รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล โดย นางสาววรากาณต์ เชี่ยวชาญ รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565
ชื่อวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรู ตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ผู้วิจัย นางสาววรากาณต์ เชี่ยวชาญ สาขาวิชา ภาษาไทย คณะกรรมการที่ปรึกษา ……………………………………………………..กรรมการ (นางสาวธวัลรัตน์ พรหมวิเศษ) อาจารย์นิเทศประจำหลักสูตร …………………………………………………….กรรมการ (นางสาวอาซียะห์ หวัง) ครูพี่เลี้ยง รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565
ก ชื่อวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรู ตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ผู้วิจัย นางสาววรากาณต์ เชี่ยวชาญ สาขาวิชา ภาษาไทย ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย ก่อนและหลังการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็น ฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล 2) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมอง เป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล จำนวน 20 คน โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่สอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิด การเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน จำนวน 3 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี บทละครพูดเรื่อง เห็นแก่ลูก จำนวน 20 ข้อ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ สอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน สถิติที่ใช้ในการสวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิด การเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียนนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 6.15 คะแนน มีส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.2 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 15.7 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.61 มีค่าการทดสอบที (t - test) เท่ากับ 10.8 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็น ฐาน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.14 , S.D. = 0.85) คำสำคัญ : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, วรรณคดี, กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมอง เป็นฐาน
ข Title Development of Achievement in Thai Literature With brain-based learning activities of 3rd grade students, Ban Khlong Khut School, Muang District, Satun Province. Author Ms. Warakan Chiewchan Program Bechelor of education in Thai Academic Year 2022 abstract The objective of this research were 1) compare the achievement of Thai literature before and after teaching with brain-based learning activities of students in 3rd grade, Ban Khlong Khut School, Muang District, Satun Province, 2) to study the student's satisfaction with teaching with learning activities using the brain as the base of 3rd grade students, Ban Khlong Khut School, Muang District, Satun Province. Research tools include: 1) a learning management plan taught with learning activities using the brain as a base; 3 plans 2) Literary achievement test 20 Talking Plays on ChildIshness 3) Assessment of students' satisfaction with teaching with learning activities based on their brains. The statistics used to analyze the data are percentage, mean ( ) and standard deviation (S.D.). The results showed that: Students in the 3rd grade of Ban Khlong Khut School, Muang District, Satun Province, after studying higher than before class, students had an average score of 6.15 points with a standard deviation of 3.2, and after class had an average score of 15.7 points, a standard deviation of 3.61, a t-test of 10.8, and a statistically significant score of .05 2) Students were satisfied with teaching with a brainbased learning activity. ( = 4.14, S.D. = 0.85) Keywords: achievement, literature, brain-based learning
ข กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์ช่วยเหลืออย่างดีจาก อาจารย์ธวัลรัตย์ พรหมวิเศษ อาจารย์นิเทศก์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญ นางสาวอาซียะห์ หวัง นางสุวรรณา มณีโชติ และนางปรานี มูเก็ม ครูโรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ที่กรุณาตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การวิจัย ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและให้คำแนะนำในการสร้างเครื่องมือให้ถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งบุคคลที่ผู้วิจัยได้อ้างอิงทางวิชาการตามที่ปรากฏในบรรณานุกรม ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ที่ให้ความ อนุเคราะห์และอำนวยความสะดวกในการเก็บข้อมูลวิจัย ขอขอบคุณครูพี่เลี้ยงนางสาวอาซียะห์ หวัง ครูโรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัด สตูล ที่คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษาเสมอมาและขอขอบใจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บข้อมูลวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณครูอาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ตลอดจนขอบคุณ พี่ ๆ เพื่อน ๆ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ที่เป็นกำลังใจในการทำวิจัยจนเสร็จ สมบูรณ์ สุดท้ายขอขอบพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ และบุคคลในครอบครัวที่ให้การสนับสนุน มอบ ความรัก ความเมตตา ดูแล ห่วงใย และเป็นกำลังใจให้แก่ผู้วิจัยเสมอ ซึ่งส่งผลให้การวิจัยในครั้งนี้ สำเร็จตามที่มุ่งหวังไว้ทุกประการ นางสาววรากาณต์ เชี่ยวชาญ กันยายน 2565
ค สารบัญ บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญภาพ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์วิจัย ประโยชน์ของการวิจัย เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนคลองขุด ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 แนวคิดและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดี กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิธีดำเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลการวิจัย ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ภาคผนวก ข รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ ภาคผนวก ค คุณภาพของเครื่องมือวิจัย ภาคผนวก ง ภาพแสดงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประวัติย่อผู้วิจัย หน้า ก ข ค ง จ 1 1 3 3 4 7 12 17 24 26 26 27 27 27 28 30 30 30 31 32 35 35 61 63 72 74
ง สารบัญตาราง ตารางที่ 1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม 2 โครงสร้างรายวิชาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านคลองขุด 3 เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย ก่อนและหลังการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตาม แนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน 4 การวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนด้วย กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน 5 ผลการประเมินดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือวิจัย (IOC) ของ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน 6 ผลการประเมินความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วรรณคดี เรื่อง บทละครพูด เรื่อง เห็นแก่ลูก 7 ผลการประเมินความสอดคล้องความพึงพอใจของนักเรียน วรรณคดี เรื่อง บทละครพูด เรื่อง เห็นแก่ลูก หน้า 6 8 28 29 64 70 71
จ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1. ทำแบบทดสอบก่อนเรียน 2. ทำแบบทดสอบหลังเรียน 3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6. ทำแบบฝึกทักษะ 73 73 73 73 73 73
1 1. ที่มาและความสำคัญของปัญหา ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติที่แสดงให้เห็นความเป็นเอกราชและวัฒนธรรมของชาติ ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น กล่าวคือ ภาษาไทยเป็นสื่อที่แสดงถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณีชีวทัศน์ โลกทัศน์และสุนทรียภาพ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและ วรรณกรรมอันล้ำค่า ดังนั้น ภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้อนุรักษ์และสืบสาน ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป โดยเฉพาะเรื่องวรรณคดีและวรรณกรรม จัดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากภาษาวรรณคดีเป็น ภาษาที่มีศิลปะให้คุณค่าในด้านอารมณ์ ทำให้กระทบฝังใจผู้อ่านหรือผู้ฟังและเป็นภาษาที่กวีได้คัดสรร มาอย่างประณีต วรรณคดีเป็นมรดกของชาติที่สามารถสะท้อนภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยนั้น ๆ ในเนื้อเรื่องกวีมักสอดแทรกแนวคิด คติสอนใจและปรัชญาชีวิตไว้ ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้ ความประทับใจ มีความรู้สึกร่วมไปกับกวี ดังนั้น วรรณคดีจึงมีคุณค่าทั้งในด้านประวัติศาสตร์ สังคม อารมณ์และคติสอนใจ รวมทั้งมีคุณค่าในด้านวรรณศิลป์ด้วย วรรณคดีถือเป็นเครื่องเชิดชูอารยธรรม ของชาติและยังมีคุณค่าเป็นหลักฐานทางโบราณคดีทำให้คนในชาติสามารถรับรู้เรื่องราวในอดีต (ประสบลาภ นุ่มนวล, 2565) ดังที่ รื่นฤทัย สัจจพันธ์ (2523: 3) ได้กล่าวว่า “วรรณคดีให้ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่กวี ถ่ายทอดไว้อย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ นอกจากนี้ยังให้ข้อคิดอันเป็นประโยชน์ให้หยั่งเห็นแก่นแท้ของชีวิต เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์และเป็นกระจกเงาบานใหญ่สะท้อนภาพสังคมแต่ละยุคแต่ละสมัยอีกด้วย” ดังนั้น การศึกษาวรรณคดีจึงเปรียบเสมือนการเรียนรู้เรื่องราววิถีชีวิตของมนุษย์วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ ค่านิยมในอดีต นอกจากนั้นยังสามารถนำข้อคิดคติสอนใจที่ได้รับจากวรรณคดีเรื่องนั้น ๆ มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต จากที่กล่าวมานั้น วรรณคดีจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและมีคุณค่าที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ ศึกษา ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้วรรณคดีนอกจากจะเรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องแล้ว ผู้เรียน จำเป็นต้องศึกษาวรรณคดีในทุก ๆ แง่มุม ไม่ว่าจะเป็นด้านสภาพสังคมวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่และพฤติกรรมของตัวละครที่ปรากฏในเรื่อง อีกทั้งความ งามทางด้านการใช้ภาษาและถ้อยคำ ที่กวีสรรสร้างขึ้นอย่างประณีต ตลอดจนเรียนรู้แนวคิดและ คติธรรมที่สามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่างแก่การดำเนินชีวิต กระทรวงศึกษาธิการได้เล็งเห็นถึง ความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีและมีการบรรจุให้วรรณคดีเป็นส่วนหนึ่งของการ จัดการเรียนการสอนภาษาไทยในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ถึงแม้ว่าหลักสูตรตั้งแต่อดีตจนถึงหลักสูตรปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับการสอนวรรณคดีแต่ สภาพการเรียนการสอนวรรณคดีก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ยังคงประสบปัญหาในหลาย ๆ ด้านด้วยกัน เช่น ในด้านหลักสูตรมีการกำหนดจุดมุ่งหมายไว้กว้างเกินไป ส่วนด้านครูผู้สอนนั้น ครูอาจจะไม่เห็นคุณค่าหรือมีความรู้ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่ทราบว่าควรจะเน้นจุดใด หรือจะสอนให้ ผู้เรียนซาบซึ้งได้อย่างไร จึงส่งผลต่อการออกแบบการจัดการเรียนรู้หรือการเลือกวิธีสอนที่เหมาะสม กับผู้เรียน (ศรีวิไล ดอกจันทร์, 2529: 34) นอกจากนี้ยุพร แสงทักษิณ (2537: 101) และยุรฉัตร บุญ สนิท (2544: 57) ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการเรียนการสอนวรรณคดีสรุปได้ว่า ครูผู้สอน
