The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือนางวิจารณ์บรรณกิจ<br>(คุณแม่สลับศรี ชื่นชูเวส)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tak.anissada, 2021-11-02 23:59:00

หนังสือนางวิจารณ์บรรณกิจ (คุณแม่สลับศรี ชื่นชูเวส)

หนังสือนางวิจารณ์บรรณกิจ<br>(คุณแม่สลับศรี ชื่นชูเวส)

อนุสรณ์

นางวิจารณ์บรรณกิจ
(คุณแม่สลับศรี ชื่นชูเวส)

พุทธศกั ราช ๒๔๖๔-๒๕๖๔



Tribute

Celebrating a life so beautifully lived through five reigns
and the course of over a century. Thank you for having blessed
our lives and those of countless others who had been touched
by your gifts of giving. You led by example to prove that true
nobility is not merely by birth, rank, or accolade, but rather
through one’s own honourable deeds. You taught us, amongst
countless lessons, the art of cherishing what actually matters in
life, and to never waste a moment on hollow, temporal illusions.
In 100 years and through feudal and modern times, you have
maintained your own unique brand of unassuming and warm
persona; you never once lost your immeasurable strenght and
capacity to love. You will always be greatly loved, and forever
remain in our hearts, dear sweet, noble Grandmama (1921-
2021). A true “เซยี น” like you is never to be mourned, just
celebrated.

3

บทสดดุ ี

เฉลิมฉลองชีวิตอันงดงามตลอด ๕ แผ่นดินและข้ามห้วง
กาลเวลากวา่ ๑ ศตวรรษ กราบขอบพระคุณในพรแห่งชวี ิตที่เราและ
คนมากมายนบั ไมถ่ ว้ นได้รบั จากความกรุณาของทา่ น ทา่ นเป็นผู้นำ�
โดยสร้างแบบอย่างให้ประจักษ์ว่าความสูงส่งอันแท้จริงน้ันใช่เพียง
ชาตกิ �ำ เนิด ยศ หรือ ค�ำ สรรเสรญิ ไม่ หากแตเ่ กดิ จากการกระท�ำ อัน
สูงส่งด้วยเกียรติของตนเองเป็นปฐม ท่านสอนพวกเราในบทเรียน
เหลอื คณานับ รวมไปถงึ ศิลปะการดำ�เนินชีวติ โดยเชิดชูทะนถุ นอม
สิ่งอันเป็นสำ�คญั ทแี่ ท้จรงิ แหง่ ชวี ติ และการมเิ คยเสยี เวลาไปกบั ภาพ
ลวงตาท่กี ลวงและไรซ้ ึง่ แก่นสารตัวตนแทจ้ ริง ในช่วงชวี ิต ๑๐๐ ปขี อง
ท่าน ผ่านยุคศกั ดินามาบรรจบยคุ สมัยใหม่ ท่านได้รักษา “แบรนด”์ หรอื
ขนบแบบแผนสว่ นบคุ คลอนั ทรงไวซ้ ง่ึ เอกลกั ษณแ์ หง่ ตวั ตนผา่ นบคุ ลกิ ภาพ
อันบรรเจิดซ่ึงอบอนุ่ และถ่อมตน ความแข็งแกรง่ และศกั ยภาพในการ
มอบความรักอันนับประมาณมิได้มิเคยเลอื นไปจากจิตวญิ ญาณตัวตน
แหง่ ทา่ นเลย ท่านคอื คณุ ยายผสู้ งู ศกั ดใิ์ นทกุ ค�ำ นยิ ามผู้ซ่งึ เป็นทีร่ ักและ
เคารพยิ่งของพวกเรา (พ.ศ. ๒๔๖๔-๒๕๖๔) ท่านจะเปน็ ทเี่ คารพรกั
สืบไปและจะสถิตเสถียรอยู่ในดวงใจของพวกเราไปตราบนานเท่านาน
“เซียน” ทแี่ ทจ้ รงิ อยา่ งทา่ นมิใชผ่ ู้ควรแก่การอาลัยอาวรณ์ แตก่ ลับ
เป็นผคู้ วรแก่การสรรเสรญิ เฉลิมฉลอง

4

ประวตั โิ ดยสังเขป

นางวิจารณ์บรรณกิจ (สลบั ศรี ช่ืนชูเวส) ภรยิ ารองอ�ำ มาตยโ์ ท
ขนุ วิจารณบ์ รรณกจิ (ชิต ชื่นชูเวส จ.ม.) มีนามเดมิ ว่า สลับศรี ระงบั พิส
เป็นธดิ านายจน่ิ และนางซ่ิวงอ้ เกิดเมอื่ วนั พธุ ท่ี ๑๕ มิถนุ ายน พุทธศกั ราช
๒๔๖๔ ทบี่ า้ นบิดา-มารดา อำ�เภออมั พวา จังหวัด สมทุ รสงคราม
ในวัยเยาว์ได้ศึกษาที่อาสนวิหารพระแม่บังเกิด บางนกแขวก โดย
อปุ การะคุณของญาติผูใ้ หญฝ่ า่ ยคาธอลกิ ในช่วงระหวา่ งสงครามโลก
ครง้ั ที่ ๒ ไดย้ า้ ยมาอาศัยในพระนคร พรัอมกับพ่สี าวซึ่งบวชเปน็ แมช่ ีท่ี
โบสถน์ กั บญุ ดอมนิ กิ นางวจิ ารณบ์ รรณกจิ สมรสกบั ขนุ วจิ ารณบ์ รรณกจิ
ณ บ้านเก๋งจนี ของบดิ าสามี เลขท่ี ๔๗๔ ข้างศาลโปรสิ ภา รมิ คลอง
ผดงุ กรงุ เกษม มีบุตร-ธดิ ารวมทั้งส้ิน ๑๒ คน
นางวิจารณ์บรรณกิจได้ติดตามขุนวิจารณ์บรรณกิจสามีในสมัย
ด�ำ รงตำ�แหน่งตา่ งๆ ในราชการกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงมหาดไทย และ กรมเลขาธิการคณะรฐั มนตรี ภายหลงั จาก
ขนุ วิจารณ์บรรณกิจถึงแก่กรรมเมอื่ พุทธศกั ราช ๒๕๐๗ นางวจิ ารณ์
บรรณกิจก็ได้เป็นกำ�ลังสำ�คัญในการบริหารทรัพย์สินอาคารของ
ครอบครัวสามีด้วยตนเองเพ่ือเล้ียงดูบุตร-ธิดาจนสำ�เร็จการศึกษา
ในระดับอุดมศกึ ษาเกือบทุกคน
นางวิจารณ์บรรณกิจเม่ือมีชีวิตอยู่เป็นคนโอบอ้อมอารี
อ่อนน้อมถ่อมตน และชอบชว่ ยเหลอื ผ้อู นื่ จึงเป็นทเ่ี คารพยกยอ่ งใน
สังคม ทง้ั ยังไดอ้ บรมบุตร-ธดิ า หลานและเหลนให้รักชาติ ศาสนา
พระมหากษตั รยิ ์ และมคี วามจงรกั ภกั ดตี อ่ พระบรมราชจกั รวี งศเ์ ฉกเชน่

5

เดยี วกบั ตนเอง เมอ่ื ครง้ั ยงั เปน็ ครสิ ตศาสนกิ ชนกท็ �ำ นบุ �ำ รงุ ครสิ ตจกั ร
โดยเต็มกำ�ลังความสามารถ เมื่อเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาตามสามี
ก็ได้มีศรัทธาทำ�นุบำ�รุงพระบวรพุทธศาสนาด้วยวิริยะตลอดมาโดย
ร่วมกับครอบครัวและญาติในการสร้างพระพุทธปฏิมาหลายองค์
และเปน็ ก�ำ ลงั ส�ำ คญั ในการปฏสิ งั ขรณ์ พระอารามโบราณในภาคเหนอื
จนสำ�เร็จลุล่วงหลายแหง่
นางวิจารณ์บรรณกิจโดยปรกติมีพลานามัยแข็งแรงไม่ค่อย
เจ็บป่วยและไม่มีโรคประจำ�ตัว แต่เริ่มมีปัญหาสุขภาพในช่วง ๔ ปี
สุดท้ายซ่ึงได้เข้ารับการรักษาท่ีโรงพยาบาลวิชัยยุทธอยู่บ่อยคร้ัง
กระนั้นโดยรวมก็ยังมีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างสมถะเรียบง่ายท่ี
บ้านพหลโยธินท่ามกลางบุตร-ธิดาจวบจนวาระสุดท้ายจึงถึงแก่กรรม
อย่างสงบเม่ือวันเสารท์ ี่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ ดว้ ยโรคชรา
สริ ิอายุ ๑๐๐ ปี

6

บทสวดมนต์
และ

วธิ ีฝกึ สมาธเิ บ้ืองตน้



สารบัญ

สดุดีพระอาการะวตั ตาสตู ร ๑๑

อานิสงส์พระอาการะวัตตาสตู ร ๑๒

พระอาการะวัตตาสูตร ๒๙

ข้ึนต้นพระคาถาอาการะวตั ตาสตู ร ๓๒

พระคาถาอาการะวัตตาสตู ร ๓๘

ถวายพรพระ ๔๗

ยอดพระกัณฑไ์ ตรปิฎก ๕๑

ประวัติยอดพระกณั ฑไ์ ตรปฎิ ก ๕๑

พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ๕๒

พระคาถาชนิ บญั ชร ๕๘

คําแปลพระคาถาชินบัญชร ๖๐

อานุภาพแห่งพระคาถา ๖๒

อานสิ งสช์ นิ บญั ชร ๖๒

กะระณียะเมตตะสตุ ตงั ๖๓

อะภะยะปะรติ ตัง ๖๔

พระคาถามงกุฎพระพทุ ธเจ้า ๖๔

พระคาถาขา่ ยเพ็ชรพระพุทธเจ้า ๖๕

พระคาถามหาจักรพรรดิ ๖๖
๖๖
บทสวดบูชาหลวงปทู่ วด

บทสวดบชู าหลวงปู่ดู่ ๖๖

คาถามหาจักรพรรดิ ๖๖

บทสวดเชญิ พระเข้าตวั (แผ่กศุ ลปรับภพภมู )ิ ๖๗

คําอธิษฐานจติ (แผก่ ศุ ลปรบั ภพภมู ใิ ห้เจ้ากรรมนายเวร) ๖๗

พระคาถาป้องกันภยั ๖๗

วธิ ีบูชาพระ และอธษิ ฐานกอ่ นจะทำ�สมถะวิปัสนา ๖๘

วิธบี ชู าพระ ๖๘

ไหว้พระตอ่ ไป ๖๙

คาํ ขอขมาโทษ ๗๐

คําอาราธนา ๗๑

วธิ ฝี ึกสมาธเิ บ้ืองตน้ ๗๓

ข้อควรระวงั ๗๙

ประโยชนข์ องการฝกึ สมาธิ ๘๑

สดดุ ี
พระอาการะวตั ตาสตู ร

พระพทุ ธเจ้าทง้ั หลาย 28 พระองค์ ท่ีลว่ งไปแล้วกด็ ี พระพทุ ธเจ้า
ในปัจจบุ นั ก็ดีได้ ทรงตามกนั มาทกุ ๆ พระองค์ พระสูตรนเ้ี ป็นสูตรอนั
ใหญย่ ง่ิ จะหาสตู รอน่ื เปรยี บปานมไิ ดเ้ พราะมที ง้ั พระสตู ร พระวนิ ยั
พระปรมัตถปฎิ ก ขอทา่ นทง้ั หลายอย่าไดท้ ิ้งไดว้ างในทอ่ี นั ไมค่ วรเลย
จงทํา สักการบูชาสวดมนต์ภาวนาและสดับฟังตามสติปัญญาและ
ความสามารถทว่ั กนั จงทุกคน เทอญ ฯ

11

อานิสงส์พระอาการะวัตตาสูตร

เอวมั เม สตุ งั เอกัง สมะยงั ภะคะวา ราชะคะเห วิหะระติ
คชิ ฌะกเู ฏ ปัพพะเต อะถะโข อายัสมา สารปิ ุตโต เยนะ ภะคะวา เต
นปุ ะสังกะมิ อปุ ะสังกะมิตวา ภะคะวันตงั อภวิ าเทตวา เอกะมนั ตงั
นสิ ีทิ ฯ

