ก การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง กรณีศึกษาบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด วังน้อย ENHANCING INVENTORY MANAGEMENT EFFICIENCY: A CASE STUDY OF CRC THAI WATSADU COMPANY LIMITED นายสรายุทธ ศรีรักษ์ รายงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต หลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน คณะบริหารธุรกิจ ปีการศึกษา2565 ลิขสิทธ์เป็นของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ข การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง กรณีศึกษาบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด วังน้อย ENHANCING INVENTORY MANAGEMENT EFFICIENCY: A CASE STUDY OF CRC THAI WATSADU COMPANY LIMITED นายสรายุทธ ศรีรักษ์ รายงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต หลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน คณะบริหารธุรกิจ ปีการศึกษา2566 ลิขสิทธ์เป็นของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ค ชื่องานวิจัย การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง กรณีศึกษาบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด วังน้อย ชื่อนักศึกษา นาย สรายุทธ ศรีรักษ์ รหัสนักศึกษา 116310509485-3 ปริญญา บริหารธุรกิจบัณฑิต หลักสูตร ธุรกิจระหว่างประเทศและโลจิสติกส์ ปีการศึกษา 2565 อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.กัญญ์กณิษฐ์ กมลกิตติวงศ์ รายงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต โดยผ่านการพิจารณาจาก คณะกรรมการสอบวิจัย ดังมีรายชื่อต่อไปนี้ อาจารย์ที่ปรึกษา ………………………………………………........................ ( ดร.กัญญ์กณิษฐ์ กมลกิตติวงศ์ ) รายงานวิจัยนี้ได้พิจารณาเห็นชอบโดย ประธานกรรมการ ………………………………………………........................ ( ผศ.ดร. พุทธิวัต สิงห์ดง ) กรรมการ ………………………………………………....................................... ( ดร. ชาริณี พลวุฒิ ) ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ก ชื่องานวิจัย การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง กรณีศึกษาบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด วังน้อย ชื่อนักศึกษา นายสรายุทธ ศรีรักษ์ รหัสนักศึกษา 116310509485-3 ปริญญา บริหารธุรกิจบัณฑิต หลักสูตร ธุรกิจระหว่างประเทศและโลจิสติกส์ ปีการศึกษา 2565 อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.กัญญ์กณิษฐ์ กมลกิตติวงศ์ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาและหาแนวทางในการตรวจสอบสินค้าคงคลังให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น 2) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินค้าคงคลัง 3) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน การบริหารสินค้าคงคลังเพื่อป้องกันและลดการสูญหายของสินค้า จากผลการศึกษา เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง กรณีศึกษาบริษัท ซีอาร์ซีไทวัสดุ จำกัด วังน้อย พบว่าจากการวิเคราะห์ปัญหาการดำเนินงานการวิเคราะห์แผนผัง สาเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) การจัดวางสินค้าสินค้าและเทคนิคการแบ่งกลุ่มสินค้า แบบ ABC Analysis ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจัดแบ่งประเภทของสินค้า โดยผู้ทำการวิจัยได้นำเอา ข้อมูลปริมาณการจำหน่ายสินค้าของเดือนมกราคม - ธันวาคม พ.ศ.2565 ข้อมูลย้อนหลัง 1 ปี มาทำ การวิจัยและทำการเปรียบเทียบระหว่างการจัดเก็บสินค้าแบบเดิมกับการจัดเก็บสินค้าแบบใหม่ จากการศึกษาพบว่า กระบวนการทำงานเดิมมี 8 ขั้นตอน สามารถรวมขั้นตอนการทำงาน 3 ขั้นตอน และจัดเรียงกระบวนการทำงานใหม่ เหลือกระบวนการทำงานใหม่ 4 ขั้นตอน สามารถลด กระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน และสามารถลดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการทำงานทั้งจากเฉลี่ย 47 นาที เป็นเฉลี่ย 32 นาที ลดลงเฉลี่ย 15 นาที คิดเป็น 32 % และผู้ทำการศึกษาได้ทำการแบ่งกลุ่ม สินค้าตามเทคนิควิเคราะห์แบบ ABC Analysis พบว่า จากการแบ่งกลุ่มสินค้าตามเทคนิควิเคราะห์ แบบ ABC Analysis ตามเปอร์เซ็นการเคลื่อนไหวของสินค้า โดยกลุ่มประเภทสินค้า A มีสัดส่วน 70% เป็นจำนวน 176 รายการ กลุ่มประเภทสินค้า B มีสัดส่วน 20% จำนวน 21 1 รายการ กลุ่มประเภท สินค้า C มีสัดส่วน 10% จำนวน 174 รายการ และทำการคำนวณหาพื้นที่จริงภายในคลังสินค้าเพื่อ เปรียบเทียบกับพื้นที่ที่ต้องการใช้จริงสำหรับสินค้าที่มีการเคลื่อนไหว พบว่าพื้นที่ในการจัดเก็บ เพียงพอต่อปริมาณสินค้าที่มีอยู่จริง และได้ทำการจัดประเภทสินค้าแล้วจึงนำสินค้าจัดวางตามโซนที่ เหมาะสม โดยการวางสินค้าตามกลุ่มสินค้า A กลุ่ม B และกลุ่ม C จาการแบ่งโซนการจัดเก็บอย่าง
ข ชัดเจน ซึ่งมีการแบ่งตามจำนวนครั้งที่มีการเบิกออกของสินค้า และการแบ่งสินค้าให้มีการเก็บแบบ Fixed และ Random ทำให้มีพื้นที่ในการวางสินค้าเพียงพอและมีพื้นที่ว่างสำรองไว้ในอนาคตหากมี การขยายกลุ่มลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบว่า ลดระยะทางในการหยิบสินค้าจากเดิมเฉลี่ย 33 เมตร เหลือเฉลี่ย 14 เมตร ระยะทางลดลงเฉลี่ย 19 เมตร คิดเป็น 57% และยังลดระยะเวลาใน การห ยิบสินค้า จากเดิมเฉลี่ย 21 วินาที เหลือเฉลี่ย 12 วินาที ระยะเวลาลดลง เฉลี่ย 9 วินาที คิดเป็น 43% คำสำคัญ : การเพิ่มประสิทธิภาพ / การจัดการคลังสินค้า / การป้องกันและลดการสูญหายของสินค้า
ค Research Title Enhancing Inventory Management Efficiency: A Case Study of CRC THAI WATSADU Company Limited Student Name Sarayuth Srirak Student ID 116310509485-3 Degree Bachelor of Business Administration Program International Business and Logistics Academic Year 2565 Advisor Kankanit Kamolkittiwong(DBA.) ABSTRACT The objectives of this research are as follows: 1) To study and find ways to improve the efficiency of inventory inspection. 2) To enhance the efficiency of inventory management. 3) To improve inventory management to prevent and reduce product losses. From the results of the study on improving the efficiency of inventory management at C.R.C. Thai Materials Co., Ltd. in the case study of the company, it was found that through the analysis of the cause and effect diagram and the ABC Analysis technique for categorizing products, which is a tool for classifying goods, the research team collected data on the quantity of product distribution from January to December 2565 B.E. (Buddhist Era). They conducted research and compared the traditional method of storing products with the new method. The study revealed that the previous workflow had 8 steps, which were condensed into a new 4-step process, reducing redundancy and average time spent on the process from 47 minutes to 32 minutes on average, representing a 15-minute reduction, or 32%. Furthermore, the study involved classifying products using the ABC Analysis technique based on the percentage of product movements. It was found that product type A accounted for 70% (176 items), product type B for 20% (211 items), and product type C for 10% (174 items). The study also calculated the actual storage area within the warehouse to compare it with the required space for the moving products. It was found that the storage space was sufficient for the existing product volume. Products were then categorized and placed in suitable zones, based on the
ง number of times they were withdrawn and whether they were stored in a fixed or random manner. This clear zoning and classification reduced the distance for picking products from an average of 33 meters to 14 meters, a 19-meter reduction (57%). The time spent on picking products was also reduced from an average of 21 seconds to 12 seconds, resulting in a 9-second reduction (43%). Keywords : Increasing Efficiency / Inventory Management / Preventing and Reducing Product Losses
จ กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยนี้สําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยได้รับความกรุณาและความช่วยเหลือเป็นอย่างดี จากบุคคลหลายฝ่ายด้วยกัน ผู้เขียนจึงขอกราบขอบพระคุณทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ เริ่มจาก ที่คอยให้ความ ช่วยเหลือด้านข้อมูล ให้ความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ทางด้านการทำงานภายใน แผนกคลังสินค้า ทำให้โครงงานสหกิจครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ และขอขอบพระคุณ บริษัท ซีอาร์ซีไท วัสดุ จำกัด วังน้อย ที่ให้การสนับสนุน คำแนะนํา และช่วยเหลือในด้านการดำเนินการเก็บข้อมูลให้ สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี ขอขอบคุณท่านคณะอาจารย์ที่ปรึกษา ดร.กัญญ์กณิษฐ์ กมลกิตติวงศ์ ซึ่ง กรุณาเสียสละเวลาให้คำปรึกษาและคำแนะนํา รวมถึงการแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ใน การดำเนินการศึกษาจนปัญหาพิเศษฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณคณาจารย์หลักสูตรธุรกิจ ระหว่างประเทศและโลจิสติกส์ทุกท่านที่ได้เสียสละเวลาในการเป็นคณะกรรมการในการสอบและ ตรวจสอบความถูกต้อง พร้อมทั้งให้คำแนะนำต่าง ๆ เพื่อให้รายงานวิจัยนี้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตลอดจนขอขอบพระคุณที่กรุณาให้ความร่วมมือให้การสัมภาษณ์สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พร้อมทั้งการ แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ยิ่งต่อการจัดทำรายงานวิจัยในครั้งนี้ สุดท้ายนี้ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า งานค้นคว้าอิสระฉบับนี้จะเป็นประโยชน์สําหรับผู้ที่สนใจ สามารถนําข้อมูลไปเป็นแนวทางสู่การศึกษาครั้งต่อไปหรือใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับอ้างอิงในการ ทำวิจัยครั้งต่อไปได้ในอนาคต หากการค้นคว้าอิสระฉบับนี้ขาดตกบกพร่อง หรือไม่สมบูรณ์ประการใด ขอกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย นายสรายุทธ ศรีรักษ์ ตุลาคม 2565