2 ไม่เข้าใจความหมายและความสำคัญของวรรณคดีและพบว่าครูภาษาไทยอ่านหนังสือน้อยมากอ่าน เพียงเรื่องย่อหรือตอนที่ใช้สอนเท่านั้น จึงส่งผลให้ครูขาดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวรรณคดี ส่วนปัญหาที่เกิดจากตัวผู้เรียน รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ (2540 : 197) ได้กล่าวไว้ว่า อุปสรรคสำคัญ ของการเรียนรู้วรรณคดีที่เกิดจากผู้อ่านหรือตัวนักเรียน คือเรื่องของภาษาที่เป็นศัพท์เฉพาะ ภาษาพ้น สมัย ภาษาถิ่นและภาษาวรรณคดีซึ่งสาเหตุดังกล่าวนี้ก็จะส่งผลต่อผู้เรียนทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ขาดความสนใจ ไม่สามารถเข้าถึงความไพเราะของถ้อยคำที่ปรากฏในวรรณคดีได้หรือเรียนเพียงเพื่อ นำไปสอบ ไม่สามารถนำความรู้หรือข้อคิดที่ได้จากวรรณคดีไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ จากการสอบถามนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านคลองขุด พบปัญหาว่านักเรียนส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียนวรรณคดีไทย เนื่องจากเห็นว่าวรรณคดีไทยเป็นเรื่องไกลตัว มีเนื้อหาที่ยาว มีการใช้คำศัพท์ที่ยากเกินไป และบริบทสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้นักเรียนไม่เข้าใจ ในเนื้อหาของวรรณคดีไทย ส่วนนักเรียนที่ชอบเรียนวรรณคดีไทยมุ่งประเด็นไปที่การอนุรักษ์วรรณคดี มากกว่าการนำสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และนักเรียนส่วนใหญ่เห็นว่า วรรณคดีเป็นเรื่องไกลตัวจึงไม่เห็นความสำคัญในการเรียนวรรณคดี ซึ่งลักษณะนิสัยของนักเรียน ในปัจจุบันไม่ชอบอ่านหนังสือนาน ๆ เนื่องจากนักเรียนให้ความสนใจกับเทคโนโลยีและสื่อสังคม ออนไลน์เป็นหลัก แม้ว่าในสื่อสังคมออนไลน์จะมีแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับวรรณคดีจำนวนมาก แต่ก็มิอาจ ทำให้นักเรียนมีใจรักในการเรียนวรรณคดีมากนัก เนื่องจากนักเรียนมีความคิดเห็นว่าการเรียน วรรณคดีไทยนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการสอบวัดผลเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการเรียนการ สอนวรรณคดีไทยในโรงเรียน การแก้ปัญหาดังกล่าวควรเริ่มต้นที่ครูเป็นอันดับแรก ครูควรออกแบบกิจกรรมการเรียน การสอนให้นักเรียนเกิดความตื่นตัว และชี้ให้เห็นว่าวรรณคดีไม่ใช่เรื่องไกลตัวนักเรียน ครูต้องเป็นผู้ ที่เข้าใจในเนื้อหาวรรณคดีก่อน แล้วจึงหาแนวทางจัดการเรียนการสอน เลือกเทคนิคที่จะทำให้ นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียนวรรณคดีเพราะปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การสอนวรรณคดี มีประสิทธิภาพคือ ครูต้องรู้จักเทคนิคที่หลากหลาย ใช้เทคนิคช่วยจัดการสอนและใช้กิจกรรมการ เรียนการสอนที่เน้นการลงมือปฏิบัติเป็นหลัก เช่น การตั้งคำถาม การจัดการแข่งขัน หรือเล่นเกม เพื่อให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นและเกิดความต้องการที่จะเรียนรู้ ดังนั้น วิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้นั้นก็คือ วิธีสอนที่จะช่วยสร้างแรงจูงใจในการเรียน วรรณคดีสอนโดยเน้นการใช้ความคิด กิจกรรม และการเล่นเกม อีกทั้งการใช้สื่อที่ทันสมัยมาประยุกต์ ให้เข้ากับวรรณคดี และอธิบายให้นักเรียนได้เข้าใจในบริบททางประวัติศาสตร์และเชื่อมโยงกับ สถานการณ์ในปัจจุบัน ให้นักเรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์และเปรียบเทียบกับบริบทในปัจจุบันเพื่อให้ นักเรียนเห็นภาพชัดเจนขึ้น ครูจึงควรปรับปรุงวิธีการสอนที่เน้นการคิดและการลงมือทำเป็นหลัก การเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน คือการจัดกระบวนการเรียนรูที่นําความรูความเขาใจ เกี่ยวกับการทำงานของสมองมาออกแบบกิจกรรมการเรียนรูเพื่อใหนักเรียนเกิดการพัฒนาศักยภาพ ของตนเองได้มากที่สุด องคประกอบสำคัญของการเรียนรูประกอบด้วย บรรยากาศการเรียนรู การจัดกิจกรรมการเรียนรูที่หลากหลาย และการได้ลงมือปฏิบัติจริง โดยมีหลักการสำคัญคือ เนนผู้เรียนเป็นสำคัญ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดสภาพแวดลอมที่เอื้อและเหมาะสม ตอการเรียนรูบรรยากาศการเรียนรูที่ผอนคลาย ไม่สร้างความกดดันใหแกผู้เรียน นักเรียนได้ลงมือ
3 ปฏิบัติจริง ได้ฝกซ้ำและทบทวน มีสื่อดึงดูดความสนใจ ไม่นาเบื่อ ใชกระบวนการกลุมในการเรียนรู และแลกเปลี่ยนเรียนรูซึ่งกันและกัน มีเกมหรือกิจกรรมการแขงขันที่เกิดความท้าทาย ใหผู้เรียนได้คิด ได้ตัดสินใจและใชการเสริมแรงในทางบวก (ปราณีนิตยะ, 2561) จากสภาพปญหาและแนวคิดดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงได้จัดทำวิจัยในชั้นเรียนเพื่อเป็น การแกไขปญหา เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 3 ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน 2. วัตถุประสงค์ของวิจัย 2.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ก่อนและหลังการสอนด้วย กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล 2.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิด การเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล 3. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3.1 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่สอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตาม แนวคิดการเรียนรูโดยใชสมอง นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยที่ดีขึ้น 3.2 เป็นแนวทางในการศึกษาสำหรับผู้สนใจในเรื่องลักษณะเดียวกันนี้ 4. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตาม แนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ผู้วิจัยได้ศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาเรียบเรียงโดย ได้นำเสนอตามลำดับต่อไปนี้ 4.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 4.1.1 ความสำคัญของภาษาไทย 4.1.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 4.1.3 คุณภาพของผู้เรียน 4.1.4 สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม 4.1.5 หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนคลองขุด ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 4.2 แนวคิดและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดี 4.2.1 ความหมายของวรรณคดี 4.2.2 ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดี
4 4.2.3 การสอนวรรณคดี 4.2.3.1 จุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดี 4.2.3.2 วิธีการสอนวรรณคดี 4.3 กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน 4.3.1 ความหมายของกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน 4.3.2 แนวทางการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมอง เป็นฐาน 4.3.3 วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน 4.3.4 การวัดและประเมินผลกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมอง เป็นฐาน 4.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.4.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย 4.4.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมอง เป็นฐาน 4.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 4.1.1 ความสำคัญของภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้าง ความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกัน ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จาก แหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนการ นำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของ บรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบ สานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป 4.1.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเกณฑ์ ในการกำหนดคุณภาพของผู้เรียน เมื่อเรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งกำหนดไว้เฉพาะส่วนที่จำเป็น สำหรับพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้มีคุณภาพ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน สถานศึกษาสามารถพัฒนาเพิ่มได้ สำหรับสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยมี 5 สาระ ดังนี้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน
5 สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของ ภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 4.1.3 คุณภาพผู้เรียน จบชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 1. อานออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทํานองเสนาะได้ถูกตอง เขาใจ ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งที่อ่าน แสดง ความคิดเห็นและขอโตแย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียน รายงานจากสิ่งที่อ่านได้ วิเคราะห์ วิจารณ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอนและความเป็นไป ได้ของเรื่อง ที่อ่าน รวมทั้งประเมินความถูกตองของข้อมูลที่ใชสนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน 2. เขียนสื่อสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใชถ้อยคำได้ถูกตองเหมาะสมตามระดับ ภาษา เขียนคําขวัญ คําคม คําอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน สุนทรพจน ชีวประวัติ อัตชีวประวัติและประสบการณต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียน วิเคราะห์ วิจารณ และแสดงความรูความคิดหรือโตแย้งอย่างมีเหตุผล ตลอดจนเขียนรายงาน การศึกษาคนคว้าและเขียน โครงงาน 3. พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นําขอคิดไป ประยุกตใชในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ได้จากการศึกษาคนควาอย่างเป็นระบบ มีศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผล น่าเชื่อถือรวมทั้งมีมารยาทในการฟง ดู และพูด 4. เขาใจและใชคําราชาศัพท คําบาลีสันสกฤต คําภาษาต่างประเทศอื่น ๆ คําทับศัพท และศัพทบัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้างของประโยค รวม ประโยคซอน ลักษณะภาษาที่เป็นทางการ กึ่งทางการและไม่เป็นทางการ และแต่งบทร้อยกรอง ประเภท กลอนสุภาพ กาพย์และโคลงสี่สุภาพ 5. สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์ตัวละครสำคัญ วิถีชีวิตไทย และ คุณคาที่ได้รับจากวรรณคดีวรรณกรรมและบทอาขยาน พรอมทั้งสรุปความรูขอคิดเพื่อนําไปประยุกต ใชในชีวิตจริง
6 4.1.4 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและนํามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตารางที่ 4.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรม ที่อ่าน ในระดับที่ยากขึ้น • วรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรม ท้องถิ่น เกี่ยวกับ - ศาสนา - ประเพณี - พิธีกรรม - สุภาษิตคําสอน - เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ - บันเทิงคดี 2. วิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจากวรรณคดี และวรรณกรรมที่อ่าน 3. สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน เพื่อ นําไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง • การวิเคราะห์วิถีไทย และคุณค่าจากวรรณคดี และวรรณกรรม 4. ท่องจำและบอกคุณค่าบทอาขยาน ตามที่ กำหนด และบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความ สนใจและนําไปใช้อ้างอิง • บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณค่า - บทอาขยานตามที่กำหนด - บทร้อยกรองตามความสนใจ จากตารางที่ 4.1 การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้ตัวชี้วัดที่ 1 สรุปเนื้อหาวรรณคดี วรรณกรรม และ วรรณกรรม ท้องถิ่นในระดับที่ยากยิ่งขึ้น ตัวชี้วัดที่ 2 วิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจากวรรณคดีและ วรรณกรรมที่อ่าน และตัวชี้วัดที่ 3 สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 4.1.5 หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนคลองขุด ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
7 คำอธิบายรายวิชา ท 23101 ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ฝึกทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด การวิเคราะห์และประเมินค่า วรรณคดีและวรรณกรรมโดยศึกษาเกี่ยวกับการอ่านออกเสียงการอ่านจับใจความ การอ่านตามความ สนใจ ฝึกทักษะการคัดลายมือ การเขียนข้อความตามสถานการณ์และโอกาสต่าง ๆ เขียนอัตชีวประวัติหรือชีวประวัติ เขียนย่อความ การเขียนจดหมายกิจธุระ ฝึกทักษะการพูดแสดง ความคิดเห็นและการประเมินเรื่องจากการฟังและการดู พูดวิเคราะห์วิจารณ์จากเรื่องที่ฟังและดู พูดรายงานการศึกษาค้นคว้า และศึกษาเกี่ยวกับคำภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย โครงสร้าง ประโยคซับซ้อน ระดับภาษา วิเคราะห์วิถีไทย ประเมินค่า ความรู้และข้อคิดจากวรรณคดี วรรณกรรม ท่องจำบทอาขยานที่กำหนดและบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ และอ่านสรุปใจความสำคัญ เรื่อง ทุ่งเจ๊ะอุเส็น การบูรณาการระหว่างสาระการเรียนรู้ภาษาไทยกับสาระวิทยาการคำนวณ ได้แก่ การรวบรวมข้อมูลจากแหลงข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิประมวลผล สร้างทางเลือก ประเมินผล จำทำให้ได้สารสนเทศเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ, การประมวลผลเป็นการกระทำกับข้อมูลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความหมายและมีประโยชน์ต่อ การนำไปใช้, การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมี ความรับผิดชอบ โดยใช้กระบวนการอ่านเพื่อสร้างความรู้ความคิดนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนิน ชีวิต กระบวนการเขียนเพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการฟัง การดู และการพูด สามารถเลือกฟังและดู และพูดแสดงความรู้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ เพื่อให้เข้าใจ ธรรมชาติภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา พลังภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา วิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมอย่างเห็นคุณค่านำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง รักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ และมีนิสัยรักการอ่าน การเขียน มีมารยาทในการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด รหัสตัวชี้วัด ท 1.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4, ม.3/5 ท 2.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4, ม.3/5 ท 3.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3 ท 4.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3 ท 5.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4 รวมทั้งหมด 20 ตัวชี้วัด
