สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๒
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๒
๑. ประวตั ิพุทธสาวก พุทธสาวิกา ชาดก
และพุทธศาสนิกชนตัวอยา่ ง
๑.๑ พุทธสาวก
พุทธสาวก หมายถึง ผู้ที่นับถืพระพุทธเจ้า
แ ล ะ ยึ ด มั่ น ใ น ห ลั ก ธ ร ร ม ค า ส อ น ข อ ง
พระพุทธศาสนาเป็นเพศชาย ได้แก่ ภิกษุ และ
อุบาสก ในชั้นน้ีนักเรียนจะได้ศึกษาประวัติของ
พุทธสาวกท่ีสาคัญ ดังนี้
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๑) พระสารีบุตร
พระสารีบุตร เดิมช่ือวา่ อุปติสสะ เป็นบุตรของพราหมณ์ช่ือ วังคันตะ มารดาชื่อ
นางสารี มีสหายคนหน่ึงช่ือ โกลิตะ (พระโมคคัลลานะ) วันหน่ึงขณะเท่ียวงานมหรสพ
ในกรุงราชคฤห์ อุปติสสะรูส้ ึกเบ่ือหน่ายและไม่สนุกเหมือนเช่นทุกคร้งั จึงชวนโกลิตะ
พร้อมกับพรรคพวกบริวารอีก ๕๐๐ คนไปสมัครเป็นลูกศิษย์ของสัญชัยปริพาชก
ไม่นานก็สาเร็จความรู้ แต่ยังไม่เป็นท่ีพอใจ จึงตกลงกันว่าจะออกแสวงหาธรรม
หากใครได้บรรลธุ รรมก่อนให้มาบอกกัน
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๒
๑) พระสารีบุตร
ครนั้ ได้พบพระอัสสชิหน่ึงในปัญจวัคคีย์ออกบิณฑบาตในกรุ งราชคฤห์ อุปติสสะ
เกิดความเลื่อมใสในอาการสารวมของพระอัสสชิ จึงได้ติดตามไปขอร้องให้ท่านแสดง
ธรรมให้ฟัง พระอัสสชิได้แสดงธรรมให้ฟังสั้ น ๆ ว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พ ร ะ ต ถ า ค ต ต รั ส เห ตุ แห่ ง ธ ร ร ม เห ล่ า นั้ น แ ล ะ ก า ร ดั บ เห ตุ แห่ ง ธ ร ร ม เห ล่ า น้ั น
พระมหาสมณะมีวาทะอย่างน้ี ” ได้ฟังเพียงเท่าน้ี อุปติสสะก็เกิดดวงตาเห็นธรรม
บรรลุโสดาปัตติผล แล้วจึงกลับไปเล่าเร่ืองและแสดงธรรมให้โกลิตะฟัง เม่ือโกลิตะฟัง
แล้วก็ได้ดวงตาเห็นธรรมจงึ ออกบวชในพระพุทธศาสนา
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๑) พระสารีบุตร
หลังจากบวชได้ ๑๕ วัน พระสารบี ุตรก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ได้รับการแต่งตั้ง
จากพระพุทธเจ้าให้เป็น “พระอัครสาวกเบ้ืองขวา” ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้มีปัญญา
เป็นเลิศ เป็นกาลังสาคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สามารถแสดงธรรมได้ลึกซ้ึง
และพสิ ดารเชน่ เดียวกับพระพุทธเจา้
สิ่งท่ีควรถือเปน็ แบบอย่าง คือ
๑. เปน็ ผูร้ ูจ้ ักคิดและใฝ่เรยี นรู้
๒. เปน็ ผู้มปี ญั ญาเป็นเลิศ
๓. เปน็ ผูม้ คี วามรกั และซื่อตรงแก่เพอ่ื น
๔. เปน็ ผูม้ คี วามกตัญญูกตเวทีเปน็ เลิศ
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒) พระโมคคัลลานะ
พระโมคคัลลานะ เดิมชื่อ โกลิตะ มารดาชื่อ นางโมคคัลลี เป็นสหายของ
อุปติสสะ(พระสารีบุตร) ท้ังสองเข้าศึ กษาในสานั กสั ญชัยปริพาชกพร้อมกัน
เพราะมคี วามคิดจะแสวงหาความรูเ้ ชน่ เดียวกัน เมื่อสาเรจ็ ความรูจ้ ากสัญชัยปรพิ าชก
แล้ว โกลิตะได้ฟังธรรมที่อุปติสสะบรรลุหลังจากได้ฟังพระอัสสชิแสดงให้ฟังก็บรรลุ
โสดาปัตติผล แล้วจึงลาสัญชัยปริพาชกเพ่ือเข้าไปบวชในสานักของพระพุทธเจ้า
หลังจากบวชแล้วได้เรียนกรรมฐานและปฏิบัติในท่ีสงบ ขณะปฏิบัติเกิดรู้สึกง่วง
พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงวิธีแก้ง่วงพร้อมประทานโอวาทให้ พระโมคคัลลานะจึงได้
บรรลธุ รรมเป็นพระอรหันต์
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒) พระโมคคัลลานะ
พระโมคคัลลานะได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าให้เป็น “พระอัครสาวก
เบื้องซ้าย” ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้มีฤทธิ์เป็นเลิศ เป็นกาลังสาคัญในการเผยแผ่
