังดูดนํ้าไปสูลําตน กิ่ง กาน และใบ โดยผานทอลําเลียง เรียกวา ทอลําเลียงนํ้า) 7.3 รากและลําตนของพืชทําหนาที่อะไร (รากทําหนาที่ยึดลําตน และดูดนํ้าไปสวนอื่น ๆ ลําตนทําหนาที่ลําเลียงนํ้าและธาตุอาหาร) 7.4 สวนใดของพืชที่ทําหนาที่ดูดนํ้า (ราก บริเวณปลายรากทุกชนิดมีขนรากอยูเพื่อดูดนํ้าและธาตุอาหารจากดิน) 7.5 นอกจากรากมีหนาที่ในการดูดนํ้าแลว รากยังมีหนาที่อะไรอีกบาง (บริเวณรากที่ไมมีขนรากจะไมสามารถดูดนํ้าและธาตุอาหารได ซึ่งทําหนาที่เปนทางลําเลียงนํ้า และธาตุอาหารจากขนรากไปสูลําตน และมีหนาที่ชวยยึดและพยุงลําตน) 8. นักเรียนรวมกันสรุปผลการทํากิจกรรมและสรุปสิ่งที่เขาใจเปนความรูรวมกันเกี่ยวกับการดูดนํ้า ของรากและการลําเลียงนํ้าของลําตนวา รากนอกจากทําหนาที่ยึดลําตนแลว ยังดูดนํ้าไปสูลําตน กิ่ง กาน และ ใบ โดยผานทอลําเลียง เรียกวา ทอลําเลียงนํ้า 9. นักเรียนคิดประเมินเพื่อเพิ่มคุณคาเกี่ยวกับประโยชนของรากพืชตอมนุษยและสัตว โดยรวมกัน ตอบคําถาม ดังนี้
9.1 รากพืชมีประโยชนอยางไรตอมนุษยและสัตว (รากพืชบางชนิดเปนอาหารของมนุษยและสัตว เชน หัวผักกาด มันเทศ กระชาย แครรอต มันสําปะหลัง) 10. นักเรียนแตละกลุมรวมกัน วางแผน วาดภาพและระบายสี การเคลื่อนที่ของนํ้าจากรากสูลําตน ในกระดาษฟลิปชารต 11. นักเรียนแตละคนวางแผน ออกแบบ และเลือกพืชที่สนใจและลองทําการทดลองเหมือนกับ กิจกรรมดังกลาว บันทึกผล พรอมกับเขียนรายงานพอสังเขป จัดทําเปนชิ้นงาน 12. นักเรียนรวมกันสรุปสิ่งที่เขาใจเปนความรูรวมกัน ดังนี้ รากและลําตนเปนสวนประกอบของพืช ทําหนาที่แตกตางกัน รากทําหนาที่ดูดนํ้าและธาตุอาหาร ขึ้นไปยังลําตน ลําตนทําหนาที่ลําเลียงนํ้าตอไปยังสวนตาง ๆ ของพืช 13. ผูแทนนักเรียนแตละกลุมนําเสนอหนาที่ของรากและลําตน โดยใชภาพวาดและระบายสี การเคลื่อนที่ของนํ้าจากรากสูลําตน พรอมพูดประกอบการอธิบายหนาชั้นเรียน เพื่อน ๆ รวมกันตรวจสอบและ แกไขใหถูกตอง ขั้นที่ ๕ ขั้นสรุปและสะทอนผล 14. นักเรียนรวมกันอภิปรายสรุปเกี่ยวกับวิธีการทํางานใหเห็นการคิดเชิงระบบและวิธีการทํางาน ที่มีแบบแผน 15. นักเรียนนํารายงานมอบใหหองวิทยาศาสตรของโรงเรียน เพื่อเปนแหลงการเรียนรูสําหรับ นักเรียนชั้นอื่น ๆ 16. นักเรียนตรวจสอบหรือประเมินขั้นตอนตาง ๆ ที่เรียนมาในวันนี้มีจุดเดน จุดบกพรองอะไรบาง มีความสงสัย ความอยากรูอยากเห็นในเรื่องใด ใหระบุ 17. นักเรียนประเมินตนเอง โดยเขียนแสดงความรูสึกหลังการเรียน ในประเด็นตอไปนี้ • สิ่งที่นักเรียนไดเรียนรูในวันนี้คืออะไร • นักเรียนมีสวนรวมกิจกรรมในกลุมมากนอยเพียงใด • เพื่อนนักเรียนในกลุมมีสวนรวมกิจกรรมในกลุมมากนอยเพียงใด • นักเรียนพึงพอใจกับการเรียนในวันนี้หรือไม เพียงใด • นักเรียนจะนําความรูที่ไดนี้ไปใชใหเกิดประโยชนแกตนเอง ครอบครัว และสังคมทั่วไป ไดอยางไร จากนั้นแลกเปลี่ยนตรวจสอบขั้นตอนการทํางานทุกขั้นตอนวาจะเพิ่มคุณคาไปสูสังคม เกิดประโยชนตอสังคมใหมากขึ้นกวาเดิมในขั้นตอนใดบาง สําหรับการทํางานในครั้งตอไป ๘. สื่อ/แหลงการเรียนรู 1. หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 4 2. แบบฝกหัด รายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตรชั้นประถมศึกษาปที่ 4