The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือบริหารงาน 4 ฝ่ายของโรงเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือบริหารงาน 4 ฝ่ายของโรงเรียน

คู่มือบริหารงาน 4 ฝ่ายของโรงเรียน

ค่มู ือบรหิ ารงาน 4 ฝา่ ยของสถานศกึ ษา

โรงเรียนห้วยเตยวทิ ยา

โรงเรียนห้วยเตยวิทยา

ตาบลเวอ่ อาเภอยางตลาด จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ
สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษากาฬสินธ์ุ เขต 2

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

ห น้ า | ก

คานา

หัวใจสาคัญของการบริหารสถานศึกษา ให้ดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนองนโยบายของชาติและบรรลุ
วัตถุประสงค์ ของหลักสูตรน้ัน ต้องอาศัยบุคลากรหลายฝ่ายด้วยกัน ทางโรงเรียนห้วยเตยวิทยา จึงได้มีการกระจาย
อานาจการบริหารและมอบหมายงาน ให้บุคลากรได้ร่วมรับผิดชอบงาน เป็นการระดมสมองและพลังความสามัคคีใน
การปฏิบัติงาน ตามโครงสร้างการบริหารงานสถานศึกษาท่ีโรงเรียนห้วยเตยวิทยา กาหนดงานในสถานศึกษาเป็น 4
กลุม่ งาน ดังน้ี

1. กลมุ่ งานบริหารงานวชิ าการ
2. กลมุ่ งานบริหารงานงบประมาณ
3. กลมุ่ งานบรหิ ารงานบคุ คล
4. กล่มุ งานบริหารงานท่วั ไป
เพ่ือให้การบริหารงานในแต่ละฝ่ายมีความชัดเจน บุคลากรแต่ละฝ่ายรู้บทบาทหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบ
ตลอดจนเป็นไปในทางเดียวกัน ทางโรงเรียนจึงจัดทา คู่มือการบริหารงาน 4 ฝ่าย ในสถานศึกษา
ของโรงเรียนห้วยเตยวิทยา ในการปฏิบัติงานขึ้นมาโดยการศึกษาและรวบรวมข้อมูลและนามาปรับให้เหมาะสม
กับสภาพและบริบทของสถานศึกษา ในโอกาสน้ีทางสถานศึกษาขอขอบคุณบุคลากรทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือไว้ ณ
ที่นด้ี ้วย

(นายศริ ิพงษ์ คาอาจ)
ผอู้ านวยการโรงเรยี นหว้ ยเตยวทิ ยา

ห น้ า | ข

สารบัญ

หนา้
คานา ..................................................................................................................................................... ก
สารบัญ................................................................................................................................................... ข
วิสยั ทศั น์ พนั ธกิจ เปา้ หมาย อัตลกั ษณ์ และเอกลกั ษณ์ของสถานศึกษา.................................................. 1
คู่มือการบรหิ ารงานวิชาการ ................................................................................................................... 4

- แนวคิดหลักในการบริหารงานวชิ าการ............................................................................................ 5
- วัตถุประสงค์ .................................................................................................................................. 5
- ขอบขา่ ยและภารกิจผู้รบั ผดิ ชอบ..................................................................................................... 6
คู่มือการบริหารงานงบประมาณ............................................................................................................ 20
- งบประมาณที่สถานศึกษานามาใชจ้ ่าย........................................................................................... 22
- หนา้ ที่ความรับผดิ ชอบ .................................................................................................................. 34
ค่มู ือการบรหิ ารงานบุคคล .................................................................................................................... 38
- แนวคิด....................................................................................................................... .................... 39
- ขอบขา่ ยงานบุคลากร..................................................................................................................... 39
- เป้าหมาย (Goals) ปกี ารศึกษา 2558 – 25…............................................................................ 39
ค่มู อื การบริหารงานท่ัวไป .................................................................................................................... 53
- บทบาทและหน้าที่ของกลุ่มบรหิ ารท่วั ไป....................................................................................... 55
- งานสานักงานกลุ่มบรหิ ารทั่วไป..................................................................................................... 56

ห น้ า | 1

วสิ ยั ทัศน์ พนั ธกิจ เป้าหมาย อตั ลกั ษณ์ และเอกลกั ษณข์ องสถานศึกษา

วสิ ยั ทศั น์ (VISION)
โรงเรียนหว้ ยเตยวทิ ยา ม่งุ พฒั นาส่โู รงเรียนคุณภาพประจาตาบลทมี่ ศี ักยภาพ นกั เรยี นเปน็ ผ้มู คี ณุ ลกั ษณะ

อนั พงึ ประสงค์ตามหลักสตู ร สง่ เสรมิ การพัฒนาครูสู่ครูมืออาชีพ ทกุ ภาคสว่ นมสี ว่ นร่วมในการบรหิ ารจัดการศึกษา
โดยยึดหลักธรรมาภิบาล

พันธกจิ (MISSION STATEMENT)
1. จดั การศึกษาระดับกอ่ นประถมศึกษาให้เดก็ กลุ่มอายุย่างเข้าปีท่ี 5 - 6 ในเขตบริการให้ได้รับการเตรียม

ความพรอ้ มกอ่ นเข้าเรยี นในชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1 และไดร้ ับการศกึ ษาอย่างมคี ุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาปฐมวยั
2. จัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐานสาหรับเด็กท่ีมีอายุย่างเข้าปีท่ีเจ็ด ในเขตบริการของโรงเรียนให้ได้เข้าเรียนจน

อายุยา่ งเข้าปีทส่ี ิบหก และตามมาตรฐานการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐานทุกคน
3. พฒั นาระบบบรหิ ารจดั การศึกษาท่มี ีคุณภาพ และประสทิ ธภิ าพ
4. ส่งเสรมิ พัฒนาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษาตามมาตรฐานวชิ าชีพ
5. พัฒนาหลักสตู รสถานศึกษาและหลักสตู รท้องถ่นิ ให้สอดคล้องกบั ความตอ้ งการของผเู้ รยี นและชุมชน
6. พฒั นาสถานศึกษาตามนโยบายของหน่วยงานต้นสงั กัด
7. จัดสภาพแวดล้อม และแหล่งเรียนรู้ให้เอ้ือต่อการจัดการจัดกระบวนการเรียนรู้ มีความสะอาด ร่มร่ืน

เป็นธรรมชาติ
8. ส่งเสริมใหม้ รี ะบบประกันคุณภาพการจัดการศกึ ษา
9. พฒั นาทักษะทางวิชาการสู่ความเป็นเลิศ

เปา้ ประสงค์
1. ดา้ นผู้เรียน

1. ผูเ้ รียนมที ักษะและคุณลกั ษณะในโลกศตวรรษที่ 21 (3R&8Cs) และสามารถอาศัยอยู่ในยคุ 4.0 ได้
อยา่ งมีความสขุ

2. ผเู้ รยี นมีคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ตามหลกั สตู ร
3. ผเู้ รยี นมผี ลการทดสอบ O-NET และ NT สูงกวา่ ระดับประเทศ
4. ผเู้ รยี นสามารถใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร
5. ผู้เรยี นทุกคนสามารถอ่านออก เขียนได้ ร้อยละ 100
2. ดา้ นครูผู้สอน
1. ครมู ีศักยภาพและสมรรถนะในการปฏิบัติงานเพ่ือพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี น
2. ครูปฏริ ูปการเรยี นเปลีย่ นการสอน โดยการใช้ Active Learning (AL)
3. สถานศกึ ษามีครคู รบตามวชิ าเอก
4. ครสู ามารถใชภ้ าษาอังกฤษขน้ั พนื้ ฐานในการส่ือสารได้
5. ครแู ละบุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนาสู่มาตรฐานวิชาชีพ

ห น้ า | 2

ปรัชญาของโรงเรียน "เรยี นดี การงานเดน่ เน้นคุณธรรม นอ้ มนาเศรษฐกจิ พอเพียง"
คาขวญั “สะอาด ขยนั ประหยัด ซ่ือสัตย์ เสียสละ มีวินยั ”
สปี ระจาโรงเรยี น “ขาว-แดง”
เอกลกั ษณ์ “การแกะสลักผักและผลไม้”
อัตลกั ษณ์ “ไหว้สวย รวยยม้ิ ”

สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนห้วยเตยวิทยา (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๓) ตามหลักสูตรแกนกลาง

การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ ม่งุ ใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคัญ ๕ ประการ ดังนี้
๑. ความสามารถในการสือ่ สาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอด

ความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะ
เปน็ ประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมท้ังการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การ
เลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มี
ประสิทธิภาพโดยคานึงถงึ ผลกระทบทมี่ ีตอ่ ตนเองและสงั คม

๒. ความสามารถในการคดิ เปน็ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพ่ือการตัดสินใจ
เกยี่ วกับตนเองและสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม

๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ีเผชิญได้อย่าง
ถูกต้องเหมาะสมบนพ้นื ฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลง
ของเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ในสงั คม แสวงหาความรู้ ประยกุ ตค์ วามรมู้ าใชใ้ นการปอ้ งกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจ
ท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถงึ ผลกระทบท่เี กดิ ขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดลอ้ ม

๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดาเนิน
ชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การทางาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้าง
เสรมิ ความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างบุคคล การจดั การปัญหาและความขดั แยง้ ตา่ ง ๆ อยา่ งเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับ
การเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเล่ียงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ท่ีส่งผลกระทบต่อ
ตนเองและผอู้ น่ื

๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่างๆ และมี
ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การส่ือสาร การทางาน การ
แก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม

คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนห้วยเตยวิทยา (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๓) ตามหลักสูตรแกนกลาง

การศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มงุ่ พฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ เพ่ือให้สามารถอยู่ร่วมกับ
ผูอ้ ื่นในสังคมไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้

๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒. ซือ่ สัตย์สจุ ริต
๓. มวี นิ ยั
๔. ใฝเ่ รียนรู้

ห น้ า | 3

๕. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
๖. มงุ่ มนั่ ในการทางาน
๗. รกั ความเป็นไทย
๘. มจี ิตสาธารณะ

คา่ นยิ มหลักของคนไทย ๑๒ ประการ ตามนโยบายของ คสช.
๑. มคี วามรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์
๒. ซอื่ สัตย์ เสยี สละ อดทน มีอุดมการณใ์ นสงิ่ ทดี่ งี ามเพื่อส่วนรวม
๓. กตัญญูต่อพอ่ แม่ ผปู้ กครอง ครบู าอาจารย์
๔. ใฝ่หาความรู้ หมนั่ ศกึ ษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม
๕. รักษาวฒั นธรรมประเพณีไทยอนั งดงาม
๖. มศี ีลธรรม รกั ษาความสัตย์ หวงั ดตี ่อผอู้ ื่น เผอื่ แผ่และแบ่งปนั
๗. เข้าใจเรยี นรู้การเปน็ ประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมขุ ที่ถูกต้อง
๘. มีระเบียบวินยั เคารพกฎหมาย ผู้นอ้ ยรูจ้ ักการเคารพผ้ใู หญ่
๙. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทา รู้ปฏบิ ตั ิตามพระราชดารสั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั
๑๐. รู้จกั ดารงตนอยู่โดยใช้หลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดารัสของพระบาท สมเด็จพระ

เจ้าอยู่หวั รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจาเปน็ มไี ว้พอกินพอใช้ ถา้ เหลอื ก็แจกจา่ ยจาหน่าย และพร้อมท่จี ะขยายกิจการเม่ือ
มคี วามพร้อม เมื่อมภี มู ิค้มุ กันทด่ี ี

๑๑. มคี วามเข้มแข็งทัง้ ร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพต้ ่ออานาจฝ่ายต่า หรือกิเลสมคี วามละอายเกรงกลัวต่อ
บาปตามหลกั ของศาสนา

๑๒. คานึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

ห น้ า | 4

การบรหิ ารงานวชิ าการ

ห น้ า | 5

การบริหารงานวชิ าการ

แนวคดิ หลักในการบริหารวิชาการ

การบริหารงานวิชาการเป็นภารกิจท่ีสาคัญของการบริหารโรงเรียนตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 ถือเป็นงานท่ีมีความสาคัญที่สุด เป็นหัวใจของการจัด
การศึกษา ซึ่งทั้งผู้บริหาร โรงเรียน คณะครู และผู้มีส่วนเก่ียวข้องทุกฝ่าย ต้องมีความรู้ความเข้าใจ ให้ความสาคัญ
และ มีส่วนร่วมในการวางแผน กาหนดแนวทางปฏิบัติการประเมินผล และการปรับปรุงแก้ไขอย่างเป็น ระบบและ
ต่อเนื่อง มุ่งให้กระจายอานาจในการบริหารจัดการไปให้สถานศึกษาให้มากที่สุด ด้วยเจตนารมณ์ท่ีจะให้สถานศึกษา
ดาเนินการได้โดยอิสระ คล่องตัว รวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน โรงเรียน ชุมชน ท้องถ่ิน และ
การมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสาคัญทาให้สถานศึกษามีความเข้มแข็งในการบริหาร
และจัดการ สามารถพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ตลอดจนการวัดผล ประเมินผล รวมทั้งปัจจัยเกื้อหนุน
การพัฒนาคุณภาพนักเรยี น โรงเรียน ชมุ ชน ทอ้ งถ่ิน ไดอ้ ยา่ งมีคุณภาพและมีประสทิ ธภิ าพ

วัตถปุ ระสงค์
1. เพื่อให้บริหารงานด้านวิชาการได้โดยอิสระ คล่องตัว รวดเร็ว และ สอดคล้องกับความต้องการของ

นกั เรยี น สถานศกึ ษา ชมุ ชน ทอ้ งถ่ิน
2. เพื่อให้การบริหาร และ การจัดการศึกษาของโรงเรียนได้มาตรฐาน และ มีคุณภาพสอดคล้องกับระบบ

ประกันคุณภาพการศึกษา และ ประเมนิ คุณภาพภายในเพอ่ื พฒั นาตนเอง และ จากการประเมนิ หนว่ ยงานภายนอก
3. เพื่อให้โรงเรียนพัฒนาหลักสูตร และ กระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนปัจจัยหนุนการเรียนรู้ท่ีสนองต่อความ

ตอ้ งการของผเู้ รยี น ชุมชน และ ทอ้ งถนิ่ โดยยึดผู้เรยี นเปน็ สาคญั ได้อยา่ งมคี ณุ ภาพ และ ประสิทธิภาพ
4. เพ่ือให้โรงเรียนได้ประสานความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา และ ของบุคคล

ครอบครัว องคก์ ร หนว่ ยงาน และ สถาบนั อ่นื ๆอย่างกว้างขวาง

ห น้ า | 6

ขอบขา่ ยและภารกจิ ผู้รับผดิ ชอบ
1. การพฒั นาหรอื การดาเนินการเกย่ี วกับการใหค้ วามเห็นการพัฒนาสาระหลกั สูตรท้องถิ่น

บทบาทและหนา้ ท่ี
1. วิเคราะหก์ รอบสาระการเรยี นร้ทู ้องถนิ่ ทส่ี านกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาจดั ทาไว้
2. วเิ คราะหห์ ลักสตู รสถานศกึ ษาเพ่ือกาหนดจดุ เนน้ หรือประเด็นท่ีสถานศกึ ษาให้
ความสาคัญ
3. ศกึ ษา และวิเคราะหข์ ้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษา และชมุ ชนเพือ่ นามาเปน็ ขอ้ มลู
จดั ทาสาระการเรยี นรทู้ ้องถน่ิ ของสถานศกึ ษาให้สมบรู ณ์ย่ิงขน้ึ
4. จัดทาสาระการเรียนรทู้ อ้ งถนิ่ ของสถานศึกษา เพือ่ นาไปจดั ทารายวชิ าพน้ื ฐานหรือ
รายวิชาเพ่มิ เติมจดั ทาคาอธิบายรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ เพอ่ื จัดประสบการณ์
และจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหแ้ กผ่ ้เู รียน ประเมนิ ผล และปรับปรุง
5. ผู้บรหิ ารศึกษาอนมุ ตั ิ

2. การวางแผนงานด้านวชิ าการ
บทบาทและหน้าที่
1. วางแผนงานด้านวิชาการโดยการรวบรวมข้อมูลและกากับดูแล นิเทศและติดตามเก่ียวกับงานวิชาการ

ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผล ประเมินผล และ การเทียบโอนผล
การเรยี น การประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา การพัฒนาและใช้ ส่อื และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การ
พัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้การวิจัยเพื่อพัฒนา คุณภาพการศึกษา และส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็งทาง
วชิ าการ

2. ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาอนุมัติโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษา

3. การจดั การเรยี นการสอนในสถานศกึ ษา
บทบาทและหน้าท่ี
1. จัดทาแผนการเรียนร้ทู กุ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
2. จดั การเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกช่วงชัน้ ตามแนวปฏบิ ตั ิการเรยี นร้โู ดยเน้นผ้เู รียนเป็น

สาคญั พัฒนาคุณธรรมนาความรู้ตามหลกั การปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
3. ใช้สื่อการเรียนการสอน และแหล่งการเรียนรู้
4. จดั กจิ กรรมพฒั นาห้องสมุด หอ้ งปฏบิ ัตกิ ารต่างๆ ให้เอ้ือตอ่ การเรียนรู้
5. ส่งเสรมิ การวิจยั และพัฒนาการเรียนการสอนทุกกลมุ่ สาระการเรียนรู้
6. ส่งเสรมิ การพฒั นาความเป็นเลศิ ของนักเรียน และช่วยเหลอื นกั เรียนพิการ ด้อยโอกาสและมีความสามารถ

พเิ ศษ

ห น้ า | 7

4. การพัฒนาหลกั สตู รของสถานศกึ ษา
บทบาทและหน้าที่
1. จดั ทาหลกั สตู รเป็นของตนเองโดยจัดให้มีการวจิ ยั และพฒั นาหลกั สตู ร ให้ทันกับการเปล่ียนแปลงทางด้าน

เศรษฐกิจและสังคม จัดทาหลักสูตรท่ีมุ่งเน้นพัฒนานักเรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มี
ความรู้และคุณธรรม สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข จัดให้มีวิชาต่างๆ ครบถ้วนตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาพ้ืนฐานของกระทรวงศึกษาธิการ

2. เพิ่มเติมเนอื้ หาสาระของรายวิชา ได้แก่ การศึกษาด้านศาสนา ดนตรี นาฏศิลป์ กฬี า การศึกษาท่ี
ส่งเสริมความเปน็ เลิศ ผู้บกพร่อง

3. เพ่มิ เติมเน้ือหาสาระของรายวิชาที่สอดคล้องสภาพปัญหาความต้องการของผเู้ รยี น ผปู้ กครอง ชุมชน
สงั คม และอาเซยี น

5. การพฒั นากระบวนการเรียนรู้
บทบาทและหนา้ ที่
1. จัดเนอื้ หาสาระและกจิ กรรมใหส้ อดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผูเ้ รียนโดยคานึงถึงความ

แตกตา่ งระหวา่ งบุคคล
2. ฝกึ ทกั ษะ กระบวนการคดิ การเผชญิ สถานการณ์ และการประยกุ ต์ความรู้มาใช้ เพอื่ ปอ้ งกนั และแกไ้ ข

ปญั หา
3. จัดกจิ กรรมให้ผ้เู รยี นไดเ้ รียนรจู้ ากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏบิ ัติใหท้ าได้ คดิ เปน็ ทาเป็นรกั การอา่ น

และเกิดการใฝ่รู้อยา่ งต่อเนือ่ ง
4. จดั การเรียนการสอน โดยผสมผสานสาระความรู้ดา้ นตา่ งๆ อย่างได้สัดส่วนสมดลุ กนั รวมทงั้ ปลูกฝัง

คุณธรรม คา่ นยิ มที่ดงี ามและคุณลักษณะอนั พึงประสงคไ์ วใ้ นทกุ กลมุ่ สาระ/วชิ า
5. ส่งเสรมิ สนบั สนนุ ให้ผู้สอนสามารถจดั บรรยากาศสภาพแวดลอ้ ม ส่ือการเรียน และอานวยความสะดวก

เพ่อื ให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ และมีความรอบรู้ รวมท้งั สามารถใชก้ ารวิจยั เปน็ สว่ นหนง่ึ ของกระบวนการเรยี นรู้ ทั้งน้ี
ผู้สอนและผเู้ รียนรู้อาจเรียนรู้ไปพรอ้ มกันจากสอ่ื การเรยี นการสอน และแหล่งวทิ ยาการประเภทตา่ ง ๆ

6. จัดการเรียนรใู้ ห้เกิดขนึ้ ได้ทกุ เวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความรว่ มมือ กบั บิดามารดาและบุคคลใน
ชุมชนทกุ ฝา่ ย เพ่ือร่วมกนั พัฒนาผู้เรยี นตามศกั ยภาพ

7. ศกึ ษาค้นคว้าพัฒนารูปแบบหรือการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ท่ี

6. การวดั ผล ประเมนิ ผล และดาเนินการเทียบโอนเทา่ ผลการเรยี น
บทบาทและหน้าที่
1. กาหนดระเบียบการวดั และประเมินผลของสถานศึกษาตามหลกั สูตรสถานศึกษาโดยใหส้ อดคล้อง กับ

