i
ก
คณุ เคยรู้สกึ ว่า…
ไม่กล้านำเสนองาน ให้คนอื่นทำแทน ทำให้ไม่มีใครรู้จัก ไม่โดดเด่น
ขาดโอกาสกา้ วหน้าในอาชพี การงาน
เวลาพูดในที่ประชุม เวที หรือในที่คนเยอะๆ ขาดความมัน่ ใจ ลืม คิด
ไมอ่ อก
มอื ส่ัน ขาสั่น เวลาพดู หนา้ เวที
ไม่สามารถพดู โน้มน้าวจงู ใจลกู น้อง เพอื่ นรว่ มงาน หรือผู้บริหารในที่
ประชุมได้ เพราะดูไมน่ ่าเชื่อถือ
อยากพูดในที่สาธารณะ หรือพูดออกงานในโอกาสต่างๆได้ดี มี
อารมณ์ขัน สนุก แต่ไมร่ จู้ ะพดู อย่างไร
อยากเป็นวิทยากร อยากพูดเก่ง อยากพูดให้น่าสนใจ น่าจดจำ น่า
ตดิ ตาม
อยากพัฒนาตนเอง พัฒนาบุคลิกภาพในการพูดต่อหน้าสาธารณะ
ใหด้ ูดี สง่างาม
ทั้งนี้ นกั อ่านที่รกั ทกุ ทา่ น ทา่ นควรจะต้องทราบก่อนว่าการพูดเป็นทั้งศาสตร์
และศิลป์ เป็นมูลค่าเพิ่มให้กับทุกอาชีพการงาน ดังนั้นหากท่านต้องการที่จะ
พูดต่อหนา้ ที่ชุมชนให้มีประสิทธิภาพ โดนใจ และบรรลุเป้าหมาย (Successful
Public Speaking) ท่านจำเป็นที่จะต้องรู้ทั้ง “ศาสตร์” แห่งการพูดให้แตกฉาน
และตอ้ งใช้ “ศิลปะ” ในการพูดใหถ้ ูกคน ถูกท่ี และถูกเวลา
ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้รวม “ศาสตร์แห่งการพูด” ไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น
การเตรยี มตวั การเรยี งรอ้ ยถ้อยคำ การจดั วางบคุ ลิกภาพ การใชล้ ีลา ทา่ ทาง
น้ำเสียง ตลอดจนการจัดการความประหม่าบนเวที การนำเสนอการพูดและ
การปรับประยุกต์ใช้การพูดในการนำเสนองานต่อทีช่ มุ ชน เพื่อให้ท่านมีความ
มั่นใจ มีความน่าเช่ือถือ มีเสน่ห์และมีบุคลิกที่น่าสนใจเมื่อต้องปรากฏตัวในท่ี
สาธารณะเพ่ือทก่ี า้ วสคู่ วามสำเร็จในอาชีพ
ก
“ คำพูดเป็นเหมือนเมลด็ พันธุ์ท่ีตกอยู่ในใจ
เมื่อกล่าวออกไปแล้ว สามารถสร้าง
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขนาดใหญ่
ให้กับเราได้ เนื่องจากคำพูดเป็นสิ่งที่เรียก
กลับคืนมาไม่ได้ ดังคำสอนที่ว่า
ปากเป็นเอกเหมือนเสกมนตใ์ หค้ นเช่อื
ฉลาดเหลือวาจาปรีชาฉาน จะกล่าว
ถ้อยร้อยคำไม่รำคาญ เป็นรากฐาน
เทดิ ตนพ้นรำเค็ญ ”
ตามที่ได้กลา่ วไว้ข้างต้นนั้น แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราพูดออกไปนัน้ มคี วามสำคญั
มาก และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ก่อนพูดต่อหน้าผู้ฟังจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะ
เป็นการพูดเพื่อนำเสนองานต่อลูกค้า ผู้บริหาร ปาฐกา การพูดเพ่ือการสอน
อบรม การพดู เช่นน้ีมสี ิ่งทเี่ หมือนกันคอื สายตาทุกคู่ของผูฟ้ ังจับจ้องมาท่ีเรา
หูของพวกเขาเปิดออกเพื่อฟังสิ่งที่เรากำลังพูด และความคิดของพวกเขา
พร้อมทจ่ี ะประเมินและตัดสนิ ในส่ิงที่เราพดู
สิ่งที่ยากสำหรับผู้พูด นั่นคือ จะพูดอย่างไรให้ผู้ฟังเข้าใจ ประทับใจ เชื่อใจ
จนบรรลุเป้าหมายตามท่เี ราต้องการ
ดังน้นั หนงั สอื เลม่ นจี้ ึงมีวตั ถปุ ระสงคใ์ นการรวบรวมองคค์ วามรู้ทัง้ จากนักเขียน
ชั้นนำและผู้มากประสบการณ์เพื่อประกอบรวมกันเปน็
เพราะผพู้ ดู ไมเ่ พยี งรวู้ ่าจะต้องพูดอะไร อยา่ งไร แต่ต้องตระหนักตงั้ แต่เรม่ิ ต้นวา่
การพดู สำคัญอยา่ งไร นกั พดู ที่ดีควรเปน็ ยงั ไง และเราจะเปน็ เชน่ นัน้ ไดอ้ ยา่ งไร
ข
เปน็ “ผูน้ ำ”
ตอ้ ง “พูดเปน็ ”
1
ไม่เฉพาะนักพูดเท่านั้นที่ควรมีอุดมการณ์ แต่เราทุกคนควรดำเนิน
ชีวิตอย่างมีอุดมการณ์ที่ดีงาม ปรารถนาที่จะทำสิ่งที่ดี มีเป้าหมายในชีวิตท่ี
ชัดเจน ยึดมั่นในหลักการอย่างไม่หวั่นไหว เพราะอุดมการณ์จะหล่อหลอม
“คุณค่าความเป็นคน” ในชีวิตของเรา ให้เราได้ดำรงชีวิตไปอย่างมีคุณค่า ซึ่งไม่
เพยี งจะทำใหเ้ ราไดม้ ีความพงึ พอใจและสร้างความสขุ ให้กบั ชวี ิตของตนเอง แตย่ งั
สร้างสรรค์ส่งิ ทด่ี ีงามใหเ้ กิดข้นึ ในสงั คมดว้ ย
สำหรับผู้ที่จะฝึกทักษะการพูด แม้ว่าจะไม่ใช่นักพูดมืออาชีพ แต่ควร
เรยี นรู้ทจี่ ะพดู อยา่ งมอี ุดมการณ์ ซ่งึ ศ.ดร.เกรยี งศักด์ิ เจริญวงศศ์ ักดิ์ สังเคราะห์
จากวาทะและประวัติชีวิตของผู้มีชื่อเสียงทั่วโลก พบว่า “อุดมการณ์ของนักพูด”
ควรมอี งคป์ ระกอบดงั นี้
• ต้องมี “ท่าทีภายในจิตใจ” ที่ดี คือ การที่เราสามารถเลือกผลในแง่บวก
หรือลบแก่ตนเอง และคนรอบข้างได้ด้วยการเลือกใช้คำพูดของเรา ถ้าเรา
เลือกใช้คำพูดที่ถูกต้องเหมาะสม และพูดแต่ความจริง ตัวเราเองทั้งผู้พูด
และผู้ฟังก็จะได้รับผลในแง่บวก คือได้รับประโยชน์ทั้งคู่ ผู้พูดย่อมมี
ความสุข ความยินดี ความเจรญิ กา้ วหน้าในชวี ิต ส่วนผฟู้ ังก็สามารถนำสิ่งท่ี
ได้ยินได้ฟังไปใช้ประโยชน์ในชีวิตและการงานได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้า
เลือกใช้คำพูดที่ไม่ถูกต้อง พูดในเชิงทำลาย อาทิ การพูดเท็จ กล่าวหา
2
เจืออคติ หลอกลวง หวังผลประโยชน์ หรือโฆษณาชวนเชื่อ ย่อมนำ
ความทกุ ข์และความล้มเหลวมาสูผ่ ูพ้ ดู และผ้ฟู งั อย่างเลย่ี งไมไ่ ด้
• ต้องมี “เป้าหมายการพูด” ที่ดี คือ เราจำเป็นต้องมี “วัตถุประสงค์” หรือ
เป้าหมายบางอยา่ ง ท่ีตอ้ งการได้จากผู้ฟัง อาทิ
o การพูดเพื่อผู้ฟัง นักพูดที่ดีต้องไม่เป็นผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์
ในทางมิชอบจากการพดู ของตน แต่ต้องตระหนักว่า ผู้ฟังไม่ใช่
เหยื่อที่เราพยายามหาวิธีหลอกล่อให้หลงกล แต่ต้องให้เกียรติ
และเคารพในสทิ ธเิ สรภี าพของผู้ฟัง
o การพูดเพื่อตนเอง ในที่นี้ หมายถึง การพูดเพื่อความสำเร็จ
อย่างยั่งยืนในวิชาชีพและการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ได้รับ
ความเชอ่ื ถอื ไวว้ างใจ เป็นท่ีนิยมชมชอบ หรือเปน็ ตน้ แบบท่ีดี
ของนักพูด
ที่สำคัญคือ นักพูดควรตั้งเป้าว่า จะสื่อสารแต่สิ่งที่เป็นความ
จรงิ ต้องรบั ผิดชอบในส่งิ ทีพ่ ูด ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของผู้ใด
จะไม่ใช้คำพูดเป็นอาวุธทำลายกัน ต้องเคารพในสิทธิเสรีภาพ
ของผู้ฟัง จะเป็นต้นแบบของการใชภ้ าษาท่ีดี เปน็ ตน้
• “นักพูดที่ดี” ต้องไม่หยุดพัฒนา คือการที่เราหมั่นวิเคราะห์ สำรวจจุดแข็ง
จุดอ่อนของตน ถ่อมตนและเปิดใจรับฟังคำวิจารณ์ กล้ายอมรับและ
เปลี่ยนแปลงตนเอง โดยตระหนักว่าการพัฒนาไปสู่การเป็นนักพูดที่ดีนัน้
ต้องมีองค์ประกอบทั้ง 3 ด้าน คือ การมีบุคลิกภาพที่เหมาะสม การรู้จัก
และเขา้ ใจผู้ฟัง และความสามารถในการใชเ้ หตุผล
ทุกสาขาอาชีพที่ต้องสื่อสารด้วยคำพูด จำเป็นต้องพูดอย่างมีอุดมการณ์
ต้องมีท่าทีภายในจิตใจที่ดี ต้องมีเป้าหมายการพูดที่ดี และต้องไม่หยุดในการ
พฒั นาตนเองเพอ่ื ท่จี ะเป็นนกั พูดท่ีดีดว้ ย ซึง่ น่นั อาจรวมถึงการที่ผู้พูดต้องสนใจ
ปฏกิ ิริยาตอบสนองผฟู้ งั ทงั้ แบบท่ีเป็นวจั นภาษาและอวัจนภาษา เพราะการพดู
ต่อหน้าประชุมชนเป็นการเปิดโอกาส ให้ผู้พูดได้แสดงความสามารถเฉพาะตัว
3
เน่อื งจากทกุ คนท่ไี มเ่ ป็นใบย้ ่อมพูดได้ แตบ่ างคนเท่านั้นทพ่ี ูดเปน็ เพราะการพูด
เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่จำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์เสมอไปแต่สามารถพูดได้
เพราะการศึกษา การฝึกฝน ฉะนั้นการฝึกพูดในที่ชุมชน เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่ง
ในการปรบั ปรุงบุคลิกภาพทง้ั ภายในและภายนอกเพื่อการเป็นนักพดู ที่ดี
การพดู จงู ใจแบบ อรสิ โตเติล
ว่าด้วยเรื่อง การจูงใจ : ศาสตร์และศิลป์ในการสร้างอิทธิพล สอนโดย
ศาสตราจารยแ์ กร่ี ออเรน มหาวทิ ยาลยั ฮาร์วาร์ด ใหข้ ้อคดิ วา่ “ การจูงใจคนนั้น
ความสำเรจ็ ไม่ไดอ้ ย่ทู ี่ความสามารถในการเปลย่ี นแปลงความคิดของคนฟงั ให้เขา
เชื่อตามเราเท่านั้น แต่ความสำเร็จของการจูงใจอยู่ที่คนฟังนั้นเขาเปลี่ยนแปลง
และมคี วามประพฤตติ ามทเ่ี ราต้องการหรอื ไม่ นัน่ หมายความวา่ คำพดู ของเรา
ต้องมีอิทธิพลมากกว่าการรับรู้ข่าวสารธรรมดา และต้องมีพลังที่ไม่
เพียงแต่เปลี่ยนความคิดของคนฟังเท่านั้น แต่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม
ของเขาได้ด้วย
สามขาของอริสโตเติล หรอื Aristotle’s tripod ให้เหตุผลว่าการจงู ใจข้นึ อยู่กับ
องค์ประกอบรว่ ม 3 องค์ประกอบดว้ ยกนั เปรียบเสมือน 3 ขา อนั ไดแ้ ก่
ขาท่ี 1 เหตุผล – โลกอส (logos) หมายถงึ การให้เหตผุ ล ข้อโต้แย้งที่
มตี รรกะ มีเหตุผลท่หี นกั แนน่
ขาที่ 2 บุคลิกลักษณะ – อีทอส (ethos) หมายถึง บุคลิกลักษณะ
ของผ้พู ดู ทด่ี ึงดูดใจคน มีลักษณะภายนอกท่ดี นู า่ เชอ่ื ถือ
4
ขาที่ 3 ความเข้าใจผู้อื่น - แพนทอส (panthos) หมายถึง
ความสามารถในการเขา้ ถึงความร้สู กึ นึกคิด และอารมณ์ความรู้สึกของผ้ฟู งั
เหตุผล
สามขา
ของ
บุคลิก อรสิ โตเตลิ ความ
เขา้ ใจผูอ้ นื่
ลักษณะ
การจูงใจที่มีประสิทธิภาพต้องผสมผสานทั้ง 3 องค์ประกอบนี้เข้าด้วยกันอยา่ ง
สมดลุ นน่ั ก็คอื การเลือกเหตผุ ลทจ่ี ะนำมาใช้ บุคลิกทา่ ทางในการพูดทนี่ ่าเช่ือถือ
สามารถดงึ ดูดความสนใจ และทีส่ ำคัญ คือการเขา้ ถงึ ความร้สู กึ นกึ คิดในจติ ใจของ
ผู้ฟัง เพื่อเป็นการดึงดดู ทัง้ 2 ด้านในตัวผู้ฟัง คือ ด้านเหตผุ ล และ ด้านอารมณ์
สรุปคือ “การพูดต้องดึงดูดความคิดและการรับร้ขู องผูฟ้ งั ด้วยข้อมูลท่มี ี
เหตุมีผลและสรา้ งอารมณค์ วามรูส้ ึก”
5
เม่ือตอ้ งลุกขึน้ พูด
..