พระพุทธศาสนาอกี ท่านหน่ึงคู่กับพระสารบี ุตร ผูเ้ ปน็ พระอัครสาวกเบอ้ื งขวา
ส่ิงท่ีควรถือเปน็ แบบอย่าง คือ
๑. เปน็ ผู้ ใฝ่เรยี นรู้
๒. เป็นผูม้ ฤี ทธเิ์ ป็นเลิศ
๓. เป็นผู้มคี วามกตัญญูกตเวทีอย่างยิง่
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๓) พระเจา้ พิมพสิ าร
พระเจ้าพิมพิสาร เป็นพระราชาของกรุ งราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ มีมเหสีทรง
พระนามวา่ เวเทหิ และมพี ระราชโอรสพระนามวา่ อชาตศัตรู
เมอ่ื ครง้ั ท่ีพระสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชาได้เสด็จมายังแควน้ มคธเพื่อแสวงหา
ทางพ้นทุกข์ ทรงเสด็จผ่านสีหบัญชรที่พระเจ้าพิมพิสารประทับอยู่ด้วยอากัปกิริยา
สารวม พระเจ้าพิมพิสารทรงทอดพระเนตรเห็นก็เกิดความเล่ือมใส จึงมีรับส่ังให้
ราชทูตไปสืบดูว่าเป็นใคร มาจากไหน เม่ือทราบว่าเป็นพระสิทธัตถะเสด็จมาประทับ
อยู่ที่เชงิ เขาปณั ฑวะจงึ เสด็จไปเฝา้ และทลู เชิญให้ครองกรุงราชคฤห์คร่งึ หน่ึง
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๓) พระเจ้าพิมพสิ าร
แต่พระสิทธตั ถะตอบปฏิเสธ และได้ช้ีแจงให้ทราบถึงจดุ มุ่งหมายของการออกบวชว่า
เปน็ ทางพน้ ทกุ ข์ จงึ ขอจารกิ ไปเพอื่ ให้บรรลผุ ลตามพระประสงค์ พระเจา้ พิมพสิ ารจึง
ทูลขอว่า เมื่อใดที่พระสิ ทธัตถะบรรลุธรรมได้ตรัสรู้เป็นพระสั มมาสั มพุทธเจ้า
ตามคาทานายของพราหมณ์แล้ว ขอให้เสด็จกลับมาโปรดพระองค์ด้วย
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๓) พระเจา้ พมิ พิสาร
เมื่อพระสิ ทธัตถะตรัสรู ้สั มมาสั มโพธิญาณเป็นพระอรหันตสั มมาสั มพุทธเจ้า
แ ล้ วได้ เส ด็ จไป แ ส ดง ธ ร ร มเท ศน าโป ร ดพร ะ เ จ้าพิมพิส าร แ ล ะ บร ร ดา เห ล่ า
ข้าราชบริพารพร้อมท้ังชาวเมือง หลังจบพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารฅ
แ ล ะ ข้ า ร า ช บ ริ พ า ร พ ร้ อ ม ด้ ว ย ช า ว เ มื อ ง จ า น ว น ห น่ึ ง ไ ด้ บ ร ร ลุ โ ส ด า บั น
ท้ังหมดประกาศตนเปน็ อบุ าสก
พระเจา้ พมิ พสิ ารถวายพระราชอุทยานเวฬุวนั ให้เป็นท่ีประทับของพระพุทธเจ้า
พร้อม ด้ วย พ ระ ส งฆ์ ส าว ก ท้ั ง ป วง แ ละ ใช้ เป็น ที่ ปร ะ ดิ ษ ฐ าน พ ระ พุ ทธ ศ าส น า
นับวา่ พระราชอุทยานเวฬุวนั เป็นวดั แห่งแรกในพระพุทธศาสนา
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๓) พระเจ้าพิมพิสาร
ส่ิงท่ีควรถือเปน็ แบบอย่าง คือ
๑. ทรงเป็นผูป้ กครองที่ดี มองการณ์ไกล
๒. ทรงเป็นผู้ท่ี ใฝร่ ู้
๓. ทรงเป็นกษัตรยิ ผ์ ู้ทรงยดึ มน่ั ในพระพุทธศาสนาเป็นอยา่ งยิ่ง
๔. ทรงเปน็ ผู้ทานุบารุงพระพุทธศาสนาอย่างย่ิง
๕. ทรงเป็นพระราชบดิ าที่ดี
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๑.๒ พุทธสาวิกา
พุทธสาวิกา หมายถึง ผู้ท่ีนับถือพระพุทธเจ้าและยึดมั่นในหลักธรรมคาสอน
ของพระพุทธศาสนาเป็นเพศหญิง ได้แก่ ภิกษุณี และอุบาสิกา ในชั้นนี้นักเรยี นจะได้
ศึกษาประวตั ิพุทธสาวกิ าท่ีสาคัญ ดังนี้
นางขุชชุตตรา
นางขุชชุตตรา สตรีหลังค่อม เป็นนางกานัลของพระนางสามาวดี มเหสีของ
พระเจ้าอุเทน กษั ตริย์เมืองโกสั มพี นางขุชชุตตรามีหน้ าท่ีซื้อดอกไม้มาถวาย
ให้พระนางสามาวดีทุกวัน โดยจะได้รับเงินจากพระนางสามาวดีวันละ ๘ กหาปณะ
แต่นางขุชชุตตราจะยักยอกเงินไว้วันละ ๔ กหาปณะ ทุกวันโดยท่ีพระนางสามาวดี
ไมท่ รงทราบ
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
นางขุชชุตตรา
ทุกวันนางขุชชุตตราจะไปซื้อดอกไม้ที่บ้านของนายสุมนะ ซ่ึงเป็นพ่อค้า