นโยบายระดับประเทศ
2. จดั ทาเอกสารหลักฐานการศึกษาใหเ้ ปน็ ไปตามระเบยี บการวดั และประเมินผลของสถานศกึ ษา
3. วดั ผล ประเมินผล เทียบโอนประสบการณ์ ผลการเรยี นและอนุมตั ผิ ลการเรยี น
4. จัดใหม้ กี ารประเมินผลการเรียนทุกช่วงช้ัน และจดั ให้มีการซ่อมเสรมิ กรณีทมี่ ีผเู้ รียน ไม่ผา่ นเกณฑ์การ

ประเมิน
5. ใหม้ กี ารพฒั นาเครอ่ื งมือในการวดั และประเมินผล

ห น้ า | 8

6. จัดระบบสารสนเทศด้านการวดั ผลประเมินผล และการเทยี บโอนผลการเรียนเพอ่ื ใช้ในการอา้ งอิง
ตรวจสอบ และใชป้ ระโยชน์ในการพฒั นาการเรียนการสอน

7. ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาอนมุ ัติผลการประเมินการเรยี นดา้ นต่างๆ รายปี รายภาคและตัดสนิ ผลการเรียนผา่ น
ระดับช้ันและจบการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน

8. การเทียบโอนผลการเรียนเป็นอานาจของสถานศึกษา ที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการดาเนินการเพ่ือกาหนด
หลักเกณฑ์วธิ ีการ ไดแ้ ก่ คณะกรรมการเทยี บระดบั การศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย คณะกรรมการ
เทียบโอนผลการเรียน และเสนอคณะกรรมการบริหารหลักสูตร และวิชาการ พร้อมท้ังให้ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติ
การเทยี บโอน

7. การวจิ ยั เพ่ือพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาในสถานศกึ ษา
บทบาทและหน้าที่
1. กาหนดนโยบายและแนวทางการใช้ การวิจยั เปน็ สว่ นหนง่ึ ของกระบวนการเรียนรู้ และกระบวนการงาน

ของนักเรยี น ครู และผเู้ กีย่ วข้องกบั การศึกษา
2. พฒั นาครู และนกั เรยี นใหม้ คี วามรเู้ กีย่ วกับการปฏิรปู การเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นสาคญั ในการ

เรยี นรู้ท่ซี ับซอ้ นขึน้ ทาให้ผู้เรียนได้ฝึกการคดิ การจดั การ การหาเหตผุ ลในการตอบปญั หา
3. พฒั นาคุณภาพการศึกษาดว้ ยกระบวนการวิจยั
4. รวบรวม และเผยแพรผ่ ลการวจิ ยั เพื่อการเรียนรแู้ ละพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา รวมทัง้ สนบั สนนุ ให้ครนู า

ผลการวจิ ยั มาใช้เพอ่ื พฒั นาการเรียนรูแ้ ละพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาของสถานศึกษา

8. การพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรยี นรู้
บทบาทและหน้าที่
1. จัดใหม้ ีแหล่งเรยี นรู้อย่างหลากหลาย ท้ังภายในและภายนอกสถานศึกษา ให้พอเพียงเพอื่ สนับสนนุ การ

แสวงหาความรู้ด้วยตนเองกบั การจัดกระบวนการเรียนรู้
2. จัดระบบแหลง่ การเรยี นรู้ภายในโรงเรยี นใหเ้ อ้ือต่อการจัดการเรียนร้ขู องผ้เู รยี น เชน่ พฒั นาห้องสมุดให้

เปน็ แหล่งการเรียนรู้ มุมหนังสือในหอ้ งเรียน ห้องดนตรี หอ้ งคอมพิวเตอร์ ห้องพยาบาล ห้องศนู ยว์ ิชาการ สวน
สุขภาพ สวนหนงั สือ เป็นตน้

3. จดั ระบบขอ้ มูลแหลง่ การเรียนรู้ในทอ้ งถ่ินใหเ้ อือ้ ต่อการจัดการเรยี นรู้ ของผเู้ รยี น ของสถานศกึ ษาของ
ตนเอง

4. ส่งเสรมิ ให้ครูและผเู้ รยี นได้ใช้แหล่งเรียนรู้ ท้ังในและนอกสถานศกึ ษา เพ่ือพฒั นาการเรียนรู้ และ นิเทศ
กากับตดิ ตาม ประเมินและปรับปรงุ อย่างต่อเน่ือง

5. สง่ เสรมิ ใหค้ รู และผู้เรยี นใช้แหลง่ เรียนรู้ท้งั ภายในและภายนอก

ห น้ า | 9

9. การนิเทศการศกึ ษา
บทบาทและหนา้ ที่
1. สร้างความตระหนักใหแ้ ก่ครู และผู้เก่ียวข้องให้เข้าใจกระบวนการนิเทศภายในว่าเป็นกระบวนการทางาน

ร่วมกันท่ีใช้เหตุผลการนิเทศ เป็นการพัฒนาปรับปรุงวิธีการทางานของแต่ละบุคคล ให้มีคุณภาพการนิเทศเป็นส่วน
หน่ึงของกระบวนการบรหิ าร เพอ่ื ใหท้ กุ คนเกิดความเชื่อม่ันว่าได้ปฏิบัติถูกต้อง ก้าวหน้า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อ
ผู้เรียน และตวั ครเู อง

2. จดั การนิเทศภายในสถานศกึ ษาให้มคี ุณภาพท่ัวถึง และตอ่ เนื่องเป็นระบบและกระบวนการ
3. จดั ระบบนิเทศภายในสถานศึกษาให้เช่อื มโยงกบั ระบบนิเทศการศึกษาของสานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษา

10. การแนะแนว
บทบาทและหนา้ ท่ี
1. กาหนดนโยบายการจัดการศึกษา ท่ีมกี ารแนะแนวเปน็ องค์ประกอบสาคัญ โดยให้ทุกคนในสถานศึกษา

ตระหนกั ถึงการมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการแนะแนว และการดูแลช่วยเหลือ
2. จดั ระบบงานและโครงสรา้ งองค์กรแนะแนว และดูแลชว่ ยเหลือนักเรยี นของสถานศึกษาให้ชัดเจน
3. สรา้ งความตระหนกั ให้ครูทุกคนเหน็ คณุ ค่าของการแนะแนว และดูแลชว่ ยเหลือนกั เรียน
4. สง่ เสริมและพัฒนาให้ครูได้รบั ความรูเ้ พม่ิ เติม เรอ่ื งจติ วิทยาและการแนะแนวและดแู ลชว่ ยเหลือนกั เรยี น

เพอื่ ใหส้ ามารถบรู ณาการในการจัดการเรียนรู้และเชื่อมโยงสู่การดารงชวี ติ ประจาวนั
5. คดั เลอื กบคุ ลากรทีม่ ีความรู้ ความสามารถและบุคลิกภาพท่เี หมาะสม ทาหน้าท่ีครแู นะแนว ครูท่ปี รกึ ษา

ครูประจาชน้ั และคณะอนกุ รรมการแนะแนว
6. ดูแล กากบั นเิ ทศ ติดตามและสนับสนุนการดาเนินงานแนะแนว และดูแลชว่ ยเหลือนกั เรยี นอย่างเป็น

ระบบ
7. สง่ เสริมความรว่ มมือ และความเข้าใจอนั ดรี ะหวา่ งครู ผู้ปกครอง และชุมชน
8. ประสานงานดา้ นการแนะแนวระหวา่ งสถานศึกษา องค์กร ภาครัฐและเอกชน บา้ น ศาสนสถาน ชุมชนใน

ลกั ษณะเครือข่ายการแนะแนว
9. เช่อื มโยงระบบแนะแนว และระบบดูแลชว่ ยเหลอื นักเรยี น

11. การพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายใน และมาตรฐานการศกึ ษา
บทบาทและหนา้ ท่ี
1. กาหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา
2. จดั ทาแผนสถานศึกษาท่ีมุ่งเนน้ คณุ ภาพการศึกษา (แผนกลยทุ ธ/์ แผนยทุ ธศาสตร)์
3. จดั ทาระบบบรหิ ารและสารสนเทศ
4. ดาเนินการตามแผนพัฒนาสถานศึกษาในการดาเนนิ โครงการ/กิจกรรมสถานศกึ ษาต้อง สรา้ งระบบ การ

ทางานทเี่ ขม้ แข็งเน้นการมีส่วนรว่ ม และวงจรการพัฒนาคุณภาพของเดมม่งิ (Deming Cycle) หรือทรี่ จู้ กั กนั ว่าวงจร
PDCA

5. ตรวจสอบ และทบทวนคุณภาพการศึกษาโดยการดาเนินการอย่างจริงจงั ต่อเนื่องด้วยการสนบั สนนุ ให้ครู
ผู้ปกครองและชมุ ชนเข้ามามีส่วนรว่ ม

6. ประเมินคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามมาตรฐานที่กาหนด เพ่ือรองรบั การประเมินคุณภาพ
ภายนอก

ห น้ า | 10

7. จัดทารายงานคณุ ภาพการศกึ ษาประจาปี (SAR) และสรุปรายงานประจาปี โดยความเห็นชอบของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พน้ื ฐานเสนอต่อหนว่ ยงานต้นสังกดั และเผยแพร่ต่อสาธารณชน

12. การส่งเสริมชุมชนให้มีความเขม้ แข็งทางวชิ าการ
บทบาทและหนา้ ท่ี
1. จดั กระบวนการเรียนรรู้ ว่ มกบั บุคคล ครอบครวั ชุมชน องค์กรชมุ ชน องค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ เอกชน

องค์กรวชิ าชีพ สถาบัน ศาสนา สถานประกอบการและสถาบันอน่ื
2. สง่ เสริมความเขม้ แข็งของชมุ ชน โดยการจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน
3. ส่งเสริมใหช้ ุมชนมีการจัดการศึกษาอบรม มีการแสวงหาความรู้ ขอ้ มูล ข่าวสารและเลอื กสรรภมู ิปัญญา

วิทยาการตา่ งๆ
4. พัฒนาชมุ ชนให้สอดคลอ้ งกับสภาพปัญหา และความต้องการรวมทง้ั หาวธิ กี ารสนบั สนุนให้มกี าร

แลกเปลีย่ นประสบการณร์ ะหวา่ งชุมชน

13. การประสานความรว่ มมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษา และองคก์ รอืน่
บทบาทและหน้าที่
1. ระดมทรพั ยากรเพ่ือการศึกษา ตลอดจนวิทยากรภายนอกและภูมิปญั ญาทอ้ งถิ่น เพื่อเสริมสร้าง

พัฒนาการของนักเรยี นทุกดา้ น รวมทงั้ สืบสานจารีตประเพณศี ลิ ปวัฒนธรรมท้องถ่นิ
2. เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ตลอดจนประสานงานกับองค์กรทั้งภาครัฐ และ

เอกชน เพ่ือใหส้ ถานศึกษาเปน็ แหล่งวทิ ยาการของชมุ ชน เพื่อใหส้ ถานศึกษาเป็นแหล่งวิทยาการของชุมชน และมีส่วน
ในการพัฒนาชมุ ชนและทอ้ งถิน่

3. ให้บรกิ ารดา้ นวชิ าการท่ีสามารถเชื่อมโยงหรือแลกเปลยี่ นขอ้ มลู ข่าวสารกบั แหล่งวชิ าการในที่อน่ื ๆ
4. จัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนเพ่ือส่งเสริมวัฒนธรรมการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับศิษย์เก่า การประชุม
ผู้ปกครองนักเรยี น การปฏบิ ตั งิ านร่วมกับชุมชน การรว่ มกจิ กรรมกับสถาบนั การศกึ ษาอ่ืน เป็นตน้

14. การส่งเสริมและสนบั สนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องคก์ ร หน่วยงาน สถานประกอบการ และ
สถาบันอนื่ ที่จัดการศกึ ษา

บทบาทและหน้าท่ี
1. ประชาสัมพนั ธส์ ร้างความเขา้ ใจตอ่ บคุ คล ครอบครวั ชุมชน องคก์ รชุมชน องค์กรปกครอง ส่วน
ท้องถิน่ เอกชน องค์กรเอกชน องคก์ รวิชาชีพ สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการและสถาบนั สงั คมอ่นื ในเร่ือง
เกย่ี วกับสทิ ธใิ นการจดั การศึกษาข้นั พ้ืนฐานการศึกษา
2. จดั ให้มีการสรา้ งความรู้ความเขา้ ใจ การเพม่ิ ความพร้อมให้กบั บุคคล ครอบครวั ชมุ ชน องค์กรชมุ ชน
องค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชพี สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการและสถาบัน
สังคมอ่นื ท่รี ่วมจัดการศึกษา
3. รว่ มกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องคก์ รชมุ ชน องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ เอกชน องคก์ ร เอกชนองคก์ ร
วชิ าชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบนั สังคมอ่นื ท่รี ว่ มจัดการศึกษา และใช้ทรพั ยากรร่วมกนั ให้เกดิ
ประโยชน์สูงสดุ
4. ส่งเสริมสนับสนนุ ให้มีการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ระหว่างสถานศกึ ษากบั บุคคล ครอบครัว ชุมชน องคก์ ร
เอกชน องคก์ รวชิ าชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสงั คมอ่นื

ห น้ า | 11

5. สง่ เสรมิ สนับสนนุ ใหบ้ คุ คล ครอบครวั ชุมชน องคก์ รเอกชน องคก์ รวิชาชพี สถาบันศาสนาสถาน
ประกอบการและสถาบนั สงั คมอน่ื ได้รับความชว่ ยเหลือทางด้านวชิ าการตามความ เหมาะสมและจาเปน็

6. ส่งเสรมิ และพฒั นาแหล่งเรียนรู้ ท้งั ด้านคุณภาพและปริมาณ เพ่ือการเรียนรู้ตลอดชวี ติ อยา่ งมี
ประสทิ ธิภาพ

15. การจัดทาระเบียบและแนวปฏบิ ตั เิ กีย่ วกบั งานดา้ นวิชาการของสถานศึกษา
บทบาทและหน้าท่ี
1. ศึกษาและวเิ คราะหร์ ะเบียบ และแนวปฏบิ ัติเกย่ี วกบั งานดา้ นวชิ าการของสถานศึกษาเพอ่ื ให้ ผทู้ ่ี เก่ียวข้อง

รับรู้ และถอื ปฏิบัตเิ ปน็ แนวเดียวกนั
2. จัดระเบียบ และแนวปฏิบัติเกี่ยวกบั งานด้านวิชาการของสถานศกึ ษา เพ่ือใหผ้ ู้ทเ่ี ก่ียวข้องรับรู้ และถือ

ปฏิบัติเปน็ แนวเดียวกัน
3. ตรวจสอบรา่ งระเบยี บและแนวปฏิบตั เิ กย่ี วกบั งานดา้ นวิชาการของสถานศึกษา และแก้ไขปรับปรงุ
4. นาระเบียบและแนวปฏิบัติเก่ียวกับงานดา้ นวิชาการของสถานศึกษาไปสู่การปฏบิ ตั ิ
5. ตรวจสอบ และประเมินผล การใช้ระเบียบและแนวปฏบิ ัติเก่ยี วกบั งานด้านวิชาการของสถานศกึ ษาและ

นาไปแก้ไขปรบั ปรุง ให้เหมาะสมตอ่ ไป

16. การคัดเลอื กหนังสือ แบบเรียนเพ่อื ใช้ในสถานศกึ ษา
บทบาทและหนา้ ท่ี
1. ศึกษา วิเคราะห์ คัดเลอื กหนังสือเรียน กลุ่มสาระการเรียนรตู้ ่างๆ ท่มี ีคุณภาพสอดคล้องกบั หลักสูตร

สถานศกึ ษา เพ่ือเป็นหนงั สือแบบเรียนใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน
2. จัดทาหนังสอื เรยี น หนงั สือเสริมประสบการณ์ หนังสืออา่ นประกอบ แบบฝึกหดั ใบงาน ใบความรู้ เพื่อใช้

ประกอบการเรยี นการสอน
3. ตรวจพิจารณาคุณภาพ หนงั สอื เรียนเรยี น หนังสือเสรมิ ประสบการณ์ หนงั สืออ่านประกอบ แบบฝึกหัด

ใบงาน ใบความรู้ เพือ่ ใชป้ ระกอบการเรยี นการสอน

ห น้ า | 12

17. การพฒั นา และใช้สอื่ เทคโนโลยเี พื่อการศกึ ษา
บทบาทและหนา้ ที่
1. จดั ใหม้ กี ารรว่ มกันกาหนดนโยบาย วางแผนในเรือ่ งการจดั หาและพฒั นาสอ่ื การเรยี นรู้ และเทคโนโลยเี พื่อ

การศึกษา
2. พฒั นาบุคลากรใสถานศึกษาในเรอ่ื งเก่ียวกบั การพฒั นาส่อื การเรยี นรู้ และเทคโนโลยเี พ่อื การศึกษา พร้อม

ทงั้ ให้มีการจัดต้งั เครือข่ายทางวิชาการ ชมรมวชิ าการเพือ่ เปน็ แหล่งการเรียนรู้
3. พัฒนาและใช้สือ่ และเทคโนโลยีทางการศึกษา โดยมุ่งเน้นการพฒั นาส่ือและเทคโนโลยีทางการศึกษาท่ใี ห้

ข้อเทจ็ จริงเพื่อสร้างองค์ความร้ใู หมๆ่ เกิดข้ึน โดยเฉพาะหาแหล่งสอ่ื ท่เี สริมการจัด การศึกษาของสถานศึกษาให้มี
ประสทิ ธิภาพ

4. พัฒนาห้องสมุดของสถานศึกษา ใหเ้ ป็นแหลง่ การเรยี นรู้ของสถานศึกษา และชมุ ชน
5. นเิ ทศ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบตั งิ านของบุคลากรในการจดั หา ผลิต ใชแ้ ละพฒั นาสื่อ และ
เทคโนโลยที างการศึกษา

ด้านบรหิ ารวิชาการ

1. หวั หนา้ งานบรหิ ารวชิ าการ ปฏบิ ตั ิหน้าที่หัวหน้ากลุ่มการบริหารวิชาการ มีหน้าที่ ดูแล กากับ ติดตาม
กล่ันกรองอานวยความสะดวก ให้คาแนะนา ปรึกษาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในกลุ่มการบริหาร
วิชาการตามขอบข่ายและภารกิจการบริหารวิชาการ ปฏิบัติหน้าท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดระบบบริหารองค์กร การ
ประสานงานและให้บริการสนับสนุน ส่งเสริมให้ฝ่ายบริหารงานวิชาการต่างๆ ในโรงเรียนสามารถบริหารจัดการและ
ดาเนินการตามบทบาทภารกิจ อานาจหน้าที่ด้วยความเรียบร้อยตลอดจนสนับสนุนและให้บริการข้อมูล ข่าวสาร
เอกสาร สื่อ อุปกรณ์ทางการศึกษา และทรัพยากรที่ใช้ในการจัดการศึกษาแก่เจ้าหน้าที่ของแต่ละฝ่ายงานเพื่อให้ฝ่าย
บรหิ ารจดั การไดอ้ ย่างสะดวกคล่องตัว มคี ุณภาพและเกิดประสทิ ธิภาพ

2. หวั หนา้ วิชาการสายชัน้ ปฏิบัตหิ น้าที่ผูช้ ่วยหัวหนา้ กลุ่มการบริหารวิชาการ มีหน้าที่ช่วยหัวหน้ากลุ่มการ
บริหารวิชาการ ในการปฏิบัติงานตามภารกิจของงานบริหารงานวิชาการและหน้าท่ีอื่นๆท่ีหัวหน้ากลุ่มบริหารวิชาการ
มอบหมายปฏิบัติหน้าทีแ่ ทนในกรณีหัวหนา้ บรหิ ารงานวิชาการไมส่ ามารถปฏบิ ัติหน้าที่ได้

ขอบข่ายงานบรหิ ารวชิ าการ มีดงั นี้
1. การพฒั นาหรือการดาเนนิ งานเกีย่ วกบั การใหค้ วามเห็นการพัฒนาสาระหลกั สตู รทอ้ งถิน่
หน้าท่ีรับผดิ ชอบปฏิบัตงิ านดงั น้ี

1) วเิ คราะหก์ รอบสาระการเรียนรทู้ ้องถนิ่ ท่ีสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาจดั ทาไว้
2) วิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาเพ่ือกาหนดจุดเน้นหรือประเด็นที่สถานศึกษาหรือกลุ่มเครือข่าย
สถานศึกษาใหค้ วามสาคญั
3) ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษาและชุมชนเพื่อนามาเป็นข้อมูลจัดทาสาระการ
เรียนรู้ท้องถ่ินของสถานศึกษาให้สมบูรณ์ยง่ิ ข้ึน
4) จัดทาสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นของสถานศึกษาเพื่อนาไปจัดทารายวิชาพื้นฐานหรือรายวิชาเพิ่มเติมจัดทา
คาอธิบายรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ เพ่ือจัดประสบการณ์และกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่
ผูเ้ รยี นประเมินผลและปรับปรงุ
5) ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติ

ห น้ า | 13

2. การวางแผนงานดา้ นวิชาการ หน้าทร่ี ับผดิ ชอบปฏิบตั งิ านดังน้ี
1) วางแผนงานด้านวิชาการโดยการรวบรวมข้อมูลและกากับ ดูแล นิเทศและติดตามเกี่ยวกับงานวิชาการ

ไดแ้ ก่ การพฒั นาหลักสตู รสถานศึกษา การพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ การวดั ผล ประเมินผล และการเทียบโอนผลการ
เรียนการประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา การพัฒนาและใช้ส่ือและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การ
พัฒนาและสง่ เสริมใหม้ แี หลง่ เรยี นร้กู ารวจิ ยั เพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็งทาง
วิชาการ

2) ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาอนุมัติโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน

3. การจัดการเรยี นการสอนในสถานศึกษา หน้าทร่ี ับผดิ ชอบปฏบิ ัตงิ านดงั นี้
1) จัดทาแผนการเรยี นร้ทู กุ กลุม่ สาระการเรยี นร้โู ดยความรว่ มมอื ของเครือขา่ ย

สถานศกึ ษา
2) จัดการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกช่วงช้ัน ตามแนวปฏิรูปการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็น

สาคัญ บูรณาการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนพัฒนาคุณธรรมนาความรู้ตาม
หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง

3) ใช้สอื่ การเรยี นการสอนและแหลง่ การเรียนรู้
4) จัดกจิ กรรมพฒั นาห้องสมุด หอ้ งปฏบิ ัติการต่างๆ ให้เอือ้ ต่อการเรยี นรู้
5) ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาการเรยี นการสอนทกุ กลุ่มสาระการเรยี นรู้
6) สง่ เสริมการพฒั นาความเป็นเลิศของนักเรียนและช่วยเหลือนักเรียนพิการด้อยโอกาสและมีความสามารถ
พิเศษ

4. การพฒั นาหลักสตู รของสถานศึกษา หนา้ ทีร่ บั ผิดชอบปฏบิ ตั งิ านดังน้ี
1. จดั ทาหลักสูตรสถานศกึ ษาเปน็ ของตนเอง
1.1 จัดให้มีการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรขึ้นใช้เองให้ทันกับการเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและ
สงั คมและเป็นต้นแบบใหก้ บั โรงเรยี นอืน่
1.2 จัดทาหลักสูตรที่มุ่งเน้นพัฒนานักเรียนให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มี
ความรู้และคุณธรรม สามารถอยู่ร่วมกบั ผูอ้ น่ื ได้อย่างมีความสขุ
1.3 จั ดใ ห้ มีวิ ช าต่ า งๆ คร บ ถ้ว น ตา ม หลั ก สูต รแ ก นก ล าง ก าร ศึ กษ า ขั้น พ้ื นฐ า นข อ ง
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
1.4 เพิ่มเติมเนื้อหาสาระของรายวิชาให้สูงและลึกซ้ึงมากข้ึนสาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ได้แก่
การศกึ ษาด้านศาสนา ดนตรี นาฏศิลป์ กีฬา อาชีวศึกษา การศึกษาที่ส่งเสริมความเป็นเลิศ ผู้บกพร่อง พิการ
และการศึกษาทางเลือก
1.5 เพิ่มเติมเนื้อหาสาระของรายวิชาที่สอดคล้องสภาพปัญหา ความต้องการของผู้เรียน ผู้ปกครอง
ชุมชน สังคม และโลก
2. สถานศึกษาสามารถจัดทาหลักสูตรการจัดกระบวนการเรียนรู้ การสอนและอ่ืนๆให้เหมาะสมกับ

ความสามารถของนักเรียนตามกลุ่มเป้าหมายพิเศษ โดยความร่วมมือของสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาและเครือข่าย
สถานศกึ ษา

3. คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพน้ื ฐานให้ความเห็นชอบหลกั สูตรสถานศึกษา

ห น้ า | 14

4. นิเทศ ติดตาม ประเมินผลและปรับปรุง หลักสูตรสถานศึกษา และรายงานผลให้สานักงานเขตพ้ืนท่ี
การศึกษารบั ทราบ

5. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หน้าท่ีรับผิดชอบปฏิบตั งิ านดงั นี้
1) จัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยคานึงถึงความ

แตกต่างระหวา่ งบุคคล
2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการการเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกัน

และแกไ้ ขปัญหา
3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่าน

และเกดิ การใฝร่ ู้อยา่ งตอ่ เน่อื ง
4) จัดการเรียนการสอน โดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกันรวมท้ังปลูกฝัง

คุณธรรม คา่ นยิ มทด่ี งี านและคณุ ลกั ษณะอนั พ่ึงประสงคไ์ ว้ในทุกวชิ า
5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม ส่ือการเรียนและอานวยความสะดวก

เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้
ผู้สอนและผเู้ รียนอาจเรยี นรูไ้ ปพร้อมกนั จากสอื่ การเรยี นการสอน และแหลง่ วิทยาการประเภทตา่ งๆ

6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่มีการประสานความร่วมมือ กับบิดามารดาและบุคคลใน
ชุมชนทุกฝ่าย เพอื่ รว่ มกนั พฒั นาผูเ้ รยี นตามศกั ยภาพ

6. การวัดผล ประเมินผลและดาเนนิ การเทียบโอนผลการเรียน หนา้ ท่รี ับผดิ ชอบปฏิบตั ิงานดังน้ี
1) กาหนดระเบียบการวัดและประเมินผลของสถานศึกษาตามหลักสูตรสถานศึกษาโดยสอดคล้องกับ

นโยบายระดับประเทศ
2) จัดทาเอกสารหลกั ฐานการศึกษาใหเ้ ป็นไปตามระเบยี บการวดั และประเมินผลของสถานศึกษา
3) วัดผล ประเมินผล เทยี บโอนประสบการณ์ผลการเรยี นและอนุมัตผิ ลการเรยี น
4) จัดให้มีการประเมินผลการเรียนทุกช่วงช้ันและจัดให้มีการซ่อมเสริมกรณีที่มีผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์การ

ประเมิน
5) จัดให้มีการพัฒนาเคร่อื งมอื ในการวัดและประเมนิ ผล
6) จัดระบบสารสนเทศด้านการวัดผลประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรียนเพ่ือใช้ในการอ้างอิง

ตรวจสอบและใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการเรยี นการสอน
7) ผ้บู รหิ ารสถานศึกษาอนมุ ตั ผิ ลการประเมนิ การเรียนด้านต่างๆ รายปี/รายภาคและตัดสินผลการเรียนการ

ผ่านชว่ งช้นั และจบการศึกษาข้ันพื้นฐาน
8) การเทียบโอนผลการเรียนเป็นอานาจของสถานศึกษาท่ีจะแต่งตั้งคณะกรรมการดาเนินการเพ่ือกาหนด

หลกั เกณฑ์วิธกี าร ได้แก่ คณะกรรมการเทียบระดับการศึกษา ทั้งในระบบนอกระบบและตามอัธยาศัย คณะกรรมการ
เทียบโอนผลการเรียน และเสนอคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและวิชาการพร้อมท้ังให้ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติ
การเทยี บโอน

ห น้ า | 15

7. การวจิ ยั เพ่ือพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาในสถานศึกษา หนา้ ท่ีรบั ผิดชอบปฏบิ ัตงิ านดังน้ี
1) กาหนดนโยบายและแนวทางการใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการทางานของนักเรียน ครู และ

ผเู้ กยี่ วข้องกับการศึกษา
2) พัฒนาครูและนักเรียนให้มีความรู้เก่ียวกับการปฏิรูปการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นสาคัญในการ

เรียนรู้ที่ซับซ้อนขึ้นทาให้ผู้เรียนได้ฝึกการคิด การจัดการ การหาเหตุผล ในการตอบปัญหา การผสมผสานความรู้
แบบสหวิทยาการและการเรยี นรูใ้ นปัญหาที่ตนสนใจ

3) พัฒนาคุณภาพการศึกษาดว้ ยกระบวนการวิจัย
4) รวบรวม และเผยแพร่ผลการวิจัยเพ่ือการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมทั้งสนับสนุนให้ครูนา
ผลการวิจัยมาใช้ เพ่อื พัฒนาการเรียนรแู้ ละพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาของสถานศกึ ษา

8. การพัฒนาและสง่ เสริมให้มแี หล่งเรยี นรู้ หน้าที่รับผดิ ชอบปฏิบัติงานดงั น้ี
1) จัดให้มีแหล่งเรียนรู้อย่างหลากหลายท้ังภายในและภายนอกสถานศึกษาให้พอเพียงเพ่ือสนับสนุนการ

แสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเองกบั การจัดกระบวนการเรียนรู้
2) จัดระบบแหล่งการเรียนรู้ภายในโรงเรียนให้เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น พัฒนาห้องสมุด

หมวดวิชา ห้องสมุดเคลื่อนที่ มุมหนังสือในห้องเรียน ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องมัลติมีเดีย ห้องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต
ศูนย์วชิ าการ ศูนยว์ ิทยบรกิ าร Resource Center สวนสุขภาพ สวนวรรณคดี สวนหนังสอื สวนธรรมะ เปน็ ต้น

3) จัดระบบข้อมูลแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เอ้ือต่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียนของสถานศึกษาของ
ตนเอง เช่น จัดเส้นทาง/แผนท่ี และระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดสถาบันการศึกษา
พิพธิ ภัณฑ์ พพิ ธิ ภณั ฑ์วทิ ยาศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ฯลฯ

4) ส่งเสริมให้ครูและผู้เรียนได้ใช้แหล่งเรียนรู้ ทั้งในและนอกสถานศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และนิเทศ
กากับตดิ ตาม ประเมิน และปรับปรงุ อยา่ งตอ่ เนือ่ ง

9. การนเิ ทศการศึกษา หน้าท่รี ับผดิ ชอบปฏิบัตงิ านดงั นี้
1) สรา้ งความตระหนักให้แก่ครแู ละผู้เก่ียวข้องให้เข้าใจกระบวนการนิเทศภายในว่าเป็นกระบวนการทางาน

รว่ มกันทใ่ี ชเ้ หตุผลการนิเทศเปน็ การพฒั นาปรับปรุงวิธกี ารทางานของแต่ละบุคคลใหม้ ีคุณภาพ การนิเทศเป็นส่วนหน่ึง
ของกระบวนการบริหาร เพอ่ื ใหท้ กุ คนเกดิ ความเชือ่ มน่ั ว่า ไดป้ ฏิบัตถิ กู ต้อง กา้ วหนา้ และเกดิ ประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน
และตวั ครูเอง

2) จดั การนเิ ทศภายในสถานศกึ ษาใหม้ คี ุณภาพทวั่ ถงึ และต่อเนอื่ งเปน็ ระบบและกระบวนการ
3) จัดระบบนเิ ทศภายในสถานศกึ ษาใหเ้ ชื่อมโยงกบั ระบบนิเทศการศกึ ษาของสานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษา

10. การแนะแนวการศึกษา มหี นา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบปฏิบตั ิงานดังน้ี
1) กาหนดนโยบายการจัดการศึกษาที่มีการแนะแนวเป็นองค์ประกอบสาคัญ โดยให้ทุกคนในสถานศึกษา

ตระหนักถงึ การมีสว่ นรว่ มในกระบวนการแนะแนวและการดแู ลช่วยเหลือนกั เรียน
2) จดั ระบบงานและโครงสร้างองค์กรแนะนาและดแู ลชว่ ยเหลือนักเรยี น
3) สร้างความตระหนกั ให้ครูทุกคนเห็นคณุ ค่าของการแนะแนวและดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียน
4) สง่ เสริมและพัฒนาใหค้ รไู ดร้ บั ความรู้เพม่ิ เติมในเรอ่ื งจิตวิทยาและการแนะแนวและดแู ลช่วยเหลือนักเรียน

เพือ่ ใหส้ ามารถ บรู ณาการ ในการจดั การเรียนร้แู ละเช่อื มโยง สกู่ ารดารงชวี ิตประจาวัน

ห น้ า | 16

5) คัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถและบุคลิกภาพท่ีเหมาะสม ทาหน้าท่ีครูแนะแนวครูที่ปรึกษา
ครปู ระจาชัน้ และคณะอนกุ รรมการแนะแนว

6) ดูแล กากับ นิเทศ ติดตามและสนับสนุนการดาเนินงานแนะแนวและดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเป็น
ระบบ

7) สง่ เสรมิ ความร่วมมอื และความเข้าใจอนั ดรี ะหวา่ งครู ผู้ปกครองและชุมชน
8) ประสานงานด้านการแนะแนว ระหวา่ งสถานศกึ ษา องค์กรภาครัฐและเอกชน บ้าน ศาสน-สถาน ชุมชน
ในลักษณะเครอื ข่ายการแนะแนว
9) เชอ่ื มโยงระบบแนะแนวและระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรยี น

11. การพัฒนาระบบประกันคณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา มหี น้าท่ีรบั ผดิ ชอบปฏบิ ัติงานดังน้ี
1) กาหนดมาตรฐานการศึกษาเพิ่มเติมของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาชาติ มาตรฐาน

การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานมาตรฐานสานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาและความต้องการของชุมชน
2) จัดระบบบริหารและสารสนเทศ โดยจัดโครงสร้างการบริหารท่ีเอ้ือต่อการพัฒนางานและการสร้างระบบ

ประกันคุณภาพภายในจัดระบบสารสนเทศให้เป็นหมวดหมู่ ข้อมูล มีความสมบูรณ์เรียกใช้ง่าย สะดวก รวดเร็ว
ปรบั ปรงุ ใหเ้ ป็นปัจจบุ ันอยูเ่ สมอ

3) จัดทาแผนสถานศกึ ษาทีม่ ุ่งเน้นคณุ ภาพการศึกษา (แผนกลยุทธ์/แผนยทุ ธศาสตร์)
4) ดาเนินการตามแผนพัฒนาสถานศึกษาในการดาเนินโครงการ/กิจกรรมสถานศึกษาต้องสร้างระบบการ
ทางานท่ีเข้มแข็งเน้นการมีส่วนร่วม และวงจรการพัฒนาคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle) หรือท่ีรู้จักกันว่า
วงจร PDCA
5) ตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษาโดยดาเนินการอย่างจริงจังต่อเน่ืองด้วยการสนับสนุนให้ครู
ผูป้ กครองและชมุ ชนเขา้ มามีสว่ นร่วม
6) ประเมินคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามมาตรฐานที่กาหนดเพื่อรองรับการประเมินคุณภาพ
ภายนอก
7) จัดทารายงานคุณภาพการศึกษาประจาปี (SAR) และสรุปรายงานประจาปี โดยความเห็นชอบของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พื้นฐานเสนอต่อหนว่ ยงานตน้ สังกัดและเผยแพรต่ ่อสาธารณชน

12. การส่งเสริมชุมชนใหม้ คี วามเข้มแขง็ ทางวิชาการ มหี นา้ ทร่ี บั ผดิ ชอบปฏิบัติงานดงั นี้
1) จดั กระบวนการเรยี นรรู้ ่วมกับบุคคล ครอบครวั ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน

องค์กรเอกชน องคก์ รวชิ าชีพ สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการและสถาบันอน่ื
2) สง่ เสรมิ ความเข้มแข็งของชมุ ชนโดยการจดั กระบวนการเรียนรภู้ ายในชมุ ชน
3) ส่งเสริมให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรมมีการแสวงหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสารและรู้จักเลือกสรรภูมิ

ปญั ญาและวิทยาการต่างๆ
4) พัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการรวมทั้งหาวิธีการสนับสนุนให้มีการ

แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหวา่ งชมุ ชน

ห น้ า | 17

13. การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอ่ืน มีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงาน
ดังนี้

1) ระดมทรพั ยากรเพอื่ การศึกษา ตลอดจนวทิ ยากรภายนอกและภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการ
ของนักเรยี นทุกด้านรวมท้ังสบื สานจารตี ประเพณีศลิ ปวัฒนธรรมของท้องถิ่น

2) เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ตลอดจนประสานงานกับองค์กรท้ังภาครัฐและ
เอกชน เพือ่ ให้สถานศกึ ษาเปน็ แหลง่ วิทยาการของชมุ ชนและมีสว่ นในการพัฒนาชมุ ชนและท้องถ่นิ

3) ใหบ้ รกิ ารด้านวิชาการที่สามารถเชื่อมโยงหรอื แลกเปลย่ี นข้อมูลข่าวสารกับแหลง่ วชิ าการ ในที่อื่นๆ
4) จัดกิจกรรมร่วมชุมชน เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับศิษย์เก่าการประชุม
ผู้ปกครองนักเรยี น การปฏบิ ัติงานร่วมกบั ชุมชน การรว่ มกจิ กรรมกับสถานบันการศกึ ษาอ่นื เป็นตน้

14. การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สถานประกอบการ และ
สถาบันอน่ื ที่จัดการศึกษา มีหน้าทร่ี บั ผดิ ชอบปฏิบัติงานดงั นี้

1) ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอ่ืนในเร่ืองเก่ียวกับสิทธิใน
การจัดการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน

2) จัดให้มีการสร้างความรู้ความเข้าใจ การเพิ่มความพร้อมให้กับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอ่ืนท่ีร่วมจัด
การศึกษา

3) ร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กร-เอกชน องค์
วิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่นร่วมกันจัดการศึกษาและใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิด
ประโยชน์สงู สุดแกผ่ ้เู รยี น

4) ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับบุคคล ครอบครัว ชุมชน
องค์กรชมุ ชน องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ เอกชน องค์กรเอกชน องคก์ ร-วชิ าชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการณ์
และสถาบนั สังคมอืน่

5) ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กร
เอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการณ์ และสถาบันสังคมอื่น ได้รับความช่วยเหลือทางด้าน
วชิ าการตามความเหมาะสมและจาเปน็

6) ส่งเสริมและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ ทั้งด้านคุณภาพและปริมาณเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างมี
ประสิทธภิ าพ

15. การจดั ทาระเบียบและแนวปฏบิ ตั เิ กี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศกึ ษา มหี นา้ ท่รี ับผดิ ชอบปฏิบตั ิงานดงั น้ี
1) ศึกษาและวเิ คราะห์ระเบยี บและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา เพ่ือให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง

ทุกรายรับรแู้ ละถือปฏิบัติเปน็ แนวเดยี วกนั
2) จัดทาร่างระเบียบและแนวปฏิบัติเก่ียวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา เพื่อให้ผู้ที่เก่ียวข้องทุกฝ่าย

รับรแู้ ละถอื ปฏบิ ัตเิ ป็นแนวเดยี วกัน
3) ตรวจสอบร่างระเบยี บและแนวปฏบิ ตั เิ กี่ยวกบั งานดา้ นวิชาการของสถานศึกษาและแก้ไขปรับปรงุ
4) นาระเบยี บและแนวปฏิบตั เิ ก่ยี วกับงานดา้ นวชิ าการของสถานศึกษาไปสูก่ ารปฏบิ ตั ิ

ห น้ า | 18

5) ตรวจสอบและประเมินผลการใช้ระเบียบและแนวปฏิบัติเก่ียวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษาและ
นาไปแกไ้ ขปรบั ปรงุ ใหเ้ หมาะสมตอ่ ไป

16. การคดั เลือกหนังสอื แบบเรยี นเพื่อใชใ้ นสถานศึกษา มหี น้าทร่ี ับผิดชอบปฏิบัติงานดังน้ี
1) ศึกษา วิเคราะห์ คัดเลือกหนังสือเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ท่ีมีคุณภาพสอดคล้องกลับหลักสูตร

สถานศึกษาเพอ่ื เปน็ หนงั สือแบบเรยี นเพอ่ื ใช้ในการจดั การเรียนการสอน
2) จัดทาหนงั สือเรียน หนงั สือเสริมประสบการณ์ หนังสืออ่านประกอบ แบบฝึกหัด ใบงาน ใบความรู้เพ่ือใช้

ประกอบการเรยี นการสอน
3) ตรวจพิจารณาคุณภาพหนงั สือเรยี น หนังสือเสริมประสบการณ์ หนังสืออ่านประกอบ แบบฝึกหัด ใบงาน

ใบความรู้เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน

17. การพฒั นาและใช้สอ่ื และเทคโนโลยีเพอ่ื การศึกษา มหี น้าท่รี บั ผดิ ชอบปฏบิ ัตงิ านดังน้ี
1) จัดให้มีการร่วมกันกาหนดนโยบาย วางแผนในเรื่องการจัดหาและพัฒนาส่ือการเรียนรู้ และเทคโนโลยี

เพื่อการศึกษาของสถานศึกษา
2) พัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาสื่อการเรียนรู้และเทคโนโลยี เพื่อการศึกษา

พร้อมท้ังให้มีการจัดตง้ั เครือขา่ ยทางวชิ าการ ชมรมวชิ าการเพอ่ื เป็นแหลง่ เรยี นรขู้ องสถานศึกษา
3) พัฒนาและใช้ส่ือและเทคโนโลยีทางการศึกษาโดยมุ่งเน้นการพัฒนาส่ือและเทคโนโลยีทางการศึกษาท่ีให้