8 โครงสร้างรายวิชา ท 23101 ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต หน่วย ที่ ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ มาตรฐานการ เรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระสำคัญ เวลา (ชั่วโมง) 1 บทละครพูด เรื่องเห็นแก่ลูก ท 1.1 ม.3/1 ท 1.1 ม.3/2 ท 1.1 ม.3/3 ท 1.1 ม.3/4 ท 1.1 ม.3/5 ท 2.1 ม.3/1 ท 2.1 ม.3/2 ท 2.1 ม.3/4 ท 3.1 ม.3/1 ท 3.1 ม.3/3 ท 4.1 ม.3/1 ท 4.1 ม.3/3 ท 5.1 ม.3/1 ท 5.1 ม.3/2 ท 5.1 ม.3/3 - การอ่านบทละคร - คำที่มีความหมายโดยตรง และ ความหมายโดยนัย - การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ - การอ่านเรื่องต่างๆ แล้วเขียนกรอบ แนวคิด ผังความคิด บันทึก ย่อความ และรายงาน - การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมิน เ ร ื ่ อ ง ท ี ่ อ ่ า น โ ด ย ใ ช ้ ก ล ว ิ ธ ี ก าร เปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ดีขึ้น - การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด - การเขียนข้อความตามสถานการณ์ และโอกาสต่างๆ - การเขียนย่อความ - การพูดแสดงความคิดเห็น และ ประเมินเรื่องจากการฟังและการดู - การพูดรายงาน - คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ - ระดับภาษา - การสรุปเนื้อหาวรรณคดี วรรณกรรม การวิเคราะห์วิถีไทย และคุณค่าจาก วรรณคดีและวรรณกรรม - สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล 12 2 นิทานคำกลอน เรื่องพระอภัยมณี ท 1.1 ม.3/1 ท 1.1 ม.3/2 ท 1.1 ม.3/3 ท 1.1 ม.3/4 ท 1.1 ม.3/5 ท 2.1 ม.3/1 - การอ่านนิทานคำกลอน - คำที่มีความหมายโดยตรงและ ความหมายโดยนัย - การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ - การอ่านเรื่องต่างๆ แล้วบันทึก ย่อ ความและรายงาน 14
9 หน่วย ที่ ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ มาตรฐานการ เรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระสำคัญ เวลา (ชั่วโมง) ท 2.1 ม.3/2 ท 2.1 ม.3/4 ท 3.1 ม.3/1 ท 3.1 ม.3/3 ท 4.1 ม.3/1 ท 4.1 ม.3/3 ท 5.1 ม.3/1 ท 5.1 ม.3/2 ท 5.1 ม.3/3 ท 5.1 ม.3/4 ว 4.2 ม.2/3 - การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมิน เ ร ื ่ อ ง ท ี ่ อ ่ า น โ ด ย ใ ช ้ ก ล ว ิ ธ ี ก า ร เปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ดีขึ้น - การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด - การเขียนข้อความตามสถานการณ์ และโอกาสต่างๆ - การเขียนย่อความ - การพูดแสดงความคิดเห็น และ ประเมินเรื่องจาก - การฟังและการดู - การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า - คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ - ระดับภาษา - การสรุปเนื้อหาวรรณคดี วรรณกรรม - การวิเคราะห์วิถีไทย และคุณค่าจาก วรรณคดีและวรรณกรรม - สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน - บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มี คุณค่า - การประเมินความน่าเชื่อถือของ ข้อมูล 3 พระบรมราโชวาท ท 1.1 ม.3/1 ท 1.1 ม.3/2 ท 1.1 ม.3/3 ท 1.1 ม.3/4 ท 1.1 ม.3/5 ท 2.1 ม.3/2 ท 2.1 ม.3/3 ท 2.1 ม.3/4 ท 2.1 ม.3/5 ท 3.1 ม.3/1 ท 3.1 ม.3/2 ท 3.1 ม.3/3 ท 4.1 ม.3/1 - การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว - คำที่มีความหมายโดยตรงและ ความหมายโดยนัย - การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ - การอ่านเรื่องต่างๆ แล้วเขียนกรอบ แนวคิด ผังความคิด บันทึก ย่อความ และรายงาน - การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมิน เรื่องที่อ่านโดยใช้กลวิธีการ เปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ดีขึ้น - การเขียนข้อความตามสถานการณ์ และโอกาสต่างๆ - การเขียนอัตชีวประวัติหรือชีวประวัติ 12
10 หน่วย ที่ ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ มาตรฐานการ เรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระสำคัญ เวลา (ชั่วโมง) ท 4.1 ม.3/2 ท 4.1 ม.3/3 ท 5.1 ม.3/1 ท 5.1 ม.3/2 ท 5.1 ม.3/3 ว 4.2 ม.2/2 ว 4.2 ม.2/3 - การเขียนย่อความ - การเขียนจดหมายกิจธุระ - การพูดแสดงความคิดเห็น และ ประเมินเรื่องจากการฟังและการดู - การพูดวิเคราะห์วิจารณ์จากเรื่องที่ฟัง และดู - การพูดรายงาน - คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ - ประโยคซับซ้อน - ระดับภาษา - การสรุปเนื้อหาวรรณคดี วรรณกรรม - การวิเคราะห์วิถีไทย และคุณค่าจาก วรรณคดีและวรรณกรรม - สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน - การรวบรวมข้อมูลจากแหลงข้อมูล ปฐมภูมิและทุติยภูมิประมวลผล สร้างทางเลือก ประเมินผล จำทำให้ได้ สารสนเทศเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือ การตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ การประมวลผลเป็นการกระทำกับ ข้อมูลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความหมาย และมีประโยชน์ต่อการนำไปใช้ 4 อิศรญาณภาษิต ท 1.1 ม.3/1 ท 1.1 ม.3/2 ท 1.1 ม.3/3 ท 1.1 ม.3/5 ท 2.1 ม.3/1 ท 2.1 ม.3/4 ท 3.1 ม.3/1 ท 3.1 ม.3/2 ท 3.1 ม.3/3 ท 4.1 ม.3/1 ท 5.1 ม.3/1 ท 5.1 ม.3/2 - การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง - คำที่มีความหมายโดยตรงและ ความหมายโดยนัย - การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ - การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมิน เรื่องที่อ่าน - การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด - การเขียนย่อความ - การพูดแสดงความคิดเห็น และ ประเมินเรื่องจากการฟังและการดู การพูดวิเคราะห์วิจารณ์จากเรื่องที่ฟัง และดู 10
11 หน่วย ที่ ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ มาตรฐานการ เรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระสำคัญ เวลา (ชั่วโมง) ท 5.1 ม.3/3 ท 5.1 ม.3/4 ว 4.2 ม.2/3 - การพูดรายงาน - คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ - การสรุปเนื้อหาวรรณคดี วรรณกรรม การวิเคราะห์วิถีไทย และคุณค่าจาก วรรณคดีและวรรณกรรม - สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน - บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มี คุณค่า - การประเมินความน่าเชื่อถือของ ข้อมูล 5 บทพากษ์เอราวัณ ท 1.1 ม.3/1 ท 1.1 ม.3/2 ท 1.1 ม.3/3 ท 1.1 ม.3/5 ท 2.1 ม.3/1 ท 2.1 ม.3/4 ท 3.1 ม.3/1 ท 3.1 ม.3/2 ท 4.1 ม.3/1 -การอ่านออกเสียงบท ร้อย กรอง - คำที่มีความหมายโดยตรงและ ความหมายโดยนัย - การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ - การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมิน เ ร ื ่ อ ง ท ี ่ อ ่ า น โ ด ย ใ ช ้ ก ล ว ิ ธ ี ก า ร เปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ 10 5 บทพากษ์เอราวัณ (ต่อ) ท 5.1 ม.3/1 ท 5.1 ม.3/2 ท 5.1 ม.3/3 ท 5.1 ม.3/4 ว 4.2 ม.2/3 - การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด - การเขียนย่อความ - การพูดแสดงความคิดเห็น และ ประเมินเรื่องจากการฟังและการดู การพูดวิเคราะห์วิจารณ์จากเรื่องที่ฟัง และดู - คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ - การสรุปเนื้อหาวรรณคดี วรรณกรรม การวิเคราะห์วิถีไทย และคุณค่าจาก วรรณคดีและวรรณกรรม - สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณค่า - การประเมินความน่าเชื่อถือของ ข้อมูล คะแนนระหว่างเรียน (70) หน่วยการเรียนรู้ 58
12 หน่วย ที่ ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ มาตรฐานการ เรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระสำคัญ เวลา (ชั่วโมง) สอบกลางภาค 1 คะแนนปลายปี (30) สอบปลายภาค 1 รวมทั้งหมด 60 ตารางที่ 4.2 โครงสร้างรายวิชาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านคลองขุด จากตารางที่ 4.2 หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านคลองขุด ผู้วิจัยเลือกใช้หน่วยที่ 1 บท ละครพูด เรื่องเห็นแก่ลูก จำนวน 4 หัวข้อ คือ การอ่านบทละคร จำนวน 2 คาบเรียน การวิเคราะห์ วิจารณ์และประเมินเรื่องที่อ่าน จำนวน 2 คาบเรียน และการสรุปเนื้อหาวรรณคดี จำนวน 2 คาบ เรียน รวมทั้งสิ้น 6 คาบเรียน ซึ่งเป็นเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดที่เลือกใช้ในการวิจัยครั้งนี้ 4.2. แนวคิดและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดี 4.2.1 ความหมายของวรรณคดี มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของวรรณคดีไว้ ดังต่อไปนี้ พระยาอนุมานราชธน (2546: 4) ได้ให้ความหมายของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดีคือการ แสดงความคิดออกมาโดยเขียนไว้เป็นหนังสือ ข้อเขียนหรือบทประพันธ์ (ไม่ว่าด้วยภาษาใด ๆ เรื่องใด ๆ ยกเว้นเรื่อง วิทยาศาสตร์) บทพรรณนาโวหารหรือข้อเขียนซึ่งมีโวหารเพราะพริ้ง มีลักษณะ เด่นในเชิงประพันธ์ตัวละครในเรื่อง ฯลฯ นอกจากนั้นวรรณคดีต้องใช้ภาษาเลือกเฟ้นอย่างประณีต มี คุณค่าหลายประการ อ่านแล้วติดใจน่าภิรมย์ไม่รู้สึกเบื่อ เป็นหนังสือที่มีพัฒนาการทางอารมณ์สูง ประภาศรีสีหอำไพ (2550: 28) ได้ให้ความหมายของวรรณคดีไว้ว่า ความหมายแบบ กว้าง วรรณคดีหมายถึง หนังสือที่แต่งขึ้นจะเป็นชนิดใดก็ตาม โดยความหมายแคบ หมายถึง เฉพาะ หนังสือ ที่แต่งขึ้นและนิยมกันว่าเป็นศิลปกรรม คือ ผู้ประพันธ์เป็นผู้ชำนาญในการใช้ถ้อยคำประกอบ ขึ้นเป็น ร้อยแก้วร้อยกรองตามหลักเป็นสิ่งสุนทรีย์ ซึ่งนักประพันธ์มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรแล้วก็ อธิบายให้ผู้อ่านได้ชมความงามตามที่นักประพันธ์รู้สึกนึกคิดตามไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นศิลปินผู้ สร้างสรรค์ภาพ ที่สวยงามขึ้นด้วยตัวหนังสือ เรียกว่าวรรณคดีแท้หรือวรรณคดีบริสุทธิ์ อิงอร สุพันธุ์วณิช (2554: 1) ได้ให้ความหมายของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดีมีความหมายที่ ใช้กันทั่วไป 2 ประการ คือ ความหมายแรก ได้แก่ เรื่องที่แต่งเรียบเรียงออกมาเป็นหนังสือเก่า ถือเป็น มรดกสืบทอดกันมาแต่โบราณ ความหมายที่สอง มีความหมายคล้ายคลึงกับคำว่ากวีนิพนธ์ คือเป็น หนังสือที่ได้รับยกย่องแล้ว จากกลุ่มคนที่นับว่าเป็นชนชั้นในวงการหนังสือ มีนัยลึกลงไปอีกว่าคุณค่า สูงส่งเข้าขั้นวรรณศิลป์ถือเป็นแบบอย่างว่าดีควรยกย่องเชิดชูกันต่อไป กุหลาบ มัลลิกะมาส (2555: 1) ได้ให้ความหมายของวรรณคดีไว้ว่า “วรรณคดี” มาจาก คำว่า “วรรณ” หรือ “บรรณ”แปลว่า ใบไม้หรือหนังสือ ส่วน “คดี” หรือ “คติ” แปลว่า ทาง แนวทาง วรรณคดีจึงหมายถึง แนวทางของการแต่งหนังสือ ราชบัณฑิตยสถาน (2556: 1,100) ได้ให้ความหมายของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดีมีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ถึงขนาด เช่น พระราชพิธีสิบสองเดือน มัทนะ พาธา สามก๊ก เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน
13 ดังนั้นสรุปได้ว่า วรรณคดี หมายถึง งานประพันธ์ทุกประเภทที่มีคุณค่าจนได้รับการยก ย่องว่าเรียบเรียงด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ แต่งอย่างมีศิลปะ ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามจินตนาการ ได้ตามที่ผู้แต่งต้องการ อาจสอดแทรกวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชาติ หรือความรู้ลงในงานเขียน 4.2.2 ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดี มีนักการศึกษาได้ให้ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีไว้ ดังต่อไปนี้ ชัตสุณี สินธุสิงห์(2550: 5) ได้ให้ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดีมี คุณค่าต่อผู้อ่านและผู้ศึกษา 3 ประการ ดังนี้ 1) คุณค่าทางอารมณ์วรรณคดีเป็นงานศิลปะที่สร้างความเพลิดเพลินด้วยสุนทรียภาพ ทางภาษาจาก ถ้อยคำและโวหารการบรรยายและพรรณนา วรรณคดีจึงมีพลังจูงใจผู้อ่านให้มีอารมณ์ รัก เศร้า ขบขัน สมเพช สงสาร โกรธ ชื่นชมปีติฯลฯ คุณสมบัติของวรรณคดีข้อนี้จึงเรียกได้ว่าเป็น อาหารใจ 2) คุณค่า ทางปัญญา วรรณคดีให้ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่กวีถ่ายทอดไว้ทั้งอย่าง ตั้งใจและไม่ตั้งใจ นอกจากนี้ยังให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ให้หยั่งเห็นแก่นแท้ของชีวิต เข้าใจธรรมชาติ ของมนุษย์ ผู้ศึกษาจึงอาจจดจำสิ่งที่ได้จากการอ่านวรรณคดีมาเป็นประสบการณ์และนำเหตุการณ์ ข้อคิด ความรู้ในเรื่องมาเป็นอุทาหรณ์ เพื่อแก้ปัญหาชีวิตของตนเอง นอกจากนี้วรรณคดียังสะท้อน ทัศนคติและแนวทางในการดำเนินชีวิตของบุคคลในสังคมในสมัยหนึ่งนอกจากเหตุการณ์ทาง ประวัติศาสตร์ เราอาจเรียนรู้ประวัติศาสตร์และตำนานของสถานที่ต่าง ๆ จากวรรณคดีได้เช่นกัน เช่น รู้เรื่องประวัติตำบลสามเสน จากนิราศพระบาท และเรื่องสามโคกหรือปทุมธานีจากนิราศภูเขาทอง ความรู้ด้านอื่น เช่น การเมือง การปกครองและกฎหมาย เป็นสิ่งที่พบได้ในวรรณคดีเช่นกัน จากศิลา จารึกของพ่อขุนรามคำแหง เราได้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายต่าง ๆ เช่น กฎหมายเชิงภาษีอากร กฎหมายมรดก ตลอดจนวิธีการ พิจารณาคดี เป็นต้น ความรู้ที่ได้รับจากวรรณคดีอีกอย่างก็คือ ความรู้ ทางด้านวัฒนธรรม ประเพณีและชีวิต ความเป็นอยู่ในสังคมยุคหนึ่งสมัยหนึ่งซึ่งมักเป็นยุคที่วรรณคดี นั้นถือกำเนินขึ้นมา ตัวอย่างวรรณคดีที่สะท้อนวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนที่แสดงชีวิตสามัญชนในสมัยรัตนโกสินทร์ มีประเพณีต่าง ๆ ที่ปรากฏใน วรรณคดีเรื่องนี้อยู่มากมาย และมีความสัมพันธ์กับชีวิตคนไทย นับตั้งแต่ประเพณีการเกิด การรับขวัญ การโกนจุก การทำขวัญ การบวชการแต่งงาน การเผาศพ เป็นต้น 3) คุณค่าทางด้านภาษาความรู้ที่ได้จากวรรณคดีที่เป็นหลักจริง ๆ คือ ความรู้ทางภาษา กล่าวคือวรรณคดี ทำให้เรารู้จักศัพท์ต่าง ๆ ที่กวีเลือกสรรมาใช้โดยเฉพาะศัพท์ที่ ใช้กันในวง นักปราชญ์และกวี เช่น ศัพท์ภาษาบาลี สันสกฤต หรือภาษาโบราณ นอกจากศัพท์แล้ว ยังสามารถ เรียนรู้สำนวนต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อต้องการสื่อความว่า การเรียกชื่อนั้น ไม่สำคัญเท่ากับคุณสมบัติของสิ่งใด สิ่งหนึ่งจะใช้สำนวนจากเรื่องโรเมโอและจูเลียตว่า “อันว่าชื่อนั้น สำคัญไฉน” เป็นต้น สิริพัชร์เจษฎาวิโรจน์ (2552: 117) ได้ให้ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีไว้ว่า ความสำคัญของวรรณคดีที่กำหนดให้เรียน และเลือกเรียนนั้น เลือกสรรมาจากวรรณคดีต่างสมัย ซึ่งล้วนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติมีความเหมาะสมกับวัย ความสนใจ และศักยภาพของ นักเรียนในแต่ละช่วงชั้น ทั้งยังเป็นวรรณคดีที่ใช้รูปแบบและวิธีการเขียนและถ้อยคำสำนวนภาษา