ข า ย ด อ ก ไ ม้ ใ น เ มื อ ง โ ก สั ม พี วั น ห น่ึ ง น า ย สุ ม น ะ ไ ด้ อ า ร า ธ น า พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า
ม า เ ส ว ย ภั ต ต า ห า ร ที่ บ้ า น น า ง จึ ง ไ ด้ ช่ ว ย จั ด ภั ต ต า ห า ร ถ ว า ย พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า
พร้อม ด้ วยภิ ก ษุ สงฆ์ และ ได้ ฟัง พระธ รรมเทศนาจากพร ะพุ ทธ เจ้าจน บรร ลุ
โ ส ด า ปั ต ติ ผ ล วั น น้ั น น า ง จึ ง ซื้ อ ด อ ก ไ ม้ ด้ ว ย เ งิ น จ า น ว น ท้ั ง ห ม ด ม า ถ ว า ย
พระนางสามาวดี ทาให้พระนางสามาวดีเกิดความสงสัยท่ีเห็นว่าดอกไม้มีจานวน
มากกว่าทุกวัน นางขุชชุตตราจึงสารภาพความจริง พระนางสามาวดีได้ฟังก็มิได้
ถือโทษโกรธเคือง กลับตรัสสั่งให้นางขุชชุตตราแสดงธรรมที่ได้ฟังมาให้พระนาง
และเหล่านางกานัลฟงั
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
นางขุชชุตตรา
เมอ่ื พระนางสามาวดีและเหล่านางกานัลฟังธรรมจากนางขุชชุตตราจบ ก็บรรลุ
โสดาปตั ติผลเช่นเดียวกัน ตั้งแต่น้ันมา นางจงึ ได้รบั การเลื่อนฐานะให้เป็นพระมารดา
บุญธรรม และเป็นพระอาจารย์สอนธรรมแก่พระนางสามาวดีพร้อม ด้วยเหล่า
นางกานัลท้ังหลาย ทกุ วนั นางจงึ มหี น้าที่ไปฟงั ธรรมจากพระพุทธเจา้ แล้วนามาแสดง
แก่พระนางสามาวดีและนางกานัล จนทาให้นางเป็นผู้ท่ีมีความแตกฉานในธรรม
และได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็น “อุบาสิกาผู้เป็นเลิศกว่าอุบาสิกา
ท้ังหลายในด้านการแสดงธรรม”
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
นางขุชชุตตรา
ส่ิงท่ีควรถือเป็นแบบอยา่ ง คือ
๑. เป็นผู้มคี วามเพยี รชว่ ยเหลือตนเอง แมร้ า่ งกายจะพกิ าร
๒. เปน็ ผูท้ ี่มจี ติ สานึกท่ีดี
๓. เป็นผู้ท่ีมปี ัญญามาก เอาใจใส่ จดจาพระธรรมคาสอนท่ีได้ฟังและสามารถ
นามาถ่ายทอดได้อยา่ งเชย่ี วชาญ
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๒
๑.๓ ชาดก
ชาดก คือ เร่ืองราวต่าง ๆ ในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าเม่ือคร้ังยังเป็น
พระโพธิสั ตว์บาเพ็ญบารมี ทรงนามาตรัสเล่าให้พุทธบริษั ทฟัง เพ่ือเป็นการ
ยกตัวอย่างประกอบการเทศนาธรรม เน้ือเร่ืองของชาดกมีทั้งความเพลิดเพลิน และ
แฝงข้อคิด คติเตือนใจแก่ผู้ศึกษาช
ชาดกที่นามาเปน็ ตัวอย่างดังนี้
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๑) มติ ตวนิ ทุกชาดก
มิตตวินทุกะ เป็นบุ ตรชายเศรษฐีคนหน่ึ งในเมืองพาราณสี เป็นคนที่ มี
นิสัยดื้อร้ัน เอาแต่ ใจตนเอง ไม่เช่ือฟังใครแม้แต่บิดามารดาและเป็นคนท่ีไม่ฝักใฝ่
ในธรรมเหมือนเช่นบิดามารดา เม่ือบิดาเสียชีวิต มารดาก็พยายามโน้มน้าวใจให้เขา
ใฝ่หาธรรม เม่ือถึงวันอุโบสถ ผู้เป็นมารดาจึงให้มิตตวินทุกะไปวัดเพ่ือฟังพระธรรม
เทศนา โดยบอกว่าจะให้เงินรางวัล ด้วยความอยากได้เงิน มิตตวินทุกะจึงยอมไปวัด
แต่มไิ ด้เขา้ ไปฟังพระธรรมเทศนากลับไปแอบหลับอยูห่ ลังธรรมาสน์ จนรุง่ เช้าจงึ กลับ
บา้ นไปรบั เงินจากมารดาตามท่ีตกลงกันไว้
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๑) มติ ตวินทุกชาดก
มิตตวินทุกะนาเงินท่ีได้รับไปลงทุนค้าขายจนได้ผลกาไรดี แต่ด้วยความโลภ
จงึ คิดจะไปค้าขายทางทะเล มารดาห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง
มิตตวินทุกะเดินทางล่องเรือออกไปค้าขายกับบรรดาพ่อค้าจนล่วงเข้าวันที่ ๗
เรือได้หยุดนิ่งอยู่กลางมหาสมุทร ทาอย่างไรก็ไม่สามารถแล่นต่อไปได้ ทุกคนมีความ
คิดเห็นวา่ น่าจะมคี นกาลกิณีอยู่ในเรอื จงึ ได้ทาการจบั สลากเพอ่ื เสี่ยงทาย และมติ ตวนิ
ทุกะก็จับสลากได้ถึง ๓ คร้ัง ทาให้ถูกลอยแพลงกลางมหาสมุทร แพของมิตตวินทุกะ