ข้อเท็จจริงเพ่ือสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ เกิดข้ึน โดยเฉพาะหาแหล่งสื่อที่เสริมการจัดการศึกษา ของสถานศึกษาให้มี
ประสทิ ธภิ าพ

4) พฒั นาห้องสมดุ ของสถานศึกษาใหเ้ ปน็ แหล่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาและชมุ ชน
5) นิเทศ ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรในการจัดหา ผลิตใช้และพัฒนาสื่อและ
เทคโนโลยที างการศึกษา

18. การรบั นักเรยี น หน้าท่ีรับผิดชอบปฏิบัตงิ านดงั น้ี
1) ให้สถานศึกษาประสานงานการดาเนินการแบ่งเขตพ้ืนท่ีบริการการศึกษาร่วมกัน และเสนอข้อตกลงให้

เขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาเห็นชอบ
2) กาหนดแผนการรับนักเรียนของสถานศกึ ษา โดยประสานงานกับเขตพืน้ ท่ีการศึกษา
3) ดาเนนิ การรับนักเรียนตามท่ีแผนกาหนด
4) รว่ มมอื กับองคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน ในการติดตามช่วยเหลอื นักเรยี นท่มี ปี ญั หาในการเขา้ เรียน
5) ประเมินผลและรายงานผลรับเดก็ เขา้ เรียนให้เขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาทราบ

19. การจดั ทาสามะโนนักเรยี น มหี นา้ ท่ีรบั ผิดชอบปฏบิ ตั งิ านดังน้ี
1) ประสานงานกับชุมชนและท้องถิ่นในการสารวจข้อมูล จานวนนักเรียนที่จะเข้ารับบริการ ทางการศึกษา

ในเขตบรกิ ารของสถานศกึ ษา
2) จดั ทาสามะโนผู้เรียนทจ่ี ะเขา้ รบั บริการทางการศึกษาของสถานศึกษา
3) จัดระบบขอ้ มูลสารสนเทศจากสามะโนผูเ้ รียนใหเ้ ขตพืน้ ที่การศึกษารบั ทราบ

ห น้ า | 19

20. การทัศนศึกษา มหี นา้ ท่ีรับผดิ ชอบปฏบิ ัตงิ านดังนี้
1) วางแผนการนานักเรียนไปทัศนศกึ ษานอกสถานศึกษา
2) ดาเนินการนานกั เรยี นไปทัศนศึกษานอกสถานศึกษา ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารที่กาหนด

ห น้ า | 20

การบริหารงบประมาณ

ห น้ า | 21

การบรหิ ารงบประมาณ

การบริหารและการจัดการศึกษาของโรงเรยี นห้วยเตยวทิ ยา มวี ัตถุประสงค์เพ่ือให้โรงเรียนจัดการศึกษาอย่าง
เป็นอิสระ คลอ่ งตัว สามารถบริหารการจัดการศกึ ษาได้สะดวด รวดเร็ว มีประสิทธภิ าพและมีความรบั ผดิ ชอบ

โรงเรียนห้วยเตยวิทยา นอกจากมีอานาจหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ข้างต้นแล้ว ยังมีอานาจหน้าที่ตามที่
กฎระเบยี บกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการบริหารจัดการและขอบเขตการปฏิบัติหน้าท่ีของโรงเรียนขั้นพื้นฐานท่ีเป็น
นติ บิ ุคคลสงั กัดเขตพื้นทกี่ ารศึกษา พ.ศ. 2546 ลงวนั ท่ี 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2546

กฎหมายการศึกษาแห่งชาติ และกฎหมายระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ จึงกาหนดให้
โรงเรยี นห้วยเตยวทิ ยา มีอานาจหน้าที่ ดังนี้

1. ให้ผู้อานวยการโรงเรยี นเปน็ ผู้แทนนติ บิ คุ คลในกจิ การท่วั ไปของโรงเรียนทีเ่ กย่ี วกบั บุคคลภายนอก
2. ให้โรงเรียนมีอานาจปกครอง ดูแล บารุง รักษา ใช้และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้
เวน้ แตก่ ารจาหน้ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้บริจาคให้โรงเรียน ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการศึกษาข้ัน
พืน้ ฐานของโรงเรยี น
3. ให้โรงเรียนจดทะเบียนลิขสิทธ์ิหรือดาเนินการทางทะเบียนทรัพย์สินต่างๆ ที่มีผู้อุทิศให้หรือโครงการซื้อ
แลกเปลี่ยนจากรายไดข้ องสถานศกึ ษาให้เปน็ กรรมสิทธ์ขิ องสถานศึกษา
4. กรณีโรงเรียนดาเนินคดีเป็นผู้ฟ้องร้องหรือถูกฟ้องร้อง ผู้บริหารจะต้องดาเนินคดีแทนสถานศึกษาหรือถูก
ฟ้องร่วมกับสถานศึกษา ถ้าถูกฟ้องโดยมิได้อยู่ในการปฏิบัติราชการ ในกรอบอานาจ ผู้บริหารต้องรับผิดชอบเป็น
การเฉพาะตวั
5. โรงเรยี นจัดทางบดลุ ประจาปีและรายงานสาธารณะทกุ สนิ้ ปงี บประมาณ

ห น้ า | 22

งบประมาณทสี่ ถานศึกษานามาใช้จ่าย
1. แนวคดิ
การบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษามุ่งเน้นความเป็นอิสระ ในการบริหารจัดการมีความคล่องตัว

โปรง่ ใส ตรวจสอบได้ ยึดหลกั การบริหารมงุ่ เน้นผลสัมฤทธแิ์ ละบรหิ ารงบประมาณแบบมงุ่ เนน้ ผลงาน ให้มีการจัดหา
ผลประโยชน์จากทรัพย์สิทธิของสถานศึกษา รวมทั้งจัดหารายได้จากบริการมาใช้บริหารจัดการเพ่ือประโยชน์ทาง
การศึกษา สง่ ผลให้เกิดคณุ ภาพท่ดี ขี น้ึ ตอ่ ผูเ้ รยี น

2. วัตถปุ ระสงค์
เพือ่ ให้สถานศึกษาบรหิ ารงานดา้ นงบประมาณมคี วามเป็นอิสระ คลอ่ งตัว โปรง่ ใสตรวจสอบได้
2.1 เพอื่ ใหไ้ ด้ผลผลติ ผลลพั ธ์เป็นไปตามข้อตกลงการใหบ้ รกิ าร
2.2 เพื่อใหส้ ถานศึกษาสามารถบริหารจัดการทรพั ยากรท่ีได้อยา่ งเพียงพอและประสทิ ธิภาพ
3. ขอบข่ายภารกจิ
กฎหมาย ระเบียบ และเอกสารทเี่ กี่ยวขอ้ ง

1. พระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และทแ่ี ก้ไขเพมิ่ เติม (ฉบบั ท่ี 2)
2. พระราชบญั ญตั บิ ริหารราชการกระทรวงศกึ ษาธิการ พ.ศ. 2546
3. ระเบียบวา่ ด้วยการบรหิ ารงบประมาณ พ.ศ. 2545
4. หลักสตู รการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551
5. แนวทางการกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษาและสถานศกึ ษาตามกฎกระทรวง
กาหนดหลกั เกณฑ์และวิธกี ารกระจายอานาจการบรหิ ารและการจดั การศึกษา พ.ศ. 2550

รายจ่ายตามงบประมาณ
จาแนกออกเป็น 2 ลักษณะ

1. รายจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
- งบบุคลากร
- งบดาเนนิ งาน
- งบลงทนุ
- งบเงนิ อุดหนนุ
- งบร่ายจา่ ยอน่ื
งบบุคลากร หมายถึง รายจ่ายท่ีกาหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ได้แก่รายจ่ายท่ีจ่ายใน

ลักษณะเงนิ เดือน คา่ จ้างประจา คา่ จ้างชว่ั คราว และค่าตอบแทนพนักงานราชการ รวมถึงรายจ่ายที่กาหนดให้จ่าย
จากงบรายจา่ ยอ่นื ใดในลกั ษณะรายจา่ ยดังกล่า

งบดาเนนิ งาน หมายถงึ รายจ่ายทก่ี าหนดใหจ้ ่ายเพอ่ื การบรหิ ารงานประจา ได้แก่ รายจ่ายท่ีจา่ ยใน
ลกั ษณะค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ และค่าสาธารณูปโภค รวมถึงราจ่ายที่กาหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอ่ืนใด
ในลักษณะรายจ่ายดงั กล่าว

ห น้ า | 23

งบลงทนุ หมายถงึ รายจา่ ยทกี่ าหนดใหจ้ า่ ยเพ่อื การลงทุน ได้แก่ รายจ่ายท่ีจ่ายในลักษณะค่าครุภัณฑ์ ค่า

ทด่ี นิ และส่ิงกอ่ สร้าง รวมถงึ รายจ่ายที่กาหนดใหจ้ า่ ยจากงบรายจ่ายอ่นื ใดในลกั ษณะรายจ่ายดงั กล่าว

งบดาเนนิ งาน หมายถึง รายจา่ ยทก่ี าหนดใหจ้ า่ ยเพอ่ื การบรหิ ารงานประจา ได้แก่ รายจา่ ยท่ีจา่ ยใน

ลกั ษณะค่าตอบแทน คา่ ใชส้ อย ค่าวสั ดุ และคา่ สาธารณูปโภค รวมถึงรายจา่ ยที่กาหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใด

ในลกั ษณะรายจา่ ยดังกล่าว

งบลงทุน หมายถึง รายจ่ายท่ีกาหนให้จ่ายเพื่อการลงทุน ได้แก่ รายจ่ายท่ีจ่ายในลักษณะค่าครุภัณฑ์ ค่า

ที่ดินและส่ิงก่อนสร้าง รวมถึงรายจา่ ยทีก่ าหนดใหจ้ า่ ยจากงบรายจา่ ยอน่ื ใดในลกั ษณะรายจา่ ยดังกล่าว

งบเงนิ อดุ หนนุ หมายถงึ รายจ่ายทกี่ าหนดใหจ้ า่ ยเป็นคา่ บารงุ หรอื เพอื่ ชว่ ยเหลอื สนับสนุนงานของหน่วยงาน

อิสระตามรัฐธรรมนูญหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมิใช่ส่วนกลางตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

หน่วยงานในกากับของรัฐ องค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน รวมถึงเงินอุดหนุน งบ

พระมหากษตั ริย์ เงินอดุ หนุนศาสนา

งบรายจ่ายอ่ืน หมายถึง รายจ่ายที่ไม่เข้าลักษณะประเภทงบรายจ่ายใดงบรายจ่ายหน่ึง หรือรายจ่ายท่ี

สานกั งานงบประมาณกาหนดใหใ้ ชจ้ า่ ยในงบรายจ่ายนี้ เช่น เงินราชการลับ เงินค่าปรับ ท่ีจ่ายคืนให้แก่ผู้ขายหรือผู้

รบั จ้าง ฯลฯ

อัตราเงินอุดหนนุ รายหัวนกั เรียนต่อปกี ารศกึ ษา

ระดับก่อนประถมศึกษา 1,700 บาท

ระดับประถมศึกษา 1,900 บาท

ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ 3,500 บาท

การจดั สรรเงินอดุ หนุนรายหัวนกั เรยี น แบ่งการใช้ตามสัดส่วน ดา้ นวชิ าการ : ด้านบริหารทวั่ ไป : สารอง

จา่ ยทัง้ 2 ด้านคอื

1. ด้านวิชาการ ใหส้ ัดส่วนไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 60 นาไปใชไ้ ด้ในเรือ่ ง

1.1 จัดหาวสั ดุและครุภัณฑท์ ่ีจาเป็นตอ่ การเรยี นการสอน

1.2 ซ่อมแซมวัสดุอุปกรณ์

1.3 การพัฒนาบุคลาการด้านการสอน เช่น ส่งครเู ขา้ อบรมสมั มนา ค่าจ้างชั่วคราวของครปู ฏิบัตกิ าร

สอน ค่าสอนพิเศษ

2. ดา้ นบรหิ ารทวั่ ไป ให้สัดสว่ นไมเ่ กนิ รอ้ ยละ 30 นาไปใชไ้ ด้ในเร่ือง

2.1 ค่าวัสดุ ครุภณั ฑ์และคา่ ที่ดนิ สง่ิ ก่อสรา้ ง ค่าจา้ งชวั่ คราวท่ีไมใ่ ช่ปฏบิ ัตกิ ารสอนค่าตอบแทน ค่าใช้

สอย

2.2 สารองจ่ายนอกเหนือดา้ นวชิ าการและด้านบรหิ ารท่ัวไป ให้สัดส่วนไม่เกินรอ้ ยละ 20 นาไปใช้ใน

เรอื่ งงานตามนโยบาย

ห น้ า | 24

เงนิ อดุ หนนุ ปัจจัยพืน้ ฐานสาหรบั นกั เรยี นยากจน
1. เป็นเงินท่ีจัดสรรใหแ้ กส่ ถานศกึ ษาทม่ี นี ักเรยี นยากจน เพอ่ื จดั หาปจั จัยพ้ืนฐานทจ่ี าเป็นตอ่ การดารงชวี ิต

และเพิ่มโอกาสทางการศกึ ษา เปน็ การช่วยเหลือนกั เรยี นที่ยากจน ชนั้ ป.1 ถงึ ม.3 ให้มโี อกาสไดร้ บั การศกึ ษาใน
ระดบั ที่สงู ขน้ึ (ยกเวน้ สถานศึกษาสงั กัดสานักบริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ)

2. นกั เรียนยากจน หมายถงึ นกั เรียนทผ่ี ู้ปกครองมีรายได้ต่อครัวเรือน ไมเ่ กนิ 40,000 บาท
3. แนวการใช้ ให้ใช้ในลักษณะ ถัวจ่าย ในรายการต่อไปน้ี

3.1 คา่ หนังสอื และอปุ กรณ์การเรียน(ยืมใช้)
3.2 ค่าเส้อื ผ้าและวสั ดเุ คร่อื งแต่งกายนักเรียน(แจกจา่ ย)
3.3 ค่าอาหารกลางวัน (วตั ถุดบิ จ้างเหมา เงินสด)
3.4 คา่ พาหนะในการเดินทาง (เงินสด จา้ งเหมา)
3.5 กรณจี า่ ยเปน็ เงนิ สด โรงเรยี นแต่งตั้งกรรมการ 3 คน รว่ มกันจ่ายเงนิ โดยใช้ใบสาคญั รับเงินเป็น

หลกั ฐาน
3.6 ระดบั ประถมศึกษา คนละ 1,000 บาท/ปี
3.7 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ คนละ 3,000 บาท/ปี

ห น้ า | 25

2. รายจ่ายงบกลาง หมายถึง รายจา่ ยท่ีตง้ั ไว้เพื่อจัดสรรให้สว่ นราชการและรฐั วสิ าหกิจโดยท่วั ไปใช้จ่ายตามรายการ
ดังต่อไปน้ี

1. “เงนิ เบยี้ หวดั บาเหน็จบานาญ” หมายความว่า รายจ่ายท่ีต้ังไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินบานาญ ข้าราชการ เงิน
บาเหน็จลูกจ้างประจา เงินทาขวัญข้าราชการและลูกจ้าง เงินทดแทนข้าราชการวิสามัญ เงินค่าทดแทนสาหรับผู้
ได้รับอันตรายในการรักษาความม่ันคงของประเทศ

เงนิ ชว่ ยพเิ ศษข้าราชการบานาญเสยี ชีวติ เงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนอ่ื งจากการช่วยเหลือ ข้าราชการ การ
ปฏบิ ัตงิ านของชาตหิ รือการปฏิบตั ิตามหน้าท่มี นษุ ยธรรม และเงนิ ช่วยค่าครองชพี ผ้รู ับเบ้ียหวัดบานาญ

2. “เงนิ ชว่ ยเหลอื ขา้ ราชการ ลกู จ้าง และพนักงานของรัฐ” หมายความว่า รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อจ่ายเป็นเงิน
สวสั ดกิ ารช่วยเหลอื ในดา้ นตา่ งๆ ให้แกข่ ้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ ได้แก่ เงินช่วยเหลือการศึกษาของ
บุตร เงินชว่ ยเหลอื บตุ ร และเงนิ พเิ ศษในกรณตี ายในระหวา่ งรับราชการ

3. “เงินเลอื่ นขั้นเล่ือนอันดับเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ หมายความว่ารายจ่ายท่ีตั้งไว้เพ่ือจ่ายเป็น
เงนิ เลอื่ นขน้ั เล่ือนอนั ดบั เงนิ เดือนข้าราชการประจาปี เงินเลื่อนข้ันเล่ือนอันดับเงินเดือนข้าราชการท่ีได้รับเล่ือนระดับ
และหรือแต่งต้งั ใหด้ ารงตาแหน่งระหว่างปีและเงนิ ปรับวฒุ ขิ ้าราชการ

4. “เงินสารอง เงนิ สมทบ และเงินชดเชยของข้าราชการ” หมายความว่า รายจ่ายท่ีตั้งไว้เพื่อจ่ายเป็นเงิน
สารอง เงินสมทบ และเงินชดเชยทีร่ ฐั บาลนาสง่ เข้ากองทุนบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ

5. “เงินสมทบของลูกจ้างประจา” หมายความว่า รายจ่ายท่ีต้ังไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินสมทบที่รัฐบาลนาส่งเข้า
กองทุนสารอง เลยี้ งชีพลูกจา้ งประจา

6. “คา่ ใช้จ่ายเกีย่ วกบั การเสด็จพระราชดาเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ หมายความว่า รายจ่ายท่ีต้ัง
ไวเ้ พ่ือเปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยสนับสนุนพระราชภารกิจในการเสด็จพระราชดาเนินภายในประเทศ และหรือต่างประเทศ และ
คา่ ใชจ้ า่ ยในการตอ้ นรบั ประมุขต่างประเทศทีม่ ายาเยือนประเทศไทย

7. “เงินสารองจ่ายเพ่ือกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็น” หมายความว่า รายจ่ายที่ต้ังสารองไว้เพ่ือจัดสรรเป็น
ค่าใชจ้ ่ายในกรณีฉกุ เฉนิ หรอื จาเป็น

8. “ค่าใช้จ่ายในการดาเนินการรักษาความม่ันคงของประเทศ” หมายความว่า รายจ่ายที่ต้ังไว้เพื่อเป็น
ค่าใชจ้ า่ ยในการดาเนนิ งานรกั ษาความมั่นคงของประเทศ

9. “เงนิ ราชการลับในการรักษาความมน่ั คงของประเทศ” หมายความวา่ รายจ่ายที่ต้ังไว้เพ่ือเบิกจ่ายเป็นเงิน
ราชการลบั ในการดาเนินงานเพอื่ รักษาความม่ันคงของประเทศ

10. “ค่าใชจ้ า่ ยตามโครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาริ” หมายความว่า รายจ่ายท่ีตั้งไว้เพ่ือเป็นค่าใช้จ่าใน
การดาเนินงานตามโครงการอันเนอื่ งมาจากพระราชดาริ

11. “ค่าใช้จา่ ยในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ” หมายความว่า รายจ่ายที่ต้ัง
ไวเ้ ปน็ ค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลอื ค่ารกั ษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจา้ งประจา และพนกั งานของรัฐ

ห น้ า | 26

เงนิ นอกงบประมาณ
1. เงินรายได้สถานศกึ ษา
2. เงนิ ภาษีหัก ณ ท่ีจา่ ย
3. เงนิ ลูกเสือ เนตรนารี
4. เงินยุวกาชาด
5. เงินประกนั สญั ญา
6. เงนิ บริจาคท่มี วี ตั ถุประสงค์
เงินรายไดส้ ถานศึกษา หมายถึง เงนิ รายได้ตามมาตรา 59 แหง่ พ.ร.บ. การศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ.

