Larynx
กลอ่ งเสียง หรือ ลารงิ ซ์ (larynx) เปน็ อวยั วะในคอของสตั วเ์ ลีย้ งลูกดว้ ย
น้านมทีท่ า้ หน้าทีใ่ นการปอ้ งกันท่อลม (trachea) และการท้าให้เกดิ เสียง ใน
กล่องเสียงมีสายเสียงแทห้ รือเส้นเสียงแท้ (vocal fold) ซึง่ อยู่ใตบ้ รเิ วณทีค่ อ
หอย (pharynx) แยกออกเปน็ ทอ่ ลมและหลอดอาหาร (esophagus)
Stomach
กระเพาะอาหาร เป็นอวัยวะของทางเดนิ อาหารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ
ย่อยอาหารทีผ่ า่ นการเคีย้ วภายในชอ่ งปากมาแล้ว กระเพาะอาหารยังเป็น
อวัยวะที่มีสภาพแวดล้อมเป็นกรด
Ingestion
การรับประทาน, กลืนกนิ เขา้ ไว้ภายในเซลล์, การกนิ , การกลืน,
การกลืนกิน
Pharynx
คอหอยเปน็ ส่วนหนึง่ ของระบบทางเดนิ อาหารและระบบทางเดนิ หายใจของ
สิง่ มีชีวติ หลายชนิด เนื่องจากทั้งอาหารและอากาศตา่ งผา่ นเขา้ สู่คอหอย
รา่ งกายมนุษยจ์ งึ มีแผ่นเนื้อเยือ่ เกีย่ วพนั เรียกว่า ฝาปิดกล่องเสียง
(epiglottis) ปดิ ช่องทอ่ ลมเมือ่ มีการกลืนอาหาร เพือ่ ปอ้ งกันการส้าลัก ใน
มนุษย์ คอหอยยงั มีความสา้ คัญในการออกเสียง
Small intestine
ล้าไสเ้ ล็ก เป็นสว่ นทีย่ าวทีส่ ุดของทางเดินอาหาร ตอ่ มาจากกระเพาะอาหาร
มีความยาวประมาณ 7-8 เมตร ผนังด้านในของลา้ ไส้เลก็ มีลักษณะเปน็ ลอน
ตามขวาง มีส่วนยื่นเลก็ ๆมากมายเปน็ ตุ่ม เรยี กว่า วิลลัส (Villus พหพู จน์
เรยี กว่า Villi) เพือ่ เพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซมึ สารอาหารทีย่ อ่ ยแลว้ ไดอ้ ย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ
Jejunum
ลา้ ไสเ้ ล็กส่วนกลาง อยูร่ ะหว่างลา้ ไสเ้ ล็กสว่ นต้นและล้าไสเ้ ลก็ สว่ นปลาย ใน
มนุษย์โตเต็มวัย ล้าไส้เล็กมีความยาวประมาณ 6-7 เมตร สองในหา้ ของความ
ยาวล้าไสเ้ ลก็ คือความยาวของล้าไส้เลก็ ส่วนกลาง ซง่ึ เทา่ กับความยาว
ประมาณ 2.5 เมตร โดยลา้ ไส้เลก็ สว่ นกลางนีเ้ ปน็ สว่ นที่มีวลิ ไลมากที่สุดและมี
การดูดซมึ มากที่สุดดว้ ย
Caecum
กระเปาะลา้ ไส้ใหญ่ เปน็ ลา้ ไสใ้ หญส่ ่วนแรก ต่อจากล้าไส้เลก็ ส่วนไอเลียม ทา้
หน้าที่รบั กากอาหารจากลา้ ไส้เลก็ ที่ซีกัมมีสว่ นของไสต้ ิง่ (Vermifrom
appendix) ยืน่ ออกมา
Duodenum
ดูโอดีนมั มีรูปรา่ งเหมือนตวั ยูคลุมอยูร่ อบๆบรเิ วณส่วนหัวของตบั อ่อนภายในดู