ลอยไปติดเกาะแห่งหน่ึงซ่ึงเป็นท่ีอยู่ของนางเวมานิกเปรต ๔ นาง แต่มิตตวินทุกะ
กลับมองเห็นเป็นหญิงสวยงาม
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๑) มติ ตวินทุกชาดก
จึงอยู่ร่วมกับนางเวมานิ กเปรตทั้ง ๔ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจจึงเดินทาง ต่อไป
จนพบเกาะ ๓ เกาะ คือ วมิ านเงิน ที่อยู่ของนางเวมานิกเปรต ๘ นาง วิมานแก้วมณีท่ี
อยู่ของนางเวมานิกเปรต ๑๖ นาง และวิมานทอง ท่ีอยู่ของนางเวมานิกเปรต ๓๒ นาง
ซ่งึ มติ ตวนิ ทกุ ะ ได้อยู่รว่ มกับนางเวมานิกเปรตท้ังหมด แต่ก็ยังไมเ่ ป็นท่ีพอใจ จึงออก
เดินทางต่อไป
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๑) มิตตวนิ ทุกชาดก
ในที่สุดเขาได้มาพบสถานที่แห่งหน่ึง คือ อุสสาทนรก แต่ด้วยผลแห่งกรรมทาให้
เขามองเห็นเป็นเมืองที่รุง่ เรือง สวยงาม เม่ือเข้าไป ในน้ัน เขาได้พบสัตว์นรกตนหน่ึง
ซ่ึงได้รบั ทุกขเวทนาจากกงจักรที่อยู่บนศีรษะ แต่มิตตวินทุกะกลับเห็นเป็นชายหนุ่ม
รู ปงาม มีดอกบัวอยู่บนศีรษะ มิตตวินทุกะ คิดอยากได้ดอกบัวนั้น จึงเข้าไปขอ
ดอกบวั แต่สัตว์นรกน้ันบอกว่าไม่ ใช่ดอกบัว แต่เป็นกงจักรมติ ตวินทกุ ะไมเ่ ชื่อ รบเรา้
จะเอาให้ได้ สัตว์นรกนั้นคิดว่าผลแห่งกรรมช่ัวของตนคงหมดแล้ว จึงมอบกงจักรน้ัน
ให้แก่มิตตวินทุกะ เมื่อมิตตวินทุกะได้รับกงจักรมาแล้ว เขาจึงได้รู้ว่าไม่ใช่ดอกบัว
และขอให้ผูเ้ ป็นเจา้ ของเอาคืนกลับไป แต่สัตวน์ รกตนน้ันได้หายไปเสียแล้ว
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๒
๑) มติ ตวนิ ทกุ ชาดก
ฝ่ า ย รุ ก ข เท ว ด า ซ่ึ ง แท้ จ ริ ง คื อ พ ร ะ โ พ ธิ สั ต ว์ เ มื่ อ ท ร า บ ค ว า ม ทั้ ง ห ม ด
ไ ด้ ก ล่ า ว กั บ มิ ต ต วิ น ทุ ก ะ ว่ า เ พ ร า ะ ค ว า ม โ ง่ เ ข ล า ด้ื อ รั้ น แ ล ะ ค ว า ม โ ล ภ
เห็ น ผิ ด เป็ น ช อ บ จึ ง ท า ใ ห้ มิ ต ต วิ น ทุ ก ะ ต้ อ ง ท น ทุ ก ข์ ท ร ม า น จ า ก ก ง จั ก ร
น้ีไปจนกวา่ วบิ ากกรรมจะหมดส้ิน
ชาดกเรื่องน้ีแสดงให้เห็นว่า การท่ีมิตตวินทุกะได้รับกรรมอันทุกข์ ทรมาน
ก็เน่ืองด้วยความโลภ ความปรารถนา และความอยากท่ีไมม่ ที สี่ ิ้นสุด
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒) ราโชวาทชาดก
พระราโชวาท คือ คาสอนของพระมหากษัตริย์ ปรากฏในเตสกุณชาดก ดังน้ี
เ มื่ อ ค รั้ ง ที่ พ ร ะ โ พ ธิ สั ต ว์ เ กิ ด ใ น ต ร ะ กู ล พ ร า ห ม ณ์ เ มื่ อ เ จ ริ ญ วั ย ไ ด้ อ อ ก บ ว ช
เป็นฤๅษี บาเพ็ญเพียรฌานสมาบัติ ในครั้งน้ันพระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุ งพาราณสี
เป็ น ก ษั ต ริ ย์ ท่ี ป ก ค ร อ ง บ้ า น เ มื อ ง โ ด ย ท ศ พิ ธ ร า ช ธ ร ร ม จ น เป็ น ที่ ส ร ร เ ส ริ ญ
ข อ ง อ า ณ า ป ร ะ ช า ร า ษ ฎ ร์ ท ร ง ต้ อ ง ก า ร ท ร า บ ถึ ง ค ว า ม เป็ น อ ยู่ ข อ ง ร า ษ ฎ ร
จึงทรงปลอมพระองค์เสด็จออกไปเย่ียมเยียนราษฎรตามชนบท และได้เสด็จไปยัง
อาศรมของพระฤๅษี
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒) ราโชวาทชาดก
พระฤๅษี ได้ต้อนรับพระเจ้าพรหมทัตด้วยผลไทรสุก เมื่อพระเจ้าพรหมทัต
เสวยแล้วพบว่าผลไทรนั้ นมีรสชาติหวานยิ่งนั ก จึงตรัสถามว่า “เหตุใดผลไทร
น้ันจึงหวาน” พระฤๅษี จึงตอบว่า “เป็นเพราะพระราชาทรงครองราชย์ โดยธรรม”
พระเจ้าพรหมทัตได้ฟังเช่นนั้นก็ตรัสถามอีกว่า “ถ้าพระราชาไม่มีความเป็นธรรม
ผลไมจ้ ะไมม่ คี วามหวานหรอื ” พระฤๅษีตอบวา่ “ใช”่
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒) ราโชวาทชาดก
เมือ่ พระเจ้าพรหมทัตเสด็จกลับพระราชวัง ก็ทรงทดสอบคากล่าวของพระฤๅษี
