แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 3 12
ชอื่ วชิ า งานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนกิ ส์เบ้ืองตน้ หน่วยที่ 3
รหสั วิชา 20100-1005
เวลาเรียนรวม 72 คาบ
ชื่อหนว่ ย กฎของโอหม์ และวงจรไฟฟ้าเบือ้ งต้น สอนครั้งที่ 3/18
ชอ่ื เรอ่ื ง กฎของโอห์มและวงจรไฟฟา้ เบ้ืองตน้ จำนวน 4 คาบ
หวั ข้อเร่ือง ใบงานที่ 3 กฎของโอห์มและวงจรไฟฟา้
3.1 กฎของโอหม์ เบอ้ื งต้น
3.2 วงจรไฟฟ้าเบ้ืองต้น
3.3 วงจรอนกุ รม
3.4 วงจรขนาน
3.5 วงจรผสม
แนวคิดสำคัญ
ยอร์จซีมอนโอห์ม นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ได้คิดค้นกฎของโอห์มกล่าวว่า ความสัมพันธ์ของแรงดัน
กระแสและความต้านทาน โดยปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจรจะเปล่ียนแปลงไปตามค่าแรงดัน
ที่จ่ายให้กับวงจรน้ันแต่เปลี่ยนแปลงเป็นส่วนกลับกับความต้านท านไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าเบื้องต้น
มีส่วนประกอบหลัก 3 ส่วนคือแหล่งจ่ายไฟฟ้า สายตัวนำ และโหลด วงจรอนุกรม คือการนำเอาอุปกรณ์
ทางไฟฟ้ามาต่อกันในลักษณะที่ปลายด้านหนึ่งของอุปกรณ์ตัวที่ 1 ต่อเข้ากับอุปกรณ์ตัวท่ี 2 จากนั้น
นำปลายท่ีเหลือของอุปกรณ์ตัวท่ี 2 ไปต่อกับอุปกรณ์ตัวท่ี 3 ไปเรื่อย ๆ มีผลทำให้กระแสท่ีไหลในวงจร
มีคา่ เทา่ กัน ความต้านทานรวมของวงจรมคี า่ เทา่ กับความตา้ นทานทกุ ตัวรวมกัน วงจรขนาน คือวงจรที่เกดิ จาก
การต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าต้ังแต่ 2 ตัวขึ้นไปต่อคร่อมหลังชนหลังกันไปเรื่อย ๆ มีผลทำให้ค่าของแรงดันไฟฟ้าที่ตก
คร่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวมีค่าเท่ากัน ส่วนการไหลของกระแสไฟฟ้าจะมีต้ังแต่ 2 ทางข้ึนไปส่วนค่าความ
ต้านทานรวมภายในวงจรขนานจะมีค่าเท่ากับผลรวมของส่วนกลับของค่าความต้านทานทุกตัวรวมกัน วงจร
ผสมเป็นการต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าดังแต่ 3 ตัวข้ึนไปต่อกันเป็นวงจรอนุกรมและวงจรขนานผสมกันไป
ทำให้คณุ สมบตั ิวงจรเปล่ียนไปตามวงจรอนกุ รมและวงจรขนาน
สมรรถนะย่อย
แสดงความรู้เก่ียวกบั กฎของโอหม์ และวงจรไฟฟา้ เบื้องต้น
จุดประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ
13
ด้านความรู้ ดา้ นทักษะ
1. อธบิ ายกฎของโอหม์ ได้ถูกตอ้ ง 1. ประกอบและวัดทดสอบวงจรไฟฟ้า
2. คำนวณหาคา่ แรงดนั กระแสและความ
เบอื้ งตน้
ตา้ นทานจากกฎของโอหม์ ได้ถูกต้อง
3. บอกสว่ นประกอบของวงจรไฟฟ้าไดถ้ ูกต้อง
4. บอกลกั ษณะและคณุ สมบตั ิของวงจรอนุกรม
วงจรขนานและวงจรผสมไดถ้ กู ตอ้ ง
5. คำนวณหาค่าความตา้ นทาน กระแส และแรงดนั
จากวงจรอนกุ รม ขนาน ผสมไดถ้ ูกต้อง
ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
แสดงออกด้านการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝ่รู้ ความซ่ือสัตย์ สจุ ริต ความมนี ้ำใจและแบ่งบัน ความ
ร่วมมอื ความมีมารยาท ไม่หยุดนิ่งทจี่ ะแกป้ ญั หา ใชอ้ ปุ กรณ์อย่างฉลาดและรอบคอบ
เน้ือหาสาระ
3.1 กฎของโอหม์
ยอร์จซีมอนโอห์ม (George Simon Ohm) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ได้คิดค้นกฎของโอห์มโดย
กล่าววา่ ในวงจรไฟฟ้าใด ๆ จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ แหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าซึ่งประกอบด้วย
แรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือความต้านทานไฟฟ้า ความสำคัญของวงจรไฟฟ้าท่ีจะต้อง
คำนึงถึงเม่ือมีการต่อวงจรไฟฟ้าใด ๆ จะต้องทราบค่าแรงดันและกระแสท่ีจะทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าไม่เสียหาย
ดงั น้นั จงึ ได้สรุปเป็นกฎของโอห์มออกมาดงั น้ี คือ
1) ในวงจรใด ๆ กระแสไฟฟา้ (I) ทไี่ หลในวงจรนัน้ จะเปน็ แปรผันตรงกับแรงดนั ไฟฟ้า (E)
IE
2) ในวงจรใด ๆ กระแสไฟฟา้ ท่ไี หลในวงจรนน้ั จะแปรผันตรงกับความตา้ นทานไฟฟ้า (R)
1
I R
สามารถเขยี นเปน็ สูตรคำนวณได้ดงั นี้
I = RE
3.2 วงจรไฟฟา้ เบ้อื งต้น
วงจรไฟฟา้ เบือ้ งตน้ มีส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน คอื แหล่งจา่ ยไฟฟ้า สายตัวนำ และโหลด
14
3.3 วงจรอนกุ รม
วงจรอนุกรม (Series Circuit) หมายถงึ การนำเอาอุปกรณ์ทางไฟฟ้ามาต่อกันในลักษณะท่ีปลาย
ด้านหน่ึงของอุปกรณ์ตัวที่ 1 ต่อเข้ากับอุปกรณ์ตัวท่ี 2 จากน้ันนำปลายที่เหลือของอุปกรณ์ตัวท่ี 2 ไปต่อกับ
อุปกรณ์ตัวท่ี 3 และจะตอ่ ลักษณะน้ไี ปเรื่อย ๆ
3.4 วงจรขนาน
วงจรขนาน (Parallel Circuit) คือวงจรทเ่ี กดิ จากการต่ออปุ กรณไ์ ฟฟา้ ตงั้ แต่ 2 ตวั ขึ้นไปต่อครอ่ ม
หลังชนหลังกนั ไปเร่ือย ๆ มีผลทำใหค้ ่าของแรงดนั ไฟฟ้าที่ตกคร่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวมีค่าเท่ากนั ส่วนการ
ไหลของกระแสไฟฟ้าจะมีต้ังแต่ 2 สาขาขึ้นไป ส่วนค่าความต้านทานรวมภายในวงจรขนานจะมีค่าเท่ากับ
ผลรวมของส่วนกลบั ของค่าความตา้ นทานทกุ ตวั รวมกัน ซึ่งค่าความตา้ นทานรวมภายในวงจรไฟฟ้าแบบขนาน
จะมคี า่ น้อยกวา่ คา่ ความต้านทานทีม่ ีค่าน้อยท่สี ุดเสมอ และค่าแรงดนั ท่ตี กคร่อมตวั ตา้ นทานไฟฟา้ แต่ละตวั จะมี
ค่าเท่ากับแหลง่ จ่าย
3.5 วงจรผสม
วงจรผสมคือวงจรที่ประกอบด้วยอุปกรณ์ต้ังแต่ 3 ตัวขึ้นไปนำมาต่อกันท้ังแบบขนานและแบบ
อนกุ รมผสมกัน
กิจกรรมการเรียนรู้ (สัปดาห์ที่ 3/18, คาบที่ 9-12/56)
1. นักเรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรยี นหน่วยที่ 3 ใชเ้ วลาประมาณ 20 นาที
2. ครูให้นกั เรยี นดูเนือ้ หาหนว่ ยที่ 3
3. ขน้ั นำเข้าสู่บทเรยี น
3.1 ครูอธบิ ายกฎของโอห์มและวงจรไฟฟ้าเบ้ืองต้น
3.2 ครตู ั้งคำถามใหน้ ักเรียนช่วยกนั ตอบ แล้วร่วมกันอภปิ รายเกีย่ วกับกฎของโอห์มและวงจรไฟฟ้า
เบอื้ งตน้
3.3 ครแู จง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี น
4. ข้ันสอน
4.1 นกั เรยี นศึกษาจากเน้อื หาในหนว่ ยท่ี 3 เรอ่ื งกฎของโอหม์ และวงจรไฟฟ้าเบ้ืองตน้
4.2 ครูยกตัวอย่างการนำกฎของโอหม์ ไปใช้งาน แล้วสุ่มใหน้ ักเรียนออกมาฝึกคำนวณหน้าช้ันเรียน
ตามโจทย์ทคี่ รูกำหนดให้
4.3 ครูใหค้ วามร้เู พม่ิ เตมิ และอธบิ ายเกย่ี วกับการปฏบิ ตั ติ ามใบงานที่ 3
4.4 นักเรียนปฏบิ ตั ิตามใบงานท่ี 3 กฎของโอห์มและวงจรไฟฟา้ เบอื้ งต้น
4.5 ขณะนกั เรยี นปฏบิ ตั ิตามใบงานครจู ะสงั เกตการทำงานของนกั เรียน
4.6 นักเรียนทำแบบฝึกหัด
5. ขน้ั สรุป ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันเฉลยกิจกรรมและร่วมกันอภปิ รายสรุปบทเรียน
6. ใหน้ กั เรยี นทำแบบทดสอบหลังเรยี น
15
สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้
1. ส่ือการเรียนรู้
1.1 หนังสือเรยี น หนว่ ยท่ี 3 เร่อื งกฎของโอห์มและวงจรไฟฟา้ เบอ้ื งต้น
1.2 แบบฝึกหดั
1.3 แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน
2. แหล่งการเรียนรู้
2.1 หนังสือเกีย่ วกับงานไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนิกสเ์ บอ้ื งต้น ของสำนกั พมิ พ์ตา่ ง ๆ
2.2 อนิ เทอรเ์ น็ต
การวดั ผลและประเมินผล
1. การวัดผลและการประเมินผล
1.1 แบบประเมนิ พฤติกรรม ความมวี ินัย และความรบั ผิดชอบ ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ
70 ผ่านเกณฑ์
1.2 ทดสอบโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น
1.3 สงั เกตการปฏิบัติตามใบงานโดยใช้แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ัติงาน
1.4 ตรวจแบบฝกึ หดั
2. เกณฑ์การวัดและประเมินผล
2.1 แบบประเมนิ พฤตกิ รรม ความมีวินัย และความรบั ผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผ่านเกณฑ์
2.2 แบบทดสอบหลงั เรยี น ตอ้ งได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
2.3 แบบประเมนิ พฤติกรรมการปฏบิ ัติตามใบงานต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
2.4 แบบฝึกหดั ต้องได้คะแนนไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
งานทม่ี อบหมาย
งานท่ีมอบหมายนอกเวลาเรียน ให้ทบทวนเนอ้ื หารวมทั้งความสมบูรณ์ของแบบฝกึ หดั และใบงาน
ผลงาน/ชิน้ งาน/ความสำเรจ็ ของผเู้ รียน
1. ผลการปฏิบัติตามใบงานท่ี 3
2. ผลการทำแบบฝึกหัดหน่วยท่ี 3
3. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) หน่วยท่ี 3
16
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือเรยี นวิชางานไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนกิ ส์เบื้องตน้ รหสั วชิ า 20100-1005
บรษิ ัทศูนยห์ นังสือเมอื งไทย จำกัด
2. เว็บไซตแ์ ละสอ่ื ส่ิงพิมพ์ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั เนื้อหาบทเรียนตามบรรณานุกรม
17
บันทึกหลงั การสอน
1. ผลการใช้แผนการจัดการเรยี นรู้
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
2. ผลการเรยี นของนกั เรียน/ผลการสอนของคร/ู ปัญหาที่พบ
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................... ....................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................. .......................
...........................................................................................................................................................................