โอดีนมั มีตอ่ มสรา้ งนา้ ยอ่ ยและเป็นต้าแหนง่ ที่ของเหลวจากตบั ออ่ นและน้าดี
จากตับมาเปดิ เข้า จงึ เป็นตา้ แหนง่ ทีม่ ีการยอ่ ยเกิดข้นึ มากทีส่ ุด
Gallbladder
ถุงน้าดี อวัยวะบรเิ วณช่องท้องที่ทา้ หนา้ ที่ในการกักเก็บน้าดี ทา้ ให้น้าดี
เขม้ ขน้ เพื่อพร้อมส้าหรบั ย่อยไขมัน
Pancreas
ตบั ออ่ น เป็นอวยั วะซึง่ เปน็ ต่อมในระบบยอ่ ยอาหารและระบบต่อมไร้ทอ่ ใน
สัตวม์ ีกระดกู สันหลงั ในมนุษย์ ตบั อ่อนอยู่ในชอ่ งทอ้ งหลงั กระเพาะอาหาร
เป็นตอ่ มไร้ทอ่ ซึ่งผลติ ฮอร์โมนส้าคญั หลายชนิด รวมถงึ อนิ ซูลนิ กลูคากอน
โซมาโตสเตติน และแพนคริเอติกพอลิเพพไทดซ์ ่งึ ไหลเวียนอยู่ในเลือด ตบั
อ่อนเป็นอวัยวะยอ่ ยอาหาร โดยหลั่งนา้ ยอ่ ยตับออ่ นซึเอนไซมย์ อ่ ยอาหารที่
ช่วยการย่อยและดูดซึมสารอาหารในล้าไสเ้ ลก็ เอนไซมเ์ หลา่ นี้ช่วยสลาย
คาร์โบไฮเดรต โปรตีนและลิพิดในไคม์ (chyme)
Alveolus
ถุงลม ถุงทีม่ ีผนังเปน็ เยือ่ บาง ๆ ยืดหยุ่นได้ อยูป่ ลายสุดของแขนงข้ัวปอด
รอบ ๆ ถุงมีหลอดเลือดฝอยหุ้มอยูเ่ ป็นจา้ นวนมาก เปน็ ทีแ่ ลกเปลี่ยนแก๊ส
ออกซเิ จนและคาร์บอนไดออกไซด์
Nasal cavity
โพรงจมูก แบ่งออกเปน็ สว่ นผนงั ด้านขา้ งของโพรงจมูก (lateral nasal wall)
อยู่ทางด้านข้างทัง้ ซ้ายและขวา และผนังกัน้ ช่องจมูก (septum) อยูต่ รงกลาง
Trachea
หลอดลม เป็นส่วนหนง่ึ ของระบบหายใจ มีหน้าทีห่ ลัก คือ การน้าสง่ อากาศ
จากภายนอกรา่ งกายเขา้ สู่ปอดเพื่อทา้ หน้าที่ในการแลกเปลีย่ นก๊าซ
ออกซิเจนเขา้ สู่เลือด และนา้ กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกจากรา่ งกาย
หลอดลมของมนุษยเ์ รม่ิ ตัง้ แตส่ ่วนที่ต่อจากกล่องเสียง (Larynx) ลงไปสนิ้ สดุ ที่
ถุงลม
Gill
เหงือก อวัยวะทีใ่ ชส้ ้าหรับหายใจของสตั ว์บางชนิดทีอ่ าศัยอยูใ่ นน้า เชน่ ปลา
กุง้ ปู เปน็ ตน้
Emphysema
โรคถุงลมโป่งพอง ถือเปน็ สว่ นหนง่ึ ของโรคปอดอุดกั้นเรอ้ื รัง ซ่ึงโรคปอดอุด
กัน้ เรอ้ื รงั ประกอบไปดว้ ยโรคหลอดลมอักเสบและถุงลมโปง่ พอง โดยปกตแิ ลว้
จะพบลักษณะของ 2 โรคน้รี ่วมกัน แต่หากตรวจพบวา่ ปอดมีพยาธิสภาพของ
ถงุ ลมที่โป่งพองออกเป็นลักษณะเด่น ก็จะเรียกวา่ “โรคถงุ ลมโปง่ พอง”
สาเหตุหลักเกดิ จากการสูบบุหรี่
Pneumonia