ทรงไม่ปกครองบ้านเมืองดังเช่นแต่ก่อนระยะหน่ึง แล้วเสด็จไปท่ีอาศรมพระฤๅษี
อกี ครง้ั พระฤๅษีก็ต้อนรบั ด้วยผลไทรสุกเช่นเดิมแต่คราวน้ีผลไทรสุกกลับมีรสชาติขม
พระเจ้าพรหมทัตจึงรับสั่งถามสาเหตุ ก็ได้คาตอบว่า “เป็นเพราะพระราชาทรง
ไ ม่ ตั้ ง อ ยู่ ใ น ธ ร ร ม ” พ ร ะ เ จ้ า พ ร ห ม ทั ต จึ ง ย อ ม รั บ แ ล ะ เปิ ด เ ผ ย ว่ า แท้ จ ริ ง ต น
คือพระเจา้ พรหมทัต และจะนาคาสอนของพระฤๅษีไปปฏิบตั ิตลอดไป
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒) ราโชวาทชาดก
ชาดกเร่ืองน้ีให้ข้อคิดว่า ผู้เป็นกษั ตริย์หากดารงม่ันอยู่ในทศพิธราชธรรม
ปกครองบ้านเมืองโดยธรรมจะทาให้บ้านเมืองสงบสุข เป็นท่ียกย่อง สรรเสริญ
แก่อาณาประชาราษฎร์ แต่ถ้าหากปกครองบ้านเมืองโดยปราศจากทศพิธราชธรรม
บา้ นเมอื งก็จะไมม่ คี วามสงบสุข
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๑.๔ พุทธศาสนิกชนตัวอยา่ ง
๑) พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไทย)
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ หรือพระยาลิไทย เป็นพระมหากษัตริย์ราชวงศ์
พระรว่ งแห่งกรุงสุโขทัย ทรงมพี ระปรชี าสามารถทั้งด้านรฐั ศาสตรก์ ารปกครอง
ด้านอักษรศาสตร์ ด้านการศึ กษา และด้ านศาสนาทรงศึ กษาคั มภี ร์ใน
พระพุทธศาสนาจนแตกฉาน และทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ “เตภูมิกถา
หรือไตรภูมิพระร่วง” สอนเรือ่ งบาปบุญคุณโทษ ซ่ึงถือว่าเป็นวรรณกรรมทาง
พระพุทธศาสนาเล่มแรกของไทย พระองค์ทรงปกครองบ้านเมือง ด้วย
ทศพธิ ราชธรรมตลอดจนส้ินรชั กาลของพระองค์
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
พ ร ะ ย า ลิ ไ ท ย โ ป ร ด เ ก ล้ า ฯ ใ ห้ ส ร้ า ง พ ร ะ พุ ท ธ ชิ น ร า ช พ ร้ อ ม กั บ
พระพุทธชินสี ห์และพระศรีศาสดาปัจจุบันพระพุทธชินราช ประดิษฐาน
ณ วดั พระศรรี ตั นมหาธาตวุ รมหาวหิ าร จงั หวดั พษิ ณุโลก
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๔) กับเจ้าจอมมารดาแพ
ในวนั ท่ีประสูติน้ันมฝี นตกหนัก พระราชบิดาทรงเห็นเป็นนิมติ ดี จงึ ทรงพระราชทาน
พ ร ะ น า ม ว่ า “ พ ร ะ อ ง ค์ เ จ้ า ม นุ ษ ย น า ค ม า น พ ” ห ลั ง จ า ก ป ร ะ สู ติ ไ ด้ เพี ย ง ๑ ปี
พระมารดาก็ถึงแก่กรรม พระองค์จึงอยู่ในความดูแลของกรมหลวงวรเสรฐสุดา
พระราชธดิ าในพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจา้ อยูห่ ัว
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงเป็นพระราชอุปธั ยาจารย์
ของทั้งกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ ยกตัวอย่างเช่น รัชกาลท่ี ๖ รัชกาลท่ี ๗
และพระเจา้ ลูกยาเธอในรชั กาลที่ ๕ อีกหลายพระองค์ นอกจากน้ียังทรงวางรากฐานด้าน
การศึกษาและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไวห้ ลายประการ ดังนี้
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
๑. ทรงริเร่ิมให้ภิกษุ สามเณรที่บวชใหม่ เล่าเรียนพระธรรมวินั ยภาษาไทย
และจัดสอบความรู้ด้วยวิธีการสอบแบบใหม่คือ สอบความรู้ด้วยวิธีการเขียน จนเป็น
ที่นิ ยมแพร่หลายออกไป จึงได้กาหนดเป็นหลักสู ตรการศึ กษาสาหรับคณะสงฆ์
ที่ เรี ย ก ว่ า “ นั ก ธ ร ร ม ” ซ่ึ ง เป็ น ห ลั ก สู ต ร ก า ร ศึ ก ษ า ขั้ น พื้ น ฐ า น ข อ ง ค ณ ะ ส ง ฆ์
มาจนถึงปัจจบุ นั
๒. ตั้งมหามกุฏราชวทิ ยาลัย ให้เป็นสถานศึกษาสาหรับภิกษุสามเณร และจัดให้มี
โรงเรยี นตามวดั ท่ัวราชอาณาจกั ร เพอื่ ให้กลุ บุตรได้ศึกษาเล่าเรยี น
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒) สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