....
คณุ พรอ้ มหรือเปล่า ?
การพูดในทีป่ ระชุมชนเน่อื งจากมีผู้ฟังเปน็ จำนวนมาก ผฟู้ งั ต้ังความหวงั จะได้รับ
ความรู้และสาระประโยชน์จากการฟงั ข้อควรจำประการสำคัญก่อนการพดู ที่มี
วาระเฉพาะเจาะจง หากเราต้องการให้ภาพลักษณ์ที่น่าประทับใจจของเราอยู่
ในความนึกคิดของผู้ฟัง และต้องงการทำให้เป้าหมายในการสื่อสารประสบ
ผลสำเร็จ ผู้พูดจึงต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า มีความเชื่อมั่นในตนเอง หากไม่
ต้องการใหก้ ารพดู คร้งั นนั้ นำผลเสยี มาสูต่ นเองโดยไม่ไดต้ ้งั ใจ
พึงจำไว้ว่า คนฟังจะดูเรา
คนฟังไม่ได้ฟังแต่สิ่งที่เราพูดเท่านั้น แต่สายตาของเขาจะจับจ้องมองมาที่ตัวเรา
อยู่ด้วย เขาจะซึมซับทุกสิ่งที่เราแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกลักษณะ ท่าทาง
สายตา อารมณ์ความรูส้ กึ ของเราทเ่ี ขาสัมผัสได้
พงึ คิดไว้เสมอวา่ คนฟังจะคาดหวงั
ขณะทผ่ี ูฟ้ งั จบั จ้องเรา เขาจะต้ังความหวงั กับส่ิงทเี่ รากำลงั จะพดู รอดูว่าเราจะพูด
อะไร น่าสนใจไหม จะสนกุ สนานหรอื น่าประทับใจเพียงใด
6
ดงั นนั้ สง่ิ ท่เี ราต้องคำนงึ ถึงในการพดู ต่อสาธารณะ ไม่วา่ จะมีคนจำนวนเท่าใดก็
ตาม สิ่งที่เราควรตั้งเป้าหมายไว้ในใจ นั่นคือ ภาพลักษณ์ของเรา บุคลิกท่าทาง
น้ำเสียง สีหน้า รอยยิ้ม เราจำเป็นต้องสร้างความประทับใจให้ผู้ฟัง ไปพร้อมๆ
กบั สงิ่ ที่เราพดู ออกไป สำเรจ็ ผลตามเป้าหมาย
ก่อนการพูด เราจึงจำเป็นต้องตั้งเป้าหมายและเตรียมความพร้อมในการพูด
ล่วงหน้าเปน็ อย่างดีเสมอ ต้องไม่คิดว่าเป็นเรือ่ งเล็กน้อย เป็นเรื่องที่ทำบ่อยแล้ว
เพราะหากเราหลุดคำพูดทไ่ี มเ่ หมาะสม อาจทำให้ลม้ เหลวตลอดไป เพราะผู้ฟังได้
ติดภาพลักษณอ์ นั ไม่นา่ ประทบั ใจของเราไปแล้ว
ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากเราเตรียมตัวมาดี ก็จะทำให้เราคิดล่วงหน้าในแง่มุม
ตา่ งๆได้ครบถว้ น เช่น เปา้ หมายที่เราตอ้ งการสอื่ สาร ทา่ ทาง การแตง่ กาย ตลอด
รวมถึงมีเวลาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้การซอ้ มล่วงหน้าจะช่วยให้เราเหน็
ขอ้ บกพรอ่ งของเราพรอ้ มกับทำการแก้ไขจดุ เหล่านนั้ อีกดว้ ย
“คำพูด คือ ผลสอบการทำงานของสมอง
ในสว่ นการควบคมุ ตนเองวา่ มีสติปัญญามากนอ้ ยเพยี งใด”
จากหนังสอื “ข้อคดิ เพอ่ื คำพูด” ของ ศ.ดร.เกรียงศกั ดิ์ เจริญวงศ์ศักด์ิ
มัน่ ใจเพยี งใดเมอ่ื ต้องพูด
คำกล่าวนี้ แจ็ค วาเลนติ ได้กล่าวไว้ในคำนำของหนังสือ “speak up with
confidence : how to prepare ,learn ,and deliver effective speeches” เ ข า
ค้นพบว่า คนจำนวนมากที่อยู่ในอาชีพที่ต้องสื่อสารกับผู้อื่น เพื่อจูงใจให้ผู้ฟัง
วางใจเชื่อใจและตัดสินใจตามที่เขาต้องการ แต่กลับละเลยที่จะฝึกทักษะการพูด
7
ให้มีพลังในการจูงใจ การชี้ให้คนฟังเห็นความสำคัญ เกิดแรงบันดาลใจ และ
คล้อยตามในสิง่ ทีพ่ ูด
สำหรับบางคน แม่จะมีความมั่นใจว่าเป็นผู้ที่มีวาทศิลป์จูงใจอันยอดเยี่ยม แต่
กลับขาดองคป์ ระกอบสำคัญ อาทิ ขาดความเข้าใจผู้ฟัง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ขาดความนา่ เช่อื ถือในบุคลิกลักษณะ เชน่ สายตาทีด่ มู เี ล่หเ์ หล่ียม ไม่น่าไวว้ างใจ
หรือน้ำเสียงที่ขาดพลัง หรือการแต่งกายที่ดูไม่เหมาะสม เรื่องเหล่านี้นับเป็น
องคป์ ระกอบสำคญั ท่สี ง่ ผลใหก้ ารพดู ของเขาลม้ เหลวได้
ในความเป็นจริง ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพใดกต็ าม เราควรเป็น “นักพูด” ด้วย
เป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา เพราะการที่เรามีทักษะการพูดที่ดีนั้นจะทำให้เรา
ได้เปรยี บและเปน็ การเพม่ิ โอกาสความสำเรจ็ ในอาชพี ทเ่ี ราทำได้
ก่อนที่เราจะลุกขึน้ พูดเพื่อโน้มน้าว หรือสร้างแรงจูงใจให้คนคิดและการกระทำ
ตามนั้น เราจะต้องสร้างความเช่ือมั่นให้เกิดขึ้นในตัวเองก่อน ฉะนั้น เราทุกคน
จึงเห็นคุณค่าความสำคัญของการฝึกทักษะการพูด โดยเฉพาะในการพูดจูงใจ
ผู้ฟัง หากต้องการเพิม่ มูลคา่ ให้ตัวเองด้วยการเพมิ่ ทุนทางทกั ษะทส่ี ำคัญน้ี
ในการเริ่มต้น การพัฒนาทักษะการพูดเพื่อจูงใจผู้ฟังนั้น จะต้องพัฒนา
องคป์ ระกอบที่เกีย่ วข้องกับผ้พู ดู 3 ประการ ไปพร้อมๆกัน อันไดแ้ ก่
หน่ึง การมบี คุ ลกิ ลกั ษณะทเี่ หมาะสม.........................
เราต้อง ดดู ี กอ่ น พดู ดี
เพราะแท้จริงแล้วบุคลิกลักษณะของผู้พูดเป็นวิธีการจูงใจที่มีประสิทธิภาพมาก
ที่สุด ดังนั้น เราต้องมบี ุคลิกภาพ การวางท่าทาง มีคำพูดที่สะท้อนความเชื่อมัน่
ในสิ่งที่กล่าว อีกทั้งต้องพูดให้ชัดเจน ฉะฉาน อย่าพูดงึมงำอยู่ในลำคอ
โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ หากเราอย่ใู นฐานะผูน้ ำ เราต้องให้ดูวา่ เป็นบุคคลที่มอี ำนาจ
มคี วามน่าเชอื่ ถอื
8
“บุคลิกภาพ...หากยกเว้นการเตรียมการพูดที่ดีเสียแล้ว อาจจะ
กล่าวไดว้ า่ เปน็ ปัจจัยสำคญั ที่สดุ สำหรบั การพดู ในทีช่ มุ ชน”
(เดล คารเ์ นกี)
สอง การรจู้ กั ผฟู้ งั ...................................................
เราจะไม่สามารถพูดโดนใจผู้ฟังได้ หากเราไม่รู้มาก่อนว่าเราพูดให้ใครฟงั และ
ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเรา ทัศนคติต่อสิ่งที่เราจะพูด ทัศนคติที่มีต่อตัวผู้พดู
เพื่อจะรู้ว่าควรจะใช้คำพูดท่าทางเช่นไร ในเวลาใดจึงเหมาะสม ต้องพูดเนื้อหา
เช่นไร ผู้ฟังจึงรู้สึกว่าเราเป็นมิตร มิใช่เป็นศัตรู เราควรจะใช้คำพดู จูงใจเวลาใด
ถึงจะเหมาะสม
สาม การใหเ้ หตผุ ล..................................................