ปอดอักเสบ เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของ เนือ้ ปอดบรเิ วณหลอดลมฝอย
ส่วนปลาย (terminal และ respiratory bronchiole) ถุงลม (alveoli) และ
เนือ้ เยื่อรอบถุงลม (interstitium) ซง่ึ มีสาเหตุจากการตดิ เชื้อ
Asthma
โรคหอบหืด เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของเยือ่ บุหลอดลม ร่วมกับภาวะ
ผดิ ปกตขิ องหลอดลมที่ไวต่อสิง่ กระตุ้นตา่ งๆ มากกวา่ ปกติ เมือ่ ผู้ป่วยสมั ผัสกับ
ส่ิงกระต้นุ กล้ามเนือ้ บรเิ วณหลอดลมจะเกดิ การหดเกร็ง ผนงั หลอดลมบวม
หนาข้นึ และสรา้ งสารคดั หลั่งหรอื เสมหะมากข้นึ ท้าให้หลอดลมตีบแคบลง
ผูป้ ว่ ยจึงหายใจล้าบาก มีอาการเหนอ่ื ยหอบ
Main bronchus
หลอดลมของปอด เป็นแขนงของหลอดลมใหญ่ ซ่ึงอยูใ่ นแต่ละข้างของปอด
เรมิ่ ต้นต่อจากหลอดลมใหญล่ ึกเขา้ ไปในเนือ้ ปอด หลอดลมเหลา่ นีเ้ มือ่ อยู่ลกึ เข้า
ไป กจ็ ะมีการแตกแขนงแยกยอ่ ยลงไปอีกตามตา้ แหนง่ ของเนือ้ ปอด
Bronchiole
หลอดลมฝอย เปน็ แขนงยอ่ ยของหลอดลมของปอด หลอดลมฝอยเหล่านี้
บางส่วนนอกจากจะสามารถนา้ กา๊ ซเขา้ สูป่ อดได้แล้ว ยังสามารถท้าหน้าที่ใน
การแลกเปลี่ยนกา๊ ซได้ด้วย แต่ไมเ่ ปน็ หน้าที่หลักเหมือนถงุ ลม
Air sac
ถุงลมนก ถุงทีแ่ ยกออกไปจากปอดและข้วั ปอดหลายถุง มีแขนงติดตอ่ ไปถงึ
ชอ่ งกลวงของกระดูก ท้าหนา้ ทีเ่ ป็นผู้ช่วยปอด โดยท้าใหป้ อดไดร้ ับออกซิเจน
อยู่ตลอดเวลา เป็นประโยชนใ์ นการบนิ ของนก
Cardiac muscle
กล้ามเนื้อหวั ใจ เปน็ กล้ามเนื้อลายชนดิ หน่งึ ทีอ่ ยู่นอกอ้านาจจิตใจ
(involuntary) พบทีห่ วั ใจ ท้าหนา้ ที่ในการสูบฉีดโลหิตไปยังระบบไหลเวียน
โลหิตโดยการหดตวั ของกล้ามเนือ้
Granulocyte
แกรนูโลไซต์ เปน็ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีแกรนูลอยูภ่ ายในเซลล์ แบง่ ย่อยได้
เปน็ นวิ โตรฟลิ (neutrophil) มแี กรนูลขนาดเล็ก นิวเคลียสมี 2-5 พู มีหน้าที่
ทา้ ลายสง่ิ แปลกปลอมด้วยวิธีฟาโกไซโตซสิ อีโอซิโนฟิล (eosinophil) มี
แกรนูลขนาดกลาง นวิ เคลียสมี 2 พู มีหน้าทีท่ า้ ลายสง่ิ แปลกปลอม และ
ยับยัง้ การสร้างสารก่อภูมิแพ้
Globulin
โกลบูลิน โปรตีนส้าคัญของ Total protein อีกตัวหน่ึงทีล่ อ่ งลอยอยูใ่ น
พลาสมาหรือในกระแสเลือด ซึ่งมีปริมาณรองลงมาจาก Albumin โดยมี
บทบาทในฐานะเป็นวัตถุดิบพื้นฐานใหร้ ่างกายใชส้ ร้างสารชีวโมเลกุลประเภท