บัดน้ี จักแสดงความตามสมควรแก่เวยยากะระณะบาลี ทม่ี ีมา
ในอาการะวัตตาสูตร โดยสรปุ ยุตตใิ นเร่ืองความวา่ ณ สมยั ครัง้ หน่ึง
องคส์ มเดจ็ พระผ้มู ีพระภาคเสด็จประทับระงบั อริ ยิ าบถ ณ คิชฌกฏู
บรรพตคีรีวัน ใกล้กันกับมหานครราชคฤห์ธานี เป็นที่อาศัยโคจร
บิณฑบาตพทุ ธาจิณ ณะวตั ต์ อะถะโข อายัสมา สาริปุตโต ครัง้ นัน้
พระสารบี ตุ ร พทุ ธสาวกผู้มีอายเุ ขา้ ไปสทู่ ีเ่ ฝ้า สมเด็จพระผมู้ ีพระภาคเจ้า
ถวายอภวิ าทโดยอาการทีเ่ คารพเป็นอันดแี ล้ว ก็น่ังอยู่ท่คี วรสว่ นขา้ ง
หนง่ึ อนั ปราศจากนิสัชชะโทษ 6 ประการ เอกะมันตงั นิสที ิ นสิ ชั ชะ
โข อายสั มะโต สารปิ ุต ตัสสะ เมือ่ พระสารบี ุตรผมู้ ีอายุน่ังอยู่ ณ ท่ี
อันสมควรแลว้ จงึ แลดซู ง่ึ สะหะธรรมมกิ ะสตั ว์เกดิ ความปรวิ ิตกในใจ
คดิ ถึงกาลตอ่ ไปในอนาคตภายหน้าว่า อเิ ม โข สตั ตา ฉนิ นะมลู า อะ
ตตี ะสกิ ขา อนั ว่าสัตว์ท้งั หลายเหลา่ นีท้ ่ีหนาไปด้วยกเิ ลสอาสวะ และ
อวชิ ชาสวะ ยงั ไม่ล่วงซงึ่ โอฆะทั้ง 4 คือ กามะโอฆะ ทฏิ ฐโิ อฆะ
ภะวะโอฆะ อะวิชชาโอฆะ อันเปน็ โอฆะแอง่ แกง่ กันดาร มีสันดานอนั
รกชัฏด้วยอกศุ ล คือ โลภะ โทสะ โมหะ กก็ ระทาํ ซึ่งการอันเปน็ อกศุ ล

12

เปน็ อาจณิ ณะกรรมก็ชอ่ื วา่ กศุ ลมลู ขาดเสียแลว้ มสี กิ ขาอนั ละเสยี แลว้
จะตสู ุอะปา เยสุ วปิ ัจจันติ ก็เทย่ี งที่วา่ จะไปไหม้อยู่ในอบายทัง้ 4
เป็นทีเ่ ปรตวิสยั ปราศจากความสขุ คือ นรกและเปตะวิสัย อสุ รกาย
กาํ เนดิ ดริ จั ฉานกําเนิด กเ็ ม่ือสัตว์ทง้ั หลายหนาไปดว้ ยอกุศล จะยังตน
ใหต้ กไปไหม้อย่ใู นอบายเชน่ นี้ พทุ ธะการะ กะธมั เมหิภะวิตพั พงั ธรรม
เครื่องกระทําซึ่งความเปน็ พระพุทธเจ้า คอื บารมี 30 ทัศ จะพงึ สามารถ
เพือ่ จะหา้ มกันเสียได้ ซึ่งจะตุรยายิกะทกุ ข์ท้งั หลายนัน้ จะพึงมอี ยเู่ พราะ
พระบารมธี รรมของพระพทุ ธเจา้ ท้งั หลายมอี ยเู่ ป็นอันมาก จะมีอยแู่ ต่
เทา่ นีห้ ามิได้ ธรรมทั้งหลายใดเปน็ ไปเพือ่ จะให้สาํ เรจ็ พระโพธญิ าณ
อนั สมเด็จพระผูม้ ีพระภาคเจา้ ตรสั แสดงไว้ในพระสูตร และพระวินยั
และพระปรมัตถ์ อนั เปน็ ธรรมคมั ภีระภาพละเอยี ดนกั เปน็ องคธ์ รรม
อันพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เสพแล้วโดยยิ่งล้วนเป็นนิยยานิกะธรรม
จะนาํ สตั ว์ให้พน้ จากวฏั ฏะสังสารทกุ ขไ์ ดด้ งั นี้ เมอ่ื พระธรรมเสนาบดี
สารีบุตรพทุ ธสาวก มีความปรวิ ติ กในจติ ต์ดว้ ยความกรณุ าแกป่ ระชุมชน
ทเี่ กิดมา ณ ภายหลงั จกั ได้ปฏิบตั ิในธรรม น้ันๆ ให้เปน็ ทปี่ อ้ งกัน
รักษาตนใหพ้ ้นจากทุกขภ์ ยั ในอบายอยา่ งน้ี จงึ ยกกระพุ่มหัตถ์อญั ชลกี ร
ประณมแทบบงกชบาทของสมเด็จพระบรมโลกนาถเจ้า แล้วจงึ กราบทลู
พระกรุณาว่า เย เกจิ ทปุ ปญั ญา ปุคคะลา ขา้ แตพ่ ระผมู้ ีพระภาคเจ้า
บุคคลทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่เป็นผู้มีปัญญาทรามยังหนาอยู่
ด้วยโมหะ อะวชิ ชา พทุ ธะ การะกะธัมเม อะชานิตวา หารจู้ ักธรรม
พทุ ธการะกะธรรม คอื พระบารมีแห่งพระพุทธเจา้ นั้นไม่ เพราะความ
ทีแ่ ห่งตนเป็นคนอนั ธพาล จะพงึ กระทํากรรมอนั เปน็ บาปท้งั ปวง นับได้

13

พันแห่งโกฏิเป็นอันมาก บางจําพวกก็พึงกระทํา ซึ่งมะนุสสะฆาตะ
กรรม คือฆ่ามนษุ ย์ เสยี เป็นต้น ฆา่ ซึง่ กษตั ริย์ชงิ เอาราชสมบตั ิ และ
ฆ่าซงึ่ มหาอํามาตย์และบโุ รหติ าจารย์ ฆ่าซง่ึ ชนอันเป็นพาลและบณั ฑิต
ฆ่าบรรพชิตคอื สมณะ อันเปน็ มหาสาวัชชะกรรมและครกุ รม โกจิโคณัง
วา มะ หิงสานัง วา บางจําพวกฆา่ ซ่ึงโคและกระบอื ฆา่ สตั วด์ ริ จั ฉาน
ฆา่ ซง่ึ แพะแกะ ฆา่ ซง่ึ คชสารอสั ดร กญุ ชรชาติ ดว้ ยสามารถความประสงค์
ซ่งึ มงั สะ และงาอังคาพยพนอ้ ยใหญ่ คอื กระทําซ่ึงปาณาตบิ าตดงั กล่าว
มาฉะน้ี ด้วยสามารถโทสะความโกรธและความโมหะความหลงชน
ผู้เป็นคฤหัสถ์บางจําพวกผู้เป็นพาลจงใจจะพึงกระทําครุกรรมอันสาหัส
คอื อนนั ตรยิ กรรมทง้ั 5 เป็นตน้ ว่าฆ่าซ่ึง บิดาและมารดา สาสะนะโต
ปาราชกิ ัง อาปัชเชยยะ ก็จะพงึ ถึงซึ่งความทีแ่ หง่ ตน เปน็ ผ้พู า่ ยแพ้
จากพระศาสนา แทจ้ ริงคฤหัสถผ์ ้ทู าํ ครกุ รรมฆา่ บิดามารดาดังกล่าวมานี้
ชือ่ วา่ ปาราชกิ ฝา่ ยฆราวาส เบ้อื งว่าบรรพชติ ท้งั หลายผู้ดาํ รงซ่ึงสกิ ขาบท
สังวรวินัย ไมต่ ัง้ อยใู่ นอธสิ ีละสิกขาล่วงพุทธอาชญา อนั เป็นอาณา
วิตกิ ะมาโทษ ตอ้ งครุกาบัตแิ ละลหุกาบัติโดยลาํ ดับมาฉินนะมลู า จนถึง
ซงึ่ ปาราชกิ าบัติ เปน็ ผขู้ าดจากมลู แหง่ พระพุทธะวะจะนะในพระปฏิ ก
ทั้ง 3 คอื พระวินยั ปฎิ ก พระสตุ ตันตะปฏิ ก พระปรมตั ถะปิฏก อนั เปน็
ศาสโนวาท เต ปาปะกมั มงั กัตวา ชนทไ่ี ด้สมมติว่าเปน็ บรรพชิตท้ัง
หลายนั้นจะพึงกระทํากรรมเป็นบาป อันเป็นเหตุจะยังตนให้ถึงซึ่ง
นิระยะกะ ทุกข์ กา ยัสสะ เภทา เบอื้ งหนา้ แตจ่ ุตจิ ิต เพราะแตกจาก
ชวี ติ อินทรีย์แล้วจะพึงไปเกิดในอเวจีนิรยาบาย ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ธรรมอันใดอันหน่ึงเล่าจะเป็นธรรมอันลึกสุขุมท่ีสามารถอาจจะห้ามเสีย

14

ได้ซงึ่ สตั ว์ทั้งหลายนั้น อันจะตกไปในนรกใหญ่ คือ อเวจีน้นั จะมอี ยู่บา้ ง
หรอื พระพทุ ธเจ้าข้า เมอ่ื กราบทลู ดังนแ้ี ลว้ พระผเู้ ป็นเจา้ ธรรมเสนาบดี
จึงกล่าวคาถาท้ังหลายตามบรรยายพระพุทธภาษิตที่ได้แสดงซ่ึงทุกข์
อนั เป็นผลวิบากแหง่ ครกุ าบตั ิและลหกุ าบัติ ยกปาราชิกสกิ ขาบทจัดเปน็
มลู ะเฉทขน้ึ แสดงเบ้ืองต้น โดยกระแสอนสุ นธิวา่ ทะสะวสั สะหัสสะ
สาธิกานิ ตงิ สะสะหสั สะโกฏโิ ย ปาราชิกงั สะมาบนั โน บรรพชิตผลู้ ่วง
เสยี ซ่งึ สกิ ขาบทถงึ พรอ้ มแลว้ ซึ่งปาราชกิ เปน็ ผูม้ มี ลู ขาดจากพระศาสนา
นยิ ามะคะติท่ีจะไปอบุ ตั ิในภพเบ้อื งหน้า คือจะไปบงั เกิดในนรกขมุ ใหญ่
คือ อเวจีไหมอ้ ยู่ในไฟไมด่ บั กําหนดนับได้ถึง 3,000 โกฏิกับหมื่นปี
เปน็ ทส่ี ดุ อาการะวัตตาสูตรนี้มเี นื้อความอนั พิสดาร ถ้าแมจ้ ะพรรณนา
ไปก็เป็นการเน่ินช้าจำ�จะแสดงส่วนแห่งอานิสงส์ที่บุคคลได้สักการะ
บชู าและนับถอื และได้บน่ ท่องสาธยาย จําทรงไว้ไดด้ ังนี้เป็นต้นกจ็ ะ
พึงมีอานสิ งั สผลอันยิ่งใหญ่ ในลําดบั นั้นสมเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจา้
ตรัสแสดงถึงอาการะวตั ตาสตู ร กําหนดดว้ ยวรรค 17 วรรค มีอะระหา-
ทคิ ณุ ะวรรค เป็นตน้ จนถึงปะเวณวี รรคเป็นคำ�รบ 17 ด้วยประการ
ดังน้แี ลว้ พระองคท์ รงบรรยายซ่ึงอานสิ ังสคุณานภุ าพแหง่ อาการะ
วตั ตาสตู ร แก่พระสารีบุตรตอ่ ไปว่า ยญั จะ สารปิ ุตตะ รตั ติง ดกู อ่ น
พระสารบี ุตรก็ราษราตรีอันใดพระตถาคต ได้ตรสั รซู้ ึ่งพระอนตุ ตระ-
สัมมาสัมโพธญิ าณ เป็นวิมตุ ติเศวตฉัตร ณ ควงไม้ อสัตถพฤกษโ์ พธิ
มณฑลกใ็ นราษราตรีนัน้ แล พระตถาคตกร็ ะลึกซ่ึงอาการะวตั ตาสูตร
อนั มคี ุณานภุ าพเพอื่ เป็นที่รกั ษาต่อต้าน ซงึ่ ภัยอนั ตรายและเปน็ ท่ีเร้น
ซ่อน เปน็ คติทีจ่ ะให้ไปในเบ้ืองหน้า แหง่ สตั ว์โลกกับเทวโลกพรหมโลก