ฉ สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค กิตติกรรมประกาศ จ สารบัญ ฉ สารบัญตาราง ซ สารบัญภาพ ฌ บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ความสำคัญและที่มาของปัญหา 1 1.2 งานที่ได้รับมอบหมาย 3 1.3 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 3 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3 1.5 ขอบเขตการศึกษา 3 1.6 ระยะเวลาในการศึกษา 4 1.7 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5 2.1 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพ 5 2.2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการคลังสินค้า (Warehousing Management) 6 2.3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารสินค้าคงคลัง 8 2.4 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับระบบการจัดเก็บสินค้า 9 2.5 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการแบ่งหมวดหมู่สินค้าตามทฤษฎี ( ABC Analysis) 14 2.6 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับแผนผังสาเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) 18 2.7 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับข้อมูลบริษัทกรณีศึกษา 21
ช สารบัญ (ต่อ) หน้า 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 25 บทที่ 3 วิธีดำเนินงานวิจัย 28 3.1 กรอบการดำเนินการวิจัย 29 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 30 3.3 การรวบรวมข้อมูล 30 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 30 บทที่ 4 ผลการดำเนินการวิจัย 41 4.1 กระบวนการทำงาน 42 4.2 เปรียบเทียบระยะเวลา ของกระบวนการทำงานเก่า และกระบวนการทำงาน ใหม่ 43 4.3 การออกแบบคลังสินค้าใหม่ ตามทฤษฎี ABC Analysis 45 4.4 รูปแบบคลังสินค้าใหม่โดยใช้ทฤษฎีABC Analysis 46 บทที่ 5 สรุปและข้อเสนอแนะ 50 5.1 สรุปผลการวิจัย 51 5.2 ข้อเสนอแนะ 51 บรรณานุกรม 53 ภาคผนวก 54 ภาคผนวก ก 55 ภาคผนวก ข 58 ประวัติผู้ศึกษา 64
ซ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 ข้อดีข้อเสียของระบบจัดเก็บสินค้าโดยไร้รูปแบบ 10 2.2 ข้อดีข้อเสียของระบบจัดเก็บสินค้าโดยกำหนดตำแหน่งตายตัว 10 2.3 ข้อดีข้อเสียของระบบจัดเก็บสินค้าโดยจัดเรียงตามรหัสสินค้า 11 2.4 ข้อดีข้อเสียของระบบจัดเก็บสินค้าตามประเภทสินค้า 12 2.5 ข้อดีข้อเสียของระบบการจัดเก็บที่ไม่ได้กำหนดตำแหน่งตายตัว 12 2.6 ข้อดีข้อเสียของระบบการจัดเก็บแบบผสม 13 2.7 การแบ่งประเภทสินค้าคงคลังด้วยระบบ ABC 15 2.8 วิธีการควบคุมสินค้าคงคลัง Class ต่าง ๆ 17 2.9 วัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยในการทำงาน Health & Safety Objectives 22 3.1 ตารางแสดงจำนวนข้อมูลปริมาณสินค้าภายในคลังสินค้า 33 3.2 ตารางแสดงผลรวมสินค้าภายในคลังสินค้า 37 4.1 เปรียบเทียบขั้นตอนการทำงานของกระบวนการทำงานเก่าและกระบวนการ ทำงานใหม่ 43 4.2 ระยะเวลา ของกระบวนการทำงานเก่า 44 4.3 ระยะเวลา ของกระบวนการทำงานใหม่ 44 4.4 แสดงการเคลื่อนไหวเร็ว 20 รายการแรกที่มีสต็อกสินค้า 46 4.5 เปรียบเทียบระยะทางการเดินและระยะเวลาในการเดินหยิบสินค้า 20 รายการ แรกที่มีสต็อกสินค้า 48 4.6 เปรียบเทียบเฉลี่ยระยะทางการเดินและระยะเวลาในการเดินหยิบสินค้า 20 รายการ แรกที่มีสต็อกสินค้า 48 5.1 สรุปผลที่ได้นับหลังการปรับปรุงกระบวนการทำงาน 50 สรุปผลที่ได้นับหลังการปรับปรุงการจัดการคลังสินค้า 51
ฌ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าหมุนเวียนและปริมาณสินค้าคงคลัง 15 2.2 โครงสร้างของแผนผังสาเหตุและผล 19 2.3 ส่วนประกอบของผังก้างปลา 20 2.4 ขั้นตอนในการปฏิบัติงาน 24 3.1 คลังสินค้า CTW ก่อนการปรับปรุง 31 3.2 คลังสินค้า CTW ก่อนการปรับปรุง 31 3.3 คลังสินค้า CTW ก่อนการปรับปรุง 32 3.4 กระบวนการทำงาน 38 3.5 แสดงการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา 39 4.1 กระบวนการทำงาน 42 4.2 รูปแบบคลังสินค้าเก่า 45 4.3 แสดง 20 รายการแรกที่มีสต็อกสินค้าจัดเป็น Fixed Location 47 4.4 แผนผังคลังสินค้าก่อนปรับปรุง และหลังปรับปรุง 49
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความสำคัญและที่มาของปัญหา ปัจจุบันภาคธุรกิจได้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งแฝงอยู่ในทุก กิจกรรมทางธุรกิจและอุตสาหกรรม ส่งผลให้การดำเนินงานด้านโลจิสติกส์มีการพัฒนาและมีความ ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นจาก ประเด็นดังกล่าวได้ส่งผลให้ความนิยมในการใช้บริการ Third Party Logistics Provider หรือ 3PL ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ครบวงจรมากยิ่งขึ้น และนํามาสู่แนวโน้มการใช้บริการธุรกิจ คลังสินค้าพรีเมี่ยม (Premium Warehouse) ซึ่งเป็นธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าที่ออกแบบก่อสร้างมาเพื่อ เอื้อต่อระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจรให้มากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้การที่ผู้ประกอบการค้าปลีกราย ใหญ่บางรายที่มีศักยภาพดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ครบวงจรได้ขยายการดำเนินงานไปสู่การก่อสร้าง คลังสินค้าพรีเมี่ยมเพื่อใช้ในกิจการของตนเองได้ส่งผลให้โครงสร้างธุรกิจคลังสินค้าของไทยค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนสู่การดำเนินงานของคลังสินค้าพรีเมี่ยมอย่างต่อเนื่องและมีการแข่งขันของธุรกิจคลังสินค้า เป็นอย่างมากในด้านบริหารจัดการทั้งด้านขบวนการทำงานที่ต้องพัฒนาปรับปรุงให้ทันสมัยโดยตัด ขั้นตอนการทำงานที่ไม่มีคุณค่าต่อลูกค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นธุรกิจทางด้านการอุปโภค การบริโภค การขนส่ง และ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญอย่างแรกในการบริหาร คือ การบริหารต้นทุน ในปี พ.ศ.2559 ต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยมีมูลค่ารวมทั้งหมด 2,020.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น สัดส่วนร้อยละ 13.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ ราคาประจำปี (Nominal GDP) ลดลงจาก ร้อยละ 14.0 ต่อ GDP ในปีพ.ศ 2558 มูลค่าต้นทุนโลจิสติกส์รวมขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นตามการ เติบโตของเศรษฐกิจของประเทศภาพรวม เนื่องจากการฟื้นตัวของการส่งออก และอุปสงค์ในประเทศ สนับสนุนให้ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมรวมทั้งการลงทุนของภาคเอกชนสูงขึ้น ในขณะที่ สัดส่วน ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ปรับลดลง จากการปรับลดของสัดส่วนต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลังต่อ GDP จากร้อยละ 5.3 ในปีพ.ศ. 2558 คิดเป็นร้อยละ 5.1 ต่อ GDP ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการ มีการบริหารจัดการคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเพื่อทำให้ควบคุมปริมาณการถือครองสินค้าให้อยู่ ในระดับต่ำต้นทุนในการจัดเก็บมีสัดส่วนที่มากในต้นทุนโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง มี ต้นทุนประเภทนี้สูงมาก (กองยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, รายงานโลจิสติกส์ของประเทศไทยประจำปีพ.ศ.2560) เพราะในกระบวนการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนมีการใช้ต้นทุนอยู่ทุกกระบวนการในการดำเนินงาน ทำให้ทุกองค์กรมีความคิดที่จะบริหารจัดการที่แตกต่างกันออกไป โดยในและองค์กรก็จะต้องมีการ
2 ปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการจัดการองค์กรตั้งแต่กระบวนการวางแผนการทำงาน การจัดซื้อ วัตถุดิบ สถานที่ จนถึงกระบวนการส่งมอบสินค้าให้กับผู้บริโภค บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุจำกัด ศูนย์กระจายสินค้าวังน้อย (CRC THAI WATSADU COMPANY LIMITED) ศูนย์กระจายฯ วังน้อย ตั้งอยู่ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บนพื้นที่กว่า 160,000 ตารางเมตร รองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มธุรกิจภายใต้แบรนด์ ไทวัสดุ บีเอ็ม บี โฮม ออโต้วัน และโก! ว้าว และเพื่อยกระดับความปลอดภัยในการทำงานให้กับทั้งพนักงานใน องค์กรรวมถึงผู้ร่วมค้าที่เข้ามาใช้บริการ จึงได้มีการนำระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความ ปลอดภัย ISO45001:2018 (Occupational Health and Safety Management System) กิจกรรม หลักที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ คือ การรับสินค้า การเก็บสินค้า และการกระจายสินค้า ซึ่งคลังสินค้า จะสนับสนุนตั้งแต่กระบวนการดำเนินงานไปจนถึงกระบวนการส่งมอบสินค้าและเก็บรักษาสินค้าไว้ เพื่อรอกระจายไปยังสาขาต่าง ๆ โดยจะเห็นว่านอกจากจากคลังสินสินค้าที่มีความสำคัญแล้ว รูปแบบ การจัดเก็บสินค้ายังมีความจำเป็นอย่างมากในคลังสินค้า เพราะจะส่งผลถึงการให้บริการลูกค้าที่ รวดเร็วและสินค้าที่มีคุณภาพด้วย จากการที่ผู้วิจัยได้เข้ามาฝึกสหกิจศึกษา เก็บรวบรวมข้อมูลที่บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุจำกัด ศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยโดยได้เรียนรู้งานในแผนก Stock ในตำแหน่งหน้าที่ stock monitor และ ได้เข้าไปสังเกตการณ์ทำงานภายในคลังสินค้าของบริษัท พบว่า บริษัทกรณีศึกษา ยังประสบปัญหา ทางด้านคลังสินค้าเนื่องจากทางบริษัทยังไม่มีการจัดรูปแบบจำจัดตำแหน่งของสินค้าคงคลัง (Layout) ที่ชัดเจน ตำแหน่ง (Location) ใดว่างก็เอาไปตำแหน่งนั้น การจัดเก็บสินค้าคลังคงจึงปะปนกันอยู่ไม่ เป็นระเบียบส่งผลให้สินค้ามีการชำรุดและหายได้ จากปัญหาดังกล่าวข้างต้นทางผู้จัดทำวิจัยนี้จึงได้ทำการศึกษากระการการในการจัดการ คลังสินค้าของบริษัทกรณีศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้า กรณีศึกษาบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุจำกัด ศูนย์กระจายสินค้าวังน้อย เครื่องมือที่นำมาใช้ในการวิจัยได้นำเอาการวิเคราะห์แผนผัง สาเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) การจัดวางสินค้าสินค้าและเทคนิคการแบ่งกลุ่มสินค้า แบบ ABC Analysis ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจัดแบ่งประเภทของสินค้า โดยผู้ทำการวิจัยได้นำเอา ข้อมูลปริมาณการจำหน่ายสินค้าของเดือนมกราคม - ธันวาคม พ.ศ.2565 ข้อมูลย้อนหลัง 1 ปี มาทำ การวิจัยและทำการเปรียบเทียบระหว่างการจัดเก็บสินค้าแบบเดิมกับการจัดเก็บสินค้าแบบใหม่ ทั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและหาแนวทางในการตรวจสอบสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อป้องกันและลดการสูญหายของสินค้า