3. แนวทางการแกป้ ัญหา
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 4 18
ชือ่ วิชา งานไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เบ้อื งตน้ หน่วยที่ 4
รหสั วชิ า 20100-1005
เวลาเรยี นรวม 72 คาบ
ชอื่ หนว่ ย วงจรไฟฟ้าแสงสวา่ ง สอนครง้ั ท่ี 4/18
ชอื่ เรอ่ื ง วงจรไฟฟ้าแสงสวา่ ง จำนวน 4 คาบ
หัวขอ้ เร่ือง ใบงานที่ 4 วงจรไฟฟ้าแสงสว่าง
4.1 หลอดไส้
4.2 หลอดฟลูออเรสเซนต์
4.3 หลอดแสงจันทร์
4.4 หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
4.5 หลอดคอมแพคบลั ลาสต์ภายในชนิด
อิเลก็ ทรอนกิ ส์
4.6 หลอดคอมแพคบัลลาสต์ภายนอก
แนวคดิ สำคัญ
การที่จะทำให้เกิดแสงสว่างในวงจรไฟฟ้าได้นั้น ในวงจรจะต้องประกอบด้วยแหล่งจ่ายไฟฟ้าสำหรับ
ป้อนแรงดันและกระแสให้กับหลอดโดยผ่านสายไฟ โดยที่แหล่งจ่ายไฟฟ้าจะเป็นแบบไฟฟ้ากระแสตรงหรือ
กระแสสลับข้ึนอยู่กับชนิดของหลอดที่ต้องการใช้กับไฟฟ้าประเภทใด ถ้าเป็นไฟฟ้าที่ใช้ตามอาคารบ้านเรือน
ตอ้ งปอ้ นไฟฟา้ กระแสสลับใหก้ ับหลอดไฟ
หลอดไฟที่ใช้งานในปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายประเภท เชน่ หลอดไส้ หลอดนีออน หลอดแสงจันทร์
หลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดทังสเตนฮาโลเจน หลอดไลหะฮาไลด์ หลอดโซเดียม เป็นตน้ หลอดบางประเภท
เปน็ ทีค่ นุ้ เคยและพบเหน็ ได้ทั่วไป เช่น หลอดไส้ หลอดฟลอู อเรสเซนต์ เปน็ ต้น
สมรรถนะยอ่ ย
แสดงความร้เู กี่ยวกับวงจรไฟฟ้าแสงสวา่ ง
จุดประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ ดา้ นทกั ษะ
ดา้ นความรู้ 1. ต่อและตรวจสอบวงจรไฟฟา้ แสงสว่าง
1. บอกขอ้ ดีขอ้ เสยี ของหลอดแตล่ ะชนดิ ได้ เบือ้ งตน้
2. อธบิ ายการต่อวงจรหลอดไสไ้ ด้
3. อธบิ ายการทำงานวงจรหลอดฟลูออเรสเซนตไ์ ด้
19
4. คำนวณหาคา่ กำลงั งานทเ่ี กิดขึ้นกบั หลอดไฟ
ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บรู ณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
แสดงออกด้านการตรงต่อเวลา ความสนใจใฝ่รู้ ความซ่ือสัตย์ สุจริต ความมนี ้ำใจและแบ่งบนั ความ
รว่ มมือ ความมีมารยาท ไม่หยุดน่งิ ทจี่ ะแก้ปัญหา ใช้อุปกรณ์อยา่ งฉลาดและรอบคอบ
เน้ือหาสาระ
4.1 หลอดไส้
หลอดไส้ (Incandescent Lamp) เป็นหลอดที่มีใช้อยู่ในยุคแรก ๆ ในปัจจุบันถึงแม้จะมีการใช้
งานนอ้ ยลง เนื่องจากปริมาณแสงที่เปล่งออกมาตอ่ กำลังไฟฟ้าท่ีใชม้ ีคา่ น้อยเม่ือเปรยี บเทยี บกบั หลอดชนิดอื่นๆ
และมอี ายุการใช้งานท่ีสน้ั กว่า แตก่ ็ยงั มใี ช้งานอยู่ ด้วยเหตผุ ลท่ีว่ามีราคาถูก มหี ลายขนาด หลายรูปร่าง และมี
หลายสี
4.2 หลอดฟลูออเรสเซนต์
เป็นหลอดไฟฟ้าที่นิยมใช้กันท่ัวไป เพราะว่าให้แสงสว่างนวลสบายตา และมีอายุการใช้งาน
ทยี่ าวนานกว่าหลอดไส้ถึง 8 เท่า ลกั ษณะของหลอดเป็นรูปทรงกระบอก รูปวงกลมและตัวยู มีขนาดอตั ราทน
กำลัง 10 วัตต์ 20 วัตต์ 32 วัตต์ และ 40 วัตต์ เป็นต้น ขนาด 40 วัตต์มีอายุการใช้งาน 8,000 ถึง 12,000
ชั่วโมง ใหค้ วามสวา่ งของแสงประมาณ 3,100 ลูเมน
4.3 หลอดแสงจันทร์
การทำงานของหลอดแสงจันทร์ อาศัยหลกั การผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหลอดบรรจุก๊าซเฉ่ือย
ผสมไอปรอทความดันสงู ทำให้เปล่งแสงออกมา เม่ือก๊าซความดันสูงแตกตัว โดยอาศัยการอารก์ หรือการเกิด
ประกายไฟของขวั้ หลอดดังนั้นจงึ ต้องการแรงดันสูงมากในการจุดหลอด ปกตจิ ะใชบ้ ลั ลาสตช์ ่วย ซ่ึงต้องเป็นบัล
ลาสต์ที่ใช้เฉพาะกับหลอดแสงจันทร์เท่านัน้ แต่มีหลอดแสงจันทร์ที่ออกแบบพิเศษข้ึนมาสามารถจุดหลอดได้
โดยไม่ต้องใชบ้ ัลลาสต์ แตม่ ีประสทิ ธภิ าพตำ่ กว่าหลอดแสงจันทร์แบบมีบัลลาสต์ รูปรา่ งลกั ษณะของหลอดแสง
จนั ทร์
4.4 หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ คือ หลอดฟลูออเรสเซนต์ขนาดเล็ก พัฒนาข้ึนมาเพ่ือประหยัด
พลังงานไฟฟ้าและใชแ้ ทนหลอดไสม้ ีกำลังส่องสวา่ งสูง มีอายุการใชง้ านเฉล่ยี 8,000 ชัว่ โมง
4.5 หลอดคอมแพคบัลลาสต์ภายในชนิดอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
เป็นหลอดประหยัดไฟอีกชนิดหน่ึง บัลลาสต์และสตาร์ทเตอร์เป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์เรียกรหัส
หลอดว่า PCL อายุการใช้งานเฉลีย่ 8,000 ช่ัวโมง มขี นาด 9 วัตต์ 11 วตั ต์ 15 วัตต์ และ 20 วตั ต์
20
4.6 หลอดคอมแพคบัลลาสตภ์ ายนอก
หลอดชนิดน้ีบัลลาสต์และสตาร์ทเตอร์จะอยู่ภายนอกคือสามารถเปลี่ยนเฉพาะหลอดได้หลอด
ชนดิ นี้มรี หัส PL – S หรอื เรียกวา่ หลอดตะเกียบ มขี นาด 7 วตั ต์ 9 วัตต์ และ 11 วตั ต์
กิจกรรมการเรียนรู้ (สปั ดาหท์ ่ี 4/18, คาบท่ี 13-16/56)
1. นักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรียนหนว่ ยที่ 4 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
2. ครูใหน้ ักเรยี นดเู นอื้ หาหน่วยท่ี 4
3. ขน้ั นำเขา้ ส่บู ทเรยี น
3.1 ครอู ธบิ ายวงจรไฟฟา้ แสงสว่าง
3.2 ครูต้งั คำถามให้นกั เรยี นช่วยกนั ตอบ แลว้ ร่วมกันอภปิ รายเกย่ี วกบั วงจรไฟฟ้าแสงสวา่ ง
3.3 ครูแจ้งจดุ ประสงค์การเรยี น
4. ขน้ั สอน
4.1 นักเรียนศึกษาจากเน้อื หาในหนว่ ยท่ี 4 เร่ืองวงจรไฟฟา้ แสงสว่าง
4.2 ครูนำตวั อย่างหลอดไฟประเภทตา่ ง ๆ มาใหน้ ักเรยี นพจิ ารณา แล้วให้นกั เรยี นรว่ มกันอภปิ ราย
4.3 ครูให้ความรู้เพ่มิ เติมและอธบิ ายเก่ยี วกบั การปฏบิ ัตติ ามใบงานท่ี 4
4.4 นักเรยี นปฏิบัตติ ามใบงานที่ 4 วงจรไฟฟา้ แสงสวา่ ง
4.5 ขณะนกั เรยี นปฏบิ ัตติ ามใบงานครจู ะสังเกตการทำงานของนกั เรียน
4.6 นกั เรยี นทำแบบฝึกหดั
5. ข้นั สรปุ ครแู ละนักเรียนร่วมกันเฉลยกิจกรรมและร่วมกันอภปิ รายสรุปบทเรียน
6. ให้นักเรยี นทำแบบทดสอบหลังเรยี น
สอ่ื และแหล่งการเรียนรู้
1. ส่อื การเรยี นรู้
1.1 หนงั สือเรียน หนว่ ยท่ี 4 เรือ่ งวงจรไฟฟ้าแสงสวา่ ง
1.2 ตัวอยา่ งหลอดไฟประเภทต่าง ๆ
1.3 แบบฝกึ หดั
1.4 แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น
2. แหลง่ การเรยี นรู้
2.1 หนงั สือเกีย่ วกับงานไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนิกสเ์ บอ้ื งตน้ ของสำนกั พิมพ์ต่าง ๆ
2.2 อนิ เทอร์เน็ต
การวัดผลและประเมนิ ผล
1. การวดั ผลและการประเมนิ ผล
21
1.1 แบบประเมินพฤติกรรม ความมวี ินัย และความรับผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ
70 ผา่ นเกณฑ์
1.2 ทดสอบโดยใชแ้ บบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน
1.3 สงั เกตการปฏิบัติตามใบงานโดยใชแ้ บบประเมนิ ผลการปฏบิ ัติงาน
1.4 ตรวจแบบฝึกหัด
2. เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผล
2.1 แบบประเมินพฤติกรรม ความมีวินัย และความรบั ผิดชอบ ต้องได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผ่านเกณฑ์
2.2 แบบทดสอบหลังเรียน ต้องได้คะแนนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2.3 แบบประเมนิ พฤติกรรมการปฏิบัติตามใบงานต้องได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2.4 แบบฝกึ หดั ต้องได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
งานทีม่ อบหมาย
งานท่ีมอบหมายนอกเวลาเรยี น ให้ทบทวนเนอ้ื หารวมท้งั ความสมบูรณ์ของแบบฝกึ หดั และใบงาน
ผลงาน/ชิน้ งาน/ความสำเรจ็ ของผเู้ รียน
1. ผลการปฏบิ ัติตามใบงานท่ี 4
2. ผลการทำแบบฝึกหัดหนว่ ยที่ 4
3. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) หนว่ ยท่ี 4
เอกสารอ้างอิง
1. หนงั สือเรียนวชิ างานไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ สเ์ บอื้ งตน้ รหัสวชิ า 20100-1005
บริษัทศูนย์หนงั สือเมอื งไทย จำกดั
2. เวบ็ ไซตแ์ ละส่ือส่ิงพมิ พท์ ี่เก่ียวข้องกับเนอ้ื หาบทเรียนตามบรรณานุกรม
บันทกึ หลังการสอน
1. ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรียนรู้
22
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
2. ผลการเรียนของนักเรยี น/ผลการสอนของครู/ปญั หาท่พี บ
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
3. แนวทางการแกป้ ญั หา
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 5 23
ช่อื วิชา งานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนกิ ส์เบื้องตน้ หน่วยที่ 5
รหัสวชิ า 20100-1005
เวลาเรยี นรวม 72 คาบ
ชอ่ื หนว่ ย อุปกรณป์ อ้ งกนั ไฟฟ้าและการต่อสายดนิ สอนครง้ั ท่ี 5/18
ช่ือเร่ือง อุปกรณ์ป้องกนั ไฟฟา้ และการตอ่ สายดนิ จำนวน 4 คาบ
หวั ขอ้ เรือ่ ง ใบงานท่ี 5 อุปกรณป์ ้องกันไฟฟ้าและการตอ่
5.1 ฟวิ ส์ สายดิน
5.2 ปลัก๊ ฟิวส์
5.3 สวติ ช์ตัดวงจรอัตโนมัติ
5.4 สวิตช์ทชิ ิโน่
5.5 โหลดเซน็ เตอร์
5.6 เซฟตส้ี วิตช์
5.7 การต่อสายดนิ
แนวคิดสำคญั
ไฟฟ้าท่ีใช้ตามบ้านเรือนเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ นิยมเรียกส้ัน ๆ ว่า ไฟเอซี (AC : Alternating
Current) มีค่าความต่างศักย์เท่ากับ 220 โวลต์ 1 เฟส 2 สาย สายหนึ่งมีศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์ เมื่อเทียบกับ
พื้นดิน เรียกว่า สายนิวตรอน (Neutral Wire) หรือสาย N ส่วนอีกสายหน่ึงจะมีศักย์ไฟฟ้าสูงเมื่อเทียบกับ
พื้นดินเรียกว่า สายไฟ (Live Wire หรือ Hot Wire) นิยมเรียกส้ัน ๆ ว่าสาย Line หรือ L ด้วยเหตุนี้เอง
ศักยไ์ ฟฟ้าระหวา่ งสาย L กับ N จึงต่างศักย์กัน 220 โวลต์ ถ้าหากว่าสาย L สัมผสั กับสาย N โดยไม่ผา่ นโหลด
ใด ๆ จะทำให้เกิดความร้อนจำนวนมหาศาล ณ จุดที่สายสัมผัสกัน ส่งผลให้เกิดการอาร์กและเกิดประกายไฟ
อย่างรุนแรง ทำให้สายไฟฟ้าหลอมละลาย และขาดออกจากกันในทนั ที ลกั ษณะเช่นนเี้ รยี กว่า เกิดการลัดวงจร
หรอื เรียกว่า ไฟช็อต ในทางปฏิบัติจึงต้องติดต้ังอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้า เพ่ือป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับระบบ
ไฟฟ้า เน่ืองจากการลัดวงจร การเลือกอุปกรณ์ตัดตอนกระแสไฟฟ้า จะต้องทำความเข้าใจถึงหลกั การทำงาน
ของอุปกรณ์ป้องกันแต่ละชนิด เพ่ือให้สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม มีความ
ปลอดภัย อุปกรณ์ป้องกันทางไฟฟ้าท่ีนิยมใช้กันท่ัวไปตามบ้านเรือนและอาคารสำนักงานต่าง ๆ ได้แก่ ฟิวส์
เซอรก์ ติ เบรกเกอร์ สวติ ช์ทชิ ิโน่ โหลดเซ็นเตอร์ เซฟตส้ี วติ ช์ และ กราวด์รอ๊ ด
สมรรถนะยอ่ ย
แสดงความร้เู กีย่ วกับอปุ กรณ์ป้องกันไฟฟา้ และการตอ่ สายดิน
จุดประสงคก์ ารปฏบิ ัติ
ดา้ นความรู้ 24
1. บอกประโยชนข์ องอุปกรณป์ ้องกันไฟฟ้าได้
2. อธิบายโครงสร้างของฟวิ ส์แตล่ ะชนดิ ได้ ดา้ นทกั ษะ
3. อธบิ ายหลักการทำงานของสวติ ช์ตดั วงจร 1. ประกอบและตรวจสอบอุปกรณ์ปอ้ งกนั
อตั โนมัตไิ ด้ ไฟฟ้าและการตอ่ สายดนิ เบ้ืองต้น
4. สามารถติดตงั้ เครอื่ งตดั กระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ
เขา้ กบั ระบบไฟฟา้ ไดอ้ ย่างถกู ต้อง
5. บอกวธิ กี ารปรบั ความไวของเครื่องตัดกระแส
ไฟฟา้ อตั โนมัตไิ ด้อยา่ งถูกต้อง
6. เลือกขนาดของสายดินและการตอ่ ลงดนิ ได้
อยา่ งถกู ตอ้ ง
ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
แสดงออกด้านการตรงต่อเวลา ความสนใจใฝ่รู้ ความซื่อสัตย์ สจุ ริต ความมนี ้ำใจและแบ่งบนั ความ
ร่วมมอื ความมีมารยาท ไม่หยุดนงิ่ ที่จะแกป้ ญั หา ใชอ้ ุปกรณ์อยา่ งฉลาดและรอบคอบ
เนอื้ หาสาระ
5.1 ฟวิ ส์
ฟิวส์ (Fuse) เปน็ อุปกรณป์ ้องกันท่นี ิยมใช้งานทว่ั ไป เน่อื งจากใชง้ านงา่ ย ตดิ ตง้ั สะดวก ฟวิ ส์จะทำ
หน้าท่ีตัดกระแสออกจากวงจร เม่ือเกิดการลัดวงจรและกระแสไฟฟ้าไหลเกินพิกดั ส่วนประกอบของฟิวส์ทำ
จากโลหะผสม เช่น ทองแดง ตะก่ัว ดีบุก สามารถนำไฟฟ้าได้ดี จุดหลอมละลายต่ำฟิวสจ์ ะหลอมละลายทันที
เมอ่ื มกี ระแสไหลผ่านมากเกินค่าพิกดั ท่ฟี ิวสส์ ามารถจะทนได้ การใชง้ านฟิวสจ์ ะต้องใช้งานร่วมกับกระบอกฟิวส์
เพ่ือปอ้ งกันอนั ตรายและสับเปลี่ยนได้สะดวก
5.2 ปล๊ักฟวิ ส์
ปล๊ักฟิวส์ (Plug Fuse) หมายถึง ฟิวส์ที่มีเคร่ืองห่อหุ้มฟิวส์ไว้ทั้งหมด และเปน็ อุปกรณ์ท่ีใช้งานคู่
กบั สะพานไฟหรือคัตเอาต์บนแผงจ่ายไฟ ปล๊ักฟิวสท์ ี่ใช้งานทั่วไปเป็นชนิด D – Fuse ซึ่งบรรจุไว้ในกระเบื้อง
ทรงกระบอกกลวงปิด ภายในบรรจุทรายละเอยี ดเพือ่ ช่วยในการดับอาร์กและระบายความร้อนเมื่อฟิวส์ขาด
5.3 สวิตช์ตดั วงจรอตั โนมัติ
สวิตช์ตัดวงจรอัตโนมัติ (Circuit Breaker) หมายถงึ อุปกรณ์ทีท่ ำงานเปดิ และปิดวงจรไฟฟ้าแบบ
ไม่อัตโนมัติแต่สามารถเปิดวงจรได้อัตโนมัติ ถ้ามีกระแสไหลผ่านเกินกว่าค่าท่ีกำหนดโดยไม่มีความเสียหาย
เกิดข้ึน โดยท่ีเซอร์กิตเบรกเกอร์ไม่ได้รับความเสียหาย เม่ือแก้ไขวงจรเสร็จก็สามารถใช้งานเซอร์กิตเบรก –
เกอรใ์ หมไ่ ด้อกี โดยโยกสวิตชท์ ่ีเบรกเกอรอ์ กี ครง้ั
5.4 สวิตชท์ ิชโิ น่
25
สวิตชท์ ชิ โิ น่ (Ticino) เปน็ อุปกรณต์ ดั ตอนและป้องกนั เฉพาะจุดซ่ึงนยิ มใชท้ ่ัวไป เนื่องจากสามารถ
ป้องกันได้ ทั้งการลัดวงจรและโอเวอร์โหลด จึงเหมาะที่สุดสำหรับการป้องกันระบบปรับอากาศ (Air
conditioner) โครงสรา้ งภายนอกจะมปี ุ่มสแี ดงและสดี ำเพอื่ ควบคมุ การทำงาน
5.5 โหลดเซ็นเตอร์
โหลดเซ็นเตอร์ (Load Center) หมายถึง ศูนย์ควบคุมการจ่ายไฟ มีลักษณะเป็นตู้โลหะทำจาก
แผ่นเหล็กบาง ๆ ภายในจะมีร่องสำหรับเสียบลูกเซอร์กิตเบรกเกอร์ (ลูกซีบี) โดยจะตัดเฉพาะวงจรของสาย
Line เพียงอยา่ งเดยี ว นยิ มใช้ตามอาคารทีม่ ีจำนวนหลาย ๆ ช้นั หรอื ภายในอาคารทีม่ กี ารใช้กระแสจำนวนมาก
นอกจากนยี้ ังง่ายต่อการซ่อมแซมระบบไฟฟา้ ภายในหลัง เนื่องจากมีอสิ ระในการตัดและต่อวงจร กล่าวคอื ลูก
เซอร์กติ เบรกเกอรห์ น่งึ ตัวจะใช้ควบคมุ ระบบไฟฟา้ หน่งึ หอ้ งทัง้ วงจรไฟฟา้ แสงสว่างและวงจรกำลงั
5.6 เซฟตี้สวิตช์
เซฟตี้สวิตช์ (Safety Switch) เรียกอกี อยา่ งหนงึ่ ว่า สวติ ชน์ ิรภัย เป็นอปุ กรณต์ ัดตอนและป้องกัน
อันแรกทท่ี ำหนา้ ท่รี บั แรงดันไฟฟ้าจากภายนอกอาคารเขา้ มาภายในตวั อาคาร ดงั นั้น ในอาคารหนึง่ หลงั อาจจะ
มีเซฟตี้สวิตช์เพียงตัวเดียว ยกเว้นในกรณีท่ีเป็นอาคารขนาดใหญ่ มีการออกแบบไว้เป็นการเฉพาะเท่านั้น จึง
อาจจะมีเซฟต้สี วิตชม์ ากกวา่ หน่งึ ตัว ดังน้นั จงึ ออกแบบให้มคี วามแข็งแรงพิเศษ
5.7 การต่อสายดนิ
การต่อสายดิน (Ground) หรือท่ีเรียกอีกอย่างว่า การตอ่ ลงกราวด์ หมายถึง การใช้ตวั นำไฟฟ้า