2542 ซ่งึ เกดิ จาก
1. ผลประโยชน์จากทรัพย์สินทีเ่ ปน็ ราชพสั ดุ
2. คา่ บรกิ ารและค่าธรรมเนยี ม ทีไ่ ม่ขดั หรือแย้งนโยบาย วตั ถปุ ระสงค์และภารกจิ หลกั ของสถานศึกษา
3. เบยี้ ปรับจากการผิดสญั ญาลาศึกษาต่อและเบยี้ ปรับการผิดสัญญาซ้อื ทรัพย์สนิ หรือจ้างทาของจากเงนิ
งบประมาณ
4. คา่ ขายแบบรูปรายการ เงินอุดหนุน อปท. รวมเงินอาหารกลางวัน
5. ค่าขายทรัพยส์ ินท่ีได้มาจากเงินงบประมาณ

ห น้ า | 27

งานพสั ดุ

“การพัสดุ” หมายความวา่ การจดั ทาเอง การซ้ือ การจ้าง การจา้ งท่ีปรึกษา การจา้ งออกแบบและ
ควบคุมงาน การแลกเปล่ยี น การเช่า การควบคมุ การจาหนา่ ย และการดาเนนิ การอื่นๆ ท่ีกาหนดไวใ้ นระเบยี บนี้

“พัสด”ุ หมายความวา่ วัสดุ ครภุ ณั ฑ์ ทด่ี นิ และสงิ่ ก่อสร้าง ทก่ี าหนดไว้ในหนังสอื การจาแนกประเภท
รายจ่ายตามงบประมาณของสานกั งบประมาณ หรือการจาแนกประเภทรายจา่ ย ตามสัญญาเงินกูจ้ ากตา่ งประเทศ

“การซ้ือ” หมายความว่า การซือ้ พสั ดุทุกชนิดทั้งทมี่ ีการติดต้งั ทดลอง และบริการทีเ่ กย่ี วเนอ่ื งอื่นๆ แต่
ไม่รวมถึงการจัดหาพสั ดุในลักษณะการจ้าง

“การจ้าง” ใหห้ มายความรวมถึง การจ้างทาของและการับขนตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ และ
การจา้ งเหมาบริการ แต่ไมร่ วมถงึ การจ้างลูกจา้ งของส่วนราชการตามระเบยี บของกระทรวงการคลงั การบั ขนในการ
เดินทางไปราชการตามกฎหมายวา่ ด้วยค่าใช้จา่ ยในการเดินทางไปราชการ การจ้างท่ปี รึกษา การจ้างออกแบบและ
ควบคมุ งาน และการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ขอบข่ายภารกจิ
1. กฎหมาย ระเบยี บ และเอกสารทีเ่ ก่ยี วข้อง
2. ระเบียบสานกั นายกรฐั มนตรวี ่าด้วยการพสั ดุ พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพม่ิ เติม
3. ระเบยี บสานกั นายกรัฐมนตรวี ่าดว้ ยการพสั ดดุ ้วยวิธีการทางอเิ ล็กทรอนกิ ส์ พ.ศ. 2549
4. แนวทางการปฏิบตั ิตามระเบยี บสานกั นายกรัฐมนตรี วา่ ด้วยการพสั ดุด้วยวิธกี ารทางอิเล็กทรอนิกส์

พ.ศ. 2549
หน้าทแ่ี ละความรับผดิ ชอบ
1. จดั วางระบบและปฏิบัตงิ านเกี่ยวกบั จดั หา การซ้ือ การจา้ ง การเก็บรกั ษา และการเบิกพสั ดุ การ
ควบคุม และการจาหนา่ ยพสั ดใุ หเ้ ป็นไปตามระเบียบทีเ่ กย่ี วข้อง
2. ควบคมุ การเบิกจา่ ยเงนิ ตามประเภทเงิน ให้เปน็ ไปตามแผนปฏบิ ตั ิราชการรายปี
3. จดั ทาทะเบยี นที่ดนิ และสงิ่ ก่อสรา้ งทกุ ประเภทของสถานศึกษา
4. ประสานงานและวางแผนในการใชพ้ ืน้ ทีข่ องสถานศกึ ษา ให้เป็นไปตามแผนพัฒนาการศึกษา
5. กาหนดหลกั เกณฑ์วธิ ีการและดาเนินการเกย่ี วกับการจดั หาประโยชน์ที่ราชพสั ดกุ ารใชแ้ ละการขอใช้
อาคารสถานทข่ี องสถานศึกษาให้เปน็ ไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวขอ้ งควบคุมดู ปรบั ปรุง ซอ่ มแซม
บารุงรักษาครภุ ัณฑ์ ให้อยใู่ นสภาพเรียบรอ้ ยต่อการใชง้ านและพฒั นาอาคารสถานที่ การอนุรกั ษ์พลังงาน การรักษา
สภาพแวดลอ้ ม และระบบสาธารณูปโภคของสถานศกึ ษาใหเ้ ปน็ ระเบียบและสวยงาม
6. จัดเวรยามดแู ลอาคารสถานท่ีของสถานศกึ ษาให้ปลอดภัยจากโจรภัย อัคคภี ยั และภยั อน่ื ๆ
7. จัดวางระบบและควบคุมการใชย้ านพาหนะ การเบิกจ่ายน้ามนั เช้ือเพลงิ การบารงุ รักษาและการพสั ดุ
ตา่ งๆ ที่เกีย่ วกับยานพาหนะของสถานศกึ ษาให้เป็นไปตามระเบยี บท่ีเกีย่ วขอ้ ง
8. ให้คาแนะนา ช้แี จง และอานวยความสะดวกแก่บุคลากรในสถานศกึ ษาเก่ยี วกับงานในหน้าที่
9. เก็บรกั ษาเอกสารและหลกั ฐานตา่ งๆ ไว้เพื่อการตรวจสอบและดาเนินการทาลายเอกสารตามระเบยี บ
ท่เี กีย่ วข้อง
10.ประสานงานและให้ความร่วมมอื กบั หนว่ ยงานต่างๆ ทง้ั ภายในและภายนอกสถานศกึ ษา

ห น้ า | 28

11.เสนอโครงการและรายงานการปฏบิ ัติงานในหนา้ ท่ตี ามลาดับข้นั
12.ปฏิบตั อิ นื่ ตามท่ีไดร้ ับมอบหมาย

สวัสดกิ ารและสิทธิประโยชน์
1. คา่ ใชจ้ า่ ยในการเดินทางไปราชการ
1.1กฎหมายและระเบยี บทเ่ี กย่ี วข้อง
1.2พระราชกฤษฎกี าค่าใช้จา่ ยในการเดนิ ทางไปราชการ พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม
1.3ระเบยี บกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกคา่ ใชจ้ ่ายในการเดนิ ทางไปราชการ พ.ศ. 2550
2. คา่ ใช้จา่ ยในการเดินทางไปราชการ
การอนุมัติเดินทางไปราชการ ผู้มอี านาจอนุมัตใิ หเ้ ดนิ ทางไปราชการ อนุมัตริ ะยะเวลาในการเดินทาง

ลว่ งหนา้ หรือระยะเวลาหลังเสร็จสน้ิ การปฏบิ ัตริ าชการได้ตามความจาเป็น
3. การนบั เวลาเดินทางไปราชการเพ่อื คานวณเบ้ยี เลยี้ ง กรณีพักค้าง
3.1ใหน้ บั 24 ช่วั โมงเป็น 1 วนั
3.2ถา้ ไม่ถงึ 24 ชว่ั โมงหรือเกนิ 24 ชวั่ โมง และส่วนท่ีไม่ถึงหรอื เกิน 24 ช่วั โมง นับไดเ้ กิน 12
ชว่ั โมง ใหถ้ ือเป็น 1 วนั
4. การนบั เวลาเดนิ ทางไปราชการเพอ่ื คานวณเบ้ยี เลย้ี งเดินทาง กรณไี ม่พักค้าง
4.1หากนับได้ไม่ถงึ 24 ช่วั โมงและสว่ นท่ีไม่ถึงนบั ไดเ้ กิน 12 ชัว่ โมง ให้ถือเปน็ 1วนั
4.2หากนับได้ไม่เกนิ 12 ชวั่ โมง แตเ่ กิน 6 ช่ัวโมงข้นึ ไป ใหถ้ ือเปน็ ครึ่งวนั
5. การนบั เวลาเดินทางไปราชการเพ่อื คานวณเบ้ยี เล้ยี งเดนิ ทาง
6. กรณลี ากิจหรือลาพักผอ่ นกอ่ นปฏิบตั ิราชการ ใหน้ ับเวลาตัง้ แตเ่ รมิ่ ปฏิบัติราชการเปน็ ต้นไป
7. กรณีลากจิ หรือลาพักผอ่ นหลังเสรจ็ ส้ินการปฏิบตั ิราชการ ให้ถือว่าสทิ ธิในการเบกิ จ่ายเบ้ียเลย้ี งเดินทาง

ส้ินสุดลงเม่อื ส้ินสดุ เวลาการปฏบิ ัตริ าชการ
8. หลักเกณฑก์ ารเบิกค่าเชา่ ทีพ่ ักในประเทศ

การเบิกค่าพาหนะ
1. โดยปกตใิ ห้ใช้ยานพาหนะประจาทางและให้เบิกคา่ พาหนะโดยประหยดั
2. กรณไี มม่ ียานพาหนะประจาทาง หรอื มแี ตต่ ้องการความรวดเร็ว เพอ่ื ประโยชน์แกท่ างราชการ ใหใ้ ช้

ยานพาหนะอื่นได้ แต่ตอ้ งชแ้ี จงเหตผุ ลและความจาเป็นไวใ้ นหลกั ฐานขอเบิกคา่ พาหนะน้ัน
3. ขา้ ราชการระดบั 6 ขนึ้ ไป เบิกค่าพาหนะรบั จ้างได้ ในกรณีต่อไปนี้
3.1 การเดนิ ทางไป-กลับ ระหวา่ งสถานท่ีอยู่ ที่พกั หรือสถานท่ีปฏิบตั ิราชการกับสถานาี นพาหนะ
ประจาทาง หรือสถานที่จัดพาหนะท่ีใชเ้ ดนิ ทางภายในเขตจงั หวัดเดยี วกัน
3.2 การเดนิ ทางไป-กลบั ระหว่างสถานทีอ่ ยู่ ท่ีพัก กบั สถานที่ปฏบิ ตั ิราชการภายในเขตจงั หวดั
เดยี วกนั วนั ละไมเ่ กนิ 2 เท่ียว
3.3 การเดินทางไปราชการในเขตกรุงเทพมหานคร กรณีเป็นการเดินทางขา้ มเขตจงั หวัด ใหเ้ บกิ
ตามอัตราที่กระทรวงการคลงั กาหนด คือ ใหเ้ บิกตามทีจ่ ่ายจรงิ ดังนี้ ระหวา่ งกรงุ เทพมหานครกับเขต

ห น้ า | 29

จังหวดั ตดิ ตอ่ กรงุ เทพมหานคร ไม่เกนิ เทีย่ วล่ะ 400 บาท เดินทางขา้ มเขตจงั หวดั อน่ื นอกเหนือกรณี
ดังกล่าวขา้ งตน้ ไม่เกินเทยี่ วละ 300 บาท

3.4 ผไู้ มม่ สี ทิ ธเิ บิก ถ้าต้องนาสัมภาระในการเดินทาง หรือสิ่งของเครื่องใชข้ องทางราชการไปดว้ ย
และเป็นเหตุให้ไม่สะดวกทจี่ ะเดินทางโดยยานพาหนะประจาทาง ให้เบกิ คา่ พาหนะรบั จา้ งได้(โดยแสดง
เหตผุ ลและความจาเปน็ ไวใ้ นรายงานเดนิ ทาง)

3.5การเดนิ ทางลว่ งหนา้ หรือไม่สามารถกลับเมื่อเสร็จส้ินการปฏบิ ตั ริ าชการเพราะมีเหตุส่วนตัว
(ลากิจ - ลาพักผ่อนไว้) ให้เบิกคา่ พาหนะเทา่ ท่ีจ่ายจริงตามเสน้ ทางท่ีไดร้ บั คาสง่ั ให้เดนิ ทางไปราชการ
กรณีมีการเดนิ ทางนอกเส้นทางในระหว่างการลาน้นั ให้เบิกค่าพาหนะไดเ้ ท่าทีจ่ ่ายจริงโดยไมเ่ กินอัตราตาม
เสน้ ทางทีไ่ ดร้ บั คาสัง่ ให้เดินทางไปราชการ

3.6การใช้ยานพาหนะส่วนตัว (ใหข้ ออนุญาตและได้รับอนุญาตแล้ว) ใหไ้ ดร้ บั เงินชดเชย คือ
รถยนตก์ โิ ลเมตรละ 4 บาท

คา่ ใชจ้ า่ ยในการฝึกอบรม
การฝึกอบรม หมายถงึ การอบรม ประชมุ /สัมมนา (วชิ าการเชงิ ปฏิบัติการ) บรรยายพิเศษ ฝกึ งาน ดู

งาน การฝกึ อบรม ประกอบด้วย
1. หลกั การและเหตผุ ล
2. โครงการ/หลกั สูตร
3. ระยะเวลาจดั ที่แนน่ อน
4. เพื่อพัฒนาหรือเพิ่มประสิทธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ าน

ค่ารกั ษาพยาบาล
คา่ รกั ษาพยาบาล หมายถึง เงนิ ทีส่ ถานพยาบาลเรยี กเก็บในการรกั ษาพยาบาลเพื่อใหร้ า่ งกายกลบั สู่สภาวะ

ปกติ (ไม่ใชเ่ ปน็ การป้องกนั หรอื เพ่ือความสวยงาม)
1. ระเบียบและกฎหมายทเ่ี กยี่ วข้อง
1.1 พระราชกฤษฎกี าเงนิ สวสั ดกิ ารเกี่ยวกบั การรักษาพยาบาล พ.ศ. 2523 และแก้ไขเพิม่ เตมิ (8 ฉบบั )
1.2 ระเบยี บกระทรวงการคลังว่าดว้ ยการเบิกจา่ ยเงินสวัสดิการเกย่ี วกบั การรักษาพยาบาล พ.ศ. 2545
2. ผทู้ ม่ี สี ิทธริ บั เงินคา่ รักษาพยาบาล คอื ผูม้ สี ทิ ธิและบุคคลในครอบครวั
2.1 บิดา
2.2 มารดา
2.3 คูส่ มรสทีช่ อบดว้ ยกฎหมาย
2.4 บตุ รทช่ี อบด้วยกฎหมาย ซ่ึงยังไมบ่ รรลนุ ิติภาวะ หรือบรรลุนติ ภิ าวะแล้ว แตเ่ ป็นคนไร้

ความสามารถ หรือเสมอื นคนไร้ความสามารถ(ศาลสง่ั ) ไม่รวมบุตรบญุ ธรรมหรอื บตุ รซึ่งไดย้ กเปน็ บุตรบญุ ธรรมบุคคล
อน่ื แลว้

ห น้ า | 30

3. ผ้มู สี ทิ ธิ หมายถงึ ข้าราชการ ลกู จา้ งประจา ผุ้รับเบ้ยี หวดั บานาญ และลกู จา้ งชาวตา่ งประเทศซง่ึ ได้รับ
คา่ จ้างจากเงินงบประมาณ

คา่ รักษาพยาบาล แบง่ เปน็ 2 ประเภท
ประเภทไข้นอก หมายถงึ เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของทางราชการโดยไม่ได้นอนพัก
รกั ษาตวั นาใบเสรจ็ รบั เงินมาเบิกจา่ ย ไม่เกนิ 1 ปี นบั จากวนั ที่จา่ ยเงิน
ประเภทไขใ้ น หมายถึง เขา้ รบั การรกั ษาในสถานพยาบาลของเอกชน หรือสถานพยาบาลของทาง
ราชการ สถานพยาบาลเอกชน ใชใ้ บเสรจ็ รับเงนิ นามาเบิกจา่ ยเงนิ พร้อมใหแ้ พทย์รับรอง “หากผู้ป่วยมิไดเ้ จ้ารับ
การรกั ษาพยาบาลในทนั ทีทนั ใด อาจเปน็ อนั ตรายถึงชวี ิต” และสถานพยาบาลทางราชการ ใช้หนังสอื รับรองสิทธิ
กรณยี งั ไมไ่ ด้เบกิ จา่ ยตรง

การศึกษาบตุ ร
คา่ การศึกษาของบุตร หมายความว่า เงนิ บารุงการศกึ ษา หรอื เงินคา่ เล่าเรียน หรอื เงินอืน่ ใดท่ีสถานศึกษา

เรยี กเกบ็ และรัฐออกให้เปน็ สวสั ดิการกบั ขา้ ราชการผูม้ สี ทิ ธิ
1. ระเบียบและกฎหมายท่ีเกย่ี วข้อง
1.1 พระราชราชกฤษฎกี าเงินสวสั ดิการเกยี่ วกบั การศึกษาของบุตร พ.ศ. 2523
1.2 ระเบยี บกระทรวงการคลังวา่ ด้วยการเบกิ จา่ ยเงินสวสั ดกิ ารเกยี่ วกบั การศกึ ษาของบตุ ร พ.ศ. 2547
1.3 หนงั สือเวียนกรมบญั ชกี ลาง กค 0422.3/ว 161 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2552 เร่ือง ประเภท

และอัตราเงินบารุงการศึกษาในสถานศึกษาของทางราชการ และค่าเล่าเรียนในสถานศึกษาของเอกชน และ
กรมบัญชีกลาง ท่ี กค 0422.3/ว 226 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2552 เรื่องการเบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับ
การศึกษาของบุตร

2. ผู้ทม่ี สี ิทธิรบั เงนิ ค่าการศึกษาของบตุ ร
2.1 บุตรชอบโดยกฎหมายอายุไมเ่ กนิ 25 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 1 พฤษภาคมของทกุ ปี ไมร่ วมบุตรบุญ

ธรรม หรือบุตรซึง่ ได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมคนอ่นื แล้ว
2.2ใช้สทิ ธเิ บกิ ได้ 3 คน เวน้ แตบ่ ตุ รคนท่ี 3 เปน็ ฝาแฝดสามารถนามาเบกิ ได้ 4 คน
2.3เบกิ เงินสวสั ดกิ ารเกีย่ วกบั ศกึ ษาบตุ รภายใน 1 ปี นับตัง้ แตว่ ันเปดิ ภาคเรยี นของแต่ละภาค

จานวนเงินทเี่ บิกได้
1. ระดับอนุบาลหรอื เทยี บเทา่ เบกิ ไดป้ ลี ะไม่เกนิ 4,650 บาท
2. ระดับประถมศึกษาหรือเทยี บเทา่ เบกิ ไดป้ ลี ะไม่เกิน 3,200 บาท
3. ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น/มัธยมศึกษาตอนปลาย/หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวชิ าชพี (ปวช.) หรือเทยี บเท่า

เบกิ ไดป้ ลี ะไม่เกิน 3,900 บาท
4. ระดบั อนุปริญญาหรือเทียบเทา่ เบกิ ได้ปลี ะไมเ่ กนิ 11,000 บาท

ห น้ า | 31

ค่าเชา่ บา้ น
1. ระเบียบและกฎหมายที่เกย่ี วข้อง
1.1 พระราชกฤษฎีกาคา่ เชา่ ชา้ นข้าราชการ พ.ศ. 2550
1.2 ระเบยี บกระทรวงการคลงั ว่าดว้ ยการเบกิ จ่ายเงินคา่ เชา่ บ้าน พ.ศ. 2549
2. สิทธิการเบกิ เงินคา่ เช่าบ้าน
2.1 ไดร้ บั คาส่ังใหเ้ ดินทางไปประจาสานกั งานใหม่ในต่างทอ้ งท่ี เวน้ แต่
2.1.1 ทางราชการได้จดั ท่ีพักอาศัยให้อย่แู ล้ว
2.1.2 มีเคหสถานเป็นของตนเองหรือคสู่ มรส
2.1.3 ไดร้ บั คาส่งั ใหเ้ ดนิ ทางไปประจาสานกั งานใหม่ในตา่ งท้องท่ตี ามคาร้องขอของตนเอง
2.2 ขา้ ราชการผู้ไดร้ บั คาสั่งใหเ้ ดนิ ทางไปประจาสานักงานในท้องทีท่ ร่ี บั ราชการครั้งแรกหรือท้องทท่ี ี่กลบั เข้า

รบั ราชการใหม่ ใหม้ สี ทิ ธิไดร้ ับเงนิ ค่าเชา้ บา้ น (พระราชกฤษฎีกาเช่าบา้ น 2550 (ฉบบั ท่ี 2) มาตรา 7)
2.3 ขา้ ราชการมีสิทธไิ ด้รับเงินค่าเชา่ บ้านตั้งแต่วันทีเ่ ช่าอยู่จรงิ แตไ่ ม่ก่อนวันทรี่ ายงานตัวเพ่อื เข้ารับหนา้ ที่

(พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบา้ น 2547 มาตรา 14)
2.4 ขา้ ราชการซึง่ มีสทิ ธิไดร้ ับเงินค่าเช่าบ้านได้เชา่ ซ้อื หรือผ่อนชาระเงินกเู้ พ่ือชาระราคาบ้านท่คี า้ งชาระอยู่

ในท้องทที่ ี่ไปประจาสานักงานใหม่ มีสิทธนิ าหลกั ฐานการชาระคา่ เชา่ ซ้ือหรือค่าผ่อนชาระเงินกู้ฯ มาเบิกได้ (พระ
ราชกฤษฎกี าค่าเช่าบ้าน 2547 มาตรา 17)

กองทุนบาเหนจ็ บานาญขา้ ราชการ (กบข.)
1. กฎหมายท่เี กี่ยวข้อง
1.1 พ.ร.บ.กองทนุ บาเหน็จบานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539
มาตรา 3 ในพระราชบญั ญัตนิ ้ี (สว่ นทีเ่ กี่ยวขอ้ ง)
บานาญ หมายความวา่ เงินทีจ่ า่ ยใหแ้ กส่ มาชกิ เป็นรายเดือนเม่ือสมาชกิ ภาพของสมาชิกส้ินสดุ ลง
บาเหนจ็ ตกทอด หมายความว่า เงินทจี่ า่ ยให้แกส่ มาชกิ โดยจา่ ยใหค้ รัง้ เดยี วเม่ือสมาชกิ ภาพ

ของสมาชิกสน้ิ สดุ ลง
บาเหนจ็ ตกทอด หมายความว่า เงนิ ทจ่ี ่ายใหแ้ ก่ทายาทโดยจา่ ยใหค้ รงั้ เดยี วในกรณที ี่สมาชิก

หรือผู้รบั บานาญถึงแก่ความตาย
1.2 พ.ร.บ.กองทนุ บาเหนจ็ บานาญข้าราชการ (ฉบับท่ี 2 ) พ.ศ. 2542

2. ขา้ ราชการทุกประเภท (ยกเวน้ ราชการทางการเมือง) มีสิทธิสมัครเปน็ สมาชิก กบข. ไดแ้ ก่ ขา้ ราชการครู
ข้าราชการใหม่ ไดแ้ ก่ ผซู้ ่ึงเข้ารบั ราชการหรอื โอนมาเป็นราชการตง้ั แตว่ นั ที่ 27 มนี าคม 2540 เป็นตน้ จะตอ้ ง
เป็นสมาชิก กบข. และสะสมเงนิ เข้ากองทุน สมาชิกทจี่ ่ายสะสมเขา้ กองทนุ ในอัตราร้อยละ 3 ของเงนิ เดือนเปน็
ประจาทุกเดือน รัฐบาลจะจา่ ยเงินสมทบให้กับสมาชกิ ในอัตรารอ้ ยละ 3 ของเงนิ เดือนเปน็ ประจาทุกเดือน
เช่นเดยี วกนั และจะนาเงนิ ดังกล่าวไปลงทุนหาผลประโยชนเ์ พ่อื จา่ ยใหก้ ับสมาชิกเมื่อกอกจากราชการ

ห น้ า | 32

ระเบยี บสานักงานคณะกรรมการสง่ เสรมิ สวสั ดกิ ารและสวสั ดิภาพครูและบคุ ลากรทางการศึกษาว่าดว้ ยการ
ฌาปนกิจสงเคราะห์เพ่อื นครูและบคุ ลากรทางการศึกษา(ช.พ.ค.)