15

และหม่สู ัตวเ์ ป็นไปกบั ด้วยสมณะ และพราหมณ์ และสมมตเิ ทวดา
และมนษุ ย์ และสามารถเพอ่ื จะหา้ มเสียซ่งึ บาปธรรมท้ังปวง เพราะ
พระตถาคตมาระลึกตามอยู่ ซ่งึ ธรรมทง้ั หลาย อันเปน็ มรรคาแหง่ สัตว์
ทั้งหลาย ให้ถึงซึ่งอันสิ้นไปแห่งทุกข์และภัยทั้งปวงในสงสารอย่างนี้
กาํ หนดเพียงไรแตน่ พิ พานธาตุ ชอ่ื ว่าอนปุ าทเิ สส มีกมั มชั ชะรูปและ
วบิ ากขนั ธ์ อันกรรมและกเิ ลสเขา้ ถือเอาเหลอื อยู่ไมม่ สี นิ้ เชอ้ื สนิ้ เชงิ
เอตถันตะเร ในระหว่างแหง่ กาลนน้ั กายกรรมแห่งพระตถาคตทั้งปวง
ญาณะปุพพัง คะมัง มีญาณเครื่องรู้เป็นประธานถึงก่อนคือว่า เป็นไป
กบั ด้วยญาณอนั ปราศจากโทษ คือ โมหะ แมถ้ งึ วจีกรรมและมโนกรรม
แห่งพระตถาคตพุทธเจ้าก็เป็นไปแล้วด้วยญาณเหมือนอย่างนั้น
อดีตานาคะตะปัจจุปันนัง และกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แห่ง
พระตถาคตพทุ ธเจา้ ที่เป็นสว่ นอดตี กาลล่วงแลว้ และเป็นสว่ นปัจจบุ ัน
และส่วนอนาคตภายหน้าอันยังไม่มาถึงก็เป็นญาณทัสสนะเครื่อง
เห็นดว้ ยญาณ อัปปะฏิหะตัง อันโทษทั้งหลายเป็นต้นว่า อภชิ ฌา
และโทมนสั ไม่กาํ จัดไดแ้ ล้ว เปน็ กรรมผ่องแผว้ ในไตรทวาร ด้วยประการ
ฉะนี้ เยเก จิ สารปิ ตุ ตะ ดกู รสารบี ตุ ร คร้นั เม่อื อาการะวตั ตาสูตรนี้
ชนทง้ั หลายเหล่าใด เหลา่ หนึ่งไดก้ ลา่ วอยูเ่ ปน็ อัตราบาปกรรมทั้งปวง
กจ็ ะไมไ่ ดช้ ่องทจ่ี ะหย่งั ลงไปในสันดาน แม้ถงึ ผ้นู ้ันกล่าวอยูส่ กั ครัง้ หนง่ึ
ก็ดี จะคมุ้ ครองรักษาผูน้ นั้ จตั ตาโร มาเส สิน้ กาลประมาณไปได ้ 4
เดอื นเป็นกําหนด เปน็ ท่ีคมุ้ ครองปอ้ งกนั ภัยอันตรายทั้งปวง ยกไว้แต่
อันตรายบงั เกิดแลว้ แต่ผลวบิ ากแห่งอกศุ ลกรรมตามมาเทา่ นั้น อนงึ่
บุคคลผู้ใดอุตส่าห์ต้ังจิตไม่คิดท้อถอยได้สดับฟังซ่ึงอาการะวัตตาสูตร

16

น้กี ็ดี หรือได้เล่าเรียนบอกกล่าวก็ดี หรือได้เขียน เองและได้ให้ผู้อนื่
เขียนก็ดี หรือได้จำ�ทรงไว้ก็ดี หรือได้กระทําสักการบูชาก็ดี หรือได้
ระลึกเนอื งๆ โดยเคารพพรอ้ มดว้ ยไตรประณามกด็ ี ปรารถนาสิ่งใดๆ
กจ็ ะสําเรจ็ แก่บคุ คลนน้ั ตามประสงคพ์ รอ้ ม ทกุ สงิ่ สรรพ์ ตงั ตัสมา ทปี ัง
กะโรหิ เพราะเหตกุ ารณ์นนั้ ท่านผมู้ ีปรชี าประกอบด้วยศรทั ธาและ
ความเล่ือมใสจงกระทําซึ่งอาการะวัตตาสูตรอันเป็นท่ีผ่อนพักพิง
อาศยั ในวฏั ฏะกนั ดาร ประหน่งึ วา่ เกาะและฝ่งั อันเปน็ ทีต่ ั้งแห่งชน
ทง้ั หลาย ผูส้ ัญจรไปในชลสาครสมุทรทะเลใหญ่ฉะน้ัน อัฏฐะวีสะติยา
จะ อะวชิ ชะหิ ตัง ก็อาการะวตั ตาสูตรน้ี อนั พระพทุ ธเจ้าท้งั หลาย
28 พระองค์ที่ล่วงไปแล้วก็ดี อันพระตถาคตเจ้าบัดนี้ก็ดี มิได้สละ
ละวางทง้ิ ร้างให้ห่างเลยสกั พระองค์เดยี ว ไดท้ รงตามกนั มาทุกพระองค์
อะนตุ ตะรงั พระสตู รนม้ี คี ณุ านภุ าพอนั ยง่ิ ไมม่ สี ตู รอน่ื จะยง่ิ กวา่ ยะถา
สะติ ยถาพะลัง สิกขติ พั พัง เพราะฉะนั้น ทา่ นผู้สัปปรุ ษุ พุทธศาสนกิ ชน
พึงศึกษาเป็นทางเล่าเรียนเขียนไว้ โดยสมควรแก่สติกำ�ลังอย่างไร
อยา่ ให้ได้เสยี คราวเสยี สมัยท่ีได้ประสบ สกิ ขติ ุง อะสกั โกนเตนะ ก็เมอ่ื
ไมอ่ าจเพื่อจะศึกษาไดด้ ้วยความท่ีตนเป็นคนมนั ธะปัญญา กพ็ งึ จาร
จารึกไวใ้ นสมดุ และใบลาน เพ่อื ใหเ้ ป็นท่ดี ทู ีน่ มสั การบชู าโดยเคารพ
กาตุง อะสักโกนเตนะ ก็เมื่อไม่อาจเพื่อจะกระทําได้ดังกล่าวแล้วนี้
ก็ใหพ้ ึงตัง้ ใจฟังโดยเคารพดํารงสติให้ระลกึ ตามทุกบททกุ บาท อยา่ ให้
เปน็ สตวิ ิปลาส ปราศจากสติ เปน็ แตส่ ักว่าอย่อู ย่างนัน้ สะวะณิตุง
อะสักโกนเตนะ ก็เมื่อไม่อาจเพื่อจะจดจำ�ดังกล่าวมาแล้วนี้ พึงไป
สูส่ ถานท่ีแห่งบคุ คลท่ีได้เลา่ บน่ สาธยาย พงึ ประคองซงึ่ กระพุ่มหัตถ์

17

ทศั นขั สะโมธานฟังท่านสาธยาย สณุ ติ ุง อะสักโกน เตนะ กเ็ มื่อไม่
อาจฟงั ได้ ดงั น้ี พึงไปสู่สถานทท่ี า่ นแสดงซ่ึงอาการะวตั ตาสูตรน้กี พ็ ึง
ยังจิตที่ประกอบแล้วด้วยศรัทธาให้เกิดขึ้นแล้ว พึงพิจารณาลูบคลำ�
ด้วยปัญญาวา่ เอวงั คุณะยุตโต โส ภะคะวา สมเดจ็ พระผ้มู พี ระภาค
พระพุทธองค์ประกอบด้วยพระคุณอย่างนี้ๆ ให้พินิจนึกระลึกตาม
พระคุณทกี่ ลา่ วแสดงแล้วน้นั โสมะนัสสะ ชาโต ให้บงั เกดิ ความ
โสมนสั ยินดี ปิติในพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ กจ็ ะห้ามกันเสยี ได้ซงึ่
อกุศลบาปกรรม อนั จะชักนําปฏสิ นธใิ หเ้ กดิ ในอบายภมู ทิ ้ัง 4 คอื
นรกและเปรตะวสิ ยั อสุรกายดริ จั ฉานกําเนดิ ดังนี้ ยงั ปัตเถติ บคุ คล
ผูน้ ั้นจะประสงคซ์ ึ่งพัสดสุ ิ่งใดๆ ความปรารถนาส่ิงนัน้ ๆ ก็จะส�ำ เรจ็
พรอ้ มกับบคุ คลผูน้ ้นั ด้วยคุณานภุ าพทไ่ี ดด้ �ำ รงจิตคดิ คํานึงตามใน
พระพุทธคณุ ทไ่ี ดแ้ สดงแลว้ น้ัน สะเจ ปนุ ัปปนุ งั ตะมะนุสสะระณงั
ก็ถ้าหาก วา่ บคุ คลผใู้ ดมีศรทั ธาระลึกตามอาการะวัตตาสูตรน้เี นอื งๆ
ยตั ถะ กตั ถะจิ ภะเว ชาโต บุคคลผูน้ ัน้ เมื่อละเสยี ซึง่ อตั ภาพรา่ งกาย
ในปัจจบุ นั ชาตนิ ้ีแล้วจะปฏิสนธิในภพเบ้ืองหน้าภพใดภพหน่งึ กจ็ ัก
ไม่เกิดในดิรัจฉานในเปรตะวิสัยจักไม่ไปเกิดในสัญชีพนรกในอุสุทธะ
นรก จกั ไม่ไปเกดิ ในสงั ฆาตะนรก ในโรรุวะนรก ในมหาโรรุวะนรก
จักไมไ่ ปบงั เกดิ ในดาปะนรก จกั ไมไ่ ปบังเกิดในมหาดาปะนรก จัก
ไมไ่ ปบงั เกดิ ในอเวจีนรกเช่นน้ี ด้วยผลานสิ งส์ที่ตนไดเ้ จริญซ่งึ อากา
ระวตั ตาสตู รอยู่เนืองๆ ดังกล่าวมาฉะน้ี อน่ึง ในปัจจุบันภพนก้ี จ็ ะ
เป็นทีห่ ลีกหลบภยั อนั ตรายมใิ ห้มาแผว้ พาน ตงิ สะภะยานิ และภัย คือ
อารมณ์ท่บี ุคคลพงึ สะดงุ้ กลัวนน้ั 30 ประการ อะหภิ ะยงั วา คอื ภยั

18

อันบังเกิดแตท่ ฆี ะชาติ คอื งอู ันมีพษิ 1 กกุ กรุ ะภะยัง ภัยอนั บังเกิด
จากสนุ ัขบา้ นและสุนัขจิง้ จอกทด่ี รุ า้ ยจะขบกัด 1 โคณะภะยัง ภยั อัน
บังเกิดแต่โคถกึ และโคเถือ่ น 1 มะหิงสะภะยงั วา หรือภยั อันบังเกดิ
แต่กระบือเถ่ือนและกระบือบ้านอันดุร้ายจะขวิดชนให้ถึงเป็น
อันตรายแกช่ วี ติ 1 สีหะภะยังวา หรอื ภยั คือราชสหี ์ และเสอื โคร่ง
และเสอื เหลอื ง และเสอื ดาว และเสอื บองกด็ ี อตั ถอี สั สะราชะโจระภะ-
ยงั วา หรอื ภัยเกดิ แต่คชสาร และภัยเกดิ แต่อัสดรพาชีจตรุ งคะชาติ
และภัยอันเกิดแตพ่ ระราชาผเู้ ป็นจอมประชาชน หรือภยั อันบังเกดิ
แต่โจรและเกดิ แต่เพลิงและน�้ำ และภัยอนั เกิดแต่มนษุ ยท์ เ่ี ปน็ ไพรี หรอื
ภัยอันเกิดแต่อมนุษย์ภูตผีปีศาจเข้าสิงบีบค้ันให้จลาจลวิกลจริตผิด
จากมนุษย์ ทัณทะภะยังวา หรือภัยทัณฑ์ถูกกระบองต้องอาชญา
อุมมตั ตะกะยกั ขะกุมภณั ฑะ อารกั ขะ เทวะตาภะยังวา หรือภัยเกดิ
แต่ยักษ์หรอื กมุ ภัณฑ์ จะมาบบี คัน้ ให้เปน็ บ้าเสยี จรติ กิรยิ าแห่งมนุษย์
และภยั เกิดจากคนธรรพคนธรรพ์ และอารกั ขเทวาขงึ้ โกรธปองทาํ รา้ ย
วหิ ิงสา เบียดเบยี น มาระภะยังวา หรือภัยอันเกิดแต่มารท้งั 5 จะมา
ผจญให้เกดิ การวกิ ลเปน็ ไปตา่ งๆ วิชชาธะระภะยังวา หรือภัยเกดิ แต่
ทรชนผทู้ รงไว้ซ่ึงวชิ า จะกระทําใหเ้ ปน็ อนั ตรายดว้ ยอํานาจวทิ ะยา-
คณุ สพั พะโลกาธปิ กตภิ ะยังวา หรอื ภัยเกิดแต่มเหศวร เทวราชผเู้ ปน็
ใหญ่ในเทวโลกทั้งปวงรวมภัยเป็นที่บุคคลอันจะพึงสะดุ้งหวาดเสียว
กลัว 30 ประการ ภยั ทัง้ 30 กจ็ ะอนั ตรธานพินาศ ไม่อาจเบียดเบยี น
ใหเ้ ป็นอนั ตรายได้ จักขโุ รคาทะโย ทง้ั โรคาซงึ่ จะบงั เกิดเบยี ดเบียน
กายเสยี ดแทงอวยั วะนอ้ ยใหญ่ ทง้ั ภายในและภายนอก เป็นต้นวา่