14 อย่างดีมีความไพเราะทั้งเสียง คำ และความหมาย ช่วยให้นักเรียนสนุกสนานเพลิดเพลินจดจำได้เกิด ความซาบซึ้งประทับใจและภูมิใจ ในสิ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้น สั่งสม สืบสานงานต่อเนื่องต่อกันจาก อดีตจนปัจจุบัน ส่งผลให้เห็นคุณค่านำประโยชน์มาใช้ในการพูด การเขียน การศึกษาค้นคว้า และอนุรักษ์ไว้เป็นพื้นฐานในการสร้าง ผลงานใหม่ต่อไปได้ สุดาพร ไชยะ (2552: 125) ได้ให้ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดีไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ควรที่จะถ่ายทอดวรรณคดีไทยให้นักเรียนอย่างมี ศาสตร์และศิลป์ เพื่อให้ความรู้และประสบการณ์แก่นักเรียนเพียงพอที่จะได้สัมผัสกลิ่นอายของ วรรณคดีในแง่มุมที่หลากหลาย จะทำให้นักเรียนสนใจและให้เรียนรู้วิชาวรรณคดี องอาจ โอ้โลม (2555: 9) ได้ให้ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีไว้ว่า ในวรรณคดีมี เนื้อหาที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการศึกษาสังคมในด้านต่าง ๆ ซึ่งคุณค่าของวรรณคดี ไทยสามารถสรุปได้ดังนี้ 1) คุณค่าด้านประวัติศาสตร์เกือบทุกเรื่องจะแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสภาพสังคม และประวัติศาสตร์อยู่ด้วย เพราะว่ามีหรือผู้ประพันธ์วรรณคดีไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตามมักจะใช้ สภาพแวดล้อมที่เป็นจริงในสังคมสมัยนั้นเป็นข้อมูลเสมอในการแต่ง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่มี ลักษณะเป็นบันทึกข้อมูลเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในสมัยต่าง ๆ เป็นสำคัญวันนี้เหล่านี้ได้แก่ คำให้การชาวกรุงเก่าพงศาวดารต่าง ๆ เป็นต้น 2) คุณค่าด้านความรู้ความคิด วรรณคดีไทยหลายเรื่อง โดยเฉพาะวรรณคดีที่มีเนื้อหา เกี่ยวกับคำสอนมันจะมุ่งให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความคิดในทางที่เป็น ประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เช่น สุภาษิตพระร่วงโคลงโลกนิติ เป็นต้น 3) คุณค่าด้านศิลปวัฒนธรรม วรรณคดีเกือบทุกเรื่องที่มีการกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ และการดำเนินชีวิตของตัวละคร ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงแบบแผนหรือวิถีชีวิต อันเกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมประเพณีของสังคมรวมอยู่ด้วย ไม่ว่าตัวละครนั้นจะเป็นชาวบ้านธรรมดา หรือเป็นกษัตริย์หรือจะเชื้อพระวงศ์ก็ตาม 4) คุณค่าด้านจิตใจ คุณค่าของวรรณคดีด้านนี้ได้แก่ สุนทรียภาพที่ผู้อ่านได้จากวรรณคดี นั่นเอง สุนทรียภาพดังกล่าว ได้แก่ ความละเมียดละไม ความไพเราะงดงามของภาษา ทั้งด้านเสียง และความหมายของถ้อยคำและข้อความ จงชัย เจนหัตถการกิจ (2560: 8) ได้ให้ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีไว้3 ประการ ได้แก่ 1) คุณค่าด้านอารมณ์คือ ผู้ฟัง ผู้อ่านหรือผู้ชมวรรณคดีได้เกิดความเพลิดเพลินเจริญใจมี อารมณ์ร่วมไปกับวรรณคดีเรื่องนั้น ๆ 2) คุณค่าด้านคุณธรรม คือ ผู้อ่าน ผู้ฟังหรือผู้ชมวรรณคดีได้เกิดความซาบซึ้งในคติธรรม คุณธรรม ข้อคิดที่ผู้ประพันธ์ได้สอดแทรกไว้และเกิดความสุขใจหรือสามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น 3) คุณค่าด้านความรู้คือ วรรณคดีย่อมสะท้อนภาพศิลปวัฒนธรรมทางด้านภาษา สังคม ค่านิยม ประเพณีผู้รับสารจึงสามารถศึกษาเรื่องราวนี้ได้จากวรรณคดี ดังนั้นสรุปได้ว่า วรรณคดีมีความสำคัญในการสื่อสารเพราะเป็นสิ่งที่แสดงถึงความไพเราะ ของภาษาและยังสัมพันธ์กับระบบชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนไทย สะท้อนให้เห็นสังคมในด้าน
15 ต่าง ๆ เช่น การศึกษา ศิลปวิทยาการ ศาสนา การปกครอง ขนบธรรมเนียม ประเพณี อาชีพ ของพลเมือง ตลอดจนกิจกรรมนันทนาการเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนานในท้องถิ่นต่าง ๆ อีกทั้ง คุณค่าของวรรณคดีที่ให้ความบันเทิง เสริมสร้างสติปัญญาในด้านภาษา และวรรณคดีประวัติศาสตร์ คติธรรม คำสอน เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและเป็นการยกระดับจิตใจของผู้อ่าน 4.2.3 การสอนวรรณคดี 4.2.3.1 จุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดี มีนักการศึกษาได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดีไว้ ดังต่อไปนี้ พวงเล็ก อุตระ (2539: 6) ได้กล่าวว่า ความมุ่งหมายของการสอนวรรณคดีเพื่อให้ เห็นคุณค่าของวรรณคดีและงานประพันธ์ที่ใช้ภาษาอย่างมีรสนิยมในฐานะเป็นวัฒนธรรมของชาติคือ ให้เกิดความซาบซึ้งในรสแห่งความไพเราะของวรรณคดี อันประกอบด้วย เสียง รสของคำ รสของ ความเข้าใจภาษาที่ใช้ในวรรณคดีซึ่งเป็นภาษาที่กวีเลือกสรรคำไพเราะและมีอำนาจ สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2546: 159-160) ได้กล่าวถึง จุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดีไว้ว่า เพื่อให้นักเรียนได้รู้จักความหมายของวรรณคดี รู้จักลักษณะ ข้อบังคับต่าง ๆ ของคำประพันธ์ที่ใช้ มีทักษะในการอ่านให้เห็นคุณค่าของวรรณคดี เข้าถึงอรรถรส สามารถวิจารณ์นิสัยและการกระทำของตัวละครได้ ประภาศรี สีหอำไพ (2550: 351-360) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอน วรรณคดีไว้ว่า ควรเน้นให้นักเรียนเกิดมโนทัศน์ มีความรู้เนื้อเรื่องที่กระจ่างชัด มีความรู้และเข้าใจ เกี่ยวกับ ฉันทลักษณ์สามารถถอดคำประพันธ์ได้ เกิดความคิด จินตนาการ และสุนทรียภาพจากเรื่องที่ เรียน มีวิจารณญาณรู้จักวิจารณ์ เปรียบเทียบ และสามารถเรียนรู้วัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณีจาก วรรณคดี ปราณี ปราบริปู (2554) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดีไว้ดังนี้ 1) ให้นักเรียนได้รู้จักความหมายของคำว่า วรรณคดี 2) ให้นักเรียนรู้ว่าลักษณะใดจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณคดี 3) ให้นักเรียนได้คุ้นเคยและศึกษาวรรณคดีในรูปแบบต่าง ๆ 4) เพื่อฝึกทักษะการอ่านออกเสียง การอ่านทำนองเสนาะได้ถูกต้อง 5) เพื่อฝึกทักษะการอ่านในใจและนิสัยรักการอ่าน 6) เพื่อให้มีความรู้ในเรื่องความหมายของคำ รู้จักตีความให้เข้าใจ 7) เพื่อให้นักเรียนได้สนุกสนานเพลิดเพลินจากเรื่องที่อ่านและให้ซาบซึ้งในรส ไพเราะของวรรณคดี 8) ให้นักเรียนได้ศึกษาลักษณะข้อบังคับต่าง ๆ ของคำประพันธ์ 9) ให้นักเรียนรู้สึกหรือเห็นคุณค่าและเข้าถึงรสของวรรณคดีสามารถจดจำ ถ้อยคำหรือข้อความไพเราะที่เป็นคติข้อคิดต่าง ๆ 10) ให้นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวรรณคดีไทย รู้จักฝึกและใช้จินตนาการ ตลอดจนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ บุญเหลือ เทพยสุวรรณ (2556: 29-31) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอน วรรณคดีไว้ว่า การเรียนการสอนวรรณคดีประการแรก ควรให้นักเรียนได้ทราบถึงประวัติของวรรณคดี
16 เพื่อที่จะได้รู้ว่าวรรณคดีของชาติมีวิวัฒนาการมาอย่างไร มีงานชิ้นเอกอะไรบ้างและงานนั้นได้รับการ ยกย่องเพราะเหตุใดเพื่อให้นักเรียนเกิดความภาคภูมิใจ ประการที่สองควรให้นักเรียนได้เรียน วรรณคดีหลายแบบเพื่อให้รู้เนื้อเรื่องโดยสรุปและสามารถพิจารณารายละเอียดของวรรณคดีจนเห็น คุณค่าได้ ประการสุดท้าย ต้องมุ่งให้นักเรียนรู้จักวรรณคดีนั้น ๆ มีส่วนสวยงามและส่วนบกพร่อง ตรงไหน โดยฝึกให้นักเรียนเกิดความคิดที่จะติหรือชม ดังนั้นสรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดีนั้นควรให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึง คุณค่าของวรรณคดี เห็นความสำคัญในฐานะที่วรรณคดีเป็นสมบัติและเป็นวัฒนธรรมประจำชาติรู้จัก รูปแบบรส ท่วงทำนองและลีลาของวรรณคดีรวมไปถึงนิสัยของตัวละคร เพื่อนำไปสู่ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ 4.2.3.2 วิธีการสอนวรรณคดี มีนักการศึกษาได้กล่าวถึงวิธีการสอนวรรณคดีไว้ ดังต่อไปนี้ สมถวิล วิเศษสมบัติ (2536: 135-136) ได้กล่าวถึงวิธีการสอนวรรณคดีไว้ว่า ครู ควรวางแผนอย่างละเอียด หาหนังสืออ่านประกอบ เตรียมเกร็ดความรู้และจัดกิจกรรมในบทเรียน ตั้งจุดมุ่งหมายไว้เป็นเชิงพฤติกรรม คือ จุดประสงค์การเรียนรู้ แล้วจัดกิจกรรมการสอนให้สอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ สอนเด็กให้มีวิจารณญาณโดยยั่วยุให้เด็กคิด อภิปรายและตัดสินใจโดยใช้ เหตุผลที่ถูกต้องและควรให้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของเรื่อง เช่น ผู้แต่งคือใคร แต่งสมัยใด เป็นต้น อัจจิมา เกิดผล (2536: 96) ได้กล่าวถึงวิธีการสอนวรรณคดีไว้ว่า ครูควรเข้าใจ เนื้อหาที่แท้จริงของวรรณคดีที่จะนำมาสอน จัดหากิจกรรม เกมประกอบการสอน หาเทคนิคใหม่ ๆ ที่ ทำให้การเรียนการสอนไม่น่าเบื่อ ควรยกตัวอย่างในปัจจุบันที่นักเรียนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น ไม่บังคับให้นักเรียนท่องบทประพันธ์ต่าง ๆ แต่ควร ชี้ให้เห็นลีลาและความไพเราะของบทประพันธ์ แล้วให้นักเรียนเลือกท่องบทที่นักเรียนประทับใจแทน รวมทั้งกระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น รู้จักวิจารณ์ ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (2545: 8) ได้กล่าวถึงวิธีการสอนวรรณคดีไว้ว่า ต้อง ปลูกฝังให้นักเรียนเคยชินกับสิ่งสวยงาม ความไพเราะลึกซึ้ง เพราะการเคี่ยวเข็ญให้นิยมตามครูจะไม่ ทำให้เกิดความซาบซึ้งในสุนทรียภาพที่แท้จริงขึ้นมาได้ เด็กต้องเกิดความซาบซึ้งในความไพเราะ งดงามนั้นขึ้นมาได้ จึงควรสอนให้นักเรียนรู้จักรสไพเราะของวรรณคดี และรู้จักความสุข ความ เพลิดเพลินจากการอ่านวรรคดีเพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนวรรณคดีให้ลึกซึ้งต่อไป ประภาศรี สีหอำไพ (2550: 351-360) ได้กล่าวถึงวิธีการสอนวรรณคดีไว้ว่า เนื้อหาที่จะสอนได้แก่ มโนทัศน์เนื้อหา ฉันทลักษณ์ คำศัพท์ การตีความบทประพันธ์ สุนทรียภาพ การ อ่าน ทำนองเสนาะ ซึ่งครูจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมให้ชัดเจน ส่วนในการสอนนั้นต้อง ให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมโดยใช้ความคิดพิจารณาด้วยตนเองเป็นสำคัญ และใช้สื่อการสอนให้เหมาะสม กับ เนื้อหา บุญเหลือ เทพยสุวรรณ (2556: 30-33) ได้กล่าวถึงวิธีการสอนวรรณคดีไว้ว่า ครู ควรเริ่มให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมการอ่าน โดยการให้นักเรียนอ่านตัววรรณกรรมทั้งเรื่อง จากนั้นควร สอนให้นักเรียนเข้าใจวรรณคดีหรือวิจักษ์ โดยครูฝึกให้นักเรียนเกิดความคิดที่จะติชมหรือพิจารณา
17 ส่วนที่งามและบกพร่องว่าอยู่ตรงไหน ตัวละครตัวใดดีหรือเลวอย่างไร เจตนาของผู้แต่งคืออะไร เมื่อ ครูทราบความคิดเห็นของนักเรียนแล้ว ครูควรบอกความคิดของครูให้นักเรียนทราบด้วย เพื่อเป็นการ ชี้แนวทางหรือแนวความคิด จากนั้นให้นักเรียนตีความหรือวินิจฉัยสาร และให้พิจารณากลวิธีและ วิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้นสรุปได้ว่า วิธีการสอนวรรณคดีนั้น ครูผู้สอนต้องมีความเข้าใจเนื้อหาของ วรรณคดีให้แม่นยำก่อน จึงสามารถถ่ายทอดวรรณคดีให้ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครูจะต้อง กำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมให้ชัดเจน รวมไปถึงต้องมีเทคนิคในการสอนที่หลากหลาย เพื่อ กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความรู้สึกอยากที่จะ เรียนรู้วรรณคดี ครูผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความ คิดเห็น และชี้แนะให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญและความไพเราะไปถึงความงามในด้านวรรณศิลป์ของ วรรณคดีในเรื่องนั้น ๆ 4.3 กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน 4.3.1 ความหมายของกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมอง เป็นฐานไว้ ดังต่อไปนี้ อัครภูมิ จารุภากร และพรพิไล เลิศวิชา (2550 : 234) ได้ให้ความหมายของกิจกรรม การเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ว่า การทำความเข้าใจหรือมีมุมมองต่อ กระบวนการเรียนรู้ โดยอิงอาศัยความรู้ความเข้าใจจากการทำงานของสมอง ทัศนะต่อการเรียนรู้ เช่นนี้ทำให้การจัดการเรียนการสอนวางอยู่บนฐานของความสนใจและการใคร่ครวญว่าปัจจัยใดบ้าง ที่จะทำให้สมองมีการเปลี่ยนแปลง โดยมีวงจรการทำงานของกลุ่มเซลล์และเครือข่ายเซลล์ภายใน สมองที่พัฒนาขึ้น หรือว่าสมองมีปฏิกิริยาตอบรับต่อการเรียนการสอนแบบใด อย่างไร มีการ เปลี่ยนแปลงใดขึ้นในสมองขณะที่เรียนรู้และความรู้ความเข้าใจ และความชำนาญของผู้เรียน จะสะท้อนออกมาอย่างไรจากการเปลี่ยนแปลงภายในสมอง การเรียนรู้จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ควรจะใช้ วิธีใดประเมิน สถาบันวิทยาการการเรียนรู้(2551 : 2) ได้ให้ความหมายของกิจกรรมการเรียนรูตาม แนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ว่า การจัดการเรียนรู้ที่อิงอาศัยความรู้ความเข้าใจการทำงาน ของสมอง เมื่อเกิดการเข้าใจ แล้วนำไปสู่การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ได้แก่ การจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน การจัดสิ่งแวดล้อม การออกแบบสื่อและวิธีการเรียนที่เน้นให้เด็กสนใจและเข้าใจสิ่งที่ เรียนได้โดยง่าย อัญชลีเฟื่องชูชาติ (2552 : 6) ได้ให้ความหมายของกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการ เรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ว่า การใช้ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับสมองเป็นเครื่องมือในการ ออกแบบกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ ของมนุษย์โดยเชื่อว่า โอกาสทองของการเรียนรู้อยู่ระหว่างแรกเกิดถึง 10 ปี ปวีณา วิชนี(2558 : 456) ได้ให้ความหมายของกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรู โดยใชสมองเป็นฐานไว้ว่า การจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักการทำงานหรือธรรมชาติการเรียนรู้