๓. จดั สอนหนังสือไทยและความรูอ้ น่ื ๆ ที่เก่ียวขอ้ งในมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย
๔. ทรงนิพนธ์ตาราข้ึนใหม่และปรับปรุ งตาราเรียนพระปริยัติธรรมให้มีความ
รวบรัดเข้าใจง่าย และทรงชาระหลักสูตรภาษาบาลีให้มีความถูกต้องนับว่าสมเด็จพระ
มหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นผู้วางรากฐานและมีคุณูปการทาง
การศึกษาแก่คณะสงฆ์ไทยเป็นอย่างยิ่ง สมควรท่ีพุทธศาสนิกชนท้ังหลายจะยึดถือเป็น
แบบอย่าง
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒. ศาสนพธิ ี
ศาสนพิธี หมายถึง พิธีกรรมทางศาสนาหรือระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ที่ดีงาม
ที่พงึ ปฏิบตั ิในทางศาสนาพุทธศาสนิกชนควรตระหนักถึงคุณค่าของศาสนพธิ ี ดังต่อไปนี้
๑. ประโยชน์ ทางใจ ช่วยให้เกิดคุณธรรมข้ึนในตัวผู้ปฏิบัติ ได้แก่ ความมีสติ
ความสามัคคี ความเป็นระเบียบ ประณีตงดงาม เกิดความชุ่มชื่นเบิกบานใจและเกิด
ปญั ญา
๒. รักษาเอกลักษณ์ของชาติเพราะศาสนพิธีมีวัฒนธรรมประเพณีที่แสดงถึง
ความเปน็ ไทย
๓. ช่วยธารงพระพุทธศาสนา ศาสนพิธีเป็นข้ันตอนชักจูงให้ผู้ปฏิบัติซาบซ้ึง
เกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนามี ใจมุ่งมั่นท่ีจะศึกษาแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา
ให้ลึกซ้งึ ต่อไป
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒.๑ การทาบุญตักบาตร
การทาบุญตักบาตร เป็นกิจกรรมท่ีชาวพุทธส่วนใหญ่ปฏิบัติ เหตุผลและคุณค่า
ของการทาบุญตักบาตรน้ัน สรุปได้ดังนี้
๑) เปน็ การสั่งสมบุญในแต่ละวนั เพราะการสั่งสมบุญเปน็ เหตนุ าความสุขมาให้
๒) การเรมิ่ ต้นวนั ใหมด่ ้วยการทาบุญ ทา ให้จติ ใจแจม่ ใส และมกี าลังใจท่ีเขม้ แข็ง
๓) เป็นการช่วยรักษาศาสนพิธี และช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา เพราะการ
บณิ ฑบาตถือเป็นข้อวัตรปฏิบัติท่ีพระพุทธเจ้าทรงวางไว้ ให้พระสงฆ์ถือปฏิบัติสืบต่อกัน
มาต้ังแต่ครั้งพุทธกาล เพ่ือเป็นการสงเคราะห์ชาวบ้าน เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้
ทาบุญ ถวายทาน สรา้ งกศุ ลคณุ งามความดีให้แก่ตนเอง
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒.๒ การถวายภัตตาหาร
ภัตตาหาร หมายถึง อาหารสาหรับภิกษุ สามเณรฉัน การถวายภัตตาหารเป็น
ประเพณีที่ยึดถือปฏิบตั ิกันมานับแต่ครงั้ พุทธกาล
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
ส่ิ งของท่ีควรถวาพระภิกษุ
๑) ข้าวและอาหารท่ีนามาถวาย นิยมเป็นข้าวปากหม้อและกับข้าวปากหม้อ คือ
เป็นสิ่ งที่ปรุ งเสร็จใหม่ ๆ ยังไม่ได้ตักออกไปเพ่ือบริโภคหรือใช้อย่างอ่ืน หรือเป็น
ภัตตาหารท่ีจดั ทาอย่างประณีต
๒) ส่ิงของท่ีนามาถวายพระภิกษุทกุ อย่าง
ควรเป็นสิ่ งของท่ีได้มาหรือใช้ทรัพย์ท่ีบริสุทธ์ิ
จดั ซือ้ มา รวมทั้งเจตนาที่ถวายก็ต้องบรสิ ุทธด์ิ ้วย
๓) ปกติสิ่งของท่ีจะนามาถวายได้แก่ ข้าว
กับข้าว และของหวาน แต่ในบางกรณีอาจถวาย
ส่ิงของอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน การถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ
ผ้าหรือส่ิ งของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ อันสมควรแก่ อาหารท่ีถวายต้องไมเ่ ป็นของต้องห้าม
พระสงฆ์
และควรปฏิบัติด้วยเจตนาท่ีบรสิ ุทธ์ิ
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒.๓ การถวายสังฆทานและเครื่องสังฆทาน
สังฆทาน หมายถึง ทานที่ถวายแก่พระสงฆ์ท่ัวไป มไิ ด้เจาะจงรูปใดรูปหน่ึง