3 1.2 งานที่ได้รับมอบหมาย งานที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ 1.2.1 Audit High Risk 1.3 วัตถุประสงค์ของการศึกษา การศึกษาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้คือ 1.3.1 เพื่อศึกษาและหาแนวทางในการตรวจสอบสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 1.3.2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินค้าคงคลัง 1.3.3 เพื่อป้องกันและลดการสูญหายของสินค้า 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.4.1 สามารถทราบแนวทางในการตรวจสอบสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 1.4.2 ทราบถึงวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินค้าคงคลัง 1.4.3 สามารถนำแนวทางที่ได้จากการศึกษามาป้องกันและลดการสูญหายของสินค้า 1.5 ขอบเขตการศึกษา งานวิจัยนี้ทำการศึกษาเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง กรณีศึกษาบริษัท ซีอาร์ซีไทวัสดุ จำกัด วังน้อย โดยได้กำหนดขอบเขตการศึกษาเป็น 3 ด้าน คือ 1.5.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาที่ศึกษา ได้แก่ ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านคลังสินค้า โดยนำกิจกรรมทางโลจิสติกส์เข้ามาจัดการคลังสินค้า เช่น การจัดเก็บสินค้า การหยิบสินค้าและ ระยะเวลาการทำงานซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพด้านการจัดการคลังสินค้า ตลอดจนการดูยอดขาย ต้นทุน รวมไปถึงปริมาณของสินค้าที่เราต้องการศึกษา 1.5.2 ขอบเขตด้านพื้นที่ ศึกษาข้อมูลจากบริษัทกรณีศึกษา บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุจำกัด ศูนย์กระจายสินค้า วังน้อย ภายในคลังสินค้า 1.5.3 ขอบเขตด้านเวลา การศึกษาในหัวข้อ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง กรณีศึกษาบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด วังน้อย ระยะเวลาในการเก็บข้อมูลเดือนกรกฎาคม ปีพ.ศ.2566 ถึง เดือนตุลาคม ปีพ.ศ.2566
4 1.6 ระยะเวลาในการศึกษา ระยะเวลาในการการทำการศึกษานี้ มีระยะเวลาในการทำการศึกษาประมาณ 4 เดือน นับแต่ เดือนกรกฎาคม ปีพ.ศ.2566 ถึงเดือนตุลาคม ปีพ.ศ.2566 1.7 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.7.1 การจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management) หมายถึง การจัดการการวางแผน ระบบ การควบคุม การเคลื่อนย้ายหรือการไหลของสินค้าและการจัดเก็บรักษาสินค้าจากต้นทางมายัง บริษัทและออกจากบริษัทไปยังลูกค้าการเคลื่อนย้ายสินค้านับ ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนเป็นสินค้าสำเร็จรูป โดยมีการประสานงานแต่ละขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 1.7.2 การคลังสินค้า (Warehousing) หมายถึง สถานที่ใช้ในการจัดเก็บรักษาสินค้าให้อยู่ใน สภาพที่ดีและพร้อมที่จะส่งมอบให้กับกระบวนการผลิตและให้กับลูกค้า โดยคลังสินค้าจะเป็นสถานที่ พักสินค้าและเก็บรักษาสินค้า วัตถุดิบ หรือวัสดุสิ่งของต่าง ๆ จนกว่าจะมีการเคลื่อนย้ายไปสู่ผู้ที่มี ความต้องการ 1.7.3 การเพิ่มประสิทธิภาพ หมายถึง การเพิ่มประสิทธิภาพหมายถึงกระบวนการหรือ กิจกรรมที่ถูกดำเนินให้มีผลผลิตหรือผลลัพธ์ที่ดีขึ้นโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยที่ไม่ต้องเพิ่มทรัพยากรเพิ่มเติมหรือลดทรัพยากรที่ใช้อยู่ การเพิ่มประสิทธิภาพสามารถทำได้โดย การปรับปรุงกระบวนการทำงาน ใช้เทคโนโลยีใหม่ ลดการสูญเสีย ลดการเสียเวลา หรือใช้ทรัพยากร อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นโดยที่ไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายหรือทรัพยากรเพิ่มเติมใน กระบวนการนั้น
5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง กรณีศึกษาบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด วังน้อย ผู้วิจัยได้รวบรวมแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ 2.1 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพ 2.2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการคลังสินค้า (Warehousing Management) 2.3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารสินค้าคงคลัง 2.4 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับระบบการจัดเก็บสินค้า 2.5 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการแบ่งหมวดหมู่สินค้าตามทฤษฎี (ABC Analysis) 2.6 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับแผนผังสาเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) 2.7 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับข้อมูลบริษัทกรณีศึกษา 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพ Thailandindustry (2539) การเพิ่มประสิทธิภาพในองค์การ เป็นกระบวนการวางแผนที่มุ่ง จะพัฒนาความสามารถขององค์การ เพื่อให้สามารถที่จะบรรลุและธำรงไว้ซึ่งระดับการปฏิบัติงานที่ พอใจที่สุด ซึ่งสามารถวัดได้ในแง่ของประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความเจริญเติบโตขององค์การ การเพิ่ม หมายถึง จำนวนที่มากขึ้น ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้น รูปแบบของผลผลิตสวยงามขึ้น และการบริการที่รวดเร็วขึ้น ประสิทธิภาพ หมายถึง การทำงานที่มีการใช้ทรัพยากรการบริหารให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งมี ข้อแตกต่างจากคำว่าประสิทธิผล ประสิทธิผล หมายถึง การทำงานที่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ องค์การ หมายถึง หน่วยงานต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในสังคมที่อาศัยอยู่ เช่น โรงเรียน บริษัทห้าง ร้าน หน่วยงานราชการต่างๆ โรงพยาบาล โรงงาน นั่นเอง ประสิทธิภาพ เป็นเรื่องของการใช้ปัจจัยและกระบวนการในการดำเนินงานโดยมีผลผลิตที่ ได้รับเป็นตัวกำกับการแสดง ประสิทธิภาพของการดำเนินงานใดๆ อาจแสดงค่าของประสิทธิภาพใน ลักษณะการเปรียบเทียบระหว่างค่าใช้จ่ายในการลงทุนกับผลกำไรที่ได้รับ ซึ่งถ้าผลกำไรมีสูงกว่า ต้นทุนเท่าไรก็ยิ่งแสดงถึงประสิทธิภาพมากขึ้น ประสิทธิภาพอาจไม่แสดงเป็นค่าประสิทธิภาพเชิง ตัวเลข แต่แสดงด้วยการบันทึกถึงลักษณะการใช้เงิน วัสดุ คน และเวลา ในการปฏิบัติงานอย่างคุ้มค่า
6 ประหยัด ไม่มีการสูญเปล่าเกินความจำเป็น รวมถึงมีการใช้กลยุทธ์หรือเทคนิควิธีการปฏิบัติที่ เหมาะสมและสามารถนำไปสุ่การบังเกิดผลได้รวดเร็วตรงประเด็นและมีคุณภาพ กล่าวโดยสรุป ความหมายของการเพิ่มประสิทธิภาพในองค์การ คือ ความต้องการที่จะทำให้ องค์การมีความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ก้าวหน้าขึ้นในอนาคต โดยใช้ความรู้ทางด้านการบริหารและ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ประยุกต์เป็นหลักและทิศทางที่ก้าวหน้าขององค์การในอนาคตและวิธีการ ส่วนใหญ่นิยมใช้วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การลดต้นทุน การเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง และการ ปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นระบบที่องค์การได้จัดรูปแบบให้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาและ สร้างกลุ่มทำงานที่มีประสิทธิภาพให้การทำงานอย่างมีประสิทธิผลให้กับองค์กร ซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิดของ HREX.asia (2562) 2.2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการคลังสินค้า (Warehousing Management) คํานาย อภิปรัชญาสกุล (2550) คลังสินค้า (Warehouse) หมายถึง พื้นที่ที่ได้วางแผนแล้ว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้สอยและการเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบ โดยคลังสินค้าทำหน้าที่ ในการเก็บสินค้าระหว่างกระบวนการเคลื่อนย้ายเพื่อสนับสนุนการผลิตและการกระจายสินค้า ซึ่ง สินค้าที่เก็บในคลังสินค้า (Warehouse) สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่วัตถุดิบ (Material) ซึ่งอยู่ในรูปวัตถุดิบ ส่วนประกอบและชิ้นส่วนต่าง ๆ สินค้าสำเร็จรูปหรือสินค้าจะนับรวมไปถึงงาน ระหว่างการผลิตตลอดจนสินค้าที่ต้องการทิ้งและวัสดุที่นำมาใช้ใหม่ สิ่งสำคัญของการจัดการโลจิสติกส์ในส่วนที่เป็นคลังสินค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขัน โดยการรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ ก็คือการลดต้นทุนให้ต่ำสินค้ามีคุณภาพดี ไม่ชํารุดเสียหายขณะการเคลื่อนย้ายหรือการส่งมอบมีความรวดเร็วตรงต่อเวลาและการให้บริการแก่ ลูกค้าเมื่อมีความต้องการในสินค้าให้ได้รับความพึงพอใจและกลับมาซื้อซ้ำโดยการนําการจัดการ โลจิสติกส์มาใช้จะต้องพิจารณาในด้านอื่น ๆ ร่วมด้วยดังนี้ 1. นโยบายการจัดการคลังสินค้า มีความสำคัญต่อองค์กรธุรกิจเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ ผู้บริหารองค์กรจะกําหนดขึ้น โดยบอกให้ทราบเกี่ยวกับพันธกิจและขอบข่ายความรับผิดชอบของแต่ ละหน่วยงานให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งบริษัท ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติตามจะต้องทำให้บรรลุตาม วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ผู้บริหารองค์กรตั้งไว้แบบเป็นไปในทิศทางที่ถูกกําหนดขึ้นอย่างถูกต้อง ตามหลักการและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารองค์กร 2. การกําหนดแหล่งที่ตั้งโรงงาน จะต้องพิจารณาถึงการเชื่อมโยงกับกระบวนการผลิตตั้งแต่ แหล่งของวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิต แหล่งของตลาด กฎระเบียบข้อบังคับของพื้นที่ที่ตั้งโรงงาน ความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ สิ่งต่าง ๆ ล้วนส่งผลต่อต้นทุนของสินค้าโดยตรงและมีผล ต่อประสิทธิภาพรวมของการดำเนินงานในระบบโลจิสติกส์ของโรงงานด้วย