ไมม่ คี วามสำเรจ็ ทยี่ งั ยนื สำหรับคำโกหกทีส่ วยหรู
เพราะไมม่ ใี ครตอ้ งการเปน็ ผู้ทถ่ี ูกหลอก ด้วยข้อมูลอนั เปน็ เท็จ เราจึงต้องส่ือสาร
ความจริงใหผ้ ้ฟู งั ต้องใชเ้ หตุผล ขอ้ เท็จจรงิ ทน่ี ่าเช่อื ถือและอ้างอิงได้
9
เราควรพฒั นาทกั ษะเหล่านี้หรือไม่ ?
เราลองตอบคำถามว่า “เราพรอ้ มหรอื ไมท่ ี่จะยืนตอ่ หน้าคน เพือ่ จูงใจเขา เพ่ือดล
จิตดลใจเขา และในตอนท้ายเพื่อเปลี่ยนความเชื่อให้เขาในสิง่ ที่เราพูด” ถ้าเรายงั
ไม่มั่นใจ ยอ่ มไมส่ ายหากจะก้าวเขา้ มาฝกึ ฝนการพูดในเสน้ ทางนี้
10
เปน็ “ผู้นำ”
ต้อง “พร้อม” กอ่ นพดู
11
ฝึกพูดเรม่ิ จากการเขยี น
การพูดก็เหมือนการขับรถ ไม่มีใครขับรถคล่องเลยในวันแรก แต่
จะต้องมีการตื่นเต้น ประหม่า ไม่มั่นใจ กล้าๆกลัวๆ แต่เมื่อเราขับบ่อยครั้งข้ึน
เราก็ย่อมมีความมัน่ ใจในการขับข่ีมากขนึ้ ไม่ตื่น ไมก่ ลัว เพราะมีความเคยชิน
การพดู กเ็ ชน่ เดยี วกนั จัดเปน็ ทกั ษะหนงึ่ ทต่ี อ้ งเรมิ่ ตน้ ด้วย “กา้ วท่หี นงึ่ ”
เหมือนเด็กเพิ่งหัดเดินล้มลุกคลุกคลานและจะค่อยๆพัฒนาไปสู่ความเชี่ยวชาญ
เม่ือทำซำ้ ๆจนกลายเป็นสว่ นหน่งึ ของชีวิต
การฝกึ พดู จึงเปน็ เร่อื งจำเปน็ โดยทว่ั ไปมักจะใช้ 3 วธิ ีในการพูด ได้แก่
พูดจากเน้ือหาท่ไี ดเ้ ตรียมไว้
มักจะเป็นการพดู อยา่ งเป็นทางการ คือมีการวางแผนแนวปฏบิ ัตไิ วอ้ ย่างชดั เจน
เช่น การปราศรยั ของนายกรฐั มนตรี การให้โอวาทของผ้อู ำนวยการโรงเรยี นใน
วันปฐมนิเทศการพูดสุนทรพจน์ของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ การ
อภิปรายในรัฐสภา ฯลฯ ซึ่งมักจะมีเนอ้ื หาในการส่ือสารจำนวนมาก
ที่สำคัญ การพูดจากเนื้อหาทีไ่ ด้เตรียมไว้นับว่าเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นในการฝกึ
พูดต่อหน้าชุมชน เนื้อหาที่เตรียมไวไ้ ปพดู นั้น จะช่วยเราในช่วงเริ่มต้นนได้เป็น
อย่างดี เพราะจะทำให้เกิดความมั่นใจในการสื่อสาร และจะช่วยให้เราค่อยๆ
พัฒนาไปสกู่ ารพดู ขั้นต่อไป อันได้แก่ การพูดโดยมโี น้ตยอ่ จนถึงการพูดโดยไม่มี
โน๊ตได้ในท่ีสดุ
12
พูดจากโนต๊ ยอ่
คือการที่เราจดโครงร่างของเรือ่ งที่ต้องการสื่อสาร หัวข้อ ประเด็น คำสำคัญเพ่ือ
กันลืม มักเป็นการพูดอย่างไมเ่ ป็นทางการ ซึ่งก็คือ การพูดที่ให้บรรยากาศเป็น
กันเอง เช่น พูดเพื่อนันทนาการในกิจกรรมต่าง ๆ การพูดสังสรรค์งานชุมนุม
ศิษย์เก่า การพูดเรื่องตลกในที่ประชุม การกล่าวอวยพรตามโอกาสต่าง ๆ ใน
งานสังสรรค์ ทำให้พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ หรือสำหรับการพูดที่มั่นใจว่าได้
เตรียมพร้อมมาอยา่ งดี จำรายละเอยี ดของเน้อื หาท่ตี ้องการสื่อสารได้
การพดู จากโน้ตย่อเหมาะสำหรับผู้ที่ฝึกทักษะการ
พูดมาระยะหนง่ึ จนคอ่ นข้างมีทงั้ ความมั่นใจและ
ความชำนาญในการสอื่ สาร
พูดโดยไมม่ ีโนต๊
วิธีน้ีเหมาะสำหรับนักพูดที่เช่ียวชาญแล้วเท่านัน้ ทงั้ นเี้ พราะการพดู โดยไม่มีโน้ต
ผู้พูดจะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญหลายประการ อาทิ ความสามารถในการ
ลำดบั ความคิดและเหตุผลในเรื่องท่ีจะพูด ความจำในประเดน็ สำคัญท่ีจะต้องพูด
บุคลิกท่าทางที่ดเู ป็นธรรมชาติ น้ำเสียงที่ลืน่ ไหลแสดงถงึ ความเชื่อม่ันในสิ่งท่พี ดู
เปน็ ต้น
การพูดโดยไม่มีโน้ตนั้น หากไม่ได้เป็นผู้ที่ฝึกจนชำนาญแล้ว จะทำได้ยาก อาจ
เกิดการติดขัดเพราะจำเนื้อหาไม่ได้ ยิ่งเมื่อมองเห็นสายตามากมายจับจ้องอยู่
อาจทำให้เสียความม่นั ใจจนไมก่ ลา้ พูดตอ่ หนา้ สาธารณะอกี เลยก็เปน็ ได้
13
ดังน้ัน ในการฝกึ พดู ควรเรมิ่ ตน้ อย่างเป็นลำดบั ขนั้ ไม่ว่าเราจะพูดในหวั ข้อพดู ใน
หัวข้อใด ควรเริ่มต้นจากการเขียน “บทพูด” ที่เราต้องการสื่อสารให้สมบูรณ์
ครบถว้ นก่อนเสมอ “บทพดู ที่ด”ี จะช่วยสรา้ งความมั่นใจใหก้ ับเรามากขึ้นวา่ “เรา
จะต้องพูดไดด้ ”ี เชน่ กนั
การเขียนบทเพื่อการพูด จึงเป็นรูปแบบและวิธีการที่เราควรเรียนรู้ เพื่อให้
สามารถพดู ได้อยา่ งเหมาะสมและเป็นธรรมชาติ
14
เราไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งเปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นการพดู จงึ สามารถพูดไดด้ ี แตเ่ ราต้องเตรยี ม
ความพรอ้ มเป็นอย่างดี มเิ ชน่ นน้ั จะไม่สามารถพูดได้
สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำกอ่ นการพูด นั่นคือ การเขียนในสิง่ ที่ต้องการจะพูด เพื่อเรา
จะได้ความชัดเจนในสิ่งที่ต้องการสื่อสาร เพราะการเขียนนัน้ จะชว่ ยให้เราลำดับ
ความคิด และเริ่มจินตนาการว่าเราจะสื่อสารให้เป็นไปในทิศทางใด จะ
สอดแทรกอะไรลงไปบ้าง และจะทำให้เราได้มีเวลาในการอุดรอยรั่วในประเด็น
หวั ขอ้ การส่ือสาร
อย่างไรกต็ าม การเขียนท่ีเหมาะสมสำหรับการพดู ที่ดีน้ัน จะต้องมีองค์ประกอบ
ท่ีควรเรยี นร้ตู อ่ ไปนี้
ภาษาพูด ไมใ่ ช่ภาษาเขยี น .
ให้เขียนสิ่งที่เราต้องการพูด ในรูปแบบที่สามารถนำไปพูดได้จริงมากที่สุด
เหมือนกบั เราที่กำลังพูดอยู่ เม่อื ฟงั แลว้ จะทำให้ผฟู้ ังเขา้ ใจไดท้ ันที ไม่ใช่เขียนบท
พูดเป็นภาษเขยี น
มีผู้กล่าวว่า เวลาพูด จงใช้คำพูดให้เหมือนกับภาษามนุษย์ที่ใช้กันและเข้าใจ
กนั โดยทวั่ ไปในชวี ิตประจำวัน เพราะการพูดท่ีประสบผลสำเร็จนัน้ ส่วนหนึ่งมา
จากการพดู ท่ีเข้าใจง่าย นอกจากน้ี เราควรใชภ้ าษาใหเ้ หมาะกับกลมุ่ ผฟู้ งั ด้วย
15
เขยี นเป็นประโยคส้นั ๆ .
ต้องคำนึงด้วยว่าเราจะมองสิ่งที่เรา
เขียนก่อนพูด ดังนั้น จึงควรเป็น
ประโยคสั้นๆ เพื่อให้สามารถกวาด
สายตาได้ว่าในประโยคนั้น เรา
ต้องการที่จะสื่อสารอะไรได้อย่าง
รวดเร็วแม่นยำไม่มีข้อผิดเพี้ยน อย่า
เขียนเป็นประโยคยาวๆติดต่อกัน
เพราะจะทำให้การกวาดตาอ่านนั้น
เป็นไปได้ยากและมีโอกาสการสื่อสาร
ผดิ พลาดสูงกวา่
เขียนแบบมีจงั หวะ .