18 สมองมาใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ณัฐพล เฟื้องฟุ้ง (2560 : 11) ได้ให้ความหมายของกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียน รูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ว่า การนำความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องสมองและการทำงานของสมองมา ใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบ การเรียนการสอน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับภาวะการ พัฒนาของสมอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความสามารถสูงสุดเต็มตามศักยภาพของแต่ละคน เพื่อให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับภาวะการพัฒนาของสมอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความสามารถสูงสุดเต็ม ตามศักยภาพของแต่ละคน ดังนั้นสรุปได้ว่า กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ใช้โครงสร้างหรือหน้าที่ของสมองเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการเรียนรู้ โดยการ มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน การจัดสิ่งแวดล้อม การออกแบบ การใช้เครื่องมือ เพื่อให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มตามศักยภา 4.3.2 แนวทางการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน มีนักการศึกษาได้ให้แนวทางการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใช สมองเป็นฐานไว้ ดังต่อไปนี้ ประเสริฐ บุญเกิด (2550 : 26) ได้ให้หลักการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการ เรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ ดังนี้ 1) เรียนรู้ด้วยความสุข/สนุก Limbic system เปิดสมองทำงานเต็มที่ 2) การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับลำดับขั้นตอนการพัฒนาด้านโครงสร้างและการทำงานของ สมอง 3) การเรียนรู้จากของจริงไปหาสัญลักษณ์ 4) การเรียนรู้ด้วยความเข้าใจมากกว่าการจำ อารี สัณหฉวี (2550 : 90-91) ได้ให้หลักการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการ เรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ ดังนี้ 1) มีบรรยากาศที่เป็นมิตรต่อนักเรียน ตั้งแต่การจัดห้องเรียนให้สวางสุกใส่ สวยงาม สะอาด ครูควรทำความสะอาดแล้วให้นักเรียนช่วย แต่ครูต้องไม่ติดอุปกรณ์รูปภาพให้เปรอะฝาผนัง ห้องเรียนควรมีบอร์ดจัดแสดงผลงานนักเรียน และมีคำศัพท์ใหม่หรือรูปภาพเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน เรื่อง ที่ติดบอร์ดควรเปลี่ยนตลอดเวลา เรื่องที่ติดแล้วควรเข้าเล่มเพื่อให้เด็กได้ค้นคว้า ฝาผนังอาคาร เรียน ควรเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ครูนำเด็กออกมาดูและทบทวนรูปภาพหรือเรื่องที่ติดบอร์ดแล้วทิ้งอยู่ เป็น เวลานาน ๆ ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่จะไม่ดู เพราะฉะนั้นควรเปลี่ยนให้ทันต่อเหตุการณ์ เพราะเด็ก จะเรียนรู้จากสภาพแวดล้อม 2) จัดการสอนให้เด็กได้ฝึกทำด้วยตนเอง ครูต้องหาโอกาสสอน และพูดคุยกับเด็ก ตัว ต่อตัว ครูต้องได้เห็นการทำงาน ได้ฟังนักเรียนพูดหรืออ่านให้ครูฟัง 3) นำทฤษฎีการเรียนรู้ของสมองของ เคนและเคนมาใช้โดยการสร้างสิ่งแวดล้อม ที่ผ่อน คลายและตื่นตัวที่จะเรียน (Relaxed alertness) นักเรียนไม่เครียดเพราะบรรยากาศใน ห้องเรียนมี ความเป็นมิตร นักเรียนรักใคร่เพื่อนฝูง ครูรักและให้ความยุติธรรมต่อเด็กทุกคน เด็กมีปัญหาทาง
19 อารมณ์ครูควรแก้ไข ส่วนวิธีสอน ครูให้เด็กมีประสบการณ์หลากหลาย เช่น การทำงาน เป็นกลุ่ม ทำงานเดี่ยว สอนให้มีโอกาสฝึกปฏิบัติและทำด้วยตนเอง ให้เด็กทำงานโครงการนอก สถานที่ ได้ศึกษา จากสถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลอง 4) ครูศึกษาและส่งเสริมความสามารถพิเศษของเด็ก ให้โอกาสเด็กได้แสดง ความสามารถ ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น จัดงานแสดง จัดนิทรรศการ 5) ครูใช้วิธีสอนที่ให้เด็กมีสไตล์การเรียนรู้ต่าง ๆ กัน 6) จัดกิจกรรมการเรียนให้เด็กได้มีโอกาส “เล่น” เช่น แทรกดนตรี เกม การแสดง 7) แนะนำและรณรงค์การกินอาหารที่เหมาะสม 8) ส่งเสริมให้เด็กได้เคลื่อนไหว 9) สอนให้เด็กคิดจากการศึกษาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดใช้สมองเป็นฐาน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร (2550 : 16) ได้ให้แนวทางการกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการ เรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ 3 ประการ ดังนี้ 1) ทำให้นักเรียนเกิดการตื่นตัวแบบผ่อนคลาย คือ การสร้างบรรยากาศในการจัดการ เรียนรู้ให้นักเรียนรู้สึกเหมือนไม่ถูกกดดัน มีความท้าทาย ทำให้อยากค้นหาคำตอบ 2) ทำให้นักเรียนจดจ่อในสิ่งเดียวกัน 2.1) การใช้สื่อหลาย ๆ แบบ รวมทั้งการยกปรากฏการณ์จริงมาเป็นตัวอย่าง และการ เปรียบเทียบให้เห็นภาพ 2.2) การเชื่อมโยงความรู้หลาย ๆ อย่าง 2.3) การอธิบายปรากฏการณ์ด้วยความรู้ที่นักเรียนได้รับ 3) ทำให้เกิดความรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วยการลงมือทดลอง ประดิษฐ์หรือ การเล่าประสบการณ์จริง กัญนิกา พราหมณ์พิทักษ์ (2551 : 19-23) ได้ให้แนวทางการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู ตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ ดังนี้ 1) ใช้ยุทธวิธีการสอนที่หลากหลาย ท้าทายให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับกลุ่ม 2) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กระตุ้นความสนใจและมีความหมายเชื่อมโยงเข้ากับชีวิตจริง 3) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้พัฒนาและสร้างวิธีการเรียนรู้ของตนเอง 4) จัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนใช้ประสาทสัมผัสแบบต่าง ๆ คือ การฟัง การเห็นภาพ การเคลื่อนไหวทางกายภาพอย่างเหมาะสม 5) ให้เวลาผู้เรียนได้มีโอกาสคิดสร้างสรรค์และสะท้อนกลับ ยืดหยุ่นให้ผู้เรียนมีเวลา เท่าที่เขาต้องการ มีอิสระที่จะใช้เวลาคิดได้ตามใจชอบโดยไม่เครียด มีการสะท้อนกลับ (Feed-back) ทบทวนสิ่งที่เรียนรู้อะไรไปแค่ไหน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเอง เรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ดียิ่งขึ้น 6) ประเมินผลให้สอดคล้องกับการทำงานของสมอง ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่สมองแสดง ออกมา คือสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ การพูด การกระทำสะท้อนถึงสิ่งที่สมองกาลังคิดอยู่ครูต้องสังเกต และตีความ ด้วยความเอาใจใส่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะมีผลต่อแรงจูงใจ ทัศนคติและการกระตุ้น การเรียนรู้ ครู ต้องรู้ว่าเด็กรู้อะไร และยังไม่รู้อะไร เพื่อหาแนวทางในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ของเด็กให้ ก้าวหน้าขึ้น
20 สถาบันคลังสมองของชาติ(2551 : 35) ได้ให้แนวทางการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูตาม แนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ ดังนี้ 1) สมองเกิดมาเพื่อที่จะเรียน รักที่จะเรียน และรู้วิธีการที่จะเรียน 2) ควรเรียนในสิ่งที่ได้ทำการลงมือปฏิบัติคือการสร้างความผิดพลาดการแก้ไข ข้อผิดพลาดเรียนรู้จากการลง มือปฏิบัติ และพยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าทำ ความผิดพลาดและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเป็นกระบวนการตามธรรมชาติและเป็นสิ่ง ที่จำเป็นสำหรับ การเรียนรู้ 3) การเรียนรู้เกิดจากการปฏิบัติ เพราะเมื่อลงมือปฏิบัติ สมองจะสร้าง “เดนไดร์ท” ใหม่ และเชื่อมต่อที่จุด “ซินแนปส์” ซึ่งเป็นความหมายของการเรียนรู้ 4) การเรียนรู้นั้นใช้เวลา เพราะต้องใช้เวลาเพื่อพัฒนาให้ “เดนไดร์ท” เติบโตและ เชื่อมต่อกัน 5) ถ้าไม่ใช้สมอง เราก็จะสูญเสียมัน “เดนไดร์ท” และ “ซินแนปส์” จะเริ่มหายไปถ้าไม่ ใช้มัน (ถ้าไม่ลงมือปฏิบัติหรือใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้มา) 6) อารมณ์มีผลกระทบความมีศักยภาพของสมองในการเรียนรู้ การคิดและความจำ - การสงสัยในตนเอง ความกลัวและอื่น ๆ ป้องกันสมองจากการเรียนรู้ การคิดและการจำ - ความ เชื่อมั่น ความสนใจ และอื่น ๆ ช่วยสมองในการเรียนรู้ การคิดและการจำ 7) จงจำไว้ว่าทุกคนเกิดมาที่จะเรียนรู้โดยธรรมชาติ สรุปได้ว่า หลักการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็น ฐาน ต้องจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการทำงานของสมอง โดยคำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละ บุคคล กิจกรรมจะต้องใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย ส่งเสริมและท้าทาย ให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ ร่วมกับกลุ่ม จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และเชื่อมโยงความรู้เก่าสู่ความรู้ใหม่ 4.3.3 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน มีนักการศึกษาได้ให้ขั้นตอนการกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็น ฐาน ดังต่อไปนี้ ธิดารัตน์ เจตินัย (2551 : 30) ได้ให้ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียน รูโดยใชสมองเป็นฐาน ซึ่งประกอบด้วย ดังนี้ 1) ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ครูผู้สอนวางแผนในการสนทนากับนักเรียน เพื่อให้เกิดความ เข้าใจในสิ่งที่เรียน และเชื่อมโยงไปยังสิ่งที่จะเรียนได้ 2) ขั้นแจ้งกระบวนการเรียนรู้ครูผู้สอนแจ้งให้นักเรียนทราบว่าจะต้องทำกิจกรรมใดบ้าง อย่างไร และมีวิธีวัดและประเมินอย่างไร 3) ขั้นเสนอความรู้ใหม่ การสอนหรือสร้างความคิดรวบยอดให้นักเรียนเกิดความรู้ ความ เข้าใจในสิ่งที่เรียน
21 4) ขั้นฝึกทักษะ การให้นักเรียนเข้ากลุ่มร่วมมือการเรียนรู้ และสร้างผลงาน ด้วย การศึกษา ค้นคว้า ได้มีการฝึกปฏิบัติ การทดลอง การสังเกต การทำแบบฝึกหัด การวาดภาพ และ ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ จนประสบผลสำเร็จได้ผลงานออกมา 5) ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ส่งตัวแทนแต่ละกลุ่มจับฉลากออกมาเสนอผลงาน เพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ 6) ขั้นสรุปความรู้ครูผู้สอนและนักเรียนร่วมกันสรุป แล้วทำรายงานเป็นรายบุคคล เปลี่ยนกันตรวจ แล้วให้นักเรียนปรับปรุงผลงานของตนเองให้ถูกต้อง 7) ขั้นเกมตอบคำถาม นักเรียนทำข้อสอบเป็นรายบุคคล โดยไม่พูดคุยและซักถามกัน ปราณี อ่อนศรี (2552 : 89-90) ได้ให้ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการ เรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน เรียกว่า ACTOR Model ดังนี้ 1) วิธีการผ่อนคลาย (Approach to Relaxation) เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดกิจกรรมเพื่อเสริม บรรยากาศที่ท้าทายการเรียนรู้ กระตุ้นจิตใจให้ผู้เรียนมีความตื่นตัว เช่น การทำสมาธิ การเปิดเพลง เป็นต้น 2) การใช้ผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดกิจกรรมการรวมกลุ่ม เพื่อร่วมกันจัดแบบแผนการจัดการเรียนรู้ 3) การถ่ายโยงการเรียน (Transfer of Learning) เป็นขั้นที่ผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันสรุป ประเด็นเพื่อสามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่มีอยู่ก่อนได้ 4) การบริหารสมอง (Operation to Brain-Gym) เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดกิจกรรมให้ผู้เรียน ฝึกบริหารสมองตามท่าที่กำหนดให้ เพื่อให้สมองซีกซ้ายซีกขวาทำงานประสานกัน 5) การคิดไตร่ตรอง (Reflection) เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนคิดไตร่ตรอง จากการนำเสนอในใบงาน โดยการตั้งคำถาม ธัญชนก โหน่งกดหลด (2554 : 78-79) ได้ให้วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการ เรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้น ดังนี้ 1) การนำเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยระหว่างผู้สอน และผู้เรียนโดยใช้เกม บทเพลง ฯลฯ 2) ขั้นตกลงกระบวนการเรียนรู้ เป็นขั้นที่ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสนทนาเพื่อเป็นการ กระตุ้นให้เด็กเกิดความต้องการเรียนรู้ 3) ขั้นเสนอความรู้ เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดประสบการณ์เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดและ จินตนาการ 4) ขั้นฝึกทักษะ เป็นขั้นที่ผู้เรียนได้ร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อพัฒนากระบวนการคิด การมี ส่วนร่วมในการสร้างผลงาน 5) ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนนำผลงานมานำเสนอหลังจากที่ได้รับการเรียนรู้ แล้ว 6) ขั้นสรุปความรู้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้แล้วสรุปผังความคิด ฉวีวรรณ สีสม (2555 : 51-52) ได้ให้ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการ เรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ซึ่งประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ซึ่งเรียกว่า BRAISE Model ดังนี้