ต่อเชื่อมระหว่างวงจรไฟฟ้าหรือเครื่องใชไ้ ฟฟ้าส่วนท่ีเป็นโลหะลงสู่พน้ื ดิน ถ้าหากเกิดมกี ระแสรั่วไหลกระแสก็
จะไหลลงดิน ทำให้ผทู้ ี่ไปสัมผัสปลอดภัยจากการถกู กระแสไฟฟ้าดูด ดังนนั้ การตอ่ สายดินจงึ เปน็ วธิ ีการป้องกัน
อนั ตรายท่ีดีท่ีสดุ แต่ตามบ้านเรือนส่วนใหญ่จะไม่นิยมต่อลงดิน ซึ่งเป็นการมองขา้ มความปลอดภัยในชีวติ และ
ทรัพย์สนิ หลักดิน (Ground rod) ต้องทำด้วยวัสดทุ ท่ี นต่อการผุกรอ่ น และไมเ่ ป็นสนมิ เช่น แทง่ ทองแดง แท่ง
เหลก็ ชุบหรือหุม้ ด้วยทองแดงและไม่มีปลายเหลก็ โผล่ออกมาสัมผัสกบั เนอ้ื ดนิ เพอ่ื ไม่ใหเ้ หลก็ เปน็ สนิม และตอ้ ง
ไมม่ ีการเจาะรูเพอื่ ยดึ ทองแดงกับเหลก็ ใหต้ ดิ กนั มฉิ ะน้ันแทง่ เหลก็ จะเป็นสนิมตามรูท่เี จาะน้นั
กิจกรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ที่ 5/18, คาบท่ี 17-20/56)
1. นกั เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียนหนว่ ยท่ี 5 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
2. ครูให้นกั เรียนดูเนือ้ หาหนว่ ยที่ 5
3. ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น
3.1 ครอู ธบิ ายอุปกรณ์ปอ้ งกันไฟฟ้าและการต่อสายดนิ
3.2 ครูต้ังคำถามให้นักเรียนช่วยกันตอบ แล้วรว่ มกันอภิปรายเกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าและ
การตอ่ สายดนิ
3.3 ครแู จ้งจุดประสงค์การเรียน
4. ขั้นสอน
4.1 นกั เรยี นศึกษาจากเน้อื หาในหนว่ ยท่ี 5 เรือ่ งอปุ กรณ์ปอ้ งกนั ไฟฟา้ และการตอ่ สายดนิ
26
4.2 ครูนำตัวอย่างและรปู ภาพเกีย่ วกับอปุ กรณป์ อ้ งกนั ไฟฟา้ ประเภทตา่ ง ๆ มาใหน้ กั เรียนพจิ ารณา
แล้วใหน้ ักเรยี นรว่ มกันอภิปราย
4.3 ครูใหค้ วามรูเ้ พม่ิ เตมิ และอธิบายเกี่ยวกบั การปฏิบตั ติ ามใบงานที่ 5
4.4 นกั เรียนปฏบิ ตั ิตามใบงานที่ 5 อุปกรณ์ป้องกนั ไฟฟ้าและการตอ่ สายดิน
4.5 ขณะนกั เรียนปฏิบัตติ ามใบงานครจู ะสังเกตการทำงานของนักเรยี น
4.6 นกั เรียนทำแบบฝกึ หัด
5. ข้ันสรปุ ครูและนกั เรยี นร่วมกันเฉลยกจิ กรรมและร่วมกันอภปิ รายสรุปบทเรียน
6. ใหน้ กั เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน
สื่อและแหลง่ การเรียนรู้
1. สอ่ื การเรยี นรู้
1.1 หนงั สือเรียน หนว่ ยท่ี 5 เรอื่ งอปุ กรณป์ อ้ งกนั ไฟฟา้ และการตอ่ สายดนิ
1.2 ตัวอยา่ งและรปู ภาพเกีย่ วกบั อปุ กรณป์ อ้ งกนั ไฟฟา้ ประเภทตา่ ง ๆ
1.3 แบบฝกึ หดั
1.4 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
2. แหล่งการเรยี นรู้
2.1 หนังสอื เก่ยี วกับงานไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนกิ สเ์ บอ้ื งตน้ ของสำนกั พมิ พ์ต่าง ๆ
2.2 อินเทอร์เนต็
การวดั ผลและประเมินผล
1. การวดั ผลและการประเมินผล
1.1 แบบประเมนิ พฤติกรรม ความมีวินัย และความรบั ผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผา่ นเกณฑ์
1.2 ทดสอบโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน
1.3 สังเกตการปฏิบตั ิตามใบงานโดยใช้แบบประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงาน
1.4 ตรวจแบบฝึกหดั
2. เกณฑ์การวดั และประเมินผล
2.1 แบบประเมินพฤติกรรม ความมวี ินัย และความรบั ผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผ่านเกณฑ์
2.2 แบบทดสอบหลงั เรียน ตอ้ งไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
2.3 แบบประเมนิ พฤติกรรมการปฏบิ ัติตามใบงานต้องไดค้ ะแนนไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2.4 แบบฝึกหดั ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
27
งานท่ีมอบหมาย
งานท่มี อบหมายนอกเวลาเรยี น ให้ทบทวนเน้อื หารวมทง้ั ความสมบูรณข์ องแบบฝกึ หัดและใบงาน
ผลงาน/ชน้ิ งาน/ความสำเร็จของผเู้ รียน
1. ผลการปฏบิ ตั ิตามใบงานที่ 5
2. ผลการทำแบบฝึกหดั หนว่ ยท่ี 5
3. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) หน่วยที่ 5
เอกสารอา้ งองิ
1. หนังสอื เรียนวชิ างานไฟฟา้ และอิเลก็ ทรอนกิ ส์เบอื้ งตน้ รหสั วชิ า 20100-1005
บริษทั ศนู ยห์ นังสอื เมอื งไทย จำกัด
2. เวบ็ ไซต์และสอ่ื สิ่งพิมพ์ที่เกย่ี วข้องกบั เนอ้ื หาบทเรยี นตามบรรณานุกรม
บนั ทึกหลงั การสอน
1. ผลการใช้แผนการจดั การเรียนรู้
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
28
2. ผลการเรยี นของนักเรยี น/ผลการสอนของครู/ปัญหาท่พี บ
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................... ....................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
3. แนวทางการแก้ปัญหา
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
29
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 6 หนว่ ยที่ 6
ชอื่ วิชา งานไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ บ้อื งตน้ เวลาเรียนรวม 72 คาบ
รหัสวิชา 20100-1005
สอนครั้งที่ 6/18
ช่อื หน่วย การควบคุมมอเตอรเ์ บ้ืองต้น จำนวน 4 คาบ
ชอ่ื เรอื่ ง การควบคุมมอเตอรเ์ บ้อื งตน้
หวั ข้อเร่ือง
6.1 ความหมายและจุดประสงค์ของการ ใบงานที่ 6.1 การเริ่มเดนิ สปติ เฟสมอเตอร์
ควบคมุ มอเตอร์ ใบงานที่ 6.2 วงจรสตาร์ทมอเตอร์ 3 เฟส
โดยตรง
6.2 อปุ กรณ์ทใ่ี ช้สำหรบั การควบคมุ มอเตอร์
6.3 มอเตอรไ์ ฟฟา้ กระแสสลับ
6.4 วิธกี ารควบคมุ มอเตอร์
แนวคดิ สำคญั
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้งานโดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ 1 เฟส และ 3 เฟส การท่ีจะทำให้
มอเตอร์หมุนจะต้องมีอุปกรณ์ควบคุมและป้องกันเช่น สวิตช์ ฟิวส์ คอนแทกเตอร์ โอเวอร์โหลดรีเลย์
ไทม์เมอร์รเี ลย์ เปน็ ต้น วงจรควบคุมมอเตอรม์ ีหน้าท่ีสำคัญคือ ควบคุมความเร็ว กลับทิศทางการหมุน ปอ้ งกัน
โหลดมอเตอรเ์ กนิ ซ่งึ จะข้นึ อยู่กับการใช้งานและการออกแบบวงจรควบคมุ ให้เหมาะสมกบั งาน
สมรรถนะยอ่ ย
แสดงความรู้เกีย่ วกับการควบคมุ มอเตอร์เบ้อื งต้น
จดุ ประสงค์การปฏิบัติ
ด้านความรู้ ดา้ นทกั ษะ
1. บอกความหมายและจดุ ประสงคข์ องการ 1. ต่อวงจรและอปุ กรณค์ วบคุมมอเตอรไ์ ฟฟา้
ควบคมุ มอเตอรไ์ ด้ เบอ้ื งตน้
2. บอกอปุ กรณ์ท่ใี ชใ้ นการควบคุมมอเตอร์ได้ 2. ตอ่ วงจรและอุปกรณ์ควบคุมมอเตอร์ 3 เฟส
3. อธิบายหลักการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า 1 เฟส เบ้ืองต้น
และ 3 เฟส ได้
4. อธิบายวิธกี ารควบคุมมอเตอร์ 1 เฟส และ 3 เฟส ได้
ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
แสดงออกด้านการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝ่รู้ ความซื่อสัตย์ สจุ ริต ความมนี ้ำใจและแบ่งบัน ความ
รว่ มมอื ความมมี ารยาท ไมห่ ยดุ น่ิงทีจ่ ะแกป้ ัญหา ใชอ้ ปุ กรณ์อย่างฉลาดและรอบคอบ
30
เนอ้ื หาสาระ
6.1 ความหมายและจดุ ประสงค์ของการควบคุมมอเตอร์
การควบคมุ มอเตอร์ หมายถงึ การควบคมุ ใหม้ อเตอรห์ มนุ ใชง้ านได้ โดยมอเตอร์ไมไ่ หม้และ
ประหยัดกระแสไฟฟา้ เนอื่ งจากมอเตอรห์ มนุ ไดร้ วดเรว็ ทันที ในขณะทีม่ อเตอร์จะเรม่ิ หมุนมอเตอร์จะใชก้ ระแส
เรมิ่ ต้นหมุนประมาณ 2 – 6 เท่าของกระแส ตอนท่มี อเตอรท์ ำงานปกตแิ ละใช้เวลาในการเร่งความเรว็ จนถึง
ความเรว็ ปกติ ย่งิ ถ้าเป็นมอเตอร์ท่ีมกี ำลังแรงมา้ สูง ๆ ยงิ่ ต้องใช้เวลาในการเร่งความเร็วมาก อันเปน็ สาเหตุให้
มอเตอรเ์ กิดการไหมไ้ ด้
การบังคับให้มอเตอร์ทำงานตามท่ีต้องการ ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการใช้งาน ซึ่ง
ประกอบดว้ ย
1) การเรม่ิ หมุน หมายถึง การเร่ิมหมุนของมอเตอร์ควรจะปฏิบัตอิ ย่างไร เช่น ลดแรงดันขณะ
เริ่มหมุน หรอื จา่ ยแรงดนั เตม็ พิกัด เน่ืองจากมผี ลต่อแรงบิด หรือทอร์ก (Torque) อันจะทำให้เกดิ ความเสียหาย
ตอ่ แหวนและตลบั ลูกปืนของมอเตอรไ์ ด้
2) การสลับทิศทางการหมุน (Direction Control) หมายถึง การบังคับให้มอเตอร์กลับทางหมุน
แบบทันทที นั ใดจากทวนเขม็ นาฬิกา หรอื ตรงกันขา้ มหรือใหม้ อเตอร์หยดุ หมนุ ก่อนจึงคอ่ ยกลบั ทางหมนุ
3) การควบคุมความเร็ว (Speed Motor) หมายถึง การบังคับให้มอเตอร์หมุนช้าลงหรือเร็ว
กว่าเดิมเนื่องจากมอเตอร์บางชนิดออกแบบให้มขี ดลวดมากกว่า 1 ชุด ดงั นนั้ จึงต้องสงั เกตท่ปี ้ายบอกพิกัดหรือ
เนมเพลต (Name Plate) ให้เขา้ ใจกอ่ นนำไปใช้งาน
4) การจำกัดกระแสขณะเริ่มหมุน หมายถึง การหลีกเล่ียงไม่ให้มีกระแสจำนวนมากขณะท่ีเร่ิม
หมุน เพ่ือป้องกันฉนวนของขดลวดได้รับความเสียหาย เช่น ใช้ตัวต้านทานต่อร่วมเข้ากับวงจรขณะเร่ิมหมุน
หรอื เริ่มหมนุ แบบสตารร์ ันแบบเดลตา้
5) การป้องกนั มอเตอร์ หมายถึง การติดต้ังอุปกรณ์ป้องกันอย่างเหมาะสม เพ่ือป้องกนั การใช้
งานเกินกำลงั (Overload) หรอื การลัดวงจร (Short Circuit) รวมถึงความปลอดภัยของผปู้ ฏิบัติงานอกี ด้วย
6.2 อุปกรณท์ ใ่ี ช้สำหรับการควบคมุ มอเตอร์
การควบคุมมอเตอร์แบบก่งึ อัตโนมตั ิ จะตอ้ งใชอ้ ุปกรณป์ ระกอบหลายอย่าง ได้แก่ Push Button
Switch, Overload Relay, Magnetic Switch, Timer Relay, Pilot Lamp, Auxiliary Relay และ Fuse
6.3 มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสสลับ
อินดักช่ันมอเตอร์ (Induction Motor) ที่นิยมใช้งานท่ัวไป จะอาศัยวิธีการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้า
กล่าวคือ ตัวโรเตอร์ (Rotor) ซึ่งเป็นส่วนที่หมุนจะไม่มีกระแสไฟฟ้าจ่ายเข้ามา เหมือนกับมอเตอร์ไฟฟ้า
กระแสตรง แต่จะอาศัยการเหน่ียวนำไฟฟ้าท่ีเกิดจากขดลวดตัวนำซ่ึงพันไว้ในร่องสล๊อดของสเตเตอร์
โดยเกิดเป็นแรงบิดควบคูร่ ะหว่างโรเตอร์กับสเตเตอร์ และทำให้โรเตอร์หมุนไปได้ ท่ีนิยมใช้งานโดยทั่วไป แบ่ง
ออกเป็น 2 ชนิดคอื ชนดิ 1 เฟส และชนิด 3 เฟส
31
6.4 วิธีการควบคมุ มอเตอร์
ความหมายของวิธกี ารควบคุมมอเตอร์
1) การควบคุมด้วยมือ หรือท่ีเรียกว่า Manual Control หมายถึงใช้คนหรือโอเปอเรเตอร์
(Operator) ทำหน้าท่ีควบคุมโดยตรง เช่น ใช้วิธีการเสียบเข้ากับปล๊ัก ส่วนมากจะใช้กับมอเตอร์ที่มีขนาดเล็ก
ไดแ้ ก่ เครื่องใช้ไฟฟา้ ภายในบ้านท่วั ไป
2) แบบกึ่งอัตโนมตั ิ หมายถึงการใช้อุปกรณ์ประกอบเข้ามาช่วยในการควบคุม ได้แก่ Magnetic
Contactor และ Push Button Switch ซึ่งเปน็ วิธกี ารควบคมุ ที่จะกลา่ วถงึ ต่อไป
3) แบบอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า Automatic Control หมายถึง การติดต้ังอุปกรณ์ตรวจจับ
(Sensor Devices) ไว้ตามจุดต่าง ๆ เพ่ือให้สามารถทำงานได้เองตลอดเวลา ตัวอย่างเชน่ การติดต้ังสวิตช์ลูก
ลอย (Float Switch) เพอื่ ควบคมุ ระดับนำ้ ในถัง หรอื ตดิ ตั้ง Timer Relay เพือ่ นบั เวลา
กิจกรรมการเรียนรู้ (สัปดาห์ที่ 6/18, คาบที่ 21-24/56)
1. นักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยท่ี 6 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
2. ครูใหน้ กั เรยี นดูเน้ือหาหน่วยที่ 6
3. ขั้นนำเข้าสูบ่ ทเรียน
3.1 ครูอธิบายการควบคุมมอเตอร์เบือ้ งต้น
3.2 ครตู ้ังคำถามให้นักเรยี นชว่ ยกันตอบ แลว้ ร่วมกันอภปิ รายเกยี่ วกบั การควบคมุ มอเตอรเ์ บือ้ งตน้
3.3 ครแู จ้งจุดประสงค์การเรียน
4. ขั้นสอน
4.1 นกั เรยี นศึกษาจากเน้อื หาในหนว่ ยท่ี 6 เร่ืองการควบคุมมอเตอร์เบ้ืองต้น
4.2 ครูนำรูปภาพเก่ียวกับอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับควบคุมมอเตอร์มาให้นักเรียนพิจารณา แล้วให้
นกั เรยี นร่วมกันอภิปราย
4.3 ครูอธิบายเร่ืองมอเตอรไ์ ฟฟา้ กระแสสลับ 1 เฟส และ 3 เฟส แลว้ ใหน้ ักเรียนไดซ้ กั ถาม
4.4 ครูให้ความรูเ้ พ่มิ เตมิ และอธิบายเก่ียวกบั การปฏิบัตติ ามใบงานที่ 6.1 และ 6.2
4.5 นกั เรยี นปฏิบัตติ ามใบงานท่ี 6.1 การเร่ิมเดินสปติ เฟสมอเตอร์ และ ใบงานท่ี 6.2 วงจรสตาร์ท
มอเตอร์ 3 เฟสโดยตรง
4.6 ขณะนักเรียนปฏบิ ัติตามใบงานครจู ะสังเกตการทำงานของนักเรยี น
4.7 นกั เรียนทำแบบฝกึ หัด
5. ขั้นสรุป ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันเฉลยกจิ กรรมและรว่ มกนั อภปิ รายสรปุ บทเรียน
6. ใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน
สอื่ และแหล่งการเรียนรู้
1. สอ่ื การเรียนรู้
1.1 หนังสอื เรียน หนว่ ยท่ี 6 เร่ืองการควบคมุ มอเตอร์เบอ้ื งต้น
32
1.2 รปู ภาพเก่ียวกับอุปกรณท์ ี่ใช้สำหรับควบคมุ มอเตอร์
1.3 แบบฝกึ หดั
1.4 แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน
2. แหลง่ การเรยี นรู้
2.1 หนังสือเกยี่ วกับงานไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์เบ้ืองต้น ของสำนกั พมิ พ์ตา่ ง ๆ
2.2 อินเทอรเ์ นต็
การวดั ผลและประเมนิ ผล
1. การวัดผลและการประเมินผล
1.1 แบบประเมินพฤตกิ รรม ความมีวินัย และความรับผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผ่านเกณฑ์
1.2 ทดสอบโดยใชแ้ บบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น
1.3 สังเกตการปฏิบัติตามใบงานโดยใช้แบบประเมินผลการปฏิบตั ิงาน
1.4 ตรวจแบบฝึกหัด
2. เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผล
2.1 แบบประเมนิ พฤตกิ รรม ความมวี ินัย และความรบั ผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผา่ นเกณฑ์
2.2 แบบทดสอบหลังเรียน ต้องไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2.3 แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการปฏบิ ัติตามใบงานตอ้ งไดค้ ะแนนไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
2.4 แบบฝึกหดั ตอ้ งไดค้ ะแนนไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
งานที่มอบหมาย
งานที่มอบหมายนอกเวลาเรยี น ให้ทบทวนเนอื้ หารวมทงั้ ความสมบรู ณ์ของแบบฝึกหดั และใบงาน
ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสำเรจ็ ของผู้เรียน
1. ผลการปฏบิ ัติตามใบงานท่ี 6.1 และ 6.2
2. ผลการทำแบบฝึกหดั หน่วยท่ี 6
3. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) หน่วยที่ 6
เอกสารอา้ งอิง
1. หนังสอื เรยี นวิชางานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนกิ สเ์ บ้ืองต้น รหสั วิชา 20100-1005
บริษทั ศนู ยห์ นังสอื เมอื งไทย จำกัด
2. เว็บไซตแ์ ละสื่อส่งิ พมิ พท์ เี่ ก่ียวข้องกับเนอ้ื หาบทเรยี นตามบรรณานุกรม
33
34
บันทึกหลังการสอน
1. ผลการใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................ ............