เราตอ้ งจำไวว้ ่า การพดู ไมใ่ ชก่ ารอา่ น จงึ ไมส่ ามารถเขยี นแบบเรื่อย ๆ ได้ แต่เรา
ต้องรู้ว่า ตรงไหนที่ต้องการเน้นเสียง ต้องการเว้นจังหวะหยุด อีกทั้งเราไม่
สามารถก้มหน้าอ่านสคริปต์ได้ตลอด เพราะจะต้องีช่วงจังหวะที่เราเงยหน้าเพื่อ
สบตากับผฟู้ ัง ดังนนั้ เมือเรากม้ หนา้ มองโนต้ ท่ีจดไว้ เราตอ้ งเหน็ ทันทวี ่าเราพูด
ไปถึงไหนแล้ส เราจำควรเขียนให้ง่ายต่อการมองเห็น และพูดต่อได้ทันที โดย
อาจจะใชเ้ ทคนิคต่างๆดงั ตอ่ ไปน้ี
เน้นคำสำคัญ (KEY WORD) เพ่ือชว่ ยใหร้ ู้วา่ เราจะพูดอะไรได้ทนั ที ไม่
ตอ้ งอ่านทงั้ หมดเพ่ือทำความเขา้ ใจ อาจทำตัวหนา หรอื เพ่ิมขนาด
ตวั อกั ษรใหเ้ ดน่ กวา่ ตัวอ่นื
16
การใช้เครื่องหมาย - คั่นระหว่างคำ เพื่อให้อ่านได้ง่าย เพราะใน
ภาษาไทยปกติเราจะเขียนประโยคยาวๆ แล้วคอ่ เวน้ วรรค ซ่ึงจะสง่ ผล
ให้ยากกต่อการกวาดตามองหาคำสำคัญที่เราต้องการพูด ดังนั้น เรา
อาจจะใหเ้ ครื่องหมาย - ค่ันเพอ่ื แสดงถึงจงั หวะที่เราต้องการจะหยุด
หรือต้องการที่จะเนน้
การขีดเส้นใต้ เราอาจจะการขีดเส้นใต้ เพื่อให้รู้ว่าคำใดที่ต้องการ
แสดงสหี นา้ ทา่ ทางอยา่ งไร การขดี เสน้ ใตเ้ ป็นอกี หนึ่งวิธที จี่ ะทำให้เรา
สามารถมองเห็นขอ้ ความทันทที ี่มองลงไปในกระดาษ
ในเรอ่ื งของการใชเ้ ครอ่ื งหมาย เราอาจจะใช้สลับไปสลับมา
แต่ที่สำคัญคอื เราต้องเหน็ เดน่ ชดั
พึงจำไวว้ า่ เราตอ้ งรวู้ ่า กำลังจะพูดอะไร และร้เู ป็นอยา่ งดี
จนมนั่ ใจว่าเราสามารถพูดไดเ้ ปน็ อย่างดี
การเขียนในสิง่ ที่ตอ้ งการจะพูดจึงเป็นเรื่องสำคญั ฝนชว่ งเร่ิมต้น และ
ไม่เพียงเทา่ นนั้ ในขน้ั ต่อๆไป เราจะต้องฝกึ พูดในสงิ่ ที่เขียนด้วย
17
การเขียนสคริปต์พดู ให้น่าสนใจ ลำดับแรก ต้องตอบคำถามมให้ได้ก่อนว่า “เรา
ต้องการอะไรจากผู้ฟัง” และ “ถ้าเราต้องการบรรลุจุดประสงค์นั้น เราจะวาง
แผนการสอื่ สารด้วยคำพูดของเราอย่างไร ? “ เพราะเปา้ หมายทช่ี ดั เจนจะช่วยให้
เราสามารถวางแผนไดอ้ ย่างรอบคอบว่าจะต้องทำอยา่ งไรถึงจะไปให้ถึงจุดหมาย
นน้ั
องคป์ ระกอบสำคัญทีท่ ำให้บทพูดของเราจงู ใจนั้น จะต้องประกอบดว้ ย
• ประเด็นนำเสนอทช่ี ัดเจน
• การดำเนนิ เร่อื งท่ีมเี หตมุ ผี ล ดงึ ดดู ความสนใจ
• ที่ขาดไม่ได้เลยก็คอื อารมณ์ของเราในขณะที่พูดนั้นควรเป็นเช่น
ไร เพื่อเปน็ ส่วนผสมท่ีจงู ใจ นำอารมณ์ของผฟู้ งั ใหค้ ล้อยตาม
เราอาจแบงเน้ือหาทต่ี อ้ งการพดู ออกเป็น 3 สว่ น
ส่วนแรก หรือส่วนนำ ส่วนนี้ควรกล่าวถึงหัวข้อของเนื้อหาที่เราจะพูด เพื่อให้
ผู้ฟังรู้ว่าเรากำลังจะกล่าวถึงเรื่องใด เป็นส่วนที่ต้องดึงดูดคนฟัง ควรมีลูกเล่น
อาจเริ่มต้นดว้ ยการเลา่ เรอ่ื งขำขนั เร่ืองเลา่ จากประสบการณข์ องผูพ้ ดู เหตกุ ารณ์
ในประวัตศิ าสตร์ ประวัตหิ รือขอ้ คิดคำคมของบุคคลสำคญั ตวั เลขสถิติท่ีน่าสนใจ
18
ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ต้องมีความน่าสนใจ ดึงดูดใจ และที่สำคัญต้องเป็นเรื่องท่ี
เช่อื มโยงเข้าสู่เน้อื หาทเี่ ราจะกลา่ วถงึ ต่อไปอยา่ งกลมกลนื
ส่วนทีส่ อง เนื้อหาที่เราต้องการสือ่ สาร ”เข้าประเด็นไม่ออกนอกเรือ่ ง” พยายาม
จงู ใจผ้ฟู ัง จึงจำเป็นตอ้ งเตรยี มพรอ้ มอย่างดีวา่ ควรใชเ้ หตผุ ลข้อเท็จจรงิ อย่างไรจึง
นา่ เชือ่ ถอื ควรใช้ภาษาอยา่ งไร ควรพูดด้วยอารมณอ์ ะไร จังหวะนำ้ เสยี ง สีหน้า
ท่าทางควรเป็นเช่นไร **เราควรสื่อสารด้วยควาจริงใจ อ้างแหล่งที่มาที่
นา่ เช่ือถอื ไมพ่ ูดลอย ๆ **
เราจำเป็นต้องลำดบั เนื้อหาให้ต่อเน่ือง ต้องระวังงไม่ให้คนฟังเกิดความรู้สึกเบ่อื
หน่าย จึงควรแทรกเนื้อหาที่สนุกสนาน หรือเรื่องเล่าที่น่าสนใจประกอบ
ระหว่างทาง แต่ตอ้ งไม่มากเกินไปจนออกนอกประเดน็
ส่วนทีส่ าม ควรเป็นการตอกย้ำอีกครั้งถึงสิ่งที่เราพูดมาเพื่อดึงผู้ฟังให้ชัดเจนใน
ประเดน็ ทีน่ ำเสนอ จดุ ประสงคเ์ พือ่ ใหผ้ ้ฟู งั เชื่อมัน่ ในสงิ่ ทเี่ ราพดู
เดล คาร์เนกี กล่าวถงึ เรือ่ งสรุปการพูดไว้ได้อย่างชดั เจน “ สิ่งแรก จงบอกผู้ฟงั
ถึงเรื่องที่ท่านต้องการจะบอก และจงบอกเขาอีกครั้ง ว่าท่านได้บอก
อะไรกับเขาบ้าง ”
เราควรสรุปสิ่งที่เราพูดไปให้กระชับชัดเจนที่สุด อาจสรุปด้วยการยกตัวอย่าง
ข้อคิด คำคม หรือตั้งคำถามทิ้งทา้ ยทีน่ ่าสนใจก็ได้
การพูดเพื่อจูงใจนั้น ผู้พูดไม่เพียงแสดงออกด้วย
ถ้อยคำ การใช้ภาษาที่สละสลวย เหตุผลที่จูงใจ แต่ยังต้องผสมผสานไป
พร้อมกับอารมณ์ สีหน้า และท่าทางประกอบท่ีสามารถจูงใจผู้ฟังให้คลอ้ ย
ตามไดม้ ากทีส่ ุด
19
นักแสดงละครที่เก่งกาจ จำเป็นต้องอ่านบทให้เข้าใจ เข้าถึงและเข้าไปอยู่ใน
ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้น เพราะฉะนั้น นักพูดจะสามารถพูดได้ดีหรอื ไม่
นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบทพูดที่เขียนว่ามีความสมบูรณ์แบบเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับ
ความสามารถที่จะถ่ายทอดออกมาแตะต้องจิตใตผู้ฟังได้มากน้อยเพียงใด
หลงั จากทเี่ ราเขยี นบทพูดแลว้ ขั้นตอนตอ่ ไปทสี่ ำคญั กอ่ นการพูดในสถานการณ์
จรงิ นัน่ คือ การฝึกพดู
การฝึกพดู จำเป็นต้องใช้จนิ ตนาการเป็นสว่ นประกอบที่สำคัญ เริ่มต้นด้วยการ
ที่เราตอ้ งคิดวาสในเหตุการณ์จรงิ นั้นจะเป็นอย่างไร เพอื่ ให้เรามองเหน็ ตัวเองว่า
เปน็ อย่างในขณะพดู เช่น ทา่ ทาง นำ้ เสียง เน้ือหาทีพ่ ูด จงั หวะจะโคนในแค่
ละช่วงแต่ละตอน ภาพลักษณ์ของเราที่ปรากฏต่อสายตาผู้ฟังนั้นผู้ฟังจะ
ตอบสนองอยา่ งไร
อา่ นทวนซำ้ จนขึน้ ใจ .
บทพูดที่เราเขียนขึ้น จำเป็นต้องอ่านทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำไปซ้ำมาจนจำได้
ขึ้นใจ รู้ว่าเรื่องที่จะพูดนั้นคืออะไร มีรายละเอียด มีเหตุมีผล จะพูดอะไร
กอ่ นหลัง จนถงึ บทสรุปจะเรยี งต่อกนั อยา่ งไรจึงน่าสนใจมากที่สดุ เราต้องอ่าน
20
ทวนซำ้ จนร้สู กึ วา่ คำทีเ่ ราคิดจะพูดออกมาเหลา่ นั้น เกิดความคนุ้ เคย จำได้ รู้ว่า
แต่ละประโยค/แต่ละขอ้ ความนั้นเรียงต่อกนั อย่างไร เมื่อพูดประโยคน้จี บจะพูด
อะไรต่อไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ เราควรอ่านทวนซ้ำกระทั่งคำเหล่านี้อยู่ใน
ความคิด จนทำให้เรารสู้ กึ ไมล่ งั เลที่จะพูดคำ ๆ น้นั ออกมาดว้ ยความคุ้นเคย
พูดเสมือนจรงิ .
ห้ามท่องจำ เพราะหากเราท่องจำจะทำให้
เราพูดออกมาแบบนกแก้วนกขุนทอง ไม่มี
อารมณ์ความรู้สึก แต่เราต้องอ่าน คิด
พูดทวนซ้ำ ใส่อารมณ์ตามบทพูดจนเกิด
ความรู้สึกว่า เรากำลังเป็นตัวแสดงที่สม
บทบาท ดังคำกล่าวที่ว่า “นักแสดงที่ขาด
อารมณ์ย่อมไม่ประสบความสำเร็จในการ
แสดงฉันใด นักพูดที่ขาดอารมณ์ในการ
พูดกย็ อ่ มลม้ เหลวได้ฉันนน้ั ”
ฝึกออกเสยี งคำให้คนุ้ เคย .
คำควบกล้ำ “ร” “ล” ต้องฝึกให้ชัด ปัญหาหนึ่งทีม่ ักจะพบคือ การออกเสียงศพั ท์
บางคำจะออกเสียงยาก ขอแนะนำว่า ให้เราเปลี่ยนคำศัพท์ที่มีความหมาย
เดียวกัน แต่เป็นคำที่เราพดู ได้ง่ายกว่า คล่องกว่า กล้าที่จะแก้ไขคำจนเรารู้สกึ
ว่าทุกคำทีเ่ ราพูดออกไปน้ัน พูดได้อยา่ งเป็นธรรมชาติ
21
แก้ไขประโยคทท่ี ับซอ้ น ฟังเขา้ ใจยาก .
แก้ไขประโยคไม่ให้ยาวเกินไป รูปประโยคต้องไม่ซับซ้อนเกินไป ต้องฟังแล้ว
เขา้ ใจไดง้ า่ ย
ฝึกมองเนือ้ หาเป็นย่อหน้า .
ใหล้ องมองเนอ้ื หาเปน็ ย่อหนา้ (paragraph) ไมใ่ ช่เรียงทลี ะคำ โดยใหส้ ายตาจับ
จ้องมองคำหลกั หรือสัญลกั ษณท์ ีเ่ ราได้ทำไว้ ชว่ ยใหก้ ารพูดของเราราบร่นื ไม่
สะดดุ สามารถมองยอ่ หน้าตอ่ ไปไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว
สมองของเราเหมือนกล้องถ่ายภาพ มันสามารถถ่ายภาพถ้อยคำที่เราเขียนได้
ถ้าเราเพ่งมองย่อหน้าแต่ละย่อหน้า สายตาและสมองของเราจะประทับในสิ่งท่ี
กำลังอ่าน ถ้าเราทำเช่นนี้บ่อยเพียงพอ จะช่วยให้เราสามารถละสายตาจาก
กระดาษ มองคนฟัง ขณะที่เรายงั เห็นตัวหนงั สือนน้ั ในความคิดของเรา
ฝึกละสายตาเพือ่ ดูผู้ฟงั .