22 1) ขั้นบริหารสมอง (Brain-Gym) เป็นขั้นที่ฝึกสมองซีกซ้ายซีกขวาให้ทำงานประสานกัน รวมทั้งสร้างความสมดุลให้กับสมอง โดยให้ผู้เรียนฝึกด้วยท่าทางต่าง ๆ ประมาณ 5-10 นาที 2) ขั้นกระตุ้นสมอง (Routes) เป็นขั้นที่สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้ดีที่สุด ทำให้ผู้เรียน เกิดความสนใจในการเรียนรู้ช่วยให้ค้นหาคำตอบ และทบทวนความรู้เดิม 3) ขั้นจัดประสบการณ์ (Accessing to Information) เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้จากบทเรียน 4) ขั้นฝึกประสบการณ์ (Implementation) เป็นขั้นที่ผู้เรียนนำความรู้มาลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดทักษะในการเรียนรู้ 5) ขั้นสรุปประสบการณ์ (Summary) เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถสรุปองค์ความรู้ที่ได้รับ จากการจัดประสบการณ์ 6) ขั้นขยายความรู้ (Extension) เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ ณัฐพล เฟื้องฟุ้ง (2560 : 23) ได้ให้ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียน รูโดยใชสมองเป็นฐาน ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นเตรียมความพร้อม เป็นขั้นที่ผู้สอนสร้างกิจกรรม ด้วยท่าทางต่าง ๆ เพื่อให้สมอง ผ่อนคลาย พร้อมทั้งทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียน 2) เพิ่มเติมความรู้ เป็นขั้นที่ผู้สอนตกลงการจัดการเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียนแล้วนำความรู้ ใหม่ถ่ายทอดให้ผู้เรียน 3) เข้าสู่ประสบการณ์ เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดกิจกรรมที่หลากหลายให้กับผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติเพื่อเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ โดยผ่านประสบการณ์จนเกิดทักษะการเรียนรู้ 4) พัฒนาความคิดรวบยอด เป็นขั้นที่ผู้เรียนสรุปความรู้จากการจัดประสบการณ์ และ สามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับปรุงแก้ไขพร้อมทั้งปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนั้นสรุปได้ว่า ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็น ฐาน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำสู่บทเรียน เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนเตรียมความพร้อมก่อนการเรียน ฝึกให้ ผู้เรียนมีสติและอยากที่จะเรียนรู้บทเรียน ขั้นที่ 2 ขั้นเพิ่มความรู้ เป็นขั้นที่ผู้สอนถ่ายทอดความรู้ใหม่และเชื่อมโยงกับความรู้เดิม จนผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในบทเรียน ขั้นที่ 3 ขั้นฝึกทักษะ เป็นขั้นที่ผู้สอนจะให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับบทเรียน อาจจะปฏิบัติเป็นรายกลุ่มหรือเดี่ยวก็ได้ เพื่อให้เกิดทักษะในการเรียนรู้ ขั้นที่ 4 ขั้นสรุปความรู้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้รับจากบทเรียน และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในการเรียนรู้ครั้งถัดไป 4.2.4 การวัดและประเมินผลกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน มีนักการศึกษาได้ให้วิธีการวัดและประเมินผลกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดย ใชสมองเป็นฐาน ดังต่อไปนี้
23 สุวิทย์ มูลคำ (2541 : 14) ได้ให้วิธีการวัดและประเมินผลกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิด การเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ไว้ว่า การประเมินตามสภาพที่แท้จริง หมายถึง การวัดและประเมินผล กระบวนการทำงานในด้านสมอง หรือการคิดและจิตใจของผู้เรียนอย่างตรงไปตรงมาตาม สิ่งที่ผู้เรียน กระทำ โดยพยายามตอบคำถามเกี่ยวกับการะทำของผู้เรียนและเหตุผลของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้สอน สามารถช่วยผู้เรียนพัฒนาการเรียนและการสอนของผู้สอน ทำให้การเรียนการสอนมีความหมายและ ทำให้เกิดความอยากในการเรียนรู้ต่อไป อัครภูมิ วงศ์โสธร และพรพิไล เลิศวิชา (2550) ได้ให้วิธีการวัดและประเมินผลกิจกรรมการ เรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ว่า ในการจัดขั้นตอนการเรียนรู้โดยสนใจหลักการ เรียนรู้เห็นว่าการทำสอบเป็นเพียงส่วนย่อย ๆ ของการจัดและประเมินการเรียนรู้เท่านั้น โรงเรียนจะต้องยึดหลักสำคัญต่อไปนี้ในการประเมินผล 1) การวัดผลและประเมินผลดำเนินไปพร้อม ๆ กับการเรียนการสอน กล่าวคือ การเรียนการสอนและการวัดประเมินผลเป็นขั้นตอนการเดียวกัน ขณะที่เราสนทนาเราทราบว่าผู้ฟัง เข้าใจหรือว่าสงสัย เราปรับปรุงการพูด พยายามสรรหาวิธีต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ การเรียนการสอน เป็นอย่างเดียวกัน คือ ผู้สอนประเมินดูพร้อมกับพัฒนาขั้นตอนการเรียนรู้ทุกขณะ 2) การวัดผลและประเมินผล ควรหันมาให้ความสำคัญต่อการประเมิน ขั้นตอนการ เรียนรู้ ตรวจสอบดูว่าขั้นตอนการที่ใช้นั้นสามารถชี้นำการเรียนรู้ และทำให้สมองทำงานเต็มที่หรือไม่ การประเมินขั้นตอนการอาจสร้างแบบประเมินขึ้นมาได้ เพื่อควบคุมการใช้ขั้นตอนเครื่องมือ ขั้นตอน การที่มีประสิทธิภาพตามข้อเสนอในหลักสูตร หรือตามแนวทางเพิ่มเติมที่ครูคิดขึ้นมาใช้ 3) การวัดและประเมินด้วยวิธีการหลากหลายและต่อเนื่องตามสภาพจริง ในความเป็น จริงขั้นตอนการเรียนรู้ ดำเนินไปอย่างหลากหลายและซับซ้อน นักเรียนมีกิจกรรมต่าง ๆ กิจกรรม ในชั้นเรียน กิจกรรมภาคสนาม กิจกรรมการทดลอง กิจกรรมศึกษาค้นคว้า กิจกรรมโครงการ เป็นต้น การวัดและประเมินต้องสนใจประวัติและความต่อเนื่องในขั้นตอนการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน ที่แตกต่างกัน ความสามารถของนักเรียนแสดงออกมาต่างกัน เข้าใจ สนใจ และให้เวลาไม่เท่ากัน การประเมินที่ไม่ใช้สูตรสำเร็จแบบนี้ต้องสนใจเก็บข้อมูล แฟ้มสะสม ผลงานของเด็กเป็นรายบุคคล ควรสร้างแบบประเมินชนิดนี้ขึ้นเพื่อความสะดวกของครูในการจดบันทึกและรวบรวมผลงานของเด็ก วิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้เราได้ข้อมูลมากพอเพียงที่จะสะท้อนความรู้ความสามารถของนักเรียน ได้ เจสัน (Jensen, 2000, unpaged อ้างอิงใน อรวรรณ บุญสมปาน, 2551 : 32) ได้ให้ วิธีการวัดและประเมินผลกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานไว้ว่า การ วัดผลและประเมินผลการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน ควรใช้การวัดผลตามสภาพความเป็นจริง (Authentic Assessment) และควรมีการวัดผลที่หลากหลาย สมัยก่อนการวัดผล ครูต้องเป็น ผู้ดำเนินการและจัดการทุกอย่าง แต่วิธีการวัดผลสมัยใหม่ ต้องให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินด้วย เช่น ร่วมกำหนดเกณฑ์การวัดผล การประเมินตนเอง เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตร BBL เพื่อให้ การจัดการเรียนรู้ที่กล่าวไว้ว่า การวัดผลของการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐานนั้น จะใช้แบบสังเกต พัฒนาการในการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นหลักในการประเมิน ซึ่งถือเป็นวิธีการประเมินวิธีหนึ่งของการ ประเมินตามสภาพจริง
24 สรุปได้ว่า วิธีการวัดและประเมินผลกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมอง เป็นฐาน ควรมีวิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวัด และประเมินผล เน้นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงเป็นหลัก การวัดและประเมินผลเป็นการ ช่วยให้มีพัฒนาการทางการเรียนรู้และเป็นข้อมูลสำหรับครูผู้สอนที่จะนำมาปรับปรุงพัฒนา กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน เพื่อให้การจัดการเรียนรู้เกิดคุณภาพ สูงสุดต่อผู้เรียน สามารถพัฒนาผู้เรียนได้ตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ 4.4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย มีดังนี้ ปนัดดา ใจสุทธิ์ (2559) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี ไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์2 ร่วมกับ เทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ โดยมีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียนวรรณคดีไทยที่จัดการเรียนรู้ด้วย เทคนิคจิ๊กซอว์2 ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับเทคนิคการคิด แบบหมวกหกใบ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยาที่กำลังศึกษา อยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 3) แบบสอบถามความ คิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับเทคนิคการคิด แบบหมวกหกใบ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบ หมวกหกใบหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ความคิดเห็นของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับ เทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด แสนรัก บัวทอง (2559) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้เกมร่วมกับเพลงพื้นบ้าน โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมและเพลงพื้นบ้าน 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ในการเรียนวรรณคดีไทยโดยใช้เกมและเพลงพื้นบ้าน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จังหวัดเพชรบุรีจำนวน 46 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องสุภาษิตพระร่วงและนิราศภูเขา ทองที่จัดการเรียนรู้โดยใช้เกมและเพลงพื้นบ้าน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี เรื่องสุภาษิตพระร่วงและนิราศภูเขาทอง 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ในการเรียนวรรณคดีไทยโดยใช้เกมและเพลงพื้นบ้าน ผลการวิจัยพบว่า
25 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้เกมและ เพลงพื้นบ้าน หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นันทญ์ณภัค พรมมา (2563) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด กลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3/1 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง อำเภอเมืองราชบุรีจังหวัดราชบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 27 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการ เรียนรู้ด้วยการใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้ เทคนิคเพื่อนคู่คิด ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก 4.4.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน เอมฤดี สมัครลาน และ จิระพร ชะโน (2560) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนากลวิธีการ สอนภาษาไทยตามแนวคิดสมองเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างการอ่านและเขียนคำ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากลวิธีการสอนภาษาไทยตามแนวคิดสมองเป็น ฐานเพื่อเสริมสร้างการอ่านและเขียนคำ 2) เพื่อหาประสิทธิภาพของกลวิธีการสอนภาษาไทยตาม แนวคิดสมองเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างการอ่านและการเขียนคำ กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนบ้านตะโนน อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยตามแนวคิดสมองเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างการอ่านและการเขียนคำ จำนวน 8 แผน แผนละ 4 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 32 ชั่วโมง 2) แบบวัดการอ่าน สระละ 5 คำ ทั้งหมด 8 สระ รวมทั้งสิ้น 40 คำ 3) แบบวัดการเขียน สระละ 5 คำ ทั้งหมด 8 สระ รวมทั้งสิ้น 40 คำ ผลการวิจัยพบว่า 1) กลวิธีการสอนภาษาไทยตามแนวคิดสมองเป็น ฐานเพื่อเสริมสร้างการอ่านและเขียนคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้ออกแบบมี 7 ขั้นการสอน ดังนี้ 1. ขั้นบริหารสมอง 2. ขั้นทบทวนความรู้เดิม 3. ขั้นเพิ่มเติมความรู้ใหม่ 4. ขั้นใส่ใจ ฝึกทักษะ 5. ขั้นมานะแลกเปลี่ยนความรู้ 6. ขั้นสนุกกับเกมการศึกษา 7. ขั้นเฮฮาสรุปความรู้ 2) กลวิธี การสอนภาษาไทยตามแนวคิดสมองเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างการอ่านและเขียนคำ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 90.92/85.92 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1ที่เรียนด้วยกลวิธีการสอนภาษาไทยตามแนวคิดสมองเป็นฐานเพื่อ เสริมสร้างการอ่านและเขียนคำ มีความคงทนในการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียนไปแล้ว 2 สัปดาห์