ในระเบยี บน้ี ช.พ.ค. หมายความว่า การฌาปนกิจสงเคราะห์ชว่ ยเพ่อื นครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาการ
จดั ตง้ั ช.พ.ค. มีความมุ่งหมายเพือ่ เปน็ การกุศลและมวี ัตถุประสงค์ใหส้ มาชิกได้ทาการสงเคราะห์ซึ่งกนั และกันในการ
จดั การศพและสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชกิ ช.พ.ค. ทถี่ ึงแก่กรรมหลกั เกณฑ์และวิธีการจา่ ยเงินค่าจดั การศพและ
เงินสงเคราะห์ครอบครัวให้เป็นไปตามท่คี ณะกรรมการ ช.พ.ค. กาหนด

ครอบครวั ของสมาชกิ ช.พ.ค หมายถงึ บุคคลตามลาดบั ดังน้ี
1. คสู่ มรสท่ชี อบดว้ ยกฎหมาย บุตรทชี่ อบด้วยกฎหมาย บุตรบุญธรรม บตุ รนอกสมรสท่ีบดิ ารบั รองแลว้
และบิดามารดาของสมาชกิ ช.พ.ค.
2. ผู้อยใู่ นอุปการะอย่างบตุ รของสมาชกิ ช.พ.ค.
3. ผู้อปุ การะสมาชกิ ช.พ.ค.
ผู้มสี ทิ ธไิ ดร้ บั การสงเคราะห์ตามวรรคหนงึ่ ยงั มีชีวิตอยู่ หรือมีผ้รู บั มรดกยงั ไม่ขาดสายแล้วแต่กรณีใน
ลาดบั หน่ึงๆ บคุ คลที่อยูใ่ นลาดบั ถดั ไปไม่มีสทิ ธิไดร้ บั เงินสงเคราะหค์ รอบครวั ระเบียบน้ี
การสงเคราะห์ครอบครวั ของสมาชิก ช.พ.ค. สาหรบั บตุ รใหพ้ ิจารณาให้บุตรสมาชิก ช.พ.ค. ไดร้ ับ
ความช่วยเหลือเป็นเงินทุนสาหรับการศึกษาเลา่ เรียนเป็นลาดับแรก
สมาชิก ช.พ.ค. ต้องระบบุ ุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคน เป็นผู้มสี ิทธิรับเงินสงเคราะห์
สมาชกิ ช.พ.ค. มหี น้าทดี่ งั ตอ่ ไปน้ี
1. ต้องปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บนี้
2. สง่ เงินสงเคราะหร์ ายศพ เม่ือสมาชกิ ช.พ.ค. อน่ื ถงึ แก่กรรมศพละหน่ึงบาทภายใต้เงื่อนไขดงั ต่อไปนี้
3. สมาชิก ช.พ.ค. ทีเ่ ปน็ ขา้ ราชการประจา ข้าราชการบานาญและผู้ท่ีมีเงินเดือนหรือรายได้ รายเดือน ต้อง
ยนิ ยอมใหเ้ จ้าหน้าท่ผี ้จู ่ายเงินเดือนหรอื เงินบานาญเปน็ ผหู้ ักเงินเพ่ือชาระเงินสงเคราะห์รายศพ ณ ทีจ่ ่ายตาม
ประกาศรายช่ือสมาชิก ช.พ.ค. ทีถ่ ึงแก่กรรม

คาจากัดความ
แผนการปฏิบตั ิงาน และแผนการใชจ้ า่ ยงบประมาณ หมายถึง แผนแสดงรายละเอยี ดการปฏิบัติงาน และ

แสดงรายละเอียดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายตามแผนการปฏิบัติงานของโรงเรียน ห้วยเตยวิทยา ในรอบ
ปงี บประมาณ

การใช้จ่ายงบประมาณ หมายถึง การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของโรงเรียนบ้านห้วยเตยวิทยา เพ่ือ
ดาเนินตามแผนการปฏิบัตงิ านในรอบปี

การจดั สรรงบประมาณ หมายถึง การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย
ประจาปี หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ให้ส่วนราชการใช้จ่ายหรือก่อหน้ีผูกพัน ท้ังน้ี อาจ
ดาเนินการโดยใช้การอนุมตั ิเงนิ ประจางวดหรือโดยวธิ กี ารอนื่ ใดตามทีส่ านกั งบประมาณกาหนด

เป้าหมายยุทธศาสตร์ หมายถึง ผลสัมฤทธิ์ท่ีการใช้จ่ายงบประมาณต้องการจะให้เกิดต่อนักเรียน บุคลากร
โรงเรยี นหว้ ยเตยวทิ ยา

ห น้ า | 33

แผนการปฏิบัตงิ าน หมายถงึ แผนการปฏบิ ัตงิ านของโรงเรยี นหว้ ยเตยวิทยา ในรอบปงี บประมาณ
แผนการใช้จ่ายงบประมาณ หมายถึง แผนแสดงรายละเอียดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายสาหรับ
โรงเรยี นหว้ ยเตยวิทยา เพอ่ื ดาเนินงานตามแผนการปฏิบัติงานในรอบปีงบประมาณ
โครงการ หมายถงึ โครงการท่ีกาหนดข้ึนเพ่อื ใชจ้ ่ายเงินเปน็ ไปตามในระหว่างปงี บประมาณ
งบรายจ่าย หมายถงึ กลุ่มวตั ถุประสงคข์ องรายจ่าย ทก่ี าหนดให้จ่ายตามหลักการจาแนกประเภทรายจ่าย
ตามงบประมาณ
จาแนกงบรายจ่ายตามหลักจาแนกประเภทงบประมาณตามงบรายจ่าย ดังนี้
งบบุคลากร หมายถึง รายจ่ายที่กาหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ได้แก่ รายจ่ายในลักษณะ
เงินเดือน ค่าจ้างประจา ค่าจ้างชั่วคราว และค่าตอบแทนพนักงานราชการ รวมถึงรายจ่ายท่ีกาหนดให้จ่ายจากงบ
รายจ่ายอื่นในลักษณะดังกลา่ ว
งบดาเนินงาน หมายถึง รายจ่ายที่กาหนดให้จ่ายเพ่ือการบริหารงานประจา ได้แก่รายจ่ายท่ีจ่ายในลักษณะ
คา่ ตอบแทน ค่าใชส้ อย ค่าวสั ดุ คา่ สาธารณูปโภค
งบลงทุน หมายถึง รายจ่ายท่ีกาหนดให้จ่ายเพื่อการลงทุน ได้แก่ รายจ่ายในลักษณะ ค่าครุภัณฑ์ ค่าที่ดิน
และส่ิงกอ่ สร้าง
งบเงินอุดหนุน หมายถึง รายจ่ายท่ีกาหนดให้จ่ายเป็นค่าบารุง หรือเพ่ือช่วยเหลือสนับสนุนการดาเนินงาน
ของหน่วยงานองคก์ รตามรัฐธรรมนูญ หรือหน่วยงานของรัฐซึ่งมิใช่ส่วนราชการส่วนกลางตามพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแผ่นดนิ หนว่ ยงานในกากบั ของรัฐองค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน สภาตาบล
องค์การระหว่างประเทศบิติบุคคล เอกชนหรือกิจการอันเป็นสาธารณประโยชน์ รวมถึง เงินอุดหนุนงบ
พระมหากษัตรยิ ์ เงนิ อุดหนนุ การศาสนา และรายจา่ ยที่สานกั งบประมาณกาหนดให้จา่ ยในงบรายจา่ ยนี้
งบรายจ่ายอ่ืน หมายถึง รายจ่ายที่ไม่เข้าลักษณะประเภทงบรายจ่ายใดงบรายจ่ายหน่ึง หรือรายจ่ายที่
สานักงบประมาณกาหนดใหใ้ ช้จา่ ยในงบรายจา่ ยนี้ เช่น
(1) เงนิ ราชการลับ
(2) เงินคา่ ปรบั ที่จ่ายคนื ให้แก่ผขู้ ายหรอื ผ้รู บั จา้ ง
(3) ค่าจ้างท่ีปรึกษาเพื่อศึกษา วิจัย ประเมินผล หรือพัฒนาระบบต่างๆซึ่งมิใช่เพื่อการจัดหา หรือปรับปรุง

ครุภัณฑ์ทด่ี นิ หรอื ส่งิ ก่อสร้าง
(4) ค่าใช้จา่ ยในการเดนิ ทางไปราชการตา่ งประเทศช่วั คราว
(5) คา่ ใช้จา่ ยสาหรับหน่วยงานองค์กรตามรฐั ธรรมนญู (สว่ นราชการ)
(6) ค่าใช้จา่ ยเพอื่ ชาระหนี้เงินกู้
(7) คา่ ใชจ้ ่ายสาหรับกองทนุ หรือเงินทุนหมนุ เวยี น

ห น้ า | 34

หน้าที่ความรับผิดชอบ
กลุ่มการบรหิ ารงบประมาณ

นางยุวดี บรรหาร ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มบริหารงบประมาณ มีหน้าท่ีดูแล กากับติดตาม กลั่นกรอง
อานวยความสะดวก ให้คาแนะนาปรึกษาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีท่ีปฏิบัติงานในกลุ่มบริหารงบประมาณ ตาม
ขอบข่ายและภารกิจการบริหารงบประมาณ ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดระบบบริหารองค์กรการประสานงาน
และใหบ้ ริการสนบั สนนุ สง่ เสริมใหฝ้ า่ ยบรหิ ารงบประมาณต่างๆ ในโรงเรียนสามารถบรหิ ารจัดการและดาเนินการตาม
บทบาทภารกจิ อานาจหนา้ ทดี่ ้วยความเรยี บร้อยตลอดจนสนบั สนนุ และให้บริการขอ้ มลู ข่าวสาร เอกสาร สื่อ อุปกรณ์
ทางการศึกษาและทรัพยากรที่ใช้ในการจัดการศึกษาแก่เจ้าหน้าท่ีของแต่ละฝ่ายงานเพ่ือให้ฝ่ายงานบริหารจัดการได้
อยา่ งสะดวกคลอ่ งตวั มคี ณุ ภาพและเกดิ ประสทิ ธผิ ล
ขอบข่ายกลุม่ การบริหารงบประมาณ มีดงั นี้
1. การจดั ทาแผนงบประมาณและคาขอตงั้ งบประมาณเพ่ือเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน

ผู้รบั ผิดชอบ นางยวุ ดี บรรหาร หน้าทร่ี บั ผิดชอบปฏบิ ตั งิ านดังนี้
1) จัดทาข้อมูลสารสนเทศทางการเงินของสถานศึกษา ได้แก่ แผนชั้นเรียน ข้อมูลครูนักเรียน และ
ส่ิงอานวยความสะดวกของสถานศกึ ษา โดยความรว่ มมอื ของสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษา
2) จดั ทากรอบงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้า และแผนงบประมาณ
3) เสนอแผนงบประมาณขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐานเพื่อใช้เป็นคา
ขอตงั้ งบประมาณต่อสานักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษา
2. การจัดทาแผนปฏบิ ัตกิ ารใช้จา่ ยเงนิ ตามทไ่ี ดร้ บั จัดสรรงบประมาณจากสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน
พื้นฐานโดยตรง
ผูร้ บั ผดิ ชอบ นางยวุ ดี บรรหาร หนา้ ที่รบั ผดิ ชอบปฏบิ ตั งิ านและผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการฯ ดงั นี้
1) จัดทาแผนปฏบิ ัตกิ ารประจาปีและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้ความร่วมมือของสานักงาน
เขตพื้นทีก่ ารศึกษา
2) ขอความเห็นชอบแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณต่อคณะกรรมการสถานศึกษา
ข้ันพืน้ ฐาน
3. การอนุมัตกิ ารใช้จ่ายงบประมาณทีไ่ ด้รับจัดสรร
ผู้รับผดิ ชอบ นางยวุ ดี บรรหาร หนา้ ที่รับผดิ ชอบเสนอโครงการดังน้ี
- ผ้อู านวยการสถานศึกษาอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณตามงาน/โครงการท่ีกาหนดไว้ในแผนปฏิบัติ
การประจาปี และแผนการใชจ้ า่ ยเงนิ ภายใตค้ วามรว่ มมือของสานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษา
4. การขอโอนและการขอเปล่ียนแปลงงบประมาณ
ผู้รบั ผิดชอบ นางยวุ ดี บรรหาร หน้าที่รบั ผดิ ชอบปฏบิ ตั ิงานดงั น้ี
1) ตรวจสอบรายละเอียดรายการงบประมาณท่ีจาเป็นต้องขอโอนหรือเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับ
สถานศึกษาประเภทที่ 1 เสนอความเห็นชอบคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน แล้วเสนอ ขอโอนหรือ
เปล่ยี นแปลงรายการงบประมาณต่อสานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษา เพ่ือดาเนินการตอ่ ไป
5. การรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ
ผ้รู บั ผดิ ชอบ นางสาวสุธดิ า นาสะอ้าน หนา้ ทีร่ บั ผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1) รายงานผลการดาเนินงาน ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจาปี ไปยังสานักงานเขต
พนื้ ทก่ี ารศกึ ษา

ห น้ า | 35

6. การตรวจสอบ ตดิ ตามและรายงานการใชง้ บประมาณ
ผู้รบั ผดิ ชอบ นางยวุ ดี บรรหาร หนา้ ทรี่ บั ผิดชอบปฏบิ ัติงานดงั น้ี
1) จดั การให้มีการตรวจสอบและตดิ ตามให้ กลุ่ม ฝา่ ยงาน ในสถานศกึ ษา รายงานผลการปฏิบัติงาน

และผลการใช้จ่ายงบประมาณ เพ่ือจัดทารายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณตามแบบท่ีสานัก
งบประมาณกาหนด และจัดส่งไปยังสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกไตรมาส ภายในระยะเวลาที่สานักงานเขตพ้ืนที่
การศกึ ษากาหนด

2) จัดทารายงานประจาปีที่แสดงถึงความสาเร็จในการปฏิบัติงาน และจัดส่งให้สานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษาภายในระยะเวลาที่สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษากาหนด

7. การตรวจสอบ ติดตามและรายงานการใช้ผลผลิตจากงบประมาณ
ผรู้ ับผิดชอบ นางสาวสธุ ดิ า นาสะอา้ น หนา้ ทีร่ ับผิดชอบปฏิบัติงานดังน้ี
1) ประเมินคณุ ภาพการปฏบิ ัตงิ านตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย
2) วางแผนประเมนิ ประสิทธิภาพ และประสทิ ธผิ ลการดาเนนิ งานของสถานศึกษา
3) วิเคราะห์และประเมินความมีประสิทธิภาพ ประหยัด และความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากรของ

หน่วยงานในสถานศึกษา

8. การระดมทรพั ยากรและการลงทนุ เพอ่ื การศึกษา
ผรู้ บั ผิดชอบ นางสาวสธุ ิดา นาสะอา้ น หน้าท่ีรับผดิ ชอบปฏิบัติงานดงั น้ี
1) วางแผน รณรงค์ ส่งเสริมการระดมทุนการศึกษาและทุนเพ่ือการพัฒนาการศึกษาให้ดาเนินงาน

ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและเกิดประสิทธิผล คมุ้ ค่า และมคี วามโปร่งใส
2) จัดทาข้อมูลสารสนเทศ และระบบการรับจ่ายทุนการศึกษาและเพ่ือการพัฒนาการศึกษาให้

ดาเนินงานไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและเกดิ ประสทิ ธผิ ล คุ้มคา่ และมีความโปร่งใส
3) สรุป รายงาน เผยแพร่ และเชิดชูเกียรติผู้สนับสนุนทุนการศึกษาและทุนเพ่ือการพัฒนา

สถานศกึ ษา โดยความชอบของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน

9. การบรหิ ารจดั การทรัพยากรเพ่อื การศึกษา
ผรู้ บั ผิดชอบ นางประดับ ญาตโิ สม หน้าที่รบั ผดิ ชอบปฏิบัตงิ านดงั น้ี
1) จดั ทารายการทรัพยากรเพื่อเปน็ สารสนเทศไดแ้ ก่แหล่งเรยี นรู้ภายในสถานศึกษา แหล่งเรียนรู้ใน

ท้องถิ่นทั้งที่เป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่น แหล่งเรียนรู้ที่เป็นสถานประกอบการ เพ่ือการรับรู้ของ
บคุ ลากรในสถานศกึ ษา นกั เรียนและบุคคลทว่ั ไปจาไดเ้ กิดการใช้ทรพั ยากรรว่ มกนั ในการจัดการศึกษา

2) วางระบบหรอื กาหนดแนวปฏบิ ัติการใช้ทรัพยากรร่วมกันกับบุคคล หน่วยงานรัฐบาลและเอกชน
เพือ่ ให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด

3) กระตุ้นให้บุคคลในสถานศึกษาร่วมใช้ทรัพยากรภายในและภายนอก รวมทั้งให้บริการการใช้
ทรพั ยากรภายในเพือ่ ประโยชนต์ ่อการเรียนรแู้ ละส่งเสริมการศึกษาในชมุ ชน

4) ประสานความร่วมมือกับผู้รับผิดชอบแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรที่มนุษย์สร้าง
ทรัพยากรบุคคลท่ีมศี กั ยภาพให้การสนบั สนุนการจดั การศกึ ษา

5) ดาเนินการเชิดชูเกียรติบุคคลและหน่วยงานท้ังภาครัฐและเอกชน ที่สนับสนุนการใช้ทรัพยากร
รว่ มกนั เพือ่ การศึกษาของสถานศึกษา

ห น้ า | 36

10. การวางแผนพัสดุ
ผ้รู ับผดิ ชอบ นางยุภาพร เรียนเจรญิ หน้าทรี่ ับผดิ ชอบปฏิบตั ิงานดงั นี้

1) การวางแผนพัสดลุ ว่ งหน้า 3 ปี ใหด้ าเนนิ การตามกระบวนการของการวางแผนงบประมาณ
2) การจัดทาแผนการจัดหาพัสดุให้ฝ่ายที่ทาหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างเป็นผู้ดาเนินการ โดยให้ฝ่าย
ที่ต้องการใช้พัสดุ จัดทารายละเอียดพัสดุท่ีต้องการ คือรายละเอียดเก่ียวกับปริมาณ ราคา คุณลักษณะเฉพาะ หรือ
แบบรูปรายการและระยะเวลาทต่ี ้องการน้ีต้องเป็นไปตามแผนปฏิบัติการประจาปี (แผนปฏิบัติงาน) และตามที่ระบุไว้
ในเอกสารประกอบพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปี ส่งให้ฝ่ายที่ทาหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างเพื่อจัดทาแผนการ
จดั หาพัสดุ
3) ฝา่ ยท่ีจดั ทาแผนการจัดหาพัสดทุ าการรวบรวมขอ้ มลู รายละเอียดจากฝ่ายท่ีต้องการใช้พัสดุโดยมี
การสอบทานกับแผนปฏิบัติงานและเอกสารประกอบพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปี และความ
เหมาะสมของวิธีการจัดหาว่าควรเป็นการซ้ือ การเช่าหรือการจัดทาเองแล้วจานาข้อมูลท่ีสอบทานแล้วมาจัดทา
แผนการจัดหาพสั ดใุ นภาพรวมของสถานศึกษา