7 3. ผู้บริหารจะต้องมีการวางแผนทางด้านการดำเนินงาน เริ่มตั้งแต่การวางแผนวัตถุดิบ การ วางแผนกําลังการผลิตและการวางแผนในการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบหรือวัสดุไปสู่คลังสินค้าและไปจนถึง มือลูกค้า 4. การวางแผนการเคลื่อนย้ายวัสดุระหว่างการผลิตและการวางผังโรงงานจำเป็นต้อง ดำเนินการควบคู่กัน ต้องมีหลักการในการจัดการที่สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้น การจัดการด้านเวลาสถานที่ในการเคลื่อนย้ายวัสดุในกระบวนการผลิต การเก็บรักษาสินค้าได้พัฒนามาจากการเก็บรักษาในครัวเรือนไปเป็นการเก็บรักษาของผู้ค้า ปลีก ผู้ค้าส่งและผู้ผลิต เพื่อสนับสนุนกระบวนการต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายในการตอบสนองความ ต้องการที่เกิดขึ้นอย่างไม่แน่นอน จึงจำเป็นต้องมีคลังสินค้าเป็นสถานที่เก็บรักษาแม้ว่าการวาง แผนการผลิตสินค้าต้องอาศัยการประมาณการความต้องการไว้ล่วงหน้า แต่เมื่อผลผลิตที่ออกมามี มากเกินความต้องการจึงมีคลังสินค้าไว้เก็บรักษาสินค้าในส่วนที่เกินนั้นจนกว่าจะมีการเคลื่อนย้ายหรือ ส่งมอบสินค้าไปยังผู้ที่มีความต้องการใช้ ซึ่งสินค้าที่ถูกเก็บรักษาไว้สามารถแบ่งได้หลายประเภท ได้แก่ วัตถุดิบ (Material) ชิ้นส่วนประกอบ (Components) ชิ้นส่วนต่าง ๆ (Parts) สินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) และบางกระบวนการผลิตยังนับรวมไปถึงงานระหว่างผลิต (Work in Process) รวมถึงสินค้าที่ต้องการทิ้ง (Disposed) และวัสดุที่นํามาใช้ใหม่ (Recycle) โดยคลังสินค้ามี ความสำคัญ คือ ช่วยประหยัดในส่วนที่เป็นค่าขนส่ง ต้นทุนการผลิต ช่วยป้องกันสินค้าขาดแคลนและ ช่วยให้การตอบสนองความต้องการของลูกค้ารวดเร็วยิ่งขึ้นหากคลังสินค้าอยู่ใกล้กับลูกค้า ซึ่งการ จัดการการเก็บรักษาจะต้องจัดวางสินค้าอย่างมีระเบียบและดูแลสินค้าไว้ให้อยู่ในสภาพพร้อมสำหรับ การจัดส่งสินค้าออกไปเมื่อเกิดความต้องการ คํานาย อภิปรัชญาสกุล (2550) ดังนั้นการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทจึงควรจะต้อง เริ่มต้นตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การดำเนินงานและการวางแผนการดำเนินงานไปในทิศทางที่แต่ละ บริษัทต้องการให้เป็นไปและบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ได้วางไว้ โดยการนำเอาระบบการ จัดการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของโลจิสติกส์มาประยุกต์ใช้จะต้องมีความสัมพันธ์กันและสอดคล้องกันใน แต่ละกิจกรรม ซึ่งกิจกรรมการจัดการโลจิสติกส์อันมุ่งไปที่การคลังสินค้าจะมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ วิทยา สุหฤทดํารง (2549) 1. การกําหนดหน้าที่ในการจัดการที่เป็นขั้นตอนตามลำดับเป็น กระบวนการดำเนินงานซึ่ง ผู้บริหารจะต้องเป็นผู้กระทำ โดยมีการจัดโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของ บุคลากร รวมถึงการ กําหนดกิจกรรมต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการบรรลุเป้าหมาย พร้อมทั้งส่งมอบ อำนาจหน้าที่ไปยัง ผู้รับผิดชอบ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าที่เก็บรักษาอยู่ในคลังสินค้าเกิดความเสียหาย สูญหายและ เสื่อมสภาพ 2. การจัดวางสินค้าอย่างเป็นระบบและมีระเบียบในพื้นที่เก็บรักษา ทำให้สินค้าอยู่ในสภาพ พร้อมสําหรับการจัดส่งออกไป เพื่อจำหน่ายหรือใช้งานตามความมุ่งหมาย เนื่องจากสินค้าบางอย่างมี
8 ความจำเป็นต้องมีการวางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นผลทำให้การดำเนินงานเกิด ประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น 3. สินค้าแต่ละชนิดต้องมีการจัดเก็บในคลังสินค้าอย่างเหมาะสม มีการแยกประเภทของ สินค้าอย่างชัดเจน มีการรักษาสินค้าให้อยู่ในสภาพเดิมพร้อมใช้งานเสมอ การเคลื่อนย้ายสินค้าต้องมี ความระมัดระวังและถูกต้อง ทั้งเพื่อเป็นการบูรณาการทรัพยากรต่าง ๆ ให้การดำเนินกิจการ คลังสินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของคลังสินค้า แต่ละประเภทที่กําหนดไว้ สินค้าต้องเก็บไว้ในพื้นที่ที่ได้วางแผนไว้ คลังสินค้าและกิจกรรมจัดเก็บจึง รองรับความต้องการในการเก็บสินค้าในกิจกรรมโลจิสติกส์ มีหน้าที่กําหนดพื้นที่ที่ต้องการ การวางผัง การจัดเก็บในคลังสินค้า การออกข้อกําหดนของคลังสินค้า การเติมหรือการสร้างสต็อกทดแทน กิจกรรมนี้ไม่เหมือนกับการควบคุมสินค้าในคลังสินค้า เพราะว่าเป็นการนําข้อมูลจากกิจกรรมในการ ปฏิบัติงานในคลังสินค้ามาใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการจัดเก็บสินค้าในคลังสินค้า 4. ในโลกของการทำงานถ้าสินค้าสามารถผลิตและขนส่งให้ลูกค้าทันทีก็ไม่จําเป็นที่จะต้อง สินค้าคงคลัง เพราะสินค้าคงคลังเป็นตัวที่รองรับในระบบการให้บริการลูกค้าโดยจากลูกค้าภายใน บริษัทคือสนับสนุนการผลิตแก่โรงงานหรือสนับสนุนการตลาดจากโรงงานไปยังลูกค้าภายนอกต้นทุน ในการลงทุนด้านสินค้าคงคลังยังมีความจำเป็นในกรณีที่ไม่มีความแน่นอนของความต้องการจากลูกค้า ดังนั้นระดับสินค้าในคลังสินค้าที่ดีที่สุด จำเป็นต้องมีการควบคุม เพราะทำให้ต้นทุนในการเก็บรักษาดี ที่สุด โดยสามารถรักษาระดับการให้บริการแก่ลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงในการผลิตจึงจำเป็นต้องมี การบริหารจัดการคลังสินค้า เพื่อกําหนดแนวทางการดำเนินงานตามที่ได้วางแผนไว้เกี่ยวกับการเก็บ รักษาและคงสภาพของสินค้าให้เหมือนกับที่รับเข้ามาทั้งปริมาณและคุณภาพ 5. การออกแบบผังคลังสินค้าที่ดีที่สุด คือ การมีระยะทางการเคลื่อนที่ของการขนถ่ายวัสดุ ระหว่างกิจกรรมหรือระหว่างหน่วยงานน้อยที่สุด การเคลื่อนย้ายสินค้าโดยจะรวมถึงการเคลื่อนย้าย วัตถุดิบ สินค้าสำเร็จรูป สินค้าคงคลังในระหว่างการผลิตและสินค้าสำเร็จรูป สินค้าคงคลังในระหว่าง การผลิตและสินค้าสำเร็จรูปภายในโรงงานและคลังสินค้า การเคลื่อนย้ายสินค้า ประกอบด้วย การคัดเลือกอุปกรณ์ นโยบายการทดแทน กระบวนการเลือกหยิบสินค้า การจัดเก็บและนำสินค้าออก จากคลังสินค้า ซึ่งการนำเอาระบบโลจิสติกส์มาใช้ในการเคลื่อนย้ายสินค้าหรือทดแทนการเคลื่อนย้าย ที่ไม่ทำให้เกิดมูลค่าและหาทางที่จะลดต้นทุนจึงเป็นเป้าหมายของการจัดการโลจิสติกส์ 2.3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารสินค้าคงคลัง ทวีศักดิ์เทพพิทักษ์(2550) สินค้าคงคลัง หมายถึง วัตถุดิบที่เก็บไว้เพื่อใช้ในการผลิตและใน การจำหน่ายหรือสินค้าสำเร็จรูปที่มีไว้เพื่อจำหน่าย ตลอดจนวัตถุดิบที่อยู่ในระหว่างการผลิตหรือ
9 สินค้าคงคลัง หมายถึง ปริมาณสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจมีสำรองไว้เพื่อการใช้งาน เพื่อบริการ เพื่อการ ผลิต เพื่อการจัดจำหน่ายในอนาคต กฤช ชาวดอน (2546) กล่าวว่า การบริหารสินค้าคงคลัง หมายถึง การบริหารการดำเนินงาน ที่สำคัญโดยศึกษาพฤติกรรมของต้นทุนของสินค้าคงคลังกับระดับของสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลง เกษมสุข กุลดิลก (2546) กล่าวว่า การบริหารสินค้าคงคลัง หมายถึง การสั่งซื้อสินค้าการรับ สินค้าจนกระทั่งจัดเก็บในคลังสินค้ามีการเบิกสินค้าเพื่อขายสินค้าต่าง ๆ อยู่ในปริมาณที่เพียงพอกับ ความต้องการและไม่ลงทุนในสินค้าคงคลังมากเกินไปหรือน้อยเกินไป การวางแผน และควบคุมสินค้า ที่เหมาะสมเป็นระเบียบแบบแผน สามารถทำให้ธุรกิจลดค่าใช้จ่ายในการบริหารซึ่งจะส่งผลให้กำไร เพิ่มขึ้น คำนาย อภิปรัชญาสกุล (2546) กล่าวว่า การบริหารสินค้าคงคลัง หมายถึง การที่ธุรกิจ สามารถมีสินค้าไว้บริการลูกค้าในปริมาณที่เพียงพอ ทันต่อความต้องการของลูกค้าเสมอเพื่อสร้าง ยอดขายและรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ สามารถลดระดับการลงทุนในสินค้าคงคลังให้ต่ำที่สุดเพื่อทำให้ ตันทุนการผลิตต่ำสุด ประสงค์ ประณีตพลกรัง; และคณะ (2547) กล่าวว่า การบริหารสินค้าคงคลัง หมายถึง การ ตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรักษาสินค้าคงคลังให้มีขนาดและประเภทของสินค้าในปริมาณที่เหมาะสม โดยจะต้องพิจารณาถึงความสมดุลระหว่างความต้องการของตลาด ตันทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ สินค้าคงคลัง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับปัจจัย 2 ประการ ถือ 1) จุดสั่งซื้อใหม่ (Re-Order Point) 2) ปริมาณ การสั่งซื้ออย่างประหยัด (Economic Order Quantity: EOQ) ทวีศักดิ์ เทพพิทักษ์ (2550) การบริหารสินค้าคงคลัง หมายถึง การจัดการต่าง ๆ เกี่ยวกับ รายการสินค้าในคลังสินค้าตั้งแต่การรวบรวม การจดบันทึกสินค้าเข้า - ออก การควบคุมให้มีสินค้า คงเหลือในปริมาณที่เหมาะสม มีระเบียบแบบแผน เพื่อให้สินค้าที่มีอยู่ตรงตามความต้องการของ ผู้บริโภคหรือฝ่ายผลิต จากแนวความคิดดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การบริหารสินค้าคงคลัง หมายถึง การวางแผน และควบคุมสินค้าคงคลังในระดับปริมาณที่เหมาะสม โดยพิจารณาถึงจุดสั่งซื้อใหม่และปริมาณการ สั่งซื้อที่ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันเวลา และเสียดำใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าคง คลังรวมต่ำสุด 2.4 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับระบบการจัดเก็บสินค้า James และ Jerry (1998) ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง The Warehouse Management Handbook; the second edition ในเรื่อง Stock Location Methodology โดยมีการจัดแบ่ง รูปแบบในการจัดเก็บสินค้านั้นออกเป็น 6 แนวคิด คือ
10 2.4.1 ระบบการจัดเก็บสินค้าโดยไร้รูปแบบ (Informal System) เป็นรูปแบบการจัดเก็บ สินค้าที่ไม่มีการบันทึกตำแหน่งการจัดเก็บสินค้าไว้ในระบบและสินค้าทุกชนิดสามารถจัดเก็บไว้ ตำแหน่งใดก็ได้ในคลังสินค้า ซึ่งพนักงานที่ปฏิบัติงานในคลังสินค้านั้นจะเป็นผู้ที่รู้ตำแหน่งในการ จัดเก็บสินค้า รวมทั้งจำนวนที่จัดเก็บสินค้า ซึ่งจะเห็นได้ว่ารูปแบบการจัดเก็บสินค้านี้เหมาะสำหรับ คลังสินค้าที่มีขนาดเล็ก มีจำนวนสินค้าหรือ SKU น้อย และมีจำนวนตำแหน่งที่จัดเก็บสินค้าที่น้อย ด้วย สำหรับในการทำงานในนั้นจะมีการแบ่งพนักงานที่รับผิดชอบเฉพาะเป็นโซน โดยที่แต่ละโซนนั้น ไม่ได้มีแนวทางการปฏิบัติในเรื่องการจัดเก็บแล้วแต่พนักงานที่ปฏิบัติงานในโซนนั้น ๆ ดังนั้นจึงไม่ได้มี แนวทางที่เหมือนกันจึงทำให้อาจเกิดปัญหาการจัดเก็บหรือการที่หาสินค้านั้นไม่เจอในวันที่พนักงานที่ ประจำในโชนนั้นไม่มาทำงาน ตารางที่ 2.1 ข้อดีข้อเสียของระบบจัดเก็บสินค้าโดยไร้รูปแบบ ข้อดี ข้อเสีย 1. ไม่ต้องการการบำรุงรักษาอุปกรณ์และ เครื่องมือต่าง ๆ 2. มีความยืดหยุ่นสูง 1. ยากในการหาสินค้า 2. ขึ้นอยู่กับทักษะของพนักงานคลังสินค้า 3. ไม่มีประสิทธิภาพ ที่มา : Logistics Corner (2016) 2.4.2 ระบบการจัดเก็บสินค้าโดยกำหนดตำแหน่งตายตัว (Fixed Location System) แนวความคิดในการจัดเก็บสินค้าแบบนี้เป็นแนวคิดที่มาจากทฤษฎีกล่าวคือ สินค้าทุกชนิดหรือทุก SKU นั้นจะมีตำแหน่งการจัดเก็บสินค้าที่กำหนดไว้ตายตัวอยู่แล้ว ซึ่งการจัดเก็บสินค้ารูปแบบนี้เหมาะ สำหรับคลังสินค้าที่มีขนาดเล็ก มีจำนวนพนักงานที่ปฏิบัติงานไม่มากและจำนวนสินค้าหรือจำนวน SKU ที่จัดเก็บสินค้าน้อยด้วย โดยจากการศึกษาพบว่าแนวคิดการจัดเก็บสินค้านี้จะมีข้อจำกัดหากเกิด กรณีสินค้านั้นมีการสั่งซื้อเข้ามาทีละมาก ๆ จนเกินจำนวน Location ที่กำหนดไว้ของสินค้าชนิดนั้น หรือในกรณีที่สินค้าชนิดนั้นมีการสั่งซื้อเข้ามาน้อยในช่วงเวลานั้น จะทำให้เกิดพื้นที่ที่เตรียมไว้สำหรับ สินค้าชนิดนั้นว่าง ซึ่งไม่เป็นการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในการจัดเก็บที่ดี ตารางที่ 2.2 ข้อดีข้อเสียของระบบจัดเก็บสินค้าโดยกำหนดตำแหน่งตายตัว ข้อดี ข้อเสีย 1. ง่ายต่อการนำไปใช้ 2. ง่ายต่อการปฏิบัติงาน 1. ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บได้ไม่เต็มที่ 2. ยากต่อการขยายพื้นที่จัดเก็บ