จะช่วยให้เราสามารถละสายตาจากสิ่งที่อ่านและประสานสายตาจากสิ่งที่อ่าน
และประสานสายตากับผู้ฟังได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเราสามารถก้มลงมอง
ถ้อยคำถัดไปที่จะพูดได้อย่างไม่มีสะดุด และประสานสายตากับผู้ฟังได้อย่าง
ราบรน่ื
ความขยันเอาชนะอปุ สรรคได้ หากขยันท่ีจะฝึกฝน..จงเริ่มเสยี ต้งั แตว่ นั นี้
22
คำพูดจะมีพลงั จูงใจผฟู้ ัง หากเราพูดออกมาจากใจ
หากเราต้องทำงานเกี่ยวข้องกับการพูด ต้องจูงใจให้ผู้ฟังเชื่อมั่นและคล้อยตาม
ในสิ่งที่เราพูด จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีความสามารถในการทำใหผ้ ูฟ้ ังเกิด
“ความเชื่อ” ว่าสิ่งที่กล่าวมานัน้ เป็นความจริง ความเชื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเม่ือผ้ฟู งั
สมั ผัสได้วา่ ส่ิงทเี่ ราพูดน้นั กลั่นออกมาจากใจ จากความคดิ ของเราจริงๆ
ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการสร้างความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นกันเอง
ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง นั่นคือ การสบสายตาผู้ฟัง พร้อม ๆ กับการ
ถ่ายทอดคำพูดที่กลั่นออกมาจากใจ ทั้งนี้ ในการสบตากับผู้ฟังนั้น เรา
จะต้องระวงั ไม่สบตาผู้ฟงั แต่เพียงกลุม่ ใดกลุ่มหน่ึงนานและมากเกินไป เพราะ
จะกลายเป็นการเรียกร้องจากผู้ฟังโดยไม่มีประโยชน์อันใด ขณะเดียวกันก็ไม่
ควรละสายตาจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนานเกินไปจนเขาเกิดความรู้สึกว่าเราไม่ได้
สนใจเขาเลย ยิ่งถ้าเราทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกเช่นนี้ ก็เท่ากับว่า ไม่ต่างอะไร
จากการที่เราพูดอยู่คนเดียว ไม่มีคนฟัง และหากเราประสานสายตากับคนฟงั
เราอยา่ ตกใจ แต่จงประสานสายตาตอบดว้ ยความยินดีและเปน็ มิตร
23
จะเห็นไดว้ า่ เรอื่ งการสบตานนั้ เป็นองค์ประกอบสำคัญ และสำคญั ยิง่ ขน้ึ เมื่อเรา
สบตาพร้อมกบั การพูดออกมาจากใจโดยไม่มบี ท ซ่งึ ถือเป็นการสื่อสารรที่มีพลัง
ในการดงึ ดูดใจผ้ฟู งั มากท่สี ดุ ท้งั นเ้ี พราะ ...........
ไดใ้ ชเ้ วลาท้ังหมดเพอื่ ดึงดูดผู้ฟัง .
เราสามารถเวลาทั้งหมดขณะที่พูดเพื่อดึงดูดผู้ฟังให้คล้อยตามได้ทั้งน้ำเสียง
การประสานสายตา การสบตากับผู้ฟัง การแสดงสีหน้าและท่าทาง เพื่อเป็น
สว่ นประกอบในการจงู ใจผู้ฟงั ได้ ไม่ต้องกม้ ๆเงยๆเพ่ืออา่ นบทพดู ทเี่ หสมือนเป็น
การขัดจังหวะระหว่างผู้พูดกับผฟู้ ัง
ควรจำไว้ว่า...ยง่ิ เราก้มลงอา่ นจากโน๊ตที่เตรยี มไว้น้อย โอกาสทีเ่ ราจะสบตากับ
ผฟู้ งั ยงิ่ มีมากข้นึ เทา่ นนั้ และน่ีเทา่ กบั เปน็ “สอื่ ” สำคญั ในการเชอ่ื มโยงระหว่างผู้
พดู กบั ผฟู้ งั
ช่วยสร้างความนา่ เชือ่ ถอื ในตวั ผูพ้ ูด .
ควรจำไว้ว่า คนฟังมีแนวโน้มยอมรับความคิดใหม่ๆถ้าเขาสัมผัสว่าคำพูดนั้น
ออกมาจากความคิดของผพู้ ูด พดู ออกมาดว้ ยความจรงิ ใจ ตงั้ ใจ ขณะท่ีการก้ม
หน้าอ่านตามบทพูดที่ได้เตรียมมา นอกจากไม่สามารถกระตุ้นและสร้างแรง
บันดาลใจแกผ่ ู้ฟงั ไดม้ ากเทา่ ท่ีควรแลว้ ยังอาจทำให้ผฟู้ งั เกดิ คำถามว่าข้อความที่
เราอ่านนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราเขียนขึ้นเอง ยิ่งทำให้ผู้ฟังลดความน่าเชื่อถือในตัวเรา
ยงิ่ ขน้ึ ไปอกี
24
ซึ่งในประเด็นเรื่องการสร้างความน่าเชื่อถือในตัวผู้พูดนั้น ศ.ดร.เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ นักพูดขั้นเทพ ศิลปะการพูดต่อหน้าชุมชน
ว่า ให้เลี่ยงคำพูดและการแสดงท่าทีต่อไปนี้ เพราะพบว่ามีนักพูดที่กำลังพัฒนา
จำนวนมากมักเริ่มตน้ ด้วยทำนองนี้....
“ก่อนอื่น ผม/ดิฉัน ต้องขอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่นักพูด เลยไม่รู้ว่าจะพูดได้ดี
หรอื ไม่ ยงั ลองฟงั ดนู ะคะ/ครับ...”
หรือ “ผม/ดิฉัน ต้องขอโทษด้วยหากพูดไม่ดี เพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน
ล่วงหน้า และเพิ่งจะได้รับแจง้ ว่าให้มาพูดวันนี้ ทำให้มีเวลาเตรียมตัวค่อนข้าง
น้อย แตก่ ต็ อ้ งมาพดู เพราะรบั ปากไวแ้ ล้ว .....”
หรือพูดในเชิงถ่อมใจ “ผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้มาอยู่เบื้องหน้าปัญญาชน
ระดับประเทศทุกท่านในวันนี้ จริงๆแล้ว ผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับ
เรอื่ งนี้ จริงๆหลายๆท่านในท่นี อ้ี าจจะรู้มากกว่าผมเสียอีก แตเ่ พราะคนุ้ เคยกับ
ท่านผู้จัดงาน ผมเป็นคนขี้เกรงใจคนก็เลยจำเป็นต้องมาพูด ยังไงก็อดทนฟัง
สกั ครูน่ ะครบั ผมคงพดู ไมน่ าน”
การพูดลักษณะนี้ นอกจากจะเป็นการตำหนิผู้เชิญแล้ว สำหรับผู้ฟังนั้นแทนที่
จะเห็นใจ อาจจะรู้สึกหงุดหงิด รำคาญ และอาจจะรู้สึกว่าเรากลังสบประมาท
ไม่ให้เกียรติ เพราะอุตส่าห์ตั้งใจมาฟังเราแท้ๆทำให้น่าผิดหวังอย่างมาก อาจจะ
ถามตัวเองว่า “แล้วจะมานั่งทนฟังทำไมนี่ เสียเวลาจริงๆ” และเราคงเห็นได้ง่า
จากที่ยกตัวอย่างประโยคข้าต้นมานั้นล้วนแต่เป็นประโยคที่ลดทอนความ
น่าเชอ่ื ถอื ในตวั ผฟู้ งั ท้งั สิน้
ดังนั้นหากสิ่งที่เราพูด ท่าทางที่เราแสดงออกมานั้นไม่น่าเชื่อถือ
ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วนั้น ผู้ฟังย่อมยากที่จะเชื่อถือในสิ่งที่เราพูด
ดังนั้น หากเราต้องการพูดเพื่อจูงใจผู้ฟังให้เกิดคล้อยตาม วิธี
25
สื่อสารที่มีพลังมากที่สุด คือ การสื่อสารโดยไม่มีบทพูด แต่ใน
ความเป็นจริงแล้วนั้นเป็นวิธีการพูดที่ยากสำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักพดู
มืออาชีพ แตถ่ ึงยงั ไง ก็ไมใ่ ชเ่ รื่องยากเกินการเรียนรู้และฝกึ ฝน
.
..
…
….
…..
คำพูดทีด่ ี
จำเปน็ ต้องไดร้ ับการกลั่นกรองเปน็ ลำดับผ่านอารมณ์
ความรูส้ ึก เหตผุ ล สตปิ ญั ญา และจติ สำนึกผดิ ชอบ
เพอ่ื ให้ก่อเกดิ ประโยชน์สูงสุดทง้ั ผูพ้ ูดและผฟู้ งั
* จากหนงั สือ “ขอ้ คิดเพื่อคำพูด” ของ ศ.ดร.เกรยี งศกั ด์ิ เจรญิ วงศศ์ กั ดิ์ *
…..
….
…
..
.
26
การเตรยี มพรอ้ มก่อนการพดู เป็นสิง่ ท่ีสำคญั ท่ีสดุ ความพร้อมของเราจะเปน็ ตวั
บง่ ช้ีวา่ การพูดจะประสบความสำเรจ็ มากนอ้ ยเพยี งใด สิง่ ทคี่ วรทำเรม่ิ ตง้ั แต่ .....
เลือกเร่ืองทีม่ น่ั ใจ .
เราต้องเลือกเรื่อที่มั่นใจว่ามีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่จะพูดเป็นอย่างดี
เพราะสิง่ น้ีจะช่วยใหเ้ ราส่ือสารออกมาได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ที่สำคญั ทุก
คนควรรู้ไวว้ ่า ความรู้เปน็ อาวุธที่น่าเช่ือถือมากที่สุด เพราะคนฟงั จะคล้อยตาม
และเชือ่ ในคำพดู ของเราจากความรู้ท่เี รามี
ไม่พูดนานเกินไป .
การพูดโดยไม่มีบทพูดนั้นในช่วงเริ่มต้นไม่ควรมีความยาวนานเกินไป ควรใช้
เวลาประมาณ 3 – 4 นาทไี มค่ วรเกนิ 5 นาที
27
เขยี นทุกอย่างท่ีอยากพูด .
เราต้องการสื่อสารอะไร ขึ้นต้นด้วยอะไร เนื้อหาเป็นอย่างไร บทสรุปจะพูด
อยา่ งไร โดนต้องเรยี งลำดับเรือ่ งทีจ่ ะพูดใหน้ ่าสนใจ
ซ้อมพูดใหห้ นัก .
เนอื่ งจากเราตอ้ งพดู โดยไมม่ ีบทพูด จงึ จำเปน็ ตอ้ งทอ่ งแบบทวนซำ้ หลายๆครงั้ ให้
เกิดความชำนาญ หากเราได้ฝึกบ่อยๆเหมอื นนกั แสดงที่ต้องท่องสคริปต์จนคล่อง
และเมือ่ ถึงเวลาแสดงตอ้ งแสดงออกมาใหเ้ สือนเปน็ ตัวละครนน่ั เอง
สำหรบั วธิ กี ารท่องจำ ใหท้ อ่ งจำทลี ะย่อหนา้ เริ่มจากยอ่ หนา้ แรก ใช้วิธีอ่านออก
เสียงดังๆซ้ำๆหลายๆครั้ง หลังจากนั้นให้พูดโดยไม่ต้องดู จนรู้สึกมั่นใจว่า ภาพ
ตัวหนังสือทั้งหมดนน้ั อยู่ในความคดิ ของเราแล้ว จากนั้นให้ทำวธิ กี ารเดยี วกันกบั
ยอ่ หนา้ ถดั ๆไป แต่หลงั จากจำยอ่ หน้าที่ 2 ไดแ้ ลว้ ใหเ้ ร่ิมพดู ตั้งแต่ย่อแรกเป็นการ
ทวนซ้ำ เมื่อร้สู กึ มัน่ ใจแลว้ ใหฝ้ ึกท่องย่อหน้าถดั ไปอกี จนขึ้นใจ จากนน้ั ก็พูดทวน
ตง้ั แต่ยอ่ หน้าแรก ทำเชน่ เดยี วกันน้ตี ่อไปเร่อื ย ๆ จนจบสคริปต์
การฝึกพูดออกมาดัง ๆ นั้น จะทำให้เราได้ยินข้อความที่ต้องการจะสื่อสา ซึ่งจะ
ช่วยในเรื่องของการจดจำ ที่สำคัญคืออย่าพูดไปเรื่อย ๆ เป็นนกแก้วนกขุนทอง
แต่ให้พูดแล้วดูเป็นธรรมชาติ คอื มกี ารใสอ่ ารมณแ์ ละท่าทางลงไปด้วยน่ันเอง
28
ทบทวนในความคิดเสมอ .