เครื่องสั งฆทาน คือ ทานวัตถุหรือของที่เตรียมไว้เพ่ือถวายแด่พระสงฆ์
เป็นของที่ควรแก่พระสงฆ์ เม่ือพระสงฆ์รับแล้วสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้
เช่น อาหารคาว อาหารหวาน น้าดื่ม เคร่ืองกระป๋อง อาหารแห้ง ของใช้ต่าง ๆ
ที่พระสงฆ์ใชไ้ ด้ไมผ่ ดิ พระวนิ ัย
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒.๔ การถวายผา้ อาบนา้ ฝน
ผ้าอาบน้าฝน หรอื ที่เรยี กวา่ ผ้าวสั สิกสาฎก คือ ผา้ ที่พระภิกษุใชน้ ุ่งในเวลา
อาบน้าฝน หรืออาบน้าท่ัวไป ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนนิยมถวายผ้าอาบน้าฝน
ในวนั ข้นึ ๑๕ คา่ เดือน ๘ หรอื วนั อาสาฬหบูชาก่อนวนั เข้าพรรษา ๑ วนั
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒.๕ การจดั เคร่ืองไทยธรรม เคร่ืองไทยทาน
พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ป ร ะ ม ว ล ศั พ ท์ พ ร ะ ธ ร ร ม ปิ ฎ ก ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต )
ได้ ให้ความหมายของ “ไทยธรรม”หมายถึง ของควรให้ ของทาบุญต่าง ๆ ของ
ถวายพระ ส่ วนพจนานุ กรม ฉบับราชบัณฑิ ตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้
ความหมายของ “ไทยทาน” วา่ หมายถึง ของสาหรบั ทาทาน ในปัจจุบนั ไทยธรรม
หรอื ไทยทานมกั จะเรยี กเป็นส่ิงเดียวกัน
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒.๖ การกรวดน้า
การกรวดน้า หมายถึง การตั้งใจแผส่ ่วนบุญ
ห รื อ ส่ ว น กุ ศ ล ท่ี ไ ด้ ท า ไ ป ใ ห้ แ ก่ ผู้ ที่ ล่ ว ง ลั บ ไ ป
หรือผู้ใดผู้หน่ึง โดยการรินน้าใส่ภาชนะเพ่ือเป็น
เครอื่ งบง่ ถึงเจตนาอทุ ิศน้ัน
การกรวดนา้ เพื่ออุทิศส่วนกุศล
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๒.๗ การทอดกฐิน การทอดผา้ ปา่
การทอดกฐิน
การทอดกฐิน คือ การทาพิธีถวายผ้ากฐินแด่พระสงฆ์ เป็นประเพณีบุญสาคัญ
ในทางพระพุทธศาสนา “กฐนิ ” แปลวา่ กรอบไมห้ รอื สะดึงสาหรบั ขึงผ้าเย็บจวี ร ต่อมา
เมอื่ พระพุทธเจา้ ทรงอนุญาตให้ชาวบา้ นถวายผ้าไตรจวี รแด่พระสงฆ์ได้ คาว่า “กฐนิ ”
จึงหมายถึง ผ้าจีวรที่ชาวบ้านน้อมถวายแด่พระสงฆ์ผู้จาพรรษาครบ ๓ เดือนในวัด
หน่ึ ง ๆ อย่ าง น้ อย ๕ รู ป ข้ึน ไป ก าร ทอดกฐินนิ ยม ทา กั น ต้ั ง แต่ วัน แร ม ๑ ค่ า
เดือน ๑๑ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ ในวดั หน่ึง ๆ จะทอดกฐนิ ได้เพยี ง ๑ ครง้ั ต่อปี
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๒
๒.๗ การทอดกฐิน การทอดผา้ ป่า
การทอดกฐิน
กฐนิ แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท ตามระยะเวลาในการจดั เตรยี ม คือ
๑) จลุ กฐนิ คือ กฐนิ ท่ีทกุ ฝา่ ยต้องชว่ ยกันทาให้เสรจ็ ภายในวนั เดียว
๒) มหากฐิน คือ กฐินที่มีการเตรียมตัวเป็นเวลานาน อาศัยปัจจัยไทยธรรม
จานวนมากเพอื่ จะได้นามาเป็นทนุ บารุงวดั
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๒
การถวายกฐิน พิธถี วายผา้ กฐนิ
พิธีถวายผ้ากฐินเร่ิมจากการกล่าวคาขอความ
เห็นชอบร่วมกัน ท่ีเรียกว่า อปโลกน์และการสวด
ทุ ติ ย ก ร ร ม ข อ ง ส ง ฆ์ คื อ ก า ร ยิ น ย อ ม ย ก ใ ห้
ต่ อ จ า ก นั้ น พ ร ะ ส ง ฆ์ รู ป ที่ ไ ด้ รั บ ค ว า ม ยิ น ย อ ม
นาผ้าไตรไปครองข้ึนน่ั งยังอาสนะ ประชาชน
ผู้ ถ ว า ย ผ้ า ก ฐิ น เ ข้ า ป ร ะ เ ค น ส่ิ ง ข อ ง เ ส ร็ จ แ ล้ ว
พระสงฆ์ท้ังหมดจับพัด ประทานสงฆ์สวดนาด้วย
คาถาอนุโมทนาเจ้าภาพหรือประธานผู้ถวายกฐิน
กรวดน้ารบั พรเป็นอันเสรจ็ พธิ ี
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๒
การทอดผ้าป่า