11 ตารางที่ 2.2 (ต่อ) ข้อดี ข้อเสีย 3. ต้องใช้พื้นที่มากหลายตำแหน่งในการจัดเก็บ สินค้าให้มากที่สุด 4. ต้องเสียพื้นที่จัดเก็บโดยเปล่าประโยชน์ใน กรณีที่ไม่มีสินค้าอยู่ในสต็อก 5. ยากต่อการจดตำแหน่งจัดเก็บสินค้า ที่มา : Logistics Corner (2016) 2.4.3 ระบบการจัดเก็บสินค้าโดยจัดเรียงตามรหัสสินค้า (Part Number System) รูปแบบ การจัดเก็บสินค้าโดยใช้รหัสสินค้า (Part Number มีแนวคิดใกล้เคียงกับกรจัดเก็บแบบกำหนด ตำแหน่งตายตัว (Fixed Location) โดยข้อแตกต่างนั้นอยู่ที่การเก็บแบบใช้รหัสสินค้านั้นจะมีลำดับ การจัดเก็บเรียงกันเช่น รหัสสินค้าหมายเลข A123 นั้นจะถูกจัดเก็บก่อนรหัสสินค้าหมายเลข B123 เป็นต้น ซึ่งการจัดเก็บแบบนี้จะเหมาะกับบริษัทที่มีความต้องการส่งเข้า และนำออกของรหัสสินค้าที่มี จำนวนคงที่เนื่องจากมีการกำหนดตำแหน่งการจัดเก็บไว้แล้ว ในการจัดเก็บแบบใช้รหัสสินค้านี้ จะทำ ให้พนักงานรู้ตำแหน่งของสินค้าได้ง่าย แต่จะไม่มีความยืดหยุ่นในกรณีที่องค์กรหรือบริษัทนั้นกำลัง เติบโตและมีความต้องการขยายจำนวน SKU ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องพื้นที่ในการจัดเก็บ ตารางที่ 2.3 ข้อดีข้อเสียของระบบจัดเก็บสินค้าโดยจัดเรียงตามรหัสสินค้า ข้อดี ข้อเสีย 1. ง่ายต่อการค้นหาสินค้า 2. ง่ายต่อการหยิบสินค้า 3. ง่ายต่อการนำไปใช้ 4. ไม่จำเป็นต้องมีการบันทึกตำแหน่งสินค้า 1. ไม่ยืดหยุ่น 2. ยากต่อการปรับปริมาณความต้องการสินค้า 3. การเพิ่มการจัดเก็บสินค้าใหม่จะมีผลกระทบ ต่อการจัดเก็บสินค้าเดิมทั้งหมด 4. ใช้พื้นที่จัดเก็บไม่ได้เต็มที่ ที่มา : Logistics Corner (2016) 2.4.4 ระบบการจัดเก็บสินค้าตามประเภทสินค้า (Commodity System) เป็นรูปแบบการ จัดเก็บสินค้าตามประเภทของสินค้าหรือประเภทสินค้า (Product type) โดยมีการจัดตำแหน่งการ วางคล้ายกับร้านค้าปลีกหรือตาม Supermarket ทั่วไปที่มีการจัดวางสินค้าในกลุ่มก้อนเดียวกันหรือ
12 ประเภทเดียวกันได้ ตำแหน่งที่ใกล้กันซึ่งรูปแบบในการจัดเก็บสินค้าแบบนี้จัดอยู่ในแบบ Combination System ซึ่งจะช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บสินค้าคือมีการเน้นเรื่องการ ใช้งานพื้นที่จัดเก็บมากขึ้นและยังง่ายต่อพนักงานหยิบสินค้าในการทราบถึงตำแหน่งของสินค้าที่ จะต้องไปหยิบ แต่มีข้อเสียเช่นกันเนื่องจากพนักงานที่หยิบสินค้าจำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของสินค้า แต่ละชนิดหรือแต่ละยี่ห้อที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกันไม่เช่นนั้นอาจเกิดการหยิบสินค้าผิดชนิดได้และ ทำให้เกิดความเสียหาย ตารางที่ 2.4 ข้อดีข้อเสียของระบบจัดเก็บสินค้าตามประเภทสินค้า ข้อดี ข้อเสีย 1. สินค้าถูกแบ่งตามประเภททำให้พนักงาน ผู้ปฏิบัติงานเข้าใจได้ง่าย 2. การหยิบสินค้าทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. มีความยืดหยุ่นสูง 1. ในกรณีที่สินค้าประเภทเดียวกันมีหลายรุ่น / ยี่ห้ออาจทำให้หยิบสินค้าผิดรุ่น / ยี่ห้อได้ 2.จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของสินค้าแต่ละ ชนิดหรือแต่ละยี่ห้อที่จะหยิบ 3. การใช้สอยพื้นที่จัดเก็บดีขึ้นแต่ยังไม่ดีที่สุด 4. สินค้าบางอย่างอาจยุ่งยากในการจัดประเภท สินค้า ที่มา : Logistics Corner (2016) 2.4.5 ระบบการจัดเก็บที่ไม่ได้กำหนดตำแหน่งตายตัว (Random Location System) เป็น การจัดเก็บที่ไม่ได้กำหนดตำแหน่งตายตัว ทำให้สินค้าแต่ละชนิดสามารถถูกจัดเก็บไว้ในตำแหน่งใดก็ ได้ในคลังสินค้า แต่รูปแบบการจัดเก็บแบบนี้จำเป็นต้องมีระบบสารสนเทศในการจัดเก็บและติดตาม ข้อมูลของสินค้าว่าจัดเก็บอยู่ในตำแหน่งใด โดยต้องมีการปรับปรุงข้อมูลอยู่ตลอดเวลาด้วย ซึ่งในการ จัดเก็บแบบนี้จะเป็นรูปแบบที่ใช้พื้นที่จัดเก็บอย่างคุ้มค่า เพิ่มการใช้งานพื้นที่จัดเก็บและระบบที่ถือว่า มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับคลังสินค้าทุกขนาด ตารางที่ 2.5 ข้อดีข้อเสียของระบบการจัดเก็บที่ไม่ได้กำหนดตำแหน่งตายตัว ข้อดี ข้อเสีย 1. สามารถใช้งานพื้นที่จัดเก็บได้อย่างเกิด ประโยชน์สูงสุด 1. ต้องมีการบันทึกข้อมูลการจัดเก็บสินค้าอย่าง ละเอียดและมีประสิทธิภาพ
13 ตารางที่ 2.5 (ต่อ) ข้อดี ข้อเสีย 2. มีความยืดหยุ่นสูง 3. ง่ายต่อการขยายการจัดเก็บ 4. ง่ายในการปฏิบัติงาน 5. ระยะทางเดินหยิบสินค้าไม่ไกล 2. ต้องเข้มงวดในการติดตามการบันทึกข้อมูล การจัดเก็บ ที่มา : Logistics Corner (2016) 2.4.6 ระบบการจัดเก็บแบบผสม (Combination System) เป็นรูปแบบการจัดเก็บที่ ผสมผสานหลักการของรูปแบบการจัดเก็บในข้างต้น โดยตำแหน่งในการจัดเก็บนั้นจะมีการพิจารณา จากเงื่อนไขหรือข้อจำกัดของสินค้าชนิดนั้น ๆ เช่น หากคลังสินค้านั้นมีสินค้าที่เป็นวัตถุอันตรายหรือ สารเคมีต่าง ๆ รวมอยู่กับสินค้าอาหาร จึงควรแยกการจัดเก็บสินค้าอันตรายและสินค้าเคมีดังกล่าวให้ อยู่ห่างจากสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งถือเป็นรูปแบบการจัดเก็บแบบกำหนด ตำแหน่งตายตัวสำหรับพื้นที่ที่เหลือในคลังสินค้านั้น เนื่องจากมีการคำนึงถึงเรื่องการใช้งานพื้นที่ จัดเก็บ ดังนั้นจึงจัดใกล้ที่เหลือมีการจัดเก็บแบบไม่ได้กำหนดตำแหน่งตายตัว (Random) ก็ได้ โดย รูปแบบการจัดเก็บแบบนี้เหมาะสำหรับคลังสินค้าทุก ๆ แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลังสินค้าที่มีขนาด ใหญ่และสินค้าที่จัดเก็บนั้นมีความหลากหลาย ตารางที่ 2.6 ข้อดีข้อเสียของระบบการจัดเก็บแบบผสม ข้อดี ข้อเสีย 1. มีความยืดหยุ่นสูง 2. เป็นการประสานข้อดีจากทุกระบบการ จัดเก็บเข้าด้วยกัน 3. สามารถปรับเปลี่ยนการจัดเก็บได้ตามสภาพ ของคลังสินค้า 4. สามารถควบคุมการจัดเก็บได้อย่างดี 1. อาจทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความสับสน เนื่องจากมีระบบการจัดเก็บมากกว่า 1 วิธี 2. การใช้ประโยชน์จากพื้นที่จัดเก็บมีความไม่ แน่นอน เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ที่มา : Logistics Corner (2016)
14 2.5 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการแบ่งหมวดหมู่สินค้าตามทฤษฎี (ABC Analysis) พิภพ เลาประจง (2549) การควบคุมสินค้าคงคลังเป็นงานที่ทำเพื่อให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ต่ำ ที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทมักจะมีสินค้าคงคลังมากมายหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบชิ้นส่วน อะไหล่หรือสินค้าสำเร็จรูป ตลอดจนของใช้สำนักงาน ถ้าเราให้ความสนใจควบคุมของเหล่านี้ทั้งหมด ในคลังอย่างใกล้ชิดก็จะทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้ง่ายและเสียเวลามาก ทางที่ดีที่สุดจึงควรจำแนกประเภท ของสินค้าคงคลังออกเป็นชนิดที่มีความสำคัญมาก และที่มีความสำคัญรองลงมาวิธีการจำแนกชนิด ของสินค้าคงคลังที่รู้จักกันทั่วไปคือวิธี ABC ซึ่งเป็นเทคนิคที่มีหลักการจำแนกของรายการสินค้าคง คลังตามจำนวนเงินของสินค้าคงคลังที่หมุนเวียนในคลังในรอบปีการบริหารสินค้าคงคลังโดยใช้ระบบ ABC Classification เป็นแนวคิดการบริหารสินค้าคงคลังที่เหมาะสมกับกิจการที่มีสินค้าคงคลังมาก ชนิด แต่ละชนิดมีปริมาณการใช้และต้นทุนต่อหน่วยแตกต่างกัน ซึ่งเป็นแนวคิดแบ่งสินค้าคงคลัง ออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่ม A, B และ C โดยที่ กลุ่ม A เป็นสินค้าคงคลังกลุ่มที่มีปริมาณการหมุนเวียนมาก กลุ่ม B เป็นสินค้าคงคลังกลุ่มที่มีปริมาณการหมุนเวียนปานกลาง กลุ่ม C เป็นสินค้าคงคลังกลุ่มที่มีปริมาณการหมุนเวียนน้อย จากนั้นจึงกำหนดนโยบายการบริหารสินค้าคงคลังให้เหมาะสมกับสินค้าคงคลังแต่ละกลุ่ม สินค้าคงคลังกลุ่ม A เป็นสินค้าคงคลังที่ธุรกิจควรระมัดระวังและให้ความสนใจในการบริหารมากที่สุด เป็นสินค้าคงคลังกลุ่มที่ต้องนำตัวแบบเชิงปริมาณมาใช้ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารสินค้า คงดลัง สินค้าคงคลังกลุ่ม B เป็นสินค้าคงคลังที่มีความสำกัญในการบริหารพอควร และอาจใช้ตัวแบบ เชิงปริมาณในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารสินค้าคงคลังบางประเภทในกลุ่มนี้ส่วนสินค้าคงคลัง กลุ่ม C เป็นสินค้าคงคลังที่มีมูลค้าน้อยธุรกิจจึงมักให้ความสนใจในการบริหารสินค้าคงคลังกลุ่มนี้น้อย ที่สุด ขั้นตอนในการจำแนกของสินค้าคงคลังตามแนววิธี ABC Classification ดังนี้ 1. รวบรวมสถิติข้อมูลปริมาณการใช้คำนวณมูลค่าและร้อยละของมูลค่าการใช้สินค้าคงคลัง แต่ละชนิดตลอดช่วงเวลาที่ทำการศึกษา 2. จัดเรียงลำดับมูลค่าการใช้ของสินค้าคงคลังและพิจารณาร้อยละของมูลค่าการใช้ของสินค้า คงคลังแต่ละชนิด 3. แบ่งกลุ่มสินค้าคงคลังออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่ม A, B และ C
15 ตารางที่ 2.7 การแบ่งประเภทสินค้าคงคลังด้วยระบบ ABC กลุ่มสินค้า มูลค่าในการใช้ / สั่งซื้อ ปริมาณสินค้าคงคลังทั้งหมด A 70 - 80% แรกของมูลค่า 10 - 15% B 10 - 15% ถัดมาของมูลค่า 30 - 40% C 3 - 5% สุดท้ายของมูลค่า 50 - 60% สินค้าคงคลังกลุ่ม A เป็นสินค้าคงคลังที่มีการหมุนเวียนรวมประมาณ 70 - 80% ของการ หมุนเวียนสินค้าคงคลัง สินค้าคงคลัง กลุ่ม B เป็นสินค้าคงคลังที่มีการหมุนเวียนรวมประมาณ 20 - 30% ของการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง สินค้าคงคลัง กลุ่ม C เป็นสินค้าคงคลังที่มีการหมุนเวียน รวมประมาณ 5 - 10% ของการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง ภาพที่ 2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าหมุนเวียนและปริมาณสินค้าคงคลัง ที่มา : Joyce Software (2565) สินค้าคงคลังกลุ่ม A ใช้การคำนวณปริมาณการเบิกจ่ายสินค้าคงคลังแต่ละชนิดอย่าง ละเอียด และพิจารณาด้วยความระมัดระวัง มีการตรวจสอบการใช้งานอย่างเข้มงวด เพื่อเฝ้าระวัง สินค้าขาด มือ สินค้าคงคลังกลุ่ม B เหมือนกลุ่ม A แต่ให้ความสำคัญในการบริหารรองลงมา และมีความถี่ใน การตรวจสอบน้อยลง สินค้าคงกลังกลุ่ม C ไม่จำเป็นต้องคำนวณปริมาณการสั่งซื้อสินค้าคงคลังแต่ละชนิดอย่าง ละเอียด ใช้การคำนวณอย่างคร่าว ๆ และมีการตรวจสอบอัตราการใช้งานนานๆ ครั้ง แสดงถึง