เพื่อเพิม่ ความม่ันใจในความจำของเรา โดยตลอดเวลาทีเ่ รามีเวลาว่างใหท้ ่องใน
สิ่งที่เราต้องการจะพูด หรือคิดถึงตัวหนังสือที่ต้องการพูดขึ้นมาในความคิดของ
เราเรอ่ื ย ๆ
ตง้ั วนั ซอ้ มใหญ่ .
ก่อนวันที่เราจะพูด ให้ถทอเป็นการซ้อมใหญ่ ลองพูดเหมือนจริง โดยมีการจบั
เวลา และการบันทึกเสียง หลังจากการพูดจบ ให้กลับมานั่งฟังและประเมินและ
ปรับปรงุ จนรู่สึกมั่นใจเมื่อวนั ที่ต้องพูดจริงมาถึง การซกั ซอ้ มอย่างจริงจังนี้ จะ
ช่วยพัฒนาทั้งในเรื่องของการขันรอย่าวจริงจังนี้ จะช่วยพัฒนาทั้งในเรื่องของ
การเขียนบทพดู การฝึกทักษะการพูด การพฒั นาบุคลิกภาพ หากเรามีโอกาส
ไดพ้ ดู ต่อสาธารณชนบ่อย ๆ ย่อทำใหเ้ รามั่นใจและเชีย่ วชาญข้ึน
29
การเข้าใจผฟู้ งั เปน็ สิ่งทเี่ ราต้องทำ... กอ่ นพดู
ทั้งนี้เพราะแท้จริงแล้ว เป้าหมายของการพูดต่อหน้าชุมชนที่ดี ควรต้องมีวาระ
หรอื วตั ถปุ ระสงคท์ ี่ชัดเจน ไม่ใชเ่ พยี งเพื่อผู้ฟังไดย้ ิน รับรู้ หรือแม้แต่ช่ืนชมในส่ิง
ทเี่ ราพดู แตต่ ้องจูงใจให้ผู้ฟงั ตอบสนองต่อส่ิงที่เราพดู ในทิศทางที่เราต้ังใจไว้ด้วย
ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องรู้ว่า สิ่งที่เราพูดนั้น เราพูดให้ใครฟัง ซึ่งการที่เรารู้ว่า
กลุ่มเป้าหมายเราเป็นใครนั้นนนจะช่วยให้เราสามารถกำหนดเรื่อง วิธีการ
นำเสนอ การใชภ้ าษา รวมไปถึงการยกตัวอยา่ งใหเ้ หมาะสม
โดยเรอ่ื งหลัก ๆ ท่เี ราควรพิจารณาในการทำความเขา้ ใจผฟู้ ัง ได้แก่
• กลมุ่ ผ้ฟู งั เปน็ ใคร ?
• ผูฟ้ ังตอ้ งการอะไร ?
การรจู้ กั ผฟู้ งั จะชว่ ยสรา้ งความใกลช้ ดิ ิ ความรสู้ กึ เปน็ กนั เอง ระหวา่ งผพู้ ดู กบั ผฟู้ งั
อันช่วยส่งเสริมให้เกดิ ความสนใจฟังในสิง่ ทีเ่ ราพดู เกดิ ความประทบั ใจในตวั เรา
ท่สี ำคญั คือ ความรสู้ กึ ไวเ้ นอ้ื เชอ่ื ใจ ยอมรบั และตอบสนองตอ่ สง่ิ ทเ่ี ราพดู โดยงา่ ย
30
เราจะเข้าใจผู้ฟังได้อยา่ งไร ในเมื่อเราไม่เคยรูจ้ ักเขาเลย อีกทั้งคนฟังน้นั มี
หลากหลาย เรายอ่ มไมส่ ามารถพูดให้ทุกๆคนพึงพอใจได้ เปน็ ความจริงทีว่ ่า การ
เข้าใจผูอ้ ื่นนั้นเป็นเรือ่ งยาก.... ทว่าไมย่ ากเกินไป หากเพยี งเรามคี วามเข้าใจใน
จติ วทิ ยาพ้นื ฐานของคน
ในทางจิตวิทยาพบว่า คนปกติโดยทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่มักจะชอบให้คนอืน่ ทำดี
กับตน มองตนในด้านดี มากกว่าด้านเสีย เราในฐานะผู้พูด ควรพยายาม
ตอบสนองในดา้ นทจ่ี ะทำใหค้ น “ชอบ พึงพอใจ” มากกวา่ “หงุดหงิด ไม่พงึ พอใจ”
ดังน้นั หากตอ้ งการพูดให้ประทับใจ ควรจดจำวา่ คนฟงั ส่วนใหญ่.......
ชอบคนอารมณ์ดี .
กล่าวกันว่า คนเราต้องการอยู่ใกล้กับคนที่ย้ิมแย้มแจ่มใส ดังนั้น เวลาพูดเราจึง
ควรมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ดูเป็นมิตร น่าคบค้าสมาคมด้วย ยิ่งโดยเฉพาะคน
ไทย ส่วนใหญ่จะชอบคนที่มีบุคลิกตลก ร่าเริง สนุกสนาน การแทรกมุกตลกจะ
31
ชว่ ยเพม่ิ สสี นั นการพดู ไดเ้ ปน็ อย่างดี แตต่ อ้ งระวังที่จะไมห่ ยอดมกุ บ่อยเกินไป จน
ลดทอนความน่าเช่ือถือในตัวผู้พูด รวมถึงสาระสำคัญของเนื้อหา เพราะอาจจะ
กลายเป็นว่าเมื่อคนฟังกลับไปคิดทบทวน พบว่าไม่ได้สาระอะไรกลับไปเลย
ฉะน้นั เราควรเรียนร้จู ังหวะ พรอ้ มประเมนิ ความเหมาะสมว่าควรจะมีมากน้อย
เพยี งใด
ชอบคำชม ใหเ้ กยี รติ ยกย่อง .
ทุกคนมักตอ้ งการเปน็ คนสำคญั มีคนเห็นคุณคา่ ใหเ้ กียรติ ช่ืนชมยกย่องนสิ ง่ ดีที่
ตนได้ทำ ดังนั้น ฝนการพูด เราจำเป็นต้องมีคำพูดชมผู้ฟังแทรกมาในช่วงท่ี
เหมาะสมดว้ ย
ชอบไดร้ ับความสนใจ .
จำไว้ว่า เมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ไม่มีใครชอบการถูกเพิกเฉย ไม่มีใครใส่ใจ แต่
ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ต้องการใหผ้ อู้ ืน่ สนใจ เอาใจใส่ ดังนั้น ในการพูด
เราควรใหผ้ ฟู้ ังมสี ว่ นรว่ มกบั เรา อาจจะด้วยวธิ กี ารตั้งคำถามให้ตอบ หรือให้เขา
รว่ มทำกิจกรรมทเ่ี ราเตรยี มมา เขาจะร้สู กึ ภูมใิ จและประทบั ใจในตวั ผู้พดู
ชอบฟังเร่อื งท่ตี นสนใจ .
เช่นเดียวกับเรา เราย่อมให้ความเอาใจใส่ จดจ่ออยู่กับเรือ่ งท่ีสนใจมากกว่าเรื่อง
ที่ไม่สนใจ ดังนั้น เราควรรู้ข้อมูลพื้นฐานของผู้ฟัง ว่าเค้าสนใจในเรื่องใดบ้าง
32
เพื่อนำมาปรับให้สอดคล้องกับความสนใจของผู้ฟังให้มากที่สุด ย่อมจะช่วย
สง่ เสรมิ ใหผ้ ฟู้ งั สนใจและประทบั ใจในตวั ผ้ฟู งั
ไมช่ อบถูกตอ่ วา่ ถูกตำหนิ .
คนเราจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจ ยิ่งหากทำต่อหน้าผู้อื่น ยิ่งก่อให้เกิดความรู้สึก
โกรธ เพราะเกิดความรู้สึกเสียหน้า เราต้องระมัดระวัง ไม่ใช่คำพูดในเชิงเหน็บ
แนม ต่อว่า ตำหนิ เสียดสีผู้ฟัง แม้โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น การพูดถึง
คนศรี ษะล้านทีอ่ ยใู่ นท่ปี ระชุมในเชิงขบขนั หรือบูลลร่ี ปู ร่างหนา้ ตา ใหเ้ กดิ เป็นท่ี
สนใจและขบขัน อาจจะทำให้เจ้าตัวไม่พอใจ ซึ่งการกระทำนี้อาจจะทำให้ผู้อ่ืน
เกิดความบันเทิงใจ แต่คนที่เป็นเจ้าของเรื่องย่อมรู้สึกโกรธและอับอายจากการ
ถูกต่อว่าหรือลอ้ เลยี น เปน็ ตน้
การเข้าใจธรรมชาติพื้นฐาน ความชอบ / ไมช่ อบ ของคนโดยทั่วไปเช่นนี้ ย่อม
เป็นประโยชน์ในการเตรียมตัวก่อนลงสนามจะช่วยให้เกิดความประทับใจ และ
ทำให้ผฟู้ งั เกิดความร้สู กึ ทดี่ ใี หแ้ กผ่ ูพ้ ดู ซึ่งจะส่งเสริมให้การพดู ในคร้งั ตอ่ ๆ ไปของ
เราได้รบั การยอมรับอยา่ งง่ายดาย
33
ทางลดั ในการพฒั นาจนเอง วธิ หี น่งึ คอื การหาตน้ แบบ (model) จากผทู้ ป่ี ระสบ
ความสำเร็จในวิชาชีพมีชื่อเสยี งหรือได้รับการยอมรบั แต่หากเราประทับใจมาก
ต้องระวังว่าโอกาสที่เราจะลอกเลียนแบบวิธีการ ท่าทาง หรือแม้กระทัง่ นำ้ เสียง
ย่อมเปน็ ไปได้มาก โดยไม่ได้ตระหนกั ว่า เราแต่ละคนก็ต่างมเี อกลกั ษณ์เป็นของ
ตนเอง และเอกลักษณ์ของเรานั่นเองที่เป็นสิ่งทำให้ผู้อื่นยอมรับ มิใช่เกิดจาก
การลอกเลียนแบบ
จำไว้ว่า .... เมื่อคนฟังเราพูด ต้องทำให้เค้านึกถึงเรา มิใช่ไปคิดถึงคนนั้น....ท่ี
เราเลยี นแบบ เพราะหากเราทำเช่นนั้น เท่ากับว่าเรากำลังลดคุณค่าของตนเอง
การเลียนแบบคนดัง ทำให้สูญเสียการสร้าง “การจดจำ” ตัวตนของเรา ใน
ความรู้สึกของผู้ฟัง เราควรเรียนรู้ที่จะไม่เลียนแบบ แต่พยายามแสดงออกถึง
ความเป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด แต่ต้องพยายามไม่เอาลักษณะท่าทาง
บางอย่างที่ไม่เหมาะสมมาสร้างเป็นเอกลักษณ์ของเรา เช่น การเสยผมเวลาพูด
การชีน้ ิ้วมาที่ผูฟ้ ัง การกระแอมในลำคอ ออกเสียงจิ๊จ๊ะ ติดเอ่อ-อ่อ-อือ-อืม-อ่า-
นะนัน่ เอง ชอบลงทา้ ยด้วยนะครบั /นะคะ หากพดู คำพดู เหลา่ นี้บ่อยเกินไป หรือ
พูดอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีความหมาย จะทำให้ผู้ฟังเกิดการรำคาญได้ แต่บุคลิก
หรือท่าทางที่ดี ลักษณะบางอย่างที่เพื่อนๆรู้ว่า “นี่แหละคือเรา” แม้ดูแปลกไป
บ้าง แต่นี่คือเอกลักษณ์ของเรา ซึ่งหากเรานำมาใช้อย่างเหมาะสมและเป็น
ธรรมชาติ เราย่อมสร้างความจดจำให้กับผู้ฟังได้ “ความแตกต่างสร้างเราไปสู่
ความสำเรจ็ ได”้ เชน่ เดยี วกับทเี่ ราจำพิธีกร นักพดู นักจัดรายการ แตล่ ะคนลว้ นมี
เอกลักษณ์บางอย่างที่ทำให้เราจดจำได้ กล่าวคือ หากต้องการก้าวสู่เส้นทางนี้
อย่างประสบความสำเร็จ ไดร้ บั การยอมรบั และทุกคนจดจำ “ตวั เรา” ได้ เราตอ้ ง
ตระหนักว่าจะต้องไมเ่ ลียนแบบ
34
พดู ได้
“ พูดดี ”
35
เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อการพูด สิ่งหนึ่งที่เราควรรู้ล่วงหน้า
เพื่อเตรียมรับมืออย่างเหมาะสม นั่นคือ รายละเอียดเกี่ยวกับ
สภาพแวดลอ้ มที่เราจะตอ้ งไปพดู นั้นเป็นอย่างไร ?