...................................................................................................................... .....................................................
..............................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................... ...............
................................................................................................................... ........................................................
2. ผลการเรยี นของนักเรยี น/ผลการสอนของคร/ู ปัญหาท่ีพบ
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
3. แนวทางการแก้ปญั หา
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 7 35
ชื่อวชิ า งานไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ บื้องต้น หน่วยท่ี 7
รหสั วชิ า 20100-1005
เวลาเรียนรวม 72 คาบ
ช่ือหนว่ ย ตัวต้านทาน สอนครัง้ ท่ี 7/18
ชอ่ื เร่ือง ตัวตา้ นทาน จำนวน 4 คาบ
หวั ขอ้ เร่อื ง ใบงานที่ 7.1 แบบของตวั ต้านทาน
7.1 แบบของตวั ต้านทานไฟฟ้า ใบงานที่ 7.2 อ่านคา่ สีตัวต้านทาน
7.2 ตวั ตา้ นทานแบบเลอื กคา่ ได้ ใบงานท่ี 7.3 วัดคา่ ตา้ นทาน
7.3 ตัวตา้ นทานแบบเปลยี่ นคา่ ได้
7.4 ตัวต้านทานชนดิ พิเศษ
7.5 หน่วยของความตา้ นทาน
7.6 การอ่านค่าความตา้ นทานโดยตรง
7.7 การอ่านคา่ ความตา้ นทานจากรหสั ตวั เลข
7.8 การอา่ นค่าความต้านทานจากรหสั สี
7.9 มัลตมิ ิเตอรแ์ บบแอนะลอก
7.10มลั ตมิ ิเตอรแ์ บบดิจิตอล
7.11การวดั ความต้านทาน
แนวคิดสำคญั
ความต้านทานจะมีผลต่อการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่อุปกรณ์ท่ีทำให้เกิดความ
ต้านทานโดยตรงคือ “ตัวต้านทาน” ซ่ึงเมื่อนำไปต่อร่วมในวงจรอิเล็กทรอนิกส์จะมีหน้าที่จำกัดการไหล
ของกระแส
ตัวต้านทานมีค่าหลายชนิดการจะเลือกใช้งานได้ถูกต้องและเหมาะสมจำเป็นต้อ งรู้ถึงการกำหนดค่า
และหน่วยของความต้านทาน ซึ่งโดยท่ัวไปแล้วการกำหนดค่าของความต้านทานจะจัดอยู่ในลักษณะต่างกัน
เช่น การกำหนดค่าด้วยตัวเลข ตัวอักษร และรหสั สี ซ่ึงจะขน้ึ อยู่กับความสะดวก การกำหนดค่าด้วยรหสั สจี ะมี
อย่สู องแบบ คอื แบบรหัสสี 4 สีและ 5 สี ซึง่ รหสั สตี ัวสดุ ทา้ ยจะเปน็ ตัวบอกคา่ ผิดพลาด
การวัดค่าความต้านทาน เพื่อตรวจสอบว่าความต้านทาน โดยใช้โอห์มมิเตอร์แบบดิจิตอลหรือแบบ
แอนะลอก
สมรรถนะยอ่ ย
แสดงความร้เู ก่ยี วกับตัวต้านทาน
36
จดุ ประสงค์การปฏบิ ตั ิ ด้านทกั ษะ
ด้านความรู้ 1. แสดงความรเู้ ก่ยี วกับรปู แบบของตวั
1. บอกลกั ษณะโครงสรา้ งของตวั ต้านทานแต่ละแบบ ต้านทาน
ไดถ้ กู ตอ้ ง 2. อ่านค่าสีตวั ต้านทานตามกำหนด
3. วดั และอ่านค่าความต้านทานด้วยแอนะลอก
2. เลอื กใชง้ านตัวต้านทานแตล่ ะชนดิ ไดเ้ หมาะสมและ
ถูกต้อง และดจิ ติ อลมเิ ตอร์
3. อ่านค่าความต้านทานจากรหสั สีได้ถกู ตอ้ ง
4. วัดและทดสอบค่าความตา้ นโดยใชโ้ อหม์ มเิ ตอรไ์ ด้
ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บรู ณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
แสดงออกด้านการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝ่รู้ ความซื่อสัตย์ สจุ ริต ความมีน้ำใจและแบ่งบนั ความ
รว่ มมือ ความมีมารยาท ไมห่ ยดุ นง่ิ ท่จี ะแกป้ ัญหา ใช้อุปกรณอ์ ยา่ งฉลาดและรอบคอบ
เน้อื หาสาระ
7.1 แบบของตัวต้านทานไฟฟ้า
ตัวต้านทาน หรือ รีซิสเตอร์ (Resistor) เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีสร้างความต่างศักย์ทางไฟฟ้าข้ึน
คร่อมขั้วทั้งสอง โดยมีสัดส่วนมากน้อยตามกระแสท่ีไหลผ่าน อัตราส่วนระหว่างความต่างศักย์และปริมาณ
กระแสไฟฟ้าก็คือ ค่าความตา้ นทานทางไฟฟ้าหรอื ค่าความต้านทาน หน่วยค่าความต้านทานไฟฟ้าตามระบบ
เอสไอ คือ โอห์ม มีสัญลักษณ์เป็น หรืออปุ กรณ์ที่มีความต้านทาน 1 โอห์ม มีความต่างศักย์ 1 โวลต์ทำให้
กระแสไฟฟา้ ไหลผา่ น 1 แอมแปร์ ซึ่งเท่ากบั การไหลของประจไุ ฟฟา้ 1 คูลอมบ์ต่อวินาที
7.2 ตวั ต้านทานแบบเลอื กค่าได้
ตัวต้านทานแบบเลือกค่าได้ (Tapped Resistor) คือ ตัวต้านทานท่ีถูกต่อขาออกมาใช้งาน
มากกว่า 2 ขา, เช่น 3 ขา, 4 ขา, 5 ขา ฯลฯ โดยแต่ละขาจะมีค่าความต้านทานคงที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ แต่
สามารถเลือกขาใชง้ านได้ตามตอ้ งการ ตัวตา้ นทานชนิดนี้ก็จะเปน็ แบบขดลวดเชน่ เดยี วกนั
7.3 ตัวต้านทานแบบเปลย่ี นคา่ ได้
ตัวต้านทานชนิดเปลี่ยนค่าได้ (Variable Resistor) น้ีสามารถปรับเปลี่ยนค่าความต้านทานได้
ตั้งแต่ต่ำสุดไปจนถึงค่าสูงสุดได้อย่างต่อเน่ือง ตัวต้านทานประเภทนี้จะถูกสร้างข้ึนในรูปโค้งเป็นวงกลมแบบ
หมุนและแท่งยาว แบบเลื่อนโดยมีขาย่ืนออกมา 3 ขา การปรับเปล่ียนค่าใช้ปรับเปล่ียนท่ีขากลางของตัว
ตา้ นทาน ตัวต้านทานชนิดเปลย่ี นคา่ ได้นมี้ ที ั้งแบบ 2 ช้ันและ 4 ชั้น โดยแต่ละช้ันจะถูกปรบั ค่าไปพร้อมกนั โดย
ใชแ้ กนหมุนรว่ มกนั
7.4 ตวั ต้านทานชนิดพิเศษ
37
ตัวต้านทานชนิดพิเศษ (Special Resistor) ในเครื่องมือเครื่องใช้ทางอิเล็กทรอนิกส์บางชนิด
จำเป็นต้องใช้ตัวตา้ นทานท่ีมลี ักษณะพิเศษอย่างอ่ืนอกี นอกเหนอื จากการแสดงเปน็ ตัวต้านทานธรรมดา เช่น
ตัวต้านท านทำหน้าท่ีจำกัดกระแสหรือท ำหน้าท่ีเป็นฟิ วส์ ตั วต้านท านเปล่ียนค่าตามอุณ หภูมิ
ตวั ต้านทานทเ่ี ปลย่ี นค่าตามแสง ตัวตา้ นทานท่เี ปลย่ี นแปลงตามแรงดัน ฯลฯ
7.5 หน่วยของความตา้ นทาน
ความตา้ นทานถูกกำหนดใหม้ ีหน่วยเป็นโอห์ม (Ohm) ซึ่งแทนด้วยตัวอกั ษรกรีก ตัวโอเมก้า ()
โดยความต้านทาน 1 โอห์ม ได้มาจากการป้อนแรงเคล่ือนไฟฟ้า 1 โวลต์ ผา่ นตัวต้านทานแล้วทำให้มีกระแส
ไหลผ่าน 1 แอมป์
7.6 การอ่านคา่ ความต้านทานโดยตรง
ค่าความต้านทานแบบนจี้ ะพิมพ์ค่าความตา้ นทานลงบนตวั ตา้ นทานตามคา่ ความต้านทาน โดยจะ
มีหน่วยเป็นโอห์ม () กิโลโอห์ม (k) หรือเมกะโอห์ม (M) อาจมีค่าการทนกำลังไฟฟ้าและค่าเปอร์เซ็นต์
ผดิ พลาดกำกับไว้ดว้ ย
7.7 การอ่านคา่ ความต้านทานจากรหสั ตวั เลข
ตัวต้านทานที่มีขนาดเล็กจะบอกค่าเป็นรหัสสีหรือตัวอักษรไม่ได้ ดังนั้นจึงแสดงรหัสเป็นตัวเลข
แทนซึ่งการอ่านค่าตัวเลขจะอ่านจากซ้ายไปขวา ตัวเลขสองตัวแรกเป็นตัวเลขแสดงค่าโดยตรง ตัวที่สามเป็น
ตัวเลขแทนจำนวนเลขศนู ย์ (0) ค่าทอ่ี า่ นได้มีหน่วยเปน็ โอหม์ ()
7.8 การอ่านค่าความต้านทานจากรหัสสี
การอ่านค่าแถบสี สามารถอ่านได้ตามรหัสสีที่แสดงไวพ้ ร้อมแถบสตี ัวคูณและแถบสี เปอร์เซ็นต์
ความผิดพลาดกจ็ ะได้คา่ ความต้านทานของตัวต้านทานน้ัน การอา่ นค่าความตา้ นทานจากรหัสสสี ามารถแบง่ ได้
2 แบบ คือ การอ่านค่าความตา้ นทานจากรหัสสี 4 แถบ และ การอ่านคา่ ความตา้ นทานจากรหสั สี 5 แถบ
7.9 มลั ตมิ ิเตอรแ์ บบแอนะลอก
มัลติมิเตอร์แบบแอนะลอก จะเป็นมิเตอร์ที่แสดงค่าการวัดออกมาเป็นเข็มช้ีท่ีหน้าปัดเป็นขีด
มลั ติมิเตอร์โดยทั่วไปจะมสี เกลวดั ค่าความต้านทานอยู่ดว้ ย ซึ่งอาจมีสเกลท่สี ามารถวัดคา่ ความตา้ นทานได้ตั้งแต่
ประมาณ 0.2 โอหม์ ถึง 5 เมกะโอห์ม มคี ่าความผดิ พลาดในการวดั ประมาณ 3.5 % ทำงานโดยอาศยั แบตเตอรี่
ภายในจ่ายใหก้ ับตวั ตา้ นทาน
7.10มลั ติมิเตอรแ์ บบดจิ ิตอล
มลั ติมิเตอร์แบบดจิ ิตอลจะแสดงผลเป็นตัวเลข ดิจิตอลมัลติมเิ ตอรท์ น่ี ยิ มใช้จะมีจำนวนหลักท่แี ตกตา่ งกัน
3
เช่นขนาด 3 1 หลักจะสามารถแสดงค่าได้สูงสุด 1,999 ขนาด 3 4 หลักจะแสดงผล ได้สูงสุด 3,999 และ
2
1 3 1
ขนาด 4 2 หลักจะแสดงค่าได้สงู สุด 19,999 ดิจิตอลมัลติมิเตอร์ขนาด 3 4 และ 4 2 หลักอาจมีคุณสมบัติท่ี
ปรับยา่ นการวดั เองโดยอัตโนมัตไิ ด้ แตส่ ำหรับสเกลวดั คา่ ความต้านทานโดยทวั่ ไปเคร่อื งที่มีราคาคอ่ นขา้ งถูกนั้น
จะมสี เกล 200, 2k, 20k, 200k, 2M และ 20M เป็นอย่างต่ำ
7.11การวดั ความต้านทาน
38
การใชม้ ลั ตมิ เิ ตอร์วดั ความตา้ นทานมีข้อควรร้แู ละข้อควรระวังดงั นี้
1) การใช้ดิจิตอลโอหม์ มเิ ตอร์ไมว่ ่าจะเป็นสเกลใด ไม่มกี ารปรับศูนย์เหมอื นแอนะลอก มิเตอรว์ ัด
ไดท้ ันทเี มอื่ เปิดเครื่อง
2) การใช้ดิจิตอลโอห์มมิเตอร์สเกล 20M ข้ึนไป ในบางรุ่นการแสดงผลอาจช้าต้องรอให้ตัวเลข
แสดงค่าค่อนข้างคงท่ีกอ่ น กรณตี ัวเลขทว่ี ่ิงขน้ึ ลงอาจใช้คา่ เฉล่ีย ซ่งึ เปน็ ประสิทธภิ าพของมาตรวัดแตล่ ะรุ่น
3) การเลอื กใช้ดิจติ อลโอห์มมิเตอรช์ นิดปรับย่านการวัดอตั โนมัติ การวัดจะรวดเรว็ แตผ่ ู้ใช้จะไม่
คอ่ ยได้ฝึกทกั ษะเทา่ ท่คี วร แต่ไม่ใช่ประเด็นท่ีสำคัญมากนกั
3
4) สเกลของดิจิตอลโอห์มมิเตอร์ขนาด 3 4 หลัก ชนิดต้องปรับเลือกสเกลจะมีสเกล 400, 4k,
40k, 400k, 4M, 40M เป็นตน้
กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาหท์ ี่ 7/18, คาบที่ 25-28/56)
1. นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยที่ 7 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
2. ครูให้นกั เรยี นดูเนอ้ื หาหนว่ ยที่ 7
3. ขั้นนำเขา้ สู่บทเรียน
3.1 ครูอธิบายตวั ต้านทาน
3.2 ครูตง้ั คำถามใหน้ ักเรียนช่วยกันตอบ แลว้ ร่วมกนั อภิปรายเกย่ี วกบั ตัวตา้ นทาน
3.3 ครูแจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรียน
4. ขัน้ สอน
4.1 นักเรียนศกึ ษาจากเนื้อหาในหนว่ ยท่ี 7 เรอ่ื งตวั ต้านทาน
4.2 ครูนำรูปภาพเกี่ยวกับตัวต้านทานแบบต่าง ๆ มาให้นักเรียนพิจารณา แล้วให้นักเรยี นร่วมกัน
อภปิ ราย
4.3 ครูอธบิ ายเร่ืองการอ่านค่าความต้านทานแบบต่าง ๆ แล้วใหน้ กั เรียนไดซ้ ักถาม
4.4 แบง่ นักเรียนกลุ่มละ 5 คน ให้แตล่ ะกลมุ่ รว่ มกันอภิปราย เรื่องมัลตมิ ิเตอรแ์ บบแอนะลอกและ
แบบดจิ ิตอล และการวัดความตา้ นทาน
4.5 ครใู ห้ความรเู้ พม่ิ เตมิ และอธิบายเกย่ี วกับการปฏิบตั ิตามใบงานท่ี 7.1, 7.2 และ 7.3
4.6 นกั เรียนปฏิบัติตามใบงานท่ี 7.1 แบบของตัวต้านทาน ใบงานที่ 7.2 อ่านค่าสีตัวต้านทาน
และใบงานท่ี 7.3 วดั คา่ ต้านทาน
4.7 ขณะนักเรียนปฏิบตั ติ ามใบงานครูจะสังเกตการทำงานของนกั เรยี น
4.8 นักเรียนทำแบบฝกึ หดั
5. ขนั้ สรปุ ครูและนกั เรียนร่วมกันเฉลยกจิ กรรมและรว่ มกนั อภปิ รายสรุปบทเรียน
6. ใหน้ กั เรยี นทำแบบทดสอบหลังเรยี น
สอ่ื และแหลง่ การเรียนรู้
39
1. ส่อื การเรียนรู้
1.1 หนงั สือเรยี น หน่วยที่ 7 เรอื่ งตวั ตา้ นทาน
1.2 รปู ภาพเก่ยี วกบั ตัวต้านทานแบบต่าง ๆ
1.3 แบบฝึกหดั
1.4 แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน
2. แหลง่ การเรยี นรู้