19

โรคในจกั ขกุ จ็ ะระงับดบั เส่ือมสร่างเบาบางลง ชคิ ัจฉาปปิ าสะภะยังวา
หรือว่าภัยอันบังเกิดแต่ความอยากเพื่อบริโภคอาหารและความหวัง
เพ่ือจะด่มื กินซง่ึ น�้ำ เพราะความกระหายหอบดว้ ยโรคภายในกจ็ ะวนิ าส
เสือ่ มหายดว้ ยคณุ านุภาพ ท่ีไดส้ าธยายทอ่ งบ่นจาํ ทรง ซงึ่ อาการะ
วตั ตาสตู รนี้อยเู่ นืองๆ โดยนยั ดังกล่าวมาดว้ ยประการฉะนี้ สะเจ โย
โกจิ สารปิ ตุ ตะ ถ้าว่าบุคคลผใู้ ดผู้หนง่ึ จะพึงกระทาํ ซงึ่ ปาณาตบิ าต
คือปลงเสยี ซง่ึ ชีวติ แห่งสัตว์ ให้ตกลว่ งไปเป็นสาวชั ชะกรรม น�ำ ชัก
ผลใหไ้ ปปฏิสนธิในจตุราบายนั้นไซร้ อมิ งั สตุ ะกาละโต ปัฏฐายะ จําเดิม
แตไ่ ดส้ ดับฟัง ซึง่ อาการะวัตตาสตู รน้ี ดว้ ยศรทั ธาจิตประสาทเลื่อมใส
ก็อาจปิดบังหา้ มกันไว้ ซง่ึ กรรมนนั้ ทุคคะติง โส นะคจั ฉะติ บคุ คลผ้นู น้ั
จะไมไ่ ปส่ทู คุ คตกิ าํ หนดโดยกาลประมาณ 90 แสนกลั ป์ ฉะนีน้ ี่เป็นอา
นสิ งั สผลท่ีไดท้ ่องไดบ้ น่ ไดท้ รงจํา ซ่งึ กระแสแหง่ อาการะวัตตาสตู รให้
เป็นวาจุคคะตา (คล่องปาก) สะกะเคหัง สพั พะรักเขหิ รักขติ งุ อนงึ่
เคหสถานทั้งส้ินแหง่ ผนู้ ัน้ จะมีผูร้ ักษาแล้วด้วยเคร่อื งรกั ษาทง้ั ปวง
เทพยดาทัง้ หลายในฉกามาพจรสถานทั้งหกช้ันฟา้ น้ัน ยอ่ มจะพิทักษ์
ให้นิราศภัยอันตราย เอวงั สารปี ุตตะ อมิ ังสุตตงั มะ หทิ ธิกงั ดกู รสา
รีบตุ รอาการะวัตตาสูตรน้มี ีอิทธิฤทธ์ิใหญ่หลวง มะหาเตชัง มะหา-
นภุ าวงั มเี ดชานุภาพย่ิงนัก มพี ละกาํ ลงั มาก มอี านิสงั สะคุณอนั ไพศาล
ด้วยประการฉะนี้ สมเด็จพระบรมศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส
อธิบายซ่งึ อิทธเิ ดชานุภาพแห่งอาการะวัตตาสตู รดังน้แี ล้ว เทสะนากูฏงั
คณั หันโต เมื่อพระองคถ์ อื เอายอดแหง่ เทศนาจงึ ตรสั ซ่งึ พระคาถา
ดังนี้ว่า สัพพะเมกะมทิ งั สตุ ตงั อะภิธมั มะปิฏะกญั เจวะ เป็นต้น

20

อธบิ ายความในพระคาถาว่า อิทงั สตุ ตัง เอกัง อาการะวัตตาสูตร
นี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้ซึ่งสังขตะธรรมทั้งปวง
ทรงตรสั วา่ ถา้ ผใู้ ดไดพ้ จิ ารณาลบู คล�ำ ซง่ึ พระอภธิ รรมปฎิ ก พระ
สตุ ตนั ตะปิฏก พระวินัยปิฎก ด้วยประการฉะนี้แลว้ มะหาเตชงั อทิ ธิ
พะลัง จะมพี ระเดชามาก มฤี ทธแิ์ ละก�ำ ลังใหญห่ ลวง ประดับแลว้ ดว้ ย
วรรค 17 วรรค ดงั กล่าวแล้ว ในหนหลัง ล้วนแต่แสดงถงึ พุทธคณุ
พุทธะคณุ ะคะณา คนั ธา กลนิ่ หอมทงั้ หลาย คือประชุมแหง่ หมู่
พระพุทธคณุ เป็นกลิน่ อันอดุ มประเสรฐิ สงู สุดกว่ากลิ่นคนั ธชาตทิ ง้ั
ปวงทม่ี นุษยแ์ ละเทวดากาํ หนดว่าเป็นกลิ่นอนั ดี อาการะวตั ตาสุตมั
หิจะ ปะกาสติ า คนั ธชาตแิ หง่ หม่พู ระพุทธคุณท้ังปวงเหลา่ นั้นเรา
ผตู้ ถาคตไดแ้ สดงแล้วในอาการะวัตตาสูตรน้ี สัทธา หัตเถนะ วญิ ญูนา
วิญญูชนผมู้ ีปรชี าพึงลูบคล�ำ เถดิ ด้วยมอื คือศรทั ธาความทีต่ ัง้ จิตใจไว้
ชอบ ในกาลทกุ เมือ่ พุทธะคณุ า ปุปผา คือหมู่แห่งพระพุทธคณุ ทง้ั
หลายเปน็ บุปผชาติอนั อดุ มกว่า บปุ ผชาตทิ ่ีเทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย
มานิยมว่าประเสรฐิ น้ัน บุปผชาติ คอื หมพู่ ระพุทธคุณทั้งนั้น เราผตู้ ถาคต
ไดป้ ระกาศแลว้ ในอาการะวตั ตาสตู ร ชะเนนะ หิตกา เมนะชนผู้รกั ใคร่
ซงึ่ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู อุดหนุนแกต่ นในโลกเบ้ืองหน้า พึ่งประดับประดา
ทดั ทรงไว้ ดว้ ยใจศรทั ธาทุกเมื่อเถดิ ดงั น้ี ราโค จิตตัง นะธงั เสติ ราคะ
คอื ความกําหนัดจะไดก้ าํ จัดซึง่ จิต แห่งบคุ คลนั้นหามิได้ ตะถา โทโส
จะ โมโห จะ อนั โทสะ และโมหะ กจ็ ะไมก่ าํ จดั จติ แหง่ ผนู้ น้ั ใหข้ นุ่ ขอ้ ง
หมองมวั ไปได้ ตะถาคะเต ปะสาโท จะ บุคคลผู้นั้นก็จะมีความประสาท
เลอื่ มใสในพระตถาคตผเู้ ปน็ อะระหงั สมั มาสัมพุทธเจา้ และจะมีคารวะ

21

เคารพในพระตถาคต และเคารพในพระสทั ธรรม และพระสงฆช์ นิ ะ
บตุ ร สัทธาทเิ ก วปิ ุลละคะโต จะถงึ ซงึ่ ความไพบลู ยด์ ว้ ยคณุ มศี รัทธา
เปน็ ต้น จะมากไปด้วยปรีชาปราโมทย์ในพระพุทธคณุ ดงั น้ี สัพพะ
ทกุ ขาภะยสั สาโย รา่ งกายอันบคุ คลอบรมอยแู่ ลว้ ดว้ ยพระพทุ ธคณุ
อันเป็นเครอ่ื งหมดสนิ้ แหง่ ทกุ ข์ภยั ไกลจากราคาทิกเิ ลส ดงั นี้ อคั โคเชฏโฐ
อะนุตตะโร กเ็ ปน็ กายเลศิ ประเสรฐิ ยงิ่ ควรจะพึงบูชาประหนึ่งว่าเรอื น
พระเจดีย์ อนั เป็นทส่ี กั การะบูชา ฉะนนั้ ตะถาคะเตนะ สัทธิง บคุ คล
ทม่ี จี ิตสนั ดานอบรมอยูด่ ้วยพุทธคุณน้นั เหมือนได้อยู่ ณ ท่ีเดยี วกัน
กับพระตถาคตพุทธเจา้ วติ กิ กะเม อปุ ฏั ฐิเต คร้นั เมอ่ื วัตถจุ ะพงึ ล่วง
ในสิกขาบทบัญญตั ิจกั เป็นอาณาวติ กิ กะโม จะมีปรากฏเฉพาะหน้ากด็ ี
บุคคลผนู้ น้ั กจ็ ะต้ังไว้ซง่ึ หิริความละอาย และโอตตปั ปะ ความสะด้งุ
กลวั ต่อบาปและโทษทงั้ ปวง เปน็ ประหน่งึ วา่ ต้ังอยูใ่ นทีพ่ ร้อมหนา้ แหง่
พระสมั มาสมั พุทธเจ้านั้น กไ็ มอ่ าจล่วงเกินซ่งึ สิกขาบทบญั ญตั ิใน
ครุกาบัตแิ ละลหุกาบตั นิ ้ันๆ ได้ ข้อน้ีเปน็ คณา สะเรยยะ ทฏิ ฐะกรรม
ท่ีไดห้ มั่นค�ำ นึงซ่ึงอะตลุ ะบารมีที่กล่าวไว้ในอาการะวัตตาสตู รน้ี โย นะ
อปุ า รัมภาทิ ถ้าบุคคลผใู้ ดมไิ ด้มศี รัทธาประสาทคุณความเลื่อมใส
ย่อมได้สดับฟังคําส่ังสอนแห่งสมเด็จพระชินวรวิสุทธิศาสดาจารย์
เพราะเหตุแห่งโทษที่เขามิได้ปรารภก็จะไม่ได้ประสบความสรรเสริญ
และลาภยศเป็นต้น อารากาสฐิ ตสิ ัทธมั มงั บคุ คลผนู้ นั้ ก็จะตง้ั อยใู่ นที่
ไกลจากพระสัทธรรม ประหน่ึงวา่ พน้ื ปฐพเี ปน็ ของไกลกันกบั อากาศ
ฉะนนั้ บุคคลผนู้ ัน้ กจ็ ะเส่อื มจากพระสัทธรรม ประหนง่ึ วา่ ปรมิ ณฑล
แห่งพระจันทรอ์ นั หมดสีรัศมใี นดถิ ีกาฬปักษฉ์ ะนน้ั โย จะ ตฎุ เฐนะ

22

จิตเตนะ บคุ คลใดมจี ติ ยนิ ดีแลว้ ด้วยศรทั ธา ประสาทคุณย่อมสดับฟงั
ซ่งึ คำ�สอนแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ผู้ผจญเสยี ซึง่ ขา้ ศึก คอื
กเิ ลส และหมูม่ ารด้วยจติ ชนื่ บานอภิรมยป์ ราศจากโทษมีอันปรารภ
คือ แลเหน็ ลาภและยศ และความสรรเสริญ เป็นต้น ดงั กลา่ วมา
แลว้ น้ี กิเลเส เขเปตตะวา บคุ คลผ้นู ัน้ กจ็ ะยงั กเิ ลสทั้งหลายใหห้ มด
สิน้ ดว้ ย ตะทังคะปะหาน และวิขมั ภะนะปะหาน โดยลาํ ดบั ๆ กันไป
จนถึงละกเิ ลสไดด้ ว้ ยสมจุ เฉทปะหาน หมดส้ินเชอ้ื อุปาทาน อะนาสะโว
เป็นผู้วสิ ทุ ธิในสันดานไมม่ อี าสวะเครอ่ื งดอง เนอื งนอง แต่อนันตะชาติ
ปะรนิ พิ พายิ กจ็ ะดบั ขันธ์ ปรนิ พิ พานหมดภพสิ้นกนั ดาร คอื ชาติและ
ชรา พยาธิ มรณะ อนั เป็นบรมสุขดังน้ี ด้วยอานิสงั สคณุ ที่ไดส้ ดับรับ
ปฏิบัติตามทางพระสัทธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนไว้
ธมั มะจารี ดจุ หน่ึงนรชนทง้ั หลายเหล่าใดประกอบด้วยคุณ คือ ศรทั ธา
และปัญญา เป็นตน้ เคารพในพระสัทธรรม และเอ้ือเฟ้ือในพระสัทธรรม
อะสะ จาโย เป็นผู้ไมก่ ล่าวดคี ือ ไม่อวดแสดงซง่ึ คุณท่ีมีในตน เป็นเหตุ
จะให้คนอืน่ มีความพิศวง ชนทั้งหลายน้ันได้ซึง่ ชอื่ และปฏบิ ัติซ่ือตรง
ตามมรรคาแหง่ อมตธรรม คือพระนิพพาน ความสขุ สาํ ราญกายสบาย
จิตกจ็ ะบังเกิดในภพนแ้ี ละภพหน้าอีทสิ า ดว้ ยตนเคารพนบั ถือพระ
สทั ธรรม และปฎิบตั ิตามดงั ท่ีกลา่ วแล้วนั้นดว้ ยประการดงั น้ี อาการะ
วตั ตานุภาเวนะ สัตตา โหนติ สขุ ัปปตั ตา สตั ว์ทง้ั หลายจะถงึ ซึง่ ความ
สขุ นริ ทุกข์นริ ภัย ปราศจากอนั ตรายทง้ั ปวงก็ด้วยอานภุ าพแหง่ อาการะ
วัตตาสตู รน้ี เทวะมะ นสุ สา จะ อุโภ เทวดาและมนุษยท์ ้ังหลายก็จะแล
ดซู ่ึงกันและกนั ด้วยจติ เมตตามิไดว้ ิหงิ สาอาธรรมท่จี ะเบียดเบียน