16 ความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าหมุนเวียนและปริมาณสินค้าคงคลัง เหตุผลที่ต้องจำแนกสินค้าคงคลังใน ลักษณะนี้ก็เพื่อกำหนดความสำคัญมากน้อยของสินค้าคงคลัง ในขณะที่มีบางวิธีที่กำหนดให้ ความสำคัญในการจัดการกับสินค้าในกลุ่ม C ที่มีปริมาณมากแต่มูลค่ารวมน้อยเละมีอัตราการ หมุนเวียนต่ำ (Critical Value Added) เนื่องจากส่วนใหญ่จะละเลย ที่จะให้ความสำคัญกับสินค้าคง คลังกลุ่มนี้แต่หลาย ๆ ครั้งพบว่า หากบางรายการในสินค้าคงคลัง กลุ่มนี้เกิดการขาดแคลนจะส่งผล กระทบต่อระบบได้ และหากมีมากเกินไปก็จะกลายเป็นสินค้าคงคลังส่วนเกินซึ่งโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้าง สูง ในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาวิธีในการจัดการที่ เหมาะสมกับสินค้าคงคลังในกลุ่มนี้แต่อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีศึกษานี้เป็นวิธีการหนึ่งที่เหมาะสม สามารถนำมาแก้ไขหรือประยุกต์ใช้กับปัญหาของบริษัทฯ จำนวนเปอร์เซ็นต์ที่จะใช้ในการจำแนก สินค้าคงคลังแต่ละประเภท ควรจะเป็นเท่าไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับสภาพการของการมีสินค้าคงคลัง สินค้า คงคลังประเภท A มักจะมีราคาสูงการตั้งเกณฑ์ราคาไว้ระดับหนึ่งจะช่วยให้แบ่งประเภทได้ง่ายขึ้น แต่ ช่วงที่จะใช้เป็นชนิด B มักจะกำหนดได้ยาก อย่างไรก็ตามแต่ละบริษัทก็มักจะมีวิธีและแนวทางเป็น ของตัวเอง อธิศานต์ วายุภาพ (2552) กล่าวไว้ว่า การแบ่งหมวดหมู่สินค้าสินค้าคงคลังด้วยวิธีการ วิเคราะห์แบบ ABC เป็นการควบคุมสินค้าคงคลังเป็นงานที่ทำขึ้นเพื่อให้ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เกิดขึ้น จากการจัดให้มีสินค้าคงคลังต่ำที่สุด แต่อย่างไรก็ตามบริษัทมักมักจะมีสินค้าคงคลังมากมายหลาย ชนิด ถ้าจะให้ความสนใจควบคุมสินค้าคงคลังทั้งหมดนี้อย่างใกล้ชิดก็จะทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและ เสียเวลามาก ดังนั้นนอกเหนือจากส่วนที่เป็นนโยบายของบริษัทแล้ว การควบคุมสินค้าคงคลังควร พิจารณาถึงความเหมาะสมของชนิดสินค้าคงคลังด้วย ทางที่เหมาะสมจึงสมควรจำแนกประเภทของ สินค้าคงคลังออกเป็นชนิดที่มีความสำคัญมากและที่มีความสำคัญรองลงมา วิธีนี้เรียกว่า ABC Analysis ซึ่งมีหลักการจำแนกสินค้าคงคลังออกตามจำนวนเงินของสินค้าคงคลังที่หมุนเวียนใน รอบปีหรือสามารถสรุปได้ว่า ABC Analysis เป็นการวิเคราะห์ด้วยการจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้ สามารถจัดการกับสินค้าประเภทต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม การวิเคราะห์จำแนกกลุ่มสินค้าคงคลังตามความสำคัญ ซึ่งความหมายของความสําคัญของ สินค้าคงคลังในที่นี้หมายถึง มูลค่าหรือราคาของสินค้าคงคลังผลกระทบจากการขาดมือ ตลอดจน ปัญหาต่าง ๆ ได้แก่ ปัญหาในเรื่องของเวลานําส่ง อายุการเก็บรักษา ปัญหาคุณภาพและปัญหาการ จัดการโดยที่สินค้าคงคลังที่มีความสำคัญมาก เราเรียกว่าเป็นประเภท A ส่วนที่มีความสำคัญมาก รองลงไปจะเป็นประเภท B และประเภท C ตามลำดับ - Class A = สินค้าคงคลังที่มีความสำคัญมาก มีมูลค่าคงคลังหมุนเวียนในรอบปีสูง ระยะเวลานําส่ง (Lead Time) มากและสามารถตรวจนับง่าย
17 - Class B = มีมูลค่าสินค้าคงคลังหมุนเวียนในรอบปีปานกลาง ระยะเวลานําส่ง (Lead Time) รองลงมาจาก Class A - Class C = มีมูลค่าสินค้าคงคลังหมุนเวียนในรอบปีต่ำ ระยะเวลานําส่ง (Lead Time) น้อย และการตรวจนับทำได้ยาก จำนวนเปอร์เซ็นต์ที่จะจำแนกพัสดุคงคลังออกเป็น Class ต่าง ๆ ควรจะเป็นเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่ กับสภาพการของการมีสินค้าคงคลัง แต่ละบริษัทจะมีวิธีการและแนวทางเป็นของตนเอง โดยหลักการ ที่จะใช้กําหนดประเภทความสำคัญของสินค้าคงคลังไว้ดังนี้ - Class A มีมูลค่าประมาณ 75 - 80% ของมูลค่าพัสดุคงคลังทั้งหมด - Class B มีมูลค่าประมาณ 20 - 30% ของมูลค่าพัสดุคงคลังทั้งหมด - Class C มีมูลค่าประมาณ 5 - 10% ของมูลค่าพัสดุคงคลังทั้งหมด ตารางที่ 2.8 วิธีการควบคุมสินค้าคงคลัง Class ต่าง ๆ รายละเอียด ระดับการควบคุม Class A 1. จำเป็นต้องมีการควบคุมอย่างใกล้ชิด และเข้มงวด 2. บันทึกตามความเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการ ที่มีราคาสูง 3. รายงานสถานภาพ และความเคลื่อนไหวให้แก่ผู้บริหารระดับสูง 4. การสั่ง และเบิกใช้จะต้องมีการบันทึกรายการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง และสมบูรณ์ 5. ใช้วิธีการประเมินอุปสงค์ที่แม่นยําแม้จะยุ่งยาก 6. มีการตรวจสอบอยู่เสมอ 7. การสำรองปริมาณคงคลังจะต้องอยู่ในระดับที่ปลอดภัย ไม่ควรเกิดของ ขาดมือ 8. เมื่อมีการสั่งซื้อกับ Supplier แล้วจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ส่ง ของได้ทันกําหนด 9. ใช้เทคนิคที่เหมาะสมในการกําหนดนโยบายคงคลัง ส่วนใหญ่จะใช้ ระบบการสั่งซื้อที่ประหยัด EOQ Class B 1. ความถี่ในการสั่งซื้อไม่บ่อยครั้งเท่ากับ Class A 2. มีการตรวจสอบตามรอบเวลา ซึ่งผู้บริหารเป็นผู้กําหนด เช่น ทุก ๆ 3-4 เดือน 3. พยายามให้มีคงคลังสำรองให้เพียงพอ
18 ตารางที่ 2.8 (ต่อ) รายละเอียด ระดับการควบคุม Class B 4. ส่วนใหญ่ใช้ระบบการสั่งซื้อที่ประหยัด EOQ ประเภทปริมาณการสั่งซื้อ คงที่ Class C 1 เป็นของคงคลังที่มีมูลค่าต่ำแต่มีจำนวนมาก 2. การควบคุมไม่จำเป็นต้องเข้มงวดมากนัก ใช้วิธีง่าย ๆ แต่ควรให้มีการ ตรวจสอบงานประจำ 3. มีการบันทึกรายการบัญชีแบบง่าย ๆ เช่น อาจใช้หน่วยการวัดที่ต้อง ละเอียดมากนัก 4. มีการตรวจสอบครึ่งปีครั้ง หรือปีละครั้ง 5. ส่วนใหญ่ใช้ระบบการสั่งซื้อที่ประหยัด EOQ ประเภทสองกล่อง 2.6 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับแผนผังสาเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) จุฑาเทียนไทย (2548) กล่าวไว้ว่า แผนผังสาเหตุและผลเป็นแผนผังที่แสดงถึงความสัมพันธ์ ระหว่างปัญหา (Problem) กับสาเหตุทั้งหมดที่เป็นไปได้ที่อาจก่อให้เกิดปัญหานั้น (Possible Cause) เราอาจคุ้นเคยกับแผนผังสาเหตุและผลในชื่อของ “ผังก้างปลา” (Fish Bone Diagram) เนื่องจาก หน้าตาแผนภูมิมีลักษณะคล้ายปลาที่เหลือแต่ก้างหรือหลาย ๆ คนอาจรู้จักในชื่อของแผนผังอิชิกาว่า (Ishikawa Diagram) ซึ่งได้รับการพัฒนาครั้งแรกเมื่อปีค.ศ.1943 โดยศาสตราจารย์ คําโอรุอิชิกาว่า แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น (JIS) ได้นิยามความหมายของผังก้างปลานี้ว่า “เป็นแผนผังที่ใช้แสดงความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบระหว่างสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุที่เป็นไปได้ที่ส่งผล กระทบให้เกิดปัญหาหนึ่งปัญหา” เมื่อไรจึงจะใช้แผนผังสาเหตุและผล 1. เมื่อต้องการค้นหาสาเหตุแห่งปัญหา 2. เมื่อต้องการทำการศึกษา ทำความเข้าใจ หรือทำความรู้จักกับกระบวนการอื่น ๆ เพราะว่า โดยส่วนใหญ่พนักงานจะรู้ปัญหาเฉพาะในพื้นที่ของตนเท่านั้น แต่เมื่อมีการทำผังก้างปลาแล้วจะทำให้ เราสามารถรู้กระบวนการของแผนกอื่นได้ง่ายขึ้น 3. เมื่อต้องการให้เป็นแนวทางในการระดมสมอง ซึ่งจะช่วยให้ทุก ๆ คนให้ความสนใจใน ปัญหาของกลุ่มซึ่งแสดงไว้ที่หัวปลา
19 วิธีการสร้างแผนผังสาเหตุและผลหรือผังก้างปลา สิ่งสำคัญในการสร้างแผนผัง คือ ต้องทำเป็นทีม เป็นกลุ่ม โดยใช้ขั้นตอน 6 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. กำหนดประโยคปัญหาที่หัวปลา 2. กำหนดกลุ่มปัจจัยที่จะทำให้เกิดปัญหานั้นๆ 3. ระดมสมองเพื่อหาสาเหตุในแต่ละปัจจัย 4. หาสาเหตุหลักของปัญหา 5. จัดลำดับความสำคัญของสาเหตุ 6. ใช้แนวทางการปรับปรุงที่จำเป็น โครงสร้างของแผนผังสาเหตุและผล ภาพที่ 2.2 โครงสร้างของแผนผังสาเหตุและผล ที่มา : เภสัชกรประชาสรรณ์ แสนภักดี (2547) ผังก้างปลาประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ส่วนปัญหาหรือรู้ผลลัพธ์ (Problem or Effect) ซึ่งจะแสดงอยู่ที่หัวปลา ส่วนสาเหตุ (Causes) จะสามารถแยกย่อยออกได้อีกเป็น • ปัจจัย (Factors) ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหา (หัวปลา) • สาเหตุหลัก • สาเหตุย่อย สาเหตุของปัญหาจะเขียนไว้ในก้างปลาแต่ละก้างย่อยเป็นสาเหตุของก้างรองและก้างรองเป็น สาเหตุของก้างหลัก เป็นต้น
20 การกําหนดปัจจัยบนก้างปลา เราสามารถที่จะกําหนดกลุ่มปัจจัยอะไรก็ได้แต่ต้องมั่นใจว่ากลุ่มที่เรากําหนดไว้เป็นปัจจัยนั้น สามารถที่จะช่วยให้เราแยกแยะและกําหนดสาเหตุต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ และเป็นเหตุเป็นผลโดย ส่วนมากมักจะใช้หลักการ 4M 1E เป็นกลุ่มปัจจัย (Factors) เพื่อจะนําไปสู่การแยกแยะ สาเหตุต่าง ๆ ซึ่ง 4M 1E นี้มาจาก • M Man คนงาน หรือพนักงาน หรือบุคลากร • M Machine เครื่องจักรหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวก • M Material วัตถุดิบหรืออะไหล่อุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ในกระบวนการ • M Method กระบวนการทำงาน • E Environment อากาศ สถานที่ ความสว่าง และบรรยากาศการทำงาน ภาพที่ 2.3 ส่วนประกอบของผังก้างปลา ที่มา : เภสัชกรประชาสรรณ์ แสนภักดี (2547) แต่ไม่ได้หมายความว่าการกําหนดก้างปลาจะต้องใช้ 4M 1E เสมอไป เพราะหากเราไม่ได้อยู่ ในกระบวนการผลิตแล้ว ปัจจัยนำเข้า (input) ในกระบวนการก็จะเปลี่ยนไป เช่น ปัจจัยการนำเข้า เป็น 4P ได้แก่ Place , Procedure, People และ Policy หรือเป็น 4S Surrounding, Supplier, System และSkill ก็ ได้ ห ร ื ออาจ จ ะเป็ น MILK Management, Information, Leadership, Knowledge ก็ได้ นอกจากนั้น หากกลุ่มที่ใช้ก้างปลามีประสบการณ์ในปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ก็สามารถที่จะกําหนดกลุ่มปัจจัยใหม่ให้เหมาะสมกับปัญหาตั้งแต่แรกเลยก็ได้เช่นกัน
21 การกําหนดหัวข้อปัญหาที่หัวปลา การกําหนดหัวข้อปัญหา ควรกําหนดให้ชัดเจนและมีความเป็นไปได้ ซึ่งหากเรากําหนด ประโยคปัญหานี้ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว จะทำให้เราใช้เวลามากในการค้นหาสาเหตุ และจะใช้ เวลานานในการทำผังก้างปลา การกําหนดปัญหาที่หัวปลา เช่น อัตราของเสีย อัตราชั่วโมงการทำงาน ของคนที่ไม่มีประสิทธิภาพ อัตราการเกิดอุบัติเหตุ หรืออัตราต้นทุนต่อสู้นค้าหนึ่งชิ้น เป็นต้น ซึ่งจะ เห็นได้ว่าควร กําหนดหัวข้อปัญหาในเชิงลบเทคนิคการระดมความคิดเพื่อจะได้ก้างปลาที่ละเอียด สวยงาม คือการ ถามทําไม ทําไม ทําไม ในการเขียนแต่ละก้างย่อย สรุปได้ว่าแผนผังก้างปลา (Fishbone Diagram) เป็นแผนผังที่ใช้เป็นเครื่องมือในการค้นหา ปัญหากับสาเหตุทั้งหมดที่ส่งผลให้เกิดปัญหานั้น ๆ เพื่อช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาหลักที่อยู่หัวปลาได้ อย่างถูกต้อง โดยหัวปลาจะแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่ต้องการวิเคราะห์ เส้นก้างปลาที่ลากจากกระดูก 2.7 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับข้อมูลบริษัทกรณีศึกษา วิสัยทัศน์ เป็นผู้นำค้าปลีก Omni – Channel สินค้าวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งซ่อมแซมบ้านที่ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างครบวงจรของคนในภูมิภาคเอเชีย ค่านิยม I CARE I INNOVATION สร้างสรรค์คิดสิ่งใหม่ เปิดกว้างสำหรับทุกโอกาสและความท้าทาย เพื่อการทำงานที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น C CUSTOMER มุ่งมั่นพัฒนาด้านการบริการสู่ความเป็นเลิศโดยมุ่งเน้นและใส่ใจ ลูกค้าเป็นสำคัญ A ALLIANCE เคารพคุณค่าความแตกต่างและทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อ ความก้าวหน้าทั้งกลุ่มธุรกิจ R RELATIONSHIP มีจิตผูกพันพึ่งพากับทั้งเพื่อนพนักงาน คู่ค้า และสังคมเพื่อการ เติบโตที่ยั่งยืน E ETHIC มุ่งรักษาจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ
22 ตารางที่ 2.9 วัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยในการทำงาน Health & Safety Objectives เป้าหมายระดับธุรกิจ (Business drive) วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ข้อบังคับ ผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา การเกิดอุบัติเหตุ (Accidents) - เสียชีวิตจากปฏิบัติงานในพื้นที่ คลังสินค้า - บาดเจ็บขั้นหยุดงานเกิน 3 วัน - บาดเจ็บขั้นหยุดงานไม่เกิน 3 วัน - บาดเจ็บเล็กน้อยขั้นไม่หยุดงาน 0 ครั้ง ลดลง 30 % ลดลง 30 % ลดลง 30 % Accident report Accident report Accident report Accident report จป.หัวหน้างาน จป.หัวหน้างาน จป.หัวหน้างาน จป.หัวหน้างาน 1 ปี 1 ปี 1 ปี 1 ปี การเกิดอุบัติภัย (Incidents) - ไม่เกิดไฟไหม้อัคคีภัย 100% Incident report Incident report 1 ปี ไม่ละเมิดกฎหมาย - ข้อกฎหมายกับอาชีวอนามัย และ ความปลอดภัย 100% หน่วยงานราชการ และกล่องรับ ความคิดเห็น จป.วิชาชีพ 1 ปี เป้าหมายระดับการจัดการ (Management drive) จัดทำรายงานด้านความปลอดภัย 2 ครั้ง/ปี บันทึกรับของกรม สวัสดิการและ คุ้มครองแรงงาน จังหวัดอยุธยา จป.วิชาชีพ 1 ปี สอบสวนและรายงานเคสอุบัติเหตุ ทุกเคส/ปี Accident repor, สถิติความปลอดภัย หน่วยงานความ ปลอดภัย 1 ปี ตรวจวัดสภาพแวดล้อมความ ปลอดภัยการทำงานตามกฎหมาย 1. แสงสว่าง 2. ระบบไฟฟ้า 3. ตรวจสอบอาคาร 4. ตรวจสภาพรถForklift (แก๊ส) 5. ตรวจสอบ Fire Pump, 6. ตรวจสภาพแวดล้อมการทำงาน 1 ครั้ง/ปี รายงานผลการ ตรวจจากหน่วยงาน , วิศวกรที่ได้รับการ ขึ้นทะเบียน จป.วิชาชีพ 1 ปี
23 ตารางที่ 2.9(ต่อ) เป้าหมายระดับปฏิบัติการ (Operation drive) วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ข้อบังคับ ผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา การฝึกอบรม และการผ่านการ ทดสอบ 1. อบรมดับเพลิงขั้นต้น 1 ครั้ง/ปี 1 ครั้ง/ปี Certificate Loss Prevention จป.วิชาชีพ ฝ่ายบุคคล 1 ปี ขอบเขตของการประยุกต์มาตรฐาน ISO 45001:2018 บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ (คลังสินค้า) จำกัด ที่อยู่ บ้านเลขที่ 345 หมู่ที่ 5 ต.บ่อตาโล่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา 13170 มีขอบเขตการประยุกต์ใช้มาตรฐาน ISO 45001:2018 ในขอบเขตของ การจัดการองค์กรดังนี้ ประยุกต์ใช้ระบบมาตรฐานการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (ISO 45001: 2018) "ผู้จัดหาให้สำหรับศูนย์กระจายสินค้า, คลังสินค้า, และกิจกรรมการขนส่ง สำหรับวัสดุที่ใช้ในการ ก่อสร้าง" "The Provision of Warehouse, Distribution, Transportation of building materials" รายละเอียดภายใต้ขอบเขตที่กล่าวไว้ด้านบน ISO:45001:2018 (Occupational health and safety System) - การรับสินค้า - การตรวจเช็คสินค้า - การจัดเก็บและดูแลสินค้า - การเบิก - จ่ายสินค้า - การเคลื่อนย้ายสินค้า - การขนส่งสินค้าให้กับสาขา และคู่ค้าโดยรถขนส่งของบริษัทซีอาร์ซี ไทวัสดุ และ บริษัท Subcontract - การปฏิบัติงานของพนักงานทั้งหมด - การซ่อมบำรุง ขั้นตอนในการปฏิบัติงาน 1. Creat Control Sheet 2. จ่าย Control Sheet ให้ Team Count ดำเนินการ Count 3. Check Not Count ถ้ามีให้ไป Count Loc. ที่ยังไม่ Count 4. Count Complete ให้ทำการ Check Diff
24 5. กรณีมี Diff ให้ทำการออก Re- Count Sheet แล้วไป Count ใหม่โดย ไม่โชว์ยอด ให้เขียน ยอดมาในเอกสาร Re- Count Sheet 6. Re-Count เสร็จให้ทำการ Confirm Re-Count ตรวจสอบยอดสินค้า ระหว่าง Count 1 และ Re- Count 7. ประกบเอกสาร Control,Re-Count และ บันทึกรายละเอียด 8 กรณี Check Diff แล้วไม่มี Diff ไปที่ข้อ 7 และ ข้อ 9 9. จบงาน ภาพที่ 2.4 ขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ที่มา : บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ (คลังสินค้า) จำกัด นโยบายอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (ประกาศเลขที่ CHG-OSH-MNM-2022001) บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ (คลังสินค้า) จำกัด ตระหนักถึงระบบการจัดการอาชีวอนามัย และ ความปลอดภัย ISO 45001:2018 ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำเนินงานความปลอดภัย สุขภาพอนามัย และความสุขกาย สุขใจของผู้ปฏิบัติงาน เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเป็นทรัพยากรที่มี
25 ค่าสูงสุดขององค์กร อีกทั้งในปัจจุบันกระบวนการปฏิบัติงานมีความเสี่ยงอันตรายมาก และเป็นปัจจัย ในการบันทอนสมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานดังนั้นจึงกำหนดนโยบายระบบการจัดการอาชีวอนามัยและ ความปลอดภัย ISO 45001:2018 ดังนี้ 1. บริษัทฯ จะดำเนินการพัฒนาระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมายและข้อกำหนดตามมาตฐาน ISO45001 ตามที่บริษัทได้ประกาศ 2. บริษัทฯ จะควบคุมและป้องกันอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพและอันตรายจาก อัคคีภัย สารเคมี ไฟฟ้า เครื่องจักร เหตุฉุกเฉิน โรคจากการทำงานและอันตรายอื่น ๆ ที่เกิด กับผู้ปฏิบัติงานคู่ค้า ผู้รับเหมา และผู้มาติดต่อหรือมาปฏิบัติงานภายในองค์กรให้อยู่ในระดับ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ 3.บริษัทฯ มุ่งเน้นในด้านการให้คำปรึกษา และให้ความสำคัญในการมีส่วนร่วมของ ผู้ปฏิบัติงานหรือตัวแทนผู้ปฏิบัติงาน ในการดำเนินกิจกรรมอาชีวอนามัยและความปลอดภัย อย่างเหมาะสม 4. บริษัทฯ จัดให้มีการรณรงค์การปลุกจิตสำนึกและส่งเสริมการมีจิตสำนึกด้าน อาชีวอนามัย รวมทั้งติดตาม ประเมินผล และพัฒนาการดำเนินงานตามนโยบายระบบการ จัดการ อาชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการปฏิบัติ และมีการ ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นราวิชญ์ มงคลรัชดารมย์(2559) ได้ศึกษาเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้า กรณีศึกษา บริษัท B ซัพพลายเชน จำกัด ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการทางานเดิมมี 8 ขั้นตอน สามารถรวมขั้นตอนการทำงาน 3 ขั้นตอน และจัดเรียงกระบวนการทำงานใหม่ เหลือกระบวนการ ทำงานใหม่ 4 ขั้นตอน สามารถลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน และสามารถลดระยะเวลาที่ใช้ใน กระบวนการทำงานทั้งหมด เดโชพล เจริญเขต และคณะ (2558) ได้ศึกษาเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคง คลังเพื่อป้องกันและลดการสูญหายของสินค้าของร้านซาร่าเฟอร์นิเจอร์จังหวัดขอนแก่น ผลการวิจัย พบว่า จากการวิเคราะห์ปัญหาการดำเนินงานจากแผนภูมิก้างปลามีปัญหา 2 ด้าน คือ 1) ด้านการ บริหารสินค้าคงคลัง 2) ด้านการตลาด สำหรับปัญหาแรกนั้นทางกลุ่มจึงได้มีการปรับปรุงการบริหาร สินค้าคงคลังโดยการจัดทำใบตรวจนับสินค้า ป้ายรหัสสินค้า ป้ายไวนิลแยกเป็นหมวดตามประเภทการ ใช้งาน อีกทั้งออกแบบและจัดทำใบส่งของเพื่อสามารถตรวจสอบสถานะการส่งของไปยังลูกค้าและ ป้องกันสินค้าสูญหายระหว่างขนส่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการสูญหายของสินค้าไม่น้อยกว่า 50%
26 จากผลการดำเนินงาน ปรากฎว่าสามารถลดการสูญหายของสินค้าได้ 100% สำหรับปัญหาที่สองทาง กลุ่มได้มีการปรับปรุงการบริหารงานทางการตลาด กำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด (4P's) การกำหนด ตลาดเป้าหมาย (STP Marketing) วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก (SWOT Analysis) และวิเคราะห์ TOWS Matrix เพื่อกำหนดกลยุทธ์การดำเนินการทางด้านการตลาดโดยใช้เครื่องมือ 4P's และ 6W 1H ร่วมกับแบบสอบถาม เพื่อทราบถึงการใช้เฟอร์นิเจอร์ของกลุ่มลูกค้า เจนรตชา แสงจันทร์(2562) ได้ศึกษาเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้าโดย ประยุกต์ใช้วิธีการจัดแบ่งวัสดุตามความถี่ในการใช้ กรณีศึกษา บริษัท แห่งหนึ่งในอุตสาหกรรมการ พิมพ์ผลการศึกษาพบว่า การนำใช้เทคนิควิเคราะห์หาเหตุ (Why Why Analysis) ศึกษาปัญหาที่ เกิดขึ้นในการจัดการคลังสินค้า ใช้แผนภูมิการไหล (Flow Process Chart) โดยการพิจารณาขั้นตอน การปฏิบัติงานที่มีความซ้ำซ้อนและไม่มีประสิทธิภาพ ผลการศึกษาสามารถลดเวลาการปฏิบัติงานได้ 4 นาที 10 วินาที วิเคราะห์ปัญหาโดยแยกหัวข้อโดยวาดแผนผังก้างปลา ( Fishbone Diagram) การ จัดตำแหน่งสินค้าโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เอฟเอสเอ็น (FSN Analysis) โดยเรียงลำดับรายการสินค้าที่มี อัตราการหมุนเวียนสูงไปหาต่ำ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งการจัดเก็บสินค้าแบบเอฟเอสเอ็น (FSN Analysis) สามารถลดระยะทางในหยิบสินค้าและง่ายต่อการเบิกจ่ายสินค้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แก่คลังสินค้าและสุดท้ายคือการควบคุมด้วยการมองเห็น (Visual Control) ร่วมกับทฤษฎีการเข้า ก่อนออกก่อน (FIFO) โดยใช้ป้ายบ่งบอกสินค้าและกำหนดสีตาม 4 ไตรมาส ควบคุมอายุของสินค้า ป้องกันการเกิดต้นทุนในการจัดเก็บสินค้า ธิญาดา ใจใหมคร้าม (2558) ได้ศึกษาเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้า กรณีศึกษาคลงั สินค้า 2 ราษฎร์บูรณะกรุงเทพมหานคร องค์การคลังสินค้า ผลการศึกษาพบว่า แนวทางที่ใช้ในการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการคลังสินค้า โดยใช้แผนภูมิการไหลของงานโดย การพิจารณาขั้นตอนการปฏิบัติงานที่มีความซ้ำซ้อนและไม่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งการนําระบบ สาระสนเทศที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เข้ามาใช้ในการปฏิบัติงาน แนวทางการจัดกระบวนการทำงานสายธาร แห่งคุณค่า ตามแนวคิดลีนที่นํามาประยุกต์ใช้ การลดขั้นตอนในบางกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิด ประโยชน์ไปด้วย การตัดขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารออกก่อนทำการตรวจนับสินค้าหรือบริการ การรวมขั้นตอนการ ปฏิบัติงานของพนักงานในขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกันในแต่ละ ขบวนการเข้าด้วยกัน ด้วยการรวมขั้นตอนการตรวจสอบตั้งแต่รับเอกสารให้ครบถ้วนถูกต้อง รวมไป ถึงการออกแบบแผนผังคลังสินค้าใหม่ ด้วยวิธีการจัดเก็บเป็นโซนตาม ABC จะทำการแบ่งตาม ประเภทสินค้าที่ทำการจัดเก็บก่อนเพื่อให้ง่ายต่อการจัดวางแผนผังโดยจะทำการแบ่งประเภทสินค้า ABC ทีละกลุ่มสินค้าโดยผู้ศึกษา จะกําหนดสินค้าประเภท A มีปริมาณ 20% ของสินค้าทั้งหมด กลุ่มสินค้า B มีปริมาณ 30% และ สินค้าในกลุ่ม C มีปริมาณ 50% เพื่อให้การจัดวางตำแหน่งสินค้ามี ความเหมาะสมกับขนาดของคลังสินค้าและง่ายต่อการเบิกจ่ายสินค้า