2.1 หนังสอื เกี่ยวกบั งานไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกสเ์ บื้องตน้ ของสำนกั พมิ พ์ตา่ ง ๆ
2.2 อินเทอรเ์ น็ต
การวดั ผลและประเมนิ ผล
1. การวดั ผลและการประเมินผล
1.1 แบบประเมินพฤติกรรม ความมีวินัย และความรับผิดชอบ ต้องได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผา่ นเกณฑ์
1.2 ทดสอบโดยใชแ้ บบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
1.3 สังเกตการปฏบิ ัติตามใบงานโดยใช้แบบประเมินผลการปฏบิ ตั ิงาน
1.4 ตรวจแบบฝึกหัด
2. เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล
2.1 แบบประเมินพฤติกรรม ความมีวินัย และความรบั ผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ
70 ผ่านเกณฑ์
2.2 แบบทดสอบหลงั เรียน ตอ้ งไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2.3 แบบประเมินพฤตกิ รรมการปฏบิ ัติตามใบงานต้องได้คะแนนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2.4 แบบฝกึ หัดต้องไดค้ ะแนนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
งานทม่ี อบหมาย
งานท่ีมอบหมายนอกเวลาเรียน ให้ทบทวนเนอื้ หารวมทง้ั ความสมบรู ณ์ของแบบฝึกหดั และใบงาน
ผลงาน/ช้ินงาน/ความสำเร็จของผู้เรยี น
1. ผลการปฏบิ ัติตามใบงานท่ี 7.1, 7.2 และ 7.3
2. ผลการทำแบบฝึกหัดหนว่ ยท่ี 7
3. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) หนว่ ยท่ี 7
เอกสารอา้ งองิ
1. หนงั สอื เรียนวชิ างานไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ สเ์ บื้องตน้ รหัสวชิ า 20100-1005
บริษทั ศูนยห์ นงั สือเมืองไทย จำกัด
2. เว็บไซต์และสอื่ ส่ิงพิมพ์ทีเ่ กีย่ วข้องกับเนอ้ื หาบทเรยี นตามบรรณานุกรม
40
บนั ทกึ หลงั การสอน
1. ผลการใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
2. ผลการเรยี นของนกั เรียน/ผลการสอนของคร/ู ปญั หาทพ่ี บ
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
3. แนวทางการแกป้ ญั หา
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 8 42
ชอื่ วชิ า งานไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เบื้องต้น หนว่ ยที่ 8
รหัสวิชา 20100-1005
เวลาเรียนรวม 72 คาบ
ช่ือหน่วย ตัวเกบ็ ประจุ สอนคร้ังท่ี 8/18
ชือ่ เร่ือง ตัวเกบ็ ประจุ จำนวน 4 คาบ
หวั ข้อเร่อื ง ใบงานท่ี 8.1 ลักษณะและรูปร่างของตวั เก็บ
8.1 โครงสรา้ งภายในของตัวเก็บประจุ ประจุ
8.2 ชนิดของตวั เกบ็ ประจุ ใบงานที่ 8.2 อ่านคา่ ตวั เกบ็ ประจุ
8.3 หน่วยของตวั เกบ็ ประจุ ใบงานท่ี 8.3 วัดและทดสอบตวั เกบ็ ประจุ
8.4 คณุ สมบตั ทิ วั่ ไปเกี่ยวกบั ตวั เก็บประจุ
8.5 วิธอี า่ นค่าตัวเกบ็ ประจุ
8.6 การตรวจสอบคณุ สมบตั ิของตัวเกบ็ ประจุ
8.7 การตรวจสอบคณุ สมบตั ขิ องตัวเกบ็ ประจุ
โดยใชโ้ อมห์มเิ ตอร์
8.8 การวัดค่าความจุของตัวเก็บประจุโดยใช้
ดจิ ติ อลมลั ติมิเตอร์
แนวคดิ สำคญั
ตัวเก็บประจุ เป็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ท่ีมีคุณสมบัติสามารถประจุแรงดันไฟฟ้าได้
โครงสร้างของตัวเก็บประจุประกอบด้วยโลหะสองแผ่นวางขนานกัน มีฉนวนไฟฟ้าก้ันกลางซึ่งเรียกว่า
ไดอิเล็กตริก ค่าความจุของตัวเก็บประจุมีหนว่ ยเป็นฟาราด โดยปกติค่าความจุของตัวเกบ็ ประจุจะมคี ่าน้อยจึง
นิยมใช้หน่วยท่ีมีค่าน้อยลง คือไมโครฟาราด พิกโกฟาราด และนาโนฟาราด นอกเหนือจากค่าความจุ
ของตัวเก็บประจุ ยงั มีค่าแรงดนั ใช้งาน เปอร์เซน็ ต์ความผิดพลาดและสัมประสิทธติ์ ่ออณุ หภมู ิ การบอกคา่ ความ
จุจะนยิ มบอกเป็น รหัส เปน็ ตัวเลข และรหสั สี
การตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเก็บประจุในการประจุและคายประจุต้องทดสอบนอกวงจรคือ
ไม่ต่อร่วมกับอุปกรณ์อื่นและจะต้องไม่มีประจุไฟฟ้าเดิมค้างอยู่ การวัดค่าความจุ ของตัวเก็บประจุจะใช้
ดิจติ อลมลั ติมเิ ตอร์ ซงึ่ จะแสดงค่าความจุออกมาเป็นตัวเลข
สมรรถนะยอ่ ย
แสดงความรู้เกี่ยวกับตัวเก็บประจุ
จดุ ประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ
ดา้ นความรู้ 43
1. บอกลักษณะโครงสรา้ งของตวั เกบ็ ประจุได้
2. บอกรูปร่างและสญั ลกั ษณข์ องตวั เกบ็ ประจชุ นิด ด้านทกั ษะ
1. แสดงความรู้เก่ยี วกบั ลกั ษณะและรูปรา่ ง
ต่าง ๆ ได้
3. บอกคุณสมบัติและหน้าทข่ี องตัวเก็บประจุแต่ละ ของตัวเก็บประจุ
2. อา่ นคา่ ตวั เกบ็ ประจจุ ากตวั เลขตัวอกั ษรและ
ชนดิ ได้
4. อา่ นคา่ ความจุจากตัวเลขตวั อกั ษร รหัสตัวเลข รหัสสี
3. วดั และทดสอบตัวเก็บประจดุ ว้ ยมเิ ตอร์
และรหสั สีบนตวั เก็บประจุได้
5. แปลงหน่วยค่าความจขุ องตวั เกบ็ ประจไุ ด้
6. บอกการใชโ้ อห์มมิเตอรต์ รวจสอบคณุ สมบตั ิ
ของตวั เก็บประจุได้
7. บอกการวดั คา่ ความจุของตวั เก็บประจไุ ด้
ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
แสดงออกด้านการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝ่รู้ ความซ่ือสัตย์ สจุ ริต ความมนี ้ำใจและแบ่งบนั ความ
ร่วมมอื ความมมี ารยาท ไมห่ ยดุ นงิ่ ทีจ่ ะแกป้ ัญหา ใช้อปุ กรณ์อยา่ งฉลาดและรอบคอบ
เนือ้ หาสาระ
8.1 โครงสร้างภายในของตัวเกบ็ ประจุ
ตวั เก็บประจุโดยทั่วไปจะทำมาจากแผ่นตัวนำ 2 แผน่ ซึ่งเป็นแผ่นฟอยล์โลหะบาง ๆ วางประกบ
กนั โดยมีฉนวนค่นั กลางที่เรียกว่าไดอิเล็กตริก แผ่นฟอยล์นี้จะถูกม้วนเป็นแทง่ กลมหรือแบน เพอ่ื ทำให้รูปร่าง
ของตัวเก็บประจุมขี นาดเล็กสะดวกต่อการใช้งาน แล้วต่อลวดตัวนำซ่งึ เชื่อมติดกับแผ่นฟอยล์โลหะแต่ละแผ่น
ออกมาภายนอกสำหรับเป็นขาใช้งาน จากนั้นหุ้มหรือเคลือบด้วยฉนวนภายนอกอีกช้ันเพ่ือความคงทน ซ่ึง
อาจจะมอี ลูมเิ นียมหมุ้ ก่อนอีกขัน้ หน่ึงเพ่อื เพม่ิ ความแข็งแรง
8.2 ชนิดของตัวเก็บประจุ
ตวั เกบ็ ประจุมีหลายชนิดสามารถแบ่งตามโครงสรา้ งและการนำไปใชง้ านได้ดงน้ี
1. ตัวเก็บประจชุ นิดอเิ ลก็ โทรไลต์
2. ตวั เกบ็ ประจชุ นดิ ไมก้า
3. ตวั เก็บประจุชนดิ เซรามิก
4. ตัวเก็บประจุชนิดกระดาษ
5. ตวั เกบ็ ประจุชนิดพลาสติก
6. ตัวเก็บประจชุ นดิ ปรับค่าได้
8.3 หน่วยของตวั เก็บประจุ
44
คา่ ความจุของตวั เก็บประจุมีหน่วยเปน็ ฟาราด (Farad) โดยปกติคา่ ความจุของตัวเก็บประจจุ ะมี
ค่าน้อยจงึ นิยมใชห้ น่วยท่มี ีค่านอ้ ยลงกวา่ ฟาราดคือใชห้ นว่ ย
ไมโครฟาราด (Micro farad) ใช้อกั ษรยอ่ F
พิกโกฟาราด (Pico farad) ใชอ้ ักษรย่อ pF
นาโนฟาราด (Nano farad) ใช้อกั ษรยอ่ nF
8.4 คณุ สมบตั ทิ ่ัวไปเกยี่ วกับตัวเก็บประจุ
ตัวเก็บประจุมคี ุณสมบตั ิอื่น ๆ ท่ีต้องพิจารณาในการใช้งานอีกหลายอย่าง เช่น การดูดกลืนของ
สารไดอิเล็กตริก ตัวประกอบการสูญเสีย ค่าความต้านทานอนุกรมสมมูล ค่าสัมประสิทธ์ิต่ออุณหภูมิ และ
กระแสไฟตรงร่ัวไหล
8.5 วธิ ีอา่ นคา่ ตัวเกบ็ ประจุ
การอา่ นคา่ ตัวเกบ็ ประจสุ ามารถอา่ นได้จากตวั เลขตวั อักษรและรหสั สีดังตอ่ ไปนี้
1. วธิ อี า่ นค่าตวั เก็บประจุจากตวั เลขตัวอักษร
2. วิธอี ่านคา่ ตัวเก็บประจุโดยรหสั ตัวเลข
3. วิธีอา่ นค่าตัวเกบ็ ประจโุ ดยใช้รหัสสี
8.6 การตรวจสอบคุณสมบัติของตวั เกบ็ ประจุ
การตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเก็บประจุ เป็นการตรวจสอบว่าตัวเก็บประจุยังสามารถทำการ
ประจุไฟฟา้ คายประจไุ ฟฟ้าได้ ปกตหิ รือไม่ โดยตรวจสอบว่ามีกระแสร่ัวไหลผิดปกติหรือไม่ การตรวจสอบตัว
เก็บประจโุ ดยใชโ้ อห์มมเิ ตอร์สามารถตรวจสอบการลัดวงจรการเปิดวงจร การประจุ การคายประจุ และกระแส
รว่ั ไหลได้ แตไ่ มส่ ามารถตรวจสอบค่าความจุได้
8.7 การตรวจสอบคุณสมบตั ิของตวั เก็บประจโุ ดยใชโ้ อมห์มเิ ตอร์
การตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเก็บประจุในการประจุและคายประจุต้องทดสอบนอกวงจร คือ
ไม่ตอ่ รว่ มกบั อุปกรณ์อ่ืนและจะตอ้ งไมม่ ปี ระจไุ ฟฟา้ เดิมคา้ งอยถู่ ้ามีให้ทำการคายประจโุ ดยการลัดวงจรระหวา่ ง
ข้ัวของตัวเก็บประจุ ถ้าตัวเก็บประจุมีค่าความจุมากและประจุไฟฟ้าด้วยศักย์ที่สูงการคายประจุควรผ่านตัว
ตา้ นทานค่าตำ่ เพื่อป้องกนั การคายประจอุ ย่างรนุ แรงในลกั ษณะของประกาย (Spark)
8.8 การวดั คา่ ความจุของตัวเกบ็ ประจุโดยใช้ดิจติ อลมัลติมเิ ตอร์
การวัดค่าความจุของตัวเก็บประจุโดยใช้ดิจิตอลมัลติมิเตอร์ หรือดิจิตอลอาร์แอลซีมิเตอร์
ดิจติ อลมัลติมิเตอร์ที่นิยมใช้จะมีจำนวนหลักท่ีแตกต่างกัน เช่น ขนาด 3 21 หลักจะสามารถแสดงค่าได้สูงสุด
1,999 ขนาด 3 34 หลักจะแสดงค่าได้สูงสุด 3,999 และขนาด 4 21 หลักจะแสดงค่าได้สูงสุด 19,999
3 21
ดิจติ อลมลั ติมิเตอรข์ นาด 3 4 หลักและ 4 หลกั อาจมีคุณสมบัตทิ ี่ปรับย่านการวดั เองโดยอตั โนมัติ แตส่ ำหรับ
ทแ่ี นะนำน้จี ะเป็นชนดิ 3 21 หลัก ท่ตี ้องบิดสวติ ช์เลือกย่านการวัดเอง สำหรับมาตรวัดวดั ค่าความจุจะมมี าตรวัด
45
200pF, 2nF, 20nF, 200nF, 2F, 20F, 200F, 2000F มาตรวดั อาจมีมากกวา่ หรือนอ้ ยกว่าข้นึ กับยหี่ ้อ
และรุน่ ท่ใี ช้
กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ที่ 8/18, คาบที่ 29-32/56)
1. นักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรียนหนว่ ยที่ 8 ใชเ้ วลาประมาณ 20 นาที
2. ครใู หน้ ักเรยี นดูเน้ือหาหน่วยท่ี 8
3. ขน้ั นำเข้าสู่บทเรียน
3.1 ครอู ธบิ ายตัวต้านทาน
3.2 ครูตงั้ คำถามใหน้ กั เรียนชว่ ยกันตอบ แลว้ รว่ มกันอภปิ รายเกย่ี วกบั ตวั เกบ็ ประจุ
3.3 ครูแจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี น
4. ขัน้ สอน
4.1 นกั เรียนศึกษาจากเน้อื หาในหนว่ ยที่ 8 เรอ่ื งตวั เก็บประจุ
4.2 ครูนำรปู ภาพเก่ียวกับตัวเก็บประจุชนิดต่าง ๆ มาให้นักเรียนพจิ ารณา แลว้ ให้นักเรยี นร่วมกัน
อภิปราย
4.3 ครูอธิบายเร่ืองหน่วยและคุณสมบัติทั่วไปเก่ียวกับตัวเก็บประจุ และวิธีอ่านค่าตัวเก็บประจุ
แลว้ ให้นักเรียนได้ซกั ถาม
4.4 แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 5 คน ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั อภิปราย เรอื่ ง การตรวจสอบคุณสมบตั ิของตัว
เกบ็ ประจุ และการวดั ค่าความจุของตัวเก็บประจุ
4.5 ครใู หค้ วามรูเ้ พ่มิ เติมและอธิบายเก่ยี วกบั การปฏิบัติตามใบงานที่ 8.1, 8.2 และ 8.3
4.6 นกั เรยี นปฏบิ ตั ิตามใบงานท่ี 8.1 ลักษณะและรูปรา่ งของตวั เก็บประจุ ใบงานท่ี 8.2 อา่ นค่าตัว
เก็บประจุ และใบงานท่ี 8.3 วดั และทดสอบตัวเก็บประจุ
4.7 ขณะนกั เรียนปฏบิ ัตติ ามใบงานครูจะสังเกตการทำงานของนกั เรียน
4.8 นักเรียนทำแบบฝกึ หดั
5. ขน้ั สรุป ครูและนักเรยี นร่วมกันเฉลยกจิ กรรมและร่วมกนั อภิปรายสรปุ บทเรียน
6. ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรยี น
สอ่ื และแหลง่ การเรียนรู้
1. ส่อื การเรียนรู้
1.1 หนงั สอื เรียน หน่วยที่ 8 เรื่องตวั เก็บประจุ
1.2 รูปภาพเก่ียวกบั ตัวเก็บประจุชนดิ ต่าง ๆ
1.3 แบบฝกึ หัด
1.4 แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น
2. แหลง่ การเรียนรู้
46
2.1 หนงั สอื เกยี่ วกบั งานไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกส์เบื้องตน้ ของสำนกั พมิ พ์ตา่ ง ๆ
2.2 อินเทอร์เนต็
การวดั ผลและประเมินผล
1. การวัดผลและการประเมินผล
1.1 แบบประเมนิ พฤตกิ รรม ความมีวินัย และความรับผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผ่านเกณฑ์
1.2 ทดสอบโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
1.3 สังเกตการปฏิบตั ิตามใบงานโดยใชแ้ บบประเมินผลการปฏบิ ัติงาน
1.4 ตรวจแบบฝกึ หดั
2. เกณฑ์การวดั และประเมินผล
2.1 แบบประเมินพฤติกรรม ความมวี ินัย และความรบั ผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผ่านเกณฑ์
2.2 แบบทดสอบหลังเรียน ต้องไดค้ ะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2.3 แบบประเมินพฤติกรรมการปฏบิ ตั ิตามใบงานต้องได้คะแนนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
2.4 แบบฝึกหดั ต้องไดค้ ะแนนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
งานท่ีมอบหมาย
งานทมี่ อบหมายนอกเวลาเรียน ใหท้ บทวนเนือ้ หารวมท้ังความสมบูรณข์ องแบบฝึกหดั และใบงาน
ผลงาน/ชนิ้ งาน/ความสำเรจ็ ของผู้เรยี น
1. ผลการปฏบิ ตั ิตามใบงานท่ี 8.1, 8.2 และ 8.3
2. ผลการทำแบบฝึกหัดหน่วยท่ี 8
3. คะแนนแบบทดสอบหลังเรยี น (Post-test) หน่วยท่ี 8
เอกสารอ้างองิ
1. หนังสือเรียนวชิ างานไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ ส์เบอ้ื งต้น รหสั วิชา 20100-1005
บริษัทศูนยห์ นังสือเมืองไทย จำกัด
2. เวบ็ ไซต์และสอ่ื สิ่งพมิ พท์ เ่ี กี่ยวข้องกับเน้ือหาบทเรยี นตามบรรณานกุ รม
47
บนั ทกึ หลงั การสอน
1. ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
2. ผลการเรยี นของนกั เรยี น/ผลการสอนของคร/ู ปญั หาท่ีพบ
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
3. แนวทางการแกป้ ัญหา
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 9 48
ชอ่ื วิชา งานไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เบอ้ื งต้น หนว่ ยท่ี 9
รหสั วชิ า 20100-1005
เวลาเรียนรวม 72 คาบ
ชอ่ื หนว่ ย ตัวเหนย่ี วนำ สอนครั้งที่ 9/18
ช่ือเร่อื ง ตัวเหน่ียวนำ จำนวน 4 คาบ
หวั ขอ้ เร่ือง ใบงานท่ี 9.1 ตวั เหนย่ี วนำ
9.1 หลักการเบ้ืองต้นเกยี่ วกบั ตวั เหน่ยี วนำ ใบงานท่ี 9.2 การวัดคา่ ของตัวเหน่ียวนำ
9.2 หน่วยของตัวเหนีย่ วนำ
9.3 ชนดิ ของตวั เหนย่ี วนำ
9.4 ตัวเหน่ยี วนำที่ใชใ้ นงานไฟฟา้
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
9.5 หลกั การทำงานของหมอ้ แปลง
9.6 ประเภทหมอ้ แปลงไฟฟ้า
9.7 รเี ลย์
9.8 ลำโพง
9.9 ไมโครโฟน
9.10การวดั ตัวเหนย่ี วนำโดยใชโ้ อห์มมิเตอร์
9.11การวดั ตวั เหนยี่ วนำโดยใช้อารแ์ อลซี
ดจิ ติ อลมเิ ตอร์
แนวคดิ สำคัญ
ตวั เหน่ียวนำเป็นอปุ กรณพ์ ้ืนฐาน ในวงจรไฟฟ้าและวงจรอิเลก็ ทรอนกิ สห์ น้าทเ่ี หนีย่ วนำสนามแม่เหล็ก
ไฟฟ้าคือ สะสมพลังงานในรูปสนามแม่เหล็กไฟฟ้าโดยการทำให้เกิดการพองตัวและยุบตัวของสนามแม่เหล็ก
ไฟฟ้าเมื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ สามารถนำหลกั การทำงานนไี้ ปสรา้ งเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนกิ ส์อ่ืน ๆ
ได้
ตวั เหน่ยี วนำเป็นเส้นลวดตวั นำขดเป็นวงเรียงกันหลาย ๆ รอบ ลักษณะการพันเสน้ ลวดตวั นำแตกตา่ ง
กัน ท ำให้ ก ารเห น่ีย วน ำแต กต่ างกัน การพั น จำน วน รอ บ ของขด ลวด มี ผลต่อ ความ เห น่ี ยวน ำ
พันจำนวนรอบน้อยความเหน่ียวนำน้อยพันจำนวนรอบมากความเหนี่ยวนำมากจำนวนรอบยังมีผล
ตอ่ ปริมาณสนามแม่เหล็กทเ่ี กิดขึ้นด้วย จำนวนรอบน้อยสนามแมเ่ หล็กเกิดน้อย จำนวนรอบมากสนามแม่เหล็ก
เกิดมาก หลักการของตัวเหนย่ี วสามารถนำไปประยุกตเ์ ป็นหม้อแปลงไฟฟ้า รีเลย์ ลำโพง ไมโครโฟน และอน่ื ๆ
อีกมาก การวัดขดลวดโดยใช้โอห์มมิเตอร์เป็นการวัดค่าความต้านทานไฟตรง แต่ถ้าตองการทราบค่าความ
เหนย่ี วนำจะตอ้ งใชแ้ อลซีมิเตอรว์ ัด
49
สมรรถนะย่อย
แสดงความรู้เกยี่ วกบั ตวั เหนีย่ วนำ
จุดประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ ดา้ นทักษะ
ด้านความรู้ 1. แสดงความรเู้ ก่ยี วกับชนดิ รูปรา่ งและ
1. อธบิ ายการเกิดสนามแม่เหลก็ จากตวั เหน่ียวนำได้ สัญลกั ษณข์ องตัวเหนีย่ วนำ
2. บอกลกั ษณะโครงสรา้ งของหม้อแปลงไฟฟ้าได้ 2. วดั และทดสอบตัวเหนยี่ วนำด้วยมเิ ตอร์
3. บอกชนดิ ของหมอ้ แปลงไฟฟ้า
4. อธบิ ายรูปรา่ งสัญลักษณข์ องตวั เหน่ียวนำชนดิ ต่าง ๆ
5. บอกคณุ สมบัติและหน้าท่ีของตัวเหนีย่ วนำแตล่ ะ
ชนิดได้
6. อธิบายการวัดค่าความต้านทานของขดลวด
เหน่ียวนำโดยใชโ้ อห์มมเิ ตอร์ได้
7. อธบิ ายการวดั คา่ ความเหนย่ี วนำโดยใชแ้ อลซี
มิเตอรไ์ ด้
8. วเิ คราะห์อาการเสียของตวั เหน่ียวนำโดยใชม้ เิ ตอร์ได้
ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม/บูรณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
แสดงออกด้านการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝ่รู้ ความซื่อสตั ย์ สุจริต ความมีน้ำใจและแบ่งบัน ความ
รว่ มมอื ความมีมารยาท ไมห่ ยดุ นิง่ ทีจ่ ะแกป้ ัญหา ใชอ้ ุปกรณ์อย่างฉลาดและรอบคอบ
เนอื้ หาสาระ
9.1 หลักการเบอื้ งต้นเก่ยี วกับตัวเหน่ียวนำ
ตัวเหน่ียวนำ (Inductor) เป็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้าทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับสนามแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เปน็ ตัวเชือ่ มตอ่
ระหว่างวงจรของสนามแม่เหล็กและวงจรกระแสไฟฟา้ คอื เป็นตัวทีท่ ำให้เกิดเส้นแรงแม่เหล็กโดยกระแสไฟฟ้า
หรือทำใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้าเมือ่ สนามแม่เหล็กยุบตวั ลง
9.2 หนว่ ยของตัวเหนี่ยวนำ
ตัวเหนี่ยวนำนิยมใช้ตัวย่อ L ค่าความเหนี่ยวนำมีหน่วยเป็น เฮนรี่ (Henry : H) ซ่ึงค่าความ
เหนี่ยวนำ 1 H หมายถงึ การเปลี่ยนแปลงของกระแส 1 แอมแปร์ ในวงจรไฟฟ้าตอ่ เวลา 1 วินาที และเป็นผล
ให้เกิดศักย์ไฟต้านมีขนาดเท่ากับ 1 โวลตใ์ นวงจรไฟฟ้านัน้ ๆ หนว่ ยทนี่ ิยมใชค้ ือ
50
1 H = 1000 mH = 1,000,000 H
9.3 ชนดิ ของตัวเหน่ียวนำ
การแบ่งตัวเหนี่ยวนำตามรูปร่างและลักษณะภายนอกสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
ชนิดแรกเป็นตัวเหนี่ยวนำแบบแกนอากาศ ตัวเหน่ียวนำชนิดท่ีสอง เรียกว่า ตัวเหน่ียวนำแบบแกนแม่เหล็ก
ปลายปดิ และตัวเหน่ยี วนำชนดิ ที่สาม คือตวั เหนี่ยวนำแบบมแี กนปลายปดิ
9.4 ตวั เหน่ยี วนำท่ใี ชใ้ นงานไฟฟา้ อิเลก็ ทรอนกิ ส์
อุปกรณ์ประเภทตัวเหน่ียวนำท่ีนำมาใช้ในวงจรไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ นั้นมีมากมายดังรูปที่ 9.6
อาจจัดแบ่งเป็นกลุ่มที่เป็นหม้อแปลงและไม่ใช่หม้อแปลง กลุ่มที่เป็นหม้อแปลงได้แก่ หม้อแปลงกำลัง,
หม้อแปลงอินพุต หม้อแปลงเอาต์พุต หม้อแปลงออโต หม้อแปลงไอเอฟ หม้อแปลงพัลส์ หรือหม้อแปลง
แมตชิง่ ฯลฯ สว่ นกล่มุ ทไ่ี มใ่ ช่หม้อแปลงไดแ้ ก่ โช้ก บลั ลาสต์ รีเลย์ ลำโพง หูฟงั ไมโครโฟน มอเตอร์ ฯลฯ
9.5 หลักการทำงานของหม้อแปลง
หม้อแปลงเป็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่งท่ีทำหน้าที่ส่งถ่ายพลังงานจาก
ขดลวดปฐมภมู ไิ ปยังขดลวดทตุ ิยภูมโิ ดยอาศยั การเหนยี่ วนำทางไฟฟา้ เมอ่ื มกี ระแสเข้าทางขดลวดปฐมภมู ิจะทำ
ให้เกิดสนามแม่เหลก็ ในแกนเป็นผลทำให้เกิดการเหน่ยี วนำไปทางขดทุติยภูมิ ในแกนเหล็กจะมสี นามแม่เหล็ก
หรอื มีเสน้ แรงแม่เหล็กเชื่อมถึงกนั ระหวา่ งขดลวดทัง้ สอง ดังน้นั การเปลี่ยนแปลงหรือป้อนกระแสทางขดทุติยภมู ิ
ย่อมมีผลไปยงั ขดลวดปฐมภูมิได้เช่นเดยี วกัน เพียงแต่การกำหนดเป็นขดปฐมภูมิจะหมายถึงขดทีถ่ กู ป้อนกระแส
เข้าไป ส่วนขดทตุ ยิ ภูมเิ ป็นขดท่จี ะจา่ ยกระแสออกไป
9.6 ประเภทหม้อแปลงไฟฟา้
หม้อแปลงไฟฟ้ามีหลายแบบหลายประเภทซ่ึงสามารถที่จะแบ่งตามโครงสร้างและการใช้งานได้
ดังนี้ หมอ้ แปลงกำลัง หม้อแปลงอนิ พุต หม้อแปลงเอาทพ์ ตุ หม้อแปลงแมตช่ิง หมอ้ แปลงแบบออโต้ หมอ้ แปลง
พลั ส์ หมอ้ แปลงบาลัน และหม้อแปลงไอเอฟ
9.7 รีเลย์
รีเลย์ (Relay) เป็นอุปกรณ์ท่ีอาศัยหลักการทำงานของตัวเหนี่ยวนำเม่ือตัวเหน่ียวนำมี
กระแสไฟฟา้ ไหลผ่านจะเกดิ อำนาจแม่เหล็กดูดหนา้ สมั ผสั ใหเ้ ปดิ หรอื ปิดวงจรโหลดทก่ี นิ กระแสสูง ๆ ได้
9.8 ลำโพง
ลำโพง (Speaker) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปล่ียนสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นพลังงานเสียง ลำโพงท่ี
นิยมใช้กนั มากเป็นชนิดกรวยกระดาษ ขนาดอิมพแี ดนซ์ท่ีนิยมใช้มี 4 , 8 , 16 สว่ นกำลงั งานที่รับได้มี
ค่าตงั้ แตไ่ ม่ถงึ วัตต์จนถงึ หลายรอ้ ยวตั ต์
9.9 ไมโครโฟน
ไมโครโฟน (Microphone) เป็นอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่เปลย่ี นสัญญาณคลื่นเสียง
หรอื คลื่นอากาศจากแหล่งกำเนิดเสยี ง เช่น เสยี งพูด เสยี งเพลง เสยี งดนตรี เปน็ ต้นให้เป็นสัญญาณไฟฟา้
51
9.10การวัดตวั เหนี่ยวนำโดยใช้โอห์มมเิ ตอร์
การวัดขดลวดโดยใชโ้ อหม์ มิเตอรเ์ ป็นการวัดค่าความต้านทานไฟตรงเท่านั้น ไม่สามารถทราบค่า
ความเหน่ียวนำได้แต่สามารถเปรียบเทียบค่าความเหนี่ยวนำได้ ถ้าใช้ลวดเบอร์เดียวกันพันบนแกนชนิดและ
ขนาดเดยี วกนั คอื ถา้ วดั ค่าความต้านทานไดส้ ูงถือว่ามคี ่าความเหนี่ยวนำมากกว่าตวั ท่ีวัดได้คา่ ความต้านทานต่ำ
กว่า การวดั โช้กและหม้อแปลงโดยใชโ้ อห์มมิเตอร์มีจุดประสงค์หลักคือ ตรวจสอบการลัดวงจร การซ๊อตรอบ
การเปดิ วงจร การลัดวงจรระหวา่ งขด ตรวจสอบการหาขดปฐมภมู ิ ทุตยิ ภูมิ หาขาร่วม ขาทม่ี ีค่าแรงดันเท่ากัน
โดยจะไม่สามารถตรวจสอบค่าความเหนี่ยวนำได้
9.11การวดั ตวั เหนย่ี วนำโดยใชอ้ ารแ์ อลซีดิจติ อลมิเตอร์
การวัดค่าความเหน่ียวนำโดยใช้อาร์แอลซีดิจิตอลมิเตอร์ จะเป็นการการทดสอบค่าความ
เหนย่ี วนำของขดลวด เพื่อทดสอบคุณสมบัติของคา่ ความเหน่ียวนำวา่ มีค่าความเหน่ียวนำถกู ตอ้ งหรอื ไม่ซ่ึงเป็น
ประโยชน์ต่อการออกแบบและวิเคราะห์วงจรเพ่ือนำไปใช้งาน กรณีท่ีเลือกใช้อาร์แอลซีดิจิตอลมิเตอร์ขนาด
1
3 2 หลัก
กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาหท์ ี่ 10/18, คาบที่ 37-40/56)
1. นักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรียนหน่วยท่ี 9 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
2. ครใู ห้นักเรยี นดเู น้อื หาหน่วยที่ 9
3. ขน้ั นำเขา้ สูบ่ ทเรียน
3.1 ครอู ธบิ ายตัวเหนยี่ วนำ
3.2 ครตู งั้ คำถามใหน้ กั เรียนช่วยกันตอบ แลว้ รว่ มกนั อภปิ รายเกีย่ วกบั ตัวเหนย่ี วนำ
3.3 ครูแจง้ จุดประสงค์การเรยี น
4. ขัน้ สอน
4.1 นักเรยี นศึกษาจากเน้ือหาในหน่วยที่ 9 เรื่องตัวเหนยี่ วนำ
4.2 ครูอธิบายเก่ียวกับ เรื่องหลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวเหน่ียวนำ หน่วยและชนิดของตัว
เหนี่ยวนำ
4.3 ครูนำรูปภาพเก่ียวกับตัวเหน่ียวนำประเภทต่าง ๆ มาให้นักเรียนพิจารณา แล้วให้นักเรียน
รว่ มกนั อภปิ ราย
4.4 ครูอธบิ ายเรอ่ื งหลักการทำงานของหมอ้ แปลงและประเภทหม้อแปลงไฟฟ้า แลว้ ให้นกั เรียนได้
ซกั ถาม
4.5 แบ่งนักเรียนเป็น 3 กลุ่ม ให้กลุ่มท่ี 1 รว่ มกนั อภปิ ราย เรื่อง รีเลย์ กลมุ่ ท่ี 2 เรอื่ ง ลำโพง และ
กลุ่มท่ี 3 เรอื่ ง ไมโครโฟน แล้วใหแ้ ต่ละกลมุ่ สง่ ตวั แทนออกมาสรปุ การอภปิ รายหน้าชน้ั
4.6 ครอู ธิบายเกยี่ วกบั เร่อื งการวดั ตวั เหน่ียวนำโดยใชโ้ อหม์ มิเตอร์ และการวดั ตัวเหนยี่ วนำโดยใช้
อารแ์ อลซดี จิ ติ อลมิเตอร์ แลว้ ใหน้ กั เรียนซักถาม
4.7 ครใู ห้ความรเู้ พมิ่ เตมิ และอธบิ ายเก่ยี วกบั การปฏบิ ตั ติ ามใบงานที่ 9.1 และ 9.2
52
4.8 นกั เรียนปฏิบัติตามใบงานที่ 9.1 ตวั เหน่ียวนำ และใบงานที่ 9.2 การวดั คา่ ของตวั เหน่ยี วนำ
4.9 ขณะนกั เรียนปฏบิ ตั ิตามใบงานครจู ะสงั เกตการทำงานของนกั เรียน
4.10 นักเรียนทำแบบฝึกหดั
5. ข้ันสรปุ ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันเฉลยกจิ กรรมและรว่ มกนั อภปิ รายสรปุ บทเรยี น
6. ให้นกั เรยี นทำแบบทดสอบหลังเรยี น
สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้
1. ส่อื การเรยี นรู้
1.1 หนังสอื เรียน หน่วยท่ี 9 เรื่องตวั เหน่ยี วนำ
1.2 รปู ภาพเกย่ี วกบั ตัวเหนี่ยวนำประเภทตา่ ง ๆ
1.3 แบบฝกึ หดั
1.4 แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น
2. แหล่งการเรียนรู้
2.1 หนงั สือเกย่ี วกับงานไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนกิ สเ์ บ้อื งตน้ ของสำนกั พมิ พ์ต่าง ๆ
2.2 อินเทอรเ์ น็ต
การวัดผลและประเมินผล
1. การวดั ผลและการประเมินผล
1.1 แบบประเมินพฤติกรรม ความมีวินัย และความรบั ผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผา่ นเกณฑ์
1.2 ทดสอบโดยใช้แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียน
1.3 สงั เกตการปฏบิ ตั ิตามใบงานโดยใช้แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงาน
1.4 ตรวจแบบฝกึ หัด
2. เกณฑ์การวดั และประเมินผล
2.1 แบบประเมินพฤตกิ รรม ความมวี ินัย และความรับผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผ่านเกณฑ์
2.2 แบบทดสอบหลังเรยี น ตอ้ งได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2.3 แบบประเมินพฤติกรรมการปฏบิ ัติตามใบงานต้องได้คะแนนไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2.4 แบบฝึกหดั ตอ้ งได้คะแนนไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
งานท่ีมอบหมาย
งานทีม่ อบหมายนอกเวลาเรยี น ให้ทบทวนเนอ้ื หารวมท้งั ความสมบูรณ์ของแบบฝกึ หดั และใบงาน
ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสำเร็จของผเู้ รียน
53
1. ผลการปฏบิ ัติตามใบงานที่ 9.1 และ 9.2
2. ผลการทำแบบฝกึ หัดหน่วยท่ี 9
3. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) หน่วยที่ 9
เอกสารอา้ งองิ
1. หนังสือเรียนวชิ างานไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ ส์เบ้อื งต้น รหสั วิชา 20100-1005
บรษิ ัทศูนย์หนงั สอื เมืองไทย จำกัด
2. เว็บไซตแ์ ละสอื่ ส่ิงพมิ พท์ ี่เก่ยี วขอ้ งกับเน้ือหาบทเรียนตามบรรณานุกรม
54
บันทึกหลังการสอน
1. ผลการใช้แผนการจดั การเรยี นรู้
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
2. ผลการเรยี นของนกั เรยี น/ผลการสอนของคร/ู ปญั หาท่พี บ
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................... ....................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................. .......................
...........................................................................................................................................................................
3. แนวทางการแกป้ ญั หา
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 10 55
ชอ่ื วชิ า งานไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เบอ้ื งตน้ หน่วยที่ 10
รหสั วิชา 20100-1005
เวลาเรยี นรวม 72 คาบ
ช่อื หน่วย ไดโอด สอนครั้งที่ 10/18
จำนวน 4 คาบ
ชื่อเรือ่ ง ไดโอด
หัวข้อเร่อื ง ใบงานท่ี 10 ไดโอด
10.1 โครงสรา้ งและคณุ สมบัติของไดโอด
10.2 การวดั ตรวจสอบไดโอด
10.3 ชนิดของไดโอดกำลังและคณุ สมบตั ทิ ่ี
สำคญั ของไดโอด
10.4 ไดโอดปลอ่ ยแสง
แนวคดิ สำคญั
ไดโอด (Diode) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหน่ึง ซึ่งควบคุมทิศทางการไหลของประจุไฟฟ้า
โดยจะยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลในทิศทางเดียว และกั้นการไหลในทิศทางตรงกันข้าม ดังน้ันจึงนับว่าเป็น
ประโยชนอ์ ย่างมากในวงจรอิเลก็ ทรอนกิ ส์ เช่นใชเ้ ปน็ ตัวเรียงกระแสไฟฟ้าในวงจรภาคจา่ ยไฟ เปน็ ต้น
ไดโอดปล่อยแสง (LED : Light Emitting Diode) เปน็ อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำอย่างหนึ่ง จดั อยใู่ นจำพวก
ไดโอด ท่ีสามารถเปล่งแสงในช่วงสเปกตรัมแคบ เม่ือถูกไบอัสทางไฟฟา้ ในทิศทางไปข้างหนา้ สีของแสงที่เปล่ง
ออกมานัน้ ขึ้นอยกู่ บั องคป์ ระกอบทางเคมขี องวสั ดกุ ึ่งตวั นำท่ีใช้
สมรรถนะย่อย
แสดงความรเู้ กีย่ วกบั ไดโอด
จุดประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ ดา้ นทักษะ
ดา้ นความรู้ 1. วดั และตรวจสอบไดโอดดว้ ยมลั ตมิ เิ ตอร์
1. อธบิ ายโครงสรา้ งของไดโอดได้
2. บอกวิธกี ารจ่ายไฟไบแอสให้ไดโอดไดถ้ กู ต้อง
3. บอกการวัดค่าความตา้ นทานของไดโอดแตล่ ะชนดิ ได้
4. บอกการตรวจสอบหาชนิดของสารทีน่ ำมาใชท้ ำ
ไดโอดได้
5. บอกการตรวจสอบสภาพดีหรอื เสียของไดโอดได้
ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
56
แสดงออกด้านการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝ่รู้ ความซ่ือสตั ย์ สจุ ริต ความมนี ้ำใจและแบ่งบนั ความ
ร่วมมือ ความมมี ารยาท ไมห่ ยดุ น่งิ ทีจ่ ะแกป้ ญั หา ใชอ้ ุปกรณอ์ ย่างฉลาดและรอบคอบ
เนื้อหาสาระ
10.1 โครงสร้างและคุณสมบัตขิ องไดโอด
ไดโอด (Diode) เป็นอุปกรณส์ ารก่งึ ตัวนำทน่ี ำเอาสารพีและสารเอน็ มาตอ่ เข้าด้วยกัน โดยสารพี
หมายถึง สารที่ให้อนุภาคของความเป็นบวกมากกว่าความเป็นลบ สว่ นสารเอ็น หมายถงึ สารท่ีให้อนุภาคของ
ความเป็นลบมากกว่าความเปน็ บวก เมื่อนำสารท้ังสองมาเชอื่ มตอ่ เข้าด้วยการโดปในเตาหลอม 1000 oC ทำให้
เกดิ การถา่ ยเทประจุเข้าหากันระหว่างสารเอ็นและสารพีในส่วนของอณูตรงกลางนั้นจะเกิดภาวะสมดลุ ของชว่ ง
รอยต่อขึน้ ทเ่ี รียกวา่ บรเิ วณปลอดพาหะ (Depletion region)
10.2 การวดั ตรวจสอบไดโอด
การวดั ตรวจสอบไดโอดจะมกี ารพจิ ารณากนั อยู่ 3 ลักษณะ คอื
1) ไดโอดขาด หมายถึง รอยต่อระหว่างสารพี – เอ็น เปิดออกจากกัน ทำให้ไดโอดไม่สามารถ
นำกระแสได้ท้งั กรณไี บแอสไปหนา้ และไบแอสย้อนกลับ
2) ไดโอดลัดวงจร หมายถึง รอยต่อระหว่างสารพี – เอ็น เกิดการพังทลายเข้าหากันไดโอด
จะนำกระแส ท้ังกรณีไบแอสไปหน้าและไบแอสย้อนกลบั
3) ไดโอดรั่วไหล หมายถึง เงื่อนไขของการไบแอสย้อนกลับโดยใช้คา่ แรงดันระดบั หน่งึ ที่ยังไม่ถือ
ค่าแรงดันยอ้ นกลับค่ายอด เช่น ใช้แรงดันจากโอห์มมเิ ตอรแ์ ต่เกดิ มีค่าความตา้ นทานท่ีตำ่ กว่าปกติเมอื่ เทียบกับ
ไดโอดที่ไม่มีการร่วั ไหลของกระแส สภาพปกติของไดโอดชนิดเยอรมันเนียมเมื่อถูกไบแอสกลับจะมีค่าความ
ต้านทานเป็นประมาณ 100 k – 200 k ข้ึนไป ส่วนไดโอดชนิดซิลิคอนเม่ือถูกไบแอสกลับจะมีค่าความ
ตา้ นทานเป็นอนนั ต์
10.3 ชนดิ ของไดโอดกำลังและคุณสมบตั ิท่ีสำคัญของไดโอด
ไดโอดทนี่ ยิ มใช้มอี ยู่ 4 แบบ คือ
1. แบบใช้งานท่ัวไป (General – purpose) สว่ นมากทำจากสารซิลิกอนทนแรงดันและกระแส
ได้สงู แรงดนั ไบแอสไปหน้าสงู ใชก้ ับความถ่ีได้ต่ำไมเ่ กนิ 1 kHz แรงดนั ใชง้ านประมาณ 50V – 1000V
2. แบบฟืน้ ตวั เร็ว (Fast Recovery) มีคุณสมบัติคล้ายกับแบบใช้งานทั่วไปแต่ทำงานได้ท่ี
ความถส่ี งู กว่าแบบแรกประมาณ250 kHz แรงดนั ใช้งานประมาณ 50V – 600V
3. แบบเร็วย่ิง (Ultra fast) เป็นไดโอดท่ีนิยมใช้ในวงจรสวิตช่ิง ทำงานได้ท่ีความถี่สูงประมาณ
10 MHz แรงดนั ใช้งานประมาณ 200V – 1500V
4. แบบซอตต์กี (Schottky) เป็นไดโอดชนิดพิเศษ คือ ไม่เป็นรอยต่อพี – เอ็น แต่เป็นการ
เชือ่ มตอ่ ของทองหรอื อะลูมินัม่ และวสั ดุกึ่งตัวนำชนิดเอน็ นยิ มใช้ในวงจรสวิตช่งิ
57
10.4 ไดโอดปล่อยแสง
ไดโอดปล่อยแสง (Light emitting diode : LED) เป็นไดโอดชนิดหน่ึง ซ่ึงสามารถเปล่ียน
พลังงานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานแสงไดเ้ มอ่ื ให้ไบแอสไปหน้า โครงสรา้ งของไดโอดปลอ่ ยแสงคลา้ ยกับไดโอด ทั่ว ๆ ไป
ซึ่งประกอบมาจากการเอาสารพีและสารเอน็ มาประกบกัน เม่ือทำการไบแอสไปหน้าใหก้ ับไดโอดปล่อยแสงจะ
ทำให้อิเล็กตรอนท่ีสารก่ึงตัวนำชนิดเอ็นมีพลังงานสูงข้ึน จนสามารถวง่ิ ข้ามรอยต่อไปรวมกับโฮลในสารพีได้และ
เกดิ พลังงานแสงที่เรียกว่า พลงั งานโฟตรอนปล่อยแสงออกมา
กิจกรรมการเรยี นรู้ (สัปดาหท์ ่ี 11/18, คาบท่ี 41-44/56)
1. นกั เรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรียนหน่วยที่ 10 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
2. ครูให้นกั เรยี นดเู น้อื หาหนว่ ยท่ี 10
3. ขั้นนำเข้าสบู่ ทเรยี น
3.1 ครอู ธบิ ายเกยี่ วกบั ไดโอด
3.2 ครูตัง้ คำถามให้นักเรยี นชว่ ยกนั ตอบ แลว้ ร่วมกนั อภิปรายเกยี่ วกบั ไดโอด
3.3 ครแู จง้ จุดประสงค์การเรยี น
4. ขน้ั สอน
4.1 นักเรียนศึกษาจากเนอื้ หาในหน่วยที่ 10 เรอ่ื งไดโอด
4.2 ครูอธบิ ายเกี่ยวกับ เรื่องโครงสร้างและคุณสมบตั ิของไดโอด และการวดั ตรวจสอบไดโอด
