The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่-3-การแต่งกายละครรำ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ศิลปะ วัฒนธรรม, 2021-01-04 20:59:08

บทที่-3-การแต่งกายละครรำ

บทที่-3-การแต่งกายละครรำ

บทท่ี 3

เคร่อื งแต่งกายละครรา

บทนี้เป็นการรวบรวมองค์ความรู้เรื่องการแต่งกายของละครรา เพ่ือสร้างความเข้าใจท่ีลึกซ้ึง
ของวิวัฒนาการ พัฒนาการของเคร่ืองแต่งกายละครราตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จากน้ันให้รายละเอียด
ขององค์ประกอบท่ีต้องรู้จักสาหรับเป็นฐานความรู้ก่อนจะมีการปฏิบัติการแต่งกายละครราได้ ชี้
ประเด็นลักษณะการแต่งกายละครราแบบกรมศิลปากร การแต่งกายโขนพระราชทานหรือโขนของ
มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ การฝึกแต่งกายละครราแบบพระ นาง การแต่งกายละครพันทาง การแก้ไข
การแตง่ กายละครไทย และการเก็บรกั ษาเครอ่ื งแต่งกาย ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี

ประวัตเิ คร่ืองแตง่ กายละครราในประเทศไทย

ประวัติเคร่ืองแต่งกายละครราในประเทศไทย ชวลิต สุนทรานนท์และคณะ, (2547 : 20-32).
เรียบเรียงพัฒนาการของการแสดงศิลปะละครราของไทยตั้งแต่ สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัย
รัตนโกสนิ ทร์ ดงั น้ี

1. เคร่ืองแตง่ กายละครราสมัยอยุธยา(พ.ศ.1983-2310)
เคร่ืองแต่งกายละครราสมัยอยุธยายุคเร่ิมต้นไม่มีการยืนยันว่ามีการแต่งกายลักษณะใด

เพียงการกล่าวอ้างว่ามีพิธกี รรมของราชสานักปรากฏเป็นกฎมณเฑียรบาลสมยั สมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี
1 (อู่ทอง)บันทึกเม่ือ พ.ศ.2901 กล่าวถึงมหรสพหลายชนิดในพิธีสมโภชต่าง ๆ อาทิ พระราชพิธี
สมโภชช้างสาคัญ พระราชพิธีสนานใหญ่ พิธีอาสยุร พิธีจองเปรียง พระราชพิธีเผด็จศก ในกฎ
มณเฑียรบาลกล่าวถึงพระราชพิธีอินทราภิเษกชักนาคดึกดาบรรพ์ มีการกล่าวถึงผู้แสดงแต่งเป็นอสูร
100 คน แต่งเป็นเทวดา 100 คน แต่งเป็นวานร 100 คน มีผู้แสดงแต่งตัวเอกคือ พาลี สุครีพ และ
มหาชมพู นอกจากน้ันยังมีผู้ร่วมพิธีเป็นขุนนางอีกมากมาย จากหลักฐานท่ีกล่าวอ้างนี้ผู้เรียบเรียงมี
ความคดิ เห็นวา่ หากกล่าวอา้ งไดว้ ่า มีการแต่งเปน็ อสรู (น่าจะเปน็ ตัวละครฝ่ายยักษ์) เทวดา (น่าจะเป็น
ตัวละครฝ่ายมนุษย์ เทพ เทวา) และวานร (น่าจะเป็นตัวละครฝ่ายลิง) ท้ังหมดที่กล่าวเป็นตัวละคร
หลัก ๆ ในการแสดงโขนเรื่องรามเกยี รติ์ การจะนาเสนอให้เห็นว่าตัวละครใดเป็นยักษ์ ตัวละครใดเป็น
เทวดา ตัวละครใดเป็นลิง น่าจะมสี ัญลักษณบ์ ่งบอกชาติพนั ธข์ุ องตัวละครอย่างเด่นชัด พรอ้ มกันน้ียังมี
การกล่าวอ้างว่า แต่งเป็นตัวเอก พาลี สุครีพ และมหาชมพู ยิ่งน่าจะยืนยันได้มากไปกว่าเดิมว่าคงมี
เครอ่ื งแตง่ กายเกิดข้นึ แล้วในยคุ นน้ั

นอกจากน้ียังอ้างถึงนักวิชาการชี้แจงเรื่องเครื่องแต่งตัวของนายโรงของการเล่นละครนอก
แบบโนห์ราชาตรีว่า นุ่งสนับเพลาเชิงกรอมถึงข้อเท้า นุ่งผ้าหยักรั้ง จีบโจงไว้หางหงส์ สวมเคร่ือง

67

อาภรณ์กับตัวเปล่า ไม่ใส่เส้ือ และศีรษะสวมเทริดเป็นแบบเครื่องต้นท้าวพระยาแต่ดึกดาบรรพ์
เหมือนรูปภาพครั้งกรุงเก่า มีรูปเทวดาท่ีจาหลักบานซุ้มประตูพระเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชรญ์ ใน
อยธุ ยาพิพธิ ภณั ฑสถาน และรูปเทวดาท่ีเขียนไวห้ ลงั บานประตูพระอุโบสถวัดใหญเ่ มืองเพชรบุรี

ภาพท่ี 49 รปู เทวดาทีจ่ าหลกั บานซุ้มประตูพระเจดยี ว์ ดั พระศรีสรรเพชรญ์
ท่มี า : ชวลติ สุนทรานนทแ์ ละคณะ, (2547 : 19).

พร้อมชี้แจงว่าเคร่ืองแต่งกายแบบนี้เกิดขึ้นในราชธานีกรุงศรีอยุธยาแล้วจึงแพร่หลายลงไป
และยืนยันว่าการแต่งกายของตัวละครโดยเฉพาะโนห์ราชาตรีคงมีการแต่งกายเพียงตัวเดียวในหน่ึง
คณะคือตัวนายโรง มีการยืนยันว่าต่อมาเมื่อมีคนดูมากข้ึนเส้นทางของการหาเล้ียงชีพทางการแสดง
สะดวกขึ้น จึงเกดิ การแกไ้ ขกระบวนเล่นละครแข่งขันกันมากข้ึน จึงคิดเพิ่มตวั ละครให้มากข้ึน และคิด
เคร่ืองแต่งกายตัวละครข้ึนตามลาดับ และเพิ่มเติมว่าละครนอกท่ีเล่นช้ันแรกเห็นจะแต่งตัวแบบคน
สามัญ แต่งให้รดั กุมทาบทบาทได้ ถ้าหากจะเล่นเป็นตวั ต่างเพศก็เอาเคร่อื งประดบั ประกอบเขา้ พอให้รู้
ว่าทาบทเป็นตัวใด เช่น เอาผ้าขาวม้าห่มสไบเฉียงให้รู้ว่าทาบทเป็นหญิง ส่วนเครื่องแต่งตัวละคร
ลักษณะแบบยืนเคร่ืองพระ เคร่ืองนางเข้าใจว่าเป็นชุดที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในชั้นหลัง พร้อมกันน้ีได้ชี้
แสดงว่าในละครโรงหนึ่งเห็นจะแต่งยืนเคร่ืองเพียงตัวเดียว จึงเรียกว่าตัวยืนเครื่อง ต่อมาจึงคิด

68

ประดิษฐ์เคร่ืองแต่งตัวละครข้ึนใหม่อีก 2 อย่าง เป็นตัวยืนเครื่องพระอย่างหนึ่ง เป็นเคร่ืองนางอย่าง
หนงึ่

สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.2275-2301) มีละครผู้หญิงเกิดขึ้นในราชสานักท่ี
เรียกวา่ “ละครใน” ท่ีปรากฏในปุณโณวาทคาฉันท์ของพระมหานาค วัดทา่ ทราย กล่าวถึงงานสมโภช
พระพุทธบาทการเกิดละครใน ตรงกับท่ีสมเด็จฯกรมพระยาดารงราชานุภาพอธิบายว่ามีแบบเคร่ือง
ละครท่ีคิดขึ้นใหม่แก้ไขให้ผิดกับแบบเก่า เป็นต้นว่าตัวยืนเคร่ืองให้นุ่งสนับเพลาชักเชิงขึ้นไปถึงเหนือ
นอ่ ง นุ่งผ้ากล็ ดเชิงลงมาถึงเขา่ ไมห่ ยักร้ังอย่างแตก่ อ่ น และให้ใส่เส้ือตลอดจนปลายแขนไม่แต่งตวั เปล่า
เหมือนละครโนห์ราชาตรี ส่วนเคร่ืองแต่งตัวนางนั้นนุ่งผ้าจีบกรอมถึงท้องน่องและห่มผ้าแถบ สะพัก
สองบ่าพาดชายไปดา้ นหลัง ไว้ชายเสมอน่อง

ชวลิต สุนทรานนท์ และคณะ, (2547 : 30). อ้างว่ามีภาพตัวนางท่ีมีเคร่ืองแต่งตัวท่อนบน
ดว้ ย คือภาพนางราในระบาหนา้ ชา้ งจากเรื่องรามเกียรต์ิ ตอนศึกพรหมมาสตร์ เป็นภาพเขียนประเภท
ลายรดน้าบนฉากก้ันหอ้ ง ศิลปะสมยั อยธุ ยาตอนปลาย(พ.ศ.2246-2310) ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ด้านหลัง
แท่นบุษบกท่ีประดิษฐานพระพทุ ธสิหงิ คใ์ นพระทีน่ ั่งพุทไธสวรรย์พิพิธภัฑสถานแหง่ ชาติพระนคร

ภาพที่ 50 ภาพนางราในระบาหน้าชา้ ง บนฉากลายรดน้า
ท่ีมา : ชวลิต สนุ ทรานนท์ และคณะ, (2547 : 25).

สไบของนางราจากภาพมีลักษณะเหมือนผ้าคล้องไหล่บนตัวเปล่าที่เห็นได้ชัดว่าเป็นผ้าคล้อง
ไหล่ คือชายผา้ ทัง้ สองชายของนาราตัวหน่ึงความยาวไม่เทา่ กัน และสน้ั แค่สะโพก ลักษณะการห่มกบ็ ่ง

69

ชดั ว่าคล้องไวแ้ ค่หน้าอก ผืนผ้ายังบังหน้าอกไม่มิด จากลักษณะเครื่องแต่งตัวนางราท้ังสองในฉากลาย
รดน้าน้ัน พบว่ามีการนุ่งผ้าหน้านาง มีผ้าสไบ กรองคอ และมีเครอื่ งประดับ เช่น จี้นาง สังวาล รัดต้น
แขน กาไลข้อมือ และเครื่องประดับเอว (ท่ีน่าจะเรียกว่าสะเอ้งหรือสะอ้ิง) ส่วนเครื่องประดับศีรษะมี
ทั้งแบบ“เก้ยี วยอด”ทใ่ี ช้กบั ผมปีก และ“มงกุฎกษัตริย์ทรงเทริด”

2. เคร่อื งแต่งกายละครไทยสมยั ธนบุรี (พ.ศ.2310-2325)
สมัยธนบุรีน้ันบ้านเมืองเผชิญกับปัญหาความยากจนเพราะเพ่ิงเสร็จสิ้นสงคราม และใน

ขณะน้ันยังต้องทาสงครามปราบปรามจลาจลตามหัวเมืองต่าง ๆ เป็นนิจ นาฏศิลป์ไทยเกิดความ
สูญเสียอย่างมหาศาล หลังจากท่ีไทยต้องเสียกรุงศรีอยุธยา แก่พม่าได้ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยศึก
จานวนมาก และในบรรดาเชลยศึกน้ันก็มีครูนาฏศิลป์รวมอยู่ด้วยหลายท่านจึงจาเป็นต้องใช้เวลาใน
การสรา้ งสมความเปน็ ประณีตทางการแสดงละคร

ปีพ.ศ.2312 พระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปปราบเมืองนครศรีธรรมราช ท่ีเจ้าเมืองแข็งข้อไม่
ขึ้นกับกรุงธนบุรี ผลของสงครามเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชแพ้ จึงนาตัวเจ้าพระยานคร(หนู) บุตร
บริวารและละครผูห้ ญิงขนึ้ มากรงุ ธนบุรี เจ้าพระยานครมีหม่อมชอื่ ทองเหนี่ยว มีบุตรี 3 คน คือคุณชุ่ม
คุณปราง และคุณฉิมภายหลังทั้ง 3 คนเป็นครูฝึกหัดละครผู้หญิงของหลวงในราชสานักธนบุรีอยู่นาน
ถงึ 7 ปี คุณปราง และคุณฉิม ถวายตัวเป็นบาทบรจิ ารกิ าในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อคุณฉิม
ไดเ้ ป็นพระสนมเอกมพี ระเจา้ ลูกเธอสองพระองค์ คือเจ้าทศพงษ์ ภายหลังเปน็ พระพงษน์ รินทรแ์ ละเจ้า
ทศั ภยั และตอนหลงั ไดเ้ ปน็ พระอทิ รอภัย

พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับเจ้าพระยานคร ทาให้นาฏศิลป์ไทยท่ี
เกือบจะสูญหายไปกลับได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งเพราะว่าเม่ือใดที่มีการจัดพิธีสมโภชก็จะมีละครของ
เจ้าพระยานครแสดงอยู่เป็นประจา และนอกจากน้ีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยังทรงโปรด
รวบรวมและชาระบทละครนอกที่ชารุดเสียไปเมื่อคร้ังเสียกรุงขึ้นใหม่ คือการเกษ คาวี ไชยทัต พิกุล
ทอง พิมพ์สวรรค์ พิณสุริยวงศ์ มโนห์รา โม่งป่า มณีพิชัย สังข์ทอง สังข์ศิลป์ชัย สุวรรณศิลป์
สุวรรณหงส์ โสวัต ไกรทอง ไชยเชษฐ พระรถ ศิลป์สุริยวงศ์ รวมทั้งทรงพระราชนิพนธ์บทละคร
สาหรับการแสดงละครหลวงคือ รามเกียรติ์ ตอน หนุมานเข้าห้องนางวานริน วิรุฬจาบังล้ม ท้าว
มาลวี ราชว่าความ ทศกัณฐ์ต้งั พธิ ีเผารูปเทวดา พุ่งหอกกบิลพัสต์ หนมุ านผูกผมทศกัณฐก์ ับนางมณโฑ
และปลอ่ ยมา้ อปุ การและบตุ รลพ (ชวลติ สุนทรานนท์ และคณะ. 2547 : 33-35).

สมัยธนบุรีนี้ยังไม่เห็นหลักฐานที่แน่ชัดในเรื่องเครื่องแต่งกายละคร แต่ยังมีความน่าเช่ือว่าใน
ยุคน้ีการละครต้องเฟ่ืองฟู เพราะมีการประชันขันแข่งกัน คณะละครจะต้องเตรียมตัวเตรียมความ
พร้อม ทั้งกระบวนการร่ายรา และการแต่งกาย ท่ีต้องวิจิตรตระการตา เพราะการแต่งกายได้มีการ
พัฒนามาแล้วในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงน่าจะเช่ือได้ว่าในสมัยนี้ชุดเคร่ืองแต่งกายละครก็ต้องสวยงามมี
พัฒนาการทด่ี ขี น้ึ สมบูรณ์มากขน้ึ

70

3. เครื่องแต่งกายละครไทยสมัยรัตนโกสนิ ทร์
เคร่ืองแต่งกายละครไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ชวลิต สุนทรานนท์ และคณะ, (2547 : 36-

95). สรุปลักษณะการแตง่ กายละครตามรชั กาลต่างๆ ดังนี้
3.1 สมยั รชั กาลที่ 1 (พ.ศ.2325-2352)
สมัยรัชกาลที่ 1 การละครได้รับความนิยมมากขึ้นมีการแข่งขันกันในด้านต่าง ๆ

รวมทั้งด้านเคร่ืองแต่งกายละครดว้ ย แต่ด้วยเคร่ืองแต่งกายยืนเคร่ือง และเคร่ืองแตง่ ตวั นาง มรี ูปแบบ
มาบ้างแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนสมัยธนบุรีมีการปรับปรุงในลักษณะดัดแปลงเพ่ิมเติมบางส่ิง
บางอย่างข้ึนเพ่ือใหไ้ ดร้ ูปแบบท่ีแตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะเครื่องประดับศีรษะที่มีแบบเพ่ิมขึ้นจาก
เดิมหลายแบบ ท้ังน้ีคงเป็นเพราะเพื่อให้ตัวละครได้ใช้ให้ตรงตามฐานานุศักดิ์ ของตัวละคร เช่น ตัว
พระ มีมุงกุฎ มงกุฎกาบ และชฎาเดินหน ตัวกุมาร มีเก้ียวกับปิ่นปักผม ตัวนาง มีเก้ียวกับปิ่นปักผม
กระบังหน้ากบั เก้ยี วรดั มวย มงกุฎ และศโิ รเพฐน์(เกี้ยวยอด)

เสื้อของตัวละครยืนเครื่องในสมัยรัชกาลที่1 มีการกล่าวถึงการใส่เส้ือของตัวละครในบท
ทรงเครอ่ื งเป็น3 ลกั ษณะ คือ ใส่เสื้อแขนยาวตัวเดียว ใส่เสอ้ื แขนยาวซ้อนด้วยแขนสัน้ และใสเ่ สอ้ื แขน
ส้ันตัวเดียว มีการกล่าวถึง “อินทรธนู” ด้วยเช่นกัน แต่สันนิษฐานว่าอินทรธนูน่าจะเป็นของท่ีเกิดข้ึน
ในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่1 เพราะไม่มีปรากฏอยู่ในบททรงเครื่องของรามเกยี รต์ิ บทพระราชนพิ นธ์ใน
รัชกาลท่ี1 แต่มีปรากฏอยู่ในบททรงเคร่ืองเร่ือง “อิเหนา” ซ่ึงแต่งหลังรามเกียรต์ินั่นเอง ในสมัย
รชั กาลที่1 น้นั เสื้อของตวั ละครมีทัง้ 2 แบบ คือ แบบแขนสนั้ ติดกนกปลายแขน และแบบแขนยาวติด
อนิ ทรธนู

ภาพท่ี 51 ภาพจาหลักไมป้ ดิ ทองประดับกระจก ตวั ละครพระและนาง
ท่มี า : ชวลิต สุนทรานนท์ และคณะ, (2547 : 38).