11. การกาหนดแบบรูปรายการหรือคุณลักษณะเฉพาะของครุภัณฑ์หรือสิ่งก่อสร้างท่ีใช้เงินงบประมาณเพ่ือ
สนองตอ่ เลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน

ผรู้ บั ผิดชอบ นางยภุ าพร เรยี นเจริญ หนา้ ท่รี ับผดิ ชอบปฏบิ ัติงานดงั นี้

1) กาหนดแบบรูปรายการหรือคุณลักษณะเฉพาะเพื่อประกอบการขอต้ังงบประมาณ ส่งให้
สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษา

2) กรณีท่ีเป็นการจัดหาจากเงินนอกงบประมาณให้กาหนดแบบรูปรายการหรือคุณลักษณะเฉพาะ
ได้โดยใหพ้ ิจารณาจากแบบมาตรฐานก่อนหากไม่เหมาะสมกใ็ ห้กาหนดตามความต้องการโดยยึดหลกั ความโปร่งใส เป็น
ธรรมและเป็นประโยชนก์ บั ทางราชการ

12. การจัดหาพัสดุ
ผรู้ ับผดิ ชอบ นางสาวศริ ญิ ญา ไชยคีรี หน้าท่รี บั ผิดชอบปฏบิ ตั งิ านดังนี้
1) การจดั หาพสั ดุถอื ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุของส่วนราชการและคาสั่งมอบอานาจของ

สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน
2) การจัดทาพัสดุถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยการให้สถานศึกษารับจัดทารับ

บริการ

13. การควบคมุ ดแู ล บารุงรักษาและจาหนา่ ยพสั ดุ
ผู้รับผิดชอบ นางสาวศริ ิญญา ไชยครี ี หน้าทรี่ ับผิดชอบปฏิบัติงานดังน้ี
1) จัดทาทะเบยี นคุมทรัพยส์ นิ และบัญชีวัสดุไมว่ ่าจะได้มาดว้ ยการจดั หาหรอื การรับบรจิ าค
2) ควบคุมพัสดใุ หอ้ ยูใ่ นสภาพพร้อมการใชง้ าน
3) ตรวจสอบพัสดุประจาปี และให้มีการจาหน่ายพัสดุที่ชารุด เสื่อมสภาพหรือไม่ใช้ในราชการอีก

ต่อไป
4) พัสดุที่เป็นท่ีดินหรือสิ่งก่อสร้าง กรณีท่ีได้มาด้วยเงินงบประมาณให้ดาเนินการข้ึนทะเบียน

เป็นราชพัสดุ กรณีท่ีได้มาจากการรับบริจาคหรือจากเงินรายได้สถานศึกษาให้ข้ึนทะเบียนเป็นกรรมสิทธ์ิของ
สถานศกึ ษา

ห น้ า | 37

14. การรับเงิน การเกบ็ รกั ษาเงนิ และการจา่ ยเงิน
ผู้รบั ผดิ ชอบ นางเปรมวดี พนั สเี งนิ หนา้ ทร่ี บั ผิดชอบปฏบิ ตั งิ านดงั นี้
1) การปฏบิ ตั ิเกยี่ วกบั การรบั เงิน และการจ่ายเงินให้ปฏิบัติตามระเบียบท่ีกระทรวงการคลังกาหนด

คือ ระเบยี บการเก็บรักษาเงินและการนาเงินสง่ คลงั ในหนา้ ทขี่ องอาเภอ พ.ศ. 2520 โดยสถานศึกษาสามารถกาหนด
วธิ ีปฏิบตั เิ พิ่มเตมิ ไดต้ ามความเหมาะสมแต่ตอ้ งไม่ขดั หรือแย้งกบั ระเบียบดงั กลา่ ว

2) การปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรักษาเงินให้ปฏิบัติตามระเบียบท่ีกระทรวงการคลังกาหนด
คือระเบียบการเก็บรักษาเงนิ และการนาเงนิ สง่ คลงั ในส่วนของราชการ พ.ศ. 2520 โดยอนุโลม

15. การนาเงนิ ส่งคลงั
ผรู้ บั ผดิ ชอบ นางเปรมวดี พันสเี งนิ หน้าทร่ี บั ผิดชอบปฏิบัตงิ านดังน้ี
1) การนาเงินส่งคลังให้นาส่งต่อสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาภายในระยะเวลาท่ีกาหนดไว้ตาม

ระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนาเงินส่งคลังในหน้าที่ของอาเภอพ.ศ. 2520 หากนาส่งเป็นเงินสดให้ตั้ง
คณะกรรมการนาสง่ เงนิ ด้วย

16. การจัดทาบญั ชีการเงิน
ผรู้ ับผดิ ชอบ นางสาวชยาณี ภูโคกหิน หน้าทีร่ บั ผดิ ชอบปฏบิ ตั ิงานดังน้ี
1) ให้จัดทาบัญชีการเงินตามระบบท่ีเคยจัดทาอยู่เดิม คือ ตามระบบท่ีกาหนดไว้ในคู่มือการบัญชี

หน่วยงานยอ่ ย พ.ศ. 2515 หรือตามระบบการควบคุมการเงนิ ของหน่วยงานย่อย พ.ศ. 2544 แล้ว แต่กรณี

17. การจัดทารายงานทางการเงนิ และงบการเงิน
ผู้รับผดิ ชอบ นางสาวชยาณี ภโู คกหนิ หนา้ ทร่ี ับผิดชอบปฏิบตั งิ านดงั น้ี
1) จดั ทารายงานตามท่กี าหนดในคู่มือการบญั ชีสาหรับหน่วยงานย่อย พ.ศ. 2515 หรือ ตามระบบ

การควบคุมการเงนิ ของหน่วยงานยอ่ ยพ.ศ. 2515 แลว้ แตก่ รณี
2) จัดทารายงานการรับจ่ายเงินรายได้สถานศึกษา ตามที่สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น

พืน้ ฐานกาหนด คอื ตามประกาศสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานว่าด้วยหลักเกณฑ์ อัตราและวิธีการนา
เงินรายได้สถานศึกษาไปจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาของสถานศึกษ าที่เป็นนิติบุคคลรายได้สถานศึกษาไป
จา่ ยเป็นคา่ ใชจ้ ่ายในการจดั การของสถานศกึ ษาทเี่ ปน็ นิตบิ คุ คลในสงั กดั เขตพนื้ ทก่ี ารศึกษา

18. การจดั ทาและจดั หาแบบพิมพบ์ ัญชี ทะเบยี นและรายงาน
ผู้รบั ผิดชอบ นางสาวชยาณี ภโู คกหิน หน้าที่รับผิดชอบปฏิบตั ิงานดงั นี้
1) แบบพิมพ์บัญชี ทะเบียนและแบบรายงานให้จัดทาตามแบบท่ีกาหนดในคู่มือการบัญชีสาหรับ

หนว่ ยงานยอ่ ย พ.ศ. 2515 หรอื ตามระบบการควบคุมการเงนิ ของหน่วยงานยอ่ ย พ.ศ. 2544

ห น้ า | 38

การบรหิ ารงานบุคคล

ห น้ า | 39

การบรหิ ารงานบคุ คล

หมายถึง การหาทางใช้คนที่อยู่ร่วมกันในองค์กรน้ัน ๆให้ทางานได้ผล ดีท่ีสุด ส้ินเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยท่ีสุด
ในขณะเดียวกันก็สามารถทาให้ผู้ร่วมงานมีความสุขมีความพอใจ ท่ีจะให้ความร่วมมือและทางานร่วมกับผู้บริหาร
เพ่อื ใหง้ านขององคก์ รน้นั ๆ สาเรจ็ ลลุ ว่ งไปด้วยดี

แนวคดิ
๑) ปจั จยั ทางการบริหารทัง้ หลายคนถอื เป็นปัจจัยทางการบริหารทส่ี าคญั ท่ีสุด
๒) การบริหารงานบุคคลจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลผู้บริหารจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจและมี

ความสามารถสงู ในการบริหารงานบุคคล
๓) การจดั บคุ ลากรให้ปฏิบัติงานได้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถจะมีส่วนทาให้บุคลากร มีขวัญกาลังใจ

มีความสุขในการปฏบิ ัติงาน สง่ ผลใหง้ านประสบผลสาเร็จอย่างมปี ระสิทธิภาพ
๔) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่องจะทาให้บุคลากร เปล่ียนแปลง

พฤตกิ รรมและกระตอื รือรน้ พฒั นางานให้ดีย่งิ ขึน้
๕) การบริหารงานบุคคลเน้นการมสี ว่ นร่วมของบคุ ลากรและผูม้ สี ว่ นได้เสียเปน็ สาคัญ

ขอบขา่ ยงานบุคลากร
๑. ส่งเสรมิ และพัฒนาระบบการบรหิ ารจัดการให้มีประสิทธภิ าพ
๒. สง่ เสรมิ ใหบ้ คุ ลากรในโรงเรียนปฏิบตั ติ ามในหนา้ ที่ตามมาตรฐานวิชาชพี และจรรยาบรรณวิชาชพี ครู
๓. ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของบุคลากรภายในโรงเรียนแก่ผู้เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง และมี

ประสิทธภิ าพ
๔. สง่ เสรมิ และสนับสนนุ ให้ครแู ละบคุ ลากรไดร้ บั การพัฒนาตามสมรรถนะวชิ าชพี ครู
๕. ประสานความร่วมมือระหวา่ งโรงเรยี น ผ้ปู กครอง และชมุ ชน ในการพัฒนา โรงเรยี น
๖. ส่งเสริมใหค้ ณะครปู ฏบิ ตั ิหน้าท่ดี ว้ ยความซ่ือสตั ย์สจุ ริต
๗. สง่ เสริมให้คณะครูปฏบิ ัติตนในการดาเนินชวี ิตโดยยดึ หลักเศรษฐกจิ พอเพียง

เป้าหมาย (Goals) ปีการศึกษา ๒๕๖๒ – ๒๕๖๕
๑. สง่ เสริมและพัฒนาระบบการบรหิ ารจดั การให้มีประสิทธภิ าพ
๒. สง่ เสรมิ ให้บคุ ลากรในโรงเรยี นปฏิบัตติ ามในหนา้ ทีต่ ามมาตรฐานวชิ าชีพ และจรรยาบรรณวชิ าชีพครู
๓. ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของบุคลากรภายในโรงเรียนแก่ผู้เก่ียวข้องอย่างทั่วถึง และมี

ประสทิ ธภิ าพ
๔. ส่งเสรมิ และสนับสนุนใหค้ รูและบุคลากรได้รับการพฒั นาตามสมรรถนะวิชาชีพครู
๕. ประสานความรว่ มมอื ระหว่างโรงเรียน ผปู้ กครอง และชมุ ชน ในการพฒั นา โรงเรยี น
๖. ส่งเสรมิ ใหค้ ณะครปู ฏิบตั หิ นา้ ทีด่ ้วยความซื่อสตั ยส์ จุ ริต
๗. ส่งเสรมิ ใหค้ ณะครปู ฏิบัตติ นในการดาเนนิ ชวี ิตโดยยดึ หลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง

ห น้ า | 40

วางแผนอัตรากาลัง/การกาหนดตาแหนง่
มีหน้าที่

๑. จดั ทาแผนงาน/โครงการ แผนปฏบิ ตั ิงานประจาปีและปฏทิ นิ ปฏิบัติงาน
2. จดั ทาแผนงานอตั รากาลังครู / การกาหนดตาแหน่งและความต้องการครใู นสาขาที่โรงเรยี นมคี วาม
ตอ้ งการ
3. จัดทารายงานอัตรากาลงั ครตู ่อหนว่ ยงานต้นสงั กัด

การสรรหาและบรรจุแตง่ ตั้ง
มหี นา้ ท่ี

1. วางแผนดาเนนิ การสรรหาและเลอื กสรรและกาหนดรายละเอยี ดแผนปฏบิ ัติงาน
2. กาหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการสรรหาการเลือกสรรคุณสมบตั ขิ องบุคคลที่รับสมคั ร
3. จดั ทาประกาศรบั สมัคร
4. รับสมคั ร
5. การตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร
6. ประกาศรายชอื่ ผมู้ ีสทิ ธิรับการประเมนิ
7. แตง่ ต้ังคณะกรรมการดาเนนิ การสรรหาและเลอื กสรร
8. สอบคัดเลอื ก
9. ประกาศรายชือ่ ผผู้ า่ นการเลือกสรร
10.การเรียกผูท้ ี่ผ่านการคดั เลือกมารายงานตวั
11.จัดทารายตอ่ หนว่ ยงานตน้ สงั กดั

การพัฒนาบคุ ลากร
มหี นา้ ที่

1. จดั ทาแผนงาน/โครงการ/แผนปฏิบตั ิการประจาปี
2. สารวจความตอ้ งการในการพัฒนาครูและบุคลากรในโรงเรียน
3. จัดทาแผนพัฒนาตนเองของครแู ละบคุ ลากรในโรงเรียน
4. สง่ เสรมิ และสนบั สนุนให้ครูและบุคลากรได้รบั การพัฒนา
5. จัดทาแฟ้มบุคลากรในโรงเรียน
6. ติดตาม ประเมนิ ผล สรุปรายงานผลการปฏบิ ัตงิ านเสนอผอู้ านวยการ
7. งานอ่ืนๆ ท่ีไดร้ บั มอบหมาย

ห น้ า | 41

การเลือ่ นขนั้ เงินเดือน
มหี นา้ ที่

1. จดั ทาแผนงาน/โครงการ/แผนปฏบิ ัติการประจาปี
2. นเิ ทศ ติดตามผลการปฏิบตั งิ านของครแู ละบุคลากรในโรงเรียน
3. ประชมุ คณะกรรมการในการพจิ ารณาเล่ือนขนั้ เงินเดือนประจาปี
4. จดั ทาบัญชีผู้ที่ไดร้ บั การพิจารณาเลอ่ื นขัน้ ประจาปโี ดยยึดหลักความโปร่ งใส คุณธรรมจรยิ ธรรมและการ

ปฏบิ ตั งิ านท่ีรบั ผิดชอบ
5. แตง่ ตั้งผทู้ ่ีได้รับการเลื่อนขนั้ เงินเดอื นรายงานต่อตน้ สงั กัด

เครอื่ งราชอิสริยาภรณ์
มีหน้าท่ี

1. จดั รวบรวมเอกสารในการเสนอขอพระราชทานเคร่ืองราชอิสรยิ าภรณ์
2. สารวจความต้องการขอพระราชทานเคร่อื งราชอิสริยาภรณ์ของคณะครูและบุคลากร
3. ส่งเสรมิ และสนบั สนนุ ขอพระราชทานเคร่ืองราชอสิ ริยาภรณ์ของคณะครูและบุคลากรในโรงเรยี น
4. จดั ทาแฟ้มข้อมูลการไดร้ บั พระราชทานเครื่องราชอสิ ริยาภรณ์ของคณะครูและบุคลากรในโรงเรียน

วนิ ยั และการรักษาวินยั
มีหน้าที่

1. จัดรวบรวมเอกสารเกย่ี ววนิ ยั และการรักษาวินยั ของข้าราชการครแู ละบคุ ลากรในโรงเรียน
2. จัดทาแฟ้มข้อมลู เกีย่ วกับการทาผดิ เก่ียวกับวินัยของข้าราชการครูและบคุ ลากรในโรงเรยี น

สวสั ดกิ ารครู
มีหนา้ ท่ี

๑.วางแผนดาเนนิ งานเก่ยี วกบั สวสั ดิการของครูและบุคลากรในโรงเรียน
๒. มอบของขวัญเป็นกาลงั ใจในวนั สาคญั ต่างๆ วนั เกดิ แสดงความยนิ ดที ผ่ี ่านการประเมินครชู านาญการ
พเิ ศษ ของครูและบุคลากรในโรงเรียน
๓. ซ้อื ของเยี่ยมไขเ้ มื่อเจ็บป่วยหรือนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

ห น้ า | 42

สามะโนนักเรยี น/รบั นักเรียน
มหี นา้ ที่

1. วางแผนในการจัดทาสามะโนนักเรียน
2. สามะโนนักเรียนในเขตหมู่ 2 , ๔ , ๕ , 6 และหมู่ 11 ซงึ่ เป็นเขตบรกิ ารของโรงเรียน
3. จดั ทาเอกสารการรับสมัครนกั เรียน เด็กเลก็ ชัน้ อนุบาล ๑ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ และมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑
4. เปดิ รบั สมคั รนกั เรียน เด็กเลก็ ชนั้ อนุบาล ๑ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ และมัธยมศึกษาปีที่ ๑
5. จดั ทาแฟ้มนักเรียน เด็กเล็ก ชนั้ อนุบาล ๑ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ และมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๑
6. สรุปการจดั ทาสามะโนนกั เรยี นรายงานหน่วยงานตน้ สังกัด

การปฏิบัติราชการของขา้ ราชการครู
๑. การลา การลาแบ่งออกเปน็ ๙ ประเภท คือ

๑. การลาปว่ ย
๒. การลาคลอดบุตร
๓. การลากิจส่วนตวั
๔. การลาพกั ผอ่ น
๕. การลาอปุ สมบทหรอื การลาไปประกอบพิธฮี จั ย์
๖. การลาเข้ารับการตรวจเลอื กหรอื เข้ารบั การเตรยี มพล
๗. การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน หรอื ปฏิบตั ิการวิจัย
๘. การลาไปปฏบิ ตั งิ านในองค์การระหว่างประเทศ
๙. การลาติดตามคสู่ มรส

การลาปว่ ย ขา้ ราชการซง่ึ ประสงค์จะลาปว่ ยเพือ่ รกั ษาตวั ใหเ้ สนอหรอื จดั ส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลาดับ
จนถงึ ผมู้ อี านาจอนุญาตกอ่ นหรอื ในวนั ทล่ี าเว้นแต่ในกรณจี าเป็นจะเสนอหรือจัดส่งใบลา ในวันแรกท่ีมาปฏิบัติราชการ
กไ็ ด้ ในกรณีท่ขี า้ ราชการผขู้ อลามีอาการปว่ ยจนไม่สามารถจะลงช่ือในใบลาได้จะให้ผู้อื่นลาแทนก็ได้ แต่เมื่อสามารถ
ลงชื่อไดแ้ ลว้ ให้เสนอหรอื จดั ส่งใบลาโดยเรว็ การลาปว่ ยตง้ั แต่ ๓๐ วันขน้ึ ไป ต้องมใี บรบั รองของแพทยซ์ ึ่งเป็นผู้ที่ได้ขึ้น
ทะเบียนและ รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแนบไปกับใบลาด้วย ในกรณีจาเป็นหรือเห็นสมควรผู้มี
อานาจอนุญาตจะส่งั ใหใ้ ชใ้ บรับรองของแพทย์ซึ่งผู้มีอานาจอนุญาตเห็นชอบแทนก็ได้ การลาป่วยไม่ถึง ๓๐ วัน ไม่ว่า
จะเป็นการลาคร้งั เดียวหรือหลายครงั้ ติดต่อกัน ถา้ ผู้มอี านาจ อนุญาตเห็นสมควร จะสั่งใหม้ ีใบรบั รองแพทย์ตามวรรค
สามประกอบใบลา หรือส่งั ใหผ้ ลู้ าไปรับการ ตรวจจากแพทยข์ องทางราชการเพอ่ื ประกอบการพิจารณาอนุญาตกไ็ ด้

การลาคลอดบุตร ข้าราชการซ่ึงประสงค์จะลาคลอดบุตร ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชา
ตามลาดับ จนถึงผู้มีอานาจอนุญาตก่อนหรือในวันท่ีลา เว้นแต่ไม่สามารถจะลงชื่อในใบลาได้ จะให้ผู้อ่ืนลาแทน ก็ได้
แต่เมื่อสามารถลงช่ือได้แล้วให้เสนอหรือจัดส่งใบลาโดยเร็ว และมีสิทธิลาคลอดบุตรโดยได้รับ เงินเดือนครั้งหนึ่งได้
การลาคลอดบตุ รจะลาในวันทค่ี ลอดก่อนหรือหลงั วนั ทคี่ ลอดบตุ รก็ได้ แตเ่ มื่อรวมวนั ลาแล้ว ต้องไม่เกนิ ๙๐ วนั