4.3 ครูนำตารางแสดงคณุ สมบัตขิ องไดโอดชนดิ ใชง้ านทัว่ ไปมาใหน้ ักเรยี นพิจารณา แล้วใหน้ ักเรียน
ร่วมกนั อภิปราย
4.4 ครูนำไดโอดปลอ่ ยแสงมาแสดงใหน้ ักเรยี นดูพร้อมท้งั อธบิ าย แลว้ ให้นักเรียนได้ซกั ถาม
4.5 ครใู ห้ความรู้เพิม่ เตมิ และอธบิ ายเก่ยี วกบั การปฏบิ ัติตามใบงานที่ 10
4.6 นักเรยี นปฏิบตั ติ ามใบงานที่ 10 ไดโอด
4.7 ขณะนกั เรยี นปฏบิ ัตติ ามใบงานครจู ะสงั เกตการทำงานของนกั เรยี น
4.8 นกั เรยี นทำแบบฝึกหัด
5. ข้นั สรปุ ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันเฉลยกิจกรรมและร่วมกนั อภปิ รายสรปุ บทเรยี น
6. ใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรยี น
สือ่ และแหลง่ การเรยี นรู้
1. สื่อการเรยี นรู้
1.1 หนังสอื เรยี น หน่วยที่ 10 เร่ืองไดโอด
1.2 ตารางแสดงคณุ สมบตั ิของไดโอดชนิดใชง้ านทวั่ ไป
1.3 ไดโอดปล่อยแสง
1.4 แบบฝึกหัด
58
1.5 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
2. แหลง่ การเรยี นรู้
2.1 หนงั สือเกีย่ วกับงานไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เบอื้ งต้น ของสำนกั พมิ พ์ตา่ ง ๆ
2.2 อนิ เทอร์เนต็
การวดั ผลและประเมินผล
1. การวัดผลและการประเมนิ ผล
1.1 แบบประเมินพฤตกิ รรม ความมีวินัย และความรับผิดชอบ ต้องได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ
70 ผ่านเกณฑ์
1.2 ทดสอบโดยใชแ้ บบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียน
1.3 สังเกตการปฏบิ ตั ิตามใบงานโดยใชแ้ บบประเมินผลการปฏิบตั ิงาน
1.4 ตรวจแบบฝกึ หัด
2. เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผล
2.1 แบบประเมินพฤตกิ รรม ความมีวินัย และความรับผิดชอบ ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ
70 ผา่ นเกณฑ์
2.2 แบบทดสอบหลังเรียน ต้องได้คะแนนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
2.3 แบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบตั ิตามใบงานตอ้ งได้คะแนนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2.4 แบบฝึกหัดต้องได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
งานท่มี อบหมาย
งานท่ีมอบหมายนอกเวลาเรยี น ให้ทบทวนเนื้อหารวมทัง้ ความสมบรู ณข์ องแบบฝึกหดั และใบงาน
ผลงาน/ช้ินงาน/ความสำเรจ็ ของผู้เรียน
1. ผลการปฏิบัติตามใบงานที่ 10
2. ผลการทำแบบฝกึ หดั หนว่ ยท่ี 10
3. คะแนนแบบทดสอบหลังเรยี น (Post-test) หนว่ ยที่ 10
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสอื เรยี นวชิ างานไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ ส์เบื้องต้น รหสั วชิ า 20100-1005
บริษัทศนู ย์หนังสอื เมอื งไทย จำกดั
2. เวบ็ ไซตแ์ ละส่ือสงิ่ พิมพท์ ่เี ก่ยี วขอ้ งกับเนือ้ หาบทเรียนตามบรรณานุกรม
59
บันทกึ หลังการสอน
1. ผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
2. ผลการเรียนของนกั เรียน/ผลการสอนของครู/ปัญหาทีพ่ บ
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
3. แนวทางการแก้ปัญหา
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 11 60
ช่อื วชิ า งานไฟฟา้ และอิเล็กทรอนกิ ส์เบ้อื งตน้ หน่วยที่ 11
รหสั วิชา 20100-1005
เวลาเรยี นรวม 72 คาบ
ชื่อหนว่ ย ทรานซิสเตอร์ สอนครัง้ ท่ี 11/18
ช่อื เรื่อง ทรานซสิ เตอร์ จำนวน 4 คาบ
หวั ข้อเรื่อง ใบงานที่ 11 ทรานซสิ เตอร์
11.1 โครงสร้างของทรานซสิ เตอร์
11.2 ความหมายของอกั ษรและตวั เลขบน
ตัวถังทรานซสิ เตอร์
11.3 การจัดแรงไฟให้ทรานซิสเตอร์ทำงาน
11.4 การตรวจสอบขาทรานซิสเตอร์
11.5 การหาค่าอตั ราขยายของทรานซสิ เตอร์
แนวคดิ สำคญั
ทรานซิสเตอรเ์ ป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีหลักการทำงานโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากวงจรภายนอก
ไปควบคมุ ตวั กำเนิดกระแสไฟฟ้าภายในใหเ้ ปลย่ี นแปลงตาม ทรานซิสเตอรม์ ี 3 ขา คอื ขาเบส ขาอิมติ เตอรแ์ ละ
ขาคอลเลคเตอร์ ทรานซิสเตอร์ แบ่งตามโครงสร้างได้ 2 ชนิด คือ NPN และ PNP แบ่งตามสารได้สองชนิด
เชน่ กนั คอื เยอรมันเนียม และ ซิลคิ อน การจดั แรงไฟไบแอสทรานซิสเตอรจ์ ะให้อยู่สองแบบคอื ให้ไบแอสไปหน้า
ระหว่างขาเบสกับขาอิมิตเตอร์ และให้ไบแอสย้อนกลับระหว่างขาเบสกับขาคอลเลคเตอร์ ตวั อักษรตัวเลขบน
ทรานซิสเตอร์ บอกชนิดและการใช้งานได้ และตรวจสอบดเี สียได้ด้วยโอห์มมเิ ตอร์
สมรรถนะย่อย
แสดงความรู้เกี่ยวกับทรานซสิ เตอร์
จุดประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ ด้านทกั ษะ
1. วัดและทดสอบทรานซสิ เตอรด์ ว้ ยมลั ติ
ด้านความรู้
มเิ ตอร์
1. เขียนโครงสรา้ งของทรานซิสเตอรไ์ ด้ถกู ต้อง
2. บอกความหมายของตัวอกั ษรและตัวเลข
บนทรานซิสเตอรไ์ ด้ถกู ตอ้ ง
3. อธบิ ายการจดั แรงไฟไบอสั ให้ทรานซสิ เตอร์ไดถ้ ูกตอ้ ง
4. สามาถวัดคา่ ความตา้ นทานระหว่างขา ตา่ ง ๆ ของ
ทรานซิสเตอรไ์ ดถ้ ูกต้อง
5. สามารถตรวจสอบหาขาและชนิดของ
61
ทรานซสิ เตอรไ์ ด้
6. สามารถตรวจสอบอตั ราการขยายกระแสของ
ทรานซสิ เตอรไ์ ด้
7. บอกได้วา่ ทรานซสิ เตอรท์ ต่ี รวจสอบดีหรอื ชำรุด
ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
แสดงออกด้านการตรงตอ่ เวลา ความสนใจใฝ่รู้ ความซื่อสตั ย์ สจุ ริต ความมีน้ำใจและแบ่งบัน ความ
รว่ มมือ ความมมี ารยาท ไม่หยุดนงิ่ ท่ีจะแก้ปญั หา ใชอ้ ุปกรณอ์ ยา่ งฉลาดและรอบคอบ
เนอ้ื หาสาระ
11.1 โครงสรา้ งของทรานซสิ เตอร์
ทรานซิสเตอร์ (Transistor) โครงสร้างเกิดจากการนำสารก่ึงตัวนำชนดิ พีและเอ็น มาเรียงกัน 3
ชั้น นำมาต่อเรียงกันเพอ่ื ให้เกดิ รอยตอ่ ระหว่างเน้ือสารขนึ้ 2 รอยตอ่ โดยสารตรงกลางเป็นเน้ือสารต่างชนิดกับ
สารที่อยูห่ ัวและทา้ ย แลว้ ต่อขาออกมาใช้งานจากช้ันท้ัง 3 ดังน้นั จงึ สามารถแบง่ ทรานซสิ เตอร์ออกเป็น 2 ชนิด
ตามโครงสรา้ งของสารทน่ี ำมาต่อเรยี งกัน คอื ทรานซสิ เตอรช์ นดิ พีเอ็นพีและทรานซิสเตอร์ชนดิ เอน็ พเี อ็น
11.2 ความหมายของอกั ษรและตวั เลขบนตัวถังทรานซสิ เตอร์
การท่ีจะทราบว่าทรานซิสเตอร์ตวั ไหนเปน็ ชนิดเอ็นพีเอ็นหรอื พีเอ็นพี คุณสมบัตติ ่าง ๆ อย่างไร
นั้น โดยปกติจะดูจากคู่มือของทรานซิสเตอร์ของบริษัทผู้ผลิต ในบางครั้งผู้ผลิตอาจจะกำหนดสัญลักษณ์ท่ีมี
ความหมายบ่งช้ีถึงคุณลักษณะบางประการท่ีเป็นประโยชน์กับผู้ใช้ เพื่อไม่ต้องเสียเวลาในการดูคู่มือโดยไม่
จำเปน็ เชน่ ทรานซิสเตอรข์ องยโุ รปจะเริ่มตน้ ดว้ ยตัวอกั ษร 2 – 3 ตวั แลว้ ตามดว้ ยตวั เลข
11.3 การจดั แรงไฟให้ทรานซสิ เตอรท์ ำงาน
ทรานซิสเตอร์จะทำงานได้น้ัน จะต้องมีการไบแอสทางอินพุตเพื่อทำให้เกิดการไหลของกระแส
ทางเอาต์พุตในลักษณะที่ถูกควบคมุ ได้ จึงจะทำใหท้ รานซิสเตอร์สามารถขยายสัญญาณหรอื ทำหนา้ ทีเ่ ป็นสวิตช์
ได้ การไบแอสทางอินพุตจะเป็นการไบแอสไปหนา้ ส่วนการไบแอสทางเอาตพ์ ุตจะเป็นการไบแอสยอ้ นกลับ
11.4 การตรวจสอบขาทรานซสิ เตอร์
การตรวจสอบขาทรานซิสเตอร์มีจุดประสงคท์ ี่ต้องการทราบว่าขาใดเป็นขาเบส ขาคอลเลกเตอร์
และขาอิมิตเตอร์ เน่ืองจากทรานซิสเตอรท์ ี่ผลิตจากกลุ่มประเทศต่าง ๆ และเบอร์ต่าง ๆ จะมีตำแหน่งขาไม่
เหมือนกันซ่ึงจะข้นึ กับลักษณะของตวั ถังด้วย แตถ่ ้าลักษณะตัวถึงแบบเดียวกันที่ผลิตจากกลุ่มประเทศเดียวกัน
จะมีตำแหน่งขาเหมือนกัน กรณีท่ีจำตำแหน่งขาไม่ได้และไม่มีคู่มือทรานซิสเตอร์ นิยมใช้โอห์มมิเตอร์วัดค่า
ความตา้ นทานระหว่างขาทรานซิสเตอร์ เพื่อตรวจสอบหาขาทรานซสิ เตอร์ ซง่ึ ผลจากการตรวจสอบนอกจากจะ
ทราบตำแหน่งขาแลว้ จะทราบชนดิ ของทรานซสิ เตอร์วา่ เป็นชนิดพีเอ็นพีหรอื เอ็นพีเอ็น อีกท้ังยังทราบชนิด
ของสารกง่ึ ตวั นำคือซิลิคอนหรือเยอรมนั เนียม ปัจจุบนั ทรานซิสเตอร์ทท่ี ำจากสารเยอรมนั เนียมเลิกผลิตแลว้ แต่
ยังมีใชอ้ ยู่บ้าง เนื่องจากมีกระแสรว่ั ไหลสูงจึงไม่นยิ มใช้ เมอ่ื พจิ ารณาโครงสร้างของทรานซิสเตอร์จะเสมอื นกับ
62
ไดโอด 2 ตัว ต่ออนุกรมกันโดยจะต่อข้ัวแอโนดเข้าด้วยกัน กรณีของทรานซิสเตอร์ชนิดเอ็นพีเอ็นจะต่อข้ัว
แคโทดเขา้ ดว้ ยกนั
11.5 การหาค่าอตั ราขยายของทรานซสิ เตอร์
การหาอตั ราการขยายกระแสของทรานซสิ เตอรจ์ ะอาศัยการไบแอสกระแสเบส เพ่อื ใหเ้ กิดกระแส
คอลเลกเตอร์ คา่ กระแสเบสท่ีนยิ มสำหรบั ทรานซิสเตอร์ขนาดเลก็ ที่ทนกระแสไม่มากคอื 10 A การกำหนด
กระแสค่าต่ำเพ่ือไม่ให้กระแสคอลเลกเตอร์สูงเกินไป ซ่ึงจะกินไฟจากแบตเตอร่ีมาก ส่วนเลข 10 ถือวา่ เป็น
ม าต รวั ด ที่ ล งตั ว ใน ก ารห าร เช่ น ห ารกั บ ม าต รวั ด 20 mA ข อ งดิ จิ ต อ ล มั ล ติ มิ เต อ ร์ จ ะ ได้
20 10–3 / 10 10–6 = 2,000 หมายถึง ดิจิตอลมัลติมิเตอร์เสกล hFE จะสามารถวัดทรานซิสเตอร์ท่ีมี
อตั ราขยายกระแสได้สูงสุด 1,999 เทา่ (ดิจติ อลมัลติมิเตอร์ ขนาด 3 21 หลัก) ในการทดลองหาอัตราการขยาย
กระแสของทรานซิสเตอร์ปัจจุบันไม่นิยมใช้มัลติมิเตอร์แบบแอนะลอกวัด เพราะไม่สะดวกและแสดงค่าไม่
ละเอยี ด จึงใชด้ ิจติ อลมัลติมิเตอร์วัดแทน ซึง่ จะมมี าตรวัด hFE เกอื บทกุ รุน่
กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ที่ 12/18, คาบท่ี 45-48/56)
1. นักเรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหน่วยท่ี 11 ใชเ้ วลาประมาณ 20 นาที
2. ครูให้นกั เรียนดูเนอื้ หาหนว่ ยท่ี 11
3. ขน้ั นำเข้าสู่บทเรียน
3.1 ครอู ธิบายเกีย่ วกบั ทรานซสิ เตอร์
3.2 ครตู ง้ั คำถามใหน้ กั เรยี นช่วยกันตอบ แลว้ ร่วมกันอภปิ รายเกีย่ วกบั ทรานซิสเตอร์
3.3 ครแู จ้งจุดประสงค์การเรยี น
4. ขน้ั สอน
4.1 นกั เรยี นศกึ ษาจากเนอื้ หาในหนว่ ยท่ี 11 เร่อื งทรานซสิ เตอร์
4.2 ครูอธิบายเก่ียวกับ เร่ืองโครงสร้างของทรานซิสเตอร์ ความหมายของอักษรและตัวเลขบน
ตวั ถงั ทรานซสิ เตอร์ และการจัดแรงไฟให้ทรานซิสเตอรท์ ำงาน
4.3 ครูนำแผนภาพโครงสร้างของทรานซิสเตอร์เม่ือพิจารณาเป็นไดโอด และทิศทางการไหลของ
กระแสเบสในการวัดหาขาทรานซิสเตอร์มาให้นักเรียนพิจารณา แล้วให้นักเรียนร่วมกัน
อภิปราย
4.4 ครูอธบิ ายเรอื่ ง การหาคา่ อัตราขยายของทรานซิสเตอร์ แล้วใหน้ ักเรียนไดซ้ กั ถาม
4.5 ครูใหค้ วามรูเ้ พม่ิ เติมและอธิบายเกี่ยวกบั การปฏบิ ตั ิตามใบงานท่ี 11
4.6 นกั เรยี นปฏิบตั ิตามใบงานที่ 11 ทรานซิสเตอร์
4.7 ขณะนักเรียนปฏิบัตติ ามใบงานครูจะสงั เกตการทำงานของนักเรียน
4.8 นักเรยี นทำแบบฝกึ หดั
5. ข้นั สรปุ ครูและนักเรยี นร่วมกันเฉลยกิจกรรมและรว่ มกนั อภิปรายสรปุ บทเรยี น