26 กำชัย ทบบัณฑิต และคณะ (2560) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย ของ นักเรียนระดับประถมศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพนวัตกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านและการเขียน ของนักเรียนระดับ ประถมศึกษาตามเกณฑ์ 80/80 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่าน และการเขียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย ราชภัฏรำไพพรรณีปีการศึกษา 2560 จำนวน 31 คนได้มาจากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านและการ เขียนภาษาไทยของนักเรียนระดับประถมศึกษาที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.29/83.13โดย ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เท่ากับ 85.29 และค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 83.13 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 2. ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่าน และการเขียนของนักเรียน ที่เรียนด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยของนักเรียน ร ะ ด ั บ ป ร ะ ถ ม ศ ึ ก ษ า ท ี ่ พ ั ฒ น า ข ึ ้ น ท ด ส อ บ ห ล ั ง เ ร ี ย น ส ู ง ก ว ่ า ก ่ อ น เ ร ี ย น อ ย่ า ง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ปราณี นิตยะ (2562) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการ เรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียนภาษาไทย ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเพื่อใช้ออกแบบการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ 2) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ 3) ศึกษาผลการใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4) ประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปิยะ มหาราชาลัย จำนวน 80 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบวัดความสามารถการอ่านการเขียนภาษาไทย แบบสังเกต พฤติกรรมการเรียน แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนอ่านเขียนคำศัพท์พื้นฐานไม่ถูกต้อง จับใจความเรื่องที่อ่านถ่ายทอดความรู้ความคิดในการ เขียนไม่ได้ ปฏิบัติตนไม่ถูกต้องตามมารยาทการอ่านและการเขียน 2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มี ค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 83.43/82.08 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 3) การใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า (3.1) ความสามารถในการอ่านและการเขียนหลังเรียนของ นักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่าคะแนน ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3.2) ความ สามารถในการอ่านและการเขียนหลัง เรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่าคะแนนหลังเรียนของกลุ่ม ควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 4) การประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด 5. วิธีดำเนินการวิจัย 5.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล จำนวน 20 คน
27 5.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5.2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่สอนด้วย กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน 5.2.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาผลการเรียนรู้ ได้แก่ แบบทดสอบวรรณคดี เรื่อง บท ละครพูด เรื่อง เห็นแก่ลูก จำนวน 20 ข้อ 10 คะแนน 5.2.3 เครื่องมือที่ใช้สะท้อนผลการเรียนรู้ ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนของ นักเรียน แบบประเมินความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ที่สอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตาม แนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มรต่อการสอน ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน 5.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ตามขั้นตอนต่อไปนี้ 5.3.1 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใช สมองเป็นฐาน 5.3.2 ประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตาม แนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน โดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาความเหมาะสมของแผนการจัด การเรียนรู้ 5.3.3 ทดลองการจัดการเรียนการสอนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรู ตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล 5.3.4 ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน 5.4 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการ เรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ไปวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 5.4.1 วิเคราะห์ความเหมาะสมของหน่วยการเรียนรู้ 5.4.1.1 ผู้วิจัยนำคะแนนจากแบบประเมินในแต่ละข้อมารวมกัน หารด้วยจำนวน ข้อจึงได้ค่าเฉลี่ย แล้วนำมาเทียบกับเกณฑ์คุณภาพที่กำหนดไว้ จากนั้นจึงนำคะแนนเฉลี่ยและค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน มาวิเคราะห์แยกเป็นรายด้าน 5.4.1.2 เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตาม แนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน
28 5.4.1.3 วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ด้วย กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล 6. ผลการวิจัย ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ก่อนและ หลังการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ในการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ตารางที่ 6.1 เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี ไทย ก่อนและหลังการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ในการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล การทดสอบ N คะแนนเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน(S.D.) t ก่อนเรียน หลังเรียน 20 20 6.15 15.7 3.2 3.61 10.8 * ** มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากตารางที่ 3 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยก่อนและ หลังการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อน เรียนนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 6.15 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.2 และหลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ย 15.7 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.61 มีค่าการทดสอบที (t - test) เท่ากับ 10.8 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนด้วยกิจกรรม การเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ปรากฏดังตารางที่ 6.2 ตารางที่ 6.2 การวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนด้วยกิจกรรม การเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี ไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล
29 ที่ รายการประเมิน S.D. ระดับความ พึงพอใจ 1 เนื้อหาที่เรียนเข้าใจง่าย เป็นเนื้อหาตามความสนใจ 3.55 1.16 มาก 2 เนื้อหาที่เรียนไม่ยาวเกินไป ให้ความรู้และนำไปใช้ได้ 3.80 0.87 มาก 3 วิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่เรียนแล้วสนุก 4.00 1.00 มาก 4 มีความสุขเมื่อได้ทำงานร่วมกับเพื่อน 4.80 0.40 มากที่สุด 5 ชอบการเรียนที่มีกิจกรรมประกอบการเรียนรู้ 4.60 0.49 มากที่สุด 6 กิจกรรมช่วยกระตุ้นสมองให้รู้จักคิด 4.40 0.73 มาก 7 สื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการจดจำและเข้าใจง่าย 4.00 1.10 มาก 8 สื่อมีความแปลกใหม่น่าสนใจ ได้เคลื่อนไหว 3.60 1.11 มาก 9 ฉันมีความสุข สนุกในการทำกิจกรรม และการทำ แบบฝึกหัด 3.90 1.18 มาก 10 ฉันภูมิใจที่ครูชมเชยและให้รางวัล 4.70 0.46 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวม 4.14 0.85 มาก ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในตารางที่ 6.2 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนด้วย กิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.14 , S.D. = 0.85) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด คือ นักเรียนภูมิใจที่ครูชมเชยและให้รางวัล มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.70 ด้านนักเรียนมีความสุขเมื่อได้ทำงานร่วมกับเพื่อน มีค่าเฉลี่ย 4.80 และนักเรียนชอบการ เรียนที่มีกิจกรรมประกอบการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย 4.60 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านกิจกรรมช่วยกระตุ้นสมองให้รู้จักคิด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ด้านวิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่เรียนแล้วสนุกและด้านสื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการจดจำและเข้าใจง่าย มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน คือ 4.00 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ด้านนักเรียนมีความสุข สนุกในการทำ กิจกรรม และการทำแบบฝึกหัด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.90 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ด้านเนื้อหาที่เรียนไม่ยาวเกินไป ให้ความรู้และนำไปใช้ได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.80 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ ในระดับมาก ด้านสื่อมีความแปลกใหม่น่าสนใจ ได้เคลื่อนไหว มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ คือ 3.60 ซึ่งมีความ พึงพอใจอยู่ในระดับมาก และด้านเนื้อหาที่เรียนเข้าใจง่าย เป็นเนื้อหาตามความสนใจ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ คือ 3.55 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
30 7. สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 7.1 สรุปผลการวิจัย 7.1.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียน รูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัด สตูลหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 7.1.2 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรู โดยใชสมองเป็นฐาน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 7.2 อภิปรายผลการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิด การเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล อภิปรายผลได้ ดังนี้ 7.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียน รูโดยใชสมองเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัด สตูล หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียนนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 3.43 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากับ 3.10 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 7.75 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.86 มีค่าการทดสอบที (t - test) เท่ากับ 8.78 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เนื่องจากผู้วิจัย ได้ศึกษาแนวทางในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการ เรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน และได้วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อใช้ ในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ปราณี นิตยะ (2561) ได้ทำการ วิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยในบทเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยในบทเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปิยะมหา ราชาลัย ให้สูงขึ้น กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่สอนด้วยกิจกรรม การเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐาน และแบบทดสอบ เรื่อง วรรณคดีไทย ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เ ร ี ย น ม ี จ ำ น ว น น ั ก เ ร ี ย น ผ ่ า น เ ก ณ ฑ ์ ม า ก ก ว ่ า ร ้ อ ย ล ะ 8 0 เ น ื ่ อ ง จ า ก น ั ก เ ร ี ย น ไ ด้ เรียนรูภายใตบรรยากาศและสภาพแวดลอมที่ไม่รูสึกกดดัน ซึ่งจะทำใหผู้เรียนสามารถเรียนรูได้ดี ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรู โดยใชสมองเป็นฐานจะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง 7.2.2 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนด้วยกิจกรรมการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรู โดยใชสมองเป็นฐาน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.14 , S.D. = 0.85) และเมื่อพิจารณาเป็น รายด้าน พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด คือ นักเรียนภูมิใจที่ครูชมเชยและให้รางวัล มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.70 ด้านนักเรียนมีความสุขเมื่อได้ทำงานร่วมกับเพื่อน มีค่าเฉลี่ย 4.80 และ นักเรียนชอบการเรียนที่มีกิจกรรมประกอบการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย 4.60 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สุด ด้านกิจกรรมช่วยกระตุ้นสมองให้รู้จักคิด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ใน