27 ฐากร ภัคเลิศกุล (2555) ได้ศึกษาเรื่อง การศึกษาการบริหารสินค้าคงคลัง กรณีศึกษา ผล การศึกษาพบว่า สินค้าคงคลังที่อยู่ในกลุ่ม A มีวัตถุดิบ 4 ชนิด โดยรูปแบบสินค้าคงคลังที่มีต้นทุนรวม ที่ต่ำที่สุด ได้แก่ รูปแบบรุ่นต่อรุ่น (Lot for Lot : LFL) แต่รูปแบบที่เหมาะสมกับบริษัท กรณีศึกษา คือ รูปแบบรอบเวลาการสั่งซื้อคงที่ (Fixed Order Quantity : FOP)
28 บทที่ 3 วิธีดำเนินงานวิจัย การศึกษาเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง กรณีศึกษาบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด วังน้อย ผู้วิจัยได้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยดังต่อไปนี้ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เครื่องมือที่นํามาใช้ในการวิจัยได้นำเอาการวิเคราะห์ แผนผังสาเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) การจัดวางสินค้าสินค้า และเทคนิคการแบ่งกลุ่ม สินค้าแบบ ABC Analysis ซึ่งเป็น เครื่องมือในการจัดแบ่งประเภทของสินค้า โดยผู้ทำการวิจัยได้นำเอา ข้อมูลปริมาณการจำหน่ายสินค้า ของเดือนมกราคม - ธันวาคม พ.ศ.2565 ข้อมูลย้อนหลัง 1 ปี มาทำการวิจัยและทำการเปรียบเทียบ ระหว่างการจัดเก็บสินค้า แบบเดิมกับการจัดเก็บสินค้าแบบใหม่ ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและหาแนวทางในการตรวจสอบ สินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อป้องกัน และลดการสูญหายของสินค้าของบริษัทกรณีศึกษาผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 3.1 กรอบการดำเนินการวิจัย 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 การรวบรวมข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล
29 3.1 กรอบการดำเนินการวิจัย ศึกษาสภาพการทำงานปัจจุบัน ศึกษาปัญหาในปัจจุบัน กำหนดวัตถุประสงค์ และขอบเขตของการศึกษา ศึกษาเอกสารและงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลและข้อเสนอแนะ 1. ศึกษาขั้นตอนและกระบวนการการ ดำเนินงานของบริษัท 2. ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในการ จัดการคลังสินค้า รวมถึงพนักงานและ ผลกระทบต่าง ๆ ในปัจจุบัน 3. กําหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของ การศึกษาในการ ดำเนินการวิจัยครั้งนี้ 4. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทบทวนงานวิจัย ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ คลังสินค้า ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจัดวางสินค้า และการหยิบสินค้า หาวิธีที่เหมาะสมกับการ ทำวิจัย 5. เก็บรวบรวมข้อมูลการจำหน่ายสินค้าของ เดือนมกราคม - ธันวาคม พ.ศ.2565 ข้อมูล ย้อนหลัง 1 ปี และเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จาก การจับเวลาของพนักงานที่หยิบสินค้าก่อน ปรับปรุงและหลังปรับปรุง 6. นําข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์โดยใช้ กราฟแท่งแสดงการเปรียบเทียบก่อนการ ปรับปรุงและหลังปรับปรุง 7. สรุปผลที่ได้จากงานวิจัยและข้อเสนอแนะ ต่าง ๆ
30 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การศึกษาการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและหาแนวทางในการตรวจสอบสินค้าคงคลัง ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อป้องกันและลดการสูญ หายของสินค้า เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้นำเอามาทำการวิเคราะห์ในครั้งนี้ ประกอบด้วย - เทคนิคการจัดกลุ่มสินค้าแบบ (ABC Analysis) ได้แก่ เลือกวิธีจัดเรียงสินค้าตามมูลค่า จำหน่ายสินค้าแต่ละรายการ โดยเอาข้อมูลปริมาณการจำหน่ายสินค้า ย้อนหลังไป 1 ปี ได้แก่ มกราคม - ธันวาคม พ.ศ.2565 มาทำการวิจัย - ผังแสดงเหตุผล (Cause and effect diagram) เป็นการวิเคราะห์สาเหตุจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหาและความสำคัญเชิงเหตุผลกับปัจจัยดังกล่าว เพื่อนําปัจจัยนั้นมาใช้ในการวางแผน ปรับปรุงและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น 3.3 การรวบรวมข้อมูล แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) ผู้วิจัยจะทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการออกไป สังเกตการณ์ (Observation) และจับเวลา ณ จุดที่ปฏิบัติงานจริงภายในคลังจัดเก็บวัตถุดิบ และทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการลงพื้นที่ในคลังสินค้าเพื่อนํามาประกอบเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการทำวิจัย การที่ผู้วิจัย ออกไปอยู่ในสถานที่ปฏิบัติงานจริงจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเข้าใจปัญหาและอุปสรรคจากการ ปฏิบัติงานภายในคลังสินค้าได้มากยิ่งขึ้น แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) ได้ทำการทบทวนงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและ นำเอาข้อมูลของการจัดเก็บสินค้าภายในคลังสินค้าของบริษัทที่เป็นกรณีศึกษา มาทำการจัดแบ่งกลุ่ม สินค้าตามที่เทคนิคที่ได้กําหนดไว้คือ ABC Analysis 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล ในการศึกษาครั้งนี้ได้นําทฤษฎีและแนวคิดต่าง ๆ มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ หลักการ วางผัง คลังสินค้า หลักการจัดการสินค้า ABC Analysis และแผนผังแสดงเหตุผล (Cause and effect diagram) เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลและแก้ปัญหา
31 ภาพที่ 3.1 คลังสินค้า CTW ก่อนการปรับปรุง ภาพที่ 3.2 คลังสินค้า CTW ก่อนการปรับปรุง
32 ภาพที่ 3.3 คลังสินค้า CTW ก่อนการปรับปรุง จากภาพจะเห็นได้ว่าการวางผังสินค้าและการจัดการภายในคลังสินค้า ไม่มีรูปแบบการจัด ตำแหน่งของสินค้าคงคลังชัดเจน สินค้าขนาดใหญ่อยู่ตำแหน่งด้านบน และประเภทของสินค้ามีการ ปะปนกัน ตำแหน่งใดว่างก็เอาไปเก็บไว้ตำแหน่งนั้น พนักงานจึงไม่ทราบตำแหน่งจัดเก็บสินค้าที่ แน่นอน จะรู้ตำแหน่งเฉพาะพนักงานที่เป็นผู้จัดเก็บ ทำให้เวลาที่พนักงานคนอื่น ๆ เข้ามาหยิบสินค้า ยากต่อการค้นหาและใช้เวลามากในการใช้ Folk Lift หยิบสินค้า ผู้วิจัยจึงได้นําหลักการจัดการสินค้า ABC Analysis เข้ามาช่วยในการวางผังคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพและลดระยะเวลาในการหยิบ สินค้าของพนักงาน ดังนี้ 1. เก็บรวบรวมข้อมูลปริมาณสินค้า โดยผู้วิจัยจะใช้ได้แก่ มกราคม – ธันวาคม พ.ศ.2565 เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ปรับปรุงผังคลังสินค้าพร้อมจับเวลาใหม่ดังนี้ 2. เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการจับเวลาของพนักงานที่หยิบสินค้า
ตารางที่ 3.1 ตารางแสดงจำนวนข้อมูลปริมาณสินค้าภายในคลังสินค้า Sub_Dept Sname Im0101 Sheet / Board 0102 Door Material 0104 Hardware 0105 Door Hardware 0106 Tools 0107 Automotive 0108 Roofing 0109 Material0110 Insulation & Frame 0111 Block 0112 Building Equipment 0113 Steel Material 0114 Pipe 0101 Sheet / Board 0102 Door Material 0104 Hardware 0105 Door Hardware
33 mport Domestics Grand Total %Shared 5,532,652 718 5,533,370 0.3% 15,693,539 1,237,918 16,931,457 0.9% 67,470,369 29,105,929 96,576,298 5.4% 9,687,468 20,666,044 30,353,512 1.7% 129,152,061 11,936,330 141,088,390 7.9% 3,012,846 608,683 3,621,528 0.2% 2,657,306 17,115 2,674,421 0.1% 2,794 2,794 0.0% 4,124,460 8,831 4,133,291 0.2% 881,470 881,470 0.0% 27,580,547 2,264 27,582,810 1.5% 11,829,068 5,825 11,834,893 0.7% 2,865,073 4,290,595 7,155,668 0.4% 5,532,652 718 5,533,370 0.3% 15,693,539 1,237,918 16,931,457 0.9% 67,470,369 29,105,929 96,576,298 5.4% 9,687,468 20,666,044 30,353,512 1.7%
ตารางที่ 3.1 (ต่อ 1) Sub_Dept Sname Im0201 Lighting 0202 Electrical 0203 Paint0204 Pump & Plumbing 0301 Bath Ware 0302 Bath Fitting 0303 Kitchen Appliances/Sinks 0304 Kitchen Furnitures 0306 Floor&Tile 0307 Laminate/Solid Wood 0401 Furniture and Outdoor Recreation 0402 Bedding 0405 Cleaning & Laundry 0406 Agriculture 0407 Kitchenware 0408 Major Appliances 0409 Small Appliances
34 mport Domestics Grand Total %Shared 144,213,984 19,795,078 164,009,063 9.1% 175,393,128 18,961,426 194,354,554 10.8% 295,152 295,152 0.0% 6,872,154 37,378,986 44,251,140 2.5% 21,429,157 35,797,847 57,227,004 3.2% 27,796,046 5,171,983 32,968,029 1.8% 2,706,571 850,483 3,557,054 0.2% 59,241,327 7,567,510 66,808,837 3.7% 215,353,935 32,550,785 247,904,720 13.8% 19,911,684 4,484,457 24,396,141 1.4% 140,156,650 18,724,290 158,880,940 8.8% 1,854,687 854,627 2,709,314 0.2% 20,229,638 2,672,452 22,902,090 1.3% 23,370,571 12,659,332 36,029,903 2.0% 9,778,030 1,125,726 10,903,756 0.6% 2,952,886 55,003,012 57,955,898 3.2% 4,587,687 32,609,581 37,197,268 2.1%
ตารางที่ 3.1 (ต่อ 2) Sub_Dept Sname Im0410 AV 0502 Premium 0503 Uniform0509 Uses Store0601 Premium with purchase 0804 Beverage0807 Household Chemical0902 Bed Linen & Blanket 0903 Towel 0904 Floor & Wall Decorative 0905 Containers & Organizer 0906 Diningware 0907 Decorative & Gift 1001 Wow Tools 1002 Wow Hardware 1003 Wow Door Hardware 1004 Wow Bath Fitting
35 mport Domestics Grand Total %Shared 4,277,928 10,890,338 15,168,266 0.8% 535,756 535,756 0.0% 13,219,991 13,219,991 0.7% 1,238 1,238 0.0% 35,259 35,259 0.0% 336 336 0.0% 764,058 764,058 0.0% 7,688,002 5,656,340 13,344,342 0.7% 3,200,504 818,750 4,019,255 0.2% 27,840,383 11,031,121 38,871,504 2.2% 39,647,488 3,677,261 43,324,749 2.4% 15,798,802 847,859 16,646,662 0.9% 19,965,119 1,265,861 21,230,980 1.2% 96,427 2,735 99,162 0.0% 411,936 98,396 510,332 0.0% 94,815 67,982 162,797 0.0% 975,250 508,768 1,484,018 0.1%