71

ภาพท่ีอ้างจะเห็นว่าตวั ละครมีการนุ่งผ้าจบี โจงไว้หางหงส์ ใส่เสื้อซ้อนกัน 2 ตัว เสื้อแขนสนั้ มี
กนกปลายแขน ปลายกรองคอเหนือหัวไหล่เชิดงอนขึ้นคล้ายอนิ ทรธนู แต่ไม่มอี นิ ทรธนู เครือ่ งประดับ
ศีรษะเป็นมงกุฎ(ทรงมงกุฎท่ีมีเก้ียว 2 ชั้น) เครื่องแต่งตัวนาง มีการห่มสไบลักษณะเดียวกันกับภาพ
“นางรา” คือผ้าคล้องไหล่ ริมผ้าด้านหน้าลาตัวสั้น และไม่ได้เก็บไว้ในขอบผ้านุ่ง เคร่ืองประดับศีรษะ
เป็น “เก้ียวยอด” นอกจากนี้ยังมีการยืนยันว่าวัสดุที่ใช้ปักเคร่ืองแต่งกายละครน้ันมีวัสดุชนิดต่าง ๆ
เช่น เลือ่ ม ตาดแลง่ ไหมสี และเครือ่ งทอง

สมัยรัชกาลท่ี 1 มีการประดิษฐ์การแต่งกายยืนเครื่อง ให้มีรูปแบบท่ีใกล้เคียงกับเคร่ืองต้นอยู่
มาก รชั กาลที1่ จึงทรงออกพระราชกาหนดไว้ในกฎหมายตราสามดวง ห้ามมใิ ห้เจ้านายและข้าราชการ
ที่รวบรวมผู้คนข้ึนฝึกหัดโขน- ละครขึ้นใหม่ ตลอดจนคณะละครทั่วไป คิดแบบอย่างสร้างเครื่อง
แต่งกายโขนละครให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับเคร่ืองต้น จากพระราชกาหนดในเร่ืองเครื่องแต่งกาย
ละคร ท่ีอ้างอาจเป็นข้อสันนิษฐานว่า เครื่องแต่งกายยืนเคร่ืองของละครรา ในสมัยอยุธยาอาจไม่ได้มี
การนุ่งผ้าแบบจีบโจงไว้หางหงส์มาก่อน แต่พอต้นกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้มีการนุ่งผ้าแบบจีบโจงไว้
หางหงส์ตามอยา่ งเครื่องต้นขึ้น

3.2 สมยั รชั กาลที่ 2 (พ.ศ.2352-2367)
สมัยรัชกาลท่ี 2 ละครต่าง ๆ ท้ังละครเจ้านายหรือละครของชาวบ้าน ลดการ

แข่งขันในด้านการสร้างเครื่องแต่งกายละคร โดยเฉพาะท่ีมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกับเคร่ืองต้น เพราะ
ประกาศห้ามว่าด้วยเครื่องแต่งกายละคร ในสมัยรัชกาลท่ี1 น้ันยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ สมัยนี้มีการ
ประดิษฐ์เครื่องประดับศีรษะขึ้นใช้แทนผ้าโพกศีรษะเรียกว่า ปันจุเหร็จ เป็นของท่ีประดิษฐ์ข้ึนแต่ง
ละครหลวงเมื่อรัชกาลที่ 2 เดิมน้ันเป็นเครื่องสาหรับแต่งปันหยีกับอุณากรรณในละครอิเหนาแทน
ผ้าคาดโพกศีรษะ ต่อมาผู้ประดิษฐ์เครื่องแต่งตัวละครอาจจะเห็นว่าการใช้ผ้าโพกศีรษะ เป็นสิ่งไม่
คงทนถาวร และไม่เหมาะสมกับชุด เคร่ืองแต่งกายยืนเคร่ือง จึงประดิษฐ์เครื่องประดับศีรษะท่ีมี
รูปแบบที่ทาเลยี นแบบผา้ โพกศรี ษะ โดยใชว้ ัสดอุ ่ืนท่ีคงทนแทน

72

ภาพที่ 52 ภาพการแตง่ กายยนื เครื่องของละครผู้หญงิ
ทม่ี า : ชวลิต สนุ ทรานนท์ และคณะ, (2547 : 47).

การใชว้ ัสดุสาหรบั ปกั เครอ่ื งละครในสมัยรัชกาลท2่ี มกี ารใชว้ ัสดเุ พิม่ ข้นึ จากในสมัยรชั กาลท่ี1
หลายชนิด คือ เล่ือม เงินดุม ปีกแมงทับ ทองแล่ง และไหมทอง ซ่ึงเป็นวัสดุที่ใช้ในการปักแบบ
“หักทองขวาง”การปักเคร่ืองละครแบบนี้มีเทคนคิ ค่อนข้างมาก ดว้ ยการใช้ไหมทองล้วน ๆ ในการปัก
วางไหมทองบนด้านหน้าของตัวลายยึดด้วยเส้นด้าย จากทางด้านหลังของผืนผ้า แล้วหักเส้นไหมทอง
ทบไปทบมาอย่างเป็นระเบียบตามแนวทแยง หรอื เกือบเป็นแนวขวางอยู่บนด้านหน้า ของตัวลายด้าน
เดยี วจึงเรยี กวา่ “หกั ทองขวาง”

3.3 สมยั รัชกาลที่ 3 (พ.ศ.2367-2394)
สมัยรัชกาลท่ี 3 เม่ือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จข้ึนครองราชย์

ทรงให้เลิกโขนและละครของหลวงทั้งหมดและไม่ให้มีการเล่นอีกตลอดรัชกาลเน่ืองด้วยทรงรังเกียจ
การเลน่ โขนและละครเป็นการส่วนพระองค์ เม่ือทรงทราบวา่ ผู้มีบรรดาศักดิท์ ่านใดหดั ละครข้ึน จงึ มไิ ด้
ทรงห้ามปราม รัชกาลน้ีมีการผ่อนผันพระราชกาหนดเครื่องแต่งกายยืนเคร่ือง เพราะเม่ือละครในวัง
งดการเล่นแต่คณะละครบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ ยังมีการเล่นกันอยู่หลายคณะ พระราชกาหนดว่าด้วย
เคร่ืองแต่งกายละครครั้งรัชกาลท่ี 1 จึงน่าจะต้องผ่อนผันลง คณะละครบรรดาศักดิ์จะต้องมีการ
แต่งกายกันอย่างงดงาม สิ่งที่เป็นข้อห้ามบางอย่างในสมัยรัชกาลท่ี1 อาจถูกนากลับมาใต้แต่งกันได้

73

เช่น การนุ่งผ้าจีบโจงไว้หางหงส์ การใช้กรรเจียกจร และดอกไม้ทัดในรัชกาลที่3 นี้ มีการดัดแปลง
เครื่องแต่งตวั ยืนเครอ่ื งของละครพันทาง

ส่วนการแต่งกายของละครนอก และละครในสมัยรัชกาลนี้ ยังยืนยันแต่งแบบยืนเคร่ือง
เหมือนกันหมดคงจะมีเรอ่ื ง ไกรทอง เท่าน้ันท่ีแต่งตัวแบบพันทาง ในรัชกาลน้คี ณะละครบรรดาศักด์ิมี
การเรยี บเรียงบทละครนอกข้ึนเล่นอีกหลายเร่ือง เช่น บทพระราชนิพนธ์ของกรมพระราชวังบวรมหา
ศักดิพลเสพ(บางตอน) ในเร่ืองกากี พระลอ ขุนช้างขุนแผน และบทละครนอกพระนิพนธ์ของกรม
หลวงภวู เนตรนรินทรฤทธ์ิในเรื่องสวุ รรณหงส์ นางแก้วหน้าม้า นางกุลา บทละครนอกที่กลา่ วนี้มีเร่ือง
สุวรรณหงส์ และนางแก้วหน้าม้า ท่ีแต่งกายแบบยืนเครื่อง แต่เร่ืองกากี พระลอ ขุนช้างขุนแผน และ
นางกลุ า คงจะมกี ารแต่งแบบพนั ทาง

ลักษณะการแต่งกายแบบพันทางท่ีกล่าวน้ีได้มีการนาเอาเคร่ืองแต่งกายยืนเครื่องมาแต่ง
ให้กับตัวเอก เช่น ตัวพระลอ ไกรทอง ขุนช้างขุนแผน ซ่ึงใส่มงกุฎครองเครื่อง ส่วนตัวเอกท่ีไม่ใช่ตัว
ละครสูงศักด์ิน้ันจะใส่ ปันจุเหร็จ เช่น ชาลวัน ไกรทอง ขุนแผน และพระไวย พร้อมกันนี้ได้มีการ
ดัดแปลงและตัดทอนเครื่องแต่งกายยืนเคร่ืองลงเป็นเคร่ืองแต่งกายของตัวรองบางตัวด้วย เช่น ตัว
พเ่ี ล้ยี งนายแก้ว นายขวัญในเรือ่ งพระลอ ซงึ่ ยังคงเห็นเค้าของเคร่ืองแตง่ กายยนื เครื่องบางชน้ิ อย่างเห็น
ได้ชัด เช่น สนบั เพลา ตัวเสอื้ แขนสน้ั (ตดั กนกปลายแขนออก ) กรองคอ และทบั ทรวง

ภาพท่ี 53 ภาพการแตง่ กายละครพนั ทาง เรอื่ งพระลอ
ท่ีมา : ชา่ งภาพดดี ี, (2560).

74

3.4 สมัยรัชกาลที่ 4 (พ.ศ.2394-2411)
สมยั รัชกาลที่ 4 ระยะต้นๆ ยังไม่มีละครหลวงเพราะถูกยกเลิกไปต้ังแต่ในสมัยรัชกาล

ท่ี3 แต่ในสมัยรัชกาลท่ี 4 น้ีมีพิธสี าคัญคราวรับชา้ งเผือก เชอื กแรก(พระวิมลรัตนกิริณี)มาสู่พระบารมี
ก็ไม่มีละครหลวงเล่นในการสมโภช ครั้นเมื่อได้ช้างเผือกเชือกที่2 (พระวิสุทธรัตนกิริณี) จึงโปรดให้
รวบรวมตัวละครมาฝึกหัดกันขึ้นใหม่ จนสามารถออกเล่นได้ทันในงานสมโภชช้างเผือกในปีขาล พ.ศ.
2397 ละครผหู้ ญงิ ของหลวงจงึ กลับมขี ้ึนใหม่ตง้ั แต่น้นั เปน็ ตน้ มา

3.5 สมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2411-2453)
สมัยรัชกาลท่ี 5 ในกลางสมัยมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ตั้งแต่ธรรมเนียมต่าง ๆ

ในวังจนถึงส่วนราชการ ตลอดจนความเป็นอยู่และวัฒนธรรมการแต่งกายของผู้คน เพราะการรับ
วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาปรับใช้ ละครหลวงในสมัยรัชกาลท่ี5 มกี ารดัดแปลงเครื่องแต่งกายยืนเครื่อง
ทใี่ ชใ้ นการแสดง “ละครใน”และ“ละครนอก” แบบเฉพาะกิจมาบ้างแลว้ หากแต่การแต่งตัวของคณะ
ละครต่าง ๆ ส่วนใหญ่ยังคงใชเ้ ครอื่ งแต่งกายยืนเครื่องแบบเดมิ อยู่ ลักษณะเคร่ืองแต่งกายยืนเคร่ืองใน
สมัยรัชกาลท่ี 5 มีการปักด้วยด้ินและเล่ือม ไม่มีการหนุนตัวลายให้นูนขึ้น ลักษณะของลวดลายเป็น
ลายค่อนข้างโปร่งประเภทลายดอกไม้ บนตัวเน้ือจะเป็นการปักดอกลายขนาดเล็กดาษไปท่ัวตัวและ
นิยมใช้ลายเดียวกัน ปักดาษไปท่ัวรัดสะเอว และตอนบนของห้อยหน้าและห้อยข้าง ส่วนเชิงผ้า
ตอนล่างของห้อยหน้าห้อยข้างของตัวพระ เชิงผ้าห่มของตัวนาง มักนิยมออกแบบลวดลายเป็นรูป
ต่าง ๆ ไม่ซ้ากัน เช่น ราหูอมจันทร์ รูปกระถางต้นไม้ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ที่เรียกว่า“ตั้งพุ่ม”สาหรับ
ลักษณะเครื่องแต่งกายนางน้ัน ผ้าห่มนางยังคงมีลักษณะกว้างใหญ่อยู่ แต่มีการปักทั่วทั้งผืนด้วยดอก
ลายขนาดเล็ก ซ่ึงมีท้ังแบบมีลายขอบริมผ้าและไม่มี ส่วนการนุ่งผ้าจีบของตัวนางจะเป็นแบบนุ่งกรอม
สูงจากข้อเทา้ เล็กนอ้ ยไมถ่ งึ คร่งึ หนา้ แขง้

75

ภาพท่ี 54 ภาพการแต่งกายยนื เครอื่ งของละครสมัคร(ละครผู้ชาย)
ทมี่ า : ชวลิต สุนทรานนท์ และคณะ, (2547).

3.6 สมัยรชั กาลที่ 6 (พ.ศ.2453-2468)
สมัยรัชกาลท่ี 6 เสด็จขึ้นครองราชย์ในระยะแรก ๆ ยังไม่มี“ละครของหลวง”

ต่อเม่ือโปรดให้โอนข้าราชการกรมโขนและพิณพาทย์มหาดเล็กในรัชกาลท่ี5 มาสังกัด“กรมมหรสพ”
ท่ีทรงตั้งข้ึนใหม่ในปีพ.ศ.2454 จึงได้มี“โขนและละครของหลวง”ต้ังแต่นั้นมา ลักษณะการแต่งกาย
ของการแสดงมีการแบ่งประเภทต่าง ๆ ได้ คือ โขนแบบด้ังเดิม ท่ีเล่นตามบทโบราณและแต่งกาย
แบบดั้งเดิม ละครราที่เล่นตามบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี6 และแต่งกายตามแบบ“พระราช
ประดิษฐ์”เช่นเร่ืองรามเกียรติ์ชุดเบิกโรงตอนต่าง ๆ เช่น พระคเณศเสียงา ฤษีเสี่ยงลูก สีดาหาย และ
เผาลงกาและละครแบบใหม่รัชกาลที่6 ทรงพระราชนิพนธ์และทรงออกแบบเคร่ืองแต่งกายข้ึนใหม่
ตามทอ้ งเร่อื ง เช่น พระร่วง ทา้ วแสนปม และศกนุ ตลา

76

ภาพท่ี 55 ภาพการแต่งกายแบบพระราชประดิษฐส์ มยั รัชกาลท่ี 6 (พระรามเดินดง)
ทม่ี า : ชวลติ สุนทรานนท์ และคณะ, (2547).

ภาพท่ี 56 ภาพการแตง่ กายแบบพระราชประดษิ ฐส์ มยั รชั กาลท่ี 6 (พระรามตามกวาง)
ทม่ี า : ชวลิต สุนทรานนท์ และคณะ, (2547).