เพราะถึงแม้เราจะเตรียมเนื้อหามาดี ฝึกซ้อมมาจนชำนาญและมั่นใจ
มันจะไม่เกิดประโยชน์เลยหากสิ่งที่เตรียมมาไม่ตรงกับความต้องการ
ของผูฟ้ งั หรอื เสยี งไมโครโฟนเบาเกนิ ไป เพราะพื้นท่ีเป็นพื้นที่เปิดโล่ง
และมีเสียงดังอื่นๆมารบกวน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นสาเหตุให้ผู้ฟัง
เกิดความเบื่อหน่ายแม้เน้ือหาจะน่าสนใจก็ตาม หรือช่วงเวลาที่เราพูด
นัน้ หากเป็นชว่ งบา่ ย ผู้เข้ารว่ มโครงการเพิ่งรับประทานอาหารมา จึง
เกิดอาการหนังท้องตึง หนังตาหย่อน ถ้าเราไม่ตระหนักถึงเรื่องน้ี
เสียงของเราอาจจะกลายเป็นเพลงกล่อมให้หลับสบายในตอนบ่ายก็
เป็นได้ และนอกจากเรื่องที่ได้ยกมานี้ ยังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอีก
36
มากมาย ถ้าหากเรามองข้ามไปรับรองเลยว่าจุดประสงค์ที่เรามาพูด
นนั้ ลม้ เหลวอยา่ งแนน่ อน
ฉะนั้น การรู้บริบทแวดล้อมที่เกี่ยวข้องก่อนพูด จึงเป็นอีกเรื่องที่เรา
จำเปน็ ต้องใหค้ วามสำคญั ตอ้ งรลู้ ่วงหน้าวา่ จะพดู ให้ใครฟัง พูดท่ีไหน
สถานที่ / ห้องประชุมท่ใี ชน้ ั้นเป็นอยา่ งไร
ห้องที่พูด .
หากเป็นห้องที่มีขนาดเล็ก มีคนฟังจำนวนไม่มาก เราอาจจะประเมิน
ว่าจะไม่ใช้ไมโครโฟน แต่เลือกพูดในลักษณะเป็นกันเอง มากกว่าพูด
แบบเปน็ ทางการ จะทำให้เปา้ หมายการพดู ประสบผลสำเรจ็ มากกว่า
ไมโครโฟนที่ใช้ .
หากเราได้พูดในที่ประชุมใหญ่ มีผู้ฟังเป็นจำนวนมาก มีลักษณะเป็น
ทางการ สิ่งที่เราควรเตรียมพร้อม ได้แก่ ไมโครโฟน หากเราเลือกได้
ควรเลือกไมโครโฟนที่เราถนัดที่สุด อาทิ ไมโครโฟนที่ตั้งบนโต๊ะที่เรา
นั่งพูด อาจจะทำให้เราไม่ต้องถือ สะดวกในการเปิดโน้ต แต่เราไม่
สามารถเดินไปเดินมาได้ หรือเราอาจจะเลอื กใช้เป็นไมค์ลอย ซึ่งทำให้
เราสามารถเดินไปเดนิ มาได้ แต่มีข้อจำกัดคอื เราต้องถือไมค์ตลอดเวลา
ไมส่ ะดวกในการเปิดสคริปต์ หรือหากสถานทน่ี ั้นมีเพยี งไมคส์ ายให้เรา
37
เราจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังการเดินอีกด้วย เพราะอาจจะสะดุดสาย
ไมค์ก็เป็นได้
ถ้าหากเลือกได้เราควรใช้ไมโครโฟนขนาดเล็กที่หนีบไว้กับเสื้อ ซึ่งจะ
ชว่ ยใหเ้ ราเคลื่อนไหวอย่างอิสระ
แท่นสำหรับพดู .
หากเราต้องพูดโดยมีเอกสาร เราควรขอให้เขาจัดเตรียมแท่นสำหรับ
การยืนพูด เพราะจะอำนวยความสะดวกให้เราทั้งเรื่องที่วางเอกสาร
และทีพ่ กั มือระหวา่ งการพดู ทีเ่ ราไดใ้ ช้มอื เปน็ สอื่ ประกอบการสือ่ สาร
เราจำเป็นต้องเลือก/หาวิธีการพูดในรูปแบบที่ทำให้เราสบายที่สุด มิ
เชน่ น้นั จะทำให้เราประหม่าได้
ดังนั้นการรู้ล่วงหน้าจะช่วยให้เราเตรยี มความพร้อมได้วา่ สถานที่นั้น
เป็นอย่างไร เราต้องการอะไรบ้างที่เหมาะสม จึงจะช่วยให้เรามั่นใจ
มากข้ึนเมื่อถึงเวลาท่ตี อ้ งพูด
38
อาการที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า ความกลัวเวที หรือ ความรู้สึกกลัว ตกใจ ประหม่า
เมื่อต้องขึ้นเวที หรืออยู่ต่อหน้าฝูงชนครั้งแรก เป็นความกลัวที่เกิดขึ้นอย่าง
กระทนั หัน เพราะเกิดความรสู้ ึกราวกับว่า ตนเองนนั้ กำลงั ตกอยูใ่ นสถานการณ์
คับขันหวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดข้ึนต่อจากนี้ ในการที่เราจะแสดงออกต่อ
หนา้ ผอู้ ่นื เมือ่ ต้องยนื อยคู่ นเดยี ว ท่ามกลางสายตาหลายสบิ คู่ หลายรอ้ ยคู่ ท่ีจอ้ ง
มองมาทางเราคนเดยี ว
ความคิดที่ทำให้เราเกิดความกลัว ก็คือ ความกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี ความกดดนั
ที่มาพร้อมกับความคาดหวังของผู้ฟัง กลัวว่าตนเองจะถูกหัวเราะเยาะหรือ
วิพากษว์ จิ ารณ์ เมื่อทำไดไ้ มด่ พี อ ไมน่ ่าประทบั ใจ หรืออาจจะเกิดความรู้สึกนกึ
คิดไปเองว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกดิ ขึน้ เช่นพูดไม่ได้ เดินสะดุด คิดคำพูดไมอ่ อก คนดูไม่
ตอบสนองเรา จึงมีอาการที่ตามมา เช่น มือสั่น หัวใจเต้รเรว็ กว่าปกติ เหงื่อออก
หรือหนาวผิดปกติ วิธีแก้ไขเบื้องต้น ทำได้ง่ายๆก็คือ หลับตา หายใจเข้า ลึกๆ
หายใจออก ช้าๆ ทำอยา่ งตอ่ เน่ืองสกั 10 คร้งั จะชว่ ยลดอาการเหลา่ นน้ั ให้คลาย
ลง
โดยความวิตกต่างๆท่ีกลา่ วไปข้างต้นจะทวีมากยิ่งขึ้นสำหรบั คนที่ต้องพูดต่อหน้า
ผอู้ ืน่ เปน็ ครั้งแรก หรือเผชิญหนา้ กับสถานการณ์น้ันเป็นครง้ั แรก
39
ยิ่งเราถูกความกลัวนี้ครอบงำจนทำให้การสื่อสารของเราเกิดความล้มเหลว คน
ฟังไม่ประทับใจ ย่อมจะยิ่งตอกย้ำให้เราปฏิเสธ ไม่ต้องการสื่อสารต่อหน้าผู้อ่ืน
อีกต่อไป และนี่คืออุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางให้เราไม่สามารถก้าวสู่บทบาทผู้นำ
ในอนาคตของการทำงาน
ตอ้ งรู้ว่า ผู้นำกับการพูดต่อหนา้ ผูอ้ ืน่ นัน้ เปน็ เร่ืองทตี่ อ้ งดำเนินควบคู่กนั ไปอย่าง
หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น หากเราต้องการพัฒนาภาวะผู้นำจำเป็นต้องก้าวข้าม
อปุ สรรค “ความกลัว” ในช่วงเริม่ ตน้ นดี้ ้วยความเขา้ ใจ
• ความกลวั จะเปน็ ศนู ย์ หากเราพรอ้ มเตม็ รอ้ ย เพ่มิ ความมน่ั ใจโดยการ
บอกกบั ตัวเองวา่ สิ่งท่ีเราจะพูดในขณะนั้น มีเพียงเราเท่าน้ันที่รู้เรื่อง
ดที สี่ ดุ และทุกคนตอ้ งการจะฟงั จากเรา ดงั นนั้ การเตรยี มความพรอ้ ม
จึงสำคัญมาก เพราะแม้คนที่เชี่ยวชาฯ เคยชินกับการพูดต่อหน้า
สาธารณะชน หากไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า อาจทำได้ไม่ดี ไม่น่า
ประทับใจเทา่ ท่คี วรก็ได้
• ความกลวั จะอยู่เพยี งไม่นาน ความรู้สึกนี้จะค่อยๆจางลงไปเมือ่ ต้อง
สื่อสารต่อหน้าฝูงชนบ่อยครั้งขึ้น จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทุกคน
สามารถเรยี นรู้ที่จะพูดได้อย่างน่าประทับใจ และพูดได้อย่างสมบูรณ์
แบบมากขน้ึ เรอื่ ย ๆ เพราะมันเป็นทักษะหนง่ึ ทีเ่ ราสามารถพัฒนาให้
ดขี น้ึ ได้
ดังนั้น เราไม่ต้องกังวลกบั ความรูส้ ึกนี้ แต่ให้คิดว่า ความรูส้ กึ วิตกกังวลทีเ่ กิดข้ึน
นน้ั เช่นเดยี วกบั ความกลวั ของทหารทกี่ ำลังจะออกรบ ทำใหเ้ ขาตอ้ งเตรยี มพรอ้ ม
เป็นอยา่ งดี
เฉกเช่นเดียวกัน หากเราเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี เราย่อมผ่านสมรภูมิรบที่
เรยี กวา่ การสือ่ สารต่อหน้าผอู้ ืน่ อย่างมชี ัยชนะแนน่ อน
40
ถ้าต้องการใหค้ นประทับใจเราตงั้ แต่แรกพบ เราตอ้ ง “ดูด”ี ก่อน “พดู ดี”
การแต่งกายที่เหมาะสมเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความประทับใจคร้ัง
แรก และส่งเสรมิ คงามสำเร็จในการพูดของเรา นอกเหนอื จากองคป์ ระกอบอื่นๆ
การแต่งกายท่เี หมาะสมสามารถสรา้ งความน่าเชอื่ ถือได้ การยอมรบั ในตัวเรา ไม่
เพยี งเทา่ นี้ ยงั สามารถเพมิ่ ความมนั่ ใจใหก้ ับตนเอง ซ่งึ จะส่งเสรมิ ใหเ้ ราเกดิ ความ
กลา้ ในการสื่อสารไดอ้ ย่างเป็นธรรมชาติ
• รู้เอาใจเขา มาใส่ใจเรา โดยพิจารณาว่า งานนั้นความหวังให้
ผู้เข้าร่วมงานแต่งชุดแบบใด ถ้างานเน้นความสุภาพ เป็นสากล เรา
ควรเลือกใส่ชุดท่เี ปน็ ทางการ อาจจะใสส่ ทู หรือใสช่ ุดท่ีสุภาพเรียบร้อย
หรือหากงานนั้นต้องการอนุรักษ์วัฒนธรรม เราอาจจะใส่ชุดประจำ
ท้องถิ่นนั้นๆ หากเราไม่ได้สอบถามหรือศึกษางานมาก่อนว่าควร
แตง่ ตวั อย่างไร แลว้ เราใสช่ ดุ ไปผิดกาลเทศะ อาจจะได้รับสายตาตำหนิ