23

ใหไ้ ดร้ ับความลําบากกายระทมใจดงั นี้ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ อาการะ
วัตตาสูตรนี้ อนั ตะรายา อะเนกะขา อนั ตรายทั้งหลายทีเ่ ปน็ ไปใน
ภายในและภายนอกมีมาก ใช่อยา่ งหนึง่ และอยา่ งเดยี ว วนิ ัสสันติ อะ
เสสะโต ก็ย่อมวนิ าศเสอื่ มสญู พนิ าศฉิบหายดว้ ยอานุภาพแห่งอากา-
ระวัตตาสูตรนี้ ราชะ โจรคั คนิ าปจิ ะ ภัยอันตรายทั้งหลายอนั จะเกิด
ขึน้ แตพ่ ระราชาผปู้ กครองรกั ษาบังคับอภิบาลมณฑล และจะเกิดแต่
โจรจะทําร้ายและเพลงิ ไหม้ และนำ�้ ท่วมมากเกินประมาณ อนั ตราย
เหลา่ นน้ั ก็จะวินาศฉบิ หายมิได้เหลอื ไมอ่ าจทาํ ใหเ้ ป็นอนั ตรายแกช่ น
นัน้ ได้ แม้นถึงวา่ สัตวด์ ุรา้ ย เป็นตน้ วา่ สีหาและพยคั ฆากไ็ มอ่ าจเบยี ด
เบียนทําร้ายได้ สังสาเร สังสะรันโต เมื่อผู้นั้นยังท่องเที่ยวเวียนวนอยู่
ในวัฏสงสาร นิปุณาปะติ อายโุ ก จะเปน็ ผมู้ ปี ัญญาละเอียดสขุ มุ ภาพ
และจะมีชนมายุ ยืนยงคงทนจนเท่าถึงอายุบริเฉทกาลอายุขัยเป็น
กาํ หนดจึงตายจะได้ตายด้วยอกาละมรณะนน้ั หามิได้ อะโรคา จะ
บุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้ไม่มีโรคาพยาธิท่ีจะเบียดเบียนเสียดแทงฟกชำ้�
ระจํากาย อะ นาสะวงั จะ นิพภะยัง ก็สถานถ่ินประเทศใดอนั สมเด็จ
พระพทุ ธเจา้ ท้งั หลายไดแ้ สดงไว้แลว้ ว่า เปน็ ท่ีไม่มอี าสวะกเิ ลสและ
เป็นทีเ่ กษมสุขสิ้นทุกขภ์ ัย ไมม่ ีข้าศกึ สงิ่ ใดทจี่ ะมาผจญให้ถงึ พ่ายแพ้ได้
นิพพานะมะตุลงั สันตงั ละเภยยะ อะนาคะเต บุคคลผนู้ นั้ กจ็ ะพึง
ได้สถานประเทศนน้ั กลา่ วคือ พระนพิ พาน อะตลุ ะสนั ตงั ไม่มธี รรม
อื่นๆ ที่จะเป็นคู่เปรียบให้เท่าถึงได้ เป็นธรรมอันระงับได้แท้ ใน
อนาคตกาลเบ้อื งหน้ายังไม่มีมาถงึ ดังนี้ เพราะอานสิ งั สผลที่ไดร้ ะลกึ
ตามเนอื งๆ ซง่ึ พระพทุ ธคุณ วิบูลยบ์ ารมี ทิพพะจักขุง วิโสธะยิ ผู้นัน้

24

กจ็ ะสําเรจ็ ซึง่ ไตรวิชชาและอภญิ ญา 6 ประการ ก็จะยังทพิ ย์จกั ขุญาณ
ให้บรสิ ทุ ธ์ิผ่องใส อาจเหน็ ไปในรปู ารมณ์โดยประสงค์ ประดุจหนึ่งวา่
ทิพย์จักษแุ หง่ มเหสักขะเทวราชนน้ั คมั ภีรัง นิปุนงั ธมั มงั โย จะสตุ ตัง
ปะวตั ตะยิ กบ็ คุ คลผูใ้ ดมคี วามเล่อื มใสโสมนสั ปรดี าประสาทศรัทธา
เปน็ เคา้ มูลไดก้ ระทําอตั ถาธบิ าย อาการะวตั ตาสูตร อนั เปน็ ธรรมลกึ
ซ้งึ ละเอยี ด อันเจอื ไปด้วยพระวินัยและพระปรมัตถะปิฏกให้ประพฤติ
เปน็ ไป คอื จะไดจ้ ดจารกึ ลงไวใ้ นสมดุ ใบลานกด็ เี พอ่ื จะใหเ้ ปน็ หติ านหุ ติ
ประโยชนแ์ กบ่ คุ คลผ้โู สมนสั อนั เปน็ เวไนยต่อไป ณ เบือ้ งหนา้ วทสิ สะติ
ตัสสะ ยะโส ยศ กลา่ วคอื จะมีผบู้ ชู าและนับถือจะเจริญแก่บุคคล
ผู้นนั้ เป็นนิรันดรมิไดข้ าด พะหตุ พั ภกั โข ภะวะติ วปิ ปะวุตโถ สะกงั
ฆะรา โย จะ สุตตงั สุณาติ บุคคลผูใ้ ดไดส้ ดบั ฟงั ซ่งึ พระสตู รอนั น้ี โดย
สักกัจจะวิธเี ป็นเคารพ วปิ ปะวตุ โถ สะกัง ฆะรา ถึงจะมีกงั วลการ
ดว่ นรีบร้อน ต้องสัญจรออกจากบา้ นเรอื นแห่งตนนน้ั ไปแลว้ จะได้
ขดั สนจนเสบียงอาหารท่ีจะบริโภค ไปรายทางทเุ รศกันดารหามิได้
พะหตุ ัพภกั โข ภะวะติ บุคคลผ้นู นั้ จะมอี าหารบรโิ ภคมาก ย่อมเปน็
ท่ีอาศยั แก่ชนทั้งปวง อะมิตตา นปั ปะสะหนั ติ ศัตรูหมู่ปัจจามิตรทงั้
หลายไม่อาจจะมาครอบงำ�ย�่ำ ยไี ด้ นี่เป็นทฏิ ฐะ ธมั มะ เวทะนิยานิ
สงส์เหน็ ในปจั จุบันทนั ตา และสมั ปะรายิกานิสงส์ทจ่ี ะเกื้อหนนุ ในภพ
หน้านัน้ แสดงวา่ โกฏฐาคาราทสิ ัมปันโน นานาวเิ ธนะ ภสู ิโต บุคคล
ผู้นั้นผู้ได้ฟังซึ่งพระสูตรนี้ด้วยประสาทจิตผ่องใสโสมนัสปรีดา เมื่อสืบ
ขันธะประวัติไปในภพเบ้ืองหน้าจะสมบูรณ์ด้วยโภคะสมบัติหิรัญ
รตั นมณเี หลอื ล้น ขนขึ้นรกั ษาไวท้ ี่เรอื นและคลงั เปน็ ตน้ จะประกอบดว้ ย

25

เครื่องอลงั การวิภสู ิตพรรณตา่ งๆ ใชอ่ ยา่ งหนึ่งอยา่ งเดียว มะหัพพะโล
มะหาถาโม จะมกี ําลังมาก แรงมากแข็งขยนั กลา้ ต่อยุทธนาสขู้ า้ ศึก
ศัตรหู มไู่ พรไี ม่ย่อทอ้ กาโย สวุ ณั ณะวัณโณ ทง้ั ฉววี รรณกผ็ ่องใสดุจ
ทองธรรมชาติ ท้งั จกั ษุประสาท รุ่งเรืองงามบ่มไิ ดว้ ปิ ริต อาจจะแลดู
เหน็ ท่ัวทศิ านทุ ิศซึ่งสรรพรปู ทงั้ ปวง ฉติงสะกัปเป เทวินโท จะ ได้เป็น
พระอินทรป์ ิน่ พภิ พดาวดงึ ส์กําหนดถงึ 36 กัลป โดยประมาณ ฉะติงสะ
จักกะวตั ติโย จะได้ สมบัติจกั รพตั ราธิราชผเู้ ป็นอิศราในทวปี ทั้ง 4 มี
ทวีปนอ้ ย 2000 เป็นบรวิ าร กาํ หนดนานถึง 36 กัลป สวุ รรณะปาสา
ทะสมั ปันโน จะถึงพร้อมดว้ ยปราสาทอันเปน็ วกิ ารแหง่ ทองควรจะ
ปรีดา บรบิ รู ณด์ ว้ ยแก้ว 7 ประการ เป็นของเกิดสําหรบั บุญแหง่ บรม
จักรพัตราธิราช จะตงั้ อยู่ในสมบัตสิ ขุ โดยกาํ หนดกาล ตวิ ิธะสขุ ัง อจิ ฉันโต
อนึ่งผนู้ ้นั เมอ่ื จะปรารถนาซึง่ สขุ 3 ประการ คือ สขุ ในมนษุ ย์และสขุ
ในสวรรค์ และสุขคือพระนิพพาน กจ็ ะได้สาํ เรจ็ ดังปรารถนา มะตมิ ัตถงั
สญั ชานติ ะวา เมื่อยังเวยี นวา่ ยอยู่ในวัฏสงสาร อานิสงส์คงจะอภบิ าล
ตามประคองไป ให้มีปญั ญาเฉียบแหลมว่องไวจะเปน็ ผู้รู้อรรถและธรรม
อันสขุ ุมละเอียดลกึ ซงึ้ อาจจะรทู้ ่ัวถึงดว้ ยกาํ ลังปรีชา ตะโต นิพพานะ
สขุ งั จะ เมือ่ กาลอนั เป็นอวสานทีส่ ุดชาติ กจ็ ะได้บรรลุแกพ่ ระอมต
มหานพิ พานเปน็ บรมสุขตามอรยิ โวหาร นิระเย จาปี เตนะ จะ อนง่ึ
เมอ่ื บคุ คลนน้ั ยงั เวยี นวา่ ยอยใู่ นวฏั สงสาร จะไมอ่ บุ ตั บิ งั เกดิ ในนรก ไมไ่ ป
เกดิ ในเปตะวิสยั ไมไ่ ปเกิดในอสุรกาย จะไมไ่ ปเกดิ ในดริ จั ฉานกาํ เนิด
จะไมไ่ ปเกดิ ในโลหะกุมภี และเวตระณี และอเวจีมหานรกใหญ่ทัง้ หลาย
นะวุตกิ ปั ปะสะตะ สะหัสสานิ กาํ หนดนบั ถึง 90 แสนกัลป เปน็ ประมาณ

26

จัณฑาละทาสีกจุ ฉิมหิ โลกนั ตะนริ ะเยสุ จะ อนงึ่ ผู้น้นั จะไม่ไปเกดิ ใน
ตระกูลแห่งหญงิ จัณฑาลเข็ญใจ และทาสีหินชาติตระกลู และจะไม่
ไปเกดิ ในโลกันตะนรกอนั มใี นโลกกุทิฏฐมิ หิ จะไม่ไปบงั เกิดในตระกูล
มจิ ฉาทฏิ ฐิ ดว้ ยอานสิ งสท์ ไ่ี ดฟ้ งั พระสตู รน้ี และยงั ไมส่ ดุ สน้ิ ตามสนองไป
คอื จะไม่ได้ไปเกิดเป็นหญิง และเป็นอภุ ะโตพยญั ชนกอนั มีเพศเป็น
สองฝ่าย และมิได้เกิดเป็นบัณเฑาะก์ เป็นกะเทยที่เป็นอภัพบุคคล
องั คะปจั จงั คะ สัมปนั โน ผ้นู ัน้ เกิดไปในภพใดๆ จะเปน็ ผู้ถึงพรอ้ ม
ดว้ ยองั คาพยพนอ้ ยใหญ่ บรบิ รู ณ์ไม่วกิ ลวิการ สะรปู า ทีฆายโุ ก จะเป็น
ผู้มรี ูปทรงสัณฐานงามดี เปน็ ทเ่ี ลื่อมใสแก่มหาชนผไู้ ด้ทศั นาไมเ่ บอื่ หน่าย
จะเปน็ ผมู้ อี ายยุ ืนมีศีลศรัทธาทคิ ณุ และจะบริบูรณ์ในการบริจาคทาน
ไมเ่ บ่อื หนา่ ย สพั พีติโย วิวัชชนั ตุ ทัง้ สรรพอนั ตรายและความจญั ไร
ภยั พบิ ตั ิกจ็ ะขจัดบาํ บดั ไป ท้งั สรรพอาพาธทบ่ี งั เกิดเบยี ดเบยี นกาย ก็
จะสงบระงับดับคลายลง ด้วยคณุ านิสงั สผลทตี่ นได้สดบั ฟงั พระสตู ร
พทุ ธเวยยากะระณะ ภาษิตอันเปน็ ธรรม โอสถวเิ ศษ มะระณะกาเล
อะสมั มุฬโห ในมรณาสันนะกาลใกล้แกม่ รณะ ก็จะเปน็ ผู้ไม่หลงจะ
ดาํ รงสตินัน้ ไวไ้ ด้ ให้เปน็ ทางสคุ ตทิ ี่จะดาํ เนินปฏสิ นธใิ นภพเบอ้ื งหน้า
อุชงุ คัจฉะติ สคุ ะติง เมื่อแตกกายทาํ ลายเบญจขันธ์แลว้ ก็จะตรงไป
สู่สคุ ติ เสวยสุขสมบัตติ ามใจประสงค์ โยจะ สัมมนุสสติ สตุ ตะวนิ ะ
ยาภิธมั มงั นรชนผใู้ ดเหน็ ตามโดยชอบ ซึ่งสูตรอนั เจือปนด้วยพระวินยั
พระปรมตั ถก็มนี ามบัญญัติช่ือวา่ อาการะวัตตาสตู รมีขอ้ ความดังกล่าว
มาแล้วน้นั ๆ สำ�เรจ็ ดงั กมลมุ่งมาดปรารถนา โย จะปสั สะติ สัทธัมมัง
ก็บุคคลผู้ใดได้เห็นพระสัทธรรมบุคคลผู้น้ันก็จะได้ช่ือว่าได้เห็นเรา