77

นอกจากโขนและละครของกรมมหรสพแล้ว ในสมยั รัชกาลท่ี 6 ยังมีละครราของผมู้ ี
บรรดาศกั ดิ์ที่เล่นต่อเนื่องมาจากสมัยรัชกาลที่ 5 อีกหลายโรงดว้ ยกัน แต่ละโรงน้ันต่างก็มีรปู แบบของ
เคร่ืองแต่งกายยืนเคร่ืองท่ีพิเศษเฉพาะของแต่ละโรงด้วย เช่น ละครเจ้าพระยามหินทร์ฯ ละครกรม
พระนราฯ นอกจากน้ียังมีละครที่แต่งกายแปลกกว่าละครผู้ใดท่ีเพ่ิงเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 6 คือ ละคร
เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ ท่ีมีลักษณะพิเศษที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะโรง เช่นเดียวกันกับเคร่ือง
แต่งกายยนื เครอื่ งของละครเจ้าพระยามหินทร์ฯ และของละครกรมพระนราฯ

3.7 สมัยรัชกาลท่ี 7 (พ.ศ.2468-พ.ศ.2475)
สมัยรัชกาลที่ 7 จากมีการยุบกรมมหรสพพร้อมกับโรงเรียนพรานหลวง ซึ่งเป็น

สถานศกึ ษาที่มีการสอนโขนละคร พัฒนาการของการสร้างเคร่อื งแต่งกายละคร มีอันตอ้ งหยุดชะงักลง
ไปพร้อมๆ กันในช่วงระยะหน่ึง สมัยน้ีเป็นช่วงที่พระยานัฎกานุรักษ์ที่กลับเข้ารับราชการอีกครั้งในปี
พ.ศ.2469 เป็นผู้กากับกรม น้ันเคร่ืองแต่งกายน้ีมาจากไหนหรือมีใครรับผิดชอบทาข้ึนใหม่และมี
ลักษณะเป็นเช่นใด เพราะเครื่องโขนละครเครื่องเก่าได้มอบให้พิพิธภัณฑ์และเลหลังจาหน่ายไป
หมดแล้ว วิวัฒนาการเครื่องแต่งกายละครในของกรมศิลปากร พ.ศ.2478-2547 เม่ือพระบาทสมเด็จ
พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หวั สวรรคตแลว้ ศิลปะทางโขนละครก็ซบเซาทันที

เคร่ืองแต่งกายแบบกรมศลิ ปากร

เครื่องแต่งกายแบบกรมศิลปากรเป็นแบบฉบับของรูปแบบเคร่ืองแต่งกายที่สวยงาม มีความ
ประณีต สาระสาคัญที่จะนาเสนอ ประกอบด้วย องค์ประกอบของเคร่ืองแต่งกาย และประเภทของ
เคร่อื งแตง่ กาย ดังนี้

องคป์ ระกอบของเคร่ืองแตง่ กาย
องค์ประกอบของเครื่องแต่งกายที่จาเป็นสาหรับผู้ศึกษาจะต้องทาความรู้จักและเข้าใจ เพื่อ
จะนาไปสู่การฝึกปฏิบัติขั้นตอนการแต่งกาย และการสร้างเครื่องแต่งกายได้อย่างถูกต้องสวยงาม ใน
องค์ประกอบนี้จะให้รายละเอียดทงั้ ที่ปรากฏในเคร่ืองแต่งกายตวั พระ และตัวนาง เพ่ือทาความรู้จักให้
มากข้ึนผู้ศึกษาจะต้องตรวจสอบและสามารถแยกประเภทได้ในโอกาสต่อไป ประกอบด้วย กาไลเท้า
สนับเพลา ผ้านุ่งหรือภูษา ห้อยข้างหรือเจียรบาด เส้ือหรือฉลองพระองค์ รัดสะเอวหรือรัดองค์ ห้อย
หน้าหรือชายไหว สุวรรณกระถอบหรือสุวรรณกันถอบ เข็มขัดหรือป้ันเหน่ง กรองคอหรือนวมคอ ทับ
ทรวงหรือตาบทับ อินทรธนู พาหุรัด สังวาล ตาบทิศ ชฎา ดอกไม้เพชร กรรเจียกจรหรือจอนหู
ดอกไม้ทัด ปะวะหล่า กาไลแผงหรือทองกร เสื้อในนาง สะอ้ิง ผ้าห่มนาง จ้ีนาง กาไลตะขาบ มงกุฎ
ผ้าปดิ กน้ หรือห้อยกน้ รดั อก อาวุธ หางลงิ รัดเกลา้ และกระบงั หน้า ดังน้ี

78

ภาพที่ 57 ภาพลายเสน้ เคร่ืองแต่งกายตัวพระ (แขนขวาเส้อื แขนสั้น แขนซ้ายเสอื้ แขนยาว)
ที่มา : ปิน่ แกว้ ไชยสรี, (2560).

ภาพที่ 58 ภาพลายเส้นเครื่องแต่งกายตัวนาง
ท่มี า : ปิ่นแกว้ ไชยสรี, (2560).

79

1. กาไลเท้า หมายถึง เป็นเครื่องประดบั ที่ใช้สวมข้อเท้าจะทาดว้ ยเงินหรือทอง แต่โดยมากจะ
ใช้กาไลเงินหรือทองเหลือง ต่อมาในระยะหลัง เครื่องประดับที่ข้อเท้าของตัวโขน-ละคร จะทาด้วยผ้า
กามะหยหี่ รือผา้ อนื่ ๆ ทเ่ี หน็ วา่ สวยงามปักด้วยด้นิ หรอื เลอ่ื มลงบนผ้า

2. สนับเพลา หมายถึง กางเกงเรียวยาวถึงกลางแขง้ ตอนบนใช้ผ้าดิบหรือผ้าขาวธรรมดาเย็บ
เป็นรูปกางเกง ตอนใต้เข่าถึงกลางแข้งนั้นมีผ้าสีต่าง ๆ ต่อเป็นเชิงอีกท่อนหนึ่ง ปักด้วยด้ินหรือเล่ือม
เป็นลวดลายต่าง ๆ เชิงของสนับเพลา ตัวเอกจะปักอย่างประณีตงดงามและเป็นเชิงงอน แต่หากเป็น
ตวั รองหรอื ตวั ประกอบอื่น ๆ ก็ลดความประณตี งดงามลงบ้าง

3. ผ้านงุ่ หรือภูษา หมายถึง ผา้ ที่จะใชน้ งุ่ สาหรับการแสดงละครราต้องเป็นผ้าเนื้อดี โดยมาก
ใช้ผ้าเน้ือดีท่ีเรยี กว่า ผา้ ยก คือผ้าที่ใชเ้ ส้นไหมหรือเสน้ ลวดทองหรือเงิน ทอยกเป็นดอกให้เปน็ ลายนูน
เห็นเด่นชดั จากพ้นื ธรรมดา

4. ห้อยข้างหรอื เจียระบาด หรือชายแครง หมายถึง ชายห้อยลงมาที่หน้าขา เจียระบาดของ
โขน-ละครนั้นเปน็ ผา้ สองชิ้น ปกั ด้วยเลอ่ื มและดนิ้ เปน็ ลวดลายตา่ ง ๆ จะปกั ลวดลายอยา่ งประณีต

5. เสื้อหรอื ฉลองพระองค์ หมายถงึ เส้ือท่ีใช้สาหรบั ใส่กบั ตัวละครท่เี ป็นตวั พระใช้เฉพาะแขน
ยาวตลอดจนถึงขอ้ มือตวั ละครไทยนนั้ ใส่เส้ือสตี ่างกนั ซ่ึงเปน็ ลักษณะเฉพาะตวั ของละครนัน้

6. รัดสะเอวหรือรัดองค์ หมายถึง เป็นผ้าอีกช้ินหนึ่งที่ทาด้วยผ้าแพรหรือผ้าต่วน ปักด้วยดิ้น
และเลื่อมเป็นลวดลายต่างๆ เม่ือสวมเสื้อนุ่งผ้าแล้วจึงใช้ผ้ารัดสะเอวนี้ คาดทับรอบสะโพก จาก
ด้านหลังมาด้านหน้า

7. ห้อยหน้าหรือชายไหว หมายถึง ผ้าที่ห้อยอยู่ระหว่างชายแครงเป็นผ้าสีเดียวกับชายแครง
ปกั ลวดลายเขา้ ชุดกับรดั สะเอวและชายแครง ชายไหวชายแครงทัง้ สองอยา่ งนี้แต่ก่อนถือว่าเปน็ เครื่อง
ต้นสาหรบั แตง่ องค์พระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ

8. สุวรรณกระถอบ หรือสุวรรณกันถอบ หมายถึง เคร่ืองแต่งกายอีกชิน้ หนึ่งอยู่ด้านหน้าของ
หอ้ ยหน้า ในสมัยโบราณจะทาด้วยโลหะหรือทองคาแยกส่วนจากห้อยหน้า แต่ปัจจุบันใช้ตาดทองเย็บ
ตดิ กับห้อยหนา้ แล้วปักลวดลายดว้ ยดิ้นหรอื เล่ือม

9. เข็มขัด หรือปั้นเหน่ง หมายถึง เครื่องประดับที่ใช้รัดสะเอวอาจทาด้วยเงินหรือทองก็ได้
แต่โดยมากนิยมใช้โลหะชบุ เงนิ หรอื ทอง หวั เขม็ ขดั ประดับด้วยพลอยขาว

10. กรองคอ หรือนวมคอ หมายถึง เคร่ืองประดับท่ีใช้สวมใส่ที่คอมีลักษณะเด่นดังนี้คือเป็น
ผา้ สีปักดิน้ เวลาแตง่ ใช้สวมทบั ลงบนเสือ้ ส่วนมากใชผ้ ้าคนละสเี พือ่ ทส่ี จี ะได้ตัดกันมองเห็นอยา่ งเด่นชัด

11. ทับทรวงหรือตาบทับ หมายถงึ เคร่ืองประดับอก รูปสี่เหล่ียมขนมเปยี กปนู ด้านไม่เท่ากัน
(เมอื่ ใสแ่ ล้วด้านทม่ี ีความยาวเรียวจะอยดู่ ้านล่าง) ประดับด้วยพลอยขาว

80

12. อินทรธนู หมายถึง เคร่ืองประดับของตัวพระและยักษ์เท่าน้ัน อินทรธนูมีลักษณะทรง
สูง ปลายงอนเข้าเล็กน้อย ตรงปลายยอดติดพู่ขนาดไม่ใหญ่มาก การทาอินทรธนูนั้นจะต้องสอด
กระดาษแขง็ ไว้ข้างในแล้วใช้ผ้าสีทบั อกี คร้ังหนึ่ง ผา้ ทใ่ี ช้นน้ั ตอ้ งปักดิ้นและเล่อื มเป็นลวดลาย

13. พาหุรดั หรอื กนกแขน หมายถึง เคร่ืองประดับแขนหรือกาไลแขนก็เรยี ก หรือถา้ ใส่แขน
ส้ันกต็ อ้ งใช้พาหุรัดติดแขนเพื่อแทนอนิ ทรธนู ทาเป็นลายกนกปกั ลงบนผ้า

14. สังวาล หมายถึง สร้อยชนิดหนึ่งใช้คล้องสะพายหลังสลับกัน มี 2 สาย มีตาบทิศเช่ือม
สร้อยให้ตดิ กันเป็นรูปกากบาท สงั วาลนนั้ ประดับดว้ ยพลอยขาว

15. ตาบทิศ หมายถึง เครื่องประดับที่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหล่ียมข้าวหลามตัดเย็บติดกับ
สงั วาลเม่อื แต่งแล้วจะแขวนอยู่ข้าง ๆ ตัว เป็นช้ินรูปสเ่ี หล่ียมจัตุรัสเย็บเช่ือมสังวาลให้ไขวก้ ัน แล้วจะ
อยู่กลางหลังของตัวละครตาบทิศจะมีลักษณะเป็นเคร่ืองประดับท่ีติดกับสังวาลอยู่ใต้สะเอวและข้าง
หลงั เม่อื สวมใส่

16. ชฎา หมายถึง เคร่ืองสวมศีรษะ เป็นเคร่ืองทรงสูงของพระมหากษัตริย์ในโขน-ละคร
หมายถงึ เครื่องประดับสวมหวั สาหรับตัวพระ ซึง่ เป็นชฎายอดแหลมหรือยอดชยั

17. ดอกไม้เพชร หมายถงึ เครื่องประดับท่ีทาจากโลหะเงินรปู ดอกไม้ ประดับดว้ ยพลอยขาว
ตดิ อยู่ดา้ นซา้ ยของชฎา

18. กรรเจียกจอนหรือจอนหู หมายถึง เคร่ืองประดับที่ติดอยู่กับเคร่ืองสวมศีรษะประเภท
ชฎา มงกุฎรดั เกลา้ กระบังหน้า ปนั จุเหร็จ และศรี ษะโขนทาจากโลหะเงิน ประดบั ดว้ ยพลอยขาว

19. ดอกไม้ทัด หมายถึง เคร่ืองประดับท่ีติดกับชฎาและมงกุฎ มีสีแดงตัวพระทัดด้านขวา
เสมอ ตัวนางจะอยู่ดา้ นซ้ายเสมอ

20. ปะวะหล่า หมายถึง เครื่องประดับท่ีมีลักษณะเป็นลูกประคาก้อนกลม ๆ มีรูสาหรับร้อย
เชือก ใช้สวมรอบข้อมืออยู่ระหว่างแหวนรอบและทองกร (การแต่งกายโขน-ละคร ไม่นิยมสวมกัน
เพราะสิ้นเปลืองคา่ ใช้จา่ ย)

21. กาไลแผง หรือทองกร หมายถึง กาไลสวมข้อมือมีลักษณะเป็นแผงโค้ง มีบานพับตรง
กลางทาดว้ ยโลหะชุบเงนิ หรอื ทองประดบั ด้วยพลอยขาว

22. เส้ือในนาง หมายถึง เส้ือของตัวละครท่ีแสดงเป็นตัวนางมีลักษณะเป็นเส้ือแขนกุดหรือ
เส้ือแขนในตัวมีสีเหลือง ควรเป็นผ้าท่ีหนาสักหน่อย ถ้าบางมากจะทาให้ขาดเร็ว ควรจะเป็นผ้าลินิน
เพราะมคี วามหนาและจะได้ทนทาน

23. สะอ้ิง หมายถึง สร้อยตัวของตัวละครท่ีแสดงเป็นตัวนาง ส่วนมากจะใช้ในละครใน
(ปัจจบุ นั ไมน่ ยิ มใช้)

24. ผ้าห่มนาง หมายถึง ผ้าทยี่ าวประมาณครึง่ นอ่ งและปกั ดว้ ยด้ินและเลื่อมอย่างสวยงาม

81

25. จ้ีนาง หมายถึง เครื่องประดบั ท่ีใชส้ วมทคี่ อ ลักษณะทรงขนมเปยี กปนู ด้านเท่าทาด้วยเงิน
หรอื โลหะชุบเงนิ หรือทองประดับด้วยพลอยขาว

26. กาไลตะขาบ หมายถึง เครื่องประดับท่ีใช้ท้ังข้อมือและข้อเท้าเป็นเส้นลวดเล็ก ๆ ท่ีขด
มว้ นคล้ายลาตัวของตะขาบ ทาดว้ ยโลหะชุบเงนิ หรือทอง

27. มงกุฎ หมายถึง เคร่ืองประดับศีรษะที่ใช้สาหรับนักแสดงที่แสดงเป็นตัวนางผิดกับชฎา
ของพระคอื ตัวพระขา้ งหนา้ นัน้ เตียน สว่ นนางนนั้ มีกระบงั

28. ผ้าปิดก้นหรือห้อยก้น หมายถึง ผ้าท่ีใช้สาหรับปิดข้างหลัง การนุ่งผ้าของยักษ์และลิงนั้น
ไม่นุง่ หางหงส์อย่างตวั พระ การน่งุ ผา้ ของยกั ษแ์ ละลงิ จะเรียกวา่ นุ่งก้นแป้นและมีหอ้ ยก้นปิด

29. รัดอก หมายถึง ผ้าท่ีใช้รัดอกทาจากผ้าต่วนปักด้วยดิ้นหรือเล่ือม ใช้เฉพาะทศกัณฐ์ใช้รัด
อกหลังจากทส่ี วมฉลองพระองค์หรือเสื้อเรียบร้อย

30. อาวธุ หมายถงึ อาวุธตามแตต่ ัวละครจะถือ เช่น คันศร ตรี พระขรรค์ กระบอง
31. หางลิง หมายถึง ส่วนท่ีติดกับก้นมีลกั ษณะเป็นหางใช้เฉพาะตัวลงิ และสีจะต้องให้ตรงกับ
สีเส้อื ซ่งึ ถือวา่ เปน็ สีกายของตวั ละคร เชน่ หนมุ านใส่สีขาว หางต้องเป็นสีขาวด้วย จะเปน็ สีอน่ื ไม่ได้
32. รดั เกล้า หมายถึง เครอื่ งสวมศีรษะสาหรับตวั นางมียอดเหลีย่ มแต่ทรงเต้ียใช้คู่กับทา้ ยช้อง
สาหรับรดั ปลายผมไมใ่ หก้ ระจาย เปน็ เคร่ืองประดบั ทาด้วยทอง
33. กระบังหน้า หมายถึง เครื่องสวมศีรษะมีลักษณะเป็นกรอบอยู่รอบหน้าทาด้วยรักปิด
ทองสาหรบั นางสนมกานลั