ห น้ า | 43

การลากจิ ส่วนตัว ข้าราชการซงึ่ ประสงค์จะลากจิ ส่วนตวั ให้เสนอหรือจดั สง่ ใบลาตอ่ ผูบ้ ังคับบัญชาตามลาดับ
จนถึงผู้มอี านาจอนญุ าต และเม่ือได้รับอนุญาตแล้วจึงจะหยุดราชการได้ เว้นแต่มีเหตุจาเป็น ไม่สามารถรอรับอนุญาต
ไดท้ ันจะเสนอหรือจัดส่งใบลาพรอ้ มด้วยระบุเหตจุ าเป็นไว้แลว้ หยุดราชการ ไปก่อนก็ได้ แต่จะต้องชี้แจงเหตุผลให้ผู้มี
อานาจอนญุ าตทราบโดยเรว็ ในกรณมี เี หตุพิเศษทไี่ ม่อาจเสนอหรอื จัดส่งใบลาก่อนตามวรรคหน่ึงได้ ให้เสนอหรือจัดส่ง
ใบลาพร้อมทั้งเหตุผลความจาเป็นต่อผู้บังคับบัญชาตามลาดับจนถึงผู้มีอานาจอนุญาตทันทีในวันแรก ที่มาปฏิบัติ
ราชการ ขา้ ราชการมสี ิทธลิ ากจิ สว่ นตวั โดยไดร้ บั เงินเดือนปลี ะไมเ่ กนิ ๔๕ วันทาการ ข้าราชการท่ีลาคลอดบุตรตาม
ข้อ ๑๘ แล้ว หากประสงค์จะลากิจส่วนตัวเพ่ือเล้ียงดูบุตรให้มี สิทธิลาต่อเน่ืองจากการลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน ๑๕๐
วันทาการ โดยไมม่ ีสิทธไิ ดร้ ับเงินเดอื นระหวา่ งลา

การลาพกั ผ่อน ข้าราชการมสี ทิ ธลิ าพกั ผอ่ นประจาปใี นปีหนึง่ ได้ ๑๐ วนั ทาการ
เว้นแตข่ า้ ราชการดงั ต่อไปน้ี ไมม่ ีสิทธิลาพักผอ่ นประจาปใี นปีทีไ่ ดร้ บั บรรจเุ ขา้ รบั ราชการยังไมถ่ งึ ๖ เดอื น

๑. ผู้ซึ่งได้รบั บรรจุเขา้ รบั ราชการเปน็ ข้าราชการคร้ังแรก ผซู้ ึง่ ลาออกจากราชการเพราะเหตสุ ว่ นตัว แล้วต่อมา
ได้รับบรรจุเข้ารบั ราชการอีก

๒. ผู้ซึง่ ลาออกจากราชการเพ่ือดารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง หรือเพ่อื สมัครรับเลอื กตง้ั
แล้ว ตอ่ มาได้รับบรรจเุ ข้ารบั ราชการอีกหลัง ๖ เดือน นบั แต่วนั ออกจากราชการ

๓. ผู้ซึ่งถูกส่ังให้ออกจากราชการในกรณีอื่น นอกจากกรณีไปรับราชการทหารตามกฎหมาย ว่าด้วยการรับ
ราชการทหารและกรณไี ปปฏิบตั ิงานใด ๆ ตามความประสงคข์ องทางราชการ แล้วต่อมา ได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีก
ถ้าในปีใดข้าราชการผู้ใดมิได้ลาพักผ่อนประจาปีหรือลาพักผ่อนประจาปี แล้วแต่ไม่ครบ ๑๐ วันทาการ ให้สะสมวันที่
ยังมิได้ลาในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อ ๆไปได้ แต่วันลาพักผ่อน สะสมรวมกับวันลาพักผ่อนในปีปัจจุบันจะต้องไม่เกิน ๒๐
วันทาการ สาหรับผู้ท่ีได้รับราชการติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี ให้มีสิทธินาวันลาพักผ่อนสะสม รวมกับวันลา
พักผ่อนในปปี ัจจุบันไดไ้ ม่เกนิ ๓๐ วันทาการ

การลาอปุ สมบทหรือการลาไปประกอบพธิ ฮี จั ย์ ข้ า ร า ช ก า ร ซึ่ ง ป ร ะ ส ง ค์ จ ะ ล า อุ ป ส ม บ ท ใ น
พระพุทธศาสนา หรือข้าราชการที่นับถือศาสนา อิสลามซ่ึงประสงค์จะลาไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ เมืองเมกกะประเทศ
ซาอุดีอาระเบียให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลาดับจนถึงผู้มีอานาจพิจารณาหรืออนุญา ตก่อนวัน
อปุ สมบท หรอื ก่อนวนั เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ไม่น้อยกว่า ๖๐ วัน ในกรณีมีเหตุพิเศษไม่อาจเสนอหรือจัดส่งใบลา
ก่อนตามวรรคหน่งึ ให้ชแ้ี จงเหตุผลความ จาเป็นประกอบการลา และใหอ้ ยู่ในดลุ พนิ ิจของผู้มีอานาจที่จะพิจารณาให้ลา
หรือไมก่ ็ได้ ขา้ ราชการทีไ่ ด้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตใหล้ าอุปสมบทหรือได้รบั อนุญาตให้ลาไป ประกอบพิธี
ฮัจย์แล้วจะต้องอุปสมบทหรือออกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ภายใน ๑๐ วัน นับแต่ วันเร่ิมลา และจะต้องกลับมา
รายงานตัวเข้าปฏิบัติราชการภายใน ๕ วัน นับแต่วันท่ีลาสิกขา หรือ วันท่ีเดินทางกลับถึงประเทศไทยหลังจากการ
เดินทางไปประกอบพธิ ีฮัจย์

ห น้ า | 44

การลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล ข้าราชการที่ได้รับหมายเรียกเข้ารับการตรวจเลือก
ใหร้ ายงานลาตอ่ ผบู้ งั คบั บัญชาก่อนวนั เข้ารบั การตรวจเลือกไม่น้อยกว่า ๔๘ ช่ัวโมง ส่วนข้าราชการที่ได้รับหมายเรียก
เข้ารบั การเตรียมพล ให้รายงานลาต่อผู้บังคับบัญชาภายใน ๔๘ ช่ัวโมง นับแต่เวลารับหมายเรียกเป็นต้นไป และให้ไป
เข้า รับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพลตามวันเวลาในหมายเรียกน้ันโดยไม่ต้องรอรับคาสั่ง อนุญาต และให้
ผูบ้ ังคบั บัญชาเสนอรายงานลาไปตามลาดับจนถึงหวั หนา้ สว่ นราชการ หรือหวั หนา้ สว่ นราชการข้ึนตรง

การลาไปศึกษา ฝึกอบรมดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย ข้าราชการซ่ึงประสงค์จะลาไปศึกษาฝึกอบรม ดูงาน
หรือปฏิบัติการวิจัย ณ ต่างประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลาดับจนถึงปลัดกระทรวงหรือ
หัวหนา้ ส่วนราชการขึน้ ตรงเพ่ือพจิ ารณาอนุญาตสาหรบั การลาไปศึกษาฝึกอบรมดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัยในประเทศ
ให้เสนอหรือจัดส่ง ใบลาตามลาดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการ หรือหัวหน้าส่วนราชการข้ึนตรงเพ่ือพิจารณาอนุญาต
เว้นแต่ข้าราชการกรุงเทพมหานครให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อปลัดกรุงเทพมหานคร สาหรับหัวหน้า ส่วนราชการให้
เสนอหรือจดั ส่งใบลาต่อปลัดกระทรวง หัวหน้าสว่ นราชการขึ้นตรงและขา้ ราชการ ในราชบัณฑิตยสถานให้เสนอหรือ
จัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดส่วนปลัดกรุงเทพมหานครให้เสนอ หรือจัดส่งใบลาต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
เพ่อื พิจารณาอนุญาต

การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปปฏิบัติงานในองค์การ
ระหว่างประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลา ต่อผู้บังคับบัญชาตามลาดับจนถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพ่ือพิจารณา โดยถือ
ปฏิบตั ิตามหลักเกณฑ์ ที่กาหนด

การลาติดตามคู่สมรส ข้าราชการซึ่งประสงค์ติดตามคู่สมรสให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชา
ตามลาดบั จนถึงปลดั กระทรวงหรอื หัวหน้าส่วนราชการขึน้ ตรงแลว้ แตก่ รณี เพือ่ พจิ ารณาอนุญาตให้ลาได้ไม่เกิน สองปี
และในกรณีจาเป็นอาจอนุญาตให้ลาได้อีกสองปี แต่เม่ือรวมแล้วต้องไม่เกินสี่ปี ถ้าเกินส่ีปี ให้ลาออกจากราชการ
สาหรับปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง และข้าราชการ ในราชบัณฑิตยสถานให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อ
รัฐมนตรีเจ้าสังกัด ส่วนปลัดกรุงเทพมหานครให้เสนอ หรือจัดส่งใบลาต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณา
อนญุ าต

ห น้ า | 45

วนิ ัยและการดาเนนิ การทางวนิ ยั
วินยั : การควบคุมความประพฤติของคนในองค์กรให้เปน็ ไปตามแบบแผนท่ีพงึ ประสงค์
วนิ ยั ขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา : ขอ้ บญั ญัตทิ ่ีกาหนดเป็นข้อห้ามและ ขอ้ ปฏิบัตติ าม
หมวด ๖ แหง่ พระราชบญั ญัติระเบยี บขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติมฉบบั
ที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๑
โทษทางวินัย มี ๕ สถาน คอื
วินัยไม่รา้ ยแรง มีดังนี้
๑. ภาคทัณฑ์
๒. ตัดเงนิ เดือน
๓. ลดข้ันเงินเดือน
วินยั ร้ายแรง มีดังน้ี
๔. ปลดออก
๕. ไล่ออก
การวา่ กล่าวตักเตือนหรือการทาทัณฑ์บนไม่ถือว่าเปน็ โทษทางวนิ ยั ใชใ้ นกรณที ่เี ปน็ ความผิด เล็กน้อยและมี
เหตอุ นั ควรงดโทษ การวา่ กล่าวตักเตือนไมต่ ้องทาเปน็ หนังสอื
แตก่ ารทาทัณฑบ์ นตอ้ งทาเป็นหนังสือ(มาตรา ๑๐๐ วรรคสอง)
โทษภาคทณั ฑ์
ใช้ลงโทษในกรณีที่เปน็ ความผิดเล็กนอ้ ยหรือมเี หตอุ นั ควรลดหย่อน โทษภาคทณั ฑไ์ ม่ต้องหา้ มการเลอ่ื นขนั้ เงนิ เดือน
โทษตัดเงนิ เดือนและลดขนั้ เงินเดือน
ใชล้ งโทษในความผดิ ทไี่ มถ่ ึงกับเปน็ ความผิดร้ายแรง และไม่ใช่กรณีที่เปน็ ความผดิ เลก็ น้อย
โทษปลดออกและไล่ออก
ใชล้ งโทษในกรณที เ่ี ป็นความผดิ วนิ ัยรา้ ยแรงเท่าน้ัน
การลดโทษความผดิ วินยั รา้ ยแรง
หา้ มลดโทษตา่ กว่าปลดออก ผ้ถู กู ลงโทษปลดออกมสี ิทธไิ ด้รับบาเหน็จบานาญเสมือนลาออก
การสง่ั ให้ออกจากราชการไม่ใชโ่ ทษทางวินยั
วนิ ยั ไม่รา้ ยแรง ได้แก่
๑. ไม่สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทยดว้ ยความบรสิ ทุ ธใิ์ จ
๒. ไม่ปฏิบัติหน้าท่ีราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสมอภาค และเที่ยงธรรม ต้องมีความวิริยะ อุตสาหะ
ขยันหมั่นเพียร ดูแลเอาใจใส่ รักษาประโยชน์ของทางราชการ และต้องปฏิบัติตน ตามมาตรฐานและจรรยาบรรณ
วชิ าชีพ
๓. อาศัยหรือยอมให้ผู้อ่ืนอาศัยอานาจและหน้าที่ราชการของตนไม่ว่าจะโดยทางตรง หรือ ทางอ้อมหา
ประโยชนใ์ ห้แก่ตนเองและผู้อ่ืน

ห น้ า | 46

๔. ไมป่ ฏิบตั หิ น้าทรี่ าชการใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายระเบยี บแบบแผนของทางราชการและ หน่วยงานการศึกษา
มตคิ รม. หรอื นโยบายของรฐั บาลโดยถอื ประโยชนส์ งู สุดของผเู้ รยี น และไมใ่ ห้ เกิดความเสียหายแกร่ าชการ

๕. ไม่ปฏิบัติตามคาส่ังของผู้บังคับบัญชาซ่ึงสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและ ระเบียบของทาง
ราชการแต่ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตามคาสั่งนั้นจะทาให้เสียหายแก่ราชการ หรือจะ เป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทาง
ราชการจะเสนอความเห็นเป็นหนังสือภายใน ๗ วัน เพื่อให้ผู้บังคับ บัญชาทบทวนคาส่ังก็ได้ และเม่ือเสนอความเห็น
แล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชายืนยันเป็นหนงั สอื ให้ปฏบิ ตั ิ ตามคาสงั่ เดิม ผอู้ ยู่ใตบ้ งั คับบัญชาต้องปฏิบัตติ าม

๖. ไม่ตรงตอ่ เวลา ไม่อทุ ิศเวลาของตนให้แก่ทางราชการและผู้เรยี น ละทงิ้ หรือทอดทิ้งหน้าท่ี ราชการโดยไม่มี
เหตผุ ลอนั สมควร

๗. ไม่ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียนชุมชน สังคม ไม่สุภาพเรียบร้อยและรักษา ความสามัคคี ไม่
ชว่ ยเหลอื เกอื้ กูลตอ่ ผเู้ รียนและข้าราชการด้วยกัน หรือผู้ร่วมงานไม่ต้อนรับหรือ ให้ความสะดวก ให้ความเป็นธรรมต่อ
ผ้เู รียนและประชาชนผมู้ าตดิ ต่อราชการ

๘. กล่ันแกลง้ กล่าวหา หรอื รอ้ งเรยี นผูอ้ น่ื โดยปราศจากความเปน็ จรงิ
๙. กระทาการหรือยอมให้ผู้อ่ืนกระทาการหาประโยชน์อันอาจทาให้เสื่อมเสียความเที่ยงธรรม หรือเส่ือมเสีย
เกียรติศักดใิ์ นตาแหน่งหน้าทร่ี าชการของตน
๑๐. เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือผู้จัดการ หรือดารงตาแหน่งอื่นใดที่มีลักษณะงานคล้ายคลึงกันน้ัน ในห้าง
หนุ้ ส่วนหรอื บริษัท
๑๑. ไม่วางตนเป็นกลางทางการเมืองในการปฏิบัติหน้าท่ี และในการปฏิบัติการอ่ืนท่ีเก่ียวข้อง กับประชาชน
อาศัยอานาจและหน้าท่ีราชการของตนแสดงการฝกั ใฝส่ ่งเสริม เก้อื กูล สนบั สนุนบุคคล กลุ่มบุคคลหรือพรรคการเมือง
ใด
๑๒. กระทาการอันใดอนั ได้ชอื่ วา่ เปน็ ผปู้ ระพฤติช่วั
๑๓. เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัย ไม่ป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา กระทาผิดวินัย
หรือละเลย หรือมีพฤติกรรมปกป้อง ช่วยเหลือมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาถูกลงโทษทางวินัย หรือปฏิบัติหน้าท่ีดังกล่าว
โดยไมส่ จุ ริต
วนิ ยั รา้ ยแรง ไดแ้ ก่
๑. ทจุ รติ ต่อหน้าที่ราชการ
๒. จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษามติครม.หรือ
นโยบายของรัฐบาลประมาทเลินเล่อหรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ ของทางราชการอันเป็นเหตุให้
เกิดความเสยี หายแก่ราชการอยา่ งรา้ ยแรง
๓. ขดั คาสั่งหรอื หลีกเลยี่ งไม่ปฏิบตั ิตามคาส่งั ของผู้บังคับบญั ชาซงึ่ ส่ังในหนา้ ทรี่ าชการ
โดยชอบดว้ ยกฎหมายและระเบยี บของทางราชการอันเปน็ เหตุใหเ้ สยี หายแก่ราชการอย่างรา้ ยแรง
๔. ละทิ้งหน้าท่ีหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่าง
ร้ายแรง
๕. ละท้งิ หน้าทร่ี าชการตดิ ตอ่ ในคราวเดยี วกนั เป็นเวลาเกนิ กว่า ๑๕ วัน โดยไมม่ เี หตผุ ลอนั สมควร

ห น้ า | 47

๖. กลน่ั แกล้ง ดูหมน่ิ เหยยี ดหยาม กดข่ี หรอื ขม่ เหงผ้เู รยี นหรือประชาชนผูม้ าติดต่อราชการ อย่างรา้ ยแรง
๗. กลน่ั แกล้ง กล่าวหา หรือร้องเรียนผู้อื่นโดยปราศจากความเป็นจริง เป็นเหตุให้ผู้อ่ืนได้รับ ความเสียหาย
อย่างร้ายแรง
๘. กระทาการหรือยอมให้ผู้อ่ืนกระทาการหาประโยชน์อันอาจทาให้เสื่อมเสียความเที่ยงธรรม หรือเสื่อมเสีย
เกียรติศักด์ิในตาแหน่งหน้าท่ีราชการโดยมุ่งหมายจะให้เป็นการซ้ือขายหรือให้ได้รับ แต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งหรือวิทย
ฐานะใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นการกระทาอันมีลักษณะ เป็นการให้หรือได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิ
ประโยชนอ์ ื่นเพื่อให้ตนเองหรือผู้อืน่ ได้รับการบรรจุและ แตง่ ต้งั โดยมชิ อบ
๙. คดั ลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบหรือนาเอาผลงานทางวิชาการของผู้อื่น หรือ
จ้างวาน ใชผ้ อู้ ่ืนทาผลงานทางวชิ าการเพื่อไปใช้ในการเสนอขอปรับปรุงการกาหนดตาแหน่ง การเล่ือนตาแหน่ง การ
เลือ่ นวิทยฐานะ หรือการให้ไดร้ บั เงินเดอื นในระดับที่สงู ขึ้น
๑๐. รว่ มดาเนนิ การคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานของผู้อ่ืนโดยมิชอบ หรือรับจัดทาผลงานทางวิชาการ ไม่ว่า
จะมคี า่ ตอบแทนหรอื ไมเ่ พื่อใหผ้ ้อู ่นื นาผลงานนัน้ ไปใชป้ ระโยชน์เพื่อปรบั ปรุงการกาหนดตาแหน่งเล่ือนตาแหน่ง เลื่อน
วิทยฐานะ หรอื ให้ไดร้ ับเงินเดอื นในอันดับท่สี งู ข้ึน
๑๑. เข้าไปเกีย่ วข้องกับการดาเนินการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการทุจริตโดยการซื้อสิทธิหรือขายเสียงในการ
เลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถ่ินหรือการเลือกตั้งอ่ืนท่ีมีลักษณะเป็นการส่งเสริมการ
ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยรวมทัง้ การส่งเสรมิ สนบั สนุน หรือ ชักจูงให้ผอู้ ่ืนกระทาการในลกั ษณะเดียวกนั
๑๒. กระทาความผดิ อาญาจนไดร้ บั โทษจาคุก หรือโทษท่ีหนักกว่าจาคุกโดยคาพิพากษาถึงท่ีสุด ให้จาคุกหรือ
ใหร้ ับโทษท่หี นักกว่าจาคุก เว้นแต่เป็นโทษสาหรบั ความผิดทไ่ี ด้กระทาโดยประมาท หรือลหุโทษ หรอื กระทาการอ่ืนใด
อนั ได้ชื่อว่าเป็นผูป้ ระพฤติชั่วอยา่ งรา้ ยแรง
๑๓. เสพยาเสพตดิ หรือสนบั สนุนใหผ้ อู้ นื่ เสพยาเสพตดิ
๑๔. เลน่ การพนันเป็นอาจณิ
๑๕. กระทาการลว่ งละเมิดทางเพศต่อผเู้ รียนหรอื นักศึกษาไม่วา่ จะอยูใ่ นความดแู ลรับผดิ ชอบ ของตนหรือไม่

การดาเนนิ การทางวินยั
การดาเนนิ การทางวินัย กระบวนการและข้ันตอนการดาเนินการในการออกคาส่ังลงโทษ ซึ่งเป็นขั้นตอนท่ีมี
ลาดับก่อนหลังตอ่ เนือ่ งกัน อันได้แก่ การต้ังเร่อื งกลา่ วหาการสืบสวนสอบสวน การพจิ ารณาความผิดและกาหนดโทษ
และการสงั่ ลงโทษรวมทั้งการดาเนินการต่าง ๆ ในระหวา่ งการสอบสวนพจิ ารณา เชน่ การสั่งพกั การสั่งให้ออกไว้ก่อน
เพอ่ื รอฟงั ผลการสอบสวนพจิ ารณา

หลักการดาเนนิ การทางวินยั
๑. กรณีที่ผู้บังคับบัญชาพบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ใดกระทาผิดวินัยโดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้ว
ผู้บังคบั บญั ชากส็ ามารถดาเนนิ การทางวนิ ยั ได้ทันที
๒. กรณีท่ีมีการร้องเรียนด้วยวาจาให้จดปากคา ให้ผู้ร้องเรียนลงลายมือช่ือและวัน เดือน ปี พร้อมรวบรวม
พยานหลกั ฐานอ่ืนๆ ประกอบการพิจารณาแล้วดาเนินการให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริง โดยต้ังกรรมการสืบสวนหรือสั่ง


Click to View FlipBook Version