27

ตถาคตพทุ ธเจา้ อะปสั สะมาโน สัทสทั ธมั มงั ปัสสันโตปิ ผู้ใดเม่ือไม่
เหน็ ซงึ่ พระสัทธรรม ถงึ จะได้เห็นไดป้ ระสบพบเราผตู้ ถาคต กช็ ื่อวา่
ไม่ไดป้ ระสบพบเราผตู้ ถาคต เป็นผูไ้ กลจากเราผ้ตู ถาคตดงั น้ี องคพ์ ระ
จอมมุนี ผทู้ รงพระภาค ตรัสประกาศซึ่งคณุ เดชานภุ าพ และอานสิ งั ส
ผลแห่งอาการะวตั ตาสตู ร โดยเวยยา กะระณะบาลีดงั นจ้ี บลงแลว้
ธมั มาภสิ มัย คือตรสั รมู้ รรคและผล ก็บงั เกิดมีแกห่ มชู่ นทง้ั หลายท่ไี ด้
สดับฟงั ประมาณ 80 พันโกฏ ด้วยประการดงั น้ี อทิ ะมะโวจะ ภะคะวา
สมเดจ็ พระมหากรุณาผูท้ รงพระภาค ตรัสแสดงซึ่งอาการะวัตตาสูตรนี้
จบลงแล้ว พระสารีบตุ รพทุ ธสาวกก็ชน่ื ชมยนิ ดตี อ่ พระพุทธภาษติ
แหง่ องคส์ มเดจ็ พระภะคะวนั ตะบพิตรสมั มาสมั พุทธเจา้ ดว้ ยประการ
ฉะนี้ฯ

28

พระอาการะวัตตาสตู ร

ในบรรดาพระสูตรท่ีมิได้รวมอยู่ในพระไตรปิฏกฉบับปัจจุบัน
พระอาการวตั ตาสูตร เปน็ พระสตู รศกั ด์ิสิทธ์ิทไ่ี ดร้ บั ความเคารพสักการะ
เทอดทูน และไดร้ บั ความนยิ มทอ่ งบ่นสาธยายนบั เป็นอนั ดับหนง่ึ
จัดว่าเป็นพระสูตรประจําตัวปารมีชน เชื่อกันว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทงั้ หลาย เมื่อครง้ั ยงั เป็นพระโพธิสตั วท์ รงสรา้ งบารมอี ยู่ ต่างกเ็ คย
ทอ่ งบน่ สาธยายพระคาถาอาการวัตตาสูตรนี้ อยเู่ ป็นประจํากันทุก
พระองค์

ปราชญ์บางท่านเข้าใจว่าพระสูตรนี้เป็นส่วนหน่ึงที่แสดงถึง
อิทธิพลของลัทธมิ นตรยาน ท่เี ข้ามาแพร่หลายในประเทศไทย ถา้
เป็นเชน่ น้ันพระสูตรน้กี ็ควรจะมคี าถาเป็นภาษาสนั สฤต แต่ทีเ่ ป็นอยู่
มิใชเ่ ช่นนนั้ พระสูตรน้ีเป็นพระสูตรบาลสี มบรู ณ์แบบ บารมีท่อี ้างถงึ
กเ็ ป็นบารมี ๑๐ ทัศ ๓๐ ทัศ ของเถรวาท ไม่ใชบ่ ารมี ๖ ทศั ของ
มหายาน ศพั ท์ธรรมะทงั้ หลายตรงตามพระพุทธวจนะในพระไตรปฏิ ก
ทั้งสน้ิ

ในการนํามาพิมพ์คร้ังน้ีแตกต่างกับที่เคยมีผู้นำ�มาพิมพ์
สว่ นมากทมี่ ักจะพมิ พแ์ ต่ตัวพระคาถา ซึง่ เปน็ ทอ่ นหลังของพระสตู ร
คร้ังนี้จะไดน้ ําพระสูตรมาพมิ พต์ งั้ แตต่ น้ เพ่ืออนุรกั ษไ์ วไ้ มใ่ หส้ ญู หาย

ใจความของพระอาการวัตตาสตู รมอี ยู่ว่า พระสตู รน้ีพระบรม
ศาสดาได้ตรสั แสดงแก่พระสารบี ุตร ณ ภูเขาคิชฌกูฏ แขวงเมืองราชคฤห์

29

ด้วยเหตุว่าพระอัครสาวกท่านมีความกรุณาต่อสรรพสัตว์ผู้หนาไป
ดว้ ยกเิ ลส หลงประกอบอกศุ ลกรรมอนั จกั นาํ ไปสู่อบาย เห็นอยแู่ ต่
บารมี ๓๐ ทัศ ซ่ึงพระบรมศาสดาได้ทรงบาํ เพ็ญมาเทา่ นั้นท่ีจะอาจ
ช่วยปอ้ งกันสัตว์เหลา่ น้ันไวจ้ ากความหายนะได้

สมเด็จพระภควันต์เจ้าจึงทรงแสดงพระอาการวัตตาสูตรกํา
หนดดว้ ยวรรค ๑๗ วรรค คือ ๑ อรหาทิคุณวรรค, ๒ อภนิ ิหารวรรค,
๓ คัพภวุฏฐานวรรค, ๔ อภิสัมโพธิวรรค, ๕ มหาปัญญาวรรค,
๖ ปารมวิ รรค, ๗ ทสปารมิวรรค, ๘ วชิ ชาวรรค, ๙ ปริญญาณวรรค,
๑๐ โพธปิ กั ขิยวรรค, ๑๑ ทสพลญาณวรรค, ๑๒ กายพลวรรค, ๑๓
กามพลวรรค, ๑๔ จริยาวรรค, ๑๕ ลักขณวรรค, ๑๖ คตัฏฐานวรรค,
๑๗ พุทธปเวณีวรรค
แต่ละประโยคในแต่ละวรรคล้วนเป็นคําสรรเสริญพระพุทธ
คุณ ยกตวั อยา่ งเช่น

“อิติปิ โส ภควา ปญญฺ าปารมิสมปฺ นโฺ น”
แปลว่า “พระภควันตเ์ จ้าพระองค์น้นั ทรงบริบูรณด์ ้วยพระ
ปญั ญาบารมี”

พระบรมศาสดาไดต้ รสั คณุ านสิ งสข์ องพระสตู รน้วี ่า หากชน
ทัง้ หลายเหลา่ ใดไดก้ ล่าวทอ่ งบ่นอยู่เป็นนจิ (ดว้ ยจิตเปน็ สมาธผิ อ่ งใส)
จะปรารถนาสงิ่ ใดๆ กจ็ ะสําเรจ็ แกบ่ คุ คลผนู้ ้ัน, เม่อื จะเสยี อตั ภาพ
รา่ งกายในปจั จุบนั ชาติก็จกั ไมบ่ งั เกิดในเดรจั ฉาน, ในเปรตวิสัย, จกั ไม่
บงั เกิดในชีพนรก, ในอสุ ุทะนรก, ในสังฆาฏะนรก, ในโรรวุ ะนรก, ใน

30

มหาโรรุวะนรก, ในดาบนรก, ในมหาดาบนรก, ในอเวจีนรก ฯลฯ ไม่เกิด
เป็นอสุรกาย ฯลฯ จะไดไ้ ปเกิดในสุคตภิ พ, บริบรู ณ์ ด้วยสุขารมณ์,
มีอินทรยี ผ์ อ่ งใสสมบูรณ์ มีปญั ญาเปน็ สัมมาทฏิ ฐิ ฯลฯ
เมื่อสมเด็จพระภควันต์เจ้าตรัสประกาศคุณเดชานุภาพและ
อานสิ งสผลของพระสตู รนี้จบลง ธรรมาภสิ มัยกบ็ ังเกิดแกห่ มชู่ นทไ่ี ด้
สดบั เป็นจํานวนมากมายมหาศาล

31

ขึ้นต้นพระคาถาอาการะวตั ตาสตู ร

เอวมั เม สตุ งั เอกัง สะมะยัง ภะคะวา ราชะคะเห วิหะระติ
คิชฌกเู ฏ ปพั พะเต เตนะโข ปะนะ สะมะเยนะ สพั พะสัตตานัง
พุทธะคโุ ณ ธัมมะคุโณ สงั ฆะคโุ ณ อายสั มา อานันโท อะนุรทุ โธ
สารปิ ตุ โต โมคคัลลาโน มะหิทธโิ ก มหานุภาเวนะ สตั ตานัง เอตะทะ
โวจะ
อติ ิปิ โส ภะคะวา อะสภุ ะ รัภภะ สัมมาวิชชาจะระณะสมั ปนั โน
อติ ิปิ โส ภะคะวา ยะมะโลกา สัมมาวชิ ชาจะระณะสัมปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา ปะฐะวีธาตุ สัมมาวชิ ชาจะระณะสมั ปันโน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อาโปธาตุ สัมมาวิชชาจะระณะสมั ปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา เตโชธาตุ สัมมาวิชชาจะระณะสัมปนั โน
อิติปิ โส ภะคะวา วาโยธาตุ สมั มาวชิ ชาจะระณะสัมปนั โน
อิติปิ โส ภะคะวา อากาสธาตุ สมั มาวิชชาจะระณะสมั ปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา จาตมุ หาราชิกา เทวา สัมมาวิชชาจะระณะสมั ปนั โน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา ตาวะติงสา เทวา สัมมาวชิ ชาจะระณะสัมปนั โน
อิติปิ โส ภะคะวา ยามา เทวา สมั มาวิชชาจะระณะสมั ปนั โน
อติ ิปิ โส ภะคะวา ดสุ ติ า เทวา สัมมาวชิ ชาจะระณะสัมปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา นิมมานะระตี เทวา สัมมาวชิ ชาจะระณะสัมปันโน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา ปะระนมิ มติ ะวะสะวตั ตี เทวา สมั มาวชิ ชาจะระณะ-
สัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พรหมะปะรสิ ชั ชา เทวา สมั มาวชิ ชาจะระณะ-
สัมปันโน

32

อติ ปิ ิ โส ภะคะวา พรหมะปะโรหติ า เทวา สัมมาวิชชาจะระณะ-
สมั ปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา มหาพรหมา เทวา สัมมาวิชชาจะระณะสมั ปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา ปะริตตาภา พรหมา เทวา สมั มาวิชชาจะระณะ-
สมั ปันโน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อปั ปะมานาภา พรหมา เทวา สมั มาวชิ ชาจะระณะ-
สัมปันโน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา อาภัสสะรา พรหมา เทวา สมั มาวิชชาจะระณะ-
สมั ปนั โน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา ปะรติ ตะสุภา พรหมา เทวา สมั มาวิชชาจะระณะ-
สัมปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อัปปะมาณาสภุ า พรหมา เทวา สมั มาวิชชาจะ-
ระณะสมั ปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา สภุ ะกณิ หะกา พรหมา เทวา สมั มาวชิ ชาจะระณะ-
สัมปันโน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะสญั ญสี ตั ตา พรหมา เทวา สมั มาวชิ ชาจะระณะ-
สมั ปันโน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา เวหปั ผะลา พรหมา เทวา สมั มาวชิ ชาจะระณะ-
สัมปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะวิหา พรหมา เทวา สัมมาวิชชาจะระณะ-
สัมปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา อะตัปปา พรหมา เทวา สัมมาวชิ ชาจะระณะ-
สมั ปันโน