โปรตนี เพื่อประโยชน์ในการดา้ รงชีวติ อย่างเปน็ ปกตสิ ุข
Vena cava
หลอดเลือดเวนาคาวา หรือท่อเลือดดา้ คือ หลอดเลือดดา้ ทีม่ ีหน้าทีร่ บั เลือดเสีย
จากส่วนต่างๆของร่างกายเขา้ สูห่ วั ใจห้องขวาเพือ่ ส่งต่อไปยังปอด
Venule
หลอดเลือดดา้ เล็ก เปน็ หลอดเลือดขนาดเลก็ ในระบบไหลเวียนเลือดทีช่ ว่ ยให้
เลือดไหลจากหลอดเลือดฝอยไปยังหลอดเลือดทีใ่ หญ่กวา่
ซึง่ กค็ ือหลอดเลอื ดด้า
Plasma
พลาสมาสว่ นประกอบของโลหติ ทีม่ ีลักษณะเป็นของเหลวสเี หลืองใสซึง่
ประกอบไปดว้ ยสารโปรตนี ได้แก่ อัลบูมนิ โกลบูลนิ อิมมูโนโกลบูลิน ปัจจัย
การแข็งตวั ของเลือด เป็นต้น ซึ่งมีส่วนสา้ คัญในการรกั ษาปริมาณน้าภายใน
หลอดเลอื ด
Serum
เซรุม่ สว่ นของน้าเลือดทีแ่ ยกเอาสารที่ทา้ ให้เลือดแขง็ ตัวออกไปแลว้ เซรุม่ ทีม่ ี
ภูมิคุ้มกันทีต่ ้องการใชฉ้ ีดเข้าไปในรา่ งกาย เพือ่ ใหภ้ ูมคิ ุม้ กันแก่รา่ งกาย
โดยตรง
Pseudoheart
หวั ใจเทียม เปน็ หว่ งของหลอดเลือด 4-5 ห่วง พองออกลอ้ มรอบบริเวณหลอด
อาหาร หวั ใจเทียมสามารถหดและพองตัวได้ ท้าหน้าทีใ่ นการปัม๊ เลือดเข้าสู่
หลอดเลอื ดอีกทีหน่งึ
Valve
ล้นิ หวั ใจ มีหนา้ ที่ควบคมุ การไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจ โดยปกติแล้วล้นิ
หวั ใจจะควบคุมการไหลของเลือดใหไ้ ปไดใ้ นทศิ ทางเดียว คือไม่มีการไหล
ย้อนกลับของเลือดมายังทศิ ทางเดมิ
Vein
หลอดเลือดดา้ หลอดเลือดทีน่ ้าเลือดทีม่ ีของเสีย และคาร์บอนไดออกไซด์
( เลือดด้า ) ที่ร่างกายใช้แล้วจากสว่ นตา่ งๆ ของร่างกายกลับเขา้ สูห่ ัวใจหอ้ ง
บนขวา ( Right atrium ) เพื่อน้ากลับไปฟอกที่ปอด
T-Cell
ท-ี เซลล์ เป็นเซลลภ์ ูมิตา้ นทานชนิดหนง่ึ ซงึ่ มีหนา้ ทีห่ ลกั ในการหาเซลลท์ ีต่ ิด
เชื้อหรือเชือ้ โรคต่าง ๆ และกา้ จัดมัน มันทา้ หนา้ ที่นีไ้ ด้โดยการใช้โปรตีนทีอ่ ยู่
บนพน้ื ผวิ ของมันเองไปยึดเกาะกับโปรตนี บนพน้ื ผิวของสิ่งแปลกปลอม
Allergy
ภูมิแพ้ คอื ความผิดปกตจิ ากภาวะภูมิไวเกินของระบบภูมิคุม้ กัน[1] อาการ
ภูมิแพ้เกิดขนึ้ เมือ่ ระบบภูมคิ ุม้ กันของมนุษย์ตอบสนองต่อสสารที่ไมเ่ ป็น
อันตรายต่อรา่ งกายซง่ึ มีอยูท่ ัว่ ไปในธรรมชาติ
Neutrophil
นวิ โทรฟลิ เปน็ เม็ดเลือดขาวชนดิ แกรนูโลซัยต์ชนิดหน่ึง และถือเป็นเมด็ เลือด