ตารางที่ 1 ตารางภาพเครื่องแตง่ กาย

ที่ เคร่อื งแต่งกาย ท่ี เครือ่ งแต่งกาย

1 16

กาไลเท้า กาไลแผงหรือทองกร

82 เครือ่ งแตง่ กาย
ท่ี เคร่ืองแตง่ กาย ที่

2 17

สนบั เพลา เสือ้ ในนาง

3 18

ผ้านงุ่ หรอื ภูษา สะอ้ิงหรือสร้อยตัว

4 19
รัดสะเอวหรือรดั องค์

ห้อยขา้ ง/เจียระบาด

5 20 จนี้ าง
เสอ้ื หรือฉลองพระองค์

83 เครื่องแต่งกาย
ที่ เครื่องแต่งกาย ท่ี

6 21 กาไลตะขาบ
เขม็ ขัดหรือปน้ั เหน่ง

7 22 ผ้าห่มนาง
ห้อยหน้าหรือชายไหว

8 23

สุวรรณกระถอบ ผา้ ปิดกน้ หรอื เจยี ระบาด

9 24

กรองคอหรือนวมคอ พาหุรดั หรอื กนกแขน

84 เครอื่ งแตง่ กาย
ที่ เครือ่ งแต่งกาย ที่

10 25 สงั วาล
ทบั ทรวง ตาบทิศ

11 26
อนิ ทรธนู

12 27 ชฎา
ดอกไม้เพชร มงกุฎ

13 28
กรรเจยี กจอน

85 เคร่ืองแต่งกาย
ที่ เครื่องแต่งกาย ท่ี

14 29

ดอกไมท้ ัด รัดเกลา้ ยอด

15 30

ปะวะหล่า กระบงั หนา้

ที่มา : ตารางจัดทาโดยธีรวฒั น์ ช่างสาน

ประเภทของเครื่องแตง่ กายละครราแบบกรมศลิ ปากร
ประเภทของเครอ่ื งแต่งกายละครราแบบกรมศิลปากร สามารถแยกประเภทตามลักษณะของ
การแสดงในบทบาทต่างๆ ได้ 5 ประเภท คือ การแต่งกายแบบตัวพระ การแต่งกายแบบตัวนาง การ
แต่งกายแบบตัวยักษ์ การแต่งกายแบบตัวลิง และการแต่งกายแบบตัวเบ็ดเตล็ด ดังรายละเอียด
ตอ่ ไปน้ี

1.1 การแต่งกายแบบตัวพระ หมายถึง นักแสดงท่ีแสดงเป็นตัวผู้ชายมีทั้งเทวดาและ
มนุษย์ ลักษณะการแต่งกายจะเหมือนกันหมด(สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์, 2532 : 251) คือยืนเครื่อง
อย่างพระผิดกันแต่สีเส้ือเปลี่ยนไปตามสีกายประจาตัวละคร เชน่ พระอินทร์ สีเขียวพระพรหมสีขาว
ท้าวมาลีวราชสีขาว พระรามสีเขียว พระลักษณ์สีทอง พระพรตสีแดงชาด และพระสัตรุสีม่วงอ่อน
เป็นต้น เข้าใจว่าในสมัยโบราณตัวพระจะสวมหน้าด้วยเคร่ืองประดับศีรษะจึงมีหลายลักษณะของ

86

เทวดา เป็นมงกฎุ ยอดต่าง ๆ เช่น พระอินทร์ เป็นมงกฎุ เดินหน ท้าวมาลีวราช เป็นมงกุฎยอดชัย หรือ
มงกฎุ น้าเต้าของมนษุ ยเ์ ปน็ มงกุฎชยั หรอื ชฎาตวั พระ

ภาพท่ี 59 ภาพการแต่งกายยืนเคร่ืองตวั พระ
ท่มี า : KHONSITE, (2559).

1.2 การแต่งกายแบบตัวนาง หมายถึง นักแสดงที่แสดงเป็นผู้หญิง จะแต่งกายแบบยืน
เครื่องนางหมดทุกตัว ผิดกันแตเ่ ครอ่ื งสวมศรี ษะ กลา่ วคอื พระชนนีทง้ั สามของพระราม นางสีดามเหสี
พระอินทร์ นางมณโฑ นางเทพอัปสร นางวานรินทร์ นางบุษมาลี ตลอดจนนางสุพรรณมัจฉา สวม
มงกุฎกษัตริย์ นางสุวรรณกันยุมา นางตรีชฎา สวมรัดเกล้ายอด นางเบญกายสวมรัดเกล้าเปลว ส่วน
นางกาลอัคคีสวมมงกุฎยอดนาค นางกานัลสวมกระบังหน้า นางสุพรรณมัจฉามีหางปลาติดไว้ที่ส่วน
หลังใตเ้ ข็มขดั ดว้ ย เพราะมีสญั ชาตปิ ลา ดังภาพ

87

ภาพท่ี 60 ภาพการแตง่ กายยืนเคร่ืองตวั นาง
ทีม่ า : KHONSITE, (2559).

1.3 การแต่งกายแบบตัวยักษ์ หมายถึง นักแสดงที่แสดงเป็นยักษ์ แบ่งเป็นระดับต่าง ๆ
คอื พญายักษ์ เสนายักษ์ และเขนยักษ์ พญายักษ์ เช่น ทศกณั ฐ์ อนิ ทรชิต ไมยราพ พิเภก สหัสเดชะ
แสงอาทิตย์ จะนุ่งผ้าเยียรบับทับสนับเพลา เช่นเดียวกับตัวพระไม่มีหางหงส์ แตจ่ ะมีผ้าปดิ ก้นห้อยลง
มาจากเอว เครือ่ งประดับสว่ นใหญ่เช่นเดยี วกับตัวพระเพียงแต่มีเพม่ิ ขึ้นอีกอยา่ งหน่งึ คือ ตวั พญายักษ์
ช้ันผู้ใหญ่ เช่น ทศกัณฐ์ จะมีรัดอกคาดอยู่ท่ีอกด้วย เสนายักษ์นุ่งผ้าเกี้ยว นอกจากนั้นก็เหมือนพญา
ยักษ์ เพียงแต่ไม่มีรัดอก เขนยักษ์ สวมเสื้อผ้าธรรมดา นุ่งผ้าลายทับสนับเพลา ผ้าปิดก้นไม่มี คาด
เอวด้วยผ้ามีกรองคอทาด้วยผ้าธรรมดา สวมศีรษะเขนยักษ์ พญายักษ์และเสนายักษ์แต่ละตัวมีสีกาย
และสีหน้าประจาตัว มีหัวโขนเฉพาะของตัวมียอดของส่วนมงกุฎต่างกันไปบางพวกก็ไม่มีมงกุฎ
เรียกว่า ยกั ษ์โลน้

88

ภาพที่ 61 ภาพการแตง่ กายยืนเครือ่ งตวั ยกั ษ์
ทีม่ า : KHONSITE, (2559).

1.4 การแต่งกายแบบตัวลิง หมายถึง นักแสดงท่ีแสดงเป็นลิง โดยแบ่งออกเป็นพวก ๆ
ได้แก่ พญาวานร เช่น หนุมาน สุครีพ องคต ฯลฯ พวกสิบแปดมงกุฎ เช่น เกยูร มายูร เกสรมาลา
ฯลฯ พวกเตียวเพชร เช่น โชติมุก พวกจังเกียงและพวกเขนลิง พวกพญาวานรและพวกอื่นๆ ยกเว้น
เขนลิงแตง่ ตัวยืนเครื่องและสวมเสือ้ ตามสีประจาตัวในเรื่องรามเกียรต์ิแต่ไม่มีอินทรธนู นุ่งผ้าไมจ่ ีบโจง
หางหงส์ มีผ้าปิดก้นห้อยเอวจากด้านหลังเช่นเดียวกับยักษ์และมีหางห้อยอยู่ข้างใต้ผ้าปิดก้น
เฉพาะตัวมัจฉานุมีหางเป็นปลาผิดจากลิงอ่ืน ๆ ส่ิงเหล่าน้ีแต่ละตัวมีหัวโขนเฉพาะของตัวทั้งท่ีเป็น
มงกุฎยอดต่าง ๆ และท้ังที่ไม่มีมงกุฎท่ีเรียกว่า“ลิงโล้น”เขนลิงสวมเส้ือแขนยาวผ้าธรรมดากรองคอก็
เป็นผ้าธรรมดา นุ่งกางเกงคาดเข็มขดั มีหาง และผ้าปดิ กน้ สวมศีรษะ เขนลงิ

89

ภาพที่ 62 ภาพการแตง่ กายยนื เคร่ืองตวั ลิง
ที่มา : KHONSITE, (2559).

1.5 การแต่งกายแบบตัวเบ็ดเตล็ด หมายถึง นักแสดงท่ีแสดงเป็นตัวละครอื่น ๆ ที่ไม่
สามารถเข้าพวกกับตัวแสดงท่ีกล่าวอ้างแล้วได้ เช่น ฤาษีต่างๆ พระวสิษฐ์ พระโคบุตร เป็นต้น
ช้างเอราวัณ สวมศีรษะเอราวัณซึ่งมีสีขาว 3 เศียร และมีมงกุฎยอดน้าเต้า ม้าอุปการ สวมศีรษะสีดา
ปากแดง สว่ นมา้ ลากรถอน่ื มีศีรษะสัตว์ ซึ่งไดจ้ าลองเลียนแบบลักษณะของจริงมาหรือประดษิ ฐ์ใหต้ รง
กับในบทการแสดงเป็นต้น ลักษณะการแต่งกายของตัวเบ็ดเตล็ดท่ีกล่าวอ้างเท่าที่พอจะยกตัวอย่าง
ประกอบเพอ่ื ให้เห็นรปู แบบการแตง่ กายทรี่ วบรวมได้รปู แบบประกอบดว้ ยการแต่งกายแบบ กวางทอง
มา้ ลากรถ ครุฑ เจา้ เงาะ นกยูง นางกินรี ดงั น้ี

1.5.1 การแต่งกายแบบกวางทอง มีปรากฏอยู่ในเร่ืองรามเกียรต์ิ ตอนพระรามตาม
กวาง ลักษณะการแต่งกายประกอบด้วยแต่งยืนเครื่องตัวพระสีเหลืองแถบแดง บนศีรษะสวมหัว
กวางทอง ดงั ภาพ

90

ภาพที่ 63 ภาพการแต่งกายตัวกวางทอง ตอนพระรามตามกวาง
ทม่ี า : สานักการสังคตี กรมศิลปากร, (2561).

1.5.2 การแต่งกายแบบม้า มีปรากฏอยู่ในบทละครเร่ืองรถเสนหรืออ่ืน ๆ ที่แสดง
ฉากที่มีม้ามาเกี่ยวข้อง ลักษณะการแต่งกาย สามารถแต่งได้ 2 ลักษณะ เช่น สวมเส้ือแขนยาว และ
กางเกงขายาวติดกัน มีกรองคอศีรษะสวมหัวม้า หรือหากประกอบละครแต่งแบบยืนเครื่องพระ(ไม่
ปล่อยหางหงส์) ในทอ่ นล่าง สวมเส้อื แขนยาว ใสก่ รองคอ สงั วาล ศรี ษะสวมหัวมา้

91

ภาพท่ี 64 ภาพการแตง่ กายละครเสภา เรื่องขนุ ช้างขนุ แผน ตอนขุนแผนข้ึนเรือนขนุ ช้าง
ที่มา : สานกั การสงั คตี กรมศิลปากร, (2561).

1.5.3 การแตง่ กายแบบครฑุ ครฑุ เป็นสัตวใ์ นหมิ พานต์และเปน็ พาหนะขององค์
พระนารายณ์ ดังนั้นเมื่อมีบทบาทการแสดงท่ีปรากฏองค์พระนารายณ์จะกล่าวถึงขณะทรงสุบรรณก็
จะมีผู้แสดงในบทบาทของครุฑออกมา ลักษณะการแต่งกายประกอบด้วย แต่งยืนเคร่ืองพระไม่ครบ
เครื่องมปี กี หาง และสวมศรี ษะครุฑ

ภาพที่ 65 การแต่งกายแบบครฑุ
ท่ีมา : กรมศลิ ปากร, (2542 : 106).

92
1.5.4 การแต่งกายนางปลา มปี รากฏอยู่ในบทละครในเรื่องรามเกยี รติ์ ตอนจอง
ถนนเป็นบทนางสุพรรณมจั ฉา ลกั ษณะการแต่งกายประกอบด้วย แตง่ กายยนื เครื่องนางสขี าวขลบิ
ทอง ท่อนล่างส่วนหลังมหี างปลาผกู ตดิ กบั สะเอว ดังภาพ

ภาพท่ี 66 ภาพการแตง่ กาย ชดุ หนมุ านจบั นางเบญกาย
ท่ีมา : กรมศลิ ปากร, (2542 : 82).

1.5.5 การแต่งกายแบบนกยูง มีปรากฏในบทละครในเรือ่ งอิเหนา ตอนยา่ หรันตามนกยูง
ลักษณะการแต่งกาย แต่งกายแบบยืนเครื่องตวั พระ สว่ นหางตดิ หางนกยงู เป็นครึ่งวงกลมศีรษะสวม
หัวนกยูง

ภาพท่ี 67 ภาพการแตง่ กายนกยงู เรอื่ งอิเหนา ตอนยา่ หรันตามนกยูง
ที่มา : กรมศลิ ปากร, (2542 : 94).

93

1.5.6 การแต่งกายแบบนางกนิ รี มปี รากฏในบทละครเรือ่ ง พระสุธนธ์ นางโนราห์
ซึ่งเปน็ บทละครนอกเลอ่ื งช่ืออีกเรื่องหนึ่ง ลกั ษณะการแตง่ กาย จะแตง่ กายแบบยืนเครอ่ื งตวั นางนุ่งผา้
แบบสองชายพก มีกรองคอ รัดสะโพก ไมห่ ม่ สไบ ติดปีกและหางศรี ษะสวมเทริดนาง ดังภาพ

ภาพที่ 68 ภาพการแตง่ กายนางกนิ รี
ทมี่ า : กรมศิลปากร, (2542 : 220).

การแตง่ กายโขนพระราชทานหรอื โขนของมูลนิธิสง่ เสริมศลิ ปาชีพ

การแต่งกายโขนพระราชทานหรอื โขนของมูลนธิ ิสง่ เสริมศิลปาชีพเป็นหนงึ่ ของเครื่องแตง่ กาย
เพื่อการแสดงที่มีปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน มีความสวยงาม มีราคาสูง เป็นท่ีนิยมอยู่ในปัจจุบัน การ
อนุรักษ์โขนเป็นหนึ่งในพระราชกรณียกิจท่ีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราช
ชนนีพันปีหลวง ทรงตระหนักถึงความสาคัญ พระองค์ท่านทรงใส่พระทัยศิลปะการแสดงชั้นสูงของ
ไทยแขนงนเี้ ป็นอันมาก

โขน เป็นศิลปะการแสดงช้ันสูงของไทย ท่าราและการย่างกรายมีท้ังความสง่างาม อลังการ
และอ่อนช้อย ขึ้นอยู่กับจังหวะและการดาเนินเร่ือง ลักษณะสาคัญอย่างหน่ึงของโขนอยู่ที่ผู้แสดงต้อง
สวมหัวโขนทุกตัว ยกเว้นตัวพระ ตัวนาง และเทวดา รวมทั้งเคร่ืองแต่งกาย เครื่องถนิมพิมพาภรณ์
การแต่งหน้า ล้วนงดงามมีรายละเอียดเป็นเอกลักษณ์ พระราชกรณียกิจฟื้นฟูโขน ไม่ใช่แค่การฟ้ืนฟู

94

นาฏศิลป์แต่เป็นการพลกิ ฟ้ืนศาสตร์และงานฝีมอื ช่างหัตถศิลป์ไทยหลายสาขา เกิดการประชุมกนั ของ
ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญงานประณีตศิลป์ของไทยท่ีกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ นับร้อยชีวิต เพ่ือ
เชดิ ชูศลิ ปะการแสดงชน้ั สูงแขนงนีใ้ หถ้ กู ต้องครบถว้ นตามแบบแผน

ผ้ายก หมายถึง ผ้าไหมท่ีทอด้วยเทคนิคการยกลวดลายให้ปรากฏเด่นชัดขึ้น โดยผ้ายกของ
เมืองนครศรธี รรมราชมีช่ือเสียงมาต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในฐานะท่ีเป็นผ้าราชสานัก ซ่ึงทอด้วยเส้น
ไหมเนื้อละเอียด แทรกลวดลายด้วยไหมเงินไหมทองที่บางเบา และทออย่างประณีต โครงสร้างของ
การวางลวดลาย ทั้งท้องผ้า และ กรวยเชิง มีลักษณะแบบราชสานัก ที่ใช้สาหรับเจ้านายช้ันสงู ในอดีต
เปน็ ทั้งผา้ นุ่งโจงและ นุ่งจบี รวมทัง้ ใช้หอ่ คัมภรี ใ์ นพุทธศาสนาดว้ ย ผา้ ยกเมืองนคร มรดกวฒั นธรรมผ้า
ทอไทยอายุนับร้อยปี เหลือฐานะเป็นเพียงโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงฟ้ืนฟูการผลิตผ้ายกเมืองนคร ให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของ
พสั ตราภรณ์สาหรบั การแสดงโขนแบบสมเดจ็ พระนางเจา้ อกี คร้ัง (วลญั ช์ สภุ ากร, 2018).