33

อิติปิ โส ภะคะวา สทุ ัสสา พรหมา เทวา สัมมาวชิ ชาจะระณะ-
สมั ปันโน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา สทุ สั สี พรหมา เทวา สมั มาวชิ ชาจะระณะสมั ปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะกะนฏิ ฐะกา พรหมา เทวา สมั มาวชิ ชาจะระณะ-
สัมปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อากาสานญั จายะตะนะ พรหมา เทวา สมั มาวชิ ชา-
จะระณะสมั ปนั โน
อติ ิปิ โส ภะคะวา วิญญานัญจายะตะนะ พรหมา เทวา สมั มาวชิ ชา-
จะระณะสัมปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อากิญจญั ญายะตะนะ พรหมา เทวา สมั มาวิชชา-
จะระณะสมั ปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา เนวะสญั ญานาสัญญา ยะตะนะ พรหมา เทวา
สมั มาวิชชาจะระณะสมั ปนั โน
อติ ิปิ โส ภะคะวา โสตาปตั ตมิ คั โค สมั มาวชิ ชาจะระณะสมั ปนั โน
อติ ิปิ โส ภะคะวา โสตาปตั ตผิ ะโล สมั มาวชิ ชาจะระณะสัมปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา สะกทิ าคามิมคั โค สัมมาวิชชาจะระณะสมั ปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา สะกทิ าคามผิ ะโล สมั มาวิชชาจะระณะสมั ปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา อะนาคามิมคั โค สัมมาวชิ ชาจะระณะสมั ปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาคามผิ ะโล สมั มาวชิ ชาจะระณะสัมปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา อะระหตั ตะมคั โค สัมมาวชิ ชาจะระณะสัมปันโน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะระหัตตะผะโล สมั มาวิชชาจะระณะสมั ปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา นพิ พานัง ปะระมงั สมั มาวิชชาจะระณะสมั ปันโน

34

อติ ิปิ โส ภะคะวา นะโม เม สพั พะพุทธานงั สัมมาวิชชาจะระณะ-
สมั ปันโน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา นะโม โพธิมุตตะมัง สมั มาวิชชาจะระณะสัมปันโน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา ตัณหงั กะโร นามะ ภะคะวา สะมาธิปญั ญาคุณะ-
สมั ปนั โน
อติ ิปิ โส ภะคะวา เมธังกะโร นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ัญญาคุณะ-
สัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สะระณงั กะโร นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ญั ญาคณุ ะ-
สัมปนั โน
อติ ิปิ โส ภะคะวา ทีปังกะโร นามะ ภะคะวา สะมาธิปัญญาคณุ ะ-
สัมปันโน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา โกญฑัญโญ นามะ ภะคะวา สะมาธิปญั ญาคุณะ-
สัมปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา มังคะโล นามะ ภะคะวา สะมาธิปญั ญาคณุ ะ-
สมั ปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา สมุ ะโน นามะ ภะคะวา สะมาธิปญั ญาคณุ ะ-
สัมปนั โน
อิติปิ โส ภะคะวา เรวโต นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ัญญาคุณะสัมปนั โน
อิติปิ โส ภะคะวา โสภิโต นามะ ภะคะวา สะมาธิปัญญาคณุ ะ-
สัมปันโน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะโนมะทสั สี นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ญั ญาคณุ ะ-
สัมปนั โน

35

อิติปิ โส ภะคะวา ปะทุโม นามะ ภะคะวา สะมาธิปญั ญาคุณะ-
สัมปนั โน
อติ ิปิ โส ภะคะวา นาระโท นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ัญญาคุณะ-
สัมปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ปะทุมุตตะโร นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ญั ญาคุณะ-
สมั ปนั โน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา สเุ มโธ นามะ ภะคะวา สะมาธิปัญญาคุณะ-
สมั ปันโน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา สุชาโต นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ัญญาคุณะ-
สมั ปนั โน
อิติปิ โส ภะคะวา ปยิ ะทัสสี นามะ ภะคะวา สะมาธิปัญญาคณุ ะ-
สมั ปนั โน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา อัตถะทสั สี นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ัญญาคณุ ะ-
สัมปนั โน
อิติปิ โส ภะคะวา ธมั มะทัสสี นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ัญญาคณุ ะ-
สัมปันโน
อติ ิปิ โส ภะคะวา สทิ ธัตโถ นามะ ภะคะวา สะมาธิปญั ญาคณุ ะ-
สมั ปันโน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ตสิ โส นามะ ภะคะวา สะมาธิปัญญาคณุ ะสัมปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ปุสโส นามะ ภะคะวา สะมาธิปัญญาคณุ ะสมั ปันโน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา วปิ สั สี นามะ ภะคะวา สะมาธิปัญญาคณุ ะสัมปนั โน
อติ ปิ ิ โส ภะคะวา สขิ ี นามะ ภะคะวา สะมาธิปญั ญาคุณะสัมปนั โน

36

อติ ิปิ โส ภะคะวา เวสสะภู นามะ ภะคะวา สะมาธิปัญญาคุณะ-
สมั ปนั โน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา กะกสุ ันโธ นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ัญญาคุณะ-
สมั ปนั โน
อิติปิ โส ภะคะวา โกนาคะมะโน นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ญั ญาคุณะ-
สัมปันโน
อิตปิ ิ โส ภะคะวา กัสสะโป นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ญั ญาคณุ ะ-
สมั ปนั โน
อติ ิปิ โส ภะคะวา โคตะโม นามะ ภะคะวา สะมาธปิ ัญญาคุณะ-
สัมปันโน

ตงั โข ปะนะ ภะคะวนั ตัง โคตะมัง เอวัง กลั ยา โณ กิตติ
สัทโธ อพั พุคคะโต อิติปิ โส ภะคะวา อะระหังสมั มาสมั พุทโธ วิชชา
จะระณะสมั ปนั โน สุคะโต โลกะวทิ ู อะนตุ ตะโร ปุรสิ ะทมั มะสาระถิ
สตั ถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ โส อิมงั โลกงั สะเทวะกงั
สะมาระกงั สะพรหมะกงั สสั สะมะณะพรหมะณิง ปะชงั สะเทวะ
มนสุ สงั สะยงั อภิญญา สจั ฉิกตั วา ปะเวเทสิ โส ภะคะวา จักขุภโู ต
ญาณะภโู ต ธมั มะภโู ต ตสั สะทา ปะวตั ตา อสั สะ ชะเนนตา อะมะตสั สะ
ทาตา ธมั มะสามิ ธัมมะราชา ธมั มงั เทเสสิ อาทิกัลยาณัง มชั เฌ
กลั ยาณงั ปะริโย สานะกลั ยาณงั สาตถงั สะพะยัญชะนัง เกวะละ
ปะรปิ ณุ ณงั ปะรสิ ทุ ธงั พรหมะจะรยิ งั ปะกาเสสิ สาธุ โข ปะนะ ตะถารปู า

37

พระอาการะวัตตาสูตร

นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ (๓ จบ)
อติ ิปิโส ภะคะวา อะระหงั
อิติปโิ ส ภะคะวา สัมมาสมั พทุ โธ
อิตปิ โิ ส ภะคะวา วชิ าจะระณะสัมปนั โน
อติ ิปิโส ภะคะวา สคุ ะโต
อติ ปิ ิโส ภะคะวา โลกะวฑิ ู
อติ ปิ ิโส ภะคะวา อนุตตโร ปรุ สิ ะทมั มะสาระถิ
อิตปิ โิ ส ภะคะวา สัตถา เทวะมนุสสานัง
อิตปิ โิ ส ภะคะวา พุทโธ
อิตปิ ิโส ภะคะวา ภะคะวาติ
อะระหาทิคณุ ะ วัคโค ปะฐะโม
อติ ปิ โิ ส ภะคะวา อภินหิ าระ ปาระมิสัมปันโน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา อฬุ ารชั ฌาสะยะ ปาระมิสมั ปนั โน
อติ ิปิโส ภะคะวา ปณธิ านะ ปาระมิสมั ปนั โน
อิติปิโส ภะคะวา มหากะรุณา ปาระมสิ ัมปนั โน
อิติปิโส ภะคะวา ญาณะ ปาระมสิ ัมปนั โน
อิติปิโส ภะคะวา ปโยคะ ปาระมสิ มั ปนั โน
อิตปิ โิ ส ภะคะวา ยุติ ปาระมิสมั ปันโน
อิติปิโส ภะคะวา ชตุ ิ ปาระมสิ มั ปันโน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา คัพภะ โอกกันติ ปาระมิสมั ปันโน
อติ ปิ โิ ส ภะคะวา คัพภะฐติ ิ ปาระมสิ มั ปนั โน
อภนิ ิหาระวคั โค ทุติโย

38

อติ ิปโิ ส ภะคะวา คพั ภะวฏุ ฐานะ ปาระมิสมั ปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา คัพภะมะละวริ ะหิตะ ปาระมิสมั ปนั โน
อิติปโิ ส ภะคะวา อุตตมะชาติ ปาระมิสมั ปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา คติ ปาระมิสมั ปนั โน
อติ ิปิโส ภะคะวา อภิรูปะ ปาระมสิ มั ปันโน
อิตปิ ิโส ภะคะวา สุวณั ณะ ปาระมิสมั ปันโน
อิติปโิ ส ภะคะวา มหาสริ ิ ปาระมสิ ัมปนั โน
อิตปโิ ส ภะคะวา อาโรหะ ปาระมสิ มั ปันโน
อิตปิ ิโส ภะคะวา ปณตี ะ ปาระมสิ มั ปนั โน
อิติปโิ ส ภะคะวา ปรณิ าหะ ปาระมสิ มั ปันโน
อิตปิ ิโส ภะคะวา สนุ ิฏฐะ ปาระมสิ มั ปันโน
คพั ภะวุฏฐานะวัคโค ตะติโย

อิตปิ ิโส ภะคะวา อภิสมั โพธิ ปาระมิสมั ปันโน

อิตปิ โิ ส ภะคะวา สลี ะขนั ธะ ปาระมสิ มั ปันโน

อิติปิโส ภะคะวา สมาธขิ นั ธะ ปาระมสิ มั ปันโน

อติ ิปิโส ภะคะวา ปญั ญาขนั ธะ ปาระมิสมั ปนั โน

อิตปิ โิ ส ภะคะวา ทวตั ติงสะมะหาปรุ ิสะลักขะณะ

ปาระมิสัมปันโน

อภสิ ัมโพธิวคั โค จะตตุ โถ

อติ ิปิโส ภะคะวา มหาปญั ญา ปาระมิสัมปนั โน
อติ ิปิโส ภะคะวา ปุถปุ ัญญา ปาระมิสมั ปนั โน
อติ ิปิโส ภะคะวา หาสะปัญญา ปาระมิสมั ปนั โน

39

อติ ปิ ิโส ภะคะวา ชะวะนะปัญญา ปาระมิสมั ปนั โน
อติ ปิ ิโส ภะคะวา ติกขะปัญญา ปาระมสิ มั ปนั โน
อิตปิ ิโส ภะคะวา นิพเพธกิ ะปญั ญา ปาระมสิ มั ปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา ปญั จะจักขุ ปาระมิสมั ปันโน
อติ ปิ ิโส ภะคะวา อฏั ฐาระสะพทุ ธะกะระ ปาระมิสัมปนั โน
มหาปญั ญาวัคโค ปญั จะโม

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา ทานะ ปาระมสิ มั ปันโน
อิตปิ ิโส ภะคะวา สีละ ปาระมสิ ัมปนั โน
อิตปิ ิโส ภะคะวา เนกขมั มะ ปาระมสิ ัมปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา ปญั ญา ปาระมสิ มั ปันโน
อิติปโิ ส ภะคะวา วริ ยิ ะ ปาระมิสัมปนั โน
อิตปิ ิโส ภะคะวา ขนั ติ ปาระมสิ ัมปนั โน
อติ ปิ โิ ส ภะคะวา สัจจะ ปาระมิสมั ปันโน
อติ ปิ ิโส ภะคะวา อธฏิ ฐานะ ปาระมสิ ัมปนั โน
อติ ปิ ิโส ภะคะวา เมตตา ปาระมสิ ัมปนั โน
อิติปิโส ภะคะวา อเุ บกขา ปาระมิสมั ปนั โน
ปาระมวิ คั โค ฉัฏโฐ

อติ ปิ ิโส ภะคะวา ทะสะ ปาระมิสมั ปันโน
อิตปิ ิโส ภะคะวา ทะสะอปุ ะ ปาระมสิ ัมปนั โน
อิติปิโส ภะคะวา ทะสะปะระมตั ถะ ปาระมิสัมปนั โน
อิตปิ ิโส ภะคะวา สะมะตงิ สะ ปาระมสิ ัมปันโน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา ตังตงั ฌานะฌานังคะ ปาระมิสมั ปนั โน

40

อิติปโิ ส ภะคะวา อภิญญาณะ ปาระมสิ ัมปนั โน
อติ ปิ โิ ส ภะคะวา สะติ ปาระมิสัมปันโน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา สมาธิ ปาระมสิ มั ปนั โน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา วิมุตติ ปาระมิสัมปนั โน
อติ ิปิโส ภะคะวา วมิ ุตติ ญาณะทัสสะนะ ปาระมิสัมปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา วมิ ุตติ ญาณะ ปาระมสิ ัมปันโน
ทะสะปาระมิวัคโค สตั ตโม

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา วชิ ชาจะระณะ วิชชา ปาระมิสัมปันโน
อติ ปิ โิ ส ภะคะวา วิชชาจะระณะ วปิ ัสสนา ญาณะ วิชชา
ปาระมสิ มั ปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา มโนมะยิทธิ วชิ ชา ปาระมิสมั ปันโน
อติ ปิ โิ ส ภะคะวา อิทธิวิธิ วิชชา ปาระมิสมั ปนั โน
อติ ิปิโส ภะคะวา ทิพพะโสตะ วชิ ชา ปาระมสิ มั ปันโน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา ปะระจติ ตะปรญิ ญาณะ วิชชา
ปาระมิสัมปันโน
อติ ปิ ิโส ภะคะวา ปพุ เพนวิ าสานสุ สะติ วชิ ชา ปาระมสิ ัมปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา ทพิ พะจักขุ วชิ ชา ปาระมสิ มั ปันโน
อิติปโิ ส ภะคะวา อาสะวกั ขะยะญาณะ วชิ ชา ปาระมสิ มั ปนั โน
อิติปิโส ภะคะวา จะระณะ วชิ ชา ปาระมสิ มั ปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา วชิ ชาจะระณะธมั มะ วชิ ชา ปาระมสิ มั ปนั โน
อิติปิโส ภะคะวา อนุปุพพะวหิ าระ ปาระมสิ ัมปันโน