31 ระดับมาก ด้านวิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่เรียนแล้วสนุกและด้านสื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการจดจำและ เข้าใจง่าย มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน คือ 4.00 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ด้านนักเรียนมีความสุข สนุก ในการทำกิจกรรม และการทำแบบฝึกหัด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.90 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ด้านเนื้อหาที่เรียนไม่ยาวเกินไป ให้ความรู้และนำไปใช้ได้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.80 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ ในระดับมาก ด้านสื่อมีความแปลกใหม่น่าสนใจ ได้เคลื่อนไหว มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ คือ 3.60 ซึ่งมีความ พึงพอใจอยู่ในระดับมาก และด้านเนื้อหาที่เรียนเข้าใจง่าย เป็นเนื้อหาตามความสนใจ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ คือ 3.55 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก เนื่องจากการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมอง เป็นฐานมาใช้ประกอบในการจัดการเรียนการสอนนั้น จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจและมี ส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน นำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนที่มีความสอดคล้องกับบริบท ในปัจจุบัน ดังพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติว่าด้วยเรื่องแนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 การ จัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียน มีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตาม ศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2542) ดังนั้น การจัดการเรียนรูตามแนวคิดการเรียนรูโดยใชสมอง เป็นฐานเป็นเครื่องมือในการจูงใจให้เกิดการเรียนรู้ ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ช่วยให้ ผู้เรียนเรียนด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน และผ่อนคลายความตึงเครียดในการเรียน จึงทำให้ผู้เรียน จดจำเนื้อหาได้อย่างแม่นยำและคงทน 7.3 ข้อเสนอแนะ 7.3.1 ควรวิจัยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยในระดับช่วงชั้นอื่นต่อไป 7.3.2 ควรวิจัยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย โดยใช้วิธีการสอนใน รูปแบบอื่น ๆ
32 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. องค์กรรับส่งสินค้า และพัสดุภัณฑ์. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. กรมวิชาการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542. กรมวิชาการ กฤตยากาญจน์ อินทร์พิทักษ์. (2562). การพัฒนาความสามารถการอ่านและการเขียนคำภาษาไทย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน. [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. กัญนิกา พราหมณ์พิทักษ์. การจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการทางสมอง (BBL). วารสาร วิชาการ, 11(4), 19-23. กุหลาบ มัลลิกะมาส. (2550). วรรณคดีวิจารณ์. คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. ฉวีวรรณ สีสม. (2555). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรูโดยใชสมองเป็นฐานในหนวยการเรียนรู วิชาเคมีทั่วไปสำหรับนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา. [วิทยานิพนธ ดุษฎีบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ฐะปะนีย์ นาครทรรพ. (2547). การสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). เมธีทิปส์. ณัฐพล เฟื้องฟุ้ง. (2560). การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้สมองเป็นฐานเพื่อส่งเสริม ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. ทิศนา แขมมณี. (2552). ศาสตร์การสอน. ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด. ทิศนา แขมมณี. (2555). ศาสตร์การสอน (พิมพ์ครั้งที่ 9). สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธิดารัตน์ เจตินัย. (2551). ผลการอ่านจับใจความภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยกลุ่มร่วมมือที่ใช้ แผนผังความคิดและเกมตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน. [การศึกษาค้นคว้าอิสระ มหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ธัญชนก โหน่งกดหลด. (2554). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถ ใน การคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบวัฎจักรการ เรียนรู้ 7 ขั้น และการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน. [ปริญญานิพนธ์มหาบัณฑิต ไม่ได้ ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ธัญญารัตน์ชื่นแสงจันทร์. (2563). ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยนำไปสู่การเรียนรู้. วารสาร สังคมศึกษา มมร., 1(1), 66-78. บุญชม ศรีสะอาด. (2537). การพัฒนาการสอน. สุวีริยาสาส์น.
33 ปนัดดา ใจสุทธิ์. (2558). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์2 ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัย ศิลปากร. ปวีณา วิชนี. (2558). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยา เรื่อง อาณาจักรของสิ่งมีชีวิต ด้วย การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) ร่วมกับการใช้เทคนิคเกม สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4. [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยบูรพา. ประภาศรี สีหอำไพ. (2550). วัฒนธรรมทางภาษา. (พิมพ์ครั้งที่ 3). ไทยวัฒนาพานิช. ประเสริฐ บุญเกิด. (2550). สมองเรียนรู้อย่างไร. [เอกสารอัดสำเนา]. สถาบันวิทยาการการเรียนรู้. ปราณี นิตยะ. (2562). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียนภาษาไทย ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2. [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยนครพนม. ปราณี อ่อนศรี (2552). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ที่ใช้สมอง เป็นฐาน ของนักเรียนพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก. [วิทยานิพนธ์ มหาบัณฑิต ไม่ได้ ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554. (พิมพ์ครั้งที่ 2). บริษัท นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ จำกัด. รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. (2549). ความรู้ทั่วไปทางภาษาและวรรณกรรมไทย. ภาควิชาภาษาไทยและภาษา ตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร (2550). การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานกับการสร้าง “เด็กเก่ง”. ไทยวัฒนาพานิช. สถาบันคลังสมองของชาติ. (2551). สมองกับการเรียนรู้. เบสท์กราฟฟิคเพรส. สถาบันวิทยาการการเรียนรู้. (2551). การเรียนรู้โดยเข้าใจสมอง. สถาบันวิทยาการการเรียนรู้. สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. (2543). วรรณคดีวิเคราะห์. โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. สุวิทย์ มูลคำ (2547). กลยุทธ์การสอนสังเคราะห์. (พิมพ์ครั้งที่ 2). ภาพพิมพ์. แสนรัก บัวทอง. (2559). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมและเพลงพื้นบ้าน. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2551). ตัวชี้วัดและสาระแกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย. 2551. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. ศรีวิไล ดอกจันทร์. (2529). การสอนวรรณกรรมวรรณคดีไทย. คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อัครภูมิ จารุภากร และพรพิไล เลิศวิชา. (2550). สมองเรียนรู้. สถาบันวิทยาการการเรียนรู้. อัจจิมา เกิดผล. (2536). กิจกรรมการเรียนการสอนวรรณคดีไทยในโรงเรียนมัธยม “จะสอน ภาษาไทยให้สนุกได้อย่างไร”. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
34 อัญชลี เฟื่องชูชาติ. (2552). การส่งเสริมทักษะการเขียนภาษาไทยโดยใช้การเรียนรู้ที่ใช้สมอง เป็นฐาน สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่. [การค้นคว้าอิสระ ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. อารี สัณหฉวี. (2550). ทฤษฎีการเรียนรู้ของสมองสำหรับ พ่อ แม่ ครูและผู้บริหาร. มิตรสัมพันธ์. อิงอร สุพันธุ์วณิช. (2554). วรรณกรรมวิจารณ์ : ร้อยกรองปัจจุบัน. บริษัทธนาเพรส จำกัด.
35 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
36
37
38
39 ภาคผนวก ข รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ
40 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง บทละครพูด เรื่องเห็นแก่ลูก จำนวน 6 คาบ เรื่อง เรียงร้อยประวัติรู้ชัดความเป็นมา จำนวน 1 คาบ 1. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม อย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตัวชี้วัด ท 5.1 ม.3/1 สรุปเนื้อหาวรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่นในระดับที่ ยากยิ่งขึ้น ท 5.1 ม.3/3 สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตจริง 2. สาระสำคัญ การศึกษาประวัติความเป็นมาของเรื่องและประวัติผู้แต่งมีความจำเป็นอยางยิ่งในการศึกษา วรรณคดี เพราะจะทำให้ผู้อ่านทราบถึงภูมิหลังของวรรณคดีเรื่องนั้น ๆ ทำให้เข้าใจสิ่งที่กวีต้องการ สื่อสารผ่านบทประพันธ์ต่าง ๆ รวมถึงนำไปเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึง จำเป็นอยางยิ่งที่ผู้อ่านควรทราบถึงประวัติความเป็นมาและประวัติผู้แต่ง เพื่อให้เกิดความซาบซึ้ง และ เข้าใจสิ่งที่ผู้แต่งต้องการสื่อสารผ่านเนื้อหาของวรรณคดี 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความเป็นมาและประวัติผู้แต่งวรรณคดีบทละครพูด เรื่อง เห็นแก่ลูกได้(K) 2. จับใจความจากวรรณคดีได้(P) 3. ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (A) 4. สาระการเรียนรู้ ความเป็นมาและประวัติผู้แต่งวรรณคดีบทละครพูด เรื่อง เห็นแก่ลูก 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ๑. ความสามารถในการคิด ๒. ความสามารถในการสื่อสาร ๓. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
41 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๑. รักความเป็นไทย ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มีวินัย ๔. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ BBL ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทำกิจกรรม Brain Gym ตบมือ ตบตัก ตบไหล่ 2. ครูนำนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับ บทละครพูด โดยครูเขียนคำว่า บทละครพูดไว้บนกระดาน แล้วสุ่มนักเรียนมาเขียนความหมายในรูปแบบผังความคิด และร่วมกันสรุปความหมายของบท ละครพูด ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม 5 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน จากนั้นให้นักเรียนเล่นกิจกรรม ครูชี้แจง วิธีการ เล่นกิจกรรม “กำจัดภัยร้าย” เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติผู้แต่งและความเป็นมา ซึ่งมีขั้นตอนการเล่น ดังนี้ 1.1 นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันฟังและจดจำประวัติความเป็นมาของเรื่องและประวัติผู้แต่ง ที่ครูอ่านให้นักเรียนฟังจำนวน 2 ครั้ง 1.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มรับแถบข้อความเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเรื่องและประวัติผู้ แต่ง จำนวน 20 แถบข้อความ โดยมีข้อความที่ไม่ถูกต้องอยู่จำนวน 9 ข้อความ ซึ่งถือว่าเป็น ภัยร้าย 1.3 ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกัน “กำจัดจุดอ่อน” ด้วยการหาแถบข้อความที่ไม่ ถูกต้อง จำนวน 9 ข้อความ แล้วออกมาติดไว้ที่กระดานหน้าห้อง โดยครูแบ่งกระดาน ออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้แต่ละกลุ่มเลือกข้อความที่ไม่ถูกต้องมาติดไว้ ซึ่งกำหนดเวลา 10 นาที ในการเล่นเกม 1.4 เมื่อหมดเวลาครูจึงเฉลย โดยการให้คะแนนทุกกลุ่ม 10 คะแนนเท่ากัน แต่ถ้าเลือก ข้อความที่ถูกอยู่แล้วมาติดก็จะโดนหักคะแนนไปแถบข้อความละ 2 คะแนน กลุ่มใดได้ คะแนนมากสุดถือเป็นผู้ชนะ 2. เมื่อครูเฉลยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นักเรียนนำแถบข้อความที่ถูกต้องทั้งหมดมาเรียงลำดับ และจดบันทึกลงในใบงานเรื่อง “เรียงร้อยประวัติรู้ชัดความเป็นมา” ให้ถูกต้อง ขั้นสรุปบทเรียน สรุปเนื้อหาด้วยการสนทนาซักถาม โดยนักเรียนช่วยกนตอบคำถามที่ครูถามเกี่ยวกับประวัติ ความเป็นมาของเรื่องและประวัติผู้แต่งวรรณคดี บทละครพูด เรื่อง เห็นแก่ลูก ที่ได้เรียนรู้ในกิจกรรม “กำจัดภัยร้าย”
42 8. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วรรณคดีวิจักษ์ 2. แถบข้อความประกอบการเล่น กิจกรรมกำจัดภัยร้าย 3. ใบงานเรื่อง “เรียงร้อยประวัติรู้ชัดความเป็นมา” 9. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ วิธีการวัดและ ประเมินผล วิธีการวัดผล เครื่องมือการวัด และประเมินผล เกณฑ์การวัดและประเมินผล ด้านความรู้ (K) อธิบายความเป็นมาและ ประวัติผู้แต่งวรรณคดี บทละครพูด เรื่อง เห็น แก่ลูกได้ ประเมิน กิจกรรมกำจัดภัย ร้าย กิจกรรมกำจัดภัย ร้าย ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ขึ้นไป คะแนน 6 – 10 = ผ่าน คะแนน 0 – 5 = ไม่ผ่าน ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) จับใจความจากวรรณคดี ได้ ตรวจใบงาน เรื่อง “เรียงร้อย ประวัติ รู้ชัดความเป็นมา” ใบงาน เรื่อง “เรียงร้อย ประวัติ รู้ชัดความเป็นมา” ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ขึ้นไป คะแนน 6 – 10 = ผ่าน คะแนน 0 – 5 = ไม่ผ่าน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) ให้ความร่วมมือในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ สังเกตจากการ อภิปรายผลของ นักเรียน แบบสังเกต พฤติกรรมนักเรียน ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพดีขึ้น ไป • คะแนน 4-5 = ดี • คะแนน 2–3 = ปานกลาง • คะแนน 0-1 = ปรับปรุง