จากการอนุรักษ์โขนพระราชทานหรือโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพน้ี ถือเป็นโอกาสดีของ
เหล่าศิลปินท่ีได้ต่ออายุศิลปะการแสดงให้คงอยู่และเป็น ท่ีชื่นชอบใน การสร้าง สรรค์จึงพบว่าเกิด
เศรษฐกิจหมุนเวียนในอาชีพน้ีอีกหลายอย่างขึ้น เฉพาะอย่างย่ิงเรื่องการแต่งกาย เพราะได้มีการ
พัฒนารูปแบบของเคร่ืองแต่งกายตามแบบสมัยรัชกาลที่6 ที่งดงามประณีต นอกจากนี้ได้มีการพลิก
ฟ้ืนใหค้ วามสาคัญกับผา้ ยกเมืองนคร ทีเ่ ล่ืองช่อื ของจงั หวดั นครศรธี รรมราช

ภาพท่ี 69 ภาพการแต่งกายยนื เครื่องตัวพระ (โขนพระราชทานหรือโขนของมูลนธิ สิ ่งเสริมศลิ ปาชพี )
ท่ีมา : Gelt Kantapassorn, (2562).

95

ภาพที่ 70 ภาพการแต่งกายยืนเคร่อื งตวั นาง (โขนพระราชทานหรือโขนของมลู นิธิสง่ เสรมิ ศลิ ปาชพี )
ทมี่ า : Lankum design, (2562).

ภาพท่ี 71 ภาพการแต่งกายยืนเคร่ืองตัวยักษ์(โขนพระราชทานหรือโขนของมูลนิธสิ ่งเสรมิ ศิลปาชพี )
ทม่ี า : R.Rodthim, (2561).

96

ภาพที่ 72 ภาพการแต่งกายยนื เครื่องตัวลิง (โขนพระราชทานหรอื โขนของมูลนธิ สิ ง่ เสรมิ ศลิ ปาชีพ)
ทม่ี า : Kitti Witch's Wise, (2562).

องค์ประกอบของโขนพระราชทานหรือโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพสร้างความประทับใจ
ในความงดงามของศิลปะไทย ท้ัง ฉาก แสง สี เสียง พัสตราภรณ์ และเครอ่ื งประดับต่างๆ ที่ประดิษฐ์
ข้ึนอย่างประณีตตามจารีตโบราณ รวมถึงผ้ายกที่นักแสดงใช้นุ่งตามบทบาท ได้มีความพยายามฟ้ืนฟู
การทอผ้ายกโบราณภูมิปัญญาไทยมาหลายปีของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ โดยการสืบทอดลายผ้า
โบราณจากนครศรีธรรมราช แต่ด้วยกระบวนการพิถีพิถันของการปักเครื่องโขน และการทอผ้ายก
ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน จึงจาเป็นต้องสืบสานงานส่วนนี้อย่างจริงจังมุ่งพัฒนาทักษะฝีมือให้สมาชิก
ศนู ย์ศิลปาชีพให้มีรายได้ โดยการฟื้นฟูการผลิตผ้ายกเมืองนคร มรดกวัฒนธรรมผ้าทอไทย ที่คร้ังหนึ่ง
เปน็ เพียงโบราณวตั ถุในพิพิธภณั ฑ์ ใหก้ ลบั มาเป็นสว่ นหนง่ึ ของพัสตราภรณ์สาหรบั โขน พระราชทาน

นอกจากน้ีได้พัฒนาฝีมือสมาชิกของศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทอง จ.อ่างทอง เพิ่มขึ้นอีกแห่ง โดย
สามารถปลุกป้ันช่างฝีมือได้ถึง 14 คน เพื่อเป็นกาลังหลักในการปักเครื่องโขน และทอผ้ายก การปัก
เครอ่ื งโขนจะต้องอาศยั ความประณีตสูง เพราะเป็นการปักด้ินทองลงบนผ้า ตามลายโบราณ มี 4 ลาย
คือ ลายราชวตั รดอกลอย ลายแย่งพุ่มข้าวบิณฑ์หน้าขบดอกใน ลายราชวัตร ยอ่ มมุ ไม้สิบสอง และลาย
ขนทกั ษิณาวัตร เพ่อื ประกอบเป็นเสอ้ื แขนเสื้อ อินธนู กรองศอ รดั เอว สนบั เพลา และเกราะด้านหน้า
ใช้สาหรับตัวละครหลากหลาย เช่น ลายแย่งพุ่มข้าวบิณฑ์หน้าขบดอกใน ใช้สาหรับตัวละครเอก คือ
พเิ ภก และลายขน ทักษิณาวตั ร ใช้สาหรบั ตวั ละครหนมุ าน

97

นอกจากการปักเคร่ืองโขนแล้ว ยังส่งเสริมการ ทอผ้ายก โดย มีการยกตะกรอ มาจากศูนย์
ศิลปาชีพเนินธัมมัง เพื่อมาสืบตะกรอที่นี่ และสามารถขึ้นกี่ทอได้เลย สาหรับผ้ายกทองนั้น จัดทาขึ้น
จากผา้ ไหมท่ีทอด้วยเทคนิคการยกลวดลายให้ปรากฏเด่นชัด มชี ื่อเสียงมาต้ังแต่สมัยกรุงศรอี ยุธยา ใน
ฐานะที่เป็นผ้าราชสานัก ซ่ึงทอด้วยเส้นไหมเน้ือละเอียด แทรกลวดลายด้วยไหมเงินไหมทองที่บางเบา
และทออย่างประณีต โครงสร้างของการวางลวดลาย ประกอบด้วย ท้องผ้าและกรวยเชิง มีลักษณะ
แบบราชสานกั ท่ใี ช้สาหรับเจ้านายชน้ั สงู ในอดตี เปน็ ท้ังผ้านงุ่ โจงและนุ่งจบี รวมทั้งใชห้ ่อคัมภีรใ์ นพทุ ธ
ศาสนา

ภาพท่ี 73 ภาพการทอผา้ ยกเมืองนครศรธี รรมราช
ทมี่ า : ธรี วฒั น์ ชา่ งสาน, (2562).

ผ้ายก เนินธมั มัง ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชยี รใหญ่ เป็นผ้ายกทอง ลายกรวยเชงิ ตัวผ้าเป็นลายพุ่ม
ข้าวบิณฑ์ ซ่ึงผ้ายกเมืองนครเป็นผ้าสาหรับใช้ในราชสานักมาตั้งแต่โบราณ ทอด้วยไหมเนื้อละเอียด
สอดแทรกลวดลายไหมเงิน ไหมทอง แต่เลือนหายไปในสมัยรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระนางเจ้า
พระบรมราชินีนาถ มีพระราชดาริให้ฟ้ืนฟูขึ้นมา นามาตัดเย็บฉลองพระองค์ รวมท้ังทรงส่งเสริมให้
นาไปใชใ้ นการแสดงโขนพระราชทานดว้ ย ผ้ายก 1 ผนื ต้องใชผ้ ู้ทอ 5-6 คนต่อผืน

98

ภาพท่ี 74 ภาพผา้ ยกเมอื งนครศรธี รรมราช
ทีม่ า : สานกั งานงานโครงการอนั เน่อื งมาจากพระราชดาริและความม่นั คงกองทพั บก, (2560).

การแต่งกายละครรา

การแต่งกายละครราจะให้รายละเอียดขั้นตอนการแต่งกายยืนเคร่ืองพระ นาง ซึ่งเป็นทักษะ
การปฏิบัติของผู้เรียนท่ีต้องใช้ท้ังศาสตร์และศิลป์ ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อม ข้ันตอนการ
แตง่ กายตัวพระ ข้ันตอนการแตง่ กายตัวนาง ดงั น้ี

การเตรยี มความพรอ้ ม
การเตรียมความพร้อมของผู้ศึกษามีความสาคัญเพราะการแต่งกายยนื เคร่ืองเป็นประณตี ศลิ ป์
ทางภูมิปัญญาของคนไทย จึงต้องมีความรัดกุมกระชับ และมีข้ันตอนมาก จึงจาเป็นต้องเตรียม
อปุ กรณ์ไว้ให้ครบถกู ต้อง ดงั นี้
1. การเตรียมความพร้อมของเครื่องมือ ซึ่งเป็นอปุ กรณ์สาคัญสาหรับใช้ประกอบการแต่งกาย
อาทิ ดา้ ยเย็บผา้ เบอร8์ เขม็ ก้นทอง มดี หรือกรรไกร ผ้ารัดเอว หนงั ยาง
2. การเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ ควรตรวจสอบความสมบูรณ์ของอุปกรณ์การแต่งกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์เครื่องแต่งกายของตัวพระ เช่น กาไลข้อเท้า สนับเพลา ผ้านุ่ง กรองศอ
ฉลองพระองค์ พาหุรดั ในเสือ้ แขนสนั้ หรืออินทรธนู ในเส้ือแขนยาว ทับทรวง สังวาล เขม็ ขัด กาไลแผง
และชฎา

99

ภาพท่ี 75 การแต่งกายยืนเครอ่ื งตัวพระหน้า-หลัง
ทม่ี า : ธีรวฒั น์ ช่างสาน, (2562).

ขั้นตอนการแต่งกายตวั พระ
ข้ันตอนการแต่งกายตัวพระมีข้ันตอนการแต่งกาย 2 ขั้นตอน คือ ข้ันตอนการเตรียมจีบผ้า
หางหงส์ และขน้ั ตอนการแต่งกาย ดงั น้ี
1. ข้ันตอนการเตรยี มจีบผ้าหางหงส์ มีวิธีการปฏิบตั ดิ งั นี้

1.1 เตรียมจีบผ้าหางหงส์ โดยการนาผ้ายกมาคลี่เป็นผืนยาว จับชายผ้าทั้งสองซ้อนกัน
ให้สว่ นของลายละเอยี ดอยู่ดา้ นนอก

1.2 จับจีบชายผ้าเป็นลักษณะหน้านาง โดยพับตลบในช้ันแรกให้ชายผ้าทับซ้อนอยู่ด้าน
ในขนาดกว้างประมาณ 3 น้ิว จากน้ันจับจีบสลับไปมา จานวน 6 จีบ หรือจนหมดลายของหน้าผ้ายก
ข้อควรระวังในขั้นตอนนี้จะต้องใช้ความประณีตในการทับซ้อนจีบผ้า ต้องให้ทับซ้อนเรียงลาดับอย่าง
สวยงาม โดยเฉพาะชายผา้ จะตอ้ งเรยี งเสมอกนั

1.3 ใชเ้ ขม็ กับดา้ ยเย็บตรงึ หางหงสโ์ ดยวิธกี ารวัดคืบจากชายผ้าไปสว่ นกลาง โดยการใช้ฝ่า
มือกางให้ตึงวัดจากหัวแม่มือถึงน้ิวกลาง จานวน 2 คืบกว้าง หรือนับดอกหน้าผ้ายกจานวน 12 ดอก
กไ็ ดใ้ ชเ้ ขม็ ดา้ ยเย็บตรงึ ให้แนน่

100

1.4 ชายผ้าส่วนที่จะปล่อยเป็นหางหงส์ ใช้มือรีดจีบผ้าให้เสมอกันทุกจีบจนถึงชายผ้า
แล้วควรเย็บตรึงจีบผ้าด้วยเง่ือนกระตุกไว้ก่อนป้องกันจีบผ้าเล่ือนอาจทาให้ช่างเครื่องท่ีเป็นนักฝึกหัด
เกิดความยุ่งยากได้ เมื่อแต่งเรียบร้อยแล้วค่อยปล่อยชายผ้าออกเพื่อความสวยงามของหางหงส์ก่อนมี
การแสดง

2. ขนั้ ตอนการแต่งกาย
2.1 นักแสดงสวมสนับเพลา โดยการสวมสนับเพลาให้เชิงงอนของปลายขาอยู่ด้านหน้า

ส่วนชายสนับเพลาด้านบนผูกไว้ให้แน่น ควรผูกไว้เหนือสะเอวระดับหนา้ อก เพราะจะทาให้สะดวกต่อ
การแตง่ ของชา่ งเครอ่ื ง
หมายเหตุ กรณีท่ีนักแสดงเป็นผู้ชายควรนุ่งผ้าพอกเพ่ือเสริมสะโพกให้ผายจะเป็นตัวช่วยดันจีบของ
สะโพกให้ผายออกอย่างสวยงาม วิธีการนุ่งผ้าพอกโดยนาผ้ายาวมานุ่งทับสนับเพลาให้ชายผ้าท้ังสอง
ข้างยาวเท่ากันแล้วพับชายผ้าส่วนล่างขึ้นมาทับชายผ้าส่วนบน ควรให้ชายผ้าเสมอกัน จากนั้นพับ
ปลายผ้าส่วนท่ีเหลือเก็บไว้ที่ข้างสะโพก ในลักษณะของชายผ้าด้านบนให้แนบสะเอว แล้วให้ชายผ้า
สว่ นล่างผายออกให้สวยงามตามรูปแบบของสะโพก ( ควรจัดให้ผ้าท่ีสะโพกทัง้ สองขา้ งใหเ้ ทา่ กัน )

2.2 นาผ้ายกที่พับจีบหางหงส์เตรยี มไว้แลว้ ให้นักแสดงสวมโดยให้ส่วนของจีบชายผ้าที่
ตรึงไว้แล้วอยู่ด้านบน จับจีบตลบหน้านางจนถึงสะเอวของนักแสดง ให้นักแสดงจับชายผ้าไว้ให้แน่น
ในข้ันตอนนี้ก็เช่นเดียวกันบริเวณผ้าที่จีบเป็นหน้านางควรรีดจีบผ้าให้เรียงทับซ้อนเสมอกันอย่าง
สวยงาม

2.3 นักแสดงจับชายผ้าดา้ นหน้าไว้ใหม้ ัน่ จากนน้ั กลบั หลงั หันเพ่อื ใหช้ า่ งเคร่ืองจับจีบ
ด้านหลัง ขั้นตอนน้ีนกั แสดงควรยืนกางขาเล็กน้อย ช่างเครื่องจับจีบผ้าดา้ นหลังขึ้นมา 3 จบี โดยการ
จับต้ังแต่ชายผ้าด้านล่าง มาเย็บตรึงไว้ท่ีบริเวณก้นของผู้แสดงความหนาของการจับจีบในกรณีที่ช่าง
เครือ่ งไม่ชานาญ ควรลกึ ประมาณ 1 ฝ่ามอื

2.4 จากนั้นจบั จบี ผ้า 3 จบี ขา้ งสะโพก แตล่ ะจบี ควรถ่วงให้หอ้ ยระดับสะโพก เปน็ 3
ระดับ เรียงซ้อนจีบอย่างสวยงาม ชายผ้าด้านล่างควรเสมอกับขอบสนบั เพลา การจบั จีบผา้ ขา้ งสะโพก
จะต้องปฏิบัติให้เหมือนกันท้ัง 2 ข้าง และควรจับจีบลึก ๆ เข้าไปใต้จีบหน้านางเพ่ือความกระชับใน
ขัน้ ตอนต่อไป

2.6 รีดจีบหน้านางทุกจีบให้เรียงจีบสวยงามเสมอกัน โดยการใช้นิ้วสอดรีดจีบทีละจีบ
และควรจับจีบตรงระดับการเย็บปมผ้าสาหรับตรึงเป็นหางหงส์ เม่ือรีดจับจีบเสร็จควรเก็บรายละเอียด
ของคอผา้ ด้านบน โดยการสอดสว่ นผ้าที่ดูไมเ่ รยี บร้อยไว้ใตห้ น้านาง

101

2.7 นักแสดงยืนย่อเข่าลงเหล่ียม ช่างเครื่องนาชายผ้าท่ีรีดจีบเรียบร้อยแล้ว สอดชายผ้า
ไปด้านหลังของนักแสดง ช่างเคร่ืองควรรีดจบี ด้านหลังให้ทับซอ้ นเสมอกันโดยใหช้ ายผ้าส่วนท่ีเหลือทั้ง
สองข้างคลแี่ ผ่ออกให้เหมือนกนั ควรมีความประณตี ของการรีดจบี ใหท้ บั ซ้อนเรียงกันอย่างสวยงาม