ขาวชนดิ ทีม่ ีมากที่สุด (ประมาณ 60-70%) ในบรรดาเม็ดเลือดขาวทุกชนิดของ
สัตว์เลี้ยงลูกดว้ ยนมส่วนใหญร่ วมถงึ มนุษยด์ ้วย ท้าหน้าทีเ่ ปน็ สว่ นประกอบ
สา้ คัญในระบบภูมิคุ้มกันแบบดง้ั เดิม (innate immune system) หนา้ ที่การ
ทา้ งานมีความแตกตา่ งหลากหลายขนึ้ อยู่กับชนดิ สัตว์นน้ั ๆ
Passive immunity
ภูมคิ ุ้มกันรับมา เปน็ การสง่ ต่อภูมิคุม้ กันแบบฮิวเมอรท์ ี่ถูกกระต้นุ แลว้ ที่
ประกอบด้วยแอนทิบอดีที่สร้างมาพรอ้ มแลว้ ภูมิคุ้มกันรับมาสามารถเกิดขน้ึ
ได้โดยธรรมชาติ ในกรณีที่แอนทิบอดีของมารดาถกู สง่ ตอ่ ไปยังตวั อ่อนผ่าน
ทางรก และสามารถเกิดจากการถูกกระตนุ้ ทางเทยี มด้วยระดบั ของ แอนทิบอ
ดีที่เฉพาะตอ่ สารกอ่ โรค หรือ สารพิษ เฉพาะหนึ่ง ๆ
Bone marrow
ไขกระดูก เป็นเนื้อเยื่อยืดหยุ่นที่พบได้ในกระดูกชัน้ ใน ไขกระดกู ในกระดูกช้ิน
ใหญข่ องคนผลิตเมด็ เลือดแดงใหม่ โดยเฉลีย่ แล้วไขกระดกู มีน้าหนกั คดิ เปน็
ร้อยละ 4 ของนา้ หนกั ร่างกายทั้งหมด
Eosinophil
อีโอซโิ นฟิล อโี อซิโนฟลิ สร้างจากไขกระดูก โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3-6
วนั หลังจากนัน้ จะเข้าสู่กระแสเลือด ประมาณ 6-8 ชัว่ โมง และจะกระจายไป
ตามเนือ้ เยือ่ ต่าง ๆ โดยปกติอีโอซิโนฟลิ มีหนา้ ทีเ่ กีย่ วขอ้ งการตอบสนองต่อ
การตดิ เชือ้ พยาธิ การแพ้ หรือ การอักเสบ โดยภาวะทีพ่ บอีโอซโิ นฟิลสูงน้นั
อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ อาทิ ร่างกายเกิดอาการแพ้ (Allergic
disorders) การติดเชื้อพยาธิ โรคผิวหนงั บางชนิด เปน็ ต้น
Basophil
เบโซฟิล สรา้ งจากไขกระดูกโดยใชร้ ะยะเวลาประมาณ 7 ชัว่ โมง กอ่ นที่จะ
เคลื่อนที่ไปยังกระแสเลือด และเนื้อเยือ่ ตามล้าดับ หน้าที่ของ basophil จะ
เกีย่ วขอ้ งกับการตอบสนองต่อการแพ้ตา่ ง ๆ โดยการหลัง่ สารพวก histamine
เป็นตน้ โดยเราสามารถพบภาวะที่ basophil สูงข้นึ จากหลายสาเหตุ อาทิเช่น
Hypersensitivity reactions หรือพวก Myeoloproliferative disorder เป็น
ต้น
Lymphocyte
ลมิ โฟไซต์ เป็นเม็ดเลือดขาวชนดิ หน่งึ ท้าหนา้ ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบ
ภูมคิ ุ้มกันของสัตวม์ ีกระดกู สันหลงั รวมถึงมนุษย์ อาจแบง่ ออกเปน็ เซลล์เอ็น
เค เซลลท์ ี และเซลล์บี เป็นเซลลท์ ีพ่ บเปน็ สว่ นใหญใ่ นระบบน้าเหลือง จึงไดช้ ือ่