ประเพณีการทอดผ้าป่ามีมาแต่คร้ังพุทธกาล สมัยน้ันพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงอนุญาต
ให้ภิ กษุ รับจีวรท่ี ชาวบ้านถวายโดยเฉพาะ ทรง อนุ ญาตแต่ เพียงให้ ภิกษุ แสวงหา
ผา้ เป้ ือนฝุน่ ที่ไมม่ เี จา้ ของหรอื ผ้าท่ีห่อซากศพทิ้งไวต้ ามปา่ ชา้ นามาซักฟอกตัดเย็บเปน็ จวี ร
ใช้นุ่งห่ม พุทธศาสนิกชนในสมยั นั้นเห็นความลาบากของภิกษุในเรอ่ื งน้ี มีความประสงค์จะ
บาเพ็ญกุศล โดยไม่ขัดต่อพุทธบัญญัติ จึงได้จัดผ้าท่ีสมควรแก่การใช้ของพระสงฆ์ไป
ทอดท้ิงไวต้ ามท่ีต่าง ๆ โดยมากเปน็ ป่าช้า
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๒
การทอดผา้ ปา่
การทอดผา้ ป่าในประเทศไทย แบง่ ออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่
๑) ผ้าป่าหางกฐิน หรือผ้าป่าแถมกฐิน หมายถึง ผ้าป่าท่ีนาไปถวายวัดพร้อม กับ
การทอดกฐนิ โดยจะถวายหลังจากการทอดกฐนิ แล้ว
๒) ผ้าป่าโยง หมายถึง ผ้าป่าท่ี นาไปทอดตามวัดต่ าง ๆ มากกว่า ๑ วัดข้ึนไป
ใน ค ร าวเดี ย วกั น โด ย จะ น า พุ่ม ผ้ า ป่ า ไป ห ล า ย ๆ พุ่ม เ ม่ือถึ ง วัดใด ก็ ถ ว า ย วัด น้ั น
เรอ่ื ยไปจนกวา่ จะหมด
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๓. มรรยาทของพุทธศาสนิกชน
มรรยาท หรือมารยาท หมายถึง กิริยาวาจาที่สุภาพเรียบรอ้ ย ถูกกาลเทศะ การเป็น
ผู้มีมรรยาทที่ดีเป็นส่ิงท่ีพุทธศาสนิกชนทกุ คนควรฝึกฝนและปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเจริญ
แก่ตนเองและสังคม
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๓.๑ การต้อนรับ (ปฏิสันถาร)
ปฏิ สั น ถ า ร ห ม า ย ถึ ง ก า ร ต้ อ น รับแ ข ก ก า ร ทั ก ทา ย ป ร า ศ รัย แ ข ก ผู้ ม า เ ยื อ น
มี ๒ ลักษณะ คือ
๑) อามิสปฏิสันถาร คือ การต้อนรับแขกที่มาเยือนด้วยส่ิงของ อาจเป็นเคร่ืองดื่ม
ผลไม้ ขนม
๒) ธรรมปฏิสันถาร คือ การต้อนรับแขกที่มาเยือนด้วยธรรม ผู้เป็นเจ้าบ้านท่ีดีควร
แสดงความเคารพแขกผูม้ าเยอื นตามธรรมเนียมและฐานะอันควร ทักทายปราศรยั แขกด้วย
สีหน้าย้ิมแยม้
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๓.๒ มรรยาทของผูเ้ ป็นแขก
แขก หมายถึง ผู้มาหา ผู้มาแต่อ่ืน ผู้เป็นแขกเมอื่ มาพบปะกับเจา้ บา้ นหรอื มารว่ มงาน
ควรปฏิบตั ิตนให้เปน็ ผู้มมี รรยาทที่ดีดังน้ี
๑) บอกกล่าวล่วงหน้าเพอ่ื ไม่ ให้เป็นการรบกวนเวลาของผู้ที่เราจะไปเยือน
๒) ควรมขี องฝากไปด้วย เพอ่ื เปน็ การแสดงน้าใจต่อผู้ที่เราจะไปเยือน
๓) ตรงต่อเวลา หากมกี ารนัดหมายไวล้ ่วงหน้าแล้ว
๔) แสดงความเคารพเจา้ ของบา้ นตามสมควรแก่ฐานะ
๕) แนะนาตัวและแจง้ ความประสงค์ ของการมาเยือนให้ผู้ที่เราไปเยอื นได้ทราบ
๖) แสดงกิรยิ ามรรยาทที่เหมาะสมกับเจ้าบา้ น
๗) เม่อื เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วควรลากลับทาความเคารพผู้เป็นเจ้าบ้านด้วยความ
ออ่ นน้อม
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒
๓.๓ การปฏิบัติตนต่อพระภิกษุ
๑) การยืน
การยืนในท่ีนี้ หมายถึง การยืนต้อนรับพระภิกษุ และการยืนตามส่งพระภิกษุ
ซ่ึงเป็นมรรยาทที่พุทธศาสนิกชนท่ีดีพึงกระทา เมื่อพระภิกษุ มาถึง กรณีท่ีนั่งเก้าอี้อยู่
ให้ลุกข้ึนยืน เมื่อท่านเดินผ่านมาตรงหน้าให้น้อมตัวยกมือไหว้ เมื่อท่านน่ังเรียบร้อยแล้ว
จึงน่ังลงตามเดิม หากน่ังอยู่กับพื้นไม่ต้องลุกข้ึนยืนรับเมื่อท่านเดินผ่านมาตรงหน้า
ให้ยกมอื ไหว้ หรอื ก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครงั้ ตามความเหมาะสมแก่สถานท่ีน้ัน
การยนื ตามส่งพระภิกษุให้ปฏิบตั ิเชน่ เดียวกันกับการยนื ต้อนรบั
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๒