2.8 นาผ้าคาดสะเอวมาคาดทับบนขอบผ้าหางหงส์จากด้านหลัง ปล่อยชายไปด้านหน้า
จากนั้นให้นักแสดงกางฝ่ามือทับผ้าคาดสะเอวระดับสะเอวไว้ให้ม่ัน ปล่อยจีบด้านหน้า ลงมาท้ังหมด
ช่างเครอื่ งม้วนเก็บปลายผา้ นักแสดงกาปมผา้ และจีบหางหงสด์ า้ นบนให้ม่ัน

2.9 นักแสดงจับผ้าคาดสะเอวให้มั่น พร้อมปล่อยหางหงส์ให้ห้อยลงด้านล่าง ช่างเคร่ือง
จับชายผ้าม้วนให้เป็นลักษณะกลมเหมือนหางกระเบน จากน้ันนักแสดงรวบชายผ้าส่วนบนให้หมด
ช่างเครือ่ งใช้ผา้ คาดสะเอวผูกใหแ้ น่นกระชับ

2.10 เพ่ือความเป็นระเบียบของจีบชายผ้าด้านหลังของการนุ่งหางหงส์ ให้นักแสดงย่อ
เข่าหันหลัง ช่างเคร่ืองจัดจีบหางหงส์ด้านหลังให้เป็นระเบียบ จีบผ้าเรียงอย่างสวยงาม โดยสารวจ
ด้ายท่ีเย็บตรึงหางหงส์ ควรอยู่ระดับก้นกบไม่ควรจะให้ต่าเพราะจะทาให้หางหงส์จุกก้นนักแสดงไม่
สวยงาม เมื่อจัดระเบียบหางหงส์เรียบร้อย นักแสดงรวบชายผ้าด้านหน้าระดับสะเอวไว้ให้มั่น ช่าง
เคร่ืองใช้เชอื กผูกทับซ้อนชายผา้ ส่วนที่เหลอื ระดับสะเอว โดยผูกด้านล่างของปมผ้าก่อน แล้วจึงพันมา
ผูกด้านบนใหแ้ น่น

2.11 นาห้อยขา้ งมาผกู ระดับสะเอว ก่อนผูกควรพบั ชายห้อยข้างด้านบนข้ึน วิธตี รวจสอบ
ความส้ันยาวของห้อยข้าง ควรสังเกตชายผ้าสว่ นล่างควรเหนือเข่าเลก็ น้อย ปลายเชือกท้งั สองด้านควร
ไปผกู เปน็ เงอื่ นกระตุกไวด้ า้ นหลงั ให้มัน่ คง

2.12 ชายหางหงส์ส่วนที่เหลือเหนือเชือกคาดสะเอวด้านหลัง ช่างเคร่ืองจัดระเบียบจีบ
หางหงส์ให้เรียบร้อยอีกคร้ัง จากน้ันแยกชายผ้าหางหงส์ส่วนหลังออกจากกัน ม้วนขอบผ้าเป็นเส้น
ทาบตามแนวของเชือกคาดสะเอว แล้วใช้ผ้าคาดสะเอว คลี่แล้วคลุมทับม้วนผ้า ผูกปมผ้าไว้ด้านหน้า
ใหเ้ รียบรอ้ ย

2.13 ผู้แสดงใส่ฉลองพระองค์ กรณีที่ผู้แสดงเป็นผู้ชายช่างเคร่ืองควรนาผ้าผ้าผืนเล็ก
(ผ้าขนหนูผืนเล็กก็ได้) พับขนาดฝ่ามือวางทาบหน้าอกเพื่อเสริมหน้าอกนักแสดงให้กลมกลึง จากน้ัน
เร่ิมเย็บชายเส้ือ โดยการเร่ิมฝีเข็มใต้ราวอก เพราะจะทาให้หน้าอกของนักแสดงไม่แฟบและสมส่วน
สวยงาม ฝีเข็มการเย็บควรปักฝีเข็มลงด้านล่าง และควรตักชายผ้าสลับไปมาท้ังสองด้านให้เท่ากันจน
หมดชายเสื้อ

2.14 จากน้นั ช่างเครื่องควรจัดชายสนับเพลาด้านนส่วนที่เหลือ โดยการดึงตัวกางเกงจัด
ชายขาด้านล่างให้เชิงงอนอยู่ใต้หัวเข่า และทั้งสองข้างต้องเสมอกัน ในข้ันตอนนี้ควรใช้ความประณีต
ในการดึงสนับเพลาอย่างให้กองอยู่ที่ต้นขาเพราะอาจทาให้ผู้แสดงขาดความมั่นใจ ปลายขาสนับเพลา
อาจไม่เสมอกันท้ังสองข้าง จากนั้นชายเสอื้ ด้านล่าง และสนับเพลาพบั ทับซ้อนกันด้านบนม้วนชายเสื้อ

102

และชายผ้าส่วนท่เี หลือไปไวด้ ้านหน้าให้นกั แสดงจับชายไวใ้ หแ้ น่น นารัดสะโพกมาทาบปิด โดยการทับ
ซ้อนชายไว้ด้านหน้าให้หุ่นจับชายรัดสะโพกขมวดเป็นปม ช่างเครื่องใช้เชือกที่ติดกับรัดสะโพกผูกให้
แนน่ ส่วนบนของรดั สะโพกที่แยกจากกนั เหนือสะเอว ใช้เขม็ กับด้ายเยบ็ เนาให้ชนกัน

2.15 นาห้อยหน้ามาทับปิดส่วนหน้า นาเชือกร้อยห้อยหน้า ไปผูกเป็นปมกระตุกไว้
ดา้ นหลัง เกบ็ ชายเชอื กซ่อนไวใ้ นรัดสะโพกให้เรียบรอ้ ย

2.16 เยบ็ ตรงึ หางหงส์ โดยการเยบ็ ปกั ฝีเขม็ เสยจีบหางหงส์ ด้านลา่ ง ตกั ฝเี ข็มแทงทะลุรัด
สะโพก แล้วปักฝีเข็มกลับจากรัดสะโพกถึงหางหงส์ ดึงด้ายให้ตึง ปักฝีเข็มผ่านไปอีกด้านของหางหงส์
ปฏิบัติเช่นเดียวกนั แล้วผูกด้ายส่วนทเ่ี หลอื ให้แน่น

2.2.16 สวมกรองคอ เย็บพาหุรัดทั้งสองข้าง ทับปลายแขนเส้ือ ท้ังนี้ควรเย็บมุมด้านบน
ดา้ นล่างและขา้ ง ให้ติดกบั แขนเสอ้ื เพื่อยึดใหพ้ าหรุ ัดกระชบั แน่นหนากับแขนเสื้อ สวมใส่เคร่อื งประดับ
ทับทรวง สงั วาล กาไลแผง ขอ้ เทา้ สวมเคร่ืองประดับศรี ษะ

ข้ันตอนการแต่งกายตัวนาง
ช้ันตอนการแต่งกายตัวนางนั้นสามารถแต่งได้ 2 ลักษณะ คือการแต่งแบบห่มคลุม และการ
แต่งแบบสไบสองชาย ซ่ึงทั้งสองลักษณะท่ีกล่าวนี้สามารถนาไปใช้ประกอบการแสดงได้เหมือนกัน
เน่ืองจากในบทบาทของการแสดงมิได้บังคับรูปแบบ เพียงแต่บังคับสีของผ้าสไบหรือท่ีเรียกว่าสีกาย
ของตวั ละคร ซ่ึงจะไดน้ าเสนอในบทอ่ืน ๆ ตอ่ ไป อยา่ งไรกต็ ามนักศึกษาทีเ่ รียนในรายวิชาน้ีควรพัฒนา
ทักษะการแต่งกายท้ังสองลักษณะ คือการแต่งกายนางแบบห่มคลุม และการแต่งกายนางแบบห่มสไบ
สองชาย ดังน้ี

103

ภาพท่ี 76 การแต่งกายยนื เคร่ืองตัวนางหน้า-หลงั แบบห่มคลมุ
ท่มี า : ธีรวัฒน์ ชา่ งสาน, (2562).

1. การแต่งกายนางแบบห่มคลุม
การแตง่ กายนายแบบห่มคลุมมขี นั้ ตอนดงั นี้
1.1 ข้ันเตรียมจีบชายพก คล่ีผ้ายกโดยให้ดอกของเนื้อผ้ายกไว้ด้านล่าง จับมุมใดมุมหนึ่ง

ของชายผ้าแล้วจับจีบหน้านาง ความยาวประมาณหนึ่งคืบ โดยเร่ิมท่ีพับตลบชายผ้าไว้ด้านในก่อน
จากน้นั จีบตลบหนา้ นางจนหมดหนา้ ผ้า

1.2 จับชายจีบหน้านางส่วนบนให้แน่น ส่วนล่างรวบผ้าจนหมดชายผ้า จากน้ันใช้เชือกมัด
คอผ้าให้แน่น ส่วนปลายใช้หนงั ยางหรอื เชือกมัดรวมไว้ใหแ้ นน่ ป้องกันจีบของผา้ แตก

1.3 นักแสดงสวมเสื้อในนาง ช่างเคร่ืองเย็บชายเสื้อในนาง ควรเริม่ เย็บบริเวณใต้หน้าอก
โดยการฝังฝีเข็มลงด้านล่างเช่นเดียวกับการเย็บฉลองพระองค์หรือเส้ือของตัวพระ คือตักเน้ือผ้าสลับ
ไปมา ควรตกั ฝเี ข็มให้เท่ากนั ทงั้ สองขา้ ง

1.4 นกั แสดงใส่ผา้ ห่มนาง ช่างเครอ่ื งคลมุ ผ้าห่มนางจากดา้ นบนให้สว่ นทย่ี าวอยู่ดา้ นหลงั
นักแสดงใช้มือท้ังสองข้าง จับขอบผ้าห่มนางดึงเข้าหาลาตัว ให้น้าหนักเทมาส่วนหน้าเพื่อสร้างความ
สมดุลของน้าหนกั ผ้าหม่ นาง

104

1.5 เย็บตรงึ ผ้าห่มนางกับเสื้อในนางบริเวณต้นคอด้านหลังของนักแสดง และไหล่ทงั้ สอง
ขา้ ง โดยใชเ้ ขม็ เยบ็ ตรึงบริเวณหวั ไหล่ทงั้ สองข้าง บริเวณคอของผ้แู สดงจะตอ้ งใหช้ ายผ้าหม่ นางชนกัน
ช่างเคร่อื งเยบ็ บริเวณคอของผ้าหม่ นางท่แี ยกจากกนั ให้แถบทับซอ้ นกนั พอดี

1.6 ช่างเครื่อง จับชายผ้าห่มนางส่วนล่างยกข้ึน ตลบทับซ้อนชายผ้า ให้มุมส่วนบนมี
ลักษณะเป็นสามเหล่ียม เย็บตรึงมุมด้านล่าง ไว้กับเสื้อในนาง จากน้ันตลบมุมผ้าสามเหลี่ยมลงมา
ด้านลา่ งบรเิ วณ สะเอวนกั แสดง เย็บตรึงไว้ให้แนน่ กับเสอ้ื ในนาง

1.7 ช่างเคร่ืองนากรองคอหรือนวมนางมาใส่ให้ส่วนที่แยกจากกันอยู่ด้านหน้า เย็บตรึง
ใหต้ ิดกบั ผา้ หม่ นาง ขั้นตอนนี้สามารถเยบ็ ตรึงโดยการใส่จี้นางแล้วเยบ็ ตรึงไวก้ ับนวมนางหรือกรองคอ
ความยาวของจ้คี วรทบั ซ้อนกรองคอพอดี

1.8 ข้ันตอนการนุ่งผ้า โดยการจับผ้ายกท่ีจีบชายพกไว้แล้ววางทาบไว้ระดับสะเอวให้คอ
ผ้าชายพกบิดให้จีบส่วนบนของหน้านาง ห้อยมาด้านหน้า ชายผ้าส่วนล่างของชายพก (บริเวณกลาง
ผืน) ที่เหลือพันไปรอบตัวนักแสดงให้ขอบผ้าทับกันด้านหลัง ผ้าส่วนหน้าที่เหลือพันรอบตัวนักแสดง
ใหช้ ายพกมาอยดู่ ้านหน้า

1.9 ช่างเคร่ืองพับตลบชายผ้าส่วนที่เหลือเป็นจีบหน้านางจีบแรกควรพับทับซ้อนสอง
คร้ังเพ่ือไม่ให้ชายผ้าหลุดขณะท่ีแสดง ควรจีบหน้านางจนหมดชายผ้าถึงสะเอว นักแสดงจับชายผ้า
ส่วนบนไว้ให้แน่น ช่างเคร่ืองรีดผ้าจีบหน้านางจัดระเบียบของจีบอีกครั้ง จากน้ันจับชายผ้าหน้านาง
ด้านล่าง สอดไว้ระหว่างขาของนักแสดงให้นักแสดงใช้ขาท้ังสองข้างหนีบชายหน้านางไว้ให้ม่ัน ช่าง
เครือ่ งรีดจีบหนา้ นางดา้ นบนพับชายผ้าสว่ นทเี่ หลอื สอดหน้านางไวด้ ้านในระดบั สะเอวนกั แสดง

1.10 ช่างเครื่องนาผ้าคาดสะเอว ผูกผ้ายกให้แน่น ชายท่ีเหลือนามาผูกและเก็บไว้
ดา้ นหลังใหเ้ รียบร้อย

1.11 ช่างเครื่องรีดจีบหน้านางด้านบนอีกรอบ ให้จีบเรียงกันอย่างสวยงาม จากนั้นเย็บ
ตรึงหน้านางให้แน่นแล้วรีดจีบหนา้ นางระดับหน้าท้องน้องแสดง ใต้เชอื กคาดสะเอว แล้วเย็บตรงึ หน้า
นางบริเวณเหนือเข่าของนักแสดง การเย็บตรึงบริเวณนี้ควรต้องเย็บหลวม ๆ เพ่ือให้จีบหน้านาง
เคลื่อนไหวยืดหยนุ่ ขณะนักแสดงกา้ วขาไดด้ ีข้ึน

1.12 คาดเขม็ ขัดทับเชือกคาดสะเอว เย็บตรงึ สะอ้งิ โยงจากดา้ นหน้าบรเิ วณใตห้ น้าอก
และดา้ นหลังใตผ้ า้ ห่มนาง ด้วยการเย็บตรงึ ไว้กับเสือ้ ในนาง

1.13 ใส่กาไลแผง ปะวะหล่า แหวนรอบ ข้อเทา้ ใสม่ งกฎุ ทัดดอกไม้ทดั และอบุ ะ ให้
เรยี บรอ้ ยสวยงาม

105

ภาพท่ี 77 การแต่งกายยนื เครือ่ งตัวนางหน้า-หลงั แบบห่มสไบสองชาย
ทมี่ า : ธีรวฒั น์ ช่างสาน, (2562).