วชิ ชา วคั โค อัฏฐะโม

41

อติ ิปิโส ภะคะวา ปะริญญา ปาระมสิ ัมปันโน

อติ ิปโิ ส ภะคะวา ปะหานะ ปาระมสิ มั ปันโน

อิติปโิ ส ภะคะวา สจั ฉกิ ริ ยิ า ปาระมสิ ัมปันโน

อติ ิปิโส ภะคะวา ภาวะนา ปาระมสิ ัมปนั โน

อติ ิปิโส ภะคะวา ปะริญญาปะหานะสัจฉิกิริยาภาวะนา

ปาระมิสมั ปันโน

อิตปิ โิ ส ภะคะวา จตุธัมมะสัจจะ ปาระมสิ มั ปันโน

อิตปิ โิ ส ภะคะวา ปฏิสัมภทิ าญาณะ ปาระมิสัมปันโน

ปริญญา วคั โค นะวะโม

อติ ิปิโส ภะคะวา โพธิปักขยิ ะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา สตปิ ัฏฐานะ ปญั ญา ปาระมิสมั ปนั โน
อิติปโิ ส ภะคะวา สัมมปั ปะธานะปญั ญา ปาระมสิ ัมปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา อทิ ธิปาทะ ปญั ญา ปาระมิสมั ปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา อนิ ทรยิ ะ ปญั ญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวา พะละ ปัญญา ปาระมิสมั ปันโน
อิติปโิ ส ภะคะวา โพชฌังคะธัมมะ ปาระมสิ มั ปนั โน
อิติปิโส ภะคะวา อฏั ฐงั คกิ ะมคั คะธัมมะ ปาระมสิ มั ปนั โน
อิตปิ ิโส ภะคะวา มหาปุริสะสจั ฉิกริ ิยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปโิ ส ภะคะวา อะนาวะระณะวโิ มกขะ ปาระมสิ ัมปนั โน
อติ ปิ โิ ส ภะคะวา อะระหตั ตะผะละวิมุติ ปาระมิสมั ปนั โน
โพธปิ ักขยิ ะ วคั โค ทะสะโม

42

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา ทะสะพะละญาณะ ปาระมิสัมปนั โน

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา ฐานาฐานะญาณะ ปาระมิสมั ปนั โน

อิติปโิ ส ภะคะวา วิปากะญาณะ ปาระมิสัมปนั โน

อติ ปิ ิโส ภะคะวา สพั พัตถะคามนิ ีปะฏปิ ะทาญาณะ

ปาระมิสมั ปนั โน

อติ ิปิโส ภะคะวา นานาธาตุญาณะ ปาระมิสัมปนั โน

อติ ิปโิ ส ภะคะวา สตั ตานังนานาธิมุตตกิ ะญาณะ

ปาระมสิ มั ปนั โน

อิตปิ ิโส ภะคะวา อินทริยะปะโรปะริยตั ตญิ าณะ

ปาระมิสัมปันโน

อิติปโิ ส ภะคะวา ฌานาทิสังกเิ ลสาทิญาณะ ปาระมสิ มั ปนั โน

อิติปิโส ภะคะวา นิโรธะวุฏฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน

อิตปิ ิโส ภะคะวา ปุพเพนวิ าสานสุ สะตญิ าณะ

ปาระมสิ ัมปนั โน

อิติปโิ ส ภะคะวา จุตูปะปาตะญาณะ ปาระมิสมั ปนั โน

อติ ิปโิ ส ภะคะวา อาสะวักขะยะญาณะ ปาระมสิ มั ปันโน

ทะสะพะละญาณะ วคั โค เอกาทะสะโม

อิติปิโส ภะคะวา โกฏิสะหสั สานงั ปะโกฏิสะหัสสานงั หตั -

ถนี ัง พะละธะระ ปาระมิสมั ปันโน

อิตปิ ิโส ภะคะวา ปรุ ิสะ โกฏิทะสะสะหัสสานงั พะละธะระ-

ปาระมิสัมปนั โน

อิตปิ โิ ส ภะคะวา ปญั จะจักขญุ าณะ ปาระมิสัมปันโน

43

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา ยะมะกะญาณะ ปาระมิสมั ปนั โน
อิตปิ ิโส ภะคะวา สีละคุณะ ปาระมิสัมปันโน
อิตปิ โิ ส ภะคะวา อัฏฐะสมาปตั ตคิ ณุ ะ ปาระมิสมั ปันโน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา ปัญญาคุณะ ปาระมสิ ัมปนั โน
กายะพะละ วัคโค ทะวาทะสะโม

อติ ิปโิ ส ภะคะวา ถามะพะละ ปาระมิสมั ปนั โน
อิติปโิ ส ภะคะวา ถามะพะละญาณะ ปาระมสิ ัมปนั โน
อิตปิ โิ ส ภะคะวา พะละ ปาระมสิ มั ปนั โน
อติ ิปิโส ภะคะวา พะละญาณะ ปาระมิสัมปนั โน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา ปุริสะ ปาระมิสมั ปนั โน
อิตปิ ิโส ภะคะวา ปุรสิ ะญาณะ ปาระมสิ มั ปันโน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา อะตลุ ะยะ ปาระมสิ มั ปนั โน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา อะตุละยะญาณะ ปาระมิสมั ปนั โน
อิติปิโส ภะคะวา อุสสาหะ ปาระมสิ ัมปนั โน
อติ ปิ ิโส ภะคะวา คะเวสิญาณะ ปาระมสิ ัมปันโน
กายะพะละ วัคโค เตระสะโม

อติ ิปิ โส ภะคะวา จะรยิ า ปาระมสิ ัมปันโน
อติ ิปโิ ส ภะคะวา จะรยิ าญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา โลกัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา โลกตั ถะจะริยาญาณะ ปาระมิสมั ปนั โน
อติ ิปิโส ภะคะวา ญาตัตถะจะรยิ า ปาระมสิ มั ปันโน
อิตปิ โิ ส ภะคะวา ญาตตั ถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปนั โน

44

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา พทุ ธะจะรยิ า ปาระมสิ มั ปันโน

อติ ปิ ิโส ภะคะวา พุทธะจะรยิ าญาณะ ปาระมสิ มั ปนั โน

อติ ปิ ิโส ภะคะวา ติวธิ ะจะรยิ า ปาระมสิ ัมปันโน

อิตปิ ิโส ภะคะวา ปาระมิอุปะปาระมิ ปาระมตั ถะ

ปาระมสิ ัมปันโน

จะรยิ าวัคโค จะตุททะสะโม

อิติปโิ ส ภะคะวา ปญั จุปาทานักขันเธสุ อะนิจจะลกั ขะณะ

ปาระมสิ มั ปันโน

อติ ิปิโส ภะคะวา ปญั จปุ าทานักขันเธสุ ทุกขะลกั ขะณะ

ปาระมสิ มั ปนั โน

อิตปิ ิโส ภะคะวา ปญั จปุ าทานกั ขนั เธสุ อะนตั ตะลกั ขะณะ

ปาระมิสมั ปันโน

อิติปิโส ภะคะวา อายะตะเน สตุ ลิ ักขะณะ ปาระมสิ ัมปันโน

อติ ิปิโส ภะคะวา อฏั ฐาระสะธาตสู ตุ ิลกั ขะณะ

ปาระมิสมั ปันโน

อติ ิปิโส ภะคะวา วิปะริณามะลักขะณะ ปาระมิสมั ปนั โน

ลักขะณะ วคั โค ปัญณะระสะโม

อิติปิโส ภะคะวา คะตัฎฐานะ ปาระมิสมั ปันโน
อติ ิปิโส ภะคะวา คะตัฎฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวา วุสติ ะ ปาระมสิ มั ปันโน
อิตปิ ิโส ภะคะวา วสุ ิตะญาณะ ปาระมิสมั ปันโน
อติ ปิ โิ ส ภะคะวา สิกขา ปาระมสิ ัมปนั โน

45

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา สกิ ขาญาณะ ปาระมสิ ัมปนั โน
อติ ปิ ิโส ภะคะวา สงั วะระ ปาระมิสมั ปันโน
อิตปิ ิโส ภะคะวา สังวะระญาณะ ปาระมสิ ัมปันโน
คะตัฎฐานะ วคั โค โสฬะสะโม

อิตปิ ิโส ภะคะวา พุทธะปะเวณิ ปาระมิสัมปันโน

อิติปโิ ส ภะคะวา พทุ ธะปะเวณิญาณะ ปาระมสิ มั ปันโน

อิตปิ โิ ส ภะคะวา ยะมะกะปาฏหิ ารยิ ะ ปาระมิสมั ปันโน

อติ ิปโิ ส ภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะญาณะ

ปาระมิสัมปันโน

อิติปิโส ภะคะวา จตุพรหมะวหิ าระ ปาระมสิ มั ปนั โน

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา จตุพรหมะวหิ าระญาณะ ปาระมสิ มั ปนั โน

อติ ิปโิ ส ภะคะวา อนาวะระณะ ปาระมสิ ัมปันโน

อติ ิปโิ ส ภะคะวา อนาวะระณะญาณะ ปาระมสิ ัมปันโน

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา อปะริยันตะ ปาระมสิ ัมปันโน

อิตปิ โิ ส ภะคะวา อปริยันตะญาณะ ปาระมิสัมปนั โน

อิติปิโส ภะคะวา สพั พัญญตุ ะ ปาระมิสัมปนั โน

อิติปิโส ภะคะวา สพั พญั ญุตะ ญาณะ ปาระมสิ มั ปนั โน

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา จตวุ ีสะติโกฏสิ ะตะวะชิระ ปาระมสิ ัมปันโน

อิตปิ ิโส ภะคะวา จตุวสี ะติโกฏิสะตะวะชิระญาณะ

ปาระมิสมั ปันโน

พทุ ธปะเวณิ วคั โค สตั ตะระสะโม

46

ถวายพรพระ

นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพุทธัสสะ (๓ หน)
อิตปิ ิ โส ภะคะวา อะระหงั สัมมาสมั พทุ โธ วิชชา
จะระณะสมั ปันโน สุคะโต โลกะวทิ ู อะนุตตะโร ปุริสะทมั มะสาระถิ
สตั ถา เทวะมะนสุ สานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ
สะ๎ วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สนั ทฏิ ฐโิ ก อะกาลิโก
เอหิปัสสโิ ก โอปะนะยโิ ก ปจั จัตตัง เวทติ ัพโพ วิญญหตี ิ ฯ
สปุ ะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อุชุปะฏปิ ันโน ภะ
คะวะโต สาวะกะสงั โฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามจี ิปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ยะททิ งั จัตตาริ ปุรสิ ะ
ยุคานิ อฏั ฐะ ปุรสิ ะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุ
เนยโย ปาหุเนยโย ทกั ขิเณยโย อญั ชะลกี ะระณโี ย อะนตุ ตะรัง
ปุญญกั เขตตัง โลกสั สาติ ฯ
พาหุง สะหัสสะมะภินิมมติ ะสาวุธันตัง
คะ๎ รเี มขะลงั อุทติ ะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวธิ ินา ชติ ะวา มุนนิ โท
ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลานิ ฯ

มาราติเรกะมะภยิ ชุ ฌติ ะสัพพะรัตตงิ
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถทั ธะยักขัง
ขันตีสุทนั ตะวิธนิ า ชติ ะวา มนุ นิ โท
ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลานิ ฯ

47

นาฬาคริ ิง คะชะวะรงั อะติมัตตะภตู ัง
ทาวคั คจิ กั กะมะสะนวี ะ สุทารุณนั ตงั
เมตตมั พุเสกะวธิ นิ า ชิตะวา มนุ นิ โท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลานิ ฯ

อุกขติ ตะขัคคะมะตหิ ัตถะสุทารุณนั ตงั
ธาวนั ติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตงั
อิทธีภสิ ังขะตะมะโน ชติ ะวา มุนินโท
ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ

กตั ะ๎ วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คพั ภินยี า
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมชั เฌ
สนั เตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มนุ ินโท
ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ

สจั จงั วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตงุ
วาทาภโิ รปิตะมะนัง อะตอิ ันธะภตู งั
ปัญญา ปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มนุ ินโท
ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ

นันโทปะนนั ทะภชุ ะคัง วิพุธัง มะหทิ ธิง
ปุตเตนะ เถระภชุ ะเคนะ ทะมาปะยนั โต
อทิ ธปู ะเทสะวิธินา ชิตะวา มนุ นิ โท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ

48


Click to View FlipBook Version