กลับมา และปิดก้ันจากการรับฟังในเนื้อหาที่เราต้องหารที่จะสื่อสาร
เพราะรูส้ กึ วา่ เราไม่ให้เกียรติตอ่ งานหรือผู้ฟัง
• สะอาดเรยี บรอ้ ย
• สบายตา สบายใจ เราสามารถเลือกเครือ่ งแตง่ กายท่ที ้งั เอาใจเจา้ ภาพ
และเกิดความสบายในการสวมใส่ของเราด้วยจะดีที่สุด เช่น สีเสื้อผ้า
เครื่องประดับ ควรเป็นสีที่เราชอบและคนรอบข้างมองเห็นแล้วเกิด
41
ความรสู้ ึกสบายตา ไมส่ ร้างมลพษิ ทางสายตา ส่วนเนื้อผา้ ควรเลือกที่
เราใสแ่ ล้วสบาย เหมาะสมกับสภาพภูมอิ ากาศ จะช่วยให้เราไม่อึดอดั
เรื่องสำคัญที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้อีกประการหนึ่ง คือ บุคลิกภาพที่เหมาะสม
เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องฝึกฝนไปพร้อมๆกับการฝึกฝนในเรื่องของเนื้อหา
อัลเบิร์ต เมราเบียน นักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้วัดระดับความสำคัญของ คำพดู
นำ้ เสยี ง และอากัปกิรยิ า โดยสรปุ ว่า
“ ภาษาไม่ค่อยสำคัญนัก สร้างผลกระทบได้น้อยกว่า 10% เมื่อเทียบ
กับน้ำเสยี งซ่ึงสร้างผลกระทบได้เกอื บ 40% และอากัปกริ ิยาหรอื ภาษา
กาย สร้างผลกระทบในการสือ่ สารไดก้ ว่า 50% ”
เราจำเป็นจะต้องตระหนักในองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของผู้ฟัง 3
เรื่องด้วยกัน อันได้แก่ คำพูด น้ำเสียง และภาพที่เห็น ซึ่งเมื่อเรียงลำดับตาม
ความสำคัญที่สุด นั่นคือ ภาพที่เห็นหรืออากัปกิริยาของผู้พูดที่ปรากฏต่อผู้ฟัง
จำไว้วา่ สิง่ ทีค่ นมองเห็น คอื สง่ิ ท่คี นจดจำงา่ ยกวา่ ดังนนั้ การส่ือสารตอ่ หน้า
ผู้อื่นสิ่งทค่ี วรเรยี นรู้ ไดแ้ ก่
• การสบตาผฟู้ งั ควรกวาดสายตามองผู้ฟังไปทัว่ ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง แต่
ต้องไม่กวาดสายตาเหมือนพัดลมที่ส่ายไปส่ายมา หรือโฟกัสสายตา
แบบไรจ้ ดุ โฟกัส ซึง่ จะทำให้เราตาลอย ๆ ตอ้ งจำไว้ว่า ตอ้ งระวงั ทจ่ี ะไม่
จ้องคนใดคนหน่ึงนานเกินไป เพราะจะทำใหเ้ ขารสู้ ึกอึดอัดได้
• การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า รอยยิ้มของเราช่วยให้เกิด
ความร้สู กึ เป็นกนั เอง ผอ่ นคลาย ผู้ฟังจะเกิดความรู้สกึ สบายๆ จะช่วย
เพิ่มประสิทธิภาพในการรับรู้ของสิ่งท่ีเราพูด เราต้องตระหนักว่าสี
หน้า ท่าทาง อารมณ์ของผู้พูดนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการ
42
กำหนดบรรยากาศของที่ประชุม ในขณะพูดควรแสดงสีหน้าให้
สอดคล้องกับเรื่องทีพ่ ูด ย่อช่วยดึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฟังให้คลอ้ ย
ตามเราจนจบได้
• การแสดงท่าทาง การแสดงท่าทาง การประสานสายตา และการ
แสดงออกทางสีหน้า ทำงานสอดประสานกันจะช่วยเพิ่มพลังให้กับ
ถอ้ ยคำท่เี ราส่ือสารได้อย่างน่าอศั จรรย์ใจ ในการพูด เราไม่ควรยนื นง่ิ
อยู่เฉย ๆ แต่ควรทำมือ หือทำท่าทางประกอบบ้างอย่างเหมาะสม
และไมม่ ากเกนิ ไป ย่อมจะชว่ ยเพิม่ การจงู งใจในการรบั รู้ของผู้ฟัง ต้อง
แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกันนี้ ควรฝึกการใช้ท่าทางให้
คล่องแคล่ว เพ่อื เพม่ิ ความมั่นใจไม่กระดากอาย
บางเรื่องแม้ดูเหมือนเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจมองข้ามไป ทว่า ล้วนแต่ช่วยหนุน
เสริมให้ผู้พูด ไดร้ บั ความสนใจและไดร้ บั ความนา่ เชอื่ ถอื ทัง้ ส้ิน
43
ความใกล้ชิดผู้ฟังจะช่วยลดช่องว่าง และสร้างความรู้สึกเป็นกันเองระหว่างผู้พูด
กบั ผู้ฟัง ซงึ่ จะชว่ ยใหผ้ ูฟ้ งั เปดิ รบั สงิ่ ทีเ่ ราพูดไดง้ า่ ยข้ึน โดยเราสามารถสร้างความ
ใกลช้ ดิ ได้หลายวธิ ี อาทเิ ช่น
• ทักทายผู้ฟังก่อนพูด ใช้โอกาสก่อนเริ่มการบรรยายใช้ทักทายผู้ฟัง
พูดคุย ถามไถ่เท่าที่เวลาจะอำนวย ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยสร้าง
ความคุ้นเคย ความรู้สึกเปน็ กันเอง ความใกล้ชิดระหว่างผู้พูดกับผ้ฟู ัง
ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่ือสารได้อย่างดีเยี่ยม และ
นอกจากนย้ี ังชว่ ยใหเ้ กดิ ความมน่ั ใจในการพูดเพราะเสมือนการคยุ กับ
เพอ่ื นใหม่ฟงั ไมใ่ ช่คนทไ่ี ม่รูจ้ กั กนั เลยฟัง
• กระชบั พื้นท.ี่ ..ลดระยะห่าง ระหว่างผพู้ ดู แลพะผู้ฟงั ถา้ เราพดู โดยไม่มี
บทพูด ให้เราเลือกท่ีจะไม่ใช้แท่นพดู เพราะการมีแท่นพดู นั้นเหมอื นมี
กำแพงกน้ั ทำใหร้ ู้สกึ ห่างไกล แตค่ วรเลือกที่จะใช้ไมคล์ อย ทำให้เราสา
มารุเดินไปมาขณะพูดได้ แต่หากเราพูดโดยมีบทพูด แนะนำว่าควร
ยืนอยบู่ นแท่นพดู จะถนัดและเหมาะสมกวา่ แต่เมื่อถึงช่วงถาม - ตอบ
44
เราอาจจะเดินออกมาจากแท่นพูด เข้ามาใกล้ๆผู้ฟังเพื่อตอบคำถาม
ตา่ ง ๆ อนั จะชว่ ยสร้างความใกลช้ ดิ ระหว่างกันได้มากข้ึน
• ใช้ภาษาเดียวกับผู้ฟัง เราควรพูดให้ “ฟังง่าย” โดยจำไว้ว่า พูดเพื่อให้
คนฟัง “เข้าใจ” ไม่ใช่ให้คนฟัง “ภูมิใจ” ในความเป็นผู้ทรงภูมิความรู้
ของเรา
• การให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม หากต้องการสร้างบรรยากาศเป็นกันเอง
ในขณะพดู เราอาจใช้วธิ ีการให้ผู้ฟังมสี ว่ นรว่ ม เช่น การตั้งคำถามทำ
นอกว่าเห็นด้วยในสิ่งที่เราพูด เพื่อให้ผู้ฟังที่เห็นด้วยยกมือขึ้น หรือ
ระหว่างการพูดอาจมีการแสดงตัวอย่างประกอบ วิธีการเหล่านี้หาก
เลอื กใช้อย่างเหมาะสมจะชว่ ยทำให้บรรยากาศการพดู เต็มไปด้วยความ
กนั เองและสนกุ สนาน
• ระวังคำพูดที่ผลักคนฟังให้ห่าง มีบางคำพูดที่เราต้องระวัง เพราะเม่ือ
พูดออกไป อาจจะทำให้ผู้ฟังร้สู กึ หา่ ง และปดิ ใจที่จะฟงั ได้ เช่น
พวกคณุ ... เมอื่ เราเรยี กคนฟงั ว่า “พวกคุณ” เมื่อไร น่นั กห็ มายถึงเรา
กำลงั ผลักคนฟงั ให้ห่าง เพราะเขาจะรูส้ ึกว่าเรากับเขา ถกู แบง่ แยกเป็น
คนละพวกกัน
พูดไปคุณคงไมร่ ู้... การใช้คำพูดแบบนี้ เรากำลังจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกวา่
เขากำลงั ถูดดถู ูกดหู มิน่ ได้
คำพูดขา้ งต้นหากไม่ระมัดระวัง แม้เราจะกระชับความใกล้ชิด แต่หลดุ
ปากพูดออกไป สิ่งท่ีทำมาก็ล้มเหลว และผลักให้เรากับผู้ฟังห่างกัน
กว่าเดมิ
45
กล่าวกันว่า การสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจผู้ฟังนั้น มักจะประสบความสำเร็จ เม่ือ
คนฟงั เรมิ่ ต้นด้วยการหวั เราะ
การพูดตลกเป็นสิ่งที่มีค่าในการดึงดูดใจผู้ฟัง นักพูดที่เริ่มต้นด้วยเสียงหัวเราะ
ยอ่ มช่วยเพมิ่ ความปรารถนาในตัวผู้ฟงั ยิ่งหากคำพูดขิงเขาแทรกไปด้วยเรื่องเล่า
ถ้อยคำที่สนุกสนาน หักมุมเรื่องราวที่คนคิดไม่ถึง ยิ่งส่งเสริมให้ผู้ฟังมีอารมณ์
สนกุ สนาน ง่ายต่อการคลอ้ ยตาม และยนิ ดฟี งั สิง่ ทพ่ี ดู จนจบ
โดยธรรมชาตแิ ล้ว ผทู้ ่ีจะพูดเร่ืองตลกขบขันนให้ประสบความสำเรจ็ มกั เป็นคนท่ี
มีอารมณข์ ัน ชอบพูดตลกเป็นนสิ ยั อย่แู ลว้
นักพูดบางคนอาจจะมความสามารถเฉพาะตัว การหยิบสถานการณ์ปัจจุบัน
ถ่ายทอดออกมาเพ่ือเรียกเสยี งหวั เราะได้ เรียกว่า “มุกฉับพลนั ” เรื่องแบบนี้ต้อง
อาศยั ไหวพรบิ และสตปิ ัญญาในการคดิ อย่างรวดเร็ว หรือดัดแปลงจากคลังเร่ือง
ขบขนั มาประยกุ ต์ มาปรับใชเ้ รียกเสยี งหัวเราะไดท้ ันใด
เราะจะพดู อยา่ งไรใหค้ นฟงั ขำ...หวั เราะ และรสู้ กึ ดกี บั สงิ่ ทเี่ ราพดู ?
คำแนะนำท่สี ามารถลองไปฝกึ ดู ได้แก่
46