2. การแต่งกายนางแบบหม่ สไบสองชาย
การแต่งกายนางแบบห่มสไบสองชาย หมายถึง ตัวนางทใ่ี ชผ้ า้ สไบผนื เดยี ว พนั รอบร่างกาย

แล้วทิง้ ชายผา้ ท้ังสองด้านให้หอ้ ยไปด้านหลงั ท้ังสองขา้ ง มขี ั้นตอนการแตง่ กาย ดงั นี้
2.1 ขัน้ เตรียมจบี ชายพก ปฏิบัติเชน่ เดียวกบั การแต่งแบบห่มคลมุ ดงั ที่ไดอ้ ธบิ ายแลว้
2.2 นกั แสดงสวมเสอื้ ในนาง เยบ็ ชายเส้อื ให้แนบกบั ลาตัว โดยการปักฝเี ข็มให้ปลายฝีเข็ม

ลงดา้ นล่างถึงระดับสะเอวของนกั แสดง บริเวณคอเสื้อ ควรพบั เกบ็ ซ่อนไว้ด้านในใหม้ ีลักษณะเหมือน
เส้อื คอวี เย็บตรึงให้เรยี บรอ้ ย

2.3 นาผ้าสไบมาพันรอบตัวนักแสดง โดยพันชายผ้าด้านซ้ายข้ึนพาดบนไหล่ขวาผู้แสดง
เย็บตรึงชายผ้าสไบให้ติดกับเส้ือในนางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง บริเวณท่ีชายผ้าสไบห้อยลงมาทับ
ซ้อนกันให้เรยี บรอ้ ย

2.4 พาดสไบอีกข้างทับซ้อน เย็บตรึงชายผ้าสไบที่ทับซ้อนกันบริเวณลาคอ ให้แนบกับ
เสอ้ื ในนาง

106

2.5 ใส่นวมนาง เย็บตรึงไว้ให้แน่นกับผ้าสไบ โดยการให้ส่วนที่แยกจากกันของนวมนาง
อยูด่ า้ นหนา้ ของนักแสดง

2.6 ข้ันตอนการนุ่งผ้า โดยการจับผ้ายกท่ีจีบชายพกไว้แล้ววางทาบไว้ระดับสะเอวให้คอ
ผ้าชายพกบิดให้จีบส่วนบนของหน้านาง ห้อยมาด้านหน้า ชายผ้าส่วนล่างของชายพก (บริเวณกลาง
ผืน) ท่ีเหลือพันไปรอบตัวนักแสดงให้ขอบผ้าทับกันด้านหลัง ผ้าส่วนหน้าที่เหลือพันรอบตัวนักแสดง
ใหช้ ายพกมาอย่ดู า้ นหนา้

2.7 ช่างเครื่องพับตลบชายผา้ ส่วนท่ีเหลอื เป็นจีบหนา้ นางจีบแรกควรพับทับซ้อนสองครั้ง
เพื่อไม่ให้ชายผ้าหลุดขณะท่ีแสดง ควรจีบหน้านางจนหมดชายผ้าถึงสะเอว นักแสดงจับชายผ้า
ส่วนบนไว้ให้แน่น ช่างเครื่องรีดผ้าจีบหน้านางจัดระเบียบของจีบอีกครั้ง จากน้ันจับชายผ้าหน้านาง
ด้านล่าง สอดไว้ระหว่างขาของนักแสดงให้นักแสดงใช้ขาทั้งสองข้างหนีบชายหน้านางไว้ให้มั่น ช่าง
เครื่องรดี จีบหน้านางด้านบนพับชายผ้าส่วนท่เี หลือสอดหน้านางไวด้ า้ นในระดบั สะเอวนกั แสดง

2.8 จดั จบี หนา้ นางสว่ นบนใหเ้ ปน็ ระเบยี บทุกจบี ชายผา้ ทีเ่ หลอื ส่วนบนพบั สอดเก็บไวด้ า้ น
ในให้นักแสดงจับชายผ้าให้มั่น จากน้ันช่างเคร่ืองควรจัดระเบียบของจีบหน้านางทับซ้อนกันสวยงาม
ท้งั ด้านบน และดา้ นลา่ ง

2.9 ใชเ้ ชือกคาดสะเอว ผกู เพื่อความกระชบั แน่นของผา้ นุ่ง โดยการพันเชือกจากดา้ นหลัง
มาผูกไขวก้ นั ด้านหน้า แล้วเอาชายผ้ามาผกู เงอ่ื นกระตุกไวด้ ้านหลงั เก็บปมเชือกให้เรียบรอ้ ย เพื่อความ
เปน็ ระเบียบควรดึงชายผ้ามาปดิ เชอื กคาดสะเอว

2.10 รีบจีบผ้าหน้านางให้เรียบร้อยอีกคร้ัง ใช้เข็มเย็บตรึงหน้านาง ควรเย็บ 2 จุด คือ
บริเวณใต้เชือกคาดสะเอวจุดน้ีควรเย็บตรึงผ้าให้แน่น และเหนือเข่าของนักแสดงควรเย็บให้เชือก
หย่อนเพือ่ ความยดื หยุ่นของจีบผา้ หน้านางขณะท่ีแสดง

2.11 สวมใสเ่ ครอื่ งประดับ เข็มขดั จน้ี าง กาไลแผง กาไลตะขาบ ปะวะหล่า จ้ีนาง
2.12 กรณีที่ต้องสวมเครื่องประดับศีรษะเป็นรัดเกล้ายอดหรือรัดเกล้าเปลว ท่ีต้องใช้
ความประณตี ในการสวมใส่จะมขี น้ั ตอนคือจดั ระเบียบของเส้นผมใหเ้ รียบร้อยจากนน้ั หวผี มแสกกลาง
2.12 เม่ือแสกผมและหวเี รียบร้อยแลว้ ปลายผมด้านหลงั รวบผมใหต้ ึง มัดผูกด้วยสายยาง
ใหเ้ รียบร้อย
2.13 ติดจอนหูทงั้ สองข้าง ใหน้ ักแสดงใช้มือกดจอนหูให้แนบกับหู ผกู เชือกโยงของจอนหู
ดา้ นซ้ายและด้านขวา ไว้ระดับกลางกระหมอ่ มของนักแสดง ส่วนเชือกโยงส่วนหลังของจอนหูดึงให้ตึง
ทง้ั ดา้ นซ้ายและด้านขวา เชอื กท้งั สองเส้นนามาผกู โยงไวก้ บั ปลายผมท่ีผูกไวด้ า้ นหลงั ให้กระชับ
2.14 ต้ังรดั เกลา้ ยอด (รัดเกล้าเปลว) โดยใช้เชือกทผี่ ูกบริเวณฐานรัดเกล้าผูกโยงกับจอนหู
ส่วนกลาง ปลายเชือกท่ีเหลือนามามัดไว้กับผมผมด้านหลัง (ขั้นตอนนี้ช่างเคร่ืองควรทาแน่นกระชับ
เพ่อื สร้างความม่ันใจแก่นักแสดง และควรทาใหเ้ หมอื นกันทั้งสองข้าง

107

2.15 ใส่ช้องผมโดยการสอดปลายผมเข้าตรงกลางช้อง รูดช้องให้แนบกับคอผมส่วนท่ีผูก
ไว้ ใชก้ ิ๊บดาตรึงชอ้ งผมกับเส้นผมของนักแสดงให้เรยี บรอ้ ย

2.16 ติดดอกไม้ทัด ห้อยอุบะ ตรวจสอบความยาวของอุบะควรให้ดอกจาปาห้อยอยู่
ระดับเดียวกบั ปลายจมกู ของนักแสดง

การแตง่ กายละครพันทาง

การแต่งกายละครพันทางที่จะให้รายละเอียดนี้เป็นการยกตัวอย่างลักษณะการแต่งกายตาม
เช้ือชาติของตัวละครที่มีปรากฏในละครพันทางศิลปะละครราแบบปรับปรุงขึ้นในช่วงต้นกรุง
รัตนโกสนิ ทร์ อาทิ ตวั ละครเชอื้ ชาติมอญ ตัวละครเชือ้ ชาตพิ ม่า และตวั ละครเช้อื ชาตลิ าว ดังน้ี

1. ตวั ละครเชือ้ ชาตมิ อญ

ภาพท่ี 78 การแต่งกายหน้า-หลงั แบบตัวพระมอญ
ท่มี า : ธีรวฒั น์ ช่างสาน, (2562).

108

ภาพท่ี 79 การแต่งกายหนา้ -หลงั แบบตวั นางมอญ
ทม่ี า : ธรี วัฒน์ ช่างสาน, (2562).

การแต่งกายของชาวมอญ ชายชาวมอญ สวม เกลิด หมายถึงผ้านุ่ง ส่วนผ้าผืนยาวที่นุ่งเวลา
ออกงานสาคัญ เรียกว่าเกลิดฮะเหลิ่น แปลว่า ผ้านุ่งยาว (ลอยชาย) ส่วนเสื้อ เป็นเสื้อคอกลมผ่าอก
ตลอด แขนกระบอก มีกระดุมผ้าหรือเชือกผูกเข้ากัน สมัยก่อนนิยมโพกศีรษะ ต่อมาตัดส้ันแบบสมัย
นิยม ส่วนการแต่งกายของ หญิงมอญ สวม หน่ิน คล้ายผ้านุ่งของผู้ชาย แต่ลายของผู้หญิงละเอียด
สวยงามกว่า และวธิ ีการนุ่งต่างกัน สวมเสื้อ ตัวในคอกลมแขนกุดตัวส้ันแค่เอว เล็กพอดีตัว สีสด สวม
ทับด้วยเส้ือแขนยาวทรงกระบอก เป็นผ้าลูกไม้เน้ือบาง สอี ่อน มองเห็นเส้ือตัวใน ถ้ายงั สาวอย่แู ขนเส้ือ
จะยาวถึงข้อมือ หากมีครอบครัวแล้ว จะเป็นแขนสามส่วน หญิงมอญนิยมเกล้าผมมวย ค่อนต่าลงมา
ทางด้านหลัง โดยมีเครื่องประดับ 2 ชิ้น บังคับไม่ให้ผมมวยหลุด คือ โลหะรูปตัวยูคว่าแคบๆ และ
โลหะรูปปีกกา ตามแนวนอน ภาษามอญเรียกว่า อะน่ดโซ่ก และ ฮะเหล่ียงโซ่ก จากน้ันประดับด้วย
“แหมะเกว่ียปาวซ่ก“ รอบมวยผม (njoy, (2559).

ลักษณะการแต่งกายของมอญตามท่ีกล่าวนี้เป็นผลการศึกษาลักษณะโดยท่ัวไปของผู้คนชาว
มอญ อย่างไรก็ตามเม่ือพัฒนาเป็นเคร่ืองแต่งกายของนักแสดงที่รับหน้าที่เป็นชาวมอญ ลักษณะการ
แต่งกายแบบมอญ โดยเฉพาะการแต่งกายของตัวเอก ทงั้ ตัวพระ และตัวนางสามารถสรุปเป็นภาพรวม
และมขี ้นั ตอนการแตง่ กายอย่างสวยงาม ตัวพระ และตัวนาง ดังน้ี

109

1.1 ข้ันตอนการแตง่ กายตัวพระมอญ มขี ั้นตอนการแตง่ กาย ดังน้ี
1.1.1 นักแสดงสวมสนับเพลา และเพ่ือให้มีสะโพกที่ผายสวยงาม ควรนุ่งผ้าพอกเสริม

สะโพก โดยการนาผ้ายาวมานุ่งทับสนับเพลา ชายผ้าทั้งสองข้างพับสอดไว้ระดับสะเอว ให้กองไว้ที่
สะโพกทั้งสองขา้ งพองาม

1.1.2 นาผา้ ยกให้นกั แสดงนุ่งใหช้ ายทั้งสองเสมอกนั นักแสดงจับชายผ้าทส่ี ะเอวใหแ้ นน่
1.1.3 ช่างเคร่ืองจีบตลบชายผ้าด้านล่าง เย็บกลึงไว้ระดับก้นนักแสดง จานวน 2 จีบ
ความลกึ ของจบึ ประมาณฝา่ มือลกึ
1.1.4 จับจบี ระดบั สะโพก โดยควบคมุ รอยจบี ฟา้ ทีก่ น้ นักแสดง กบั ชายผ้าดา้ นหน้า จีบท้ัง
สองจีบ จะต้องถ่องห้อยอย่างสวยงาม และควรจับเจีบท้ัง 2 ข้างของสะโพกให้เหมือนกัน โดยให้ชาย
ผ้าด้านลา่ งอยูร่ ะดับขอบปลายขาสนบั เพลาสว่ นบน
1.1.5 นักแสดงจับจีบ 2 จีบระดับสะโพกให้มั่น ช่างเครอื่ งดึงชายผ้ายกส่วนหน้า จับชาย
ผา้ เป็นลกั ษณะจีบหนา้ นาง เพื่อรวบชายผ้าให้หมด
1.1.6 ช่างเคร่ือง นาชายผ้าหน้านางที่จับจีบเรียบร้อยสวยงาม สอดไปด้านหลังของ
นักแสดง ในข้ันตอนน้ีควรให้นักแสดงยืนย่อเข่าลงเหลี่ยม ช่างเคร่ืองจับจีบชายผ้าให้เรียบกับก้น
นกั แสดง จบี จดั เรียงอย่างสวยงาม
1.1.7 ช่างเคร่ือง นาเชือกคาดสะเอวผูกผ้ายาวให้ม่ันกับสนับเพลา โดยต้องระวัง 2 จีบ
ขา้ งสะโพกตอ้ งติดแนน่ กับเชอื กคาดสะเอว
1.1.8 ช่างเครื่อง ฉีกหางกระเบนออกเป็น 2 ซีก คล่ีหางกระเบนให้บานออกด้านข้างทั้ง
สองข้างให้เหมือนกัน ช่างเคร่ืองใช้เชือกคาดสะเอวผูกทับหางกระเบนให้แนบกับผ้ายาวด้านหลังกัน
ไมใ่ ห้หางกระเบนเลือ่ นหลุด
1.1.9 ช่างเคร่ือง นาขอบสนับเพลาส่วนบนพับทับเชือกคาดสะเอว เส้นท่ีผูกทับหาง
กระเบนเพื่อความสวยงามอีกครั้ง จะทาใหข้ อบของสนบั เพลาจัดเก็บได้อยา่ งเรยี บรอ้ ยสวยงาม
1.1.10 เพ่ือความแน่นหนาและมั่นคงของการแต่งกาย กระชับรูปร่างขของนักแสดง ช่าง
เครอื่ งควรใช้เชือกคาดสะเอวทับของสนบั เพลาและมัดปลายเชอื กไหแ้ นน่ หนาอกี ครง้ั
1.1.11 นกั แสดงสวมเสอื้ จดั ระบบของเสอ้ื ใหเ้ ขา้ กระชับรปู รา่ ง
1.1.12 ช่างเครื่องจัดระบบเสื้อด้านหลัง กระแทกชายเส้ือให้เข้ารูปกับสะเอวนักแสดง
ใหน้ กั แสดงจับไวใ้ หม้ ั่น ชา่ งเครอ่ื งนาผ้าคาดสะเอวมาผูกลักษณะเป็นโบว์ ห้อยชายผ้าไปด้านลา่ ง อยา่ ง
สวยงาม
1.1.13 ช่างเครือ่ งจัดรปู แบบของโบวผ์ กู สะเอวนักแสดงให้สวยงาม จากนัน้ นาเข็มขดั คาด
ทับผ้าผูกเอว โดยให้หัวเขม็ ขดั ทบั โบว์ ให้แน่น

110

1.1.14 นักแสดงสวมใส่สังวาล สวมเสือ้ กกั๊ ใส่กรองคอทับสงั วาล ให้เรยี บรอ้ ย ศรี ษะคาด
ผา้ โดยการผกู เป็นโบว์ไวด้ า้ นหลงั หอ้ ยชายผ้าไปดา้ นหลงั

1.2 ข้นั ตอนการแตง่ กายตัวนางมอญ มีข้นั ตอนการแตง่ กาย ดังน้ี
1.2.1 นักแสดงสวมเสอ้ื นุ่งผ้าถงุ ปา้ ยมีเชิง ตกแต่งดว้ ยเส้นแถบบริเวณตวั ผา้ ถุง จากนัน้

หม่ สไบเฉวยี งบา่ โดยการพาดชายสไบ ผา่ นไหล่ขวามาดา้ นหน้า ความยาวของชายผ้าสไบ ห้อยชาย
ระดบั ชายเส้ือ ผา้ สไบสว่ นทเี่ หลือด้านหลังพาดอฃอดไหล่ซ้าย จากน้นั วนชายขน้ึ พาดผ่านไหล่ซา้ ย
หอ้ ยชายไปดา้ นหลงั ผา้ สไบสว่ นหน้าระดบั สะเอวซา้ ย พบั ทับซ้อนไวร้ ะดับสะเอว

1.2.2 ช่างเครื่องเย็บตรึงสไบส่วนท่ีพับทับซ้อนระดับสะเอวซ้ายของนักแสดง ให้กระชับ
กับตวั เส้อื จากน้ัน ใช้เขม็ ขดั คาดสะเอวโดยคาดทบั ชายสไบท้ังทางซา้ ยและขวาให้อยู่ใตเ้ ขม็ ขดั ยกเว้น
ชายท่หี อ้ ยดา้ นหลังทปี่ ล่อยทิง้ ไว้ดา้ นหลัง

1.2.3 นักแสดงสวมใสเ่ ครอื่ งประดับ สร้อยคอ ต่างหู กาไลขอ้ มือ ใช้สร้อยสังวาล พับครึ่ง
ให้ตกห้อยสวยงามเย็บตรึงบนไหล่ทั้งสองข้างของนักแสดง ส่วนศีรษะเกล้าผมสูง ตั้งเกี้ยวซีกล้อมผม
ทดั ดอกไม้บิดเหนือหูขวาของนักแสดง

2. ตวั ละครเชอื้ ชาติพม่า

ภาพท่ี 80 การแต่งกายหนา้ -หลงั แบบตัวพระพมา่
ท่มี า : ธรี วัฒน์ ชา่ งสาน, (2562).

111

ภาพท่ี 81 การแต่งกายหน้า-หลังแบบตวั นางพม่า
ที่มา : ธรี วฒั น์ ช่างสาน, (2562).