ว่าลิมโฟไซต์
Monocyte
โมโนไซต์ เปน็ เม็ดเลือดขาวชนดิ หนง่ึ และเปน็ ส่วนหนง่ึ ของระบบภมู คิ ุม้ กัน
ของรา่ งกายมนุษย์ โมโนไซตป์ กตจิ ะมีประมาณ 3 - 5 % มีอายุ 5 - 6 วนั ทา้
หนา้ ทีก่ ้าจัดสงิ่ แปลกปลอมดว้ ยวธิ ีฟาโกไซโตซสิ มีความสามารถสงู พอๆกับ
neutrophil และสรา้ ง antibody ต่อต้านเชือ้ โร
B-Cell
บีเซลล์ เซลล์เม็ดเลือดขาวประเภทลิมโฟไซต์ ซ่ึงเมื่อถูกกระตุน้ ด้วยสาร
แปลกปลอมหรือแอนตเิ จนจะพัฒนาเป็นพลาสมาเซลล์ทีม่ ีหน้าที่หลง่ั
แอนติบอดมี าจับกับแอนติเจน บีเซลล์มีแหล่งก้าเนดิ ในร่างกายจากสเตม็ เซลล์
ที่ชื่อวา่ "Haematopoietic Stem cell" ที่ไขกระดกู พบครั้งแรกทีไ่ ขกระดกู
บรเิ วณก้นกบของไก่ ทีช่ ื่อว่า Bursa of Fabricius จึงใช้ชื่อว่า "บีเซลล์"
Glomerulus
โกลเมอรูลสั เป็นกระจุกหลอดเลือดฝอย ท้าหน้าที่กรองเลือดขั้นแรก อยูท่ ี่
จุดเร่มิ ต้นของหน่วยไต (nephron) ซ่ึงเปน็ โครงสร้างรูปท่อทีม่ ีหนา้ ที่กรอง
เลือดแลว้ สร้างเป็นปัสสาวะในไต โกลเมอรูลสั มีโบวแ์ มนแคปซูล (Bowman's
capsule) ล้อมอยู่ น้าเลือดกรองผ่านหลอดเลือดฝอยของโกลเมอรูลสั เข้าสู่
โบว์แมนแคปซูล แล้วโบวแ์ มนแคปซูลไลข่ องเหลวที่ผา่ นการกรองเขา้ สูห่ ลอด
ไตฝอย (renal tubule) ซง่ึ ยังเปน็ ส่วนหนึง่ ของหน่วยไต
Pelvis
เชิงกราน เปน็ โครงสร้างกระดูกของร่างกายทีอ่ ยูป่ ลายล่างของกระดูกสัน
หลัง จัดเปน็ สว่ นหนึ่งของโครงกระดูกรยางค์ (appendicular skeleton)
กระดูกเชงิ กรานประกอบด้วยกระดูกสะโพก (hipbone) , กระดูกใต้กระเบน
เหน็บ (sacrum) , และกระดูกกน้ กบ (coccyx) กระดูกสะโพกประกอบดว้ ย
กระดกู ยอ่ ยๆ 3 ช้นิ ได้แก่ กระดกู ปกี สะโพก (ilium) , กระดกู ก้น (ischium) ,
และกระดูกหวั หนา่ ว (pubis) กระดูกปีกสะโพกเป็นกระดูกทใี่ หญท่ สี่ ุดและเป็น
ส่วนบนสุด
Urinary Bladder
กระเพาะปัสสาวะ เปน็ อวัยวะซ่งึ เก็บปัสสาวะทีไ่ ตขับถ่ายออกมากอ่ นก้าจัด
ออกจากร่างกายโดยการถ่ายปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะเป็นอวยั ะยืดหยุ่น
และเปน็ กลา้ มเนื้อแอง่ อยู่ ณ ฐานเชิงกราน ปัสสาวะเขา้ สู่กระเพาะปัสสาวะ
ทางท่อไตและออกทางท่อปัสสาวะ ปริมาตรของกระเพาะปัสสาวะระบุไว้
ระหว่าง 500 ถงึ 1000 มลิ ลลิ ิตร