พม่า หรือ เมียนมาร์ (Myanmar) เป็นชาติที่ไทยเรารู้จักกันมานาน การแต่งกาย ชาวเมียน
มาร์ ทั้งหญิงและชายนิยมนุ่งโสร่ง ที่เรียกว่า“ลองยี”(Longeje) มีท้ังผ้าฝ้ายและไหมที่มีสีสด ของ
ผู้หญิงจะมีลายเชิงด้านล่างและมีลวดลายเล็ก ๆ กระจายท่ัว ผืนผ้า ลวดลายของแต่ละท้องถ่ินจะ
ต่างกัน ผ้าท่ีทอมาจากเมืองอมรปุระเป็นลวดลายดอกไม้ เครือไม้ หรือเป็นดอกเป็นลายตามขวาง ไม่
นิยมใช้เข็มขัด สวมเส้ือตัวสั้น คอกลม ผ่าอกติดกระดุม 5 เม็ด แขนกระบอกยาวจรดข้อมือ บางครั้ง
เป็นแขนส้ัน เลยไหล่ลงมาเล็กน้อย ผ้าตัดเส้ือนิยมใช้ ผ้าเนื้อบาง สีสด เช่น ผ้ามัสลิน ผ้าป่าน หรือผ้า
ไนลอน สวมรองเท้าคีบรองเท้าแตะ ท้ังหญิง ชาย แต่ของหญิงจะเป็นสี มีลวดลายเป็นดอกดวง ปัก
ด้วยลูกปัด หรือด้ิน เงนิ ดิ้น ทอง สะพายย่าม ซึ่งเป็นผ้าไหมสีสวยสดทอมาจากรัฐฉาน ผม โดยท่ัวไป
ไว้ผมยาวเกล้าสูง บางทีก็ปล่อยชายห้อยลงมาไว้ทางซ้ายบ้างขวาบ้าง มีดอกไม้แซมผม เคร่ืองประดับ
นยิ มหิน และพลอยท่ีมีค่าเช่น ทับทมิ นลิ และหยก

ชาย เคร่ืองแต่งกาย นุ่งโสร่งเช่นเดียวกับหญิงแต่สีไม่ฉูดฉาด เป็นลายตาราง โตบ้าง เล็กบ้าง
หรือเป็นลายทางยาวบ้าง โดยทั่วไปใส่เส้ือขาว เม่ือมีพิธีจะสวมเสื้อคล้ายเสื้อจีนแขนยาว ถึงข้อมือ
แบบหน่ึง เรียกว่า “กุยต๋ัง” เป็นเสื้อชายสั้น ๆ ติดดุมถักแบบจีนป้ายมาข้าง ๆ อีกแบบเรียกว่า

112

“กุยเฮง” ตัวยาวถึงสะโพก และติดกระดุมตั้งแต่คอตรงมาจดชายเสื้อใช้สีสุภาพ เช่น ขาวดา หรือ
นวล ถ้าอากาศหนาวจะสวมเส้ือกัก ทอสกั หลาดทับอกี ชิ้น หน่งึ จะสวมรองเท้าหุ้มส้นเม่ือมีพิธี ตัดผม
สั้น ไม่นิยมสวมหมวก หรือโพกศีรษะตามประเพณีเดิม เมื่อมีพิธีจะมีผ้าหรือ แพรโพกศีรษะทาเป็น
กระจุกปลอ่ ยชายทิง้ ไว้ทางด้านขวา นยิ มใชส้ ีชมพู (Preecha Treesuwan, 2015).

2.1 ข้ันตอนการแตง่ กายตวั ละครตวั พระเชือ้ สายพมา่ มขี ้ันตอนการแตง่ กาย ดงั นี้
2.1.1 ข้ันเตรียมจีบชายพก คลี่ผ้ายกโดยให้ดอกของเนื้อผ้ายกไว้ด้านล่าง จับมุมใดมุม

หนึ่งของชายผ้าแล้วจับจีบหน้านาง ความยาวประมาณครึ่งตัวผ้า เริ่มพับตลบชายผ้าไว้ด้านในก่อน
จากนน้ั จีบตลบหนา้ นางจนหมดหน้าผ้า

2.1.2 .ใชม้ อื ซา้ ยจับจีบหนา้ นางส่วนปลายให้ม่นั มอื ขวารวบชายผ้าให้หมดจนถงึ ชายผ้า
จากนัน้ ใช้เชือกมัดคอผา้ ให้แน่น ส่วนปลายใชห้ นงั ยางหรอื เชอื กมัดรวมไวใ้ หแ้ น่น ปอ้ งกนั จบี ผ้าแตก

2.1.3 ช่างเครื่องคลผี่ ้ายาวออกเตม็ ผืนจากนั้น พับผ้าสว่ นบนตามแนวคอผ้าชายพก พับ
ผ้าเก็บพักรอสาหรับนามานุ่ง ในขั้นตอนต่อไป วิธีการพับโดยการพับผ้าทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ตลย
เขา้ ตรงกลาง ให้คอผ้าชขู ึ้นดา้ นบน

2.1.4 นักแสดงนุ่งสนับเพลา และพอกผ้าพอก โดยการนาผ้ายาว (ผ้าโจงกระเบน) มา
พบั ครง่ึ ตามความยาว สว่ นท่ีพับ ใช้เชือกสอดไว้ จากน้ันนาผ้าขาวที่คล้องเชือกแล้ว มาผกู ไว้กับสะเอว
นกั แสดง รดู ผา้ เปิส่วนหนา้ ให้แยกออกจากกนั ผ้าทง้ั สองขา้ งจะมากองไว้ท่ีสะโพกทง้ั สองขา้ ง

2.1.5 ช่างเคร่ืองนาผ้ายาวท่พี ับเตรยี มไว้มาพันรอบสะเอวนกั แสดง โดยการให้ชายพก
อยตู่ รงกลาง นักแสดงจบั คอผ้าไว้ให้มนั่ ชา่ งเครื่องนาชายผ้าสว่ นทีเ่ หลือพนั รอบสะเอวนกั แสดง ชา่ ง
เครือ่ งให้ชายผ้าท่ีจีบหนา้ นางจับคร่งึ หน้าผ้า สอดทับชายผ้าชิ้นนอกใหแ้ นน่

2.1.6 ช่างเคร่ืองให้นักแสดงจับคอผ้าชายพกให้ม่ัน ชายผ้าส่วนท่ีเหลือดึงออกไปให้ตึง
จากนั้น พบั ลักษณะจีบหนา้ นาง แต่ความยาวของจบี ประมาณ 12 นว้ิ พบั ตลบจนหมดชายผ้า

2.1.7 ชา่ งเคร่ืองพลิกผ้าจบี หน้านางโดยให้มุมผ้าลงดา้ นลา่ ง ลกั ษณะผ้าสามเหลี่ยน ช่าง
เครอื่ งใช้เชอื กคาดสะเอวผูกผา้ ให้แนน่ กับสะเอวนกั แสดง

2.1.8 ช่างเครื่อง หมุนคอผ้าหน้านาง ให้ส่วนปลายห้อยลงด้านล่าง จากนั้นคล่ีจีบผ้า
ออกเป็นรูปใบพัด จัดกลับให้แยกห่างเท่าๆ กันอย่างสวยงาม ให้เชือกคาดสะเอว พันทับชายขอบผ้า
ยาวให้แน่น

2.1.9 เพื่อความเป็นระเบียบและสวยงามของการนุ่งผ้าอย่างประณีต ช่างเครื่องควรนา
ผ้าทมี สี ใี กลเ้ คยี งกับตวั เสอื้ มาพนั ทบั เชือกคาดสะเอวอีกคร้ัง เพ่ือปดิ ผ้าสขี าวให้หมด

2.1.10 นักแสดงสวมเส้ือ ใสส่ งั วาลพาดไหล่ ซ้ายหอ้ ยลงทางขวา ใสเ่ ครื่องประดบั กาไล
ข้อเท้า แลสวมหูกระต่าย เครื่องประดับศีรษะ โดยให้ส่วนที่เป็นโบว์ อยู่ด้านหลังศีรษะของนักแสดง
เยื้องมาทางขวา อยา่ งสวยงาม

113

2.1.11 ก่อนมีการแสดง ควรมีการตรวจสอบความเรียบร้อยของการแต่งกาย เช่น ชาย
ผ้าเสมอกันหรือไม่ ตัวเสื้อเข้ารูปของการเป็นนักแสดงตัวเอกหรือไม่ ซึ่งช่างเครื่องจาเป็นจะต้องใช้
ความประณีต ท้งั ศาสตร์และศิลป์ ของบรรพชน

2.2 ขั้นตอนการแตง่ กายตวั นางแบบพมา่ มีขัน้ ตอนการแต่งกาย ดังน้ี
2.2.1 นกั แสดงสวมเสื้อในนางหรือเส้ือเกาะอกให้กระชับกับลาตัว นุ่งผา้ ถงุ ป้ายยาว

กรอมเทา้ ตัวผ้าถงุ ตกแตง่ ด้วยเสน้ แถบโดยมีเชงิ ผา้ เปน็ ผ้าเน้ือโปร่ง
2.2.2 นักแสดงสวมเสอ้ื พม่าเปิดหนา้ เมื่อจัดเส้ือเขา้ รูปร่างนักแสดงแลว้ ให้เยบ็ ตรงึ ด้วย

ด้าย ใหต้ ัวเสื้อกับเสื้อในนางหรือเสื้อเกาะอกใหก้ ระชับกบั ลาตวั น่งุ ผา้ ถุงป้ายขา้ ง
2.2.3 สวมใส่เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู คาดเข็มขัด สร้อยสังวาล 2 เส้นพาดเฉียง

บ่าทบั ไขวก้ ัน
2.2.4 นาผ้าสไบคล้องคอ ให้ชายผ้าห้อยมาด้านหน้าทั้ง 2 ชาย กรณีที่นักแสดงผมยาว

ควรป ล่อยป อ ยผมบ ริเวณ ข้างแง่ศี รษ ะขวาลงม าห รือ ห ากผม ยาวไม่ พ อก็ค วรใช้ผ มป ลอ ม( มีขาย
โดยทั่วไปตามท้องตลาด มาตดิ ตกแตง่ ผมนกั แสดง และประดับด้วยดอกไม้ทัดเพื่อความสวยงาม

ตัวละครเช้อื ชาตลิ าว

ภาพที่ 82 การแต่งกายหน้า-หลงั แบบตวั พระลาว
ทมี่ า : ธีรวัฒน์ ชา่ งสาน, (2562).

114

ภาพท่ี 83 การแต่งกายหนา้ -หลงั แบบตัวนางลาว
ทมี่ า : ธรี วฒั น์ ช่างสาน, (2562).

ลาวเป็นประเทศท่ีอยู่ชิดชายแดนไทยทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือทางจังหวัดหนองคาย
ข้ามแม่นา้ โขงไปอีกฟากหนงึ่ ก็จะถงึ เมืองเวยี งจนั ทร์ นอกจากชนชาตลิ าวซง่ึ บางครั้งเรียกว่าลัวะ หรือ
ละว้า ยังมีชนเผ่าต่าง ๆ อีก ได้แก่ กลุ่มชนเผ่าไท-ลาว คือพวกไทแดง ไทขาว ไทดา ย้อ ล้ือ กลุ่มม้ง-
เยา้ กลุม่ พม่า-ธิเบต รวมถึงมูเซอ ล่าฮู กลมุ่ มอญ-เขมร รวมถึงขมุ

การแต่งกาย ผู้หญิง นุ่ง Patoi (มลี ักษณะคลา้ ยผ้านุ่งของไทย) นิยมทาเป็นลายทาง ๆ เชิงผ้า
เป็น สแี ดงแก่ หรือน้าตาลเข้ม ถ้าผ้านุ่งเป็นไหม เชิงก็จะเป็นไหมด้วย มักจะทอทองและเงินแทรกเข้า
ไป ไว้ผมเกล้ามวยประดับดอกไม้ ผูช้ าย นุ่ง Patoi เป็นการนงุ่ โจงกระเบน สวมเสือ้ ช้ิน นอก กระดุม
เจด็ เม็ด (nbr12961, 2551).

2.1 ขน้ั ตอนการแต่งกายตัวละครตัวพระเช้ือสายลาว มขี ้นั ตอนการแตง่ กาย ดังนี้
2.1.1 นกั แสดงสวมเสอื้ สวมสนบั เพลา และเตรียมนุง่ ผ้าพอกไวใ้ หเ้ รียบร้อย
2.1.2 ช่างเคร่ืองนาผา้ ยก มานงุ่ โดยการทบชายผ้ายกใหเ้ ทา่ กันทั้งสองด้าน นกั แสดงจับ

ผ้ายกส่วนสะเอวใหแ้ น่น
2.1.3 ช่างเครื่องจับจีบสองจีบระดับก้นกบล่างของนักแสดง การจับจีบควรให้มีความ

หา่ งของระดบั จีบเทา่ กนั และไม่ควรใหข้ ้ึนมาสูงกว่ากน้ กบ

115

2.1.4 ช่างเคร่ืองจับจีบสองจีบ ระดับสะโพกซ้าย ขวาของนักแสดง วิธีการจับจีบ
ด้านขวาของนกั แสดง ช่างเคร่ืองควรใช้มอื ซ้ายจับประคองตามแนวจีบด้านหลงั และมือขวาควรจบั ผ้า
เขา้ ไปลกึ ๆ ปฏิบัติลักษณะเดียวกนั ท้ังสองด้าน ให้จีบเท่ากัน และชายผ้ายกส่วนล่างขึ้นไปอย่ใู นระดับ
เดยี วกันด้วย

2.1.5 ช่างเคร่ืองจับชายผ้าส่วนที่เหลือของผ้ายกโดยวิธีคล้ายกับการจับจีบหน้านาง
โดยใช้มือท้ังสองข้าง ประคองชายผ้า และจับจีบทบซ้อนจนหมดชายผ้า ให้ขนาดของจีบเท่า ๆ กัน
ความกว้างของจีบประมาณ 3 นวิ้

2.1.6 ช่างเครื่องจับชายผ้าท่ีจีบแล้ว สอดลอดใต้ขานักแสดงไปด้านหลัง (ลักษณะ
เหมอื นการสอดหางกระเบน) นักแสดงจบั ปมผ้าส่วนหนา้ ใหม้ ั่น

2.1.7 ช่างเคร่ืองรีบจีบชายผ้าหน้านางให้เข้าท่ี ให้เป็นระเบียบ สวยงาม โดยให้ปีกผ้า
แผ่ออกมาทง้ั ทางซา้ ยและทางขวา ให้เหมือนกันจะเพมิ่ ความสวยงามของการนงุ่ ผ้ามากยิง่ ขึ้น

2.1.8 ชา่ งนาเชอื กคาดสะเอว มาผกู เพ่ือไม่ใหห้ างส่วนหลัง และปมผ้าส่วนหน้าหลดุ ใน
ข้ึนตอนนี้ควรผูกปมผ้าให้แน่น และต้องสังเกต ส่วนของจีบผ้าด้านหน้าท้ังสองข้าง จะต้องมีเชือกคาด
สะเอวทบั แบบไม่หลดุ รวมท้งั หางดา้ นหลงั ดว้ ย

2.1.8 ช่างเครื่องฉีกหางด้านหลังให้แยกออกจากกัน เพ่ือให้มีลักษณะเป็นหางปรก
จากนน้ั ใช้เชือกคาดสะเอวพันทับขอบผา้ ให้เปน็ ระเบยี บอีกครัง้

2.1.9 ผูกผ้าคาดสะเอวทาลักษณะโบว์ซีกเดียวผูกเยื้องไว้ระดับสะเอวทางซ้าย ให้ชาย
ผ้าห้อยลงด้านล่าง คาดเข็มขัดทับโบว์ให้สวยงาม สวมสังวาล และโพกศีรษะให้โบว์อยู่ด้านหลังกกหู
ซา้ ยของนักแสดง

2.2 ขนั้ ตอนการแต่งกายตวั นางแบบลาว มขี ้นั ตอนการแต่งกาย ดงั นี้
2.2.1 นักแสดงสวมเส้ือในนางหรือเส้ือเกาะอกให้กระชับกับลาตัว นงุ่ ผา้ ถงุ ป้ายยาว

กรอมเทา้ สวมเสอื้ ผา่ หน้าคลมุ สะโพก
2.2.2 นักแสดงห่มผ้าสไบ ให้ชายด้านหน้าอยู่ระดับสะเอวด้านซาย ผ้าที่เหลือห้อย

ผ่านไหล่ไปด้านหลัง แล้วสอดผ่านมาพันทับฉียงห้อยชายไปด้านหลัง ใช้เข็มซ่อนปลายหรือเข็มด้าย
เยบ็ ตรึง ส่วนทผ่ี ้าทับซ้อนให้มัน่ กันเลอื่ นหลุด จากนนั้ สว่ นใส่เครอ่ื งประดับสรอ้ ยคอ ต่างหู คาดเข็มขัด
ทบั ตวั เสื้อ ศรี ษะประดบั ด้วยศริ าภรณเ์ กีย้ วซกี ทดั ดอกไม้ทัด

การแก้ไขการแต่งกายละครไทย

การแก้ไขการแต่งกายละครไทย นัน้ เปน็ การเสริมเติมแตง่ เพื่อความสมบรู ณส์ วยงามของการ
แต่งกาย บางคร้งั เพื่อชว่ ยแก้ปญั หาเร่ืองแต่งกายได้เปน็ อย่างดี ดงั ขอ้ สงั เกตกลา่ วคือ


Click to